โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

กวีประชาไท : จดหมายถึงฟ้า

Posted: 16 Sep 2010 01:20 PM PDT

จดหมายถึงฟ้า

จดหมายถึงฟ้าเขียนจากน้ำตาผู้ยากไร้                 ฟ้าเคยรู้บ้างไหมหัวใจของไพร่มันขื่นขม
แผ่นดินทั้งผืนไม่เพียงพอเขียนความระทม            กี่บาดแผลทับถมถล่มภูเขาแห่งรักพังทลาย

ไม่มีความร่มเย็นอยู่ในนิทานโกหก                       พล็อตเรื่องสกปรกล้วนแต่เลอะเทอะเหลวไหล
เมื่อแผ่นดินรู้ว่าท้องฟ้าไม่เคยรักใคร                     ยาวนานเพียงไหนยัดเยียดความยากไร้ให้เรา

แผ่นดินแล้งร้าวเขาเป็นเศรษฐีมหาศาล                สินทรัพย์โอฬารเป็นวิมานเทียมภูเขา
ตีนแตะไม่ถึงดินป่ายปีนดื่มกินแสงดาว                  ลืมตัวหลงเงาว่าเราเพียงคนธรรมดา

ฟ้ารู้บ้างไหมในความยาวนานเราเหนื่อยนัก           ถูกขูดรีดความรักเราทั้งหน่วงหนักและอ่อนล้า
หัวใจเราแห้งโหยด้วยถูกฟาดโบยจนชินชา          แต่อีกเสี้ยวใจเราใฝ่หาวิถีแห่งสามัญ

พอทีได้ไหม...นิยายอนุรักษนิยม                           เราผ่านความขื่นขมดิ่งจมธารอาถรรพ์
เลาะล่อนมันออกลอกเปือกตมแห่งชนชั้น             หยัดยืนขึ้นประจัน “เขียนนิทานแห่งสามัญชน”

จดหมายถึงฟ้า...กลั่นเลือดคนกล้าแทนหมึก         กี่ค่ำคืนดื่นดึกกรำศึกท่ามกลางแดดฝน
วิถีทาสบาดลึกกร่อนรู้สึกเกินอดทน                      นักบุญผู้ฉ้อฉลผ่านพ้นคุณคืออดีตกาล

ใต้ท้องฟ้าผืนนี้เรามีสิทธิเป็นมนุษย์                       อย่างน้อยที่สุดเรามีเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
ทุกคนบนโลกหายใจอยู่อย่างเท่าเทียมกัน           แม้จันทร์ซีดเซียวดวงนั้นกระหายใฝ่ฝันนิรันดร

Freedom of Speech   เรามีสิทธิที่จะพูด            ประวัติศาสตร์ล้าหลังชำรุดบิดเบือนชุดคำสั่งสอน
ศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ถูกคุกคามถูกสั่นคลอน              ความเป็นคนถูกรื้อถอนไปซ่อนอยู่บนดาวดวงใด

ใต้ท้องฟ้าผืนนี้เรามีเสรีภาพที่จะเชื่อ                      เรามีเลือดมีเนื้อคิดตรองเชื่อผิดถูกได้
เรามีชีวิตและเรามีลมหายใจ                                  หัวเราะร้องไห้...ไม่ต่างอะไรจากคุณ

แต่ไยใต้ฟ้าผืนนี้มีใครบางคนขีดเขียน                     ชะตากรรมวกเวียนสับเปลี่ยนแกนโลกหมุน
ฝันเฝ้าเล่านิทานอ้างการกดขี่เป็นบุญคุณ              ซ่อนกองซากศพทารุณไว้ใต้ถุนศาลเจ้าโบราณ

เขียนจดหมายถึงฟ้าว่าบัดนี้เราตื่นจากหลับใหล    จะไม่ยอมรองตีนใครไม่มีแล้วเมืองสวรรค์
สิบเก้ากันยาเราตาสว่างอย่างนิรันดร์                     จบแล้วนิทานชนชั้น “เหลือเพียงนิทานแห่งสามัญชน”

โดย เพียงคำ ประดับความ – กลุ่มกวีตีนแดง

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราวการประมูล 3G

Posted: 16 Sep 2010 11:02 AM PDT

ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว การประกาศประมูลใบอนุญาตให้บริการ 3G หลัง กสท. ฟ้อง กทช.ให้ถอนประมูล ทำให้การประมูลใบอนุญาต 3G ในวันที่ 20 ก.ย. นี้ยุติลงทันที

เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 19.20 น. วันที่ 16 กันยายน ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว การประกาศประมูลใบอนุญาตให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT 3G and beyond หรือ  3 จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ หลังจากที่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เป็นจำเลยที่ 1 และ กทช. ทั้ง 7 คน เป็นจำเลยที่ 2 เพื่อให้เพิกถอนประกาศการประมูลดังกล่าว เนื่องจาก กทช.ไม่มีอำนาจ เพราะต้องรอคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามรัฐธรรมนูญปี 2550

คำสั่งของศาลปกครองกลางดังกล่าว มีผลให้การจัดการประมูลใบอนุญาต 3 จี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 กันยายน ต้องยุติลงทันที

ทั้งนี้ ศาลปกครองกลาง ได้ส่งโทรสาร (แฟกซ์) คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ยุติการเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์ เคลื่อนที่ 3จี ของ กทช.โดยระบุว่า ร่างกฎหมาย กสทช. ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เรียบร้อยแล้ว และยังได้ผ่านการพิจารณาแก้ไขของคณะกรรมาธิการร่วมแล้ว กำลังจะนำเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ดังนั้น จะเป็นอุปสรรคในการทำงานขององค์กร กสทช.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  จึงมีเหตุที่จะออกมาตราการหรือคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาทุกข์ โดยให้กทช.ยุติการใช้ประกาศ กทช. เรื่องหลักเกณฑ์วิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่  3จี ออกไปก่อน จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอี่น

รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท กสท โทรคมนาคม ยื่นฟ้องสำนักงาน กทช. เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประกาศ กทช. ในหลักเกณฑ์วิธีการอนุญาต 3จี ระบุว่าเนื่องจากประกาศดังกล่าวออกตามพ.ร.บ.การจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับ การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม ปี 2543  ที่อาศัยรัฐธรรมนูญปี 2540  แต่เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (คปค.) ประกาศยกเลิกใช้รัฐธรรมนูญปี 2540  ทางกสท. จึงมีความเห็นว่า พ.ร.บ.การจัดสรรคลื่นความถี่ฉบับดังกล่าวต้องถูกยกเลิกไปด้วย รวมทั้งประกาศดังกล่าวยังขัดกับมาตรา 47 วรรค 2 ในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 นอกจากนี้การออกประกาศดังกล่าวยังกระทบสิทธิการเปิดให้ 3 จี โรมมิ่ง 2 จี ได้ แต่ 2 จี โรมมิ่ง 3จี ไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นธรรม เพราะจะทำให้รายได้ของ กสท.ที่ได้จากสัมปทาน 2 จี ต้องลดลงถึงปีละประมาณ 30,000  ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว กทช.ได้พาสื่อมวลชนกว่า 100 คนเดินทางไปยังโรงแรมเอวาซอน หัวหิน แอนด์ ซิกเซ้นส์ สปา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประมูล แต่ทันทีที่รับทราบว่า ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว สื่อมวลชนอยู่ระหว่างพักรับประทานอาหารเย็นที่ร้านใกล้โรงแรม ตามกำหนดเดิม กรรมการกทช.จะมาทานข้าวด้วย แต่ปรากฎว่า ไม่มีกทช.มาร่วมด้วยแต่อย่างใด จนกระทั่งเวลา 20.15 น. กทช.ได้แจ้งว่า พ.อ.นที  สุกลรัตน์ กรรมการ กทช. ในฐานะประธานคณะกรรมการ 3 จีจะมีการแถลงข่าวด่วน

