โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดแท่นพิมพ์ "เรดพาวเวอร์"

Posted: 09 Sep 2010 09:09 AM PDT

ผู้ว่าฯ นนทบุรีพร้อมตำรวจนำกำลังถือ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ยึดนิตยสาร "เรดพาวเวอร์" พร้อมอายัดเครื่องพิมพ์ของโรงพิมพ์เอกชน 11 แท่น เหตุรับจ้างพิมพ์นิตยสารดังกล่าว พร้อมค้นประวัติพนักงาน และสั่งให้บริษัทเอกชนดังกล่าวเลิกรับจ้างพิมพ์ "เรดพาวเวอร์"

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ (9 ก.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นบริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เลขที่ 282/4 หมู่ที่ 2 ซอยงามวงศ์วาน 27 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ โดยมี นางวัชนีกร ศรีสวัสดิ์ อายุ 43 ปี ผู้ดูแลนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้น

จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับ นิตยสารเรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง และได้มีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือบางส่วน และแจ้งว่า บริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมาย ผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องและตำรวจจำนวนมาก ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าตรวจค้น และยึดเศษกระดาษนิตยสารเรดพาวเวอร์ ที่พิมพ์เสียไปจำนวนมาก พร้อมทั้งประวัติพนักงานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก พร้อมทั้งนำพนักงานที่ดูแลไปสอบสวน และยังสั่งให้เลิกรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์

ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานว่าสำหรับนิตยสารเรดพาวเวอร์ มีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เป็นเจ้าของ โดยก่อนหน้านี้เมือ 31 ส.ค. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เคยแถลงว่า มีสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับที่เสนอข้อมูลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล มีความแบ่งแยก หรือเสนอข่าวในลักษณะหมิ่นเหม่ จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ศอฉ.ได้ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด และจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับสื่อสิ่งพิมพ์ดังกล่าว และถ้ามีความจำเป็นจะดำเนินการในขั้นเด็ดขาด เช่น การปิดสื่อสิ่งพิมพ์ดังกล่าว

ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเคยกล่าวเมื่อ 1 ก.ย. ว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่การคุกคามสื่อ ศอฉ.ได้ประชุมกันและมีสิ่งพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งพยายามอ้างตัวเป็นสื่อมวลชน แต่ข้อความที่พิมพ์ออกมานั้นเป็นไม่ใช่ข่าวสารทั่วไป แต่เป็นข้อความที่ยุยงให้คนเกลียดชังกัน  ให้คนรู้สึกเคียดแค้นไม่พอใจ และมุ่งหวังให้เกิดความแตกแยกวุ่นวายในบ้านเมือง ศอฉ.จึงเอาเรื่องนี้มาพิจารณาแล้วสั่งให้ดำเนินการกับสิ่งพิมพ์นี้ตามกฎหมาย ผมเข้าใจว่าชื่อเรดเพาเวอร์ หรืออะไรสักอย่าง” นายสุเทพ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แถลงการณ์เรียกร้องนักสิทธิ์ฯ อย่าเมินการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล

Posted: 09 Sep 2010 08:53 AM PDT

 

9 ก.ย. 2553 - สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน (องค์กรสาธารณประโยชน์) ออกแถลงการณ์เรื่อง 'เรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชนพิจารณาบทบาทตนเอง' โดยกล่าวถึง การละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลที่ผ่านอำนาจไปทาง ศอฉ. เป็นการกระทำที่ละเมิดในสิทธิต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติภูมิของชาติพันธุ์ ความเชื่อ วัฒนธรรม การแสดงออก และการเมืองการปกครอง ตลอดจนการละเมิดการสื่อสารด้วยการปิดสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่กลับพบว่าไม่มีองค์กรใดมีความรู้สึกเดือดร้อนกับสถานการณ์ดังกล่าว ในทางกลับกัน กลับแสดงท่าทีเพิกเฉย

สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน (องค์กรสาธารณประโยชน์) จึงขอเรียกร้องให้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแสดงท่าทีต่อสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล โดยไม่เลือกปฏิบัติ และ ขอเรียกร้องให้รัฐยุติการคุกคามประชาชนพลเมืองในรูปแบบต่าง ๆ โดยสิ้นเชิงในทันที
 

 



แถลงการณ์ สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน (องค์กรสาธารณประโยชน์)

เรื่อง เรียกร้องให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนพิจารณาบทบาทตนเอง

 

ตามที่สถานการณ์เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป ถึงการรุกล้ำ รุกไล่ คุมคาม เพื่อละเมิดสิทธิมุษยชน โดยรัฐบาลผ่านอำนาจไปที่ ศอฉ. ต่อประชาชนและพลเมืองของประเทศไทย ที่ได้รับคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และปฏิณญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิเสมอกันโดยไม่มีเงื่อนไข

การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำอย่างต่อเนื่องและรุนแรงที่กระทำต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติภูมิของชาติพันธุ์ ความเชื่อ วัฒนธรรม สังคม การแสดงออก  และการเมืองการปกครอง ตลอดจนการละเมิดการสื่อสารด้วยการปิดสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ประเทศไทยประกาศต่อสากลว่าเป็นประเทศที่ปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่พฤติกรรมของผู้ปกครอง รัฐบาล และผู้สนับสนุน ไม่ได้สะท้อนความเป็นผู้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด

ประเทศไทยมีองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งที่เป็นหน่วยงานภาครัฐองค์กรอิสระ และองค์กรภาคเอกชน เป็นจำนวนมาก แต่กลับพบว่าไม่มีองค์กรใดมีความรู้สึกเดือดร้อนกับสถานการณ์ดังกล่าว ในทางกลับกัน กลับแสดงท่าทีเพิกเฉย ต่อสถานการณ์ดังกล่าว จนทำให้เกิดการใช้อำนาจทั้งในและนอกระบบเพื่อกระทำการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนและพลเมืองในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและรุนแรง

สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน (องค์กรสาธารณประโยชน์) ในฐานะเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์ขององค์กรในข้อที่ 4 ที่ตั้งขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแสดงท่าทีต่อสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล โดยไม่เลือกปฏิบัติ และ ขอเรียกร้องให้รัฐยุติการคุกคามประชาชนพลเมืองในรูปแบบต่าง ๆ โดยสิ้นเชิงในทันที

 

ประกาศมา ณ วันที่ 9 กันยายน 2553

สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน (องค์กรสาธารณประโยชน์)

 

 


 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวชุมชนรุกถึงมหาดไทยจี้ รมต.ลงนามร่างกฎหมายที่อยู่อาศัย ด้านมท.1 ส่งผู้ช่วยคุยแทน

Posted: 09 Sep 2010 05:12 AM PDT

เครือข่ายสลัม 4 ภาค ร่วม สอช.กว่า 700 คน ชุมนุม ก.มหาดไทย จี้ “ชวรัตน์” ลงนามกฎกระทรวงยกเว้นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เปิดทางสร้างบ้านของคนจนเมือง เร่งนำเข้า ครม.ใน 1เดือน ด้านผู้ช่วย ทม.1 คุยแทน สรุปทำบันทึกร่วมรับนำเอาเนื้อหา กม.ของชุมชนเข้ากฤษฏีกาและ ครม.ไม่เกิน ต.ค.นี้ 
 
วันนี้ (9 ก.ย.53) เวลา 9.00 น.ชาวชุมชนแออัดจากเครือข่ายสลัม 4 ภาค และสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) กว่า 700 คน นัดรวมตัวที่ศาลฎีกาจากนั้นได้เคลื่อนขบวนเดินเท้าไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอเข้าพบนายชวรัตน์ ชาญวีรกูลกับ รมว.กระทรวงมหาดไทย (มท.1) เพื่อติดตามความคืบหน้าการลงนามร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายการควบคุมอาคาร สำหรับโครงการที่รัฐจัดให้มี หรือพัฒนาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย พ.ศ. … และนำร่างดังกล่าวเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี
 
 
 
 
 
 
สืบเนื่องจาก พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ได้มีการแก้ไขเพื่อผ่อนปรนให้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายของรัฐบาล และดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐในปี 2550 แต่ระยะผ่านมาเกือบ 3 ปี ยังไม่สามารถออกเป็นกฏกระทรวงเพื่อประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้โครงการบ้านมั่นคงที่เป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนหลายโครงการกลายเป็นโครงการที่ผิดกฎหมาย และชาวชุมชนถูกดำเนินคดีข้อหาสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องเสียค่าปรับ และต้องโทษจำคุก
 
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะถูกร่างโดยชาวชุมชนทั่วประเทศโดยได้เห็นพ้องกับเนื้อหาที่ร่วมกันร่างแล้ว และได้เสนอให้กับกระทรวงมหาดไทยไปแล้วหลายเดือน แต่ทางมหาดไทยก็ยังไม่นำร่างกฎกระทรวงนำเข้า ครม.เพื่อพิจารณา 
 
“เราอยากได้บ้านไง เราถึงมาทำอย่างนี้” ชายวัยกว่า 60 ปี ชาวชุมชนจตุจักร รายหนึ่งให้บอกเล่าความรู้สึก พร้อมให้ข้อมูลว่าที่ผ่านมาเขาได้ทำการยกระดับที่อยู่อาศัย ตามโครงการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ที่ให้การสนับสนุน แก้ปัญหาชุมชนสลัม อีกทั้งยังช่วยเรื่องการควบคุมปัญหายาเสพติดได้ง่ายขึ้น แต่ที่ผ่านมากลับติดข้อกฎหมายที่ยังไม่ยอมมีออกมาเสียที จึงต้องออกมาร่วมต่อสู้เรียกร้อง
 
