โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

บันทึกสาวเสื้อแดง: กรณีการถูกการ์ด นปช.เกรงหมิ่นเบื้องสูงนำตัวส่งตำรวจ

Posted: 14 Mar 2011 02:30 PM PDT

บันทึกจากสาวเสื้อแดงผู้ถูกการ์ด นปช.คุมตัวส่ง จนท.ตำรวจ เนื่องจากเข้าใจผิดว่าจะมาแจกเอกสารหมิ่นเบื้องสูง

 
จากกรณีที่การ์ด นปช.ได้คุมตัว "ปลา" หญิงสาวเสื้อแดงคนหนึ่งพร้อมด้วยเอกสารเผยแพร่กว่าพันแผ่นส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากเข้าใจว่าจะมาแจกเอกสารหมิ่นเบื้องสูง ในเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2554 ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แม้ว่าเหตุการณ์จะยุติลงด้วยดี แต่สิ่งที่ตามมาก็คือกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อแกนนำ นปช.เป็นไปอย่างกว้างขวาง และนี่คือปากคำของเหยื่อที่พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจากทัศนะของเธอ
 
เรียน พี่น้องที่เคารพทุกท่าน                                          
 
13 มี.ค.54  
    
หลังจากผ่านพ้นคืนวันอันยากลำบากเมื่อวาน (12 มี.ค.) ตอบคำถามมิตรสหายที่ห่วงใยพร้อมให้ข้อมูลผู้ใหญ่อีกทั้งวัน รวมไปถึงพยายามจดจ่อกับข้อความมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างดุเดือด ทั้งรุนแรง เตือนสติ ติติง ด่าทอ ชื่นชม และให้กำลังใจ ซึ่งปลายินดีน้อมรับทุกความคิดเห็น จึงคิดว่าคงปล่อยทำมึนๆ อึนๆ อยู่เฉยอีกไม่ได้ เขียนอะไรเพื่อรับผิดชอบการกระทำ และชี้แจงเหตุการณ์เสียหน่อยดีกว่า
 
เรื่องไม่มีอะไรมาก เตรียมเอกสารมา 3 ชุด โดยจุดประสงค์ในใจเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้าน เจตนาตั้งใจให้ชาวบ้านที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ได้เข้าถึงข่าวสาร รับรู้เหตุการณ์บ้าง
 
หลังจากกรำงานหนักทั้งอาทิตย์ อดนอนวันศุกร์อีกทั้งคืน เพื่อผลิตงานที่อาจจะเป็นได้ทั้งโบ ดำและโบแดงสำหรับใครหลายๆ คน เสร็จตอนรุ่งสาง อาบน้ำแต่งตัว เตรียมอุปกรณ์กล้อง และโน้ตบุ๊ก เดินทางข้ามจังหวัด เอาต้นฉบับเอกสารมาหาที่พิมพ์ สอบถามร้านถ่ายเอกสารและโรเนียวมาไม่ต่ำ กว่า 15 ร้าน เพื่อหาร้านที่ถูก และดีที่สุด ตั้งแต่มหาชัย จุฬา ธรรมศาสตร์ วังหลัง ปิ่นเกล้า แล้วก็กลับมาจบที่วังหลัง เงินติดตัว มีอยู่ 1500 บาท ทำได้แค่อย่างมาก 3 รีม หน้าหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม และด้วยความประมาทไม่ได้กดเงินออกมา พอจะใช้ขึ้นมาจริงๆ บัตร ATM และบัตรเครดิตทั้งหมดที่มี กดไม่ได้ ด้วยเหตุผลให้ติดต่อธนาคารเจ้าของบัตร ตกลงใจ X-rox ทั้งหมดอย่างละรีม เสร็จสิ้นขบวนการ ราวๆ เกือบบ่าย 2 ข้าวเช้ายังไม่ตกถึงท้องและยังไม่ได้นอนเลย ถึงที่ชุมนุมราวบ่าย 2 กว่าๆ ฝนเริ่มโปรยลงมาพอเป็นกระษัย ในระหว่างหันรีหันขวางจะเอายังไง ก็เริ่มมีคนสงสัยใฝ่รู้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมวลชนสูงอายุ ที่ไม่น่าจะมี Facebook ไว้ระบาย เริ่มเดินมาเมียงมองสงสัยสอบถาม Target มาแล้ว!!!
 
จากนั้นคนแรกเริ่มดึง คนที่สองเริ่มตาม เอกสารเริ่มอยู่ในมือผู้สนทนา หันมาอีกที มีคุณการ์ดหนึ่งคนมาคว้าข้อมือ เอกสารออกไปอย่างค่อนข้างรุนแรง เจรจาว่าจะแจกอะไร ควรขออนุญาตส่วนกลาง เราจึงตกลงให้เค้าเดินนำเราไปที่ส่วนกลางเพื่อชี้แจงจุดประสงค์ในการแจก เอกสารอย่างเต็มใจ ไม่มีท่าทีขัดขืน เมื่อไปถึง เราขอเดินเข้าไปชี้แจงเรื่องที่มาของเอกสารและแสดงตนอย่างบริสุทธิ์ใจ การ์ดเดินไปรายงานผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เราค่อนข้างคุ้นเคย มีหน้าที่ดูแลการ์ดส่วนกลางโดยตรง หลังจากพบปะเห็นหน้าทักทาย ผู้ใหญ่รับรองกับทุกคนถึงสถานะของเราว่าไม่ใช่คนอื่นมาแฝง แกรู้จัก เราจึงแจ้งเรื่องเอกสารว่าจะขออนุญาต จากนั้นได้เดินแยกออกมาเพื่อกลับออกมาจากหลังเวที จากนั้นมีชายประมาณ 6 – 7 คน เข้ามาพูดคุยยึดเอาเอกสารไปจากมือเรา พร้อมทั้งขอค้นตัว ค้นกระเป๋า เมื่อความเหนื่อย อดนอน บวกกับความไม่เข้าใจในพฤติกรรมของการ์ดเริ่มปะทุออกมาในเวลาเดียวกัน ความไม่พอใจจึงเริ่มบังเกิด เราขอร้องแค่เพียงให้เขาอ่านเอกสารสักนิด เขาตอบกลับมาว่า “ไม่อ่าน ไม่มีอำนาจตัดสินใจ” และไม่ให้เรากลับเข้าไปพบผู้ใหญ่ท่านนั้นเพื่อสอบถามความชัดเจน ซึ่งภายหลังเราทราบว่าไม่ใช่การ์ดที่รับผิดชอบส่วนกลาง เพียงแต่อาจจะหวังดีและด่วนตัดสินใจ เนื่องจากซื่อตรง เคร่งครัดและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากเราไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ อ่านเอกสารทบทวนก่อน พิจารณาก่อน เมื่อเริ่มไม่รู้เรื่อง เริ่มเสียงดัง เค้าบอกเราว่า โอเค งั้นน้องมาคุยกับพี่ด้านนอก เราจึงเดินตามออกไป ด้วยเข้าใจว่าคงไม่น่ามีอะไร น่าจะตกลงเจรจากันได้ แต่ผลปรากฏ คือ เขานำเอกสารทั้งหมดไปวางปึ้ง! ที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมสำทับว่า น้องนี่ทำเอกสารหมิ่นมาแจก ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำและพิจารณาด้วย เราหันไปมองหน้าพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ ทวงถามว่าเหตุใดที่ด่วนตัดสินเรา ไม่ฟังความ แทนที่จะเจรจาคุยกัน แต่กลับเลือกที่จะทำเรื่องราวให้บานปลายใหญ่โต เราได้แต่บอกว่าขอให้ใครสักคนในที่นี้ช่วยอ่านสักนิด ช่วยพิจารณา ก่อนได้มั้ย จากนั้นแล้ว หากจะตัดสินเราว่าผิดอย่างไร ก็ค่อยมาว่ากันต่อ
 
