ประชาไท | Prachatai3.info |
- FCCT เผย "บัวแก้ว" จี้งดจัดเวทีเรื่องสิทธิในเวียดนาม อ้างไม่ยอมให้ใครใช้ไทยจัดงานโจมตีประเทศอื่น
- กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงขี่จักรยานรอบพื้นที่ราชประสงค์
- "มาร์ค" ระบุ "ตู่" ขัดขวางการพัฒนาประเทศ-ปรองดอง
- สนนท. ส่งจดหมายเปิดผนึกให้กำลังใจนักศึกษา ม. บูรพา
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 6-12 ก.ย. 2553
- สถานการณ์วันที่ 5 ของการนัดหยุดงานที่โรงงานทออวนเดชาพาณิชย์ จ.ขอนแก่น
- ส.ส. ประชาธิปัตย์ แนะ นปช.หยุดใส่เสื้อแดงรำลึก 19 กันยา ชี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุนแรง
- สุรพศ ทวีศักดิ์: “พระไพศาล วิสาโล” พระสงฆ์เป็นเครื่องมือของรัฐ?
- บัวแก้วแจงจุฬาราชมนตรีขอวีซ่ากระชั้นชิดเหตุไม่ไปฮัจญ์
- "สมยศ" โวยรัฐปิด "เรด พาวเวอร์" เสียหายกว่า 10 ล้าน เดินหน้าทำต่อที่เชียงใหม่
- รองผู้ว่าเชียงใหม่เผย เตรียมเสนอรัฐบาลประกาศ พรก.ฉุกเฉิน อีกครั้ง
- ไพร่ ผู้ดี พื้นที่ และกาลเวลา
FCCT เผย "บัวแก้ว" จี้งดจัดเวทีเรื่องสิทธิในเวียดนาม อ้างไม่ยอมให้ใครใช้ไทยจัดงานโจมตีประเทศอื่น Posted: 12 Sep 2010 11:12 AM PDT สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เผย ก.ต่างประเทศ ขอให้งดจัดเวทีสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ระบุรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงออกและความหลากหลายทางความคิด แต่จะไม่ยอมให้ใครใช้ประเทศไทยจัดกิจกรรมสร้างความเสียหายให้ประเทศอื่น เว็บไซต์ http://www.fccthai.com (12 ก.ย. 53) สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เผยแพร่ข่าวผ่านเว็บไซต์ http://www.fccthai.com/ ระบุว่า เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส คือ สหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (International Federation for Human Rights: FIDH) และคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนเวียดนาม (the Vietnam Committee on Human Rights: VCHR) ได้จองห้องของเอฟซีซีที เพื่อจัดการแถลงข่าวเปิดตัวรายงาน เรื่อง จากวิสัยทัศน์สู่ความเป็นจริง: สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ภายใต้การเป็นประธานอาเซียน 2010 ในวันจันทร์ที่ 13 ก.ย.นี้ โดยเอฟซีซีทีได้ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องถึงการจัดงานครั้งนี้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ส.ค. อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (9 ก.ย.) เอฟซีซีทีได้รับการติดต่อจากกระทรวงการต่างประเทศของไทย ให้ยกเลิกการจัดแถลงข่าวดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าอาจมีข้อมูลที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านเสียหาย เอฟซีซีทีจึงชี้แจงว่า การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการเช่าสถานที่ เอฟซีซีทีไม่ได้เป็นผู้สนับสนุน แต่กระทรวงการต่างประเทศยังคงขอให้เอฟซีซีทีสื่อสารกับองค์กรผู้จัดงานว่า ประเทศไทยตั้งใจจะระงับการออกวีซ่าให้แก่ผู้ร่วมแถลงข่าว เอฟซีซีทีได้ปฎิเสธความรับผิดชอบดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า เป็นการไม่สมควรที่เอฟซีซีทีจะเป็นผู้ส่งสารซึ่งควรเป็นเรื่องภายในระหว่างบุคคลและรัฐบาล ในเรื่องที่เอฟซีซีทีไม่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่ออธิบายจุดยืนใน การขอให้ยกเลิกการจัดงานด้วย ต่อมา ในเย็นวันศุกร์ เอฟซีซีทีได้รับอีเมลจากนายธานี ทองภักดี รักษาการอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยจะยึดถือหลักการเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกและความหลากหลายทางความคิด แต่ก็มีจุดยืนมาอย่างยาวนานที่จะไม่อนุญาตให้องค์กรหรือบุคคลใดใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่จัดกิจกรรมที่อาจสร้างความเสียหายต่อประเทศอื่นได้ ดังนั้นจึงหวังว่าเอฟซีซีทีจะเคารพจุดยืนนี้และไม่อนุญาตให้มีการจัดงานแถลงข่าวดังกล่าว ต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว เอฟซีซีทีระบุว่า เอฟซีซีทีเองก็ให้ความสำคัญกับหลักการเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกและความหลากหลายทางความคิด และชื่นชมที่รัฐบาลไทยก็ให้ความสำคัญกับหลักการนี้เช่นกัน หากแต่น่าเสียดายที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีกดดันมาที่เอฟซีซีที ทั้งนี้ จะเป็นการดีกว่าหากรัฐบาลทบทวนวิธีการเสียใหม่ อย่างไรก็ตาม ต่อมาปรากฎว่า องค์กรจัดงานได้แจ้งยกเลิกการแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้ โดยให้เหตุผลกับเอฟซีซีทีว่า ทางการไทยปฎิเสธที่จะออกวีซ่าให้ผู้ร่วมเวทีทั้งสองคน สำหรับการแถลงข่าวที่ตามกำหนดการเดิมจะจัดในวันพรุ่งนี้ รายละเอียดในกำหนดการระบุว่า จะมีการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ซึ่งรวมถึงการกักขังหน่วงเหนี่ยวในคดีความมั่นคง โดยปราศจากการไต่สวน การกดขี่ทางศาสนา การปราบปรามนักต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชน การปิดกั้นเสรีภาพสื่อ การใช้โทษประหารชีวิตอย่างแพร่หลาย และการละเมิดสิทธิสตรี สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงขี่จักรยานรอบพื้นที่ราชประสงค์ Posted: 12 Sep 2010 10:06 AM PDT กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจัดกิจกรรมขี่จักรยานไปบนเส้นทางที่มีผู้เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ โดยมีผู้นำจักรยานเข้าร่วมขบวนกว่า 50 คัน และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก 12 ก.ย.53 - ที่แยกราชประสงค์ กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจัดกิจกรรมขี่จักรยานไปบนเส้นทางที่มีผู้เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ โดยมีผู้นำจักรยานเข้าร่วมขบวนกว่า 50 คัน และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ก่อนเคลื่อนขบวนจักรยาน นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้ริเริ่มกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการจัด กิจกรรม “4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนราชประสงค์” ในวันที่ 19 ก.ย.ที่จะถึงนี้ว่า เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์ขอ คืนพื้นที่และกระชับพื้นที่ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนจะแสวงหาคำตอบเอง และเป็นการยืนยันว่าคนเสื้อแดงยังไม่ลืมความสูญเสียที่เกิดขึ้น นายสมบัติกล่าวกิจกรรมในวันที่ 19 ก.ย.ว่า เป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อรำลึกถึงการรัฐประหารในเดือน ก.ย. 2549 และรำลึกถึงความสูญเสียของประชาชนจากสลายการชุมนุมในเดือน พ.ค.2553 โดยกิจกรรมในวันนั้นจะมีการปล่อยลูกโป่งสีแดงจำนวน 10,000 ลูกขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน จากนั้นจะมีการผูกผ้าแดง 100,000 ชิ้นทั่วราชประสงค์ และมีกิจกรรมนอนตาย ก่อนจะจบด้วยการจุดเทียนสีแดงในเวลา 19.00 น. โดยกิจกรรมทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง ซึ่งนายสมบัติคาดว่าจะมีผู้เดินทางมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ผู้สื่อข่าวได้ถามนายสมบัติเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งนายสมบัติตอบว่าไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามไม่มีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง และหวังว่าจะไม่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จัดกิจกรรม “ขอประณามคนที่ทำเหตุการณ์ระเบิด ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหนไม่มีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง ผมหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่เราจัดกิจกรรมรำลึก” นายสมบัติกล่าว นอกจากนี้นายสมบัติยังกล่าวด้วยว่า ได้ประสานงานกับทางเจ้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว และหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนคำถามของผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ถามว่านายสมบัติเป็นแกนนำคนเสื้อแดงหรือไม่ นายสมบัติยืนยันว่า ตนไม่ใช่แกนนำ แต่เป็นประชาชนที่มาจัดกิจกรรม และเชื่อว่าแม้จะไม่มีแกนนำ ประชาชนก็จะยังคงทำกิจกรรมต่อไป ระหว่าง นั้น น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ได้เดินทางมาที่แยกราชประสงค์เพื่อมาให้กำลังใจผู้ที่มาร่วมกิจกรรมวัน อาทิตย์สีแดง ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างอบอุ่น ในเวลา 17.00 น.เศษ ขบวนจักรยานเริ่มเคลื่อนตัวออกจากแยกราชประสงค์ โดยวิ่งไปตามถนนราชดำริ ผ่านแยกประตูน้ำเข้าถนนราชปรารภ มาหยุดขบวนในจุดที่นายสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอถูกยิงเสียชีวิตในตอนเช้าวันที่ 15 พ.ค. และหยุดแวะที่ปากซอยราชปรารภ 22 เพื่อพูดคุยและดูร่องรอยกระสุนปืนที่ยิงเข้าใส่บ้านเรือนประชาชนจนได้รับความเสียหาย จากนั้นจึงเคลื่อนขบวนเข้าสู่ถนนราชวิถี ผ่านสวนสันติภาพ ห้างเซ็นเตอร์วัน และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพญาไทและเข้าสู่ซอยรางน้ำเพื่อวกกลับมาที่ถนนราชปรารภ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปบนถนนราชดำริจนมาถึงปลายทางที่ลานพระรูป ร.6 หน้าสวนลุมพินี ระหว่างทางที่ขบวนจักรยานเคลื่อนที่ไปมีการส่งเสียง “ทหารยิงประชาชน” และ “เราไม่ลืม” เป็นระยะ และมีประชาชนริม 2 ข้างทางโบกมือให้กำลังใจ โดยการเคลื่อนขบวนจักรยานใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนที่ลานพระรูป ร.6 สวนลุมพินี มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ซึ่งถูกลอบยิงในตอนค่ำวันที่ 13 พ.ค.และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยกิจกรรมนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงก็ได้เดินทางมาร่วมใน กิจกรรมดังกล่าวนี้ด้วย ในกิจกรรมมีการจำลองเหตุการณ์ที่ พล.ต.ขัตติยะ ถูกลอบยิงขณะกำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ จากนั้น น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล และผู้ร่วมกิจกรรมได้ร่วมกันนำภาพวาดของ พล.ต.ขัตติยะ พร้อมผ้าสีแดงและกุหลาบแดงเดินเท้าไปยังทางขึ้น-ลงของสถานีรถไฟใต้ดินสีลม ฝั่งสวนลุมพินีซึ่งเป็นจุดที่ พล.ต.ขัตติยะถูกยิงล้มลง จากนั้น น.ส.ขัตติยาได้อ่านประวัติย่อของ พล.ต.ขัตติยะ และผู้ร่วมกิจกรรมร่วมกันจุดเทียนสีแดงและนำกุหลาบแดงมาวางหน้าภาพ พล.ต.ขัตติยะ จากนั้นจึงร่วมกันร้องนักสู้ธุลีดิน และผู้ร่วมกิจกรรมบางส่วนนำผ้าสีแดงมาผูกในบริเวณที่ พล.ต.ขัตติยะถูกยิง ในช่วงท้ายของกิจกรรม น.ส.ขัตติยาได้กล่าวขอบคุณต่อผู้ร่วมกิจกรรมในความรักที่มี พล.ต.ขัตติยะ ซึ่งเป็นบิดาของตน และกิจกรรมได้ยุติลงในเวลาประมาณ 19.00 น.