 

กทช.เตรียมยื่นอุทธรณ์ - รมต.ไอซีทีบอก 3G ยังเกิดได้ในปีนี้

พ.อ.นที เปิดเผยว่า ตนยังไม่ได้รับหนังสือคำสั่งศาลอย่างเป็นทางการ แต่รับทราบแล้วว่า ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราว ให้กทช.ชะลอประมูล 3 จี จนกว่าจะมีกสทช. ทั้งนี้ กทช.เตรียมยื่นอุทธรณ์ฉุกเฉินต่อศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 17 กันยายน โดยจะรอคำสั่งถึงวันที่ 20 กันยายน ก่อนที่จะมีการประมูลในเวลา 09.00 น. หากไม่มีคำสั่ง ก็คงต้องยุติการประมูล

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เปิดเผยว่า เชื่อว่าการประมูล 3จี จะยังเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ และนโยบายรัฐบาลยังคงสนับสนุนให้เกิดโครงการนี้อยู่

 

ผู้ประกอบการบอกรอคำสั่งศาล หากหยุดประมูลจะกระทบอุตสาหกรรม

นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยว่า การที่ กทช. ยื่นอุทธรณ์ไม่ได้หมายความว่าการประมูลจะเกิดขึ้นได้ เพราะต้องรอจนกว่าศาลจะมีคำสั่ง  และการที่บริษัท ทีโอที เตรียมยื่นฟ้องในประเด็นเดียวกันก็ช่วยทำให้เรื่องนี้มีน้ำหนักมากขึ้น

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า เพิ่งทราบข่าวว่าศาลปกครองคุ้มครองชั่วคราว จึงไม่สามารถจะเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก เพราะต้องดูรายละเอียดคำสั่งศาล เบื้องต้นมองว่าจะเกิดผลกระทบกับอุตสาหกรรมทั้งหมด เพราะการประมูลถูกหยุดชะงักลงและบริษัทก็จะได้รับผลกระทบด้วย

นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ไม่น่ามีผลกระทบต่อประเทศ กทช.ต้องรีบอุทธรณ์  และขณะเดียวกันเอกชนจะต้องทำตามที่ กทช. ต้องรอลุ้นว่า กทช.จะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้หรือไม่ นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  รู้สึกผิดหวัง หวังว่าการอุทธรณ์จะเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าการประมูลเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดจะถือว่าเป็นการล้าหลังของประเทศ

 

ที่มา - เว็บไซต์มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายสึนามิ 5 จังหวัดร้องรัฐบาลรับผิดเหตุผิดพลาดศูนย์เตือนภัย

Posted: 16 Sep 2010 09:19 AM PDT

เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ 5 จังหวัดออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลรับผิดชอบและแก้ปัญหาปรับปรุงศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หลังจากเกิดปัญหาความผิดพลาดจากการฝึกซ้อมเตือนภัยเมื่อ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา

16 ก.ย. 2553  ณ มูลนิธิอันดามัน จ. ตรัง เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ  ประกอบด้วย จังหวัดพังงา  จังหวัดสตูล  จังหวัดตรัง จังหวัดกระบี่  จังหวัดภูเก็ตกว่า 30  คน  ได้ประชุมเพื่อกำหนดท่าทีต่อศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หลังจากที่การฝึกซ้อมอพยพหนีภัยสึนามิในวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อม ความไร้ประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยสึนามิ โดยมีบางที่สัญญาณเตือนภัยไม่ดัง ขณะที่บางที่สัญญาณเตือนภัยดังซ้ำต่อเนื่องหลังเสร็จสิ้นการซ้อมทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดนึกว่าเกิดภัยสึนามิจริง

โดยทางเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิได้ออกออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของศูนย์เตือนภัย ปรับปรุงระบบการเตือนภัย มีแผนงบประมาณปรับปรุงระบบเตือนภัยอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วงซ้อมเตือนภัย และให้มีการตั้งคณะกรรมการเตือนภัยระดับจังหวัดโดยชุมชนมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน

รายละเอียดแถลงการณ์ฉบับเต็มมีดังนี้

 


แถลงการณ์
“ยกเครื่องศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและระบบเตือนภัยสึนามิ”
 
         คลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินและเศรษฐกิจของชายฝั่งอันดามันอย่างรุนแรงและต้องใช้เวลาในการเยียวยาฟื้นฟูมากกว่า ๔ ปี ความสูญเสียครอบครัว ญาติมิตรและหนีเอาชีวิตรอดในครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของผู้ประสบภัยจนถึงปัจจุบัน
                ชุมชนชายฝั่งอันดามัน จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับความเสี่ยงภัยสึนามิที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นระบบการเตือนภัยสึนามิ ที่ดีเชื่อถือได้จึงมีความจำเป็นอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของชายฝั่งอันดามันและประเทศไทย
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยืนยันกับชุมชนมาโดยตลอดว่า ระบบเตือนภัยสึนามิ มีประสิทธิภาพ ในระดับฝากชีวิตได้ โดยมีการตรวจสอบการใช้งานผ่านดาวเทียมทุกวัน  
แต่การฝึกซ้อมอพยพหนีภัยสึนามิ ในพื้นที่ชายฝั่งอันดามันเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๓ ของ   รัฐบาลภายใต้การอำนวยการของรองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รับผิดขอบโดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ปรากฏข้อผิดพลาดที่แสดงให้เห็นความไม่พร้อม ความไร้ประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยสึนามิโดยบางพื้นที่สัญญาณเตือนภัยไม่ดังเช่น บ้านมดตะนอย จ.ตรัง บางพื้นที่เช่น บ้านป่าตอง หอเตือนภัยเสีย ๒ หอไม่สามารถใช้ได้มากว่า ๓ ปี ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่เช่น บ้านน้ำเค็ม บ้านเจ้าไหม บ้านเกาะมุกต์ เกาะหลีแป๊ะ ป่าตอง เขาหลัก สัญญาณเตือนภัยดังซ้ำต่อเนื่องหลังจากเสร็จสิ้นการซ้อมแล้ว ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เกิดสึนามิขึ้น จนอพยพหนีภัยโกลาหล ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและเกิดการบาดเจ็บ นอกจากนี้ทุ่นลอยตรวจจับคลื่นใต้น้ำมักจะเสีย หรือหลุดจากจุดที่วางโดยตลอด
ความผิดพลาด ความไม่พร้อมที่เกิดขึ้น ประกอบกับการที่รองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดเล็กน้อย เป็นความผิดพลาดที่ระบบ” ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าเกิดจากการกดสัญญาณซ้ำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นข้อบกพร่องของระบบการตัดสินใจในการส่งสัญญาณของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ 
ความผิดพลาด และความเห็นของผู้รับผิดชอบระบบเตือนภัยแห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงการไม่ให้ความสำคัญของรัฐบาลต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ในพื้นที่เสี่ยงภัย ความไม่รับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ชีวิตของผู้คนชุมชนชายฝั่งตกอยู่ในความเสี่ยง ความหวาดระแวงภัยสึนามิ จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่สามารถไว้วางใจต่อระบบเตือนภัยสึนามิได้อีกต่อไป
                 เครือข่ายชุมชนผู้ประสบภัยสึนามิชายฝั่งอันดามัน ขอเรียกร้องให้รัฐบาล
๑. นายกรัฐมนตรีต้องชี้แจงต่อประชาชนว่า ระบบการเตือนภัยสึนามิ เป็นเรื่องเล็กน้อยดังที่
รองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าว หรือเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
 