ไม่มีคำตอบใดๆ มีเพียงแต่สายตาเหยียดหยามดูแคลนของการ์ดเพียงบางคน(ที่เข้าใจ ว่าเรามาแฝง) กับการตัดสินคนโดยด่วนสรุป และประโยคที่ว่า “เดี๋ยวเราไปคุยกันที่โรงพัก” จากคุณตำรวจ เราได้แต่ก้มหน้าจำทนกับความไม่ยุติธรรมที่เกิดตรงหน้า (ทราบภายหลัง --- คุณตำรวจบอก กลัวคนสวยโดนรุมประชาทัณฑ์ จากคนที่ไม่เข้าใจ)
 
จริงอยู่ ไม่ได้จับกุมคุมขัง
จริงอยู่ ไม่ได้ใส่กุญแจมือ
จริงอยู่ ไม่ได้มีการลงบันทึกการจับกุม
แต่หัวใจ โดนคุมขังไปแล้วเสียสิ้น... กับคำกล่าวหาที่คุณตำรวจคนหนึ่ง เอ่ยกับเราว่า “คุณมันศรีธนญชัยนี่ !!!”
 
โดนพิพากษา???
 
ไปถึงสน.หลังจากคุณตำรวจทุกคนช่วยกันอ่านเอกสาร และกำลังพิจารณา เราตัดสินใจขอใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อยืนยันถึงที่มาของข้อมูล ว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ เผยแพร่อย่างเปิดเผย ไม่ได้มีลับลมคมในเป็นที่ปกปิดแต่อย่างใด ความหวังเรายังคงมี ว่าคุณตำรวจอาจจะเข้าใจเนื้อหาที่เราพยายามสื่อสาร ประกอบกับไม่มีเจตนาจะรบกวนให้ผู้อื่นต้องมาเป็นธุระลำบาก เราจึงไม่ได้โทรติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร ใดๆ แต่สักพักไม่นาน มีคนหลายคนทยอยมากันอย่างที่เราเองก็ยังคงนึกงงๆ เพื่อนๆสนนท. ที่เราเองไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ได้แต่ทราบจากหน้าค่าตา ว่าใครเป็นใครในบัญชีรายชื่อเพื่อนใน FB ไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ เพื่อนๆคุณพ่อที่มาเป็นทั้งตัวแทนพรรคการเมืองและตัวแทนทางใจกับครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถืออีกหลายท่าน ทนายความและอาจารย์กฎหมาย และอีกนับไม่ถ้วนที่ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเพื่อมารับฟังข่าวสารด้วยความห่วงใยและพยายามหาทาง ช่วยเหลือ (แต่ไม่ยักกะมีใคร เอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงมาเยี่ยมแฮะ =_=” ) ระหว่างนั้นเราชี้แจงเรื่องที่มาข้อมูลและจุดประสงค์ในการจัดทำให้ จพนง.สืบสวนได้ทราบ พร้อมทั้งคุยกันอย่างเปิดใจ เป็นความโชคดีที่คุณตำรวจหลายๆท่านเปิดโอกาส ยินดีรับฟังคำอธิบาย ประกอบทั้งคำให้การ, หลักฐาน และเจตนา เจ้าพนักงานสืบสวนจึงลงความเห็นว่าไม่มีความผิด ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาใดๆได้ ซึ่งก่อนจะได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน หลังจากอยู่ที่นั่นมาร่วม 6 - 7 ชั่วโมง รองผู้กำกับการยืนยันว่าเราต้องแสดงตน แหล่งที่อยู่ที่ชัดเจน เราจึงบริสุทธิ์ใจโดยพาไปที่บ้าน และได้กลับมาที่ชุมนุมอีกครั้ง เพื่อมาแสดงตนว่าบริสุทธิ์ และมาขอคำอธิบาย
 
ได้รับทราบว่าทุกคนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้รับทราบว่าไม่มีใครมีเจตนาอยากจะให้เกิด เราเองก็เช่นกัน...
 

ในกรณีนี้ปลาจะขอไม่โทษว่าเป็นความผิดของใคร หรืออะไร แต่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความเข้าใจผิดกันล้วนๆ หลายครั้งที่เราพลาดเพราะความเป็นห่วง กังวล เฉกเช่นเดียวกันกับที่แกนนำและเจ้าหน้าที่การ์ดที่ต้องดูแลรับผิดชอบคนจำนวน มากที่มีพฤติกรรมหลากหลาย เค้าเหล่านั้นย่อมต้องห่วง กังวลถึงเหตุร้ายไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของคนเสื้อแดง
 