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
"มาร์ค" ระบุ "ตู่" ขัดขวางการพัฒนาประเทศ-ปรองดอง Posted: 12 Sep 2010 08:28 AM PDT "มาร์ค" ออกรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ ขอ "จตุพร" หยุดขวางการพัฒนา ปท.-แผนปรองดอง รอประเมิน 2-3 เดือน ก่อนจัดการเลือกตั้งใหม่ 12 ก.ย. 53 - นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวเมื่อวันที่ 11 กันยายน ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ช่วงที่สาม ซึ่งมีนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการว่า มีความเป็นกังวลต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในช่วง19ก.ย.ครบ4ปีของการทำรัฐประหาร ซึ่งรัฐบาลไม่ขัดขวางการกิจกรรมทางการเมืองยกเว้นการทำผิดกฏหมายเช่นการปิด ถนน ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้สองมาตรฐาน ใครทำผิดกฏหมายจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดี ส่วนการพบวัตถุเบิด และยิง M79 ในหลายจุด และล่าสุดมีกระแสข่าวเกิดเหตุระเบิดบริษัทของพ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อกลางดึกนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นการกระทำที่ท้าทายสังคม ส่วนการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความสงบสุข ทางที่ดีที่สุดต้องยึดหลักสากล โดยรัฐบาลพร้อมเปิดพื้นที่แสดงออกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้สร้างสถานการณ์ตามที่นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.เพือไทย และแกนนำคนสำคัญของนปช.ออกมาตั้งข้อสังเกตุขอให้นายจุตพร หยุดขัดขวางกระบวนการพัฒนาประเทศชาติ และแผนปรองดองได้แล้ว รัฐบาล พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น แต่พรรคเพื่อไทย ต้องตัดจากกลุ่มคน ที่มีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุรุนแรงให้ได้ที่ผ่านมาได้เคยเสนอกติกาเพื่อ ให้เกิดความปรองดอง แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอด นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งที่จะนำไปสู่ความสงบต้องเป็นการเลือกตั้งที่เป็นธรรม และเสรี ซึ่งเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมืองที่ผ่านมาประชาชนยังเกิดความไม่มั่นใจ จึงขอเวลาในการประเมินสถานการณ์ใน 2-3 เดือนจากนี้ก่อน รวมทั้งต้องรอให้คณะกรรมการปฏิรูปทุกชุด มีการทำงานให้ความชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ชัดว่า ต้นปีหน้าจะมีการเลือกตั้งได้หรือไม่ และจะเป็นในช่วงเวลาใดที่เหมาะสม ที่มาข่าว: สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สนนท. ส่งจดหมายเปิดผนึกให้กำลังใจนักศึกษา ม. บูรพา Posted: 12 Sep 2010 07:35 AM PDT 12 ก.ย. 53 - สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักศึกษา ม. บูรพา ที่ถูกเรียกเข้า บชน. 5 เหตุร่วมงานเสื้อแดง ย้ำสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” เป็นเรื่องเกินอาจเอื้อมในสังคมเผด็จการ
ที่มา: http://www.siamintelligence.com/open-letter-from-sft-to-friend-from-burapa-univ/ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 6-12 ก.ย. 2553 Posted: 12 Sep 2010 07:26 AM PDT
แฉบ.นายหน้าจ้องตุ๋นแรงงานอีสาน ล็อบบี้จ่าย 2 หมื่น แลกให้เมียแก้ข่าว ความคืบหน้าปัญหาแรงงานไทยไปตกระกำ ลำบากที่ประเทศลิเบีย ยิ่งตีแผ่ความเดือดร้อนนานเท่าไหร่ยิ่งเจอเหยื่อแรงงานมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ล่าสุดวันที่ 5 ก.ย.53 หนึ่งในแรงงานไทยที่สุดทนกับของยากลำบากที่ต้องเผชิญอยู่จนอยากเดินทางกลับ ประเทศไทยได้โทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศจากลิเบียมาร้องทุกข์กับ"นสพ.สยามรัฐ" พร้อมยอมเปิดเผยชื่อนามสกุลว่านายมานะ พึ่งกล่อม บ้านพักอยู่ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ข่อนแก่น เปิดเผยความอัดอั้นตันใจว่า บริษัทจัดหางานแห่งหนึ่งได้ติดต่อทำสัญญาให้เดินทางไปต่างประเทศเสียค่าหัว คิว 180,000 บาท โดยส่งต่อไปให้บริษัทนายหน้าจัดหางานเงินและทอง พัฒนา จำกัดเพื่อไปทำงานที่ประเทศลิเบียที่เมืองพาจูลี่กับบริษัทนายจ้างชื่อรันฮิ ว ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.53
(สยามรัฐ, 6-8-2553) ตั้งโรงงานทะลัก 2.9 หมื่นล้าน รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เดือน ก.ค. 53 มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม 334 ราย วงเงินลงทุน29,292 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ49 เดือน เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจต่อเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวระดับ 7%ได้ในปีนี้ รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และแนวทางการแก้ปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมีความชัดเจน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งขยายกิจการและลงทุนใหม่เพิ่มเติมเพื่อรองรับคำ สั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันพบว่าภาคอุตสาหกรรมในจีน มีค่าแรงที่สูง ส่งผลให้บริษัทหลายแห่งย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น โดยเฉพาะไทยที่มีศูนย์กลางของภาคอุตสาหกรรมในอาเซียน และรัฐบาลจีนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อป้อนสินค้า กลับให้ประชาชนในประเทศที่มีมากถึง 1,300-1,400 ล้านคน โดยจังหวัดที่มีมูลค่าลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกในเดือนก.ค. ประกอบด้วยจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่า 9,665 ล้านบาทรองลงมาจังหวัดระยอง มูลค่า 6,481 ล้านบาทจังหวัดเพชรบูรณ์ 4,262 ล้านบาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มูลค่า 1,735 ล้านบาทและ จังหวัดสระบุรี 1,293 ล้านบาท "โครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญ เช่นบริษัทเจเทคโตะ (ไทยแลนด์) จำกัด ลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ตลับลูกปืน มูลค่าลงทุน9,235 ล้านบาท, บริษัท นิรันดร์ (ประเทศไทย) จำกัด ลงทุนผลิตกรดมะนาว วงเงิน5,134 ล้านบาท, บริษัท แคนนอนไฮ-เทค(ประเทศไทย) จำกัด ผลิตสินค้าประเภทกระดาษ ที่ไม่ใช่ภาชนะบรรจุ มูลค่า1,100 ล้านบาท, และบริษัทเขาค้อ วินด์ พาวเวอร์ จำกัด ผลิตพลังงานไฟฟ้า กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ วงเงินลงทุน 4,197 ล้านบาท" ทั้งนี้เมื่อรวมโรงงานที่ได้รับ อนุญาตประกอบกิจการในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.)มีจำนวน 2,104 ราย มูลค่า 1.03 แสนล้านบาท มีการจ้างงาน 4.6 หมื่นคน ส่วนโรงงานที่ยกเลิกกิจการในช่วง 7 เดือน มี 1,016 รายมูลค่า 9,723 ล้านบาท เลิกจ้างงาน 2.39 หมื่นราย นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดอุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงได้ส่งเสริมการวิจัยเพื่อช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมให้สามารถ พัฒนาผลิตสินค้าที่มีมูลค่ามากขึ้นเช่น สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอได้พัฒนาการวิจัยการผลิตเสื้อเกราะกันกระสุนได้ ในระดับสากลตามมาตรฐานเอ็นไอเจ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรป ล่าสุดสามารถผลิตเสื้อเกราะมอบให้แก่กระทรวงกลาโหมนำไปใช้ประโยชน์ในการ ปฏิบัติงานของข้าราชการ จำนวน 39 ตัว และในอนาคตจะส่งผลให้มีการต่อยอดอุตสาหกรรมสิ่งทอเกี่ยวกับการผลิตเสื้อ เกราะกันกระสุนเพื่อให้เกิดในเชิงพาณิชย์ต่อไป "งานวิจัยเสื้อเกราะกันกระสุนได้ทำ การทดสอบประสิทธิภาพ โดยโรงงานวัตถุระเบิดทหาร กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานจังหวัดนครสวรรค์ สามารถป้องกันกระสุนได้ในระดับ 3 เอ หรือจากปืนพกสั้นทุกชนิด ซึ่งได้มาตรฐานการทดสอบตามเอ็นไอเจ ซึ่งในอนาคตจะสามารถลดการนำเข้าเสื้อเกราะจากต่างประเทศที่มีราคาแพงได้ อย่างมหาศาล" นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า สาเหตุที่นักลงทุนเข้ามาตั้งโรงงานในไทยในเดือน ก.ค. มีมูลค่ามากสุดรอบ 49 เดือนเนื่องจากเศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในระดับแนวหน้าของ ภูมิภาค "ต่างชาติเริ่มมองไทยมากขึ้นหลังจาก จีนประสบปัญหาค่าจ้างที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ดังนั้นทุนข้ามชาติในจีนและบริษัทจีนเองก็เริ่มนำเงินมาตั้งโรงงานในประเทศ อื่นมากขึ้น" (เดลินิวส์, 6-8-2553) จี้ รมว.แก้ปัญหาแรงงานโปแลนด์/ลิเบีย รายงานข่าวแจ้งว่าวันที่ 7 ก.ย.ตัวแทนกลุ่มแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศลิเบียมายื่นหนังสือแก่นายเฉลิม ชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงานที่รัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานช่วยเร่งติดตามการจ่าย เงินเดือนที่ยังตกค้าง รวมทั้งขอให้ช่วยคืนเงินค่าดำเนินการไปทำงานต่างประเทศเพราะอัตราที่จ่ายไป เป็นอัตราที่สูงกว่าที่กฏหมายกำหนด ทั้งนี้แรงงานดังกล่าวเดินทางไปทำ งานในลิเบียผ่านบริษัท จัดหางานเงินและทองพัฒนา จำกัด ไปทำงานกับนายจ้าง arsel-bena wa tasheed joint venture ที่ประเทศลิเบีย และระบุว่านายจ้างกระทำผิดสัญญาว่าจ้าง จ่ายเงินเดือนและค่าโอทีแก่ลูกจ้างไม่ครบตามสัญญา ไม่จัดสรรสวัสดิการด้านที่พักอาศัยและอาหารทำให้ลูกจ้างได้รับความอยากลำบาก ตัวแทนแรงงานยังเรียกร้องให้รมว.แรง งานเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนผู้ใช้แรงงานที่ยังตกค้างอยู่ในลิเบียอีก 90 คนเพื่อให้เห็นสภาพความเป็นอยู่และการทำงานว่าลำบากยากแค้นเพียงใด นอกจากนี้ยังมีตัวแทนแรงงานไทยที่ไป ทำงานในโปแลนด์ประมาณ 40 คนยื่นหนังสือแก่ รมว.แรงงานเช่นกันเพื่อขอให้ช่วยเร่งจ่ายเงินค่าชดเชยหลังจากที่ไปทำงานแล้ว ไม่ได้รับเงินเดือน น.ส.ศรัณยา พื้นพรม หนึ่งในแรงงานที่เดินทางไปโปแลนด์กล่าวว่าได้เดินทางผ่านการจัดการของ บริษัท จัดหางานกิตติบาร์เดอร์ จำกัดโดยกู้เงินจากธนาคารเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายกว่า 3 แสนบาท ในสัญญาจ้างระบุว่าต้องได้รับเงินคนละ 750 ดอลล่าร์/เดือน แต่ปรากฏว่าไปถึงแล้วได้รับค่าจ้าง เพียง 1 เดือน อีก 3 เดือนที่เหลือยังไม่ได้รับค่าจ้างและถูกทางการโปแลนด์ขังกว่า 1 เดือนเพราะทำงานผิดประเภท ทุกวันนี้ยังต้องจ่ายหนี้กับธนาคารเฉลี่ยกว่าเดือนละ 1 หมื่นบาท นายสุธรรม นทีทอง โฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวว่าขณะนี้ได้นำเรื่องร้องเรียนเสนอแก่รมว.แล้ว เบื้องต้นจะให้กรมการจัดหางานเร่งตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ส่วนนายสุเมธ มโหสถ นักวิชาการแรงงานเชี่ยวชาญ กล่าวว่าในกรณีของโปแลนด์ กรมการจัดหางานได้พักใบอนุญาตการจัดส่งคนงานไทยไปทำงานต่างประเทศกับบริษัท ดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ส.