 
๒. ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยการ
ลาออก นายกรัฐมนตรีต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และดูแลความเสียหายทางร่างกายทรัพย์สิน และเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบเตือนภัยให้เกิดขึ้นกับชุมชนชายฝั่งและภาคการท่องเที่ยว
๓. ดำเนินการปรับปรุงระบบการเตือนภัย การอพยพหลบภัยสึนามิ การปฏิรูปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้
มีเอกภาพในการปฏิบัติงาน โดยให้ชุมชนชายฝั่งเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน
๔. ให้มีคณะกรรมการเตือนภัยและอพยพหลบภัยระดับจังหวัดที่ชุมชนผู้ประสบภัยสึนามิมีส่วนร่วม
โดยให้มีอำนาจในการเปิดสัญญาณแจ้งเตือนภัย การติดตามประสิทธิภาพของระบบ และการซ้อมอพยพหนีภัย
๕. รัฐบาลต้องมีแผนงานและงบประมาณสนับสนุนการเตรียมความพร้อมเผชิญภัยสึนามิ และภัย
พิบัติธรรมชาติในระดับชุมชน การจัดให้มีอุปกรณ์และอาสาสมัครเฝ้าระวัง ป้องกัน และกู้ภัย 
๖. รัฐบาลต้องจัดให้มีแผนงานและงบประมาณการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เฝ้าระวังและเตือนภัยธรรมชาติ
อย่างสม่ำเสมอไม่ใช่ซ่อมบำรุงเฉพาะช่วงก่อนซ้อมอพยพดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
 
                ระบบเตือนภัยและการอพยพหลบภัยสึนามิ มีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตของชุมชนชายฝั่ง และความมั่นใจของนักท่องเที่ยวซึ่งการท่องเที่ยวเป็นเศรษฐกิจสำคัญของอันดามันและประเทศไทย รัฐบาลจึงต้องตระหนัก ให้ความสำคัญ และเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอข้างต้นอย่างเร่งด่วน
 
เครือข่ายชุมชนผู้ประสบภัยสึนามิ
๑๖ กันยายน ๒๕๕๓


 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายผู้บริโภค จี้รัฐเร่งพิจารณา พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ

Posted: 16 Sep 2010 04:44 AM PDT

เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคยื่นหนังสือต่อประธานวิปรัฐบาล และประธานวิปฝ่ายค้าน ขอให้เร่งพิจารณา ร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .

 

 

15 กันยายน เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคประกอบด้วยเครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก เครือข่ายผู้บริโภคภาคใต้ เครือข่ายผู้บริโภคภาคอีสาน เครือข่ายผู้บริโภคภาคกลาง เครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก เครือข่ายเพื่อนโรคไต และเครือข่ายโรคมะเร็ง จำนวน 30 คน เข้ายื่นหนังสือต่อนายวิทยา แก้วภราดัย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล และนายวิทยา บุรณศิริ ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ขอให้นำร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข เข้าพิจารณาในการสภาผู้แทนราษฎร

นางสาวกชนุช  แสงแถลง ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค กล่าว ว่าตามที่เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เครือข่ายผู้ป่วย เครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ  องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรผู้บริโภค ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในการรวบรวมรายชื่อประชาชน 10,000 รายชื่อ เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2552 และได้ผ่านการดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการของรัฐสภา โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในร่างกฎหมายฉบับนี้ พร้อมทั้งได้บรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาตั้งแต่ 12 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา จนกระทั่งบัดนี้ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด

“เครือข่ายภาคประชาชน อยากให้เร่งรัดดำเนินการให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยการประชุมนี้ด้วย รวมถึงขอให้ผ่านกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังใช้โดยเร็ว เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่การปฏิรูประบบสาธารณสุข” ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค กล่าว

ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่าจะเร่งดำเนินการให้ แต่ถึงอย่างไรแล้ว อันดับการพิจารณากฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ...นั้นขณะนี้อยู่อันดับที่ 16 และเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่สำคัญ เพราะฉะนั้นจะเข้าสู่สภาฯแน่นอน

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ในฐานะตัวแทนนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน เข้ารับหนังสือพร้อมกล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้มีการเสนอเข้ามาถึง 7 ฉบับ อีกทั้งยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันต่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งภาระการสร้างความเข้าใจระหว่างกันนั้นกระทรวงสาธารณะสุขควรจะรีบดำเนิน การ และเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ หากผ่านออกมาเป็นกฎหมายแล้วน่าจะพัฒนาระบบสาธารณสุขได้มากขึ้น

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คบท. แนะ กทช. เลื่อนประมูลใบอนุญาต 3G ใบที่สาม กันฮั้วประมูล

Posted: 16 Sep 2010 03:40 AM PDT

คบท.ชี้ประมูล 3G ต้องเปิดทางให้รายใหม่เกิดด้วย และโจทย์ใหญ่คือการป้องกันการฮั้ว แนะ กทช. ประกาศก่อนชิงดำรอบแรก ว่าจะกันใบอนุญาตที่ 3 ให้รายใหม่เท่านั้น เพื่อผู้เข้าร่วมประมูลทั้ง 3 รายจะได้แข่งขันกันเต็มที่  ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจโทรคมนาคมไทยไปพ้นจากวังวนการแข่งขันที่จำกัดไม่กี่รายเดิมเสียที

ภายหลังเป็นที่ทราบแน่ชัดแล้วว่า บริษัทที่ผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นและได้เข้าร่วมประมูลใบอนุญาต 3G มีทั้งสิ้น 3 ราย ประกอบไปด้วยบริษัทแอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ตเวิร์ก จำกัด  บริษัทดีแทค อินเตอร์เน็ต เซอร์วิส และบริษัทเรียล มูฟ จำกัด โดยทั้ง 3 บริษัทก็คือบริษัทลูกของ เอไอเอส  ดีแทค และทรู ตามลำดับนั่นเอง

นางสาวสารี  อ๋องสมหวัง   กรรมการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (กบท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ คบท. ได้มีการพิจารณาประเด็นนี้ในการประชุมครั้งล่าสุดที่ผ่านมา และมีมติเกี่ยวกับประมูลใบอนุญาต 3G ว่า เมื่อแนวทางการประมูลเป็นเช่นนี้จึงเป็นที่แน่นอนว่า ในการประมูลครั้งแรกนี้  ผู้ให้บริการรายเดิม 2 รายจะได้รับใบอนุญาต 3 G ไปคนละใบ ดังนั้นเพื่อป้องกันการฮั้วประมูล จึงมีข้อเสนอแนะว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ควรประกาศให้มีการชะลอการประมูลใบอนุญาตใบที่ 3 จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะประมูลรอบสองภายใน 90 วัน เปลี่ยนเป็นการกำหนดว่าจะเปิดประมูลต่อเมื่อมีผู้เข้าร่วมประมูลรายใหม่ นั่นคือจะเก็บใบอนุญาตใบที่ 3 ไว้สำหรับผู้ให้บริการรายใหม่เท่านั้น