ด้านสุนันทา มูลทองชุน ชาวชุมชนบางกอกน้อย 2 กล่าวย้ำเช่นกันว่าชาวชุมชนประสบปัญหาจากการที่กฎหมายไม่มีความคืบหน้า และกรณีเร่งด่วนอำดับแรกที่ต้องการมาขอคำตอบคือเรื่องทะเบียนบ้านชั่วคราว ซึ่งขณะนี้เป็นปัญหาเพราะชาวชุมชนไม่สามารถนำไปใช้ขอใช้น้ำใช้ไฟของรัฐได้ ชาวบ้านจึงต้องการทะเบียนบ้านฉบับถาวร ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือการปลูกสร้างบ้าน ซึ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาคารได้วางหลักเกณฑ์ไว้แต่ชาวบ้านมีข้อจำกัดไม่สามารถทำได้ โดยยกตัวอย่างถึง การที่พวกเขาได้ที่จัดสรร 3 ตารางเมตร แต่กฎหมายบอกให้เว้นระยะย่นของบ้านแต่ละหลังไว้ 2 เมตร แล้วจะไปสร้างบ้านได้อย่างไร
 
ส่วนพรเทพ บูรณบุรีเดช สมาชิกสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) กล่าวว่า สอช.มีปัญหาเช่นเดียวกับทางเครือข่ายสลัม 4 ภาค ในกรณีของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร จึงออกมาร่วมกันเคลื่อนไหว ทั้งนี้ที่ผ่านมาทางสหพันธ์ฯ เองก็ได้ยื่นข้อเสนอในการแก้ปัญหาต่อรัฐมนตรีไว้กว่า 10 หน้า แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ในส่วนของร่างกฎกระทรวงก็ยังติดปัญหาที่รัฐมนตรีไม่ยอมลงนามเพื่อให้ ครม.ตีความ ดังนั้นวันนี้จึงต้องการมาเรียกร้องให้รัฐมนตรีลงนาม เพื่อผลักดันกฎหมายให้เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ภายใน 1 เดือน ไม่ได้มาเพื่อพูดคุยหารือเพราะที่ผ่านมาได้เจรจากันมาหลายรอบแล้ว       
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินขบวนไปถึงหน้ากระทรวงมหาดไทยเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.ประสานกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ทราบว่านายชวรัตน์ ยังไม่เดินทางมาถึง และในเวลาประมาณบ่าย 2 โมงจะมีประชุมที่กระทรวงฯ ผู้ชุมนุมจึงปักหลักปราศรัยบริเวณด้านข้างกระทรวงฯ เพื่อรอเข้าพบนายชวรัตน์
 
จากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ชาวชุมชนได้ร่วมพูดคุยกับที่ปรึกษา มท.1 โดยได้มีการทำบันทึกร่วมกันว่าจะนำเอาเนื้อหาร่างกฎกระทรวงที่ชาวชุมชนได้จัดทำไว้เข้ากฤษฏีกาและ ครม.ให้แล้วเสร็จไม่เกิน ต.ค.53 โดยจะเร่งรัดกฤษฎีกาให้เป็นเรื่องเร่งด่วน
 
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สภาทนายความชี้ หม่อง ทองดี เป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่แรงงานต่างด้าว

Posted: 09 Sep 2010 04:01 AM PDT

คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ  ผู้ไร้สัญชาติ  แรงงานข้ามชาติ และผู้ผลัดถิ่น  สภาทนายความ  ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ชี้แจงข้อกฎหมายกรณีเด็กชายหม่อง  ทองดี  ยืนยันว่าพ่อแม่ของเด็กชายหม่องเป็นชาวปะโอ  ซึ่งเป็นชนกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยง  ไม่ใช่แรงงานต่างด้าว  จึงควรจำแนกให้ถูกต้องตามสถานะที่เป็นจริง

 

นายสุรพงษ์  กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ  ผู้ไร้สัญชาติ  แรงงานข้ามชาติ และผู้ผลัดถิ่น  สภาทนายความ ได้แถลงถึงหนังสือของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ  ผู้ไร้สัญชาติ  แรงงานข้ามชาติ และผู้ผลัดถิ่น  สภาทนายความ  ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  เพื่อให้ความเห็นทางกฎหมาย  กรณีเด็กชายหม่อง  ทองดี  กำลังจะถูกจำหน่ายรายการในทะเบียนราษฎร

เด็กชายหม่อง  ทองดี ถูกสำนักงานทะเบียนเทศบาลตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎร และไม่ให้เดินทาง  รวมทั้งให้เวลา 30 วันที่จะโต้แย้ง  หากไม่โต้แย้งจะจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน  ให้เหลือเพียงทะเบียนผู้ติดตามแรงงานต่างด้าว ซึ่งส่งผลถึงสถานะและสิทธิทางกฎหมายของหม่องหลายประการจะถูกตัดตามไปด้วย อาทิ สิทธิรักษาพยาบาลตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า  สิทธิในการเดินทาง  สิทธิและโอกาสที่จะได้สัญชาติไทย ฯ

คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ สภาทนายความ เห็นว่า บิดาและมารดา ของเด็กชายหม่องเป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าปะโอ ซึ่งเป็นชนกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 แต่ตกหล่นจากกการสำรวจและไม่สามารถกลับประเทศต้นทางได้จึงควรได้รับการจัดทำทะเบียนชนกลุ่มน้อยที่ตกหล่นจากการสำรวจตามยุทธศาสตร์การจัดปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 มกราคม 2548 รองรับ

ส่วนเด็กชายหม่อง  ทองดี เป็นบุตรชนกลุ่มน้อยที่เกิดในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2540 รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยต้องเร่งรัดออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 เพื่อกำหนดสถานะให้ตามกฎหมาย

นอกจากนี้ยังเร่งรัดให้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ เรื่องการระงับความเคลื่อนไหวทางทะเบียนว่าไม่กระทบสิทธิแต่อย่างใด รวมทั้งลงนามอนุมัติผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนในการได้สัญชาติที่ผ่านการตรวจสอบ และเห็นชอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว ที่รอการพิจารณาจำนวนมาก

นายสรุพงษ์  กล่าวว่า  มีความผิดพลาดตั้งแต่การรับขึ้นทะเบียนแรงงานให้บิดามารดาเด็กชายหม่อง  เพราะว่าไม่ใช่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาเพื่อทำงานและกลับประเทศต้นทาง  แต่เป็นชนกลุ่มน้อยที่หนีการสู้รบมาจากพม่า  ดังนั้นควรเปลี่ยนแปลงและแก้ไขทะเบียนให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

กรณีหม่องเป็นโอกาสให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจและดำเนินการด้านสถานะให้จริงจังและถูกต้อง  ไม่ใช่เพียงแก้ไขปัญหาของหม่องเท่านั้น  แต่จะแก้ปัญหาคนอีกจำนวนมากที่ไม่มีสถานะชัดเจนในประเทศไทย
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงานพิเศษ : ผู้บันทึกชีวิตใหม่แห่งแม่ตาวคลินิก

Posted: 09 Sep 2010 03:04 AM PDT

 

 

ใบรับแจ้งการเกิดเทศบาลตำบลท่าสายลวด

3 กรกฎาคม 2553 ....เรา1 มาถึงแม่ตาวคลินิกในบ่ายที่เมฆหมอกแห่งวสันตฤดูปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าอำเภอแม่สอด อำเภอชายแดนของจังหวัดตาก  น้ำจากฟ้าโปรยปรอยลงมาเกือบตลอดทั้งวัน  แต่ไม่ทำให้คนไข้ที่หนาแน่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของที่นี่ลดน้อยลงไปกว่าวันไหนๆเลย

เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่แม่ตาวคลินิกได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินในอาณาเขตของตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก  โดยแพทย์หญิงชาวพม่าผู้เปี่ยมอุดมการณ์นามว่า “ซินเธียร์ หม่อง”  เพื่อให้การรักษาพยาบาลชาวพม่าที่ได้รับบาดเจ็บสาเหตุจากภัยสงครามมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ซึ่งมีคนเข้ามารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ละวันของแม่ตาวคลินิกยังเนืองแน่นด้วยคนยากไร้เสมอ ทั้งผู้ที่บาดเจ็บจากภัยสงคราม เนื่องจากสถานการณ์อีกฟากฝั่งหนึ่งของพรมแดนยังไม่สงบ  หรือผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนจากฝั่งประเทศพม่า และแรงงานพม่าใน อ.แม่สอด อ.แม่ระมาด อ.ท่าสองยาง อ.พบพระ และ อ.อุ้มผาง จ.ตาก อันเป็นผลพวงจากระบบสาธารณสุขในพม่าที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ

โดยวันๆ หนึ่งได้มีแม่ชาวพม่ามาให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ ณ ที่แห่งนี้เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

“คนที่มาคลอดที่นี่ส่วนใหญ่เป็นแม่ที่อุ้มท้องมาจากฝั่งโน้น ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ วันหนึ่งๆ คนที่มาคลอดเฉลี่ยแล้ว ประมาณ 8 คน”

 

 

ทร. 1/1


คุณอรรจน์ มีชัย
เจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการเกิดของแม่ตาวคลินิกบอกเล่าถึงสถานการณ์ที่แผนกห้องคลอดของคลินิกต้องแบกรับในแต่ละวัน  ซึ่งจำนวนตัวเลขนี้ก็สัมพันธ์กับหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาด้วย นั่นก็คือจดบันทึกการเกิด และออกหนังสือรับรองการเกิดของเด็ก