ค. เป็นระยะเวลา 120 วัน รวมทั้งส่งหนังสือไปยังธนาคารที่บริษัทวางเงินมัดจำวงเงินกว่า 5 ล้านบาทมาจ่ายค่าชดเชยให้คนงานแล้ว ทั้งนี้ บริษัท จัดหางานกิตติบาร์เดอร์ จำกัด เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตมาแล้ว 1 ครั้ง ต่อมาได้จดทะเบียนใหม่และมาเกิดปัญหาอีกครั้งในกรณีนี้ ซึ่งหากบริษัททำความผิดเพิ่มเติมในระหว่างที่พักใบอนุญาตมีโทษสูงสุดคือเพิก ถอนใบอนุญาตหรือฝ่าฝืนจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องรับโทษทางอาญาด้วย (โพสต์ทูเดย์, 7-9-2553) จัดหางานลำปางเผยต้องการแรงงานกว่า 400 นางสาวลักษณา สิริเวชประเสริฐ จัดหางานจังหวัดลำปาง เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดแรงงาน ของ จังหวัดลำปางในเดือนสิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ว่า ในพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ยังคงต้องการแรงงานฝ่ายการผลิตเข้าทำงานเป็นจำนวนมากกว่า 450 คน โดยเฉพาะแรงงานบรรจุผลิตภัณฑ์ แรงงานด้านการประกอบ ช่างตัดเย็บเครื่องแต่งกาย และช่างทำหมวก ซึ่งสถานประกอบการต้องการแรงงานที่ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษามากที่สุด รองลงมาคือ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และระดับประถมศึกษา ดังนั้น ในเดือนสิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา สถานประกอบการในจังหวัดลำปาง จึงมีการรับแรงงานที่จบการศึกษาระดับ มัธยมศึกษา เข้าทำงานมากที่สุดกว่า 120 คน รองลงมา ได้แก่ ระดับประถมศึกษา 71 คน เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิต (ไอเอ็นเอ็น, 8-9-2553) OECD เรียกร้องประเทศสมาชิกเร่งส่งเสริมการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน นายแองเจล กูร์เรีย เลขาธิการ OECD กล่าวในระหว่างการรายงานประจำปีขององค์กรในเรื่องการศึกษาว่า "เศรษฐกิจของโลกจะฟื้นตัวขึ้นได้ไม่ใช่เพราะมาตรฐานระดับชาติเพียงอย่าง เดียว แต่ระบบการศึกษาที่ดีที่สุดจะช่วยให้ประเทศชาติประสบความสำเร็จด้วย" โดยนายกูร์เรีย ได้แสดงความคิดเห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยได้ทำให้ระดับการจ้างงานลดลง โดยเขาระบุว่าการศึกษาเป็นการลงทุนที่จำเป็นสำหรับการความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีและประชากรศาสตร์ที่ทำให้ตลาดแรงงานเปลี่ยนไป "การศึกษาที่ดีทำให้มีโอกาสได้งานทำ สูง โดยในประเทศที่ประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ คนที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าจะมีความลำบากในการหางานทำหรือการรักษาสภาพการ เป็นลูกจ้างได้น้อยกว่าคนที่มีการศึกษาที่ดี" นายกูร์เรียกล่าว ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า ประเทศสมาชิก OECD ทั้ง 32 ประเทศ มีอัตราการว่างงานของประชากรที่จบการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมในอัตราที่ต่ำ กว่า 4% ในขณะที่จำนวนคนว่างงานที่มีการศึกษาระดับมัธยมลงมามีอัตราสูงกว่า 9% อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศสมาชิก OECD ผู้ที่จบการศึกษาสูงกว่าระดับมัธยมจ่ายภาษีตลอดชีวิตการทำงานเฉลี่ย 119,000 ดอลลาร์ สูงกว่าคนที่จบการศึกษาในระดับมัธยมลงมา ส่วนรายงานขององค์กรฯ ระบุว่า "ในแง่ของค่าใช้จ่ายของรัฐต่อผู้ที่มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี รายได้จากภาษีและการช่วยเหลือสังคมที่สูงกว่าจากผู้ที่มีการศึกษาในระดับ ปริญญาตรีก็ถือเป็นการลงทุนในระยาวที่ดี" ทั้งนี้ OECD ได้แสดงความคิดว่า ในการพิจารณาความความแตกต่างระหว่างประเทศสมาชิกต่อการลงทุนด้านการศึกษา ระดับตติยภูมิ พบว่า มากกว่า 60% ในประเทศอังกฤษ สหรัฐ และสมาชิกบางประเทศ เป็นการให้ทุนการศึกษาโดยภาคเอกชน ในขณะที่ เบลเยี่ยม และ เดนมาร์ก และอีกหลายประเทศ มีอัตราส่วนต่ำกว่า 10% สำนักข่าวซินหัวรายงาน (อินโฟเควสท์, 8-9-2553) รวบสาวใหญ่หลอกแรงงานไปต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 8 กันยายน พ.ต.อ.สุวิชญ์พล อิ่มใจรัชต์ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ณพวัฒน์ อารยางกูร ผกก.1 บก.ปคม.แถลงข่าวจับกุม นางภาวิณี ศิริวงศ์ อายุ 52 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1841/2553 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2553 ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือฝึกงานในต่างประเทศโดยได้ไปซึ่ง เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง และข้อหาหลอกลวงผู้อื่นโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือด้วยการปกปิดข้อความ จริงซึ่งควรแจ้งแก่ประชาชน ตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2528 จับกุมได้ที่หน้าหมู่บ้านวิลล่ารามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. พ.ต.อ.สุวิชญ์พล กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก นายนิติชัย วิสุทธิพันธ์ นักวิชาการแรงงาน ชำนาญการ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้พาผู้เสียหายหลายราย เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ภายหลังถูกนางภาวิณี กับพวก หลอกลวงว่าสามารถพาไปทำงานนวดแผนไทยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สวีเดน อาหรับเอมิเรสต์ และจีน โดยมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเป็นค่าดำเนินการตั้งแต่ 26,000-60,000 บาท แต่หลังจากจ่ายเงินแล้วกลับไม่ได้เดินทางไปทำงานตามที่มีการกล่าวอ้างแต่ อย่างใด พ.ต.อ.สุวิชญ์พล กล่าวอีกว่า ต่อมาทางชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคม.สืบทราบว่า นางภาวิณี มีอาชีพเปิดสอนนวดแผนไทยให้กับผู้ที่สนใจและมีพฤติการณ์ร่วมกับพวก ชักชวนผู้เสียหายไปทำงานนวดยังต่างประเทศโดยไม่มีใบอนุญาตจัดหางานให้คนงาน เดินทางไปทำงานต่างประเทศ และไม่ได้จดทะเบียนเป็นตัวแทนของบริษัทจัดหางานแห่งใด จึงรวบรวมพยาน หลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 3 ราย สามารถติดตามจับกุมไว้ได้แล้วก่อนหน้านี้ คือ นางจรีรัตน์ วิเศษดี จับกุมตัวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา สอบสวนนางภาวิณี ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาโดยอ้างว่า ผู้เสียหายทั้งหมดมาสมัครเรียนนวด บางคนก็มากินนอนอยู่ที่บ้านตน ส่วนเรื่องการจัดหางานนั้นมีนางจรีรัตน์ และเพื่อนอีกคนเป็นคนชักชวน ที่ผ่านมาตนเก็บเงินค่าเรียนนวดรายละ 999 บาทเท่านั้น นอกจากนี้สำหรับผู้เสียหายบางรายที่มีปัญหาฟ้องร้องตนนั้นก็มีการไกล่เกลี่ย คดีอยู่จึงไม่ทราบว่าเหตุใดจึงถูกแจ้งความดำเนินคดีในความผิดดังกล่าว ตนยืนยันจะขอต่อสู้คดีในชั้นศาล ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ปคม.ดำเนินคดี โดยผู้เสียหายที่เชื่อว่าถูกผู้ต้องหาหลอกลวงสามารถเข้าชี้ตัวเพื่อแจ้งข้อ หาเพิ่มเติมได้ที่ บก.ปคม. (โพสต์ทูเดย์, 8-9-2553) แรงงานพม่า ขอนแก่น ประท้วงหลังถูกเบี้ยวเงินค่าชดเชย เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 9 ก.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า ได้มีแรงงานพม่าจำนวน 600 คน ซึ่งทำงานอยู่ที่ โรงงานทออวนของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงงานทออวนเดชาพานิช ตั้งอยู่ที่ 191 ม.1 ถ.มิตรภาพ ต.สำราญ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ประท้วงไม่ยอมทำงาน เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา มีเพื่อนคนงาน 5 คน ถูกไล่ออก และ ทางผู้ประกอบการยึดพาสปอร์ตเอาไว้ พร้อมกับไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย และพอขอพาสปอร์ตคืน ผู้ประกอบการกลับแจ้งว่าพาสปอร์ตมีปัญหา ทำให้คนงานไม่พอใจ เนื่องจากเกรงว่าพาสปอร์ตของพวกตนจะมีปัญหาเช่นกันและขอพาสปอร์ตคืนทั้งหมด เพื่อขอเดินทางกลับไปที่ประเทศพม่า ทำให้เกิดการโกลาหลขึ้น ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น.ทางผู้ประกอบการได้ชี้แจงกับพนักงานบอกว่า ยินดีจะส่งกลับประเทศ และยินดีจะคืนพาสปอร์ตให้ แต่แรงงานจะไม่ได้ค่าชดเชย โดยค่าชดเชยที่แรงงานจะได้รับตกประมาณคนละ 3,000 บาท ทำให้แรงงานพม่าไม่พอใจและประท้วงเพื่อขอเงินชดเชยทั้งหมด ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่รัฐกำลังจะเข้าไปเจรจาและดำเนินการเพื่อยุติปัญหา เรื่องนี้ (เนชั่นแชลแนล, 9-9-2553) ตุ๋นทำงานเมืองนอกสูญเงิน 10 ล้านบาท ร.ต.อ.สัญญา อุทุมพร ร้อยเวร สภ.เมืองสมุทรปราการ รวบรวมหลักฐานเข้าขออนุมัติหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อจับกุม นายอานัส สุกใส อายุ 44 ปี นายอาทร ทรัพย์สิน อายุ 23 ปี นายนฤทธา กองตุ้ย อายุ 41 ปี และ น.ส.นีรนุช เงินขาว อายุ 21 ปี สี่ผู้ต้องหาในคดี ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยร่วมกันจัดหาคนงานส่งไปทำงานต่างประเททศโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถจัดหางานในต่างประเทศเพื่อให้ได้มาซึ่ง ทรัพย์สิน โดย ร.ต.อ.สัญญา อุทุมพร เปิดเผยว่า เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. 53 ที่ผ่านมามีชาวบ้านย่านแพรกษา แพรกษาใหม่ และบางเมือง จำนวนหลายคนเข้าแจ้งความว่าถูก นายอานัส สุกใส ซึ่งเปิด บริษัท เซ้ฟโก้ และ คิวซีที จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 21 ถ.รังสิต ต.ประชาธิปปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี รับสมัครหาคนงานเดินทางไปทำงานประจำแคมป์ก่อสร้างที่ ประเทศบาเรนจำนวนมาก มีรายได้เดือนละ 15,000-100,000 บาท แล้วแต่ตำแหน่งงาน แต่ผู้ที่สมัครงานจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางในเรื่องเอกสารส่วนตัวไป ยังต่างประเทศ คนละ 20,000-40,000 บาท หลังจากนั้นนายอานัส ก็ให้ลูกน้องประจำออฟฟิศซึ่งประกอบไปด้วย นายอาทร นายนฤทธา และ น.ส.นีรนุช ออกติดตามชักชวนชาวบ้านให้มาร่วมสมัครงาน ซึ่งมีชาวบ้านในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ทั้งหมด 215 คนที่หลงเชื่อเข้ามายื่นเรื่องสมัครงานดังกล่าว โดยแต่ละรายได้จ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินเรื่อง รวมทั้งสิ้น 4,160,000 บาท โดยโอนเงินผ่านธนาคารหลายแห่งในพื้นที่เขต จ.สมุทรปราการ แล้วรอเรียกตัวช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา แต่จนแล้วจนรอดจนก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ เมื่อตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าวกลับปิดไปแล้ว จึงรู้ว่าโดนหลอก ผู้เสียหายทั้งหมดจึงรวมตัวกันเดินทางแจ้งความร้องทุกข์ สำหรับคนร้ายแก๊งนี้เบื้องต้น สืบทราบว่า มีการทำทีเปิดเป็นออฟฟิศจัดหางานแล้วตระเวนเปิดบริษัทหรือออฟฟิศไปทั่ว มีทั้ง จ.ปทุมธานี จ.นครสวรรค์ จ.บุรีรัมย์ หรือแม้แต่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงไปแล้วมากกว่า 500 ราย ถูกหลอกเชิดเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เฉพาะที่ จ.สมุทรปราการ ที่เดียวมีผู้เสียหายกว่า 200 คน อย่างไรก็ตามขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามจับกุม เหยื่อแรงงานไทยในลิเบียวอน เร่งจ่ายคืนค่าหัวคิว ปลื้มกมธ.ช่วยเหลือ ความคืบหน้ากรณีทาสแรงงานไทยตกระกำ ลำบากในประเทศลิเบียตามที่นสพ.สยามรัฐเสนอมาเป็นลำดับแล้วนั้น เมื่อวันที่ 9 ก.ย.53 นายสนิท บุญทวี อดีตส.อบต.ไทยสามัคคี อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ในฐานะผู้ประสานงานแรงงานไทยในลิเบีย เปิดเผยว่า หลังจากมีการนำเสนอข่าวดังกล่าวออกไปได้มีแรงงานไทยที่เดินทางกลับมาแล้วและ ภรรยาของแรงงานที่ได้รับการติดต่อให้สามีเดินทางกลับประเทศไทยจำนวนมากขอให้ ตนช่วยประสานงานช่วยเหลือทั้งขอเดินทางกลัลและเรียกร้องเงินเดือน ค่าล่วงเวลาค้างจ่าย และขอค่าหัวคิวคืน