 “กทช. ต้องออกมาประกาศก่อนที่จะเคาะประมูล ไม่งั้นเหมือนการฮั้ว เพราะผู้เข้าร่วมประมูลอาจตกลงกันก็ได้ว่า ใครจะเป็นสองรายแรกที่ได้ใบอนุญาตไปก่อน จากนั้นรออีกสักพัก เช่น 3 เดือน เมื่อมีการเปิดประมูลใบที่ 3 แล้วรายที่สามค่อยได้ไป  คบท.จึงเห็นว่า กทช. ควรกำหนดให้ชัดเจนไปเลยว่า ใบอนุญาตใบที่ 3 จะเปิดประมูลสำหรับผู้ให้บริการรายใหม่เท่านั้น ซึ่งหมายถึงจะต้องเปิดระยะเวลาให้ยาวนานพอที่จะมีรายใหม่เข้ามา มิฉะนั้น ก็เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ อีกอย่างก็เท่ากับทำให้การประมูลในรอบแรกนี้เข้มข้นขึ้น โดยทั้ง 3 รายจะต้องแข่งขันกันเต็มที่ เพราะจะต้องมี 1 รายที่หลุดไปอย่างแน่นอน คือถ้าพลาดครั้งนี้ คุณจะหมดโอกาส” นางสาวสารีกล่าว

กรรมการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวด้วยว่า หากการประมูลมีการแข่งขันจริงจัง ราคาการประมูลก็จะสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และจะไม่มีผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะภายใต้โครงสร้างสัมปทานเดิมในระบบ 2G นั้น ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงยิ่งกว่าอยู่แล้ว ดังนั้นราคาค่าบริการจึงควรจะต้องต่ำลงด้วย ในขณะที่ราคาประมูลควรสูงตามสภาพของการแข่งขันอย่างแท้จริง   

“ถึงแม้ราคาประมูลสูงก็ไม่ทำให้ค่าบริการแพง จะนำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างไม่ได้ ไม่เกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นควรสนับสนุนให้มีการแข่งขันเต็มที่ เพื่อให้ราคาค่าประมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์กับรัฐ และไม่ปล่อยให้เกิดการฮั้วการประมูล เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น กระบวนการทั้งหมดก็เป็นเพียงการจัดฉาก” กรรมการ สบท. กล่าว

นางสาวสารีกล่าวทิ้งท้ายถึงความคาดหวังต่อการประมูลใบอนุญาต 3G ที่กำลังจะเปิดขึ้นว่า ผลจากการประมูลครั้งนี้ควรจะทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่ดีและมีลักษณะที่ให้การคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่าในยุค 2G ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นจริงได้หาก กทช. ให้ความสำคัญและทำให้แผนการคุ้มครองผู้บริโภคที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขการประมูลเกิดขึ้นจริง ปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคก็จะลดลง ขณะเดียวกันกฎระเบียบที่ กทช. ประกาศไว้จะมีได้มีผลบังคับใช้ได้อย่างแท้จริง เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายมากขึ้น

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีคำตอบจาก...ไทเป

Posted: 16 Sep 2010 02:07 AM PDT

เมื่อเดือนที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้พบปะแลกเปลี่ยนกับ Digital Natives กลุ่มกิจกรรมภาคสังคมที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ในเรื่องของการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม รวมไปถึงเสรีภาพในสื่ออินเทอร์เน็ต

ตอนแรกผมมาที่นี่เพื่อที่จะพูดและนำเสนอในบางแง่มุมที่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เช่นการพัฒนา Social media ให้กลายเป็น Media for social แต่การนำเสนอของเพื่อนๆ หลายคน ทำให้ผมเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง "มาตรฐานในโลกควรมีแบบเดียวหรือ?”

ผมได้พบกับ Lia Ciutac ชาวมอลโดวา (Moldova) เธอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์จลาจลทางการเมืองภายในประเทศของเธอให้ฟัง มันมีส่วนคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดในประเทศของผม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงไม่เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เลย โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "บทบาทของรัฐ" รัฐแต่ละแห่งในโลกต้องการให้สังคมของเขามีแบบเดียวไหม? สิ่งที่แตกต่างก็คือเมื่อรัฐบาลมอลโดวาได้ใช้กำลังปราบปรามประชาชนในปี2007 ก็ถึงเวลานับถอยหลังของรัฐบาล หรือว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศทั่วโลกเขาต้องการประชาชนแบบเดียวกันคือเชื่อฟังและคล้อยตามทุกสิ่งที่รัฐบงการ?

หากในแต่ละสังคมมีแต่สิ่งที่เหมือนๆ กันปราศจากความหลากหลาย บางทีนี่อาจจะไม่ใช่สังคมแต่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม บางทีผมต้องการจะพูดกับรัฐว่า ความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างสิถึงจะเรียกว่าสังคมได้ และที่สำคัญคือความหลากหลายบนหนทางที่เท่าเทียมกัน

Nilofar จากอินเดียได้พูดอย่างน่าสนใจเธอบอกว่า สิ่งที่ทำให้ social media บูมในประเทศเอเชียใต้ก็เพราะ "อินเทอร์เน็ตไม่มีชนชั้น ไม่มีเพศ ไม่มีวรรณะมาขวางกั้น" ผู้หญิง หรือผู้ต่ำวรรณะในสังคมชนชั้น ใช้พื้นที่บนโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารประเด็นต่างๆ ที่เขาอยากจะสื่อสาร แต่ในประเทศเรา อินเทอร์เน็ตไม่มีชนชั้นจริงหรือ?

ผมเคยนำเรื่องนี้ไปถาม @jin_nation ในงานเสวนาครั้งหนึ่งถึงกรณีที่ผมทวีตข้อมูลที่ผิดพลาดและ @suthichai ได้ทวีตเรื่องนี้ต่อจากนั้นก็มีคนรีทวีตตามจำนวนมาก คำถามที่ผมมีคือ ความน่าเชื่อถือในตัวบุคคล (หมายถึงผู้ส่งสาร) มีผลต่อการเลือกที่จะเชื่อและรับรู้มากน้อยแค่ไหน?

สำหรับในกรณีประเทศไทย ถ้าหากคุณเป็นเซเลบริตี้ หรือพวกคนดัง การที่เรามีพื้นฐานในการเชิดชูตัวบุคคล มากกว่าสิ่งที่เขากระทำมันทำให้เราเลือกที่จะปฏิบัติต่อคนไม่เท่ากัน (มีใครกล้าไปกราบนมัสการถามเจ้าของ user @vajiramedhi ว่าที่เขาทวีต "ฆ่าเวลาบาปกว่า ฆ่าคน" ในวันที่มีการล้อมปราบกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 10 เมษายนว่า ท่านต้องการสื่อสารอะไรบ้าง?)