โต๊ะทำงานของคุณอรรจน์ ตั้งอยู่หน้าแผนกห้องคลอด  หากมีหญิงสาวคนไหนมาคลอดลูกที่นี่แล้ว จึงไม่ต้องห่วงเลยว่าจะลืมเอาหนังสือรับรองการเกิดกลับบ้าน  งานของคุณอรรจน์บนโต๊ะตัวนี้ก็คือบันทึกข้อมูลของพ่อแม่เด็ก ข้อมูลแรกเกิดของเด็ก ถ่ายรูป และออกหนังสือรับรองการเกิด ให้กับพ่อแม่เด็ก เพื่อจะได้นำไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันรับรู้ถึงการเกิดของเด็ก ก็จะออกใบรับแจ้งการเกิด (หรือท.ร. 1 ตอนหน้า) ให้ จากนั้นจึงนำไปแจ้งเกิดที่เทศบาลตำบลท่าสายลวด พ่อแม่ (หรือคนที่รับมอบอำนาจไปแจ้งแทน) ก็จะได้รับสูติบัตรกลับมา

กระบวนการรับรองการเกิดของเด็กคนหนึ่งๆ นี้ ทำให้เด็กมีตัวตนทั้งในข้อเท็จจริงและถูกมองเห็นด้วยสายตาของกฎหมายอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยได้รับรู้ถึงการมีตัวตนเกิดขึ้นมามีชีวิตอยู่ของเด็กคนหนึ่งแล้ว
 
อรรจน์ เล่าว่า แม้กฎหมาย (พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2551) จะบอกว่า เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทย สามารถได้รับการจดทะเบียนการเกิดได้ แต่ข้อจำกัดของคลินิคแม่ตาวก็คือ แม้แม่จะมาคลอดเด็กที่นี่จริง แต่คลินิคแม่ตาวไม่สามารถออกใบรับแจ้งการเกิด หรือ ท.ร.1/1 ได้เอง เพราะคลินิคแม่ตาว ไม่ได้มีฐานะเป็นสถานพยาบาลตามกฎหมาย

เมื่อถามถึงปัญหาการออกเอกสารรับรองการเกิดให้กับเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบันนี้  คุณอรรจน์ตอบว่า

“ปัจจุบันนี้ที่นี่เคลียร์หมดเลยทุกอย่าง ไม่มีปัญหาเรื่องการออกหนังสือรับรองการเกิด  ปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้คือเด็กที่เกิดก่อนผมจะเข้ามารับผิดชอบตรงนี้ คือเด็กที่เกิดก่อนปี 2551” คุณอรรจน์ได้นำเอกสารบันทึกการเกิดของเด็กในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะเข้ามาทำหน้าที่นี้  เอกสารทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษและพม่า และมีการประทับฝ่าเท้าของเด็กตอนแรกเกิด  ซึ่งในภายหลังต้องนำมาแปลเป็นภาษาไทยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเด็กเข้าโรงเรียนในประเทศไทยไม่ได้
 

 

 สมุดบันทึกหน้าห้องคลอด

เมื่อได้ฟังคุณอรรจน์อธิบายถึงขั้นตอนต่างๆหลังจากเด็กเกิด และก่อนจะพ้นออกจากคลินิกไปแล้ว เรารู้สึกชื่นชมในความตั้งใจและความกระตือรือร้นของผู้ชายผิวคล้ำที่อยู่ตรงหน้านี้ อย่างมาก และด้วยงานที่สำเร็จราบรื่นหลายอย่างนั้น ก็มาจากการประสานงานของเขา 

ย้อนไปก่อนที่จะมาทำงานที่แม่ตาวคลินิก  คุณอรรจน์เคยเป็นครูที่ศูนย์เด็กบนดอย ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง  ชีวิตการเป็นครูบนดอยของเขาดำเนินมาถึงสี่ปี  ในปลายปี 2550 คุณอรรจน์มีโครงการทำเพลงอัลบั้มหนึ่ง เพื่อตั้งกองทุนช่วยเหลือเด็กดอย  แต่แล้วชีวิตของเขาก็ถึงจุดพลิกผัน เมื่อในวันหนึ่งได้เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายที่เคยแข็งแรงมาตลอดของเขา

คุณอรรจน์มีอาการตุ่มขึ้นเต็มตัว กินอะไรก็ท้องเสีย  อาการที่เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสุขภาพของเขาจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป  เมื่อได้ยาจากหมอที่โรงพยาบาลแม่สอดไปรักษาอยู่สองครั้ง ครั้งที่สามหมอจึงขอตรวจเลือด

ผลปรากฏว่า คุณอรรจน์ติดเชื้อ HIV แม้ฉากหน้าจะดูทำใจยอมรับความจริงได้  แต่ความจริงแล้ว เขาแบกเอาความเครียดใส่บ่ากลับไปยังโรงเรียนที่เขาสอน อยากจะจบชีวิตตัวเองหนีโรคร้าย แต่วิญญาณความเป็นครูทำให้ล้มเลิกความคิดฆ่าตัวตาย  ตัดสินใจใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อมีชีวิตและใช้ศักยภาพของตัวเองทำประโยชน์ต่อไป

“...ก็ยังมีแรงอยู่ ลองดูสักพัก  ถ้าเกิดมันไม่ดีขึ้นก็ขอจบชีวิตแล้วกัน อย่าได้เป็นภาระของคนอื่น  พออยู่ไปถึงงานวันเด็ก ก็สนุกมาก  เสร็จแล้วผมก็มีความคิดว่า ถึงเราจะไม่สบาย แต่เราก็ยังมีศักยภาพ เรายังทำอะไรได้อีกเยอะ คนปกติยังทำไม่ได้อย่างเราเลย” 

สังคมที่แคบและคำว่า “ครู” ทำให้คุณอรรจน์เก็บเรื่องความป่วยไข้ของตัวเองเป็นความลับ จนมาได้พบกับคุณหมอสลวยและคุณมาเรียที่ทำงานอยู่ในแผนกผู้ติดเชื้อ HIV ที่แม่ตาวคลินิก

เมื่อได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นผู้ติดเชื้อ และไม่สามารถอยู่ทำงานที่เดิมได้แล้ว  คุณหมอสลวยและคุณมาเรียจึงชักชวนให้คุณอรรจน์มาทำงานที่แผนกผู้ติดเชื้อของแม่ตาวคลินิก  เขาจึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพครูและจากบ้านมาเช่าบ้านอยู่คนเดียว

ความเครียดที่ไม่สามารถบอกความจริงกับทางบ้านได้ทำให้ป่วยหนัก ไม่นานนักทางบ้านจึงได้รับรู้ หลังจากนั้นความเข้าใจและกำลังใจจากทางบ้านและญาติพี่น้องทั้งหลายก็หลั่งไหลเข้ามาสู่ดวงใจที่อ่อนล้าของเขา

“โรคนี้ครอบครัวจะต้องเข้าใจก่อน ก่อนที่จะให้คนอื่นเข้าใจ  แล้วผมมีกำลังใจที่จะฟื้นขึ้นมา  ใช้เวลารักษาตัวแค่อาทิตย์เดียว ตุ่มก็หายหมดเลย  มันอยู่ที่กำลังใจของเรา”

ครอบครัวที่เข้าใจทำให้คุณอรรจน์มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีคุณค่า  แรกเริ่มทำงานที่แม่ตาวคลินิก เขาทำงานอยู่แผนกผู้ติดเชื้อ ซึ่งปัญหาของผู้ติดเชื้อในตอนนั้นคือ เมื่อเดินทางข้ามพรมแดนมารักษาตัวหรือรับยาต้านไวรัสจะโดนตำรวจจับ เพราะผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่มีใบอนุญาตผ่านแดน (border pass)

“เราเลยทำหนังสือให้คนไข้ติดตัว มีชื่อ มีเลขประจำตัวของคลินิก และมีรูปถ่ายติด  แล้วเอาไปเสนอให้ทางผู้กำกับเขาดูว่า ถ้าผมจะทำหนังสือแบบนี้ให้ผู้ป่วยติดตัว โดยให้ทางผู้กำกับช่วยเซ็นต์ได้มั้ย  แล้วที่เขาข้ามมาเพื่อมารับยา เพราะถ้าคนเหล่านี้ขาดยา เสียชีวิตแน่นอน  เขาก็เข้าใจและให้ความร่วมมือ”

หลังจากนั้นเมื่อ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกมาบังคับใช้ ซึ่งกำหนดว่า เด็กที่เกิดในประเทศไทยทุกคนสามารถจดทะเบียนการเกิดได้ ด้วยความสามารถในการเจรจาและประสานกับทางราชการจนประสบความสำเร็จ ทำให้แม่ตาวคลินิกมอบหมายหน้าที่ในการดูแลเรื่องการออกหนังสือรับรองการเกิดให้กับเขา  ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่นเรื่อยมาจนทุกวันนี้  เมื่อถามถึงอุปสรรคจากทัศนคติของภาคราชการที่มีส่วนสำคัญต่อการจดทะเบียนการเกิดให้กับเด็กต่างด้าวที่เกิดในไทย คุณอรรจน์ตอบว่า

“ทางราชการเขามองเรื่องความมั่นคง แต่เรามองเรื่องสิทธิมนุษยชน  เรามองกันคนละมุม และมันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เราต้องใช้ไม้อ่อน จะไปใช้ไม้แข็งไม่มีทางสำเร็จไปได้”

ความประทับใจก่อเกิดขึ้นในใจของฉัน ด้วยเห็นความตั้งใจจริง และความสามารถที่จะผ่านข้อจำกัดต่างๆ ไปได้  ก่อนจากกัน ฉันจึงอยากรู้ว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้เขาทำได้อย่างนี้  ฉันหวังลึกๆว่าจะได้ยินอุดมการณ์สวยหรูจากปากของเขา แต่...