** 6 ศพวัดปทุม ตายเพราะพยายามช่วยเหลือกันและกัน
** วีรชนหลายคนตาย เพราะเลือกที่จะปกป้องพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ให้ทหารเข้ามาถึงตัว จึงเลือกที่จะเป็นด่านหน้าแทนที่จะหลบหนี
** วีรชนหลายคนตาย ในขณะที่พยายามช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่บาดเจ็บและกำลังลำบาก
*** แดงนปช. มีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับแดงสยามในบางจุดบางประเด็น เนื่องจากแดงนปช. ห่วงผลกระทบต่อมวลชน ในขณะที่แดงสยามห่วงความรู้สึกของมวลชน แต่ไม่ว่ายังไง ทั้งสองแดง มีประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งดี***
*** หลายครั้ง ใครหลายคนต่างนำเสนอความคิดเห็นของตนเองกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ แต่บทสรุปสุดท้าย ต่างคนต่างก็ห่วงชาวบ้าน ห่วงอนาคตประเทศชาติ และห่วงหาอาทรต่อความยุติธรรมเฉกเช่นเดียวกัน ***

 
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกคุณหลายคน มีปัญหากัน ขุ่นเคืองและตั้งคำถามใส่กัน เพราะความห่วง ---- ห่วงปลาบ้าง ห่วงภาพลักษณ์บ้าง ห่วงสถานภาพมวลชนโดยรวมบ้าง และห่วงชีวิต – จิตวิญญาณของมวลชนบ้าง
 
ข้อดีของสิ่งๆ นี้ คือ บ่งบอกให้รู้ว่าเรายังคงเป็นมนุษย์ มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิดดีอยู่ ไม่เลือดเย็นเข่นฆ่าใครได้ เหมือนอย่างฝ่ายตรงข้ามที่เรานึกรังเกียจในวิธีคิดและปฏิบัติ ปลาเชื่อและพยายามเชื่อเหลือเกินว่าเราจะไม่สามารถบูชายันต์พวกเดียวกันเอง ได้ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม
 
นอกจากนี้ ปลาขออนุญาตชี้แจงเหตุผลที่มาที่ไปของการจัดทำเอกสารชุดนี้ให้เพื่อนๆ ได้รับทราบ..
ประการแรก ขออนุญาตแจ้งความจำนงก่อนเลยว่า เจตนาทำมาเพื่อเผยแพร่เนื้อหาให้แก่พี่น้องเราที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์ เน็ตให้ได้รับรู้ รับฟังข่าวสาร เข้าถึงเหตุการณ์ให้ง่ายขึ้น 
ดังนั้น กลุ่มเป้าหมาย หรือ Target จึงไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นพี่น้องลุงๆ ป้าๆ เรานี่เอง ที่หากจะให้ญาติผู้ใหญ่เราเหล่านั้นไปเปิด Facebook สักอัน เพื่ออัพเดตข่าวสารนั้น คงจะกล้ำกลืนฝืนทนเต็มที
ในแผ่นที่ว่าด้วยเรื่อง 112 นั้น ได้ประมวลข้อกฎหมายมาตราต่างๆเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหลักและแนวทางให้เห็นถึงข้อกำหนดและบทลงโทษตามมาตราต่างๆ รวมไปถึงชี้แจงตามแนวทางถึงข้อดีและข้อเสียของการมีอยู่ คำจำกัดความและความแตกต่าง ของคำว่าวิพากษ์วิจารณ์กับคำว่าหมิ่นประมาทว่าต่างกันยังไง รู้ไว้อาจจะเป็นประโยชน์ในแนวทางและป้องกันการถูกกลั่นแกล้ง ได้ในระดับหนึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าปลาหมิ่นเหม่ ยุยงชี้ช่องให้ทำผิดกฎหมาย แต่ในกรณีความคิดเห็นปลาแล้ว คุณจะมาแอ๊บว่าเมืองไทยเมืองพุทธไม่ควรมีหวยบนดินตอนนี้ ก็คงจะไม่ทันแล้ว ในเมื่อคนไทยเล่นหวยใต้ดินกันวันละ 3 เวลา จะเลิกก็แทบจะลงแดง แต่จะดีกว่าหรือไม่ หากแนะแนวทางให้เค้าเล่นพอเป็นกระษัย เป็นพิธีและเล่นยังไงไม่ให้หมดตูด หมดตัว!!! 
 
ธรรมชาติมนุษย์ มันชอบสิ่งเร้นลับไม่รู้หรือ???
 
ปลายอมรับว่าเนื้อหาไม่มีจุดใดที่จะมองเป็นความผิด เพราะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ขึ้นอยู่กับเจตนาของการตีความ คนอ่าน ถ้าอ่านโดยทั่วๆ ไป ไม่มีเจตนาเคลือบแคลง ก็จะเล็งเห็นว่าเป็นข้อมูลธรรมดาสามัญทั่วไป ไม่แตกต่าง แต่ปลาเชื่อว่าหากใครก็ตามที่อ่านแล้วเกิดความคิดไม่ดีในใจ เจตนาร้าย นั่นก็เป็นเพราะเจตนาในใจของคนคนนั้นเป็นเหตุ อยู่เอง จริงมั้ย?? คุณตำรวจ (ที่เขียนเช่นนี้ เพราะเชื่อมั่นแน่ว่า พวกเขาอ่านอยู่ตามหน้าที่ ---- หากคุณตีความออกมาไม่ดี ก็แสดงว่าใจคุณเองก็ไม่ซื่อเช่นกัน มิใช่หรือ)
 
อีกประการในวิธีคิดของปลา คือ มวลชนไม่ใช่ของใคร คนใดคนหนึ่ง เป็น”ประชาชน”เค้าควรมีสิทธิที่จะได้คิด และรับฟังทางเลือก ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ว่าจะเดินในทิศทางการต่อสู้รูปแบบไหน
 
หากเปรียบเทียบเป็นปลา ไม่ว่าจะเจ็บหรือจะตาย ควรจะได้รู้ว่าตัวเองจะเจ็บ หรือตายเพราะอะไร ทำไม
 
ประชาชนควรลุกขึ้นสู้เพื่อตัวของตัวเอง สู้เพิ่อสิทธิ เสรีภาพ พื้นฐานของตนเอง ไม่ใช่เอาชีวิตไปผูกติดกับใคร
สุดท้าย ขออนุญาตยุติความขัดแย้งและการเข้าใจผิดใดๆ หากมีข้อสงสัย ติติง หรือ ตักเตือนแนะนำ สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ทางเพจค่ะ
-------------------ความผิดพลาดทุกอย่าง ทุกประการ ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ค่ะ ------
 
 เพื่อลดทอนความขัดแย้ง --- หากช่วยนำไปเผยแพร่ข้อเท็จจริง รบกวนพยายามลงทั้งดุ้น โดยไม่ฆ่าตัดตอนนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^_^
 