ในขณะที่ผู้ร่วมเสวนาหลายๆ คนสนใจความเคลื่อนไหวในประเทศไทยและฝากคำถามมาถึงทุกๆ คนในประเทศไทย เช่น ในกลุ่มเฟซบุ๊ค ทำไมมีมาตรการ social-sanction หรือว่าประเทศยูไม่ต้องการระบบศาลกันแล้ว? ทำไมมีแฟนเพจ "กลุ่มเสพศพคนเสื้อแดง" (และต้องไม่ลืมว่า “เมืองไทยเมืองพุทธ”)? ทำไมประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีประเทศเราถึงประกาศว่า "ถ้าหากต้องปิดเว็บหมื่นเว็บ เพื่อความสงบของบ้านเมืองก็ต้องยอม" ? รวมไปถึง "กฏหมายพิเศษ" ที่มักจะถูกนำไปใช้ทางการเมือง ที่ประเทศอื่นไม่มี ทำให้เสรีภาพที่มีอยู่หดหายไปหรือเปล่า? ในวงเสวนาครั้งนี้ให้ความเห็นว่าประเทศไทยถูกจัดอันดับในความ "เป็นประชาธิปไตย"ต่ำ และเป็น 1 ใน 3 ประเทศในเอเชียที่น่าจับตามองด้านสถานการณ์เสรีภาพในการสื่อสาร สูสีกับ พม่า และ จีน

ไม่มีคำตอบใดๆ จากผม ไม่มีคำตอบใดๆ จาก......ไทเป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สักวันความเจ็บปวดนี้อาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกเราทุกคน*

Posted: 16 Sep 2010 01:20 AM PDT

หมายเหตุ:  บทความนี้เขียนขึ้นโดยผู้เขียนมีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา และน่าจะประกอบสร้างไปด้วยโลภะ โทสะและโมหะ จึงเหมาะสำหรับประชาชนธรรมดาผู้มีสติ ส่วนผู้รักสันติและมีวิจารณญาณสูงส่งไม่ควรอ่านด้วยประการทั้งปวง


ภายหลังการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยบนท้องถนนใจกลางเมืองเทวดา ตั้งแต่เมษายน – พฤษภาคม 2553 ประเทศไทยดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะปรกติอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความประหลาดใจของชาวต่างชาติว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันหรือ ประชาชนตายจำนวนมากทำไมไม่มีการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด สื่อต่างชาติบางสำนักถึงกับประณามว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศไทย เป็นเพราะคนไทยไม่เคยแยแสถ้าหากว่าเหตุการณ์ความรุนแรงนั้นไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัวหรือคนใกล้เคียง ในฐานะครอบครัวผู้สูญเสียผมคิดว่ามันน่าจะใกล้เคียง เพราะหากลูกชายคนเดียวของครอบครัวไม่เสียชีวิตผมก็สงสัยอยู่ว่าผมจะออกมา “อินเตอร์แอ็คทีฟ” ได้ขนาดนี้เชียวหรือ

แน่นอนว่าท่ามกลางความประหลาดใจ ย่อมเจือปนไปด้วยความเจ็บปวดเป็นระยะๆ ของครอบครัวผู้สูญเสีย ทั้งด้วยความไม่เจตนาหรือด้วยความต้องการแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งของคนรอบข้าง โดยลืมหรืออาจตั้งใจที่จะละเลยสิ่งที่เรียกว่า “กาละเทศะ” ผมจะลองลำดับเพียงบางเรื่องมาสู่กันฟังเผื่อว่าสักวันความเจ็บปวดนี้จะมีประโยชน์สำหรับพวกเราทุกคนอยู่บ้าง

ความเจ็บปวดครั้งแรกๆ ของครอบครัวเราเกิดขึ้นเมื่อญาติสนิทมิตรสหายทราบข่าวการเสียชีวิตของ “เฌอ” แน่นอนว่าส่วนหนึ่งยังนิยมใช้โทรศัพท์แสดงความเสียใจเพราะไม่ต้องลงทุนมากมายนัก อีกทั้งโทรศัพท์บ้านเรายังไปไม่ถึงขั้น “มองหน้าสบตา” ในระหว่างที่สนทนากัน ทำให้การใช้โทรศัพท์มักจะเป็น “ทางออกที่ดี” รูปแบบหนึ่ง

กรณีหนึ่งผมได้รับสายจากคนที่ผมเคยนับเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ทราบเรื่องจากการบอกต่อของกลุ่มเพื่อนว่าผมเสียลูกชายในเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชน คำแรกที่เธอพูดออกมาคือ “เฮ้ย..เสียใจด้วยนะ แต่ฉันอยู่ฝ่ายรัฐบาลว่ะ” ก่อนจะสอบถามรายละเอียดเหมือนคนทั่วๆ ไป และบอกว่าจะมางานศพในวันไหน หลังจากนั้นก็แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในฝักฝ่ายที่ตัวเองนิยม ก่อนจะร่ำลาและวางหูไปเมื่อเสร็จธุระของตัว ทิ้งให้ผมงงงวยโดยไม่มีโอกาสได้ชี้แจงใดๆ อยู่เพียงลำพังว่า “ลูกกูตายแล้วเกี่ยวอะไรกับการอยู่ฝ่ายไหนของมันวะ” ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้ฝึกฝน “การฟัง” ของตัวเองแหละน่า เรื่องนี้จบลงที่วันฌาปนกิจเธอโทรมาให้เหตุผลที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพราะตอนนี้ “เกิดเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมืองไปทั่วแล้วเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย” ผมรับฟังอย่างเงียบๆ ก่อนวางสายหันไปสนทนากับเพื่อนและครอบครัวที่บินตรงมาจากยะลา รวมทั้งพี่ที่เคยร่วมงานกันที่ตรงมาจากเชียงรายถึงพร้อมกันในวันสุดท้ายของเฌอบนดาวแห่งความโหดร้ายดวงนี้

อีกสองสามครั้ง เมื่อคุณแม่น้องเฌอเดินทางไปรับเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ “คำพูดและท่าที” ที่ไม่ระมัดระวังและแสดงความรังเกียจครอบครัวผู้สูญเสียของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในบางหน่วยงาน ที่ภรรยามาถ่ายทอดให้ผมฟังอีกครั้งนั้นก็แสดงถึงความไม่รู้เท่าการณ์ และแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่จิตใต้สำนึกที่ผลักดันการแสดงออกเช่นนี้ออกมาอย่างไม่สามารถปิดไว้ได้แม้จะมีความพยายามเช่นใด

เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่ผมมีโอกาสประสบพบเห็นโดยตรง และสามารถนำมาเล่าในเชิงรายละเอียดได้ คือ เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI จัดแถลงข่าวความคืบหน้าของการสอบสวนคดีที่เกิดจากความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคมที่ผ่านมา คุณแม่พะเยา อัคฮาด คุณแม่ของคุณกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามได้โทรมาชักชวนให้ผมไปร่วมฟังด้วยเผื่อจะมีอะไรปรึกษาหารือกันรวมทั้งครอบครัวญาติอีกหลายราย

 
(2)
ขณะที่ผมกำลังเดินทางจะถึง DSI ที่ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ คุณแม่คุณเกดโทรมาบอกว่า DSI ได้ย้ายสถานที่แถลงข่าวไปที่ที่ทำการของกระทรงยุติธรรม(เดิม) ที่อาคาร Software Park แล้ว พวกเราเลยต้องดั้นด้นตามไปเพียงเพื่อจะพบว่าการแถลงข่าวได้เสร็จสิ้นลงโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ สื่อมวลชนที่ลงมาจากห้องแถลงข่าวได้เล่าให้ฟังว่าสงสัยคงจะต้องการคลายความกดดัน จากการที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นมาวางดอกไม้เคารพศพนักข่าวชาวญี่ปุ่นบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทิ้งความงงงวยไว้ให้กับเหล่าครอบครัวผู้สูญเสียไว้เบื้องหลัง

