โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นักข่าวพลเมือง: เสวนาชุมชนสัญจรสตรีละหาร สร้างความรู้ กม.เสริมพลังสตรี

Posted: 12 Mar 2011 01:39 PM PST

 

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 54 เครือข่ายเยาวชนกับการสร้างสันติวัฒนธรรมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงพื้นที่จัดเวทีเสวนาชุมชนสัญจร และเยี่ยมเยียนครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ที่หมู่บ้านละหาร ต.สามัคคี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ในท่ามกลางสายฝน

นายวีฟาอี มอลอ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนกับการสร้างสันติวัฒนธรรมสามจังหวัดชายแดนภาค ใต้ (Art Of Peace) เผยว่า ในวันนี้(12 มี.ค.) ทางเครือข่ายเยาวชนฯ หรือ Art Of Peace ประมาณ 14 คน จากหลายองค์กร ได้ทำการลงพื้นที่จัดเวทีเสวนาชุมชนสัญจรที่หมู่บ้านละหาร หมู่ 5 ต.สามัคคี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส มีหัวข้อของการเสวนาว่า “เรียนรู้กฎหมายพิเศษ เพื่อเสริมสร้างกลุ่มสตรี” เป็นการพูดคุยในประเด็นที่ชุมชนมีความต้องการที่จะร่วมพูดคุย อย่างในหมู่บ้าน มีประเด็นหลักคือ การสร้างพลังแก่กลุ่มสตรี เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และอีกประเด็นที่คือการให้ความรู้ทางด้านกฎหมายพิเศษที่มีการบังคับใช้ใน พื้นที่

ทางชาวบ้านในหมู่บ้านละหารและจากหมู่บ้านใกล้ ได้ให้ความสนใจต่างเข้ามาร่วมในการรับฟัง เกือบ 200 คน โดยเฉพาะกลุ่มสตรีที่มีความต้องการสร้างกลุ่มของตัวเอง

ในการเสวนาในประเด็นเรื่องของกฎหมาย นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิมประจำจังหวัดนราธิวาส ได้พูดคุยให้ความรู้ และตอบปัญหาข้อข้องใจที่เกี่ยวกับกฎหมายพิเศษในพื้นที่ ซึ่งในพื้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับผลกระทบในส่วนของละเมิดสิทธิเป็นอย่าง มากในอดีตที่ผ่าน

ส่วนในประเด็นเสวนาเรื่องการสร้างพลังแก่กลุ่มสตรี นางสาวซูไบดะห์ ดอเลาะ อดีตครูใหญ่ โรงเรียนอิสลามบูรพา ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส มาเสริมสร้างให้ความเช้าในส่วนของประเด็นกลุ่มสตรี

เวลา 17.00 น. เครือข่ายเยาวชนฯ ได้ลงเยี่ยมครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบในหมู่บ้านดังกล่าว จำนวน 3 ครอบครัว นายวีฟาอี กล่าวว่า ในการลงเยี่ยมเยียนครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นการสร้างความตระหนักให้แก่สมาชิกในเครือข่ายเยาวชนฯ Art Of Pece สร้างความเข้าใจที่ดี และให้พลังแก่ครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ครอบครัวของเยาวชนที่ตกเป็นจำเลยในคดีการวางระเบิดในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ในขณะถูกควบคุมตัวในชั้นสอบสวนถูกซ้อมทรมานเพื่อบังคับให้รับสารภาพ แต่เยาวชนคนดังกล่าวให้การปฏิเสธ ต่อมาได้รับการประกันตัว และในการตัดสินคดีศาลตัดสินยกฟ้อง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เครือข่ายเยาวชนกับการสร้างสันติวัฒนธรรมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการรวมตัวของกลุ่ม องค์กรเยาวชนที่ทำงาน และกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประมาณ 11 กลุ่ม/องค์กร โดยเฉพาะเพื่อทำงานและขับเคลื่อนในประเด็นการสร้างสันติวัฒนธรรมให้เกิดขึ้น ในพื้นที่ เริ่มมีการรวมกลุ่มกันครั้งแรกเมื่อปี 2552 ณ ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยมูลนิธิสื่อชาวบ้าน(มะชามป้อม) เป็นผู้ดำเนินกระบวนเพื่อให้เห็นประเด็นการขับเคลื่อนและสามารถทำงานร่วมกัน ได้ในหลายๆองค์กรได้ และในปีนี้ได้รับงบสนับสนุนการทำงานจากกองทุนแคนาดา สถานทูตแคนาดา ประจำประเทศไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ณัฐวุฒิ” ลั่นเดินหน้าประกันตัวนักโทษการเมืองทั่วประเทศ

Posted: 12 Mar 2011 01:34 PM PST

คนเสื้อแดงชุมนุมแน่นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย “ทักษิณ” ยันเอง ประชาชนก้าวข้ามตนเองแล้ว อ้อนถ้าเพื่อไทยชนะเลือกตั้งจะฟื้นเศรษฐกิจใน 6 เดือน พร้อมเรียกร้องผู้มีอำนาจเคารพประชาชน
 
วันนี้ (12 มี.ค.54) ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการชุมนุมของ นปช.ครบรอบ 1 ปีการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยตั้งแต่เวลา 12.00 น. มีผู้ชุมนุมเริ่มทยอยจับจองพื้นที่เพื่อฟังปราศรัยบริเวณเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยเวทีหันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว ขณะที่กำหนดเวลาปราศรัยอยู่ที่ 15.00 น.โดยมีผู้ชุมนุมทยอยมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ จนกินพื้นที่ตั้งแต่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนถึงสี่แยกคอกวัว
 
ณัฐวุฒิลั่นจะประกันตัว นปช. ที่ยังถูกคุมขังทั่วประเทศ
โดยเวลา 18.30 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ขึ้นเวทีปราศรัยบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีการแสดงล้อเลียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยการให้ชายสวมหน้ากากรูปหน้านายอภิสิทธิ์ ขึ้นไปเวทีปราศรัย แล้วสอบถามว่าใครเป็นคนสั่งเผาห้างย่านราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553
 
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการยื่นประกันตัวแนวร่วม นปช.ที่ยังอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศให้กลับคืนสู่อิสรภาพ โดยตัวเลขที่รวบรวมได้พบว่ามีแนวร่วมคนเสื้อแดงทั้งหมด 98 คน คร่าวๆ ใน กทม. 30 คน อุดรธานี 22 คน อุบลราชธานี 21 คน ขอนแก่น4 คน มหาสารคาม 9 คน สมุทรปราการ 2 คน และนนทบุรี 2 คน
 
ส่วนการมาชุมนุมในครั้งนี้เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จะไม่เป็นการผิดเงื่อนไขของศาลจนทำให้ถูกถอนประกันตัว และระบุว่า จากนี้เป็นต้นไปแกนนำ นปช.ที่ยังหลบหนี ไม่ว่าจะเป็น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุพร อัตถาวงศ์ เชื่อว่าจะทยอยเข้ามอบตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่คงต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย
 
ทักษิณยันประชาชนก้าวข้ามตนเองไปแล้ว
ต่อมาเวลา 20.30น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านการวีดีโอลิงค์ว่า ไม่รู้ว่าสังคมไทยจะเรียกตนกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่ หากได้กลับมา จะได้ปลดหนีปลดสิน ขณะที่ต้องขอแสดงความเสใยใจกับประเทศญี่ปุ่นที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว และสึนามิครั้งใหญ่ เพราะในสมัยที่ไทยต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ จำนวน 4,800 ล้านบาท ขณะนี้ ตนอยากพูดให้ฟังอย่างมีสติ กรณีที่มีพี่น้องเสื้อแดง เสียชีวิตกว่า 2,000คน เรามีส่วนร่วมในการเรียกร้องประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกันในสังคม สังคมปัจจุบันเสื่อมโทรมลงอย่างมาก จึงอยากให้ประเทศมีประชาธิปไตย ที่แท้จริงไม่ใช่ให้ทหารมาจัดตั้งรัฐบาล
 