---- หากประชาชนสู้ด้วยความรู้สึกนึกคิด และการตัดสินใจของตนเองอย่างแท้จริง จะแปรเปลี่ยนเป็นมวลชนที่ยั่งยืนและ เหนียวแน่น แต่หากมาด้วยความไม่รู้ ก็จะสูญเสียเพราะความไม่รู้ หากมาด้วยความไม่แน่ใจ วันหนึ่งปริมาณจะสั่นคลอนไป เฉกเช่นเดียวกันกับมวลชนกลุ่มอื่น ที่มีให้เห็นแล้วเป็นอุทาหรณ์ ----
 

  • ขอขอบคุณทุกๆความช่วยเหลือ จากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ไปเป็นกำลังใจที่โรงพักทุกท่าน มันเป็นความอบอุ่น และน้ำใจอันยิ่งใหญ่ บ่งบอกให้รู้ว่า “พวกคุณไม่ทิ้งเพื่อนแน่นอน”
  • ขอขอบคุณผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านที่เป็นธุระจัดหา ประสานงานขอความช่วยเหลือทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง
  • ขอขอบคุณแดงสยาม สนนท. ทนายอานนท์ พี่ๆ นักข่าว นักวิชาการ นักกฎหมาย และนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมพื้นฐานทุกคน สำหรับแรงสนับสนุน ความเข้าใจ กำลังใจ และการให้ความช่วยเหลือ แนะนำด้านกฎหมาย
  •  ขอขอบคุณแดงนปช. รวมไปถึงแดงปัจเจก แดงเสรีชน ทุกคน ที่เป็นห่วงเป็นใยถามไถ่ และร่วมผนึกกำลังกันให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ
  • ขอขอบคุณ ผู้ใหญ่ (พี่ชายคนนั้น) , ดร.ประแสง และคุณณัฐวุฒิ ที่พยายามติดต่อประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ช่วยชี้แจง ข้อเท็จจริง และเหตุการณ์ รวมทั้งอุดช่องโหว่ไม่ให้ปลาถูกฉกฉวยจังหวะในการให้ร้ายเพิ่มเติม
  • ขอขอบคุณคุณตำรวจ ส่วนใหญ่ที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม เข้าใจ และเปิดใจรับฟังคำชี้แจง

****************************************************************************
 14 มี.ค. 54 เวลา 9.16 น.
 
ขอออกตัวก่อนว่า --- ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองได้ดีที่สุดแล้ว ค่ะ ในเรื่องนี้ ไม่มีใครผิด หรือถูก เป็นเรื่องของความเข้าใจผิด อารมณ์ จังหวะ และทุกสิ่ง ให้กำลังใจกัน ทำให้เราเข้มแข็งและรู้จุดโหว่ได้ดีกว่านะคะ
 
ผู้ใหญ่ ที่มีหน้าที่ดูแลการ์ด เป็นพี่ชายที่ดีของปลามาโดยตลอด และปลาเชื่อว่าการ์ดเองก็คงอยากทำหน้าที่ปกป้องทุกๆ คน ตามหน้าที่ที่เค้าได้รับมอบหมายมา ... ทันทีที่พี่ชายท่านนี้ทราบเรื่อง ก็พยายามหาทางช่วยเหลือปลาอย่างสุดความสามารถเช่นกัน..
 
หลายๆ เว็บไซต์ หลายๆ กระทู้ ดีเบตกันอย่างน่าเป็นห่วง .... แต่แปลกใจ เหตุใดจึงไม่มีคนคิดถกกันเกี่ยวกับ เนื้อหาในตัวเอกสาร ให้เป็นเรื่องเป็นราว เพื่อเป็นกรณีศึกษาแก่นักสู้เพื่อประชา คนต่อๆ ไป
 
หากจะโดนวิจารณ์ ยินดีน้อมรับค่ะ
 
****************************************************************************
14 มี.ค. 54 เวลา 9.40 น.
 
นั่งพิจารณาดูแล้ว การที่ปลาตัดสินใจสู้แบบประชาชน ไม่สวมเสื้อสีแดง แต่มีผ้าพันเป็นปลอกแขนแดง และโชว์บัตรนักข่าวต้นสังกัดช้า (อาจจะเพราะไม่อยากให้กระเทือนถึงต้น สังกัด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย --- ลืมบอกไป เป็นนักข่าวมีสังกัด แต่ไม่มีรายได้ใดๆ จากการทำงาน ใจล้วนๆ) อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งรึเปล่า ที่การ์ดอาจจะเข้าใจผิดว่าเราเป็น "สิ่งแปลกปลอม" ที่อาจจะทำอันตรายต่อพี่น้องเขา ... ถึงแม้จะรุนแรงไปบ้าง อะไรบ้าง ... แต่รักพี่ รักน้อง พออภัยกันให้ได้บ้าง นะจ๊ะ จุ๊ฟ จุ๊ฟ --- รอบหน้าขอซอฟท์ๆ ได้มะ ... หนูชอบผู้ชายนิ่มนวลลลลล
 
****************************************************************************
14 มี.ค. 54 เวลา 10.53 น.
 
ขออนุญาต แก้ไขวันที่จาก 13 มี.ค. 53 เป็น 14 มี.ค. 54 ................ คงต้องเอาเอกสารบางส่วน บางเนื้อหา อธิบายให้รับทราบกัน ลดทอนความกดดัน และให้ความรู้เป็นวิทยาทานไปในตัว
เมื่อ..ปลาปีกไม่กว้างพอจะปกป้องใครได้ทั้งหมด และไม่คิดจะปกปิด แต่เลือกที่จะอธิบายทำความเข้าใจ ขอชี้แจงบนพื้นฐาน ของข้อเท็จจริง แต่การปกปิดจุดเล็กน้อย จะยิ่งรังแต่จะทำให้เรื่องราวบานปลาย ใหญ่โต เกิดวิวาทะ และความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
 
 
ประเด็น ไม่ได้อยู่ที่ ใครทำผิด และผิดอย่างไร
แต่ประเด็น อยู่ ที่มีการช่วยกันแก้ไข ปรับปรุงร่วมกันหรือไม่
 
ที่นี่ไม่ใช่เวทีเดอะ สตาร์ หรือ Weakest Link ใครแพ้คัดออก... แต่เป็นชีวิตจริง ตายจริง เจ็บจริง
 