วันเดียวกัน กลุ่มเครือญาติโดยมีคุณแม่คุณเกดเป็นแกนนำยังได้ชักชวนให้ไปติดตามความคืบหน้าการพิจารณาเงินช่วยเหลือของสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งหลายรายญาติมิตรได้ผ่านการทำบุญร้อยวันโดยไม่มีการชี้แจงความคืบหน้าของการพิจารณาแต่อย่างใด เมื่อไปถึงท่านผู้อำนวยการฯ ได้ตอบข้อซักถามของคุณแม่น้องเกดและท่านอื่นๆ ก่อนจะยืนยันว่าจะดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น

ท่านผู้อำนวยการฯ ยังได้ยกตัวอย่างความกรุณาของท่านในการให้ความช่วยเหลือผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บให้ฟังว่า

“มีคนหนึ่งหูหนวกแล้วก็พูดไม่ได้ มันจะเดินไปทำงานก็เดินตามคนอื่นๆที่ซอยรางน้ำจะไปขึ้นรถที่อนุสาวรีย์ฯ พอเริ่มมีการยิงกันคนอื่นก็วิ่ง ไอ้นี่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ยินอะไร เห็นคนวิ่งก็วิ่งตาม แล้วคุณคิดดู คนเยอะแยะยิงโดนใครไม่โดนดันมาโดนไอ้หนวกนี่ แล้วโดนที่ไหนไม่โดนดันโดนไข่อีก ผมก็เลยอนุมัติเงินช่วยเหลือให้มันไป 15,000 บาท สงสารมันน่ะหูหนวกแล้วยังซวยอีก” แล้วท่านก็หัวเราะด้วยความสนุกสนาน เป็นอีกครั้งที่ผมได้ฝึกการข่มกลั้นพร้อมนึกถึงคำพระที่ว่า “มารไม่มีบารมีไม่เกิด”

ล่าสุด และเป็นสาเหตุที่ผมคิดว่าคงต้องถ่ายทอดอะไรออกมาบ้างก่อนที่จะช้ำในตายโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ นั่นคือกรุงเทพมหานครได้ติดต่อให้ไปรับเงินช่วยเหลือเยียวยา ครั้งแรกผมยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่าครอบครัวมีทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดนนทบุรีและไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆ กับทางกรุงเทพมหานคร แต่ปลายสายยืนยันว่าทางผู้ว่าการฯยินดีให้ความช่วยเหลือทุกคน โดยไม่แบ่งว่าเป็นคนจังหวัดไหน ผมจึงแจ้งชื่อยืนยัน

ผมและภรรยาไปถึงศาลาว่าการกรุงเทพมหานครค่อนข้างล่าเลยเวลานัดหมายพอสมควร แต่แถวของญาติที่กำลังลงทะเบียนก็ยาวมิใช่น้อย ขณะที่เรากำลังหันรีหันขวาง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ามาถามและเมื่อทราบว่าเป็นครอบครัวผู้ เสียชีวิตจึงให้ไปรวมที่ห้องประชุมใหญ่เพื่อรอเรียก พอเราเข้าไปพบว่ากำลังมีการแถลงข่าว “มหกรรมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชน” เลยกำลังจะถอยออกมา แต่พบว่ามีกลุ่มญาติ 10 เมษาอยู่ในนั้นด้วย ตอนหลังเลยถึงบางอ้อ เมื่อพี่ๆ กลุ่มญาติ 10 เมษาฯ บอกว่ากรุงเทพมหานครให้มารอในห้องไปก่อน เพราะไม่มีที่รอด้านนอก หลังจากนั้นก็มีการแถลงข่าวมหกรรมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชน ท่ามกลางความงงงวยอีกครั้งของกลุ่มญาติว่าตัวเองมาผิดงานหรือเปล่า

 
(3)
พี่ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งมาถึงก่อนเปรียบเปรยให้ฟังด้วยโทสะภายหลัง งานแถลงข่าวว่า “มันเอาหุ่นไทยมารำต่อหน้าต่อตาเรา เหมือนจะย้ำว่าพวกคุณมันก็แค่หุ่นเชิดนั่นแหละ” ถึงตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าเราโชคดีหรือเปล่าที่เดินทางมาถึงค่อนข้างล่าช้า

เวลาบ่ายโมง เมื่อเหล่าครอบครัวผู้เสียชีวิตประมาณ 102 รายจากกว่า 80 ครอบครัวลงทะเบียนครบแล้ว กรุงเทพมหานครก็พาเครือญาติทั้งหมดนั่งรถบัสสามคันพาไปที่ราชประสงค์ ทั้งที่ห้องประชุมใหญ่กรุงเทพมหานครก็ว่างไม่ได้ใช้งานแล้ว และถ้าจะจัดซ้อนกันก็น่าจะได้ เพราะช่วงเช้ายังให้กลุ่มญาตินั่งในงานแถลงข่าวได้เลย ผมคิดในใจว่ากรุงเทพมหานครอาจจะมี Gimmick อะไรมาให้ญาติรู้สึกดี หลังจากที่เคยเจ้ากี้เจ้าการหลอกประชาชนผู้บริสุทธิ์มาร่วมทำลายหลักฐานคดีสังหารหมู่ที่ราชประสงค์ชนิดที่ นางพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ไม่ออกมาโวยวายอะไรเลย จะบอกว่าเธอรู้เห็นเป็นใจในฐานะที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษผู้บังคับบัญชา เป็นกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูเธอมีบุคลิกลักษณะของคนที่ซื่อสัตย์ ถือคุณธรรมเป็นที่ตั้งออกอย่างนั้น

ขณะที่ผ่านวัดปทุมวนาราม “พี่นรี” ที่ลูกชายถูกทหารยิงเสียชีวิตก็พูดขึ้นมาว่า “ทำไมมันไม่จัดที่วัดปทุมฯ ไปเลยวะ ไปทำไมราชประสงค์” ทำเอาทั้งรถเงียบกันไปหมด เมื่อรถวิ่งไปถึง Urban Space ข้างนารายภัณฑ์ ฝั่งตรงข้าม Ground Zero ราชประสงค์ ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมพิธีมอบเงินถึงมีการตบแต่งสถานที่ออกมาได้หลากสี ขนาดนี้ หรือว่ากรุงเทพมหานครขอยืมสถานที่เขามาจัดงาน แต่เมื่อลงไปพบว่ากรุงเทพมหานครพาเรามาร่วมงานแถลงข่าว Bangkok Shopping Week และพิธีมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการชุมนุมทางการเมือง

เริ่มงานผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ เคยให้สัมภาษณ์ทำนองว่า “ถ้าไม่มีปฏิวัติ 2475 คนนี้จะเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆ” ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน Bangkok Shopping Week เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ประสบภัยจากการชุมนุมทางการเมืองได้มีที่จำหน่าย สินค้า โดยได้เงินบริจาคมาตั้งกองทุนช่วยเหลือในครั้งนี้ ซึ่งในรายชื่อส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาอื่นๆ เช่น ASTV และมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ฯลฯ และถือโอกาสนี้มอบเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทุพพลภาพ ตามเกณฑ์พิจารณาที่กรุงเทพมหานครได้ตั้งไว้