“ผมไม่ได้มีอุดมการณ์อะไร เพียงแต่ผมมีหน้าที่ตรงนี้ ผมก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด”

แม้จะผิดจากที่คาดหวังไว้  แต่ความชื่นชมในผู้ชายคนนี้ไม่ได้ลดน้อยลงไป คนเราเมื่อมีหน้าที่อะไรสักอย่างแล้ว การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่เกี่ยงงอนย่อมเป็นเรื่องที่ดี   และผลจากการทำหน้าที่อย่างแข็งขันของเขาก็ได้สร้างคุณูปการมากมายให้กับเด็กคนหนึ่งๆที่ลืมตาขึ้นมาบนแผ่นดินไทย  อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองคิดและทำได้อย่างคุณอรรจน์  ปัญหาทุกอย่างก็คงไม่มีมากมายเช่นทุกวันนี้

ผ่านไปนานนับหลายชั่วโมง  ฟ้ายังครึ้ม ฝนยังปรอย  ผู้ชายคนหนึ่งยังคงนั่งประจำที่ตรงโต๊ะตัวนี้  และไม่ว่าท้องฟ้าจะครึ้มจนมืดมิดกว่านี้ หรือฝนจะกระหน่ำตกมากกว่านี้ ผู้ชายคนนี้ก็ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวนี้เพื่อทำหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างดีที่สุด...

ผู้ชายที่ชื่อ อรรจน์  มีชัย

 


 1 ดรุณี  ไพศาลพาณิชย์กุล, กรกนก  วัฒนภูมิ นักกฎหมายประจำสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT), พรพิมพ์  แซ่ลิ้ม เจ้าหน้าสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT) สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2553, ในการสำรวจสถานการณ์การจดทะเบียนการเกิด กรณีการเกิดนอกสถานพยาบาล ภายใต้โครงการพัฒนาองค์ความรู้และกลไกการทำงานเครือข่ายด้านสถานะบุคคล และสิทธิเพื่อผลักดันการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต แรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล (คพรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) และ โรยทราย  วงศ์สุบรรณ  ผู้ประสานงานการรณรงค์ด้านนโยบาย  อินเตอร์เนชั่นแนล เรสคิว คอมมิตตี (IRC) ร่วมสังเกตการณ์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'ยงยุทธ' แถลงลาออกพรรคเพื่อไทย บอกอย่าโยง 'ทักษิณ'

Posted: 09 Sep 2010 01:34 AM PDT

ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แถลงลาออกจากหัวพรรคแล้ว ระบุพรรคต้องปรับโครงสร้างรับเลือกตั้งต้องหาคนเหมาะสมมาบริหาร ยันยังช่วยงานพรรคตามเดิม 14 ก.ย. จะประชุม กก.บริหารพรรค

9 ก.ย. 2553 - สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค แถลงภายหลังการประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย วันนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  ว่า  ได้ประกาศยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว แต่ยืนยันว่าจะช่วยพรรคทำงานตามเดิม

นายยงยุทธ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับ น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค และนายพร้อมพงศ์  นพฤทธิ์ โฆษกพรรค  ระบุว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี ส.ส. และสมาชิกย้ายเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกว่าพรรคเพื่อไทย มีความมั่นคงแข็งแรงแล้ว  ได้ใช้ความรู้ความสมารถในเชิงบริหารสมควรแล้ว ดังนั้น ในช่วงใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งในอีก 1 ปีเศษ  พรรคจึงต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดยหาบุคคลที่เหมาะสมมาบริหารการเลือกตั้ง พร้อมกับการมีคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่

นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 14 กันยายนนี้ จะมีการประชุมใหญ่พรรค เพื่อคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่  ส่วนจะเลือกใครมาเป็นหัวหน้าพรรค ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องหารือให้ได้ข้อสรุปในที่ประชุมพรรคก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการทาบทาม พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรค

“อย่านำเรื่องการลาออกของผมไปโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  เพราะถ้ามีการสั่งการมาจริง ผมก็จะรู้สึกไม่พอใจ” นายยงยุทธ  กล่าว

ที่มา : สำนักข่าวไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นิสิตบูรพาถูกเรียกเข้าบชน. 5 เหตุร่วมงานเสื้อแดง

Posted: 09 Sep 2010 01:22 AM PDT

นิสิตพัฒนาชุมชนถูกเรียกเข้าบชน. 5 เหตุร่วมงานรำลึกคนตายเสื้อแดง ขณะมี พรก.ฉุกเฉิน เจ้าตัวเผย ไม่กระทบต่อการเรียน เชื่อใช้สิทธิตาม รธน. อาจารย์รัฐศาสตร์เสริมสามารถกระทำได้ ถือเป็นความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิ ด้านเพื่อนร่วมชั้นแย้ง คนเราควรมีความคิดเห็นที่สังคมยอมรับ

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ลานมะพร้าว www.coconews.in.th โดยนิสิตสาขาวารสารศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา รายงานว่า นิสิตพัฒนาชุมชนถูกเรียกเข้าบชน. 5 เหตุร่วมงานรำลึกคนตายเสื้อแดง ขณะมี พรก.ฉุกเฉิน เจ้าตัวเผย ไม่กระทบต่อการเรียน เชื่อใช้สิทธิตาม รธน. อาจารย์รัฐศาสตร์เสริมสามารถกระทำได้ ถือเป็นความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิ ด้านเพื่อนร่วมชั้นแย้ง คนเราควรมีความคิดเห็นที่สังคมยอมรับ

จากกรณีที่นิสิตสาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ถูกตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 5 (บชน.5) เรียกตัวเข้าพบ เนื่องจากการเข้าร่วมงานจัดรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) และถูกมองว่าการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวจะทำให้เกิดความก้าวร้าวและอาจกระทบต่อการเรียน

นายชุติพงศ์  พิภพภิญโญ นิสิตชั้นปี 4 สาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้ถูกตำรวจเรียกพบ กล่าวว่า การที่ตนถูกทางบชน. 5  เรียกตัวเข้าไปพบนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เลย เพราะไม่ได้ขึ้นพูดบนเวทีอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่สาเหตุที่ถูกเรียกตัวนั้นมาจากการที่ตนได้มีส่วนร่วมจัดงานรำลึกให้กับผู้เสียชีวิตจากการชุนนุมที่แยกราชประสงค์ ซึ่งช่วงนั้นมีการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินอยู่ จึงถูกเรียกตัวเข้าไปและไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใด ๆ เลย

นายชุติพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มีหลายคนมองว่าตนก้าวร้าวและสิ่งที่ทำจะกระทบกระทบการเรียนนั้น ขอยืนยันว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ได้กระทบต่อการเรียนแต่อย่างใด และยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิทธิเสรีภาพที่คนเรามีมาตั้งแต่เกิด ตนออกมาใช้สิทธิ และแสดงความคิดเห็น จึงถูกมองว่าแปลก ซึ่งสิทธิของคนส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้กันมากกว่า

นายโอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า การที่มีนิสิตลุกขึ้นมาเป็นแกนนำนั้นคิดว่าเหมาะสมแล้ว นับว่าเป็นความก้าวหน้าของสังคมอีกระดับหนึ่ง ที่ทำให้เด็กกล้าวิพากษ์วิจารณ์ กล้าคิดกล้าทำและเข้าไปมีส่วนร่วม  ซึ่งการที่รัฐบาลเรียกตัวเข้าไป ถูกหรือไม่ถูกนั้นคิดว่ารัฐบาลมีเหตุผล แต่ไม่ทราบว่าเหตุผลนั้นคืออะไร  แต่ส่วนตัวคิดว่าการกระทำดังกล่าวของตำรวจ ถือเป็นการคุมคามเสรีภาพรูปแบบหนึ่งก็ว่าได้  การที่นิสิตจะมีความเชื่อในกลุ่มใด หรือคิดอย่างไรนั้นสามารถกระทำได้ ตราบใดที่พฤติกรรมยังไม่ทำร้ายสังคม  และต้องเป็นนักศึกษาที่ดี ก็เพียงพอแล้ว

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ กล่าวต่อว่า เชื่อว่าอาจารย์ของนิสิตคงเข้าใจ และไม่กระทบการเรียนการสอน อีกอย่างน้ำใจของอาจารย์ของภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยบูรพานั้น ยอมรับว่าเป็นอาจารย์ที่มีน้ำใจและเข้าใจ รวมถึงอยากเห็นผลผลิตของสังคมเป็นไปในลักษณะนี้ด้วยซ้ำ  เพราะการที่เขาอยู่ในศาสตร์ของการพัฒนาชุมชนและสามารถแสดงออกทางการเมืองแบบนี้คิดว่าเหมาะสม เป็นสิงที่ถูกต้อง  ไม่ว่าจะมีแนวคิดแบบใดก็เป็นเสรีภาพของแต่ละบุคคลมากกว่า

ขณะที่นายสุรพจน์  ปลีกล่ำ  นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อนร่วมชั้นของนายชุติพงศ์  พิภพภิญโญ  ผู้ถูกเรียกตัวจากตำรวจ ให้สัมภาษณ์ว่า นายชุติพงศ์ เป็นคนที่คิดอะไรแตกต่าง มีความคิดที่ไม่เหมือนคนอื่น และไม่ค่อยสนใจอะไรที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงจะพยายามหาข้อโต้แย้งอยู่ตลอด เมื่อต้องการพูดอะไร มักคำนึงตามใจของตนเองมากกว่าและคิดว่าความคิดเห็นของตนเองนั้นถูกเสมอ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสิ่งที่เพื่อนทำนั้นไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะการที่เราอยู่ในสังคมแบบไหน เราจะต้องยอมรับกฎระเบียบของสังคมนั้น ๆ ส่วนการที่เขาเข้าไปร่วมในการชุมนุมนั้นก็เป็นสิทธิของตัวเขาเอง ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าผิดหรือถูก

 
ที่มา: นิสิตบูรพาถูกเรียกเข้าบชน. 5 เหตุร่วมงานเสื้อแดง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ดีเจเสื้อแดงอุบลฯ เข้ามอบตัวคดีฝ่า พรก.