(สยามรัฐ, 10-9-2553) กรมบัญชีกลางเดินหน้าคุมค่าใช้จ่ายสวัสดิการข้าราชการ วันนี้ (10 ก.ย.) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางยังมีแนวคิดที่จะให้บริษัทประกันต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมรับประกันด้านค่ารักษาพยาบาล แบบรวมกลุ่มข้าราชการในรูปแบบต่าง ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งบริษัทประกันมีศักยภาพ และจะจัดทำรูปแบบกรมธรรม์ที่เหมาะสมกับกลุ่มข้าราชการ โดยที่รัฐบาลจะใช้เงินงบประมาณเท่าเดิม แต่ข้าราชการอาจได้รับการคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพดีกว่าที่รัฐทำเอง รวมถึงต้องคุ้มครองครอบครัว สามี-ภรรยา บุตรธิดา 3 คน และพ่อ-แม่ ตามสิทธิที่ข้าราชการได้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งเงินบำเหน็จบำนาญด้วย โดยได้เสนอแนวคิดดังกล่าว ไปไปยัง นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง แล้ว คาดว่า จะนำเสนอรายละเอียดได้ภายในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ต่อไป อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า กรมบัญชีกลางยังคงเดินหน้าโครงการที่จะให้ข้าราชการสามารถเข้ารักษาที่โรง พยาบาลเอกชน เพื่อเพิ่มคุณภาพให้กับข้าราชการ เนื่องจากทั้งสวัสดิการของบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค หรือประกันสังคมนั้น ต่างก็สามารถเข้ารับการบริการที่โรงพยาบาลเอกชนได้ มีเพียงแต่ข้าราชการเท่านั้น ที่ถูกบังคับให้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลเท่านั้น แต่จะเริ่มต้นที่ผู้ป่วยในเท่านั้น และใช้ระบบจ่ายเหมาเป็นรายโรค เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย คาดว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์ จะสามารถเปิดเผยรายชื่อโรค และโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ เพื่อให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งยืนยันว่า รายจ่ายจะไม่เพิ่มขึ้นจากอดีต เพราะปัญหาที่ผ่านมาเกิดจากผู้ป่วยนอกที่เบิกยาหลายครั้ง และซ้ำซ้อน ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้นมาก “กรมบัญชีกลางมีบทบาทสำคัญในการควบ คุมค่าใช้จ่าย เพื่อการจัดทำงบสมดุลใน 5 ปี ตามนโยบายรัฐบาล โดยจะดูแลให้งบรายจ่ายประจำไม่ให้เติบโตขึ้นมากนัก ซึ่งจะเน้นค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการรั่วไหลในการเบิกจ่ายยานอกบัญชี แต่สามารถควบคุมได้ระดับหนึ่ง โดยในปีงบประมาณ 53 ตั้งงบประมาณค่ารักษาพยาบาลไว้ 61,000 ล้านบาท ได้รับสรรเงินมา 48,000 ล้านบาท ซึ่งได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้อยู่ในวงเงินไม่เกิน 61,000 ล้านบาท ขณะที่ งบประมาณปี 54 ได้งบประมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 62,500 ล้านบาท” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว. (เดลินิวส์, 10-9-2553) ให้ประกันนักค้าแรงงานไทยอัยการคัดค้านหวั่นหลบหนี สำนักงานเอพีรายงานว่าเมื่อ 8 ก.ย. ผู้พิพากษาศาลเมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวายในสหรัฐฯ ตั้งวงเงินประกันตัวนายมอร์เดไช โอเรียน ชาวยิว วัย 45 ปี ซีอีโอของบริษัทจัดหางาน "โกลเบิล ฮอไรซันส์ แมนเพาเวอร์" ซึ่งมีสำนักงานในนครอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ถึง 1 ล้านดอลลาร์ หลังถูกฟ้องในข้อหาล่อลวงคนงานไทย 400 คน ไปทำงานในฟาร์มสหรัฐฯ และบีบบังคับให้ทำงานแต่ไม่ทำตามสัญญายึดพาสปอร์ตและขู่จะส่งกลับ ซึ่งเอฟบีไอระบุว่าเป็นคีดลักลอบค้าแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ สหรัฐฯ ผู้พิพากษาสั่งให้ควบคุมตัวนายโอ เรียนไว้จนกว่าจะมีเงินประกัน ส่วนอัยการขอให้คุมตัวเขาไว้จนกว่าจะถูกพิจารณาคดีเพราะหวั่นหลบหนีและมี แผนที่จะยื่นอุทธรณ์การให้ประกันตัว นายโอเรียนรวมทั้งลูกจ้าง 3 คน และนายหน้าจัดหางานชาวไทย 2 คน ถูกฟ้องเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขามอบตัวกับเจ้าหน้าที่โฮโนลูลูเมื่อ 3 ก.ย. 1 วัน หลังเอฟบีไอพยายามบุกจับกุมที่บ้านพักในนครลอสแอนเจลิส แต่สำนักงานตัวแทนของเขาแถลงตำหนิเอฟบีไอที่ทุบทำลายประตูหน้าต่างบ้านขณะ เขาไปทำธุรกิจที่รัฐเท็กซัส (ไทยรัฐ, 10-9-2553) อุตฯยานยนต์ดึงแรงงานให้ค่างแรง 400 บาทต่อวัน นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้เพิ่มค่าแรงให้แก่แรงงานเป็นวันละ 400 บาท ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อจูงใจให้แรงงานเข้ามาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้น เนื่องจากตอนนี้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างมาก แรงงานที่อยู่ไม่เพียงพอ ทำให้ผลิตสินค้าส่งไม่ทัน จึงต้องใช้วิธีดึงแรงงานแบบนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีระดับค่าแรงของอกลุ่มยานยนต์ยังอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน แต่เมื่อยอดคำสั่งซื้อ กำลังการผลิตขยาย รวมทั้งสินค้ามีมูลค่าสูงจึงสามารถขึ้นค่าแรงให้แก่แรงงานได้ เพราะต้องการผลิตและส่งสินค้าให้ทันตามที่สัญญาากับลูกค้าไว้ โดยบริษัทส่วนใหญ่ติดรับสมัครแรงงาน ค่าแรง 400 บาทต่อวัน หน้าโรงงานเลย ทำให้แรงงานจากโรงงานข้างเคียงเทเข้ามายังโรงงานในกลุ่มดังกล่าวค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การดึงแรงงานในวันนี้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากการขยายโรงงาน หรือเพิ่มกำลังการผลิตส่วนใหญ่ จะต้องการแรงงานในระดับที่ยังไม่ได้พัฒนาฝีมือประมาณ 50% ช่าง 20% และพนักงานสำนักงานอีก 30% ซึ่งหากรวมโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์มาตรฐานประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) จะทำให้กำลังการผลิตขยายเพิ่มอีก 50% ของการผลิตในปัจจุบัน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 8 แสนคันต่อปี ดังนั้น ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นอีก 50% หรือคิดเป็น 2.5 แสนคน จากแรงงานรวมที่มีอยู่ในปัจจุบัน 5 แสนคน แบ่งเป็นแรงงานในระดับทั่วไป 1.8 แสนคน และช่างอีก 5 หมื่นคน “ตอนนี้แรงงานในระดับช่างไม่พอ ระบบอาชีวะผลิตคนไม่ทัน ทางอุตสาหกรรมจึงต้องการพัฒนาแรงงานในระดับล่างที่มีประสบการณ์ ให้ขึ้นมาเป็นแรงงานในระดับช่างมากขึ้น เพราะค่าแรงในระดับ 400 ถือว่าสูงมาก ไม่เคยมีมาก่อน และก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดึงแรงงานกันโดยต้องเพิ่มค่าแรงไปมากกว่านี้ หรือสูงขึ้นขึ้นระดับ 500 บาทต่อวัน เพราะค่าแรงปรับแล้วลงยาก” นายวัลลภ กล่าว ทั้งนี้ ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับสถาบันยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะร่วมกันพัฒนาแรงงานงานดับล่างให้ขึ้นมาเป็นช่างมากขึ้น รวมถึงพัฒนาแรงงานใหม่ให้มีความเชี่ยวชาญในด้านยานยนต์ เพื่อป้อนแรงงานเข้าสู่ตลาดให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยตั้งเป้าขั้นต้นไว้ที่ 3 แสนคน ซึ่งจะทยอยฝึกอบรมไปเรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมาได้อบรมผู้ฝึกสอนไปแล้วประมาณ 300 คน ตอนนี้ก็จะให้ผู้ฝึกสอนที่มีอยู่กระจายไปพัฒนาฝีมือแรงงานต่อไป นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการเข้าพบกับนายโนบุยูกิ มูราฮาชิ ประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทมิตซูบิชิมีแผนจะมีพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตอีคาคาร์แห่งแรกของมิตซู บิชิ ที่เมืองไทย ในช่วงเดือนต.ค. 2553 โดยโรงงานดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท เป้าหมายการผลิต 2 แสนคัน/ ปี แบ่งเป็นการส่งออก 80% และ ขายในประเทศ 20%
สหพัฒน์ค้านปรับค่าแรงขั้นต่ำจี้รัฐฟังความเห็นเอกชน ด้านนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรณีที่ภาครัฐจะออกนโยบายให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ล่าสุดก็มีแนวคิดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 250 บาท บริษัทในฐานะผู้ประกอบการเอกชนรายหนึ่งอยากให้ภาครัฐหันกลับมามองข้อดีเสีย เสียของแต่ละมาตรการความช่วยเหลือ ไม่ใช่มองถึงข้อดีของประชาชนอย่างเดียว แต่อยากให้มองถึงข้อดีและข้อเสียที่ผู้ประกอบการจะได้รับด้วย ดังนั้นก่อนที่จะมีการออกมาตรการอะไรออกมาอยากให้ภาครัฐเรียกผู้ประกอบการ เข้าไปร่วมหารือ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าไปมีส่วนร่วมดีกว่ารัฐบาลทำตามความคิดของตนเองฝ่าย เดียว สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทใน ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมายอมรับว่ามีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 2-3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะฝนตกส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการบริโภคสินค้า ประกอบกับที่ผ่านมาค่าเงินบาทของไทยมีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทต้องปรับเป้าหมายรายได้การเติบโตในสิ้นปีนี้มาอยู่ที่ 15% จากเดิมตั้งเป้าไว้ว่าจะเติบโตได้ที่ 20% ซึ่งกลยุทธ์ที่บริษัทจะนำมาใช้เพื่อให้มีรายได้เติบโตตามเป้าหมายใหม่ที่วาง ไว้คือการปรับปรุงประสิทธิภาพ และการจัดการสินค้าให้มีคุณภาพมากขึ้น (ไทยโพสต์, 10-9-2553) เปิดศูนย์ฝีมือแรงงาน รับแรงงานเสรีอาเซียนปี 58 นายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานภาคอุตสาหกรรมสาขา บ้านโป่ง ณ บริษัท โซล่าร์แอสฟัลท์ จำกัด อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรีว่า ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ อ.บ้านโป่ง กว่า 400 แห่ง รวมถึงโรงงานในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น นครปฐม และกาญจนบุรี เป็นศูนย์กลางการคมนาคมในภาคตะวันตก และศูนย์กลางการผลิตรถโดยสารขนาดใหญ่ของประเทศ แต่กำลังขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะฝีมือจำนวนมาก โดยเฉพาะการควบคุมและซ่อมบำรุงระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ หรือโปรแกรมควบคุมระบบไฮโดรลิกผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยในระบบการผลิต ดังนั้น สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค 4 จ.ราชบุรี จึงร่วมมือกับภาคเอกชน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานฯ ขึ้นในพื้นที่อุตสาหกรรม เพื่อรองรับความต้องการแรงงาน และสภาพการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมที่มีสูงมากขึ้น รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในกลุ่มอาเซียน ในปี 2558 ด้วย โดยวางเป้าหมายจะอบรมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในภาคอุตสาหกรรมให้ได้ปีละไม่ ต่ำกว่า 1,000 คน (สำนักข่าวไทย, 10-9-2553) ก.แรงงานร่วมมือค่ายธนะรัชต์ฝึกทหารเกณท์ปลดประจำการทำงานต่างประเทศ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิด การฝึกอบรมทหารกองประจำการที่จะปลดเป็นทหารกองหนุน หรือทหารเกณฑ์ เพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเกาหลี ณ ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยนายเฉลิมชัย กล่าวว่า ในแต่ละปีมีทหารเกณฑ์จำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ มีความอดทน มีวินัย และมีสุขภาพแข็งแรง ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในต่างประเทศ กรมการจัดหางาน จึงจัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อเป็นการนำร่อง โดยแบ่งเป็น 2 หลักสูตร เพื่อเพิ่มทางเลือก ประกอบด้วย 1. หลักสูตรการอบรมทักษะภาษาเกาหลี เพื่อสมัครไปทำงานตามระบบการจ้างงานแรงงานต่างชาติ (อีพีเอส) มีรายได้จากการทำงานที่เกาหลีเฉลี่ยเดือนละ 25,000-27,000 บาท โดยปัจจุบันมีความต้องการแรงงานใหม่ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน และ 2. หลักสูตรอบรมทักษะฝีมือช่างก่ออิฐและฉาบปูน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยทั้ง 2 หลักสูตร มีระยะเวลาการฝึกอบรมหลักสูตรละ 30 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 กันยายนนี้ โดยมีทหารเกณฑ์เข้ารับการอบรมกว่า 230 คน. (สำนักข่าวไทย, 10-9-2553) สองพี่น้องค้าแรงงานไทยในสหรัฐ กลับคำให้การ สองพี่น้องเจ้าของฟาร์มใหญ่สุดเป็น อันดับสองของฮาวาย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าล่อลวงแรงงานจากประเทศไทยรวม 44 คนให้มาทำงาน ได้เปลี่ยนใจไม่ยอมรับสารภาพผิดเมื่อวันพฤหัสบดี หวั่นเจอโทษจำคุกที่อาจสูงถึง 5 ปีการสอบสวน อเล็ก โซ และไมค์ โซ ในคดีการค้ามนุษย์กำหนดจะมีขึ้นวันที่ 9 พ.ย.โดยพวกเขาอาจถูกตั้งข้อหาเพิ่มเติมและถูกลงโทษหนักมากขึ้นหากผิดจริง พี่น้องตระกูลโซซึ่งเป็นเจ้าของ อาโลน ฟาร์ม ที่โออาฮู ถูกฟ้องเมื่อปีที่แล้วว่า นำแรงงานมาจากประเทศไทยแล้วให้อาศัยอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่บังคับให้ทำงานด้วย ค่าจ้างต่ำหรือไม่ได้เลย (ไทยรัฐ, 11-9-2553) แก๊สโรงน้ำแข็งหนองคาย รั่ว หามส่งรพ.50 คน ร.ต.ท.อภิพงศ์ ไชยวัน ร้อยเวร สภ.เมืองหนองคาย ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าเกิดแก๊สรั่วที่โรงงานน้ำแข็งเอเชีย บ้านหนองขาม ต.หนองกอมเกาะ อ.เมือง จ.หนองคาย มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จึงประสานโรงพยาบาลและรถกู้ภัยทั้งในเมืองและใกล้เคียงประมาณ 10 คันเข้าไปลำเลียงผู้บาดเจ็บทั้งเด็กและผู้ใหญ่ส่ง รพ.