ทุกวันนี้ประชาชน ก้าวข้ามตนเองไปแล้ว โดยเฉพาะจิตสำนึกของกลุ่มพี่น้องประชาชน นปช.ที่มาร่วมชุมนุมกันในวันนี้ ก้าวข้ามเกินกว่าในเรื่องตัวกู ของกูแล้ว แต่วันนี้หลายคนยังเป็นเรื่องของตัวกูของดกูอยู่ ยังไม่เข้าใจว่าการอยู่ในสังคมนั้นเราจะต้องนึกถึงสังคมโดยรวมก่อนจึงจะอยู่ร่วมกันได้ แต่วันนี้หลายคน เราอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง เคารพการตัดสินใจของประชาชน เคารพศักดิศรี ความสามารถของประชาชน ที่จะแบกรับความเสี่ยงว่า จะเลือกรัฐบาลนี้เอง ดีหรือไม่ดี ประชาชนจะเป็นผู้เลือกเองไม่ต้องเอาทหารมาบังคับ
 
ชี้ปรากฏการณ์ในตะวันออกกลาง จะมีหลายประเทศเปลี่ยนแปลงอีก
เพราะฉะนั้นคนเสื้อแดงมีจิตสำนึก มากกว่าตัวเองแล้ว เลยอยากให้ผู้ที่กำลังสั่งการ กลั่นแกล้งคนนั้นคนนี้ได้คิดว่า คนเสื้อแดงที่เสียสละมาชุมนุมครั้งแล้วครั้งเล่าใครจ้างมา ไม่มีใครจ้างมาหรอก ทั้งๆ ที่แกนนำไปติดคุกก็ยังมา คนเสื้อแดงมาเพื่อส่วนรวมจริงๆ ไม่ได้มาเพื่อตัวเอง ฉะนั้นมองคนเสื้อแดงเสียใหม่ เพื่อให้หันกลับมามองว่าบ้านเมืองที่วุ่นวายทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องของคนเสื้อแดง มันเป็นเรื่องที่บ้านเมืองไร้ซึ่งประชาธิปไตย มีการเข้ามาแทรกแซง เบียดเบียนของบุคคลไม่มีอำนาจภายใต้กฎหมาย เข้ามาวุ่นวายทำให้บ้านเมืองมันยุ่งเหมือนทุกวันนี้
 
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า พี่น้องครับ ยิ่งผมเห็นเผด็จการที่อยู่เมืองนอกแล้ว ยิ่งรู้สึกว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกเพียงแต่จะระเบิดตรงไหนเท่านั้นเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง จิตสำนึกของประชาชนที่เกิดขึ้นใน ตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย และอีกหลายประเทศที่กำลังตามมานั้น เกิดจากที่เห็นว่าผู้ปกครองประเทศได้เคารพศักดิ์ศรีความเป็นประชาชน ไม่เคารพความสามารถในการเลือกรัฐบาลของประชาชน
 
เรียกร้องผู้มีอำนาจเคารพประชาชน ไม่อย่างนั้นประเทศไม่สงบ
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจต้องเคารพในประชาชนตัวเอง ไม่เช่นนั้นประเทศก็จะไม่สงบ การเคารพประชาชนตัวเอง คือต้องให้สิทธิเสรีภาพ ในการดำรงชีวิต นั่นคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อย่างที่สองคือการให้ความยุติธรรม มาตรฐานเดียวกัน และใช้หลักนิติธรรมในการปกครองประเทศนั่นคือสิ่งที่ประชาชนอยากได้ คือการให้โอกาสประชานเคารพปัญญาการดำรงชีวิตเท่านั้น
 
วันนี้ นายกวันนี้ก็บอกว่า จะเลือกตั้งแล้ว จะยุบสภา ผมไม่แน่ใจว่า ท่านพูดจริงหรือไม่ ต้องหาร 3 หาร 4 เลือกตั้งครั้งหน้านี้ก็จะบอกได้ว่า ผู้มีอำนาจจะเคารพความคิดประชาชนหรือไม่ รัฐบาลเคารพการตัดสินใจประชาชนคือปล่อยให้มีการเลือกตั้ง อย่างบริสุทธิ์และยุติธรรม เป็นไปตามครรลอง ใครชนะ คนนั้นเป็นรัฐบาล ไม่ต้องให้ทหารมาช่วยจัดตั้งในค่ายทหารอีก แล้วก็จะปรากฏชัด พรรคเพื่อไทยเลือกแล้วได้ทีมงานและทักษิณมาแน่นอน หรือจะเสี่ยงกับรัฐบาลปัจจุบันเลือกแล้วก็จะได้อภิสิทธิ์ เนวิน และ สุเทพ กลับมาแน่นอน ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนจะเป็นผู้เลือก อย่ามายุ่งกับประชาชน
 
ลั่นถ้าเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จะขอเวลา 6 เดือนฟื้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังโจมตี การบริหารน้ำมันปาล์ม ว่าบริหารกันจนเกิดขาดแคลน พี่น้องไปบอกที่บ้านว่ามีพรรคการเมืองบางพรรค คิดเรื่องดีไม่เป็น คิดแต่เรื่องไม่ดี หลอกให้ประชาชนเปิดบัญชีธนาคาร แล้ว หลอกว่า ทักษิณจะโอนเงินเข้าไปในบัญชี ยันไม่เป็นความจริง ยอมรับชื่นอกชื่นใจที่กลุ่มผู้ชุมนุมมากันเยอะมากในวันนี้
 
ทักษิณกล่าวด้วยว่าตอนนี้อาศัยอยู่แถวประเทศในยุโรป ขอให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เห็นแก่ชาติบ้านเมือง อย่าไปคิดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นอันตราย ปีนี้รัฐบาลต้องยุบสภาแน่ ทักษิณท้า ไม่ต้องยุบให้อยู่จนครบแล้วค่อยยุบจะได้ทราบว่าประชาชนจะเลือกใคร รู้กันชัดๆ ไปเลย และขอให้เพื่อไทยชนะแบบถล่มทลาย ผมจะเป็นคนพลิกฟื้นประเทศ ขอเวลา 6 เดือน จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยกลับมาดีอีกครั้ง และ ต้องส่งสัญญาณนี้ให้กับผู้มีอำนาจ ทั้งเรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั่วประเทศ วันนี้ขอกราบงามให้พี่น้องประชาชน

นอกจากนี้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการแกนนำ นปช. ยังขึ้นปราศรัยด้วย โดยนัดหมายผู้ชุมนุมรวมตัวกันอีกครั้งในวันที่ 19 มี.ค. 

ประมวลภาพกิจกรรม:

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เปิดตัวเว็บ "ป๋วย อึ๊งภากรณ์" รวมข้อเขียนบันทึก ปวศ.การเมืองไทย

Posted: 12 Mar 2011 01:30 PM PST

มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานเปิดตัวโครงการเว็บไซต์และอี-ไลบรารี่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ "ชาญวิทย์" ชวนสร้าง "เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพทางอินเทอร์เน็ต"  ด้าน "จอน" ชี้ปรากฎการณ์แพรวาในเฟซบุ๊ก เป็นความน่ากลัวของอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้คนเกลียดกันได้แม้อาจไม่รู้จักกัน

(12 มี.ค.54) มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานเปิดตัวโครงการเว็บไซต์และอี-ไลบรารี่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ห้องบุญชู โรจนเสถียร ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