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ธรรมชาติสร้างให้เรียนรู้จากประสบการณ์และฉลาดจาก ความผิดพลาด และเพราะเราคือ "มนุษย์" จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเราจะพลาด
 
หลังจากนี้ ผลที่เกิดขึ้น ไม่ว่า Feedback จะเป็นอย่างไร ปลาจะโดนประณามจากสังคม หรือจากคนที่ปลาเคารพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกระแสนำพา

****************************************************************************

 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่มอนุรักษ์ ส่งจม.จากริมน้ำกก จ.เชียงราย ค้านโรงไฟฟ้าพลังแกลบ

Posted: 14 Mar 2011 02:10 PM PDT

แจงโรงไฟฟ้าจะมาสร้างอยู่บนพื้นที่ทางการเกษตร ใกล้แหล่งน้ำ โบราณสถานสำคัญ พ้อที่ผ่านมาไปร้องเรียนที่ไหน ก็ไม่มีใครเขาเข้าใจ ยืนยันต้องสู้เพื่อชุมชนของตนเอง แม้ที่ผ่านมาจะถูกบริษัทฯ ฟ้องร้องแล้ว 2 คดี  

 
วันนี้ (15 มี.ค.53) ชาวบ้านจากจังหวัดเชียงรายที่ประท้วงโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท พลังงานสะอาดดี 2 จำกัด ซึ่งจะมีการก่อสร้างบนพื้นที่ 78 ไร่ ในเขตหมู่บ้านไตรแก้ว หมู่ 8 ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ปักหลักชุมนุมค้านการก่อสร้างโครงการ ล่าสุดส่งจดหมายระบุจะต่อสู้ปกป้องชุมชนให้ถึงที่สุด
 
 
 
 
จดหมายจากริมน้ำกก ในวันที่ก็ฝนตก แดดก็ออก....
 
กี่วัน กี่เดือน แล้วนะที่พี่น้องกลุ่มอนุรักษ์ของเรา ได้ปักหลักชุมนุมอย่างสงบ อยู่ข้างริมน้ำกก
แม้จะแดดแรง ฝนตก ลมพัด ก็ไม่มีแม้สักคนที่จะคิดท้อ ต่างตั้งใจแน่วแน่ที่จะอยู่ที่นั่นเพื่อบอกกับบริษัทพลังงานสะอาดดี 2 เจ้าของโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยแกลบ ว่า
 
"เราไม่ต้องการโรงงานไฟฟ้า บนผืนแผ่นดิน ที่นา ที่ทำการเกษตรของเรา"
 
แม้คุณจะมีใบอนุญาตที่อ้างว่าชอบด้วยกฎหมาย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณๆ ผู้ใหญ่โตทั้งหลายจะมาบังคับให้เราต้องยอมรับให้ได้ กับสิ่งที่เราไม่ต้องการ ...
 
โรงงานไฟฟ้าชีวมวลอาจจะเป็นพลังงานใหม่ที่ดีในอนาคต แต่มันคงไม่เหมาะหากคุณจะมาสร้างอยู่บนพื้นที่ทางการเกษตร ที่เราสามารถปลูกข้าวได้ปีละหลายครั้ง
 
นั่นเท่ากับว่าเราก็มีรายได้หลายบาท เลี้ยงปากเลี้ยงท้องชุมชนของเรา มันคงไม่เหมาะหากคุณจะมาสร้างอยู่ริมน้ำสายหลักของจังหวัด ที่มันเป็นแหล่งน้ำสำคัญ
 
สำหนับคนที่นี่ และมันคงไม่เหมาะหากคุณจะมาสร้างใกล้ๆ กับโบราณสถานสำคัญที่เราชาวเชียงรายต่างเคารพนับถือ อย่าง "พระเจ้ากือนา" ....
 
บอกไปก็คงไม่สามารถทำให้ พลังงานสะอาดดี 2 เชื่อได้ เพราะที่ผ่านมาต่อให้เราไปร้องเรียนที่ไหน ก็ไม่มีใครเขาเข้าใจ
 
เราจึงต้องสู้เพื่อชุมชนของเราเอง ... ไม่ว่า พลังงานสะอาดดี 2 จะมอบคดีความ มาให้เรา สองคดีแล้วก็ตาม แม้เรากลัวที่เรามีคดีความ แต่เราก็ไม่ถอย
 
เราเชื่อมั่นว่า "เรากำลังทำสิ่งที่ดี ที่ปกป้องชุมชน ปกป้องบ้านของเรา ปกป้อง ที่ทำกิน อากาศ สิ่งแวดล้อมของเรา เราเป็นคนดี"
 
และบนความเชื่อมั่นนั้น แม้เรามีเพียงหนังสติ๊ก เราก็จะใช้มันเพื่อสู้กับปืนของพลังงานสะอาดดี 2 ...
 
 
กลุ่มอนุรักษ์ คนฮักท้องถิ่น
ริมน้ำกก .... เชียงราย
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

10 เหตุผลที่คน กทม.ไม่เอาซุปเปอร์สกายวอล์ก

Posted: 14 Mar 2011 01:41 PM PDT

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ประมวล 10 เหตุผลที่คนกรุงเทพฯ ไม่ควรเอาซุปเปอร์สกายวอล์ก ที่ใช้งบภาษีประชาชน 1.52 หมื่นล้าน มานำเสนอเพื่อให้ทราบร่วมกัน

ทางเดินเท้าลอยฟ้าเทวดา หรือ ซุปเปอร์สกายวอล์ก เป็นโครงการผลาญงบประมาณภาษีประชาชน 1.52 หมื่นล้านบาทล่าสุดของ กทม. สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำของคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ที่ตัดสินใจเชิงนโยบายใดๆ มิได้อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือการรับฟังผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านเสียก่อนๆ ที่จะดำเนินโครงการใด ๆ อีกทั้งระบบการตรวจสอบของสภาท้องถิ่น คือ สภา กทม. ก็อ่อนแอ เพราะเป็นกลุ่มพรรคการเมืองเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผู้บริหาร กทม.ลำพองใจ คิดจะทำโครงการเมกกะโปรเจคถลุงเงินภาษีประชาชนอย่างไรก็ได้ อย่างไร้ธรรมาภิบาล และขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนใคร่ขอประมวลเหตุผลที่คนกรุงเทพฯไม่ควรเอาซุปเปอร์สกายวอล์ก 10 เหตุผล มาเพื่อทราบร่วมกัน ดังนี้