หนองคายและ โรงพยาบาลเอกชนประมาณ 50 คน ซึ่งแต่ละคนมีอาการหายใจขัด หน้าแดง น้ำตาไหล โดยทางโรงพยาบาลได้ระดมแพทย์พยาบาลให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ นายโสธนะ วังกาฮาด อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 ม. 10 บ้านหนองขาม ต.หนองกอมเกาะ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุตนกำลังทำกับข้าวกินกับเพื่อน ๆ ที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานฯประมาณ 100 ม.ก็ได้กลิ่นเหมือนกลิ่นแก๊สและได้ยินเสียงเอะอะออกมาจากโรงงานตนคิดว่าคงมี เหตุจึงลุกขึ้นเพื่อเข้าไปช่วยคนในโรงงานฯ แต่วิ่งได้ประมาณ 15 ม.ก็หน้ามืดหมดสติและล้มลงจนกระทั่งมีรู้สึกตัวอีกครั้งที่ รพ.หนองคาย นางดวง มณีรัตน์ อายุ 4จ ปี อยู่บ้านเลขที่ 158 ม. 8 บ้านแจ้งสว่าง ต.หนองกอมเกาะ เปิดเผยว่า บ้านตนอยู่ห่างจากโรงน้ำแข็งประมาณ 1 กม. ซึ่งอยู่กับแม่อายุ 65 ปี และลูกชาย 2 คน อายุ 9 และ 5 ชวบได้กลิ่นแก๊สจนปวดหัว หายใจไม่ออก จึงนำผ้าเช็ดตัวไปชุบน้ำมาปิดปากปิดจมูก แต่กระนั้นทั้งแม่และลูกชายทั้งสองคนของตนก็ทนไม่ไหวจึงต้องรีบนำส่ง รพ.หนองคายดังกล่าว น.พ.ศุภชัย จรรยาผดุงพงศ์ รอง ผอ.รพ.หนองคาย เปิดเผยว่า แก๊สที่รั่วเป็นแอมโมเนียซึ่งเป็นสารที่ทางโรงงานนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำ ความเย็น ซึ่งหากสูดดมเข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเหยื่อบุหายใจ หากอยู่ในที่โล่งแจ้งจะไปไม่อันตรายแต่ถ้าอยู่ในที่อัดทึบจะส่งผลต่อกระทบ ต่อระบบหายใจได้ หรือหากเป็นบุคคลที่มีโรคประจำตัว หรือคนที่ร่างกายอ่อนแอ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หืดหอบ จะทำให้โรคกำเริบได้ แต่จากการตรวจดูอาการของผู้ป่วยที่เข้ามาทำการรักษาไม่มีผู้ใดที่ได้ผู้ป่วย รายได้ที่อาการหนัก ร.ต.ท.อภิพงศ์ ไชยวัน กล่าวว่า หลังการสอบสวนที่เกิดเหตุเบื้องต้นทราบว่าขณะเกิดการฟุ้งกระจายของแอมโมเนีย โรงงานไม่ได้เดินเครื่อง และจากการตรวจพบวาล์วเปิดปิดท่อแอมโมเนียเปิดอยู่และทราบว่าก่อนหน้านี้มี ลูกคนงานวิ่งเล่นภายในโรงงานที่อาจไปสดุดท่อแอมโมเนียหลุดออกจากกันและวาล์ว เปิดอยู่ จึงทำให้แอมโมเนียไหลออกมาซึ่งขณะนี้ได้ปิดวาล์วเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต้องรอผลซึ่งจะมีการตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้งส่วนจะ ดำเนินการอย่างไรต้องรอดูผู้ได้รับผลกระทบและผลการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก สสจ.หนองคายและ ปภ.หนองคายอีกครั้งหนึ่ง (เนชั่นทันข่าว, 11-9-2553) ไฟไหม้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่ตาก ตาก 12 ก.ย. - เกิดเหตุเพลิงไหม้ โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เสียหายกว่า 20 ล้านบาท พนักงานโรงงาน โอเมก้า การ์เมนท์ ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ช่วยกันพังประตู หน้าต่างขนย้ายเอกสารสำคัญ ซึ่งเก็บไว้ภายในโรงงานออกมาไว้ที่ปลอดภัย หลังเกิดเพลิงไหม้อาคารแผนกตัดเย็บเสื้อผ้า ก่อนเจ้าหน้าที่จะเข้าฉีดน้ำสกัดเพลิง จากการสอบสวนทราบว่า ต้นเพลิงเกิดจากห้องด้านหลังอาคารโรงงาน ซึ่งเป็นอาคารฝ่ายตัดและเก็บผ้าที่ตัดเสร็จแล้ว โดยเพลิงลุกไหม้ไปติดผ้าที่เก็บไว้ภายในอาคารอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ทำให้อาคารโรงงาน และเอกสารสำคัญบางส่วนถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ส่วนสาเหตุสันนิษฐานว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร (สำนักข่าวไทย, 12-9-2553) ผู้ว่าฯ ภูเก็ตทำหนังสือถึง รมว.แรงงาน จี้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว ภูเก็ต 12 ก.ย.- ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เร่งแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวที่มีจำนวนมากในพื้นที่ เสนอขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวจังหวัดภูเก็ต ว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือถึง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเพราะปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานใน พื้นที่จังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก ทั้งขึ้นทะเบียน และไม่ขึ้นทะเบียน โดยเสนอให้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเพื่อให้สามารถควบคุมแรงงานที่ มีอยู่ในพื้นที่ได้มีประสิทธิภาพ และส่งผลดีต่อเรื่องของความมั่นคง ขณะที่ นพ.ศิริชัย ศิลปอาชา ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่าปัจจุบันมีเด็กที่เกิดจากแรงานต่างด้าวโดยเฉพาะแรงงานพม่าในจังหวัด ภูเก็ตเฉลี่ยเดือนละประมาณ 100 คน คาดว่า ขณะนี้มีเด็กชาวพม่าอายุตั้งแต่แรกเกิด-10 ปี มากกว่า 100,000 คน ซึ่งหอการค้าจังหวัดภูเก็ตเห็นสมควรจะต้องออกระเบียบควบคุมแรงงานต่างด้าว ใหม่ อาทิ เรื่องห้ามแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานมีผู้ติดตามเดินทางเข้ามาด้วย การห้ามแรงงานต่างด้าวตั้งครรภ์ระหว่างการทำงาน เพราะปัจจุบันมีเด็กเกิดใหม่จากแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก (สำนักข่าวไทย, 12-9-2553) สนร.มาเลเซีย พบกรมแรงงานตรวจสอบและเร่งรัดส่งคนงานไทยกลับ กรุงเทพฯ 12 ก.ย.- สนร.มาเลเซียพบกรมแรงงาน ต.ม.รัฐซาราวัก และบริษัทนายจ้าง ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งคนงานไทย 42 คน กลับประเทศล่าช้า พบสาเหตุนายจ้างไม่จ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานให้คนงาน เร่งส่งคนงานไทยกลับภายใน ก.ย.นี้ เตือนแรงงานไทยเข้าทำงานอย่างถูกต้อง เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายสิงหเดช ชูอำนาจ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย เดินทางไปยังเมืองกุชิง รัฐซาราวัก พบกับอธิบดีกรมแรงงานรัฐซาราวัก ผู้อำนวยการตรวจคนเข้าเมืองรัฐซาราวัก และนายจ้างบริษัท Global Upline Sdn. Bhd เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและเร่งรัดการดำเนินการ กรณีคนงานไทยที่ทำงานกับบริษัทฯ ขอเดินทางกลับประเทศไทยเป็นไปอย่างล่าช้า โดยบริษัทฯ อ้างเหตุความล่าช้าเนื่องจากหน่วยงานท้องถิ่นยังไม่ได้ดำเนินการต่ออายุใบ อนุญาตให้จ้างแรงงานต่างชาติ และการอนุญาตทำงาน แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าคนงานไทยที่ยังไม่ได้เดินทางกลับ 42 คน บริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน (Levy) ให้กับคนงานเหล่านี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรัฐซาราวักได้มีหนังสือแจ้งแก่บริษัทแล้ว นายสิงหเดช กล่าวว่า หลังจากรับทราบข้อเท็จจริง ฝ่ายไทยได้ขอให้มีการประชุมทุกฝ่าย ประกอบด้วย อธิบดีกรมแรงงานรัฐซาราวัก รองผู้อำนวยการตรวจคนเข้าเมืองรัฐซาราวัก และรองผู้อำนวยการบริหารบริษัท Global Upline Sdn. Bhd. ผลสรุปของการหารือ คือ ฝ่ายนายจ้างต้องชำระค่า Levy ของคนงานให้กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และให้ส่งคนงานไทย 42 คน กลับประเทศภายในเดือนกันยายน 2553 ซึ่งนายจ้างรับในที่ประชุมว่าจะดำเนินการในทันที นายสิงหเดช กล่าวว่าจากปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากคนงานไทยเหล่านี้เดินทางเข้ามาทำงานอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยการชักชวนของนายหน้าจัดหางานเถื่อน ไม่มีสัญญาจ้างงาน ใช้วิธีเดินทางเข้ามาเลเซียแบบนักท่องเที่ยวและนายจ้างทำใบอนุญาตทำงานให้ ภายหลัง ซึ่งหากนายจ้างละเลยไม่ทำใบอนุญาตทำงานให้ดังเช่นกรณีนี้ คนงานอาจถูกจับกุมดำเนินคดี และในการเดินทางกลับประเทศไทย ก็ต้องมีขั้นตอนการดำเนินงานและใช้เวลามากกว่าปกติด้วย (สำนักข่าวไทย, 12-9-2553)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สถานการณ์วันที่ 5 ของการนัดหยุดงานที่โรงงานทออวนเดชาพาณิชย์ จ.ขอนแก่น Posted: 12 Sep 2010 04:11 AM PDT มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP) รายงานสถานการณ์วันที่ 5 ของการนัดหยุดงานที่โรงงานทออวนเดชาพาณิชย์ จ.ขอนแก่น 12 ก.ย. 53 - ยังไม่มีใครรับฟังข้อเรียกร้องของแรงงานกว่าพันคนจากโรงงานทออวนเดชาพาณิชย์ จังหวัดขอนแก่น นายจ้างยังไม่ยอมมานั่งเจรจากับแรงงาน ทั้งๆที่ข้อเรียกร้องของแรงงานนั้นเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานและเป็นไปตามข้อกฎหมายไทยทั้งหมด ในทางตรงกันข้ามนายจ้างกลับได้เพิ่มจำนวนคนคุมแรงงานในโรงงาน โดยนายจ้างเจ้าของโรงงานทออวนแห่งนี้ได้ใช้แรงงานพม่าจำนวนหนึ่งที่ทำงานในโรงงานให้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือคนคุมแรงงานผู้ได้รับมอบหมายให้รักษาความปลอดภัยท่ามกลางภาวการณ์ทำงานและการอยู่อาศัยอันแออัดของแรงงานจำนวนนับพันคน โดยแรงงานที่กำลังนัดหยุดงาน รายงานว่าแรงงานที่ถูกมอบหมายให้รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ได้รับมอบให้ถือปืนและมีดด้วย แรงงานที่กำลังนัดหยุดงานเกรงว่าการทำให้แรงงานข้ามชาติเป็นศัตรูต่อกันเองแบบนี้อาจก่อให้เกิดความโกลาหลได้ทันทีหากแรงงานรักษาความปลอดภัยผู้ไม่ผ่านการอบรมด้านมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยเหล่านี้เกิดขาดสติขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ได้มีข่าวเล็ดรอดออกมาจากโรงงานแล้วว่าแรงงานบางส่วนถูกทำร้ายร่างกาย เวลาประมาณ 18.00 น. ของเย็นวันที่ 10 กันยายน ได้มีกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปในโรงงาน และแรงงานเชื่อว่าจนท.กลุ่มนี้มาจากกรมการจัดหางาน โดยจนท.ดังกล่าวได้ยื่นข้อเสนอที่จะทำให้เอกสารต่างๆ ของแรงงาน 5 คนที่ถูกไล่ออกจากงานและเอกสารของพวกเขาถูกยกเลิกหรือถูกเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้นให้กลับมาใช้ได้ดังเดิม อย่างไรก็ตามแรงงานรู้สึกหวั่นเกรงว่าการแก้ไขที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้กล่าวถึงอาจจะไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่รัฐมี รวมทั้งการขีดฆ่า หรือการเขียนอะไรก็ตาม ลงในหนังสืออนุญาตเดินทางของพวกเขาอาจทำให้หนังสือเดินทางของพวกเขาใช้การไม่ได้ในสายตาของรัฐบาลพม่า นอกจากนั้นบัตรประจำตัวแรงงานทำงานต่างประเทศของพวกเขานั้นก็ออกให้โดยกระทรวงแรงงานในประเทศพม่าซึ่งหมายความว่าเอกสารเหล่านี้จะสามารถออกใหม่ได้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลพม่าเท่านั้น ดังนั้นแรงงานจึงร้องขอให้มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตพม่าเข้ามาดูแลเรื่องนี้ ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าทางสถานทูตพม่าได้รับการติดต่อแล้วหรือยัง หรือว่าทางสถานทูตฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนของตนหรือไม่ ทางฝ่ายนายจ้างได้บอกแก่แรงงานข้ามชาติเหล่านี้ว่าพวกเขาอาจสามารถนัดหยุดงานได้จนถึงวันอาทิตย์ และแรงงานฯ จะต้องกลับเข้าทำงานในวันจันทร์แต่ นายจ้างยังไม่ได้แจ้งแก่แรงงานว่า นายจ้างมีแผนที่จะตอบรับต่อข้อเรียกร้องของแรงงานอย่างไรรวมทั้งยังไม่ได้แจ้งแรงงานว่าหากแรงงานไม่กลับเข้าทำงานในวันจันทร์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ในเว็บไซต์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงงานทออวนเดชาพาณิชย์ (DFN) ได้มีการกล่าวอ้างว่า โรงงานทออวนแห่งนี้เป็นหนึ่งในโรงงานทออวนไนลอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีแรงงานผู้เปี่ยมด้วยประสบการณ์มากกว่า 4,000 คน และมีกำลังการผลิต 250 ตันต่อเดือน รวมทั้งได้ส่งออกอวนไนลอนไปยังประเทศต่างๆ กว่า 40 ประเทศ รวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา, ฟินด์แลนด์, เดนมาร์ก, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, สเปน, กรีซ, อิตาลี, กัวเตมาลา, เม็กซิโก และประเทศแคนาดา เป็นต้น ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ www.mapfoundationcm.org สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ส.ส. ประชาธิปัตย์ แนะ นปช.