Posted: 09 Sep 2010 01:15 AM PDT

เว็บไซต์เนชั่นทันข่าว รายงานว่า น.ส.อุบลกาญจน์ อมรสิน หรือ 'สาวฝั่งโขง' อายุ 37 ปี ดีเจนักจัดรายการ คลื่น 99.25 รากหญ้าประชาธิปไตย พร้อม นายสมบัติ รัตโน อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย นายวัฒนา จันทศิลป์ ทนายความเข้ามอบตัว ต่อ พ.ต.อ.ไอยศูรย์ สิงหนาท รองผบก.ภ.จว.อุบลฯ ตามหมายจับของศาล จ.อุบลฯ ที่ 699/53 ลง 25 มิ.ย 53 ข้อหาฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน ต้องสงสัยเป็นผู้มีส่วนให้การสนับสนุนก่อความไม่สงบในพื้นที่ ที่ห้องประชุมเล็ก ชั้น 2 ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 30 คนนำดอกกุหลาบมาคอยให้กำลังใจ

นายสมบัติ กล่าวว่า สำหรับการเข้ามอบตัวของในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีของนายประยุทธ มูลสาร หรือ ดีเจ หนุ่มนิรนาม แกนนำเสื้อแดงที่ขอเข้ามอบตัวและได้รับการประกันตัวไปรักษาโรคมะเร็งลำไส้ เมื่อ วันที่ 25 ส.ค.53 ที่ผ่านมานั้นทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกออกหมายจับมีความมั่นใจมากขึ้นใน การประกันตัว ซึ่งก่อนหน้านี้แทบจะไม่สามารถประกันตัวได้ และยังมีผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับเตรียมที่จะเข้ามอบตัวอีก ภายในอาทิตย์นี้อีก 5 ราย โดยระบุเงินประกันตัวทั้งหมดนั้นได้มาจากกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน และ ญาติของผู้ต้องหาทั้งสิ้นไม่ได้มีเงินของพรรคการเมืองแต่อย่างใด

เบื้องต้นในชั้นสอบสวน น.ส.อุบลกาญจน์ ยังไม่ขอให้การใดๆ และปฏิเสธข้อกล่าวหา เพื่อขอไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น โดยมีนายสมบัติ ใช้หลักทรัพย์เงินสด 80, 000 บาทเข้าขอประกันตัว น.ส.อุบลกาญจน์ ทันที

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แนะนำหนังสือ : The Reluctant Fundamentalist ศาสนิกชนผู้ลังเล

Posted: 09 Sep 2010 12:11 AM PDT

 

 

“ฉันเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบ” แมทพูดขึ้นพร้อมยื่นหนังสือหน้าปกสีเขียวอ่อนมาให้ดู บนหน้าปกมีรูปดาวกับพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์และสีของธงชาติประเทศปากีสถาน และเมื่ออ่านชื่อเรื่องก็พอจะเดาได้ว่าหนังสือเล่มนี้คงเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย สหรัฐอเมริกา และโลกมุสลิม
 
คำว่า Fundamentalist หมายถึงผู้ที่เคร่งปฎิบัติตามหลักศาสนา ซึ่งความหมายเดิมของคำนี้ไม่ได้หมายถึงผู้ก่อการร้ายแม้แต่น้อย แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในเมืองนิวยอร์กและตึกแพนทากอนในเมืองวอชิงตันดีซีประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 11 กันยายน 2001 แล้ว คำนี้ถูกโยงติดเข้ากับขบวนการผู้ก่อการร้ายที่นำโดยศาสนิกชนหัวรุนแรง ฉะนั้น ถ้าแปลเอาง่าย The Reluctant Fundamentalist ...ก็หมายถึงศาสนิกชนที่จิตใจลังเล
 
เมื่อดูจากปกและชื่อเรื่องแล้ว หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจอยู่สองอย่างที่ทำให้ผู้เขียนสนใจอยากอ่านแม้จะไม่ใช่คอนิยายเหมือนแมทเพื่อนอเมริกันของฉันก็ตาม อย่างแรกที่ผุดขึ้นมารบกวนจิตใจคือ ทำไมผู้เชื่อในศาสนาถึงเกิดลังเลหรือเบี่ยงเบน และอะไรที่ทำให้เขาหรือเธอลังเล มันแปลว่าอะไรกันแน่ ประการที่สองที่ทำให้ฉันตัดสินใจยืมหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดประชาชนและเริ่มเปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายคืออยากลิ้มลองรสชาติของนิยายประเภทนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
 
หลายคนอาจไม่คุ้นหูกับผู้ประพันธ์นิยายหน้าใหม่คนนี้...โมซิน ฮามิด (Mohsin Hamid) เขาเคยเขียนนิยายชื่อ Moth Smoke ในปี 2001 นิยายเล่มนี้ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในหนังสือที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัล PEN/Hemingway Award และยังอยู่ในรายชื่อหนังสือที่โดดเด่นติดอันดับประจำปีของหนังสือพิมพ์ New York Times อีกด้วย The Reluctant Fundamentalist เป็นนิยายเล่มที่สองของฮามิดที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2007 และได้รับการตีพิมพ์อีกครั้งในปี 2008
 
ฮามิดเริ่มเรื่องราวด้วยบทสนทนาปริศนาระหว่างเฉงจีส (Changze) กับคนอเมริกันแปลกหน้าที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในเมืองลาฮอร์ประเทศปากีสถาน เฉงจีสตัวละครหลักของเรื่องพรรณาว่าที่จริงคนอเมริกันก็สามารถดูเหมือนกับคนปากีสถานได้เพราะคนปากีสถานมีหลายชาติพันธุ์ผสมกัน ฉะนั้นเรื่องสีผิวขาวๆ ของชาวอเมริกันจึงไม่ได้แตกต่างไปจากคนปากีสถานเท่าใดนัก แต่ความแตกต่างที่เห็นชัดเจนทางกายภาพภายนอกระหว่างคนอเมริกันกับคนปากีสถานคือ...การไว้หนวดเคราที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของคนมุสลิม ในหลายตอนของหนังสือเล่มนี้ เฉงจีสแสดงให้เห็นถึงความกระอักกระอวนใจเมื่อถูกจับจ้องหรือได้รับปฎิกิริยาตอบโต้แปลกๆ จากคนรอบข้างในสังคมอเมริกันเมื่อเขาไม่ได้โกนหนวด แต่อย่างไรก็ตาม การสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินส์ตันด้วยเกรดดีเลิศ การได้ทำงานกับบริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจชื่อดังโดยได้รับค่าตอบแทนที่สูงลิว บวกกับความรักที่กำลังเบ่งบานกับหญิงสาวชาวอเมริกัน ทำให้เฉงจีสรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถปรับตัวและผลักตัวเองให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้มีการศึกษาและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะในสังคมเมืองนิวยอร์กที่ทันสมัยและที่มีการแข่งขันสูง
 
ดูแล้วเฉงจีสน่าจะสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ที่แตกต่างจากวัฒนธรรมบ้านเกิดได้อย่างดี แต่ที่ไหนได้ หลายครั้งที่เฉงจีสแอบบ่นบอกความในใจแก่ผู้อ่านว่าแม้เขาจะรู้สึกว่าเขาได้กลายเป็นคนอเมริกันไปแล้ว แต่ในหลายครั้งเขาก็ยังรู้สึกแปลกแยกไม่สามารถเข้ากับสังคมอเมริกันได้อยู่ดี
 
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 9/11 เขาเริ่มหมกหมุ่นและกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามต่อต้านผู้ก่อการร้ายในอิรัก ที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ตามไปด้วย แม้รัฐบาลปากีสถานจะเคยเป็นศูนย์กระจายคำสั่ง เงิน บุคลากร และอาวุธของซีไอเอในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอัฟกานิสถานช่วงยุคสงครามเย็นและยังคงเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของอเมริกาในการต่อต้านผู้ก่อการร้ายหลังเหตุการณ์ 9/11ด้วยก็ตาม แต่ในหลายพื้นที่ของปากีสถานกลับกลายเป็นแหล่งเพาะผู้คลั่งศาสนาหัวรุนแรงที่รัฐบาลปากีสถานและอเมริกาไม่สามารถควบคุมได้ แรงกดดันจากรัฐบาลอเมริกันต่อรัฐบาลปากีสถานในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในประเทศจึงเริ่มส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและที่สำคัญยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของเฉงจีสอีกด้วย
 
ความเป็นคนปากีสถานครึ่งหนึ่งและคนอเมริกันอีกครึ่งหนึ่งเริ่มทำให้เขาสับสนว่า...เขาควรเป็นใครกันแน่
 
การวางปมและลำดับเรื่องราวโดยมีสถานการณ์การสนทนาในคาเฟ่ที่ลาฮอร์แทรกขึ้นเป็นระยะทำให้นิยายเล่มนี้เหมือนนิยายเชิงสืบสวนที่ชวนให้เดาและติดตามการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและความรู้สึกของเฉงจีสตั้งแต่ต้นจนจบเล่ม ฉันถึงบางอ้อก็เมื่ออ่านมาจนถึงสองหน้าสุดท้าย ฮามิดสามารถวาดตัวละครที่ชื่อเฉงจีสได้อย่างซับซ้อนน่าสนใจ ซึ่งเป็นการเปิดมุมมองถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่มาจากโลกมุสลิมที่ได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสโลกของวัฒนธรรมตะวันตกและโลกแบบทุนนิยมอเมริกันให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน งานของฮามิดจึงมีความแตกต่างจากงานเขียนทั่วไปที่เขียนโดยคนตะวันตกหรือคนอเมริกันเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกมุสลิม
 