สุดท้ายคุณโก้ ธีรศักดิ์ พันธุจริยา เจ้าของครีมหน้าเด้งซึ่งกิจการในห้าง Zen ถูกเผาได้รับความเสียหายและเหล่าเพื่อนดาราได้มอบช่อดอกไม้และกล่าวขอบคุณท่านผู้ว่าการฯ ที่ได้จัดงานนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นพิธีกรจึงให้ญาติผู้เสียชีวิตเข้าแถวรอรับมอบเงินช่วยเหลือ ผมค่อนข้างจะเห็นใจท่านผู้ว่าการฯ ที่ขณะมอบเงินไปก็ต้องซับเหงื่อให้ตัวเองไปด้วย ท่านจะรู้หรือไม่ว่าห้องประชุมใหญ่แอร์เย็นๆ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครไม่มีคนใช้

ภายหลังงาน ครอบครัวผู้สูญเสียต่างแยกย้ายกันไปเงียบๆ มีบางส่วนที่ต้องเดินทางกลับศาลาว่าการฯ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าจะถูกกระทำซ้ำเช่นนี้ และด้วยความเคารพ ผมว่าบางคนที่ไม่ทราบว่าคนที่เรารักจากไปด้วยความเจ็บปวดขนาดไหนคงเริ่มตระหนักเมื่อพิธีครั้งนี้สิ้นสุดลง

 
(จบ)
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านงานเขียนวิจารณ์อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ กรณีรับเป็นกรรมการปฏิรูปของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผมนึกถึงคำภาษาอังกฤษที่อาจารย์สมศักดิ์ใช้และหาคำแปลที่ลงตัวในภาษาไทยไม่ได้ นั่นคือคำว่า decency เมื่อมาประสบเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดตอกย้ำซ้ำเติม ผมรู้สึกได้ถึงความหมายและสัมผัสของคำๆ นี้ แต่ก็ยังนึกถึงคำแปลไม่ออกอยู่ดี แต่ที่แน่ใจ นั่นคือสิ่งที่อาจารย์สมศักดิ์เรียกว่า “ความจริงใจ” ที่มีอยู่ในตัวตนของกรุงเทพมหานครและท่านผู้ว่าการฯ ที่ดูจะไม่แตกต่างจากปัญญาชนบริการทั้งหลายเท่าไรนัก

ในฐานะที่เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งในจำนวนครอบครัวผู้เสียชีวิต ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนและทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่เครือญาติเริ่มหาทางรวมตัวเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่อาคารบ้านเรือนถูกทำลายเสียหาย แน่นอนว่าระหว่างทางแห่งการค้นหาความจริงนี้ พวกเราคงต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่คงกรีดลึกลงไปในแผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผมหวังว่าสักวันความเจ็บปวดนี้อาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกเราประชาชนธรรมดาทุกคน

หมายเหตุ Bangkok Shopping Week จะเริ่มกิจกรรมช็อปกระหน่ำในวันเสาร์ที่ 18 กันยายน ยาวจนถึงวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคมนี้ ที่ Urban Space ราชประสงค์ ถ้าว่างก็แวะไปจับจ่ายใช้สอยหน่อยครับ


--------------------------------
* ชื่อบทความนำมาจากชื่อภาพยนตร์ “Someday This Pain Will Be Useful to You” อ่านรายละเอียดได้ในนิตยสาร Bioscope ฉบับที่ 106 กันยายน 2553 ปก “อินทรีแดง” เดือด! หน้า 11
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนงานพม่าโรงงานทออวนเดชาได้ข้อตกลงนายจ้าง กลับเข้าทำงานแล้ว

Posted: 16 Sep 2010 01:09 AM PDT

คนงานพม่าโรงงานทออวนเดชาพานิช จ.ขอนแก่น กลับเข้าทำงานหลังทำข้อตกลง นายจ้างยอมคืนเอกสาร-คุ้มครองสิทธิพื้นฐาน- รับลูกจ้างทุกคนกลับเข้าทำงานโดยไม่ถือว่าการกระทำของลูกจ้างเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา

เมื่อวันที่ 14 .. 53 ที่ผ่านมา ตัวแทนคนงานพม่าของโรงงานทออวนเดชาพานิชได้ทำข้อตกลงนายจ้าง โดยนายจ้างยอมคืนเอกสาร-คุ้มครองสิทธิพื้นฐาน- รับลูกจ้างทุกคนกลับเข้าทำงานโดยไม่ถือว่าการกระทำของลูกจ้างเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา

ทั้งนี้รายละเอียดของบันทึกทึกข้อตกลงมีดังนี้

 

บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง

 

ตามข้อเรียกร้องของลูกจ้างต่างด้าวสัญชาติพม่า หจก.โรงงานทออวนเดชาพานิช ลงวันที่ 14 กันยายน 53 ยืนต่อ หจก.โรงงานทออวนเดชาพานิช จำนวน 3 ข้อโดยมีผู้เจรจาฝ่ายนายจ้างคือ นายยุทธศักดิ์  ชัยมานะ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยผู้แทนฝ่ายลูกจ้างจำนวน 8 คน สามารถตกลงเจรจากันได้ดังนี้

ข้อเรียกร้องที่ 1 ขอให้นายจ้างคืนเอกสารประจำตัวบุคคลให้กับลูกจ้าง คือ

1. บัตร Oversea

2. บัตร Passport

3. บัตรประกันสุขภาพ

4. บัตรอนุญาตทำงานหรือใบเสร็จรับเงิน

5. ทร.38/1

ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงเจรจากันได้ดังนี้

1. ห้างฯ ยินดีคืนบัตร Oversea ให้กับลูกจ้างต่างด้าวสัญชาติพม่าทั้งหมด

 2. Passport ห้างฯยินดีคืน Passportให้กับลูกจ้างโดยมีเงื่อนไขดังนี้

2.1 ลูกจ้างต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือสูญเสียด้วยตัวเอง

2.2 ลูกจ้างต้องรับผิดชอบการยื่นต่ออายุ (รายงานตัว) ทุก 90 วันด้วยตัวเอง

2.3 ลูกจ้างต้องรับผิดชอบต่อการถูกตรวจสอบเอกสารจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานต่างๆด้วยตัวเอง

2.4 ลูกจ้างรับทราบว่าการยื่นขอต่ออายุ (รายงานตัว) ที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดขอนแก่นเท่านั้น

2.5 ลูกจ้างรับทราบว่าในการประสานงานติดต่อแบหน่อยงานราชการต่อไปลูกจ้างจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

2.6 กรณีที่ลูกจ้างหลบหนี ห้างฯจะทำหารยกเลิกเอกสารดังกล่าวกับหน่อยงานราชการที่เกี่ยวข้องทันที

 

ข้อเรียกร้องข้อที่ 2  ให้นายจ้างรับรองและคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานตาม พ.ร.บ.คุ้มตรองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกฎหมายอื่นในเรื่องค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและสวัสดิการอื่นๆ

ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงเจรจากันได้ดังนี้

นายจ้างรับว่าจะปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ. ศ 2541 และกฎมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวตามข้อเรียกร้องที่ 2

โดยลูกจ้างรับทราบว่าลูกจ้างตกลงว่าจะปฏิบัติตามกฎระเบียบขิงห้างฯอย่างเคร่งครัดและใช้เกณฑ์มาตรฐานการวัดผลการปฏิบัติงานด้วยมาตรฐานเดียวกับแรงงานไทยรวมถึงตกลงรับทราบว่าการให้ทำงานลวงเวลาเป็นสิทธิของนายจ้างลูกจ้างไม่สามารถเรียกร้องการทำงานล่วงเวลาได้