หยุดใส่เสื้อแดงรำลึก 19 กันยา ชี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุนแรง Posted: 12 Sep 2010 04:04 AM PDT 12 ก.ย. 53 - ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี การจัดกิจกรรมรำลึกการทำรัฐประหาร 14 - 19 ก.ย.ว่า เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่อยากขอร้องอย่าใส่เสื้อสีแดง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรง ที่อาจทำให้คนภายนอกเข้าใจผิด และยังสร้างผลกระทบด้านความเชื่อมั่นกับคนทั้งในและต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม นายสาธิต กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวอยากให้นำเสนอเนื้อหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่สรุปเพียงฝ่ายเดียว อย่างกรณีคนเสียชีวิต 90 คน โดยอ้างเป็นฝี่มือของรัฐบาลทั้งหมด โดยไม่แยกแยะว่าศพไหนตายเพราะเหตุใด หรือโดยกองกำลังชุดดำสังหาร เช่นกรณีของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ทั้งนี้ นายสาธิต กล่าวอีกว่า อยากให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตรวจสอบพฤติกรรมการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด หากกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย หรือปราศรัยอันเป็นเท็จ ต้องดำเนินการจับกุมทัน โดยเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์ ก่อให้เกิดความวุ่นวายกีดขวางการจราจร ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อห้าม 1 ใน 4 ของศอฉ. ให้ดำเนินการทันที ซึ่งตนจะคิดตามดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากใครละเลยก็จะนำเรื่องเข้ากรรมาธิการตำรวจฯ เพื่อดำเนินการต่อไป ที่มาข่าว: "สาธิต" วอน นปช.หยุดใส่เสื้อแดงรำลึก 19 กันยา หวั่นจุดชวนความรุนแรง (แนวหน้า, 12-9-2553)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สุรพศ ทวีศักดิ์: “พระไพศาล วิสาโล” พระสงฆ์เป็นเครื่องมือของรัฐ? Posted: 12 Sep 2010 03:52 AM PDT สถานะของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล หากมองจากทัศนะทางชนชั้นในเวลานั้น ย่อมไม่ใช่สถานะที่สูงส่ง ตัวอย่างเช่น พวกวรรณะพราหมณ์ มองว่า “พวกสมณะเป็นวรรณะดำเกิดจากเท้าของพระพรหม” [1] และเมื่อคราวที่พระพุทธองค์กลับมาแสดงธรรมโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุทโธทนะทราบว่า พระพุทธองค์ออกบิณฑบาต ถึงกับไปขอร้องให้หยุดเดินบิณฑบาต เพราะการเป็น “ผู้ขอ” เช่นนั้นทำให้เสื่อมเกียรติศากยวงศ์ เป็นต้น ฉะนั้น การที่พระพุทธองค์สถาปนาสังคมสงฆ์ให้เป็นสังคมที่ไม่ถือชนชั้น ทุกคนที่มาบวชไม่ว่าจะเป็นทาส กรรมกร มหาเศรษฐี พราหมณ์ หรือ กษัตริย์ ย่อมถือว่าเป็นพระสงฆ์ที่มีสมบัติเพียงไตรจีวร และอัฐบริขารเสมอภาคกัน มีสิทธิศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์เสมอภาคกัน เมื่อมองจากทัศนะทางชนชั้นของสมัยนั้น สังคมสงฆ์ย่อมไม่ใช่สังคมที่พึงปรารถนามากนัก แต่หากมองว่าเป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ในเชิงศีลธรรมเพื่อความหลุดพ้น ก็ถือว่าเป็นสังคมที่พึงปรารถนา (สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ในด้านดังกล่าว) การที่สังคมสงฆ์เป็นสังคมที่ถือครองทรัพย์สินเท่าที่จำเป็น มีวิถีชีวิตที่มุ่งความหลุดพ้น และเป็นอิสระจากรัฐ (เนื่องจากพระพุทธองค์ไม่เคยประกาศว่าศาสนาของพระองค์เป็นศาสนาประจำรัฐใดๆ ไม่ได้ใช้คำสอนของพุทธศาสนารับใช้ผู้มีอำนาจรัฐใดๆ และไม่ได้เข้าไปมีบทบาทในฐานะที่เป็น “กลไก” ของรัฐใดๆ) จึงทำให้สังคมสงฆ์ในเวลานั้นเป็น “อิสระจากรัฐ” ซึ่งมีความหมายสำคัญ ว่า 1) สังคมสงฆ์สามารถรักษาความหมายและเจตนารมที่แท้จริงของพุทธธรรมเอาไว้ได้ 2) สังคมสงฆ์ใช้อำนาจพระธรรมวินัยปกครองกันเองได้ 3) สังคมสงฆ์ไม่เป็นกลไกหรือเครื่องมือของรัฐ/ผู้มีอำนาจรัฐ แต่หลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (ที่ชาวพุทธชื่นชมกันว่าเป็นยุคเจริญรุ่งเรืองที่สุดของพุทธศาสนา) มีการหลอมรวมพุทธศาสนาให้เป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ พุทธศาสนาจึงขึ้นต่ออำนาจรัฐอย่างชัดเจน เช่น 1) ในแง่การสอนพุทธธรรม รัฐมีอำนาจกำหนดว่า ควรเน้นการสอนศีลธรรมอะไรบ้างแก่ประชาชน 2) มีการตีความคำสอนของพุทธศาสนารองรับ “สถานะอันศักดิ์สิทธิ์” ของผู้ปกครอง ยกสถานะของผู้ปกครองให้เป็น “จักรพรรดิแห่งจักรวาล” พระเจ้าอโศกเป็น “พลจักรพรรดิ” ครอบครองหนึ่งในสี่ของจักรวาล 3) สังคมสงฆ์ขึ้นต่ออำนาจรัฐ ทำให้ “อำนาจแห่งพระธรรมวินัย” อ่อนแอลง เช่น เมื่อเกิดกรณีสงฆ์แตกแยก พระเจ้าอโศกสั่งให้อำมาตย์ไปจัดการให้เกิด “ความสามัคคีปรองดอง” แต่อำมาตย์เข้าใจราชโองการผิดจึงปฏิบัติผิด ในคัมภีร์ระบุว่า “ตัดศีรษะพระอริยะเจ้าเสียเป็นอันมาก” [2] แสดงว่าในสมัยที่มีพระอริยะเจ้าอยู่เป็นอันมาก สังคมสงฆ์ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาภายในของตนเองด้วย “อำนาจแห่งพระธรรมวินัย” ได้ แม้แต่ปัญหา “ความสามัคคีปรองดอง” ยังต้องอาศัย “อำนาจรัฐ” จนเกิดอุบัติการณ์ “ตัดศีรษะพระอริยะเจ้าเสียเป็นอันมาก” (หากเป็นสมัยนี้คงต้องมีการร้องเรียนองกรสิทธิมนุษยชนระดับโลก) แต่การการหลอมรวมพุทธศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐในสยามประเทศ ยิ่งไปไกลว่ายุคพระเจ้าอโศกมาก เพราะเป็นการ “สมประโยชน์ทางการเมือง” ระหว่างชนชั้นศักดินากับพระสงฆ์ ทำให้พระสงฆ์เข้าไปอยู่ในระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจและผลประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบ ดังข้อเขียนของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ว่า “ศักดินาแบ่งปันที่ดินให้แก่ทางศาสนา แบ่งปันข้าทาสให้แก่วัดวาอาราม ยกย่องพวกนักบวชให้เป็นขุนนางมีลำดับยศ มีเครื่องประดับยศ มีเบี้ยหวัดเงินปีและแม้เงินเดือน...ศาสนามีหน้าที่สั่งสอนให้ผู้คนเคารพยำเกรงกษัตริย์ พวกนักบวชทั้งหลายกลายเป็นครูอาจารย์ที่ให้การศึกษาแก่กุลบุตรกุลธิดา ซึ่งแน่นอนแนวทางการจัดการศึกษาย่อมเป็นไปตามความปรารถนาของศักดินา” [3] การหลอมรวมพุทธศาสนาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐ ในยุค “รัฐราชาธิปไตย” ดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการทำให้ “ศาสนาเป็นการเมือง” อย่างเต็มตัว นั่นคือ พระสงฆ์กลายเป็นบริวารของพระราชา หรือ “ราชาคณะ” ที่พระราชามีอำนาจแต่งตั้งให้มี “สมณศักดิ์” ต่างๆ ซึ่งเป็นฐานันดรศักดิ์อันเป็นเครื่องหมายทางชนชั้นไม่ต่างอะไรกับพวกขุนนางในยุคนั้น ทำให้สถานะของพระสงฆ์มีสถานะสูงทางชนชั้นซึ่งตรงกันข้ามกับสถานะของพระสงฆ์ในยุคพุทธกาล ในสังคมไทยจึงมีคำล้อเลียน “ความเหลวไหล” เช่นนั้นว่า “ยศช้าง ขุนนางพระ” ที่น่าเศร้าคือ แม้แต่ในปัจจุบันพระสงฆ์ตั้งแต่พระลูกวัดธรรมดาจนกระทั่งพระเถระระดับกรรมการมหาเถรสมาคม ส่วนใหญ่ล้วนมีพื้นเพมาจากคนชั้นล่างของสังคม แต่เมื่อมาอยู่ภายใต้โครงสร้าง “สังคมชนชั้นแบบสงฆ์” ทำให้ท่านเหล่านั้นหลุดจากรากเหง้านของตนเอง เป็นเครื่องมือรับใช้ระบบชนชั้นทางโลก มีการวิ่งเต้นเรื่องสมณศักดิ์ มีรถเบนซ์ประจำตำแหน่ง ฯลฯ เมื่อลืมรากเหง้าก็ไม่เข้าใจทุกข์ของสังคม มองไม่เห็น “ความไม่เป็นธรรม” ที่ชนชั้นล่างประสบ แม้แต่การศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ไม่ได้ให้ความเข้าใจปัญหาความไม่เป็นธรรมของสังคม ฉะนั้น พระสงฆ์หรือแม้แต่คนที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สึกออกมาเป็นฆราวาส แทบจะขาดความเข้าใจ “ทุกขสัจจะ” ของสังคม และขาดจิตสำนึกต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมอย่างแทบจะสิ้นเชิง
พระไพศาล วิสาโล เอง (แม้จะมีพื้นเพมาจากคนชั้นกลางในเมือง) ก็ดูเหมือนจะมองเห็นปัญหาดังกล่าวนี้ เช่น ที่ท่านวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวไว้อย่างละเอียดในงานวิจัยชิ้นสำคัญชื่อ “พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต” และที่วิพากษ์สถาบันสงฆ์ในหลายวาระ เช่น ว่า “ปัจจุบันระบบต่าง ๆ ของคณะสงฆ์ ไม่เอื้อให้เกิดพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ระบบการปกครองของคณะสงฆ์ นอกจากจะล้มเหลวในการส่งเสริมพระดีแล้ว ยังทำให้พระสงฆ์พากันสนใจลาภยศสรรเสริญกันมากขึ้น การรวมศูนย์อำนาจคณะสงฆ์ มาอยู่ในมือของมหาเถรสมาคม นอกจากจะทำให้การปกครองเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดการวิ่งเต้น ระบบเส้นสาย และการแบ่งพรรคแบ่งพวก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ ก็ไม่สามารถทำให้พระภิกษุสงฆ์มีความรู้ทั้งทางธรรมและทางโลกดีพอ ที่จะสื่อธรรมให้ผู้คนเกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดจนเห็นภัยของบริโภคนิยมหรืออำนาจนิยม และหันมาดำเนินชีวิตตามวิถีพุทธ ยิ่งการศึกษาเพื่อฝึกฝนตนให้มีความสุขภายในพึงพอใจกับชีวิตที่เรียบง่าย และสามารถแก้ทุกข์ให้แก่ตนเองได้ อีกทั้งมีเมตตากรุณาปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก อย่างรู้เท่าทันสังคมสมัยใหม่ด้วยแล้ว แทบจะไม่มีเอาเลย ผลก็คือคณะสงฆ์ปัจจุบันไร้ซึ่งพลังทางปัญญา ศีลธรรม และศาสนธรรม” [4] จะว่าไปแล้ว พระไพศาล เป็นเพียงพระรูปเดียวในยุคนี้ก็ว่าได้ที่มีผลงาน “เชิงความคิด” ทั้งในแง่จิตวิญญาณ ในแง่สังคม และการเมือง อีกทั้งยังเป็นพระนักกิจกรรมทางสังคม นักสันติวิธี เป็นต้น ที่ว่าผลงานของท่านเป็นผลงานเชิงความคิด ก็เพราะว่า ท่านไม่ได้เน้น “ธรรมะแบบ how to” ซึ่งอยู่ในกระแสนิโยมของตลาดผู้บริโภคธรรมะในทศวรรษนี้ ที่พระดังๆ บางรูปก็ทำตัวเป็น “เซลแมนธรรมะ” เขียนหนังสือหรือบรรยายธรรมตามกระแสตลาด ประเภท “ธรรมาค้าขึ้น” เป็นต้น แต่งานของพระไพศาลเป็นงานเชิงวิพากษ์ เน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านใน และการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคม มากว่าที่จะนำเสนอธรรมแบบ “สูตรสำเร็จ” ที่ตอบสนองรสนิยมของปัจเจกบุคคลเท่านั้น ดังที่พระสมัยนี้นิยมทำกัน แต่ทว่าเมื่อพระไพศาล รับเป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และดูเหมือนท่านจะให้สัมภาษณ์ในเชิงยอมรับ “ความชอบธรรม” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในระดับหนึ่ง คืออย่างน้อยก็เป็นรัฐบาลที่มีที่มาจากการเลือกตั้ง และยังต้องรอพิสูจน์ข้อเท็จจริงกรณีสั่งสลายการชุมนุมที่มีคนตาย 91 ศพ ก่อน เป็นต้น ก็ทำให้เกิดคำตามมามาก ไม่เฉพาะจากคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฝ่ายเจ็บปวดจากความสูญเสีย และเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบวนการพิสูจน์ความจริง และแม้กระทั่งความเป็นธรรมจากกระบวนการปรองดองเท่านั้น ยังมีคำถามอื่นๆ เช่นจากคุณภัควดี คุณคำ ผกา เป็นต้น คำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือ ถ้าดูจากงานของพระไพศาลที่ผ่านมา ดูเหมือนท่านจะไม่เห็นด้วยกับการที่พระสงฆ์ทำตัวเป็น “เครื่องมือ” สนับสนุนอำนาจรัฐ ฉะนั้น การที่ท่านรับเป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศโดยการแต่งตั้งของรัฐบาล 91 ศพ จะอธิบายได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้เป็น “เครื่องมือ” ของรัฐ (และก็ไม่น่าจะเป็นรัฐที่ดีกว่ารัฐในอดีตที่เคยใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องมือ เช่น ร.6 ให้พระสงฆ์เทศน์สนับสนุนการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้น) เพราะโดยนิตินัยอำนาจรัฐแต่งตั้งท่าน โดยพฤตินัยท่านจะ “เป็นอิสระ” จากอำนาจรัฐที่แต่งตั้งท่านได้มากน้อยเพียงใด และ “เป็นอิสระ” หมายความว่า “เป็นกลาง” ใช่หรือไม่ ในบริบทความขัดแย้งปัจจุบันนี้มีความเป็นกลางได้หรือ ทั้งเป็นกลางทางการเมือง และเป็นกลางทางศีลธรรม! โดยเฉพาะ “ในทางศีลธรรม” เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากมากว่า การรับเป็นกรรมการปฏิรูปฯ ไม่ได้มีความหมายในเชิงรับรอง “ความชอบธรรม” ของรัฐบาลที่สั่งสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องเสียชีวิต (คงไม่ใช่ทุกคนที่เสียชีวิตเป็นผู้ก่อการร้าย?!)