หน้าแรกเว็บไซต์ http://puey-textbooksproject.org/

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กรรมการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์กล่าวถึงโครงการจัดทำ "เว็บไซต์และอี-ไลบรารี่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์" ว่า เป็นความพยายามเก็บบันทึกผลงานของป๋วย อึ๊งภากรณ์ รวมถึงผลงานของมูลนิธิโครงการ ตำราสังคมศาสตร์และมนุษย ศาสตร์ ซึ่งมีที่มาจากโครงการตำราฯ โดย อ.ป๋วยฯ ในฐานะคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.ขณะนั้น มีส่วนอย่างยิ่งในการผลักดัน ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ มูลนิธิฯ ได้จัดทำเว็บไซต์ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ และในอนาคตจะทำโครงการอื่นๆ ต่อไป อาทิ โครงการจิตร ภูมิศักดิ์, เสน่ห์ จามริก, สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นต้น

ตอนหนึ่ง ชาญวิทย์ กล่าวว่า สิ่งที่อยากสื่อสารออกไปคือ ในบรรยากาศของการเมืองหลากสี "ซาหลิ่ม" ในระดับ "ท้องถิ่นๆๆ" แถวๆ ถนนราชดำเนิน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ/หรือแถวสี่แยกราชประสงค์ ที่ส่วนใหญ่ผู้คนอยู่ในวัยกลางคน หรือไม่ก็ 60-80 นั้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนหนุ่ม คนสาว-รุ่นใหม่ ในอียิปต์ ในลิเบีย ในตะวันออกกลาง ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกสากลที่ "ไร้พรมแดน" หรือ borderless แต่ยังมี "เขตแดน" หรือ boundary

รวมถึงทำให้นึกไปถึงสถิติของการปิดกั้น "เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต" ของรัฐบาลไทย โดยใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปิดเว็บไปเกือบ 75,000 และในจำนวนนี้ มีถึง 57,330 ที่เป็นกรณีของข้อหา "หมิ่นฯ" มีการศึกษาวิจัยที่แสดงว่าจำนวนของคดีเช่นนี้เพิ่มจากประมาณปีละ 2-3 รายในช่วงทศวรรษ 1980 หรือเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กระโดดมาเป็นจำนวนสูงถึง 164 รายในปี 2552

นอกจากนี้ ชาญวิทย์ ระบุว่า เขานึกถึงคำกล่าวของนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ถึงสิ่งที่เรียกว่า "เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต" ที่ว่า

"เราเชื่อว่า รัฐบาลที่สร้างเครื่องกีดขวางต่อ "เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต" ไม่ว่าจะโดยเทคนิคการกรอง ระบอบการเซ็นเซอร์ หรือการจู่โจมต่อผู้ที่ใช้สิทธิในการแสดงออกและชุมนุมออนไลน์นั้น ที่สุดแล้วก็จะพบว่าตนเองต้องจนมุม และจะต้องพบกับชะตากรรมของเผด็จการ และก็จะต้องเลือกระหว่างที่จะต้องปล่อยให้กำแพงขวางกั้นนั้น พังทะลายลง หรือไม่ก็ต้องจ่ายราคาค่างวดอย่างสูงในการที่จะรักษาเอาไว้" (ฮิลลารี คลินตัน)

ดังนั้น เขาจึงอยากให้ช่วยกันสร้างเสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพทางอินเทอร์เน็ต สร้างโลกใหม่ที่ไร้พรมแดน และเต็มไปด้วย "สันติ" ของ "ประชา" และของ "ธรรม"

สำหรับเว็บไซต์ http://puey-textbooksproject.org/ ประกอบด้วยส่วนที่หนึ่ง คือ เว็บป๋วย อึ๊งภากรณ์ http://puey-ungphakorn.org/ ซึ่งรวบรวมประวัติ ต้นฉบับลายมือข้อเขียนชิ้นสำคัญของ อ.ป๋วย พร้อมคำแนะนำและข่าวสารจากหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ อ.ป๋วย รวมถึงปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดฟรี ไฟล์เสียงและวิดีโอบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับ อ.ป๋วยฯ
 

ส่วนที่สอง คือ มูลนิธิโครงการสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ http://textbooksproject.org/ ซึ่ง อ.ป๋วยมีบทบาทผลักดันให้เกิดขึ้น โดยในส่วนนี้ จะรวบรวมหนังสือซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในวาะต่างๆ ของมูลนิธิฯ โดยเปิดให้ดาวน์โหลดฟรี รวมถึงรวบรวมสื่อวิดีโอที่ผลิตโดยมูลนิธิฯ ด้วย ทั้งหมดนี้เพื่อเผยแพร่ความรู้ และอนุรักษ์หนังสือที่หลายเล่มไม่ได้ผลิตอีก
 

ด้าน จอน อึ๊งภากรณ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ประชาไทและทายาทของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวว่า เขาเป็นทายาททางกรรมพันธุ์ของป๋วย แต่ไม่ใช่ทายาททางความคิด แม้จะรับอิทธิพลมาบ้างก็ตาม ทั้งนี้ สมัยหนึ่ง พ่อของเขาเป็นที่เกลียดชังของสังคม สมัยหนึ่งเป็นวีรบุรุษของสังคม เขามองว่าสังคมไทยแปลกมาก เดี๋ยวนี้เป็นธรรมเนียมที่จะชมพ่อของเขา โดยมีตั้งแต่คนที่มีความคิดแบบขวาสุดจนซ้ายสุด หยิบข้อเขียนของป๋วยมาเสนอได้ทุกด้าน รวมทั้งมีคนจำนวนมากเขียนในอินเทอร์ เน็ตว่า ถ้าพ่อของเขารู้ว่า เขาหรือใจ (อึ๊งภากรณ์) ตอนนี้เป็นอย่างไร พ่อต้องตายไปไม่หลับตา อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะรู้จักพ่อในฐานะส่วนตัว มากกว่างาน แต่เชื่อว่า พ่อจะยังนอนหลับต่อได้ รวมถึงเชื่อว่า พ่อจะเห็นด้วยกับ อ.ชาญวิทย์ในเรื่องสันติภาพ ไม่ต้องการให้มีการรบกับกัมพูชาหรือประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเชื่อในเรื่องประชาธิปไตยและสันติภาพ

นอกจากนี้ จอนกล่าวถึงปรากฎการณ์ในโลกออนไลน์ว่า เพิ่งเล่นทวิตเตอร์จริงๆ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โดยพบว่า ตัวเองไปอยู่ในหน้าบัญชีของคนอื่นสองครั้งแล้ว และสามารถโพสต์ได้ด้วย ซึ่งน่ากลัวมาก ทั้งนี้เมื่อหาข้อมูลจึงทราบว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่ตอนนี้สหรัฐอเมริกากำลังทุ่มเทเงินเป็นพันๆ ล้านเพื่อพัฒนาอาวุธไซเบอร์ที่จะเข้าทำลายหรือควบคุมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ต และมีกรณีที่เว็บเดอะฮัฟฟิงตัน โพสต์ ซึ่งเป็นชุมชนบล็อกเกอร์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ก็ถูกซื้อโดย AOL บริษัทออนไลน์ขนาดใหญ่ด้วย

จอนกล่าวถึงกรณีที่น่ากลัวอีกเรื่องคือ กรณีปรากฎการณ์แพรวา โดยบอกว่า แม้ในสังคมทั่วไป เราจะมีทั้งคนรักและคนเกลียด เป็นเรื่องที่พอรับมือได้ เขาเองในฐานะบุคคลสาธารณะระดับหนึ่งก็พอรับได้ ถ้ามีคนเกลียดเป็นแสน แต่คนอย่างแพรวามีคนมาเกลียดสามแสนกว่าคน (ตัวเลขจากการกด "ไลค์" ในเพจ "มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ แพรวาฯ) ตั้งคำถามว่า ผู้ที่เกลียดเขา รู้จักเขาหรือเปล่า หรือสร้างภาพของเขาขึ้นมา นี่คือความน่าเกลียดของอินเทอร์เน็ต ในฐานะเป็นที่แพร่ความเกลียดชังได้ อย่างไรก็ตาม ก็คงเหมือนกับเทคโนโลยีทั้งหลายที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งนี้ ข้อดีหนึ่งที่สำคัญของอินเทอร์เน็ตก็คือ เปิดให้คนเล็กคนน้อยสื่อสารต่อโลกได้