ถึงแม้ว่างานเขียนชิ้นนี้ของฮามิดจะเป็นเพียงนิยาย แต่ถ้าดูจากประวัติของฮามิดที่เกิดที่ลาฮอร์ จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดและพรินส์ตัน และเคยทำงานในบริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจที่มีชื่อเสียงในนิวยอร์กแล้ว ยิ่งทำให้ตัวละครเฉงจีสถูกปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ฮามิดปฎิเสธว่าเฉงจีสไม่ใช่ตัวเขาในชีวิตจริง แต่ฮามิดก็ยอมรับว่าความรู้สึกนึกคิดของตัวละครตัวนี้สะท้อนมาจากความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์ของเขาเองที่อยู่ในทั้งสองโลก...โลกมุสลิมและโลกตะวันตก และมีความเป็นตัวตนของทั้งสองชาติ...ปากีสถานและอเมริกัน

หนังสือ The Reluctant Fundamentalist
สำนักพิมพ์: Mariner Books
ปีที่พิมพ์: 2007, 2008
ISBN-10: 0156034026
ความยาว: 208 หน้า

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใบตองแห้ง...ออนไลน์: ปรองดองทางยุทธวิธี

Posted: 09 Sep 2010 12:09 AM PDT

พรรคเพื่อไทยออกมาแถลงพร้อมปรองดอง ข่าวบางกระแสว่ามาจากการประสานงานของนักวิชาการ UN ข่าวบางกระแสว่าถูกบีบ

ข่าวที่ผมได้ฟังก็เหมือนไทยรัฐหน้า 3 วันอังคาร คือถูกบีบ แถมมีคำขู่ว่าถ้าไม่ยอมปรองดองจะล้มกระดาน ปฏิวัติ ปิดประเทศ กวาดล้างปราบปรามขนานใหญ่

ผมฟังแล้วหัวร่อก๊าก ย้อนถามว่าอ้าว ตอนนั้นเสื้อแดงก็เคยคิดว่าให้ทหารปฏิวัติไปซะเลย จะได้พังเร็วขึ้น อย่างนั้นไม่ใช่หรือ ปฏิวัติตอนที่หุ้นจ่อพันจุดเนี่ยนะ มีแต่พังกับพัง มันจะเป็นไปได้ไง

ที่แน่ๆ ก็คือมีการเจรจาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายกลาโหม ฝ่าย ปชป.และฝ่ายไหนอีกมั่ง ก็ให้ดูว่าทำไมคนเจรจาจึงเป็นปลอดประสพ สุรัสวดี สืบสาวเครือญาติปลอดประสพดูสิ ว่าสาวถึงใครมั่ง (ซูโม่ตู้-ฮา)

เพราะเตรียมการมาก่อนหน้าแล้ว พอปลอดประสพเสนอ วันรุ่งขึ้นอภิสิทธิ์ก็สนองทันที ถ้าไม่เตรียมมาก่อน จะพี่ร้องน้องรำสอดรับกันได้อย่างนี้รึ

รวมทั้งมีการเจรจาสายตรงถึงทักษิณด้วย ทักษิณจึงออกมาทวิต สนับสนุนให้ปรองดอง แต่เขายื่นเงื่อนไขต่อรองแลกเปลี่ยนกันอย่างไร สุดที่เราจะทราบ

เท่าที่ทราบระแคะระคายก็คือการเจรจาในประเทศ ซึ่งไม่ได้ยื่นเงื่อนไขเลยสักนิดว่า จะประนีประนอมยอมอ่อนข้ออะไรบ้าง เป็นเหมือนบีบให้ยอมจำนนเสียมากกว่า

ส่วนในวงกว้าง ปชป.ก็ยังสำแดงสันดานเอาเปรียบทุกเม็ด ช่วงชิงให้ร้ายทางการเมือง เช่นบอกให้เลิกจาบจ้วงสถาบัน พูดแบบนี้ใครไปเจรจาด้วย บอกยอมเลิก ก็เท่ากับยอมรับว่าจาบจ้วงสถาบันนะสิ

ปรองดองแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่นายทหารคุยว่าไปเอาเสื้อเหลืองเสื้อแดงมาร้องเพลงชาติกับเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้วยุติความขัดแย้ง โห อะไรมันจะง่ายปานเล่นปาหี่ ฟังแล้วขำกลิ้ง ถ้าง่ายปานนั้นก็ลงไปปรองดองกับ “โจรใต้” ให้ดูหน่อยสิ

ถ้าจะเอาง่ายๆ แค่ถ่ายภาพออกสื่อมันก็ง่าย สมมติผมนอนอยู่บ้านแล้วมีรถจี๊ปมาจอดหน้าบ้าน ใบตองแห้ง ไปลงชื่อปรองดองหน่อย! มีรึ ผมจะกล้าไม่ไป ต้องรู้ซะมั่งว่าประเทศนี้ใครใหญ่ อยู่ดีไม่ว่าดี ไปเที่ยวกล่าวหาว่าคนมีสีไล่ล่าเสื้อแดง ต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายไก่อู ที่สาวๆ เมืองกรุงชูจั๊กกะแร้โหวตท่วมท้น

ฉะนั้นผมก็ต้องไปลงชื่อปรองดอง แต่ใจผมปรองดองหรือเปล่า คุณก็รู้ เพราะปรองดองไม่ได้แปลว่าให้สยบยอมตามผู้มีอำนาจ การปรองดองไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่ไม่คืนความยุติธรรม และคืนประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์

อย่างไรก็ดี การ “ปรองดองทางยุทธวิธี” ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และยอมรับได้ ในสถานการณ์ที่แน่นอนหนึ่งๆ

ถ้าเรามองมุมกลับ การที่ระบอบอภิสิทธิ์ชน-จะขู่จะบีบหรือถูกหว่านล้อมด้วย UN ก็แล้วแต่ พยายามเรียกหาความปรองดอง ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขากลัวพลังประชาชน กลัวการลุกฮือของมวลชนเสื้อแดง ที่แม้จะโค่นล้มพวกเขาไม่ได้แต่ก็อยู่ในสภาพที่ปกครองไม่ได้ และพวกเขากลัวว่ายิ่งนานวันไป พลังอำนาจที่มีอยู่สูงสุดในวันนี้จะค่อยๆ เสื่อมลง ด้วยเงื่อนไขหลายอย่างที่เป็นชนวนระเบิดเวลา มันอาจจะถึงจุดหนึ่งที่เกิดกลียุคของแท้

ฉะนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องตั้งข้อเรียกร้องกลับว่า การปรองดองที่แท้จริงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่คืนความยุติธรรมและความเป็นเสรีประชาธิปไตย และที่สำคัญ การปรองดองไม่ได้หมายความว่าจะต้องยุติความขัดแย้ง สยบยอมตามระบอบอภิสิทธิ์ชนโดยไม่สามารถมีปากเสียง แต่หมายความว่าจะต้องขัดแย้งกันต่อไปอย่างสันติหรือรุนแรงน้อยที่สุด ต่อสู้ทางความคิดกันอย่าง “แข่งขันเสรี”

ซึ่งถ้าจะปรองดองจริง ผู้มีอำนาจต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม เหมือนที่ใครบางคนยกตัวอย่างแอฟริกาใต้ว่าแมนเดลาเป็นผู้ริเริ่มก่อน หลังได้ชัยชนะ (ถึงแม้จะเอามาเปรียบกันไม่ได้เพราะอภิสิทธิ์และอำมาตย์ปล้นอำนาจมา ไม่ได้ชัยชนะมาอย่างชอบธรรมเหมือนแมนเดลา)

และถ้าอยากปรองดองจริง ก็ไม่ใช่เจรจาแต่กับทักษิณหรือพรรคเพื่อไทย แต่จะต้องทำอะไรบางอย่างที่ส่งสัญญาณถึงประชาชนผู้รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่เจ็บแค้นจากการถูกปราบปรามเข่นฆ่า

ซึ่งถึงวันนี้ต่อให้คุณเจรจาคืนเงิน 4 หมื่นล้านให้ทักษิณ นิรโทษกรรมทักษิณ มันก็ไม่ได้ลบความเจ็บแค้นของเสื้อแดงหรอก

ถ้าเข้าใจความเป็นจริง ผู้มีอำนาจจะต้องเข้าใจว่า ฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีทางสยบยอมพวกคุณได้ ต้องต่อสู้กันต่อไปให้เห็นดำเห็นแดง แต่เรากับพวกคุณ “ปรองดองทางยุทธวิธี” ได้ นั่นคือทำให้มันเป็นการต่อสู้ขัดแย้งโดยสันติ หรือรุนแรงน้อยที่สุด

ฉะนั้นถ้าคุณอยากเจรจากับทักษิณ แลกเปลี่ยนเงื่อนไขผลประโยชน์อะไร ก็ว่ากันไป ที่จะให้ทักษิณยุติการเคลื่อนไหว ทำธุรกิจอยู่นอกประเทศ โดยรัฐบาลปลดล็อกบางอย่างให้ เพื่อไม่ให้เกิดการก่อวินาศกรรมหรือลอบสังหารหรือความรุนแรงใดๆ ที่ฝ่ายรัฐเชื่อว่ามาจากทักษิณ เชิญว่ากันไปตามสบายครับ ผมชอบอยู่แล้ว ที่จะให้ทักษิณถอยไป ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ต้องการให้ใครมาบึ้มๆ อยู่ข้างๆ

ถ้าคุณอยากเจรจากับพรรคเพื่อไทย ไม่ให้สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ก็ว่ากันไป ไม่ให้จตุพรโดดมานำม็อบ ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่คุณจะบอกให้พรรคเพื่อไทยเลิกสนับสนุนการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงไม่ได้ เพราะการปรองดองที่แท้จริง คือคุณต้องสนับสนุนให้มวลชนเสื้อแดงเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยปกติ เข้ามาเป็นมวลชนของพรรคการเมือง แล้วต่อสู้กันในระบบ