ข้อตกลงที่ 3 ขอให้นายจ้างรับลูกจ้างทุกคนกลับเข้าทำงานโดยไม่ถือว่าการกระทำของลูกจ้างเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา

ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงเจรจากันได้ดังนี้

นายจ้างตกลงยอมรับตามข้อเรียกร้องที่ 3 ของลูกจ้าง

ข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลูกจ้างกลับเข้าทำงานถึงวันสิ้นสุดอายุใบอนุญาตการทำงานของลูกจ้าง

ทั้งสองฝ่ายได้อ่านข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นที่เข้าใจถูกต้องแล้วจึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กษัตริย์ซูลูไม่พอใจ หลังมีคนแพร่ภาพ "พิธีกรรมตรวจสอบพรหมจรรย์"

Posted: 16 Sep 2010 12:56 AM PDT

16 ก.ย. 2553 สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน รายงานว่า กษัตริย์กูดวิลล์ ซเวลลิทินี ผู้นำเผ่าซูลูในแอฟริกาใต้ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หลังจากที่มีคนนำรูปพิธีกรรมตรวจสอบพรหมจรรย์ของหญิงสาวไปเผยแพร่

ซเวลลิทินีผู้มีภรรยา 5 คน กล่าวตำหนิด้วยความโกรธต่อการถ่ายรูปเด็กสาวในพิธี โดยบอกว่ารูปที่ได้อาจถูกนำมาใช้โจมตีวัฒนธรรมซูลู

พิธีกรรมดังกล่าวมีการนำเด็กสาว 25,000 คน เปลือยท่อนบนมาเต้นรำต่อหน้าผู้นำ และมีการตรวจสอบอวัยวะเพศเพื่อยืนยันว่าพวกเธอยัง 'บริสุทธิ์' อยู่หรือไม่ พิธีกรรมนี้มีมากว่าหลายร้อยปีแล้วและถูกกลุ่มสิทธิด้านเพศสภาพ (gender rights) ประณาม แต่ชาวซูลูก็ปกป้องพิธีกรรมนี้ว่าเป็นการช่วยลดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและป้องกันการระบาดของเชื่อเอชไอวี

พิธีกรรมนี้มีขึ้นล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และประธานาธิบดี จาคอบ ซูมา ของแอฟริกาใต้ก็เข้าร่วมเป็นในฐานะผู้มาเยือน ขณะที่ซเวลลิทินีแสดงความไม่พอใจหลังพบเจอว่ามีการแพร่ภาพพิธีกรรมตรวจสอบพรหมจรรย์ทางอินเตอร์เน็ต

"ผมตะลึงเมื่อเห็นรูปบนเว็บไซต์" กษัตริย์เผ่าซูลูกล่าว "ผมไม่แปลกใจเลยว่า รูปเหล่านี้จะถูกนำมาใช้โจมตีพิธีกรรมอันขรึมขลังของเรา นี่เป็นประเพณีที่สำคัญมาก และวัฒนธรรมนี้ก็ควรมีการสืบทอดต่อไปด้วยเกียรติและความเคารพ โดยไม่มีการล่วงละเมิดเกียรติและความเป็นส่วนตัวของหญิงสาว"

ก่อนหน้าพิธีเต้นรำ ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมของเผ่าซูลูยืนยันว่ามีช่างภาพที่ได้รับการอนุญาตเท่านั้นจะถ่ายรูปพิธีได้ และใครก็ตามที่ถ่ายภาพ "ไม่เหมาะสม" จะถูกจับกุม นอกจากนี้ยังมีการประกาศอีกว่าผู้หญิงที่สวมกางเกงขายาวจะถูกห้ามไม่ให้เข้าวัง และหญิงสาวที่เข้าร่วมจะได้รับการสอนทักษะ การฟื้นฟูจริยธรรม และวิธีการป้องกันเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

อย่างไรก็ตามพิธีกรรมนี้ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการแพร่กระจายความเชื่อผิด ๆ ในเขตห่างไกลความเจริญที่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริสุทธิ์จะช่วยรักษาการติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ ได้ ซึ่งความเชื่อนี้กลับทำให้สถิติการข่มขืนเพิ่มขึ้น

ที่มา
Zulu king condemns photos of virginity tests at annual dance, 16-09-2553, The Guardian
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'เทพเทือก' อ้าง พ.ร.ก. เตือนเสื้อแดงห้ามปิดถนน-เครื่องขยายเสียง

Posted: 15 Sep 2010 11:10 PM PDT

'สุเทพ' บอกสื่ออย่าตระหนก-รัฐบาลเตรียมรับมือ เตือนชุมนุมได้แต่อย่าฝ่าข้อห้าม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 4 ข้อ ย้ำเจ้าหน้าที่ดูแลไม่ให้ปิดถนน ตั้งเวทีรถ เครื่องขยายเสียง

 

16 ก.ย. 2553 - กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษกรัฐบาล รายงานว่าเมื่อเวลา 09.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน  (ศอฉ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมในการรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงวันที่ 19 กันยายนนี้ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะออกมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมรำลึก 4 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549  ว่า ตนไม่อยากให้สื่อมวลชนคาดการณ์ไปในทางร้ายหรือตื่นตระหนกมากนัก  แต่ในส่วนของรัฐบาลยืนยันว่าเราไม่ประมาท และเตรียมการในการดูแลบ้านเมืองอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงกับกลุ่มคนที่จะมาร่วมชุมนุมว่าใน ระบอบประชาธิปไตยการแสดงออกทางการเมืองสามารถทำได้ แต่ในกรณีที่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังมีการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีข้อห้าม 4 ประการคือ

1.การปิดถนนหรือปิดการจราจรไม่ได้ 2.ห้ามการชุมนุมกีดขวางทางเข้าออก อาคารหรือที่ทำการใดๆ เช่นโรงแรม สถานีตำรวจ สำนักงานเขต สถานที่ราชการต่างๆ ถือว่าผิดกฎหมาย 3.หากการชุมนุมทำให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและเจ้าหน้าที่เข้าไปห้ามปราม  แต่ยังฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่ก็ถือว่าผิดกฎหมาย เช่น ติดตั้งเวทีและเครื่องขยายเสียง 4.หากการชุมนุมเป็นการกระทำที่รุนแรงประทุษร้ายหรือคุกคามประชาชนและเจ้าหน้าที่ถือว่าผิดกฎหมาย  ดังนั้นหากผู้ชุมนุมดำเนินการผิดกฎหมายเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดี               

สุเทพ  กล่าวอีกว่า ตนได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่าให้ดูแลไม่ให้ผู้ชุมนุมปิดถนนหรือติดตั้งเวทีรถ เครื่องขยายเสียงอย่างเด็ดขาด และขอวิงวอนทุกฝ่ายว่าเมื่อบ้านเมืองเราเกิดความสับสนวุ่นวายเราก็ขาดทุนกันทั้งประเทศ คนที่ทำมาหากินก็เดือดร้อนไปหมด  นักท่องเที่ยวหาย นักธุรกิจไม่มาลงทุน คนไทยก็ไม่สบายใจ เราได้ร่วมกันแก้ไขสถานการณ์มาจนถึงขณะนี้แล้ว บ้านเมืองดูว่าจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี หากจะมีความไม่พอใจหรือความพอใจอะไรก็ควรดำเนินการด้วยวีธีการที่สงบเรียบร้อย อย่างได้สร้างความวุ่นวาย

ที่มา - เว็บไซต์รัฐบาลไทย
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น