ภายในงานเปิดตัว มีการจัดเสวนาเรื่อง "ความคิด ความรู้และการต่อสู้ในโลกออนไลน์" ด้วย (ติดตามได้ที่นี่ เร็วๆ นี้)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เปิดตัว ‘เว็บไซต์ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์’ เติมประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่หายไป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อ.ส.ค. ยัน “วัวแดง” ยังอยู่

Posted: 12 Mar 2011 01:17 PM PST

กรณีศาลให้ “ไทย-เดนมาร์ค” ล้มละลาย เป็นแค่อดีตบริษัทตัวแทนจำหน่าย และเป็นลูกหนี้เก่า แต่ตอนนี้ อ.ส.ค. ทำตลาดเอง ปีที่แล้วมียอดขาย 6 พันล้าน เตรียมทุ่ม 800 ล้านทำโรงงานที่เชียงใหม่-สระบุรี พร้อมตั้งเป้ายอดขายหมื่นล้านในอีก 5 ปีข้างหน้า
 
12 มี.ค. 54 - นายนพดล ตันวิเชียร รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตนมไทย-เดนมาร์ค หรือนมตราวัวแดง เปิดเผยว่า จากกรณีวันที่10 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรื่อง คำพิพากษาให้บริษัทนมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลายส่งผลให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปเกิดความเข้าใจผิดว่าจะไม่มีผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในท้องตลาด
 
โดยข้อเท็จจริง บริษัท นมไทยเดนมาร์ค จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างชุมนุมสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมแห่งประเทศไทย กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อ.ส.ค. กลุ่มพนักงาน อ.ส.ค. ธ.ก.ส. และ อ.ต.ก. ถือหุ้น 51% และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล โปรดักส์ จำกัด ถือหุ้น 49% จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์คในช่วงปี 2537-2539
 
ทั้งนี้ในช่วงดำเนินการบริษัทดังกล่าวมีผลการดำเนินงานในปี 2537 เป็นไปตามเป้าหมายของสัญญา แต่ต่อมาในปี 2538-2539 บริษัทไทย-เดนมาร์คเริ่มประสบปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ อ.ส.ค. โดยเฉพาะการขาดสภาพคล่องจากภาคเอกชนที่มาร่วมถือหุ้น ทำให้ อ.ส.ค.ยกเลิกสัญญาซื้อขายระหว่าง อ.ส.ค. กับบริษัทนมไทย-เดนมาร์คในปี 2539 และได้มีการดำเนินคดีมาสิ้นสุดจนเป็นข่าวดังกล่าว
 
ดังนั้นในปัจจุบัน บริษัท นมไทยเดนมาร์ค จำกัด จึงอยู่ในสถานะลูกหนี้ของ อ.ส.ค. ดังนั้นจึงถือว่าบริษัทดังกล่าวปัจจุบันไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีข้อผูกพันใดๆ กับ อ.ส.ค.
 
"หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ปัจจุบัน อ.ส.ค.ได้ดำเนินการทางการตลาดด้วยตัวเองมาโดยตลอด และประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเห็นได้จากผลดำเนินการในรอบ 5 ปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดปีที่ผ่านมามียอด 6,000 ล้านบาทและปีนี้คาดว่าจะขายได้ 6,500 ล้านบาท ดังนั้นขอให้ผู้บริโภคจงมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ไทย-เดนมาร์ค หรือนมวัวแดงจะยังคงอยู่คู่คนไทยตลอดไป" นายนภดลกล่าว
 
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบัน อ.ส.ค.มีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม 5 แห่ง คือโรงงานนมมวกเหล็ก สระบุรี โรงงานนมปราณบุรีประจวบคีรีขันธ์ โรงงานนมขอนแก่นโรงงานนมเชียงใหม่ และโรงงานนมสุโขทัย (อ.ศรีนคร) และปีนี้จะสร้างโรงงานที่เชียงใหม่เพิ่มอีก มีกำลังการผลิต 80 ตัน/วัน มูลค่า 400 ล้านบาทขณะที่โรงงานเดิมมีกำลังผลิตนมพาสเจอไรซ์ 15 ตัน/วัน และอีก 2 ปีจะสร้างโรงงานเพิ่มที่ อ.มวกเหล็ก สระบุรีมูลค่า 400 ล้านบาท เพื่อรองรับกับยอดขายที่จะตกประมาณ 10,000 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คสรท.ตั้ง“คำถามถึงกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม”

Posted: 12 Mar 2011 01:08 PM PST

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 มีนาคม 2554 คระกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยมีการจัดเวทีแถลงข่าว ชำแหละกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพราะราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. โดยคุณชาลี ลอยสูง ประะานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย คุณวิไลวรรณ แซ่เตีย คุณชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ รองประธนฯและตัวแทนในกรรมาธิการ ได้ร่วมกันแถลงดังนี้

เมื่อวันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม 2551 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อรัฐสภา ในนโยบาย 9 ด้านที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อสร้างเสริมให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีต่อประชาชน ไทย หนึ่งในนั้นคือ นโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ข้อ 3.2 เรื่องนโยบายแรงงาน ซึ่งระบุในข้อ 3.2.2 ว่า “รัฐบาลจะปฏิรูประบบประกันสังคมให้มีความเข้มแข็งมั่นคง ให้มีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ โปร่งใส และขยายความคุ้มครองถึงบุตรและคู่สมรสของผู้ประกันตนในเรื่องการเจ็บป่วย รวมทั้งเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกันตน”

นับตั้งแต่ปี 2551 จวบจนปัจจุบัน การดำเนินการของรัฐบาลด้านปฏิรูปประกันสังคมที่ดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด คือ การขยายประกันสังคมไปสู่กลุ่มแรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะนโยบายในระดับกระทรวงแรงงาน ทั้งในสมัยนายไพฑูรย์ แก้วทอง และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่เร่งรัดให้มีการขยายความคุ้มครองผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยขยายสิทธิประโยชน์และผลักดันการคุ้มครองตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533

สำหรับประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการปฏิรูปประกันสังคมให้มีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ โปร่งใส ยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม แม้ว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในการเปิดงานสมัชชาแรงงาน: ปฏิรูปประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตแรงงาน เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2554 ว่า “…ผมอยากจะเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการปฏิรูประบบประกันสังคมในปัจจุบัน ข้อเรียกร้องทั้งในเรื่องของการขยายการครอบคลุมของประกันสังคมก็ดี ทั้งในเรื่องของความเป็นอิสระและความโปร่งใสในการบริหารจัดการของกองทุน ประกันสังคมก็ดี และการปฏิรูปในภาพรวมเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของผู้มีส่วนได้ เสียโดยตรง ผมถือว่า เป็นหลักการที่สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศ และเป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับไปดำเนินการ ในส่วนของการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นเรื่องของความต้องการที่จะเห็น
ธรรมาภิบาล หลักธรรมาภิบาลเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการมีส่วนร่วมและความเป็นอิสระนั้น ผมยืนยันครับว่า เป็นหลักคิดที่มีความสอดคล้องกับแนวทางที่รัฐบาลต้องการที่จะเดินไป…”

ต่อมาที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 26 มกราคม 2554 ได้ลงมติในวาระที่ 1 รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม ทั้งฉบับที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี และฉบับบูรณาการแรงงาน ที่เสนอผ่านนายสถาพร มณีรัตน์ กับคณะ กับนายนคร มาฉิม กับคณะ และมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 36 คน เพื่อพิจารณา โดยถือเอาร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรีเป็นหลักในการพิจารณา โดยมีคณะกรรมาธิการประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ 13 คน พรรคเพื่อไทย 11 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 3 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 2 คน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย 2 คน พรรคภูมิใจไทย พรรคกิจสังคม พรรคมาตุภูมิ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานละ 1 คน