และถ้าคุณอยากจะปรองดองกับมวลชนเสื้อแดง ซึ่งความจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะปราบเขาไปแล้ว มีคนตาย 91 ศพ คุณไม่มีวันทำให้เขาลืมหรือสยบยอมได้ แต่คุณลดความโกรธแค้นได้ นั่นคือให้ความยุติธรรมกับมวลชนที่ถูกจับกุมดำเนินคดี จะนิรโทษกรรมหรือไม่ผมไม่เรียกร้อง แต่ต้องแยกแยะปล่อยตัวคนที่แค่มาร่วมชุมนุมโดยไม่มีพยานหลักฐานว่าทำความผิด คนที่ถูกจับแบบเหวี่ยงแห ส่วนที่เหลือก็ให้ประกันรวมทั้งแกนนำ ซึ่งไม่มีปัญหานี่ครับ สามารถให้ประกันโดยกำหนดเงื่อนไขว่าระหว่างสู้คดีต้องไม่ไปนำการชุมนุมอีก

หรือถ้าคุณอยากจะลดแรงกดดันจากนักการเมือง คุณก็ต้องปลดล็อกยกเลิกการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ ซึ่งอันที่จริงโดยตัวบุคคล ปัจจุบันไปอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเสียมากกว่า แต่นัยทางนิติรัฐ อย่างน้อยมันก็เป็นการ “คืนความยุติธรรม”

ข้อสำคัญที่สุดที่ผู้มีอำนาจหวาดหวั่นคือ กลัวว่าจะไปสู่ “ขบวนการล้มเจ้า” ทั้งที่ความจริงแล้วมันจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าไม่มีการ “ปลุกผี” แอบอ้างสถาบันมาทำลายล้างกันทางการเมือง “ดึงฟ้าลงต่ำ”

ถามว่าวันนี้ยังแก้ไขได้ไหม ยังแก้ไขได้ แต่พวกคุณต้องแก้ไขเอง ผู้จงรักภักดีที่แท้จริงจะต้องวาง roadmap ในการเทิดสถาบันขึ้นไปให้พ้นจากความชุลมุนของการต่อสู้ขัดแย้งทางการเมือง การช่วงชิงอำนาจที่ใช้กองทัพและอำนาจตุลาการเป็นเครื่องมือ

ผู้จงรักภักดีที่แท้จริงควรเข้าใจว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยึดอุดมการณ์หลักคือเสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมนิยมและไม่ใช่เผด็จการ อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องทำลายล้างอุดมการณ์ราชาชาตินิยม สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยซ้ำ ดังที่เห็นในอังกฤษ สวีเดน ฮอลแลนด์ หรืออีกหลายๆ ประเทศ เพียงแต่ต้องไม่เอาอุดมการณ์ราชาชาตินิยมมาอยู่เหนืออุดมการณ์ประชาธิปไตย ผู้จงรักภักดีจึงต้องวาง roadmap ไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมสมัยใหม่ที่เปิดกว้าง เพราะถ้าปล่อยให้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยต่อสู้ทำลายล้างกัน ไม่ว่าใครชนะ ก็แลกมาด้วยความสูญเสียใหญ่หลวงยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยมีมารวมกัน

ยุทธศาสตร์เปลี่ยนไป

ที่พูดมาทั้งหมดอย่าว่าเพ้อฝัน เพราะผมยกตัวอย่างคร่าวๆ ว่าควรตั้งข้อเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจอย่างไรในการ “ปรองดองทางยุทธวิธี” โดยที่ผมเองก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะยอมปรองดอง เพราะพวกเขาต้องการให้ยอมจำนนมากกว่า

แต่ถ้าปรองดองทางยุทธวิธีได้ ไม่ว่าระดับใด ก็เป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาธิปไตย ซึ่งในขั้นตอนนี้ ยังอยู่ระหว่างการตั้งขบวนใหม่ ตั้งลำใหม่ ฟื้นฟู เยียวยา และต้องอดทนรอคอยโอกาส รอความเสื่อมของ “ระบอบอภิสิทธิ์” โดยยังเป็นขั้นตอนของการต่อสู้ทางความคิด และยังเป็นขั้นตั้งรับ อย่าว่าแต่แตกหักเลย แค่รุกก็ยังไม่ใช่

ระบอบอภิสิทธิ์ยังอยู่ในจุด peak และยังจะ peak ไปจนถึงการเลือกตั้ง ผมไม่เชื่อข่าวขู่รัฐประหาร ขั้วอำนาจจารีตนิยมจะไม่ทำรัฐประหารอีก เว้นแต่เกิดเรื่องใหญ่ระดับฟ้าถล่มดินทลาย ทำไมต้องทำรัฐประหาร ในเมื่อเผด็จการมีหน้ากากหล่อๆ ไว้สวมหลอกชาวโลก

ผมมองตรงข้ามว่า ยุทธศาสตร์ของพวกเขา คือต้องการเอาชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ เพราะถ้าพรรคแมลงสาบกับพรรคภูมิใจห้อยกวาดที่นั่งไปซัก 300 กว่าที่นั่ง เพื่อไทยเหลือซัก 100 ที่นั่ง ที่เหลือเป็นพรรคเล็ก พวกเขาก็จะชิงความชอบธรรมไปได้ว่าได้อำนาจจากการเลือกตั้ง

ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อระบอบอภิสิทธิ์ตีกินกระแส “ไทยนี้รักสงบ” ปกป้องสถาบัน ชนะเรียลลิตี้คลั่งชาติ กวาดกระแสคนกรุงคนชั้นกลางที่ยอมเป็น “คนขายเสรีภาพ” (ตามศัพท์ อ.เกษียร) เพื่อความสงบแบบซุกไว้ใต้พรม เพื่อดัชนีเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง โดยไม่สนใจหลักการประชาธิปไตยและความยุติธรรมอีกแล้ว

ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพรรคการเมืองใหม่ถอดใจหมดแล้ว พ่อยกแม่ยกกอดคอกันร่ำไห้ ที่เคยคิดกันว่า กมม.จะมาแย่งฐานเสียง ปชป.ในหลายพื้นที่ ตอนนี้จะเหลือส่งสมัครซักสิบเขตหรือเปล่า ก็ไม่รู้

ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็พรรคภูมิใจห้อยดูด ส.ส.กันเห็นๆ อัดงบประมาณลงไปให้ ส.ส.เฉพาะจุด โดยไม่ต้องพูดว่าจังหวัดไหนไม่เลือกไม่ให้งบประมาณ อย่างทักษิณ (ซึ่งดีแต่พูด) นี่คือสูตร “การเมืองน้ำเน่า” ที่คนชั้นกลางเคยเกลียด แต่ตอนนี้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง

ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ผู้ว่าฯ วางกลไกรัฐไว้พร้อมหมดแล้ว เด็กภูมิใจห้อยใหญ่คับ นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่ประยุทธ์ดันดาว์พงษ์เพื่อนร่วมรุ่น ผู้มีผลงานปราบม็อบเสื้อแดงเป็น เสธ.ทบ.ถามว่าเสธ.ทบ.สำคัญอย่างไร หนึ่ง การซื้ออาวุธ ต้องผ่านเสธ.ทบ. สอง ตาม พรบ.ความมั่นคงที่จัดตั้ง กอ.รมน.เป็นรัฐซ้อนรัฐ เสธ.ทบ.ก็คือแม่บ้านของรัฐทหาร

ถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อ 18 อรหันต์แก้ไขรัฐธรรมนูญชุดสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ โผล่มาเสนอให้เลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว แต่ลดเหลือ 375 เขต ปาร์ตี้ลิสต์เขตใหญ่ทั้งประเทศ เพิ่มเป็น 125 แถมยังแบะท่าว่า ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค

ไม่ทราบเหมือนกันว่าสมคิด เลิศไพฑูรย์, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ที่เป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 50 ให้เหตุผลอย่างไรกับการกลับไปกลับมาไม่มีหลัก ลักลั่น ไม่มีเหตุผล เพราะในขณะเดียวกันก็ให้มี สว.แต่งตั้ง 73 คน สว.เลือกตั้ง 77 คนตามจำนวนจังหวัด (เดี๋ยวตั้งจังหวัดที่ 78 ต้องตามแก้รัฐธรรมนูญอีก) สรุปได้ว่าคนกรุงเทพฯ นี่แหละ “ฟาย” ที่สุด เพราะมีประชากรตั้งมากตั้งมายเป็นศูนย์กลางของประเทศ แต่เลือก สว.ได้คนเดียวเท่าระนอง เท่าบึงกาฬ ยังไปเชียร์เขาเย้วๆ

แก้แบบนี้เข้าทางใครก็เห็นชัด ภูมิใจห้อยอยากให้เลือกเขตเดียวเบอร์เดียวมานานแล้ว แถมลดเหลือ 375 เขต ก็ต้องให้ กกต.แบ่งเขตใหม่ จะแบ่งเข้าทางใครต้องจับตาต่อไป การลด การลด ส.ส.พื้นที่อาจทำให้อัตราส่วน ส.ส.ภาคเหนือภาคอีสานลดลง ขณะที่ปาร์ตี้ลิสต์เขตใหญ่ 125 คน คราวที่แล้ว ปชป.เชื่อว่าเขาได้พอฟัดพอเหวี่ยง

การเลือกตั้งปี 50 ถึงจะใช้กลไกรัฐแทรกแซงอย่างโจ๋งครึ่ม แต่ก็ยังคุมโดยทหารโง่ๆ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะคุมด้วยนักการเมืองเขี้ยวลาก ที่มีทั้งอำนาจเงิน และมีตำรวจ ทหาร ข้าราชการเป็นเครื่องมือ

อ้อ ยังมี “การเลือกตั้งล่วงหน้า” ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนในโลก กฎหมายเลือกตั้งตาม รธน.40 ให้เลือกตั้งต่างแดน ต่างเขต และไปลงล่วงหน้าได้ถ้ามีกิจสำคัญ แต่กฎหมายเลือกตั้งตาม รธน.50 และระเบียบ กกต.ชุดปัจจุบัน เปิดให้เลือกตั้งล่วงหน้า 2 วัน เลือกตั้งจริง 1 วัน ใครนึกอยากจะไปลงเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนไปเที่ยวห้าง หย่อนบัตรนอนไว้ในหีบ อีก 7 วันค่อยมาเปิด ไม่เหมือนวันเลือกตั้งจริง เปิดนับกันเห็นๆ ต่อหน้าประจักษ์พยานกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย

ผมไม่กินเหล้า แต่นึกถึงหัวอกคนกินเหล้าเจ้าของร้านเหล้าผับบาร์แล้วน่าสงสาร เลือกตั้งล่วงหน้าต้องหยุดขายเหล้า 2 วัน เลือกตั้งจริงหยุดแค่วันเดียว บ้าไหม

ปัจจัยทุกอย่างจึงบ่งชี้ว่า รัฐบาลจะชนะถล่มทลาย เป็นจุด peak แต่ก็เป็นจุดเสื่อมไปในตัว กับการทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ โดยถ้ายิ่งยุบสภาเร็ว ก็จะยิ่งชนะมาก แต่ถ้าทอดเวลาไป ไม่แน่เหมือนกัน ปีศาจเสื่อมอาจคลอดก่อนกำหนด

ถ้ารัฐบาลชนะถล่มทลาย ถ้าเพื่อไทยแพ้ย่อยยับ แล้วมีผลอะไรไหมกับขบวนประชาธิปไตย มันอาจมีด้านลบอยู่บ้าง แต่อะไรๆ คงไม่แย่ไปกว่านี้หรอก และมีด้านดีด้วยซ้ำ เพราะเราคงไม่หวังจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้วได้พ่อใหญ่จิ๋ว สภาโจ๊ก หรือพ่อไอ้ปื๊ดมาเป็นนายกฯ

ยุทธศาสตร์ของฝ่ายประชาธิปไตยจึงเปลี่ยนไปจากเดิมที่ถูกผูกอิงอยู่กับการเลือกตั้ง ที่เคยเชื่อๆ กันก่อนนี้ว่าถ้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่แล้วเพื่อไทยจะชนะ (แต่ผมไม่เคยเชื่อ ต่อให้ชนะก็ปฏิรูปประชาธิปไตยไม่ได้ ในเมื่อฝ่ายจารีตนิยมยังกุมอำนาจรัฐราชการ ทหารและตุลาการ อยู่เหนียวแน่น)

มาตอนนี้เราต้องอดทนรอความเสื่อมของระบอบอภิสิทธิ์ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 ขั้นคือความเสื่อมของอภิสิทธิ์จริตนิยม กับความเสื่อมของตัวระบอบอภิสิทธิ์ชน

ที่พูดอย่างนี้เพราะตัวบุคคลก็มีความสำคัญ อภิสิทธิ์สำคัญมากในฐานะหน้ากากละครคาบูกิ เอาไว้หลอกคนกรุงคนชั้นกลางบนโพเดียม ถ้าหมดอภิสิทธิ์เมื่อไหร่ พวกเขาไม่มีตัวแทนที่เหมาะสม กรณ์หรือ สุขุมพันธ์หรือ เทือกไม่ต้องพูดถึง

ความเสื่อมของอภิสิทธิ์จะไม่ต่างจากชวน คือการอุ้มสมพรรคร่วมรัฐบาลโดยปากอ้างความดีความซื่อ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างเช่น ความมั่วความสุดโต่งสมัยไล่ทักษิณ มันจะย้อนกลับมาเข้าตัว ยกตัวอย่างตอนนี้เงินนอกไหลเข้า หุ้นขึ้น พวกนักวิชาการพันธมิตรบางส่วนที่บ้าต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็ออกมาเรียกหาความพอเพียงกันแล้ว

หรือที่ว่าสมัยทักษิณแต่งตั้งโยกย้ายเล่นพวก ดูโผตำรวจ โผผู้ว่าฯ ก็ถูกวิจารณ์ขรม ไหนล่ะ “ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน” คนดีที่ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่แอบอิงนักการเมือง เห็นแต่ศิษย์โรงเรียนเนฯ ทั้งนั้น กลายเป็นทีใครทีมัน ยุคไหนใครมีเส้น ส่วนคนไม่มีเส้น แป๊กทุกยุคทุกสมัย

แต่ความเสื่อมของระบอบอภิสิทธิ์อาจจะมาช้าหน่อย เพราะต้องเสื่อมพร้อมกันทั้งชนชั้นนำและชนชั้นกลาง สถาบันสำคัญที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลาง ทั้งสื่อ ทั้งนักวิชาการ ทั้งสิ่งที่เรียกว่าภาคประชาสังคม จะช่วยกันปกป้อง ผ่อนหนักเป็นเบา หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง จนเสื่อมไปด้วยกัน

ผมมองว่านั่นคือภาระของคนในภาคประชาสังคมที่ยังยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ที่จะต้องทำ “สงครามทำลายล้าง” ทางความคิด กับพวกนักบิดเบือนเหล่านี้ โดยไม่มีคำว่าปรองดอง ไม่มีประกาศลงหนังสือพิมพ์ ทางบ้านให้อภัยแล้ว กลับบ้านด่วน

ขณะที่นักเคลื่อนไหวก็ต้องพยายามตั้งลำใหม่ ตั้งขบวนใหม่ ยกระดับมวลชนเสื้อแดงให้เป็นมวลชนประชาธิปไตยที่ไม่ผูกติดกับพรรคเพื่อไทย ทักษิณ และแกนนำชุดที่ทำให้พ่ายแพ้มาแล้ว วันนี้มวลชนอาจจะอยู่ในสภาพที่ไร้หัว เคว้งคว้าง ไร้ทิศทาง มีแต่ความคับแค้น และมีบ้างที่อาจจะท้อแท้หมดกำลังใจ แต่คนที่ผ่าน 6 ตุลามาแล้วอย่างพวกผม บอกได้เลยว่ามวลชนเสื้อแดงยังมีมากกว่ามวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีตอย่างน้อยสิบเท่า

ขบวนประชาธิปไตยที่ก่อร่างขึ้นใหม่ไม่จำเป็นต้องมีรูปการจัดตั้งเข้มแข็ง ไม่จำเป็นต้องมีศูนย์การนำ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจากทักษิณ จตุพร มาเป็นจาตุรนต์ เพราะจะต้องเป็นขบวนที่มีความหลากหลาย เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ เคลื่อนไหวในรูปแบบที่แตกต่างตามเงื่อนไขของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่มีอุดมการณ์ร่วมคือเสรีประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง

เมื่อถึงจุดเสื่อมสุดจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น ยังมองยาก แต่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงที่เมื่อสั่งสมทางปริมาณเพียงพอ ก็จะปะทุขึ้น นำไปสู่คุณภาพใหม่ เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนทักษิณชนะเลือกตั้งท่วมท้น แค่ปีเดียวล้มพังพาบ หรือใครจะเชื่อว่าสหภาพโซเวียตล่มสลายในช่วงเวลาไม่กี่วันที่เยลต์ซินนำมวลชนลุกฮือ เหมือนมาร์กอส หรือเหมือน 14 ตุลา ที่มีคนออกมาเดินถนนเป็นแสน

ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นสูตรว่า จะต้องเป็นอย่าง 14 ตุลา อย่างอาควิโน อย่างพธม. ผมเพียงจะเน้นว่าตัวอย่างเหล่านี้เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ ไม่มีใครวางแผนไว้ได้ ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่ตัวเยลต์ซิน อาควิโน หรือว่าเสกสรรค์

ฉะนั้น กระบวนการต่อสู้ที่เป็นธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่เสกสรรค์พูดว่า “การปฏิวัติมันเป็นเรื่องใหญ่กว่าการใช้ความรุนแรง มันต้องมีโปรแกรม มีพิมพ์เขียวของสังคมในอนาคต มีจินตนาการใหม่เกี่ยวกับโลกและชีวิต นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดตั้งกำลังที่มีวินัย มีจิตสำนึกชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนการนำก็ต้องปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญจัดเจนในเรื่องยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหว มีการกำหนดเป้าหมายขั้นตอนที่จะสะสมชัยชนะ สิ่งเหล่านี้ผมในฐานะผู้สังเกตการณ์ยังมองไม่เห็น”

แปลว่าตอน 14 ตุลา เสกสรรค์มองเห็น? เสกสรรค์มีโปรแกรมมีพิมพ์เขียว?

ขบวนปฏิวัติแบบที่เสกสรรค์พูดตกยุคไปแล้ว ผมไม่เชื่อเรื่องขบวนปฏิวัติที่มีการจัดตั้ง มีกองกำลังที่เป็นเอกภาพ ผมเชื่อว่าเราต้องมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีคร่าวๆ มีอุดมการณ์กว้างๆ แต่ให้ความเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปโดยธรรมชาติมากกว่า

ที่สำคัญคือเราต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่อุดมการณ์สังคมนิยมที่ต้องไปฝังหัวใคร แล้วก็ไม่ใช่ว่าถึงชัยชนะแล้ว จะต้องเอาพิมพ์เขียวไปบังคับใคร เพราะเราแค่ต้องการทลายอำนาจที่ปิดกั้น เสรีประชาธิปไตยคือทุกคนมีเสรี ยกเว้นพวก พธม.ไม่ให้มีเสรี เพราะพวกนี้ไม่ต้องการประชาธิปไตย ต้องการ 70-30 (ฮา)

เอาแค่ที่บอกว่าการนำต้องปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว ก็ผิดแล้ว (ถ้าอย่างนั้นก็เอาพระนำสิ หามมาเลย) การต่อสู้วันนี้เป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ทางชนชั้น ถ้าผลประโยชน์สอดคล้อง ใครนำก็เอาด้วย ดูอย่างสนธิสิ ปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวไหม พันธมิตรก็ยังยอมรับเป็นศาสดา
 

ใบตองแห้ง
9 ก.ย.53

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น