1) จะเป็นการส่งเสริมให้มีหาบเร่แผงลอยเพิ่มมากขึ้น เพราะโครงการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กทม.ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาหาบเร่-แผงลอยอย่างชัดแจ้ง เพราะนักการเมืองท้องถิ่นหวังแต่คะแนนเสียงของการเลือกตั้งจากกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้าเหล่านี้ จึงไม่กล้าแตะต้อง ทั้ง ๆ ที่การยึดเอาทางเท้าหรือฟุตบาทไปตั้งแผงค้าขาย ผิดกฎหมายรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 อย่างชัดแจ้ง แต่ กทม.กลับร่วมกับ บช.น.กระทำการอันเป็น “การละเมิดสิทธิการใช้ทางเท้า” ของประชาชนทุกคนที่มีสิทธิใช้ทางเท้าเพื่อการสัญจรอย่างสะดวกสบายอย่างเท่าเทียมกัน ทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก โดยการอนุญาตให้ผู้ค้าเหล่านั้นสามารถยึดที่สาธารณะมาเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลได้ โดยใช้คำสวยหรูว่า “ผ่อนผัน” เพื่อเลี่ยงกฎหมาย จนบัดนี้มีหาบเร่แผงลอยในพื้นที่กรุงเทพฯ มีจุดผ่อนผันกว่า 666 จุด จำนวนผู้ค้ากว่า 20,275 คน นอกจุดผ่อนผันมีอีกกว่า 670 จุด จำนวนผู้ค้ามีอีกกว่า 17,731 คน

ล่าสุด กทม. และ บช.น.เอาใจรัฐบาลตามนโยบายประชาวิวัฒน์เข้าไปอีกโดยเพิ่มจุดผ่อนผันเข้าไปอีก 280 จุด โดยที่ไม่สอบถามประชาชนคนใช้ทางเท้าส่วนใหญ่เลยว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร

2) จะทำให้ทางเท้าเดิมไม่ใช่ทางเท้าอีกต่อไป เพราะเป็นการสะท้อนว่า กทม.ล้มเหลวในการบริหารจัดการทางเท้า ปล่อยให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ นำทางเท้าไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานตน แสวงหากำไรและผลประโยชน์ส่วนตน เป็นที่ตั้งของตู้โทรศัพท์ เสาไฟฟ้า เสาป้ายจราจร ตู้ไปรษณีย์ ป้ายโฆษณาของทั้งหน่วยงานราชการและของเอกชน ที่จอดรถ ที่วางสินค้าของร้านค้าห้องแถว รวมถึงเป็นที่ตั้งของตู้ยามของตำรวจจราจรอย่างออกหน้าออกตา ในประเทศที่เจริญแล้วไม่มีตู้ยามจราจรที่ไหนใหญ่โต ติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็นสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มที่เหมือนตู้ยามตำรวจจราจรใน กทม.เลย การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันของ กทม. และ บช.น. จึงทำให้ทางเท้าใน กทม. มีแต่สิ่งที่รกรุงรังเต็มทางเท้าไปหมด นอกจากนั้นทางเท้าก็ไม่ราบเรียบ สวยงามน่าเดิน บางจุดเป็นหลุมเป็นบ่อตะแกรงท่อน้ำเสีย ทำให้คนหรือรถจักรยานล้อตกร่องมามากต่อมากแล้ว

3) ทำให้ กทม.เป็นเมืองแห่งอุดจาดทัศน์ (Visual Pollution) คนกรุงเทพฯเคยผิดพลาดต่อการต่อต้านรถไฟฟ้า BTS มาแล้วเพราะรู้ไม่เท่าทันนักการเมืองที่ชอบหว่านคำพูดแต่สิ่งดี ๆ ของรถไฟลอยฟ้า อีกทั้งคน กทม.ส่วนใหญ่ในอดีตไม่เคยเห็นเคยใช้รถไฟฟ้าระบบรางมาก่อน เพราะไม่เคยมีในประเทศไทย แต่พอเริ่มมีรถไฟฟ้าใต้ดินขึ้นมา ทำให้ทุกคนเปรียบเทียบและคิดได้ว่า การปล่อยให้มีรถไฟลอยฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะตลอดใต้โครงสร้างสถานีแต่ละสถานียาว 150 เมตร จะกลายเป็นอุโมงค์หรือถ้ำถาวร ที่อบอวลไปด้วยมลพิษ ควันพิษจากยานยนต์ทุกประเภทที่วิ่งสัญจร และติดปัญหาการจราจรอยู่ภายใต้สถานีรถไฟลอยฟ้า ซึ่งผู้คนที่เดินสัญจรไปมา พ่อค้าแม่ค้า เจ้าของห้องแถวร้านค้า ต่างต้องสูดดมควันพิษกันอย่างทั่วหน้ากันทุกคน โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนั้นโครงสร้างที่ปลูกสร้างคร่อมถนนที่ระโยงรยางค์ ขวักไขว่ลอยอยู่บนฟ้าจะปิดกั้นสายตา หรือมุมมองของการมองเห็นสิ่งที่สวยงามบนอากาศของเมืองไปอย่างถาวร

4) จะมีการหมกเม็ดทำให้มีการผลาญภาษีของประชาชนเพิ่มมากขึ้น นอกจากเงินงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างทั้ง 2 เฟสที่มาจากภาษีของประชาชนจำนวน 1.52 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยกิโลเมตรละ 300 ล้านบาทแล้ว ทั้งๆ ที่ราคาที่แท้จริงไม่ควรจะเกินกิโลเมตรละ 50 ล้านบาทเท่านั้น จะมีการหมกเม็ดเงินงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในอนาคตไว้อีกมากโดยไม่แจ้งประชาชน เช่น เงินในการเปลี่ยนบันไดขึ้นลงมาเป็นบันไดเลื่อนในอนาคตอันใกล้ หรือเปลี่ยนมาสร้างลิฟต์เสริมเพิ่มมากขึ้นมาแทนในบางจุดที่เป็นย่านที่มีคนขึ้นลงมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น นอกจากนั้นจะต้องมีการตั้งงบประมาณก้อนใหม่ มาใช้ในการรื้อย้ายสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ สายเคเบิล และอื่น ๆ ขึ้นมาใช้พื้นที่ใต้โครงสร้างโครงการดังกล่าวอีก นอกจากนั้นยังอาจจะต้องว่าจ้างเจ้าหน้าที่เทศกิจเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนมาก พร้อมยานพาหนะ จักรยาน เพื่อคอยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทาง 50 กิโลเมตร เพราะเทศกิจเดิมที่มีอยู่ก็ดูแลทางเท้าและงานตามหน้าที่ทั่วไปมากมายอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังต้องตั้งงบประมาณในการซ่อมบำรุง (Maintenances) ไว้ประจำปีอีกทุกๆ ปีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