สถานการณ์เหล่านี้ รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า ตนมีความตั้งใจที่จะปฏิรูประบบประกันสังคมให้มีความเข้มแข็งมั่นคง หากแต่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยยังเห็นว่า หัวใจของการปฏิรูประบบประกันสังคมคือการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ โปร่งใส ที่ปัจจุบันยังขาดหลักประกันว่าจะเกิดขึ้น

ดังที่ปรากฏในการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกัน สังคม นับตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553 จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2554 พบว่า หลักการและเจตนารมณ์ ของการปฏิรูประบบประกันสังคม ที่เสนอไว้ในร่าง พรบ.ประกันสังคม พ.ศ….(ฉบับบูรณาการแรงงาน) มิได้ถูกหยิบยกมาเป็นสาระสำคัญ หลักการดังกล่าว ประกอบด้วย

(1)    ประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระ กล่าวคือ สำนักงานประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระที่กำหนดระเบียบวิธีการในการบริหาร จัดการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้เองเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและ ผู้จ่ายเงินสมทบมีสิทธิกำหนดนโยบาย การปฏิบัติ สิทธิประโยชน์ มีส่วนร่วมในการบริหารองค์กร ตรวจสอบ รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ตัดสินใจ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตนอย่างแท้จริง สังกัดกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี

(2)    ความโปร่งใส กระบวนการการตรวจสอบ กล่าวคือ ภายใต้ภาวะการบริหารงาน (กองทุน 7แสนล้าน) ที่มีความซับซ้อน และมีการเปลี่ยนแปลงที่ รวดเร็ว กิจการของ สปส. มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องมีการปรับปรุงจัดการให้ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ  เพื่อให้ในที่สุด มีการจัดการที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลที่ดีที่สุด จนกระทั่งได้รับการยอมรับจากผู้ประกันตน และผู้ที่เกี่ยวข้องทั่วไปว่า กิจการมีระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance)

(3)    บัตรเดียวรักษาได้ทุกโรงพยาบาลคู่สัญญา กล่าวคือ  ผู้ประกันตนและคู่สมรสต้องมีสิทธิเข้ารับบริการทางการแพทย์ตามความต้องการ หรือความสะดวกในแต่ละครั้งของตนเองเฉกเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ที่เข้ารับการรักษาหรือบริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลใดก็ได้ตามความสะดวก หรือความต้องการของตน การขยายสิทธิประโยชน์ควรให้ผู้ประกันตนเข้าถึงสิทธิประโยชน์อย่างรวดเร็ว ตรงตามสิทธิ และเหมาะสมกับสภาพงานของคนทำงาน

(4)    หนึ่งคนหนึ่งเสียง ในการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคม กล่าวคือ ผู้ประกันตนทุกคนควรมีสิทธิเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคมในลักษณะหนึ่งคน หนึ่งเสียง ต้องมีการแก้ไของค์ประกอบกระบวนการได้มา คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ และวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการประกันสังคม เพื่อเป็นหลักประกันชัดเจนให้ได้มาซึ่งประธานกรรมการ  กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายผู้ประกันตนซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของนายจ้างและผู้ประกันตน  ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ ความเหมาะสม และไม่มีส่วนได้เสียในกิจกรรมที่กระทำกับสำนักงานทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

(5)    ประกันสังคมถ้วนหน้าเพื่อคนทำงานทุกคน กล่าวคือ การประกันสังคมเป็นหลักการที่คนทำงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันสมทบเป็น กองทุนเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตนในอนาคตเมื่อเกิดเหตุใดเหตุหนึ่งจะได้รับ สิทธิประโยชน์เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกันตน ดังนั้น คนทำงานทุกคนควรเข้าสู่ระบบประกันสังคมเพื่ออย่างน้อยเป็นหลักประกันให้กับ ตนเอง
 
โดยสรุป จากการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม นับตั้งแต่ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553 จนถึงครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย มีความเห็นและท่าทีต่อกรรมาธิการ ดังนี้

ประการแรก คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม บางส่วนยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในกฎหมายประกันสังคม รวมทั้งความเข้าใจมิติต่างๆ ของผู้ใช้แรงงาน และงานด้านสวัสดิการสังคม ดังนั้น จึงมักจะรับฟังข้อเสนอหน่วยงานของรัฐ จากสำนักงานประกันสังคมและสำนักงานกฤษฎีกาเป็นหลัก

ประการที่สอง กระบวนการพิจารณากฎหมายของคณะกรรมาธิการฯ บ่งชี้ว่าไม่เป็นไปตามหลักการที่รัฐบาลแถลงไว้ การพิจารณาเนื้อหากฎหมายรายมาตราไม่ใช่ สาระสำคัญของการปฏิรูประบบประกันสังคม ตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยเสนอทั้ง 5 ประเด็น รวมทั้งแนวทางการปฏิรูประบบประกันสังคมที่นายกรัฐมนตรีเคยรับข้อเสนอ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

ประการที่สาม คณะกรรมาธิการซึ่งเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ไม่ได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็นเท่าที่ควร และการสรุปบันทึกการประชุมจะขาดความเห็นของคณะกรรมาธิการจากคณะกรรมการ สมานฉันท์แรงงานไทย รวมทั้งการไม่ให้ความสำคัญในการนำเสนอความคิดเห็นของที่ปรึกษากรรมาธิการ ฝ่ายแรงงาน

ประการที่สี่ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีการพิจารณาไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน 25 มาตรา จากทั้งหมด 46 มาตรา จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า กฎหมายฉบับนี้ฯ มีการพิจารณาอย่างรวดเร็วและรวบรัด เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้ผ่านก่อนการยุบสภา เพราะเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ล่วงหน้าแล้ว

จากสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยมีความเห็นต่อ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. .. ว่าร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. .. ที่กำลังอยู่ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญในขณะนี้ ยังไม่ตอบโจทย์ในการปฏิรูประบบประกันสังคมไปสู่ความเป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส และยังไม่ตอบคำถามต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของสมาชิกผู้ประกันตนจำนวน 9.4 ล้านคน ที่เป็นเจ้าของกองทุนประกันสังคม 8 แสนล้านบาท แต่อย่างใด

ที่มาข่าว: นักสื่อสารแรงงาน
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ในหลวง-ราชินี ส่งพระราชสาส์นเสียพระราชหฤทัยเหตุแผ่นดินไหวญี่ปุ่น

Posted: 12 Mar 2011 01:01 PM PST

พระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น รณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ

ข้าพเจ้าและพระราชินีเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง ที่ทราบรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ในประเทศของฝ่าพระบาท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถโปรดเกล้าฯให้มีพระราชสาส์นแสดงความเสีย พระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ

เมื่อวันที่ 12 มี.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้มีข้อความพระราชสาส์น แสดงความเสียพระราชหฤทัย ไปยัง สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น  กรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิบริเวณทางตะวันออกของเกาะฮอนชู เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554

ซึ่งสำนักราชเลขาธิการได้เชิญผ่านสถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงโตเกียวเรียบร้อยแล้ว ดังนี้

ข้าพเจ้าและพระราชินีเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง ที่ทราบรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งยังก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ในประเทศของฝ่าพระบาท ข้าพเข้าและพระราชินี ขอแสดงความเสียใจด้วยใจจริงมายัง ฝ่าพระบาท และผู้ประสบความทุกข์และความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในครั้งนี้

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เว็บไซต์ “อิระวดี” ถูกแฮ็ก ล่าสุดกู้ได้แล้ว

Posted: 12 Mar 2011 12:56 PM PST

หนังสือพิมพ์ออนไลน์ “อิระวดี” สื่อพลัดถิ่นของพม่าถูกแฮก และมีการโพสต์บทความปลอมจำนวนมากในหน้าแรกของเว็บ ขณะที่ผู้ดูแลเว็บได้เข้าแก้ไขได้แล้ว นับเป็นการโจมตีระลอกล่าสุด หลังจากที่ช่วงครบรอบ “ปฏิวัติชายจีวร” เมื่อปีที่แล้ว ถูกโจมตีจนเซอร์เวอร์ต้องปิดตัว
 
 
หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ “อิระวดี” วันนี้ (12 มี.ค. 54)
ตรงบริเวณมุมซ้าย มีการแจ้งต่อผู้อ่านว่าวันนี้เว็บไซต์ถูกแฮก
 
เช้าวันนี้ (12 มี.ค.) หนังสือพิมพ์ออนไลน์ “อิระวดี” ซึ่งเป็นสื่อพลัดถิ่นของพม่าแจ้งว่าเว็บไซต์ถูกแฮกในช่วงเช้า และมีการโพสต์บทความปลอมจำนวนมากในหน้าแรกของเว็บ ในส่วนที่เป็นภาคภาษาอังกฤษ
 
โด “อิระวดี” แจ้งว่า พยายามที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวและป้องกันการบุกรุกในอนาคต โดย “อิระวดี” คาดว่าเว็บจะกลับมาดำเนินการเป็นปกติเร็วๆ นี้ พร้อมขออภัยกับความไม่สะดวกและความเข้าใจผิดที่เกิดจากนักแฮกเกอร์ด้วย
 
ทั้งนี้เว็บไซต์อิระวดี ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักข่าวของฝ่ายค้านรัฐบาลพม่า ซึ่งดำเนินการอยู่นอกประเทศ มักจะถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์อยู่เนืองๆ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ปีที่แล้ว แฮกเกอร์ได้โจมตีด้วยการเรียกข้อมูลเกินขนาด หรือ DDoS attack (Distributed Denial of Service) จนทำให้เว็บไซต์อิระวดีทั้งภาคภาษาอังกฤษ และภาคภาษาพม่าต้องปิดตัวลง
 
โดยการโจมตีเมื่อปี 2553 ดังกล่าวมีขนาดโจมตีที่ 2 กิกกะไบท์ ซึ่งใหญ่กว่าการโจมตีในเดือนกันยายนปี 2551 ที่ขนาดของการโจมตีอยู่ที่ 1 กิกกะไบท์
 
 
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สื่อพม่าถูกโจมตีจนเว็บล่มช่วงครบ 3 ปี ปฏิวัติชายจีวร พบศูนย์กลางถล่มอยู่จอร์เจีย, ประชาไท, 28 ก.ย. 53 http://www.prachatai.com/journal/2010/09/31285
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“จิตรา” เข้าแจ้งความถูกขู่ทำร้าย เจ้าตัวหวั่นเหตุจากประเด็นการเมือง

Posted: 12 Mar 2011 09:57 AM PST

“จิตรา คชเดช” เข้าแจงความ สน.ชนะสงคราม ถูกอดีตผู้บริหารบริษัทนายจ้างเก่าข่มขู่จะทำร้ายหาว่าเป็นต้นเหตุทำให้ต้องตกงาน เจ้าตัวงงถูกเลิกจ้างมากว่า 2 ปีแล้ว หวั่นเป็นประเด็นการเมือง จากกรณีชูป้ายประท้วงนายกฯ

 
 
 
วันนี้ (12 มี.ค.54) เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น.ที่สถานีตำรวจชนะสงคราม นางสาวจิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ เข้าแจ้งความกรณีเมื่อประมาณ 17.00 น.วันเดียวกันนี้ได้ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ขณะที่เดินอยู่บริเวณถนนราชดำเนิน ได้ถูกชายซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารบริษัท บอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมเพื่อน เข้ามาพูดจาข่มขู่จะทำร้าย โดยท้าทายให้ออกจากพื้นที่ชุมนุม
 
นางสาวจิตรา เล่าว่า ชายคนดังกล่าวได้เข้ามาพูดจาขู่อาฆาตโดยระบุว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตกงาน ซึ่งเธอยอมรับว่ารู้จักชายคนกับดังกล่าวในฐานะเป็นคนที่ทำงานฝ่ายบริหารของบริษัท บอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนเธอในขณะนั้นเป็นประธานสหภาพแรงงานฯ แต่เธอถูกเลิกจ้างจากกรณีสวมเสื้อรณรงค์ “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” โดยบริษัทฯ ให้เหตุผลว่าทำให้เสียชื่อเสียง หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้ถูกบริษัทเลิกจ้างพร้อมคนงานอีก 1,950 คน โดยบริษัทฯ อ้างว่าไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาทำให้ขาดทุน ซึ่งโดยส่วนตัวเธอคิดว่าไม่มีเหตุผลที่ชายคนดังกล่าวจะต้องโกรธเคือง อีกทั้งกรณีการเลิกจ้างก็ผ่านมากว่า 2 ปีแล้ว
 
“มึงไปฟ้องนายทำให้กูตกงานเหรอ” “เรื่องนี้กูจะไม่ยอมง่ายๆ กูจะไม่ปล่อยมึงแน่” “อย่าให้กูเจอมึงอีกกูฆ่ามึงแน่” จิตรายกตัวอย่างคำพูดข่มขู่ของชายคนดังกล่าว
 
อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากชายคนดังกล่าวเป็นผู้ร่วมชุมนุมเสื้อแดงก็ควรมีโอกาสได้พบกันก่อนหน้านี้ เพราะเธอเข้าร่วมการชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งเมื่อดูจากการแต่งกายแล้วชายคนดังกล่าวไม่เหมือนกับผู้มาร่วมชุมนุมโดยทั่วไป ทั้งนี้เธอคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นการข่มขู่ด้วยเหตุผลทางการเมือง จากกรณีที่ก่อนหน้านี้เธอได้ไปแสดงความคิดเห็นด้วยการชูป้ายประท้วง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวาระ100 ปี วันสตรีสากล ที่อาจทำให้ผู้มีอำนาจบางกลุ่มไม่พอใจ และการคุกคามเช่นนี้ทำให้มองเห็นได้ว่าเธอมีประเด็นขัดแย้งส่วนตัวอยู่ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ถูกเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง
 
นางสาวจิตรา กล่าวด้วยว่า จากการเข้าแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามการติดตามเชิญตัวผู้ก่อเหตุเพื่อมาสอบถามเหตุการณ์แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากชายคนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่การชุมนุมซึ่งเป็นพื้นที่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ ดังนั้นขณะนี้จึงทำได้เพียงลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตามอาจต้องมีการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อดำเนินการทางกฎหมายอื่นๆ ต่อไป
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เกิดเหตุระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมา หลังเหตุแผ่นดินไหวญี่ปุ่น

Posted: 12 Mar 2011 03:37 AM PST

สำนักข่าวเอ็นเอชเคเผยมีเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เมืองฟุกุชิมา คนในโรงไฟฟ้าเจ็บ 4 ราย ล่าสุดเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้าได้ระบายอากาศจากคอนเทนเนอร์บรรจุเตาปฏิกรณ์แล้วเพื่อลดแรงดันอากาศ และระเบิด 1 ชั่วโมง มีการตรวจจับกัมมันตภาพรังสีบริเวณรอบโรงไฟฟ้า ซึ่งมีระดับเข้มข้นเท่ากับที่มนุษย์ได้รับใน 1 ปี 

ช่วงที่เกิดระเบิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าของบริษัทไฟฟ้าโตเกียว ที่ฟุกุชิมา ประเทศญี่ปุ่น

 

เกิดเหตุระเบิดภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เจ็บ 4

สำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่นรายงานวันนี้ (12 มี.ค.) ว่ามีรายงานการระเบิดที่โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ที่จังหวัดฟุกุชิมา (Fukushima prefecture) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทั้งนี้ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถูกกล่าวถึงว่ามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และอุตสาหกรรมที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัย

เอ็นเอชเค รายงานด้วยว่า บริษัทไฟฟ้าโตเกียว (The Tokyo Electric Company) แจ้งด้วยว่า มีคนงานที่ปฏิบัติการในโรงไฟฟ้าได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ฝ่ายดูแลความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า กำลังตรวจสอบเพื่อยืนยันรายงานว่า เหตุระเบิดในโรงไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวหรือไม่

ฝ่ายดูแลความปลอดภัยระบุว่า ผู้ที่อยู่ในโรงไฟฟ้าฟูกิชิมา หมายเลข 1 รายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (14.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ได้ยินเสียงระเบิด และได้กลิ่นใกล้กับเตาปฏิกรณ์ และฝ่ายปฏิบัติการของโรงไฟฟ้า แจ้งฝ่ายดูแลความปลอดภัยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย

ทั้งนี้จากวิดีโอที่เผยแพร่ออกมา แสดงให้เห็นว่าผนังของอาคารที่เดิมเป็นที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์หายไป ซึ่งทำให้เกิดคำถามเป็นอย่างมาก

เจ้าหน้าที่ของจังหวัดฟุกุชิมา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้าแจ้งมาว่า เพดานของอาคารโรงไฟฟ้าพังลงหลังการระเบิด

โดยเจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้าได้ระบายอากาศจากคอนเทนเนอร์ที่บรรจุเตาปฏิกรณ์ เพื่อลดแรงดันอากาศด้วย ทั้งนี้ความดันอากาศภายในคอนเทนเนอร์เพิ่มสูงขึ้น หลังจากระบบหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ขัดข้อง อันเนื่องมาจากความล้มเหลวของการเดินระบบในโรงไฟฟ้า

 

พบกัมมันตภาพรังสีรั่ว เข้มข้นระดับที่มนุษย์ได้รับในรอบ 1 ปี

ทั้งนี้มีรายงานว่าสามารถตรวจจับกัมมันตภาพรังสี ภายในบริเวณใกล้กับเตาปฏิกรณ์ด้วย โดยเจ้าหน้าที่ของจังหวัดฟุกุชิมาเผยว่า ในวันนี้ (12 มี.ค.) ภายหลังการระเบิด 1 ชั่วโมง สามารถตรวจวัดระดับกัมมันตภาพรังสีได้ 1,015 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับที่มนุษย์ปกติได้รับสะสมภายในเวลา 1 ปี ซึ่งบริษัทมีความจำเป็นต้องแจ้งรัฐบาล เพื่อให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของอุตสาหกรมและกิจการนิวเคลียร์ของรัฐบาลเผยว่า เจ้าหน้าที่บริษัทโรงไฟฟ้าโตเกียว ได้ตรวจพบระดับกัมมันตภาพรังสีใกล้กับประตูของโรงไฟฟ้าด้านที่ติดกับภูเขา เมื่อเวลา 15.29 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้าดังกล่าว

 

รัฐมนตรีประกาศเพิ่มพื้นที่อพยพจากรัศมี 3 กม. เป็น 10 กม.

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายยูกิโอะ เอดาโนะ กล่าวว่า มีการขยายพื้นที่อพยพออกจากโรงไฟฟ้าฟุกิชิมา หมายเลข 2 จากเดิมที่ประกาศให้อพยพห่างจากรัศมี 3 กิโลเมตร เป็น 10 กิโลเมตร

เอดาโนะกล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ด้วยว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในโรงไฟฟ้าฟุกุชิมาหมายเลข 1 ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นกับเตาปฏิกรณ์หรือไม่ โดยเขากล่าวว่าเขากำลังทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

นายเอดาโนะกล่าวด้วยว่า มีการวัดปริมาณกัมมันตภาพรังสี แต่ข้อมูลที่ได้รับยังห่างจากระดับที่คาดหมายไว้

 

 

ที่มาของข่าว: แปลและเรียบเรียงจาก

Explosion heard at quake-hit reactor, NHK World, Saturday, March 12, 2011 18:08 +0900 (JST) http://www3.nhk.or.jp/daily/english/12_50.html

High level of radiation observed at nuclear plant, NHK World, Saturday, March 12, 2011 18:43 +0900 (JST) http://www3.nhk.or.jp/daily/english/12_51.html

Evacuation area around Fukushima No.2 expanded, NHK World, Saturday, March 12, 2011 18:50 +0900 (JST) http://www3.nhk.or.jp/daily/english/12_52.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุเทพชี้เสื้อแดงจัดตั้งเหมือนคอมมิวนิสต์

Posted: 11 Mar 2011 10:19 PM PST

อัดโรงเรียนเสื้อแดงเนื้อหาเหมือนที่คอมมิวนิสต์ใช้อบรม ชี้ใหม่ๆ อาจจ้างคนฟังวันละ 500 แต่ฟังติดต่อกัน 2-3 เดือน ก็เข้าสมองไปเองไม่ต้องจ้าง ลั่นข่าวที่ลงว่าตนบอกว่าเสื้อแดงเดินเข้าหาลูกปืนเกิดจากฝีมือทนายอัมสเตอร์ดัม ลั่นถึงวันอภิปรายจะเอาชุดดำมาให้ดูว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จับได้กี่คน

สุเทพชี้ที่ข่าวที่ตนบอกว่าคนเสื้อแดงเดินเข้าหาลูกปืนนั้นเกิดจากทนายอัมสเตอร์ดัม

หนังสือพิมพ์ข่าวสด รายงานเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต อ้างเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมาระบุนายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่าผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.2553 เพราะเดินเข้ามาหาลูกกระสุนปืนเองว่า จะพูดกับสื่อที่ทำเนียบรัฐบาลที่เดียว และวันละครั้งเท่านั้น ไม่พูดพร่ำเพรื่อ เข้าใจว่าคนที่ระบุต้องการบิดเบือน คาดว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา สื่อถามประเด็นที่มีคนกล่าวหาว่ามีการฆ่าประชาชน 91 ศพ และชี้แจงไปว่าไม่ได้ทำ ไม่มีเรื่องที่จะให้ตำรวจและทหารไปสลาย หรือถือปืนไล่ยิงประชาชน ข้อเท็จจริงผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งเพราะเข้ามาโจมตีสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ตั้งป้อมและด่านไว้ เจ้าหน้าที่ต้องป้องกันด่านและตัวเอง จำได้ว่าคำพูดเป็นเช่นนี้ แต่ไปใส่คำใหม่ คนบ้าอย่างตนจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ไม่มีทาง

"ผมเข้าใจดีเพราะทั้งหมดนี้มาจากนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่รับจ้างทำงานให้เขาอยู่แล้ว และพูดจาให้ร้ายประเทศไทยและรัฐบาลไทยมาหลายครั้ง เป็นคนที่เราไม่ให้เข้าประเทศอยู่แล้ว" รองนายกฯ กล่าว

 

ยันการเผาสถานที่ต่างๆ เป็นคำสั่งของแกนนำเสื้อแดง

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา มีคนนำคลิปที่มีผู้เผยแพร่ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไล่ยิงคนภายในห้างเซ็นทรัล เวิลด์ เพื่อให้ออกจากห้าง จะได้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนทำ และโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ ขอให้ประชาชนติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่วันนี้หน้าที่ ขอให้ประชาชนติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะการนำมาเผยแพร่นี้ เข้าใจว่าเขาเริ่มกระบวนการปูพื้นก่อนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ โหมโรงชักนำความรู้สึกของประชาชนก่อนถึงวันอภิปราย ตนจะนำรูปภาพของจริงไปแสดงว่า คนที่ลงมือเผาห้างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่งตัวอย่างไร ใช้อะไรเผา และใครทำอะไรอยู่ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ เพราะไม่ใช่แค่เผาห้างแต่สถานที่อื่นทั้งธนาคารและอาคารต่างๆ เป็นไปตามคำสั่งของแกนนำที่สั่งให้เผาบ้านเผาเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าจะให้ฝ่ายค้านเปิดเผยคลิปเผาห้างต่อสาธารณชน นายสุเทพ กล่าวว่า อยากให้มีอะไรให้เอามาเปิด ไม่ต้องยั้งมือแต่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการตรวจสอบ ที่มีตัวแทนจากฝ่ายค้านและรัฐบาลตกลงกันว่าจะให้เปิดหรือไม่ เพราะถ้าไม่ระวังก็จะเผยแพร่ไม่เหมาะสม ไปกระทบกับคนอื่น หากตกลงกันได้อย่างไรก็พร้อมดำเนินการ

ต่อข้อถามว่าทำไมคิดว่าฝ่ายค้านดิสเครดิตเพราะมีอดีตทหารบางคนที่ไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย อาจให้ข้อมูลส่วนนี้ก็ได้ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบแหล่งข้อมูลเขา แต่เข้าใจว่าวงการข้าราชการยังมีคนที่เคยได้ดิบได้ดี ที่เขาชุบเลี้ยงและบางคนยังอยู่ในตำแหน่งสำคัญลงไปถึงระดับเล็ก เช่น ระดับรอง ผบ.ตร.เป็นต้น เพราะเวลาที่ใช้อะไรก็ไม่ทำ ใช้ไปปราบยาเสพติดก็เฉย เห็นชัดเจน แต่ตำรวจส่วนใหญ่คือตำรวจของประชาชน ไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเริ่มทำงานกันมากแล้ว

ลั่นถึงวันอภิปรายจะเอาชุดดำมาให้ดูว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จับได้กี่คน

ผู้สื่อข่าวถามว่าการอภิปรายครั้งนี้จะตีแผ่ได้หรือไม่ว่าชายชุดดำเป็นใคร นายสุเทพ กล่าวว่ายืนยันว่าตีแผ่ได้ คอยดูก็แล้วกัน จะเอามาให้ดูว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จะแสดงให้ดูด้วยว่าจับตัวได้กี่คน เมื่อถามว่าถ้ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่ยอมรับว่าเป็นคนของเขาจะทำอย่างไร นายสุเทพย้อนว่า "เขาจะยอมรับได้อย่างไร ขนาดมันบอกว่าเอาน้ำมันมาคนละลิตร แล้วเผามันเลยผมรับผิดชอบเอง พูดออกทีวีทั้งประเทศ แต่วันนี้มันบอกว่าไม่ได้พูด" รองนายกฯ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะยื่นถอนประกัน 7 แกนนำ นปช. นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบ การให้ประกันเป็นดุลพินิจของศาลโดยศาลมีเงื่อนไขการประกันตัว เช่น ต้องไม่ก่อความวุ่นวาย ถ้าปฏิบัติตามนั้นคงไปคัดค้านและขอถอนไม่ได้ แต่ถ้าทำผิดเงื่อนไข เช่น ศาลห้ามไม่ให้ขึ้นเวทีไปปลุกระดมประชาชน แต่ไปขึ้น อย่างนี้ก็มีเหตุผลถอนประกัน
 

อัดเสื้อแดงจัดตั้งเหมือนคอมมิวนิสต์ มีโรงเรียนและมีการอบรมเหมือนคอมมิวนิสต์

ต่อข้อถามว่าตำรวจยอมรับว่าการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. จนไปถึงวันที่ 19 พ.ค.2554 จะมีมวลชนมากกว่าทุกครั้ง เป็นเพราะอะไร นายสุเทพ กล่าวว่า การจัดตั้งของเขาดีได้ผล ยุทธวิธีที่แกนนำคนเสื้อแดงใช้เหมือนสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์ทำในอดีต เพียงแต่สมัยก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์ทำ ต้องแอบทำอยู่ใต้ดิน เพราะมี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์คอยป้องกันเอาไว้ แต่วันนี้คอมมิวนิสต์ส่วนนั้นกลับเข้ามานั่งในวอร์รูมวางแผนดำเนินการ มีจุดมุ่งหมายเดิม เป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย อย่างที่เคยคิดตอนเป็นคอมมิวนิสต์ 

"วันนี้ใช้อิทธิพลและเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณทำกันอย่างเปิดเผย เพราะกฎหมายคอมมิวนิสต์ไม่มี เข้าไปปลุกระดมตามหมู่บ้านเพื่อต่อสู้เพื่อล้มอำมาตย์ เปิดโรงเรียนคนเสื้อแดง เนื้อหาที่เปิดสอน 100 เปอร์เซ็นต์ หรือ 99 เปอร์เซ็นต์เหมือนที่คอมมิวนิสต์เคยอบรมเลย ทำให้เขาระดมคนได้มาก ใหม่ๆ อาจจะจ้างมาวันละ 500-1,000 บาท แต่มาฟังพูดติดต่อกันมา 2-3 เดือน จนเข้าสมองไปเอง ไม่ต้องจ้างแล้ว บางส่วนเป็นอย่างนั้น" นายสุเทพ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ว่าพรรคซีกไหนก็ทำแบบเดียวกันหมด อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็กลับใจมานั่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลหลายคน แสดงว่าไม่ได้พยายามสลายสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเลย นายสุเทพ กล่าวว่าถูกต้อง เดิมคนที่เคยต่อสู้ในป่ากับพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ ออกคำสั่งที่ 66/23 ก็ออกมาจากป่าแยกสายกันไป พวกหนึ่งยังยืนยันจะทำแนวทางเดิมอีกพวกกลับมาสู่ระบบปกติ คนดีๆ เยอะที่ออกจากป่ามาทำเรื่องดีๆ ให้บ้านเมือง บางคนไปเป็นเอ็นจีโอ หรือลงสมัครส.ส. ส่วนคนที่ยังยืนยันจะทำตามแนวความคิดเดิม ก็ยังไปสุมหัวกันอยู่ พวกนี้บางคนเคยเป็นรัฐมนตรีด้วย 

สำหรับข่าวที่ว่า นายสุเทพพูดว่าผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเม.ย. - พ.ค.2553 เพราะเดินเข้ามาหาลูกกระสุนปืนเอง ซึ่งนายสุเทพปฏิเสธ และระบุว่าเป็นฝีมือของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ นปช. นั้น 

 

ผู้สื่อข่าวพบ คำพูดสุเทพต้นทางไม่ใช่ทนายอัมสเตอร์ดัม แต่มาจาก เอเอสทีวี ยัน ไทยรัฐ

จากการตรวจสอบของ ผู้สื่อข่าวประชาไทพบว่าในเว็บไซต์ของทนายอัมสเตอร์ดัม มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับนายสุเทพจริง โดยพาดหัวว่า สุเทพระบุผู้ชุมนุมวิ่งเข้าใส่กระสุนปืนเอง รายงานเมื่อ 9 มี.ค. 54 อย่างไรก็ตามเนื้อข่าวเป็นการอ้างมาจาก เว็บไซต์เอเอสทีวี ซึ่งรายงานมาตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค. 54 อีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้ในเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 5 มี.ค. 54 ก็รายงานข่าวเดียวกันนี้ด้วย โดยพาดหัวว่า เทือกกล่อมเลือดใหม่ปชป. ฟุ้งขอตั้งรบ.พรรคเดียว 

โดยไทยรัฐตีพิมพ์คำพูดของนายสุเทพ ที่กล่าวกับเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ มีท่อนหนึ่งกล่าวว่า มีการเคลื่อนไหวชุมนุมตลอด ล่าสุดถึงขนาดพกอาก้า เอ็ม 16 เอ็ม 79 มาร่วมชุมนุม ทำให้มีคนตาย แล้วพยายามกล่าวหาว่าเราเป็นต้นเหตุ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ อย่ากระพริบตา ตนจะซัดให้ เราจะสู้ตามความเป็นจริง เราไม่คิดเข่นฆ่าประชาชน ไม่เคยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารเข้าสลายการชุมนุม แต่ที่ตาย เพราะวิ่งเข้ามาใส่

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น