อ้างอิง [1] ดู อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 11. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
บัวแก้วแจงจุฬาราชมนตรีขอวีซ่ากระชั้นชิดเหตุไม่ไปฮัจญ์ Posted: 12 Sep 2010 03:28 AM PDT ก.ต่างประเทศ แจงจุฬาราชมนตรีไม่ไปพิธีฮัจญ์เหตุเพราะขอวีซ่ากระชั้นชิด นายกฯ ตรวจสอบซาอุฯงดรับวีซ่าจุฬาราชมนตรี พท.จวกรัฐดันทุรังตั้ง "สมคิด" กระทบสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 53 ที่ผ่านมา นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเรื่องการขอวีซ่าเพื่อไปร่วมทำอุมเราะห์ในช่วงเดือนรอมฎอนของจุฬาราชมนตรีว่า เท่าที่ทราบสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยได้รีบประสานเรื่องการยื่นขอวีซ่าของท่านจุฬาราชมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียก็อนุมัติวีซ่าให้แต่ติดเรื่องการ ประสานงานซึ่งเป็นช่วงวันหยุดทั้งของไทยและซาอุดีอาระเบีย จึงทำให้ท่านจุฬาราชมนตรีได้รับแจ้งในเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดและเนื่องจากท่านติดภารกิจที่กรุงเทพฯจึงตัดสินใจไม่เดินทางไป "ทั้งนี้ยืนยันว่าที่ผ่านมาการที่คนไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ซาอุดีอาระเบียก็ราบรื่นมาโดยตลอดแม้ว่าในบางช่วงความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดี อาระเบียจะสะดุดไปบ้าง เพราะการอำนวยความสะดวกในเรื่องการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ฝ่ายซาอุดีอาระเบียเขาจะแยกจากประเด็นการเมือง" นายธานี กล่าว ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่สโมมสรทหารบก ถนนวิภาวดี-รังสิตว่าตนจะตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงของเดือนรอมฎอน พท.จวกรัฐดันทุรังตั้ง"สมคิด"กระทบสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านงานต่างประเทศของพรรค ต่างแสดงความกังวลว่า วันนี้รัฐบาลนำประเทศไทยไปเปิดศึกรอบด้านมากเกินไปความเสี่ยงสูงแล้ว ที่สำคัญกรณีประเทศ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา กรณีวิคเตอร์บูท ก็ยังไม่จางชนิดความวัวไม่หายความควายเข้ามาแทรกแต่เดินหน้าแต่งตั้งพลตำรวจ โทสมคิด บุญถนอม มาเป็น ผู้ช่วยผบ.ตร ก็ยิ่งไปกันใหญ่ พรรคเชื่อว่าวันนี้รัฐบาลยังไม่ควรเร่งรีบนักเพราน่าจะรู้ทั้งรู้ว่า การด่วนตั้งพลตำรวจโทสมคิด นั้นอาจจะกระทบความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับซาอุดิอาระเบียที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ให้หนักข้อขึ้นไปอีกแต่รัฐบาลนี้กลับกล้า เลือกที่จะทำ ทั้งนี้ไม่ทราบว่าพลตำรวจโทสมคิด มีบุญคุณอะไรกับรัฐบาลมากนักที่จะต้องเร่งตอบแทนทั้ง ๆ ที่สามารถรอซักนิดให้เรื่องคลี่คลายหรือผ่านกระบวนการตัดสินคดีให้เรียบร้อย ก่อนได้ หรือเป็นเพราะวันนี้รัฐบาลเลือกผลประโยชน์ของตนเองแบบอุ้ม มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศกับตำรวจคนหนึ่งซึ่งยังมีเวลาอีกมากพอที่จะปูน บำเหน็จให้ และหากรัฐบาลยึดกฎหมาย ตามมาตรา 95 พรบ.ข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2547 นั้นก็ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลสามารถชะลอการตั้งหรือนำเรื่องเข้ากตร.ให้พิจารณาได้แต่กลับเลือกเอา คน 1 คนไปแลกกับคน 65 ล้านคนในความเสี่ยงระหว่างประเทศ วันนี้พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ประเทศไทย คือประชาชนคนไทยกว่า 65 ล้านคน ที่กำลังถูกรัฐบาลทำตัวเป็น “ฑูตสงคราม”เจรจาเปิดศึกรอบด้านชนิดถึงขั้นอันตรายแบบขีดสุดไช่หรือไม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นศึกนอกศึกใน อย่าง กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และประเทศในอาเซียน เลยเถิดไปถึง อเมริกา รัสเซีย หากวันนี้รัฐบาลมีรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่งานอาจไม่เข้าตาประชาชนนั้นก็ขอให้อยู่นิ่ง ๆ บ้าง อย่าเปิดศึกรอบบ้านมากนัก วันนี้รัฐบาลลองถามกระทรวงแรงงานว่ามีคนงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯปีละกี่หมื่น กี่แสนคน นักท่องเที่ยวรัสเซียมาเที่ยวไทยเท่าไร นำเงินเข้าประเทศมาให้รัฐบาลถลุงปีละเท่าไร ที่สำคัญพรรคยังได้รับความคิดเห็นของพี่น้องมุสลิมผ่านสาขาพรรคในภาคใต้ว่า หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขความสัมพันธ์กับซาอุฯ จะส่งผลต่อการขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศของพี่น้อง ชาวไทยมุสลิมจำนวนมากที่จะเดินทาง ไปประกอบพิธีฮัจในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน รวมทั้งจุฬาราชมนตรี ที่ถูกรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ตอบว่า โรงแรมเต็ม ไม่มีโควตาสำหรับเดินทาง รัฐบาลต้องตอบว่า ซาอุดิอาระเบียให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างไร นอกจากนี้พรรคเชื่อว่าปัญหาทั้งหมดนับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้บริหารมานั้น รัฐบาลไม่ควรบริหารงานแบบสะใจ ไม่เห็นหัวใครหรือทำเพียงเพื่อรักษาเก้าอี้เพียงอย่างเดียว เพราะปัญหาการค้าชายแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านวันนี้ มีปัญหาที่ต้องแก้ไขแบบด่วนที่สุด รัฐบาลได้สนใจดำเนินการแก้ไขแล้วหรือยังอย่างกรณี ชายแดนไทย-พม่าวันนี้ พม่าปิดด่านฝั่งตะวันตกและด้านเหนือของไทยมากี่วันแล้วทำให้สูญเสียการค้า ที่ได้เปรียบดุลการค้าอย่างมากไปแล้วเท่าใดรัฐบาลรู้สึกหรือไม่ รัฐมนตรีต่างประเทศนั่งตีขิม อยู่หรืออย่างไร นอกจากนี้ด้วยธรรมเนียมประเพณี ทางการทูตในฐานะที่ไทยสง่างามในเวทีอาเซียนนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯมา 2 ปี เดินทางไปเยือนประเทศในอาเซียนครบหรือไม่ และวันนี้ความสัมพันธ์ของประเทศ ไทยกับ พม่าเป็นอย่างไร คำที่ว่ารัฐบาล พม่า ไม่พร้อมที่จะต้อนรับไทย นั้น ความหมายคืออะไรวันนี้เราเชื่อว่ารัฐบาลพม่าอาจไม่ได้แสดงอาการเกลียดรัฐบาล ไทย แต่เราเชื่อว่ารัฐบาลพม่าที่ปฎิเสธการเยือนของนายกฯไทยคงเป็นเพราะอาจจะ รังเกียจรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นได้ และที่สำคัญพรรคเพื่อไทยรู้สึกเสียดายงบประมาณในการเดินทางไปงาน เอ็กซ์โป ที่นครเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน ของนายอภิสิทธิ์ นอกจากการไปเดินชมงานใส่แว่นดำทำเท่ห์ตามที่เป็นข่าวแล้วได้เจริญความสำ พันธ์ทางการทูตระดับชาติกับจีนอย่างไรบ้าง ทั้งนี้มาตรา 95 พระราชบัญญัติข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2547 ระบุว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้ง กรรมการสอบสวน หรือ ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาหรือถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผู้มีอำนาจตามมาตรา 72 หรือผู้บังคับบัญชาอื่นตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. มีอำนาจสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัยได้ แต่ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัยว่าผู้นั้นมิได้กระทำผิดหรือ กระทำผิดไม่ถึงกับถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก และไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ก็ให้ผู้มีอำนาจดังกล่าวสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมหรือ ตำแหน่งในระดับเดียวกันที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับ ตำแหน่งนั้น เมื่อได้มีการสั่งให้ข้าราชการตำรวจผู้ใดพักราชการหรือออกจากราชการไว้ ก่อนตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังปรากฏว่าผู้นั้นมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงใน กรณีอื่นอีก ผู้มีอำนาจตามมาตรา 72 หรือผู้บังคับบัญชาอื่นตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร. มีอำนาจดำเนินการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา 84 และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 86 ตลอดจนดำเนินการทางวินัยตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ต่อไปได้ ในกรณีที่ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้รับคำสั่งให้กลับเข้ารับ ราชการหรือได้รับคำสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุใด ๆ ที่มิใช่เป็นการลงโทษ ให้ผู้นั้นมีสถานภาพเป็นข้าราชการตำรวจตลอดระยะเวลาระหว่างที่ถูกสั่งให้ออก จากราชการไว้ก่อน เงินเดือน เงินอื่นที่จ่ายเป็นรายเดือน และเงินช่วยเหลืออย่างอื่น และการจ่ายเงินดังกล่าวของผู้ถูกสั่งพักราชการและผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการ ไว้ก่อน ให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการสั่งพักราชการ การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระยะเวลาให้พักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน และการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวนพิจารณาให้เป็นไปตามที่กำหนดใน กฎ ก.ตร. ที่มาข่าว: แจงจุฬาราชมนตรีขอวีซ่ากระชั้นชิดเหตุไม่ไปฮัจญ์ (คมชัดลึก, 11-9-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
"สมยศ" โวยรัฐปิด "เรด พาวเวอร์" เสียหายกว่า 10 ล้าน เดินหน้าทำต่อที่เชียงใหม่ Posted: 12 Sep 2010 03:21 AM PDT สมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณธิการเรด พาวเวอร์ เผย โวยรัฐบาลสั่งปิดหนังสือ ทำความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท รัฐใช้อำนาจผิดวิธี ลั่นเดินหน้าทำหนังสือต่อที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มาภาพ: Thailand Mirror 12 ก.ย. 53 - นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เรด พาวเวอร์ แถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีที่ ศอฉ. โดยคำสั่งของรัฐบาล สั่งยึดแท่นพิมพ์จำนวน 11 เครื่อง ของบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง ซึ่งการกระทำดังกล่าว สร้างความเสียหายให้แก่บริษัท โกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง กว่า 10 ล้านบาท ว่า เป็นการกระทำของรัฐบาล ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำตัวเยี่ยงอันธพาลครองเมือง ไม่มีความเป็นมนุษยชน เป็นรัฐบาลที่มือถือสากปากถือศีล ใช้อำนาจมืดในการดำเนินการ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะดำเนินการจัดทำหนังสือพิมพ์เรดพาวเวอร์ต่อ โดยจะตั้งศูนย์ที่จังหวัดเชียงใหม่ และจะเตรียมออกเป็นรายสัปดาห์ และรายวันต่อไป ทั้งนี้ สำหรับการรวมตัวของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 19 ก.ย. นี้ ที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดเชียงใหม่นั้น จะมีการเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปประเทศ โดยยื่นข้อเสนอจำนวน 4 ข้อ คือ 1. ต้องปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองของ นปช. ทุกคน 2. ปฏิรูปศาลยุติธรรมให้เชื่อมโยงประชาชน 3. ปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อดูแลประชาชน 4. ปฏิรูปที่ดินประกันราคาพืชผลเกษตรกร ส่วนวันที่ 18-19 ก.ย. นี้ กลุ่มคนเสื้อแดง จะจัดแรลลี่รำลึก 4 ปี รัฐประหาร 4 เดือน ราชประสงค์ โดยจะรวมตัวกันบริเวณหน้า ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ลาดพร้าวในเวลา 06.00 น. และจะเดินทางออกสู่จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป ที่มาข่าว: บ.ก.เรดนิวส์โวยเสียหายกว่า10ล้าน (ไอเอ็นเอ็น, 12-9-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