5) จะเป็นการส่งเสริมให้มีการทำผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้นหลายหน่วยงาน/บริษัท เหตุเพราะโครงสร้างบางส่วนของซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมติดกับโครงสร้างของรถไฟฟ้า BTS และทางด่วนของการทางพิเศษฯ ซึ่งทั้งสองโครงการดังกล่าวกฎหมายกำหนดให้ต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อยู่แล้ว เมื่อโครงการซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมติดกับโครงสร้างดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นโครงการประเภทเดียวกันกับโครงการนั้นๆ ด้วย เพราะเป็นระบบทางพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการทางพิเศษ หรือเข้าข่ายเป็นทางหลวงหรือถนน ซึ่งมีความหมายตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ซึ่งประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2552 กำหนดว่าต้องทำ EIA ด้วยเพราะมีพื้นที่กว่า 75,000 ตร.ม.และมีที่ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ในระยะทาง 2 กิโลเมตรจากโครงการก่อสร้าง และโครงการที่อนุญาตให้ซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมต่อก็จะต้องนำเอา EIA ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) แล้วนำกลับไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อเสนอ คชก.ใหม่ อีกทั้งยังมีการไปเชื่อมติดกับอาคารห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 โครงการดังกล่าว ก็จะถือว่าเป็น “อาคาร” ตามกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย ดังนั้นหากโครงการใดๆ ที่โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมต่อรวมทั้ง กทม. ไม่ปรับปรุงหรือจัดทำ EIA ใหม่ให้แล้วเสร็จเสียก่อน ก็ย่อมเข้าข่ายละเมิดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย

6) จะเป็นการนำสมบัติสาธารณะไปเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน การที่ซุปเปอร์สกายวอล์กจะถูกนำไปเชื่อมกับบริษัท ห้างร้าน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรืออาคารสถานที่ของเอกชนใดๆ นั้นจะถือว่าเป็นการนำเอาทรัพย์สินสาธารณะของประชาชนไปสร้างประโยชน์ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เทศบาล (กทม.) แม้จะอ้างว่าเอกชนเป็นคนลงทุนก่อสร้างก็ตาม เพราะเสา ตอม่อ โครงสร้างต่างๆ จะตั้งอยู่บนทางเท้า เกาะกลางถนน ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หาใช่ของผู้ประกอบการเจ้าของอาคาร ห้างสรรพสินค้าของเอกชนรายใด รายหนึ่งได้ไม่ หากเอกชนรายใดเข้ามาร่วมดำเนินการกับรัฐหรือ กทม. ก็จะถือว่าเป็นตัวการร่วม มีความผิดเช่นเดียวกันกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร

7) จะทำให้ร้านค้าห้องแถวริมถนนตามแนวถนนทางเท้าลอยฟ้าล่มสลาย เพราะประชาชนส่วนหนึ่งจะขึ้นไปใช้บริการถนนทางเท้าลอยฟ้า จะไม่มีโอกาสลงมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้านค้าหรือห้องแถวด้านล่างริมทางเท้าปกติได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่ออุปสงค์หรือผู้บริโภคขาดหายหรือไม่มีโอกาสลงมาใช้บริการด้านล่างได้ โอกาสการค้าขายของร้านค้าขนาดเล็กขนาดย่อมก็จะล่มสลาย ขาดทุน ล้มหายตายจากเลิกกิจการไปในที่สุด นอกจากนั้น หาบเร่แผงลอยที่อยู่ด้านล่างริมฟุตบาทเดิม ก็จะไม่มีลูกค้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าของตนได้ ก็จะล้มหายเลิกกิจการตามไปด้วย หรืออาจะต้องย้ายไปหาทำเลใหม่ ๆ หรือตามลูกค้าขึ้นไปแอบขายบนทางเท้าลอยฟ้าเลยด้วยก็ได้ กทม.ก็จะแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก แก้ไขปัญหาไม่หมดไม่สิ้น แก้ปัญหาหนึ่ง ต้องไปพบผจญอีกปัญหาหนึ่งไม่มีที่สิ้นสุด

8) จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการแก้ไขปัญหาอัคคีภัยมากขึ้น เพราะโครงสร้างของถนนทางเดินเท้าลอยฟ้าที่อยู่ต่ำลงมากว่าโครงสร้างรถไฟฟ้า BTS และทางด่วน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อรถกระเช้าลอยฟ้าดับเพลิงเดิมอยู่แล้ว แต่พอมาสร้างลดระดับลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับสะพานลอย จะเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งขึ้นต่อการปฏิบัติงานของรถกระเช้าลอยฟ้าเพื่อการดับเพลิง เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นในอาคารสูงตามแนวเส้นทางถนนทางเท้าลอยฟ้าดังกล่าว แม้ถ้าจะสามารถปฏิบัติงานได้แต่ก็จะสร้างความยุ่งยาก และเพิ่มระยะเวลาของการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานดับเพลิงที่ต้องแข่งกับระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่สำคัญยิ่งต่อการช่วยเหลือชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน

9) จะเร่งทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองแห่งมลพิษเพิ่มมากขึ้น เพราะในปัจจุบันนี้คุณภาพอากาศและเสียงในพื้นที่ชั้นในกึ่งกลางของกรุงเทพมหานคร มีงานวิจัยของหลายสำนักวิจัยยืนยันชัดเจนแล้วพบสารก่อมะเร็งสำคัญกว่า 15 ชนิดกระจายอยู่ในอากาศของท้องถนนกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะสารเบนโซเอไพรีน ซึ่งมีศักยภาพก่อมะเร็งสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งระบบทางเดินหายใจ มะเร็งปอด และมะเร็งผิวหนัง นอกจากนั้นยังพบสารก่อมะเร็งพีเอเอช (PAHs) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีหลายร้อยชนิด เกิดจากการสันดาปไม่สมบูรณ์จากไอเสียของยานยนต์ทุกประเภทควันพิษจากเชื้อเพลิงยานยนต์บนท้องถนนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมวลมลพิษเหล่านี้ปกติจะล่องลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศแต่เมื่อมีโครงสร้างของรถไฟฟ้า สถานี ทางด่วน และทางเดินเท้าซุปเปอร์สกายวอล์กก็จะไปปิดกั้นการกระจายตัวเพื่อเจือจางลง ทำให้ภายใต้โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างดังกล่าวอบอวลไปด้วยมลพิษหรือสารก่อมะเร็ง นอกจากมลพิษทางอากาศ ภายใต้โครงสร้างดังกล่าวจะมีปัญหาเรื่องมลพิษทางเสียงที่เกินมาตรฐานที่ 70 เดซิเบล เอ ตามมาเพราะไปปิดกั้นทางเดินเสียง โดยเฉพาะในย่านที่มีการจราจรขวักไขว่ เช่น ถนนสีลม ถนนเพลินจิต ถนนสุขุมวิท ถนนรามคำแหง เป็นต้น

10) จะทำให้วินัยทางการเงินการคลังของกรุงเทพมหานครเสียหาย เพราะเป็นการเอาเงินในอนาคตของคน กทม.มาใช้พร้อมความเสี่ยง การที่ กทม.เอาสถานะนิติบุคคลของหน่วยงานไปการันตีการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ให้กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเอกชนทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หาใช่วิสาหกิจของกทม.ไม่ (ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเสร็จที่ 88/2541) อีกทั้งไม่มีผู้บริหารของกรุงเทพมหานครเป็นกรรมการรวมอยู่ด้วย และไม่มีกฎหมายเฉพาะรองรับเหมือนรัฐวิสาหกิจทั่วไป มีแต่เอกชนพรรคพวกของผู้บริหารของ กทม.หรือพรรคการเมืองของผู้ว่าฯมาเป็นกรรมการ หากบริษัทกรุงเทพธนาคมบริหารงานล้มเหลวผิดพลาด กทม.ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายดังกล่าวโดยตรงด้วย ดังนั้นการให้บริษัทกรุงเทพธนาคมมาร่วมทุนดำเนินการในครั้งนี้จึงเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนเท่านั้น

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นนี้ จึงใคร่ขอให้กรุงเทพมหานครได้ทบทวนหรือยกเลิกการดำเนินการโครงการซุปเปอร์สกายวอล์กดังกล่าวเสีย เพราะจะได้ไม่คุ้มเสียตามที่กล่าวแล้ว แต่หากยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไปมีหนทางเดียวเท่านั้นคือ “เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียเสียก่อนอย่างรอบด้าน” และต้องปฏิบัติตามกฎหมายทุกข้อที่กล่าวถึงข้างต้นก่อน แต่ทว่าหาก กทม.ยังเพิกเฉยต่อข้อเสนอหรือเหตุผลที่อรรถาธิบายมาแล้วนี้ ยังเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไป กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นที่จะใช้เป็นข้อยุติของปัญหาดังกล่าวได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ความยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น

Posted: 14 Mar 2011 01:35 PM PDT

 
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่และได้ให้ความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ต่อผู้อื่นมาหลายครั้ง
 
ครั้นภัยสึนามิเมื่อปี ๒๕๔๗ คร่าชีวิตผู้คนเป็นแสน ญี่ปุ่นคือหนึ่งในผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดที่ช่วยสนับสนุนกองทุนนานาชาติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย แม้กระทั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้บริจาคเงินสนับสนุนเป็นจำนวนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ให้กับโครงการอาหารของสหประชาชาติที่ช่วยแก้ไขปัญหาความอดอยากของโลก และยังเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนสูงสุดให้ศาลพิเศษในประเทศกัมพูชา เพื่อนำความยุติธรรมมาสู่เหยื่อจากอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยเขมรแดง
 
เราคงไม่ต้องกล่าวถึงบทบาทผู้นำอื่นๆของญี่ปุ่นตั้งแต่การต่อสู้ปัญหาภัยแล้งในแอฟริกา จนไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ผมเองก็ต้องขอบคุณญี่ปุ่นเป็นการส่วนตัวที่สนับสนุนผมในหลายโอกาส เช่น จัดให้ผมได้เขียนเรียงความระดับนานาชาติฉบับแรกเรื่องวิธีจัดการความขัดแย้งระหว่างชนชาติ กรณีไทยและกัมพูชา สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนสวมกางเกงขาสั้นและยังนำมาขบคิดจนทุกวันนี้ จนไปถึงการจัดให้ว่าความจำลองในคดีระหว่างประเทศสมัยเป็นนักเรียนกฎหมาย มาจนปัจจุบันที่ผมได้มีโอกาสทำงานในคดีจริงที่ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก)
 
ทุกครั้งที่ผมได้ยินข่าวภัยธรรมชาติหรือปัญหานานาชาติอันน่าวิตก ชื่อของญี่ปุ่นที่ปรากฏตามมาในข่าวทำให้บรรยากาศดีขึ้นเสมอ วันนี้ที่ญี่ปุ่นตกเป็นผู้ประสบภัย ผมเชื่อว่ามีผู้คนจากทั่วโลกที่ภาวนาให้ญี่ปุ่นกลับสู่ภาวะสงบสุขโดยเร็ว ไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลจากกว่าหกสิบประเทศได้ยื่นให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่นในเพียงข้ามคืน
 
ผมคงต้องขอบคุณญี่ปุ่นอีกครั้งที่ช่วยแสดงความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ที่ก้าวข้ามพรมแดน ไม่นานมานี้เราเห็นชายตูนิเซียคนหนึ่งเป็นต้นไฟให้ปวงชนในตะวันออกกลางกล้าปีนข้ามกำแพงอำนาจที่ตั้งคร่อมมานานหลายทศวรรษ มาวันนี้เราเห็นผู้นำญี่ปุ่นกล่าวปลุกกำลังใจประชาชนให้นึกถึงความสำเร็จในอดีตที่ได้ฟันฝ่าความยากแค้นจากชาติที่แพ้สงครามโลกจนเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นสังคมที่เจริญรุ่งเรือง
 
ประวัติศาสตร์คงจดจำญี่ปุ่นที่เคยยิ่งใหญ่และฮึกเหิมในฐานะชาตินักรบผู้ทำสงคราม มาเป็นญี่ปุ่นที่เป็นเสาหลักของการสร้างสันติภาพ และสู่วันที่ญี่ปุ่นก้าวพ้