รองผู้ว่าเชียงใหม่เผย เตรียมเสนอรัฐบาลประกาศ พรก.ฉุกเฉิน อีกครั้ง Posted: 12 Sep 2010 03:13 AM PDT คนร้ายลอบยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ใส่บ้านพักพ่อตานายเนวิน ด้านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เผยเตรียมเสนอรัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินฯในพื้นที่จังหวัดอีกครั้ง หลังเกิดเหตุยิงเอ็ม 79 "สมชาย-จตุพร"นำเผาศพการ์ดแดงที่เชียงใหม่ 12 ก.ย. 53 - พ.ต.อ.ภาณุเดช บุญเรือง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจสอบอาคารบริษัทเชียงใหม่คอนสตัคชั่น ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน หลังถูกลอบยิงลูกระเบิดเมื่อช่วงเช้ามืด โดยนายคะแนนเปิดเผยว่า ขณะนอนอยู่ในบ้านพักได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด ช่วงเวลา 03.00 น. เมื่อตรวจสอบพบว่ากันสาดหน้าอาคาร และกิ่งไม้ถูกสะเก็ดระเบิด คาดว่าจะเป็นชนิดเอ็ม 79 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และตรวจสอบภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ทั้งนี้ที่ผ่านมาบ้านพักของนายคะแนน เคยถูกปาปะทัดยักษ์ใส่บ้านพักมาแล้วหลายครั้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เผยเตรียมเสนอรัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินฯในพื้นที่จังหวัดอีกครั้ง ด้านนายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ (รองผวจ.เชียงใหม่) กล่าวว่า จากเหตุการณ์คนร้ายลอบยิงระเบิดเอ็ม79 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งทางจังหวัดจะเสนอให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อีกครั้งใน สัปดาห์หน้า เพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรง อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบบริเวณพื้นที่สำนักงานของบริษัทเชียงใหม่คอนสต รัดชั่น ของ นายคะแนน สุภา ซึ่งเป็นพ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ได้ถูกคนร้อยลอบยิงลูกระเบิดเอ็ม79เข้าใส่นั้น ทางตำรวจวิทยาการเชียงใหม่สัณนิษฐานว่า ลูกระเบิดถูกยิงมาจากฝั่งถนนและกระสุนได้มาตกบริเวณต้นไม้ก่อนที่จะเกิด ระเบิดขึ้น โดยแรงระเบิดทำให้พื้นที่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายเป็นรูพรุนหลายจุด "ขณะนี้ตำรวจได้เร่งตรวจสอบที่เกิดเหตุและหาร่องรอยของคนร้ายตามจุดต่างๆ พร้อมตรวจสอบกล้องวิดิโอ ตามจุดใกล้เคียง เพื่อหาเบาะแสของคนร้ายแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานของนายคะแนน ถูกลอบยิงใส่มาแล้วถึง 3 ครั้ง" นายชูชาติกล่าว "สมชาย-จตุพร"นำเผาศพการ์ดแดงที่เชียงใหม่ วันนี้ (12) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.แดง ได้โฟนอินไปยังรายการวิทยุของเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 โดยบอกกับคนเสื้อแดงว่า การเสียชีวิตของ นายกฤษฎา กล้าหาญ อายุ 27 ปี การ์ดแดงรักเชียงใหม่ 51 ที่ถูกเอ็ม16 ยิงบนถนนสายเชียงใหม่-หางดง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา น่าจะเป็นฝีมือของรัฐบาล และการต่อสู้ของคนเสื้อแดงจะไม่ยุติหรือสิ้นสุด พร้อมประกาศชวนคนเสื้อแดงให้มารวมพลในวันที่ 19 กันยายนนี้ ระบุว่าจะเป็นการนัดรวมพลังครั้งใหญ่ที่สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ ต่อมานายจตุพรได้เดินทางมายังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ต.พระสิงห์ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อเข้าร่วมขบวนแห่ศพของนายกฤษฎา ร่วมกับคนเสื้อแดงกว่า 500 คน ซึ่งแกนนำแดงในพื้นที่ได้แก่ นายวรวุฒิ รุจนาภินันท์ หรือดีเจแดงสองแคว จากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และนายศรีวรรณ จันทร์ผง แกนนำ นปช.แดงเชียงใหม่ โดยตั้งขบวนเดินเท้านำศพออกจากวัดไปประกอบพิธีฌาปนกิจที่สุสานหายยา อ.เมือง ในช่วงบ่าย คนทั้งหมดพร้อมใจกันสวมเสื้อสีแดง ส่วนนายจตุพรนั่งบนรถตู้ส่วนตัวเคลื่อนออกไปพร้อมกับขบวน เมื่อไปถึงสุสานหายยา เวลา 15.30 น.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธี ร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงถวายผ้าไตรและวางดอกไม้จันทน์ประกอบพิธีเผาศพ มีพระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ขณะวางดอกไม้จันทน์แกนนำแดงได้ประกาศเชิญชวนคนเสื้อแดงเป็นระยะให้ไปเข้า ร่วมการชุมนุมใหญ่ที่สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ในวันที่ 19 กันยานยน ทั้งนี้ตลอดงานมีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 1 กองร้อยมารักษาความปลอดภัย ซึ่งหลังเสร็จพิธีคนทั้งหมดได้แยกย้ายกันกลับโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: คนร้ายยิงระเบิดใส่บ้านพ่อตา "เนวิน" ที่เชียงใหม่ (สำนักข่าวไทย, 12-9-2553) เชียงใหม่ชงรัฐประกาศพรก.ฉุกเฉินในพื้นที่อีกครั้ง (โพสต์ทูเดย์) "สมชาย-จตุพร"นำเผาศพการ์ดแดงที่เชียงใหม่ (เนชั่นทันข่าว, 12-9-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 12 Sep 2010 01:59 AM PDT ความพ่ายแพ้ของคนเสื้อแดง และการสูญเสียชีวิตคนไทยด้วยกันเอง เป็นโอกาสอันสำคัญของนักมานุษยวิทยาทั้งมวล ซึ่ีงมีใจกลางของการศึกษาอยู่ที่มนุษย์ จะได้ทำความเข้าใจกับลักษณะที่แท้จริงของสังคมมนุษย์ไทย คนเสื้อแดงอาจเข้าใจลักษณะสังคมไทยได้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว (จึงทำให้พ่ายแพ้อย่างยับเยิน) กล่าวคือคนเสื้อแดงเข้าใจถูกต้องว่า คู่ความขัดแย้งในสังคมไทยเป็นคนขัดแย้งระหว่างไพร่ฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่น่าถูกต้องเลย ที่จะมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งคืออำมาตย์ เพราะคู่ตรงข้ามของไพร่คือผู้ดี มิใช่อำมาตย์อย่างที่คนเสื้อแดงเข้าใจ เมื่อคู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่งเป็นไพร่ อีกฝ่ายจึงเพียงแต่ทำตัวเป็นผู้ดี ไพร่ก็ย่อมต่อสู้ด้วยอย่างลำบากยิ่ง ก็เอ็งเป็นไพร่อ่ะ ผู้ดีอย่างพวกเราจะต้องไปเสียเวลาคุยหรือเกลือกกลั้วด้วยทำไม ผู้ดีย่อมมีภาษีเหนือกว่าไพร่วันยันค่ำ คืนย้นรุ่ง จะเพราะเป็นวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากอิทธิพลของหนังสือสมบัติผู้ดี หรือเพราะเกิดการเบี่ยงเบนออกจากความหมายที่แท้จริงของหนังสือสมบัติผู้ดี หรือแม้แต่จะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับหนังสือสมบัติผู้ดีก็ตาม สังคมการเมืองไทยปัจจุบันย่อมเห็นว่า ผู้ดีคือผู้กำความถูกต้องเอาไว้ ไพร่จะมีความถูกต้องชอบธรรมได้ก็ต่อเมื่อยกระดับตนเองเป็นผู้ดีเท่านั้น ปัญหาของไพร่จึงเป็นปัญหาความเหนือกว่าของผู้ดี มิใช่ปัญหาเรื่องอำมาตย์ หรืออำมาตยาธิปไตย แม้ว่าอำมาตย์/อำมาตยาธิปไตยจะเป็นปัญหาก็ตาม การเคารพสถานที่คือความเป็นผู้ดี การต้องเคารพสถานที่จึงเป็นความถูกต้อง การยึดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงผิด-เป็นการกระทำอย่างไพร่ ๆ คนเสื้่อแดงเข้าใจถูกต้องว่าบริเวณโดยรอบของราชประสงค์/สยามเซ็นเตอร์ ( ศูนย์กลางของสยามประเทศ) เป็นพื้นที่สำคัญในทางเศรษฐกิจ แต่ความเป็นพื้นที่สำคัญในทางเศรษฐกิจหมายความด้วยว่า เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในทางเศรษฐกิจด้วย ดังมีผู้เปรียบเทียบกันบ่อย ๆ ว่า ศูนย์การค้าก็คือโบสถ์วิหารของศาสนาบริโภคนิยมในยุคนี้ ที่สาวกสาวิกาทั้งหลายต้องหมั่นเข้าไป "เช่า" หรือที่จริงก็คือ "ซื้อ" เครื่องรางของขลังประจำศาสนา (คือสินค้านานาชนิด) มาไว้ใช้สอยบูชาประจำตัว "โบสถ์วิหาร" ในบริเวณนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ย่อมสะท้อนให้เห็นได้จากการมีเทพหรือมหาเทพฝ่ายฮินดูมาสถิตย์เป็นมิ่งเป็นขวัญประจำสถานที่เป็นจำนวนมาก กล่าวกันในหมู่ซินแสภูมิสถานทั้งหลายว่า ถ้ามิใช่พื้นที่/ตลาด/ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ แล้ว ตั้งบูชาได้ก็แต่พระภูมิเจ้าที่เท่านั้น มิบังควรจะตั้งศาลพระพรหมเด็ดขาด ไหว้ไม่ถึง บูชาไม่ถึงหรอก โดยนัยนี้ บริเวณสยามเซ็นเตอร์/ราชประสงค์จึงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก และไม่เพียง "โบสถ์วิหาร" ของศาสนาบริโภคนิยมจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น โรงพยาบาลก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะเป็นสถานที่ให้ผู้ดีได้อำนวยการรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นสถานที่ีแห่งการแสดงทาน/เมตตาบารมี การยึดหรือบุกเข้าไปสำรวจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นการกระทำที่ "อุกอาจ" ยิ่งนัก ในสายตาของผู้ดีไทย การยึดพื้นที่เยี่ยงนี้จึงชึ้ถึงความอ่อนด้อยของคนเสื้อแดงในการเข้าใจกระแสความคิดที่ครอบงำสังคมไทย วัฒนธรรมผู้ดีไทยเห็นว่าพื้นที่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงยิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีก ศูนย์ที่เอะอะอ้างเอาแต่ความฉุกเฉินเฉพาะหน้า (ศอฉ) จึงไม่ต่างจากผู้ดีทั้งหลาย และจึงคอยตอกย้ำว่า พื้นที่ในสังคมวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ศอฉ.จึงขอคืนพื้นที่บ้าง ขอกระชับพื้นที่บ้าง ก็พื้นที่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์อ่ะ ใครบังอาจมารบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ จงออกไป ถ้าไล่ไม่ไปก็สมควรรับโทษทัณฑ์ หากนักมานุษยวิทยาจะทำความเข้าใจสังคมมนุษย์ไทยอย่างถูกต้อง ก็คงจะต้องทำความเข้าใจว่าสังคมผู้ดีไทยเป็นสังคมที่เห็นว่าพื้นที่มีความสำคัญมากกว่าคน ในแง่นี้คงยากที่จะมีนักมานุษยวิทยาที่แท้คนใดสามารถสื่อสารกับสังคมไทยโดยทั่วไปได้รู้เรื่อง เพราะสังคมนี้เจรจาหรือ "คุย" กันเรื่องพื้นที่ ไม่ได้ "คุย" กันเรื่องคน (ส่วนที่จะชอบซุบซิบกันเรื่องคนนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะคนไม่สำคัญเท่าพื้นที่ จึงซุบซิบเอาก็พอแล้ว) เมื่อผู้ดีเห็นว่าพื้นที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงพลอยทำให้เห็นไปว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของ "สถาบัน" เป็นความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงพื้นที่ไปด้วย วิธีปฏิบัติต่อ "สถาบัน" จึงเป็นวิธีที่ปฏิบัติต่อพื้นที่ คือ ต้องให้ความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ความคิดเช่นนี้ไม่มากก็น้อยย่อมบดบังความสามารถในการเข้าใจความคิดเห็นของไพร่ ไพร่มิได้พยายามทำความเข้าใจเรื่องพื้นที่ แต่ไพร่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นคนของตน ("ไพร่") และของคนอื่น ๆ การจำกัดให้ความรักต่อสถาบันมีอยู่เฉพาะในเชิงของความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่อาจโอบคลุมถึงความรักเคารพในมิติอื่นของความเป็นมนุษย์ "ไพร่" หรือคนเสื้อแดงไม่อาจเอาชนะใจคนไทยได้สำเร็จ เพราะไม่เข้าใจกรอบความคิดที่ครอบงำสังคมวัฒนธรรมไทยอยู่ฉันใด "ผู้ดี"ก็ย่อมไม่อาจเอาชนะใจไพร่ได้ หากไม่เข้าใจความคิดของไพร่ทีี่ให้ความสำคัญกับคนฉันนั้น สัจธรรมมีอยู่ว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์และตัวมันเอง แต่น่าแปลกใจว่า ทั้ง ๆ ที่ผู้ดีในยุคศอฉ.สามารถใช้ถ้อยคำ ใช้สื่อสาธารณะ และกระทำรุนแรงต่อคู่ขัดแย้งได้ "เนียน" (แต่โหดเหี้ยมมากน้อยกว่ากันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) กว่าผู้ดีในยุค 6 ตุลาคม 2519 แต่ความเข้าใจต่อคู่ขัดแย้งมิได้พัฒนาให้มีความเข้าใจมากขึ้นหรือถูกต้องไปกว่าเดิมเลย การไม่เข้าใจความรักความเคารพในมิติอื่นที่นอกเหนือไปจากความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ อาจหมายถึงการไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก น่าเสียใจว่า สิ่งมีชีวิตใดมีพัฒนาการไปในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของโลก สิ่งมีชีวิตนั้นอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ต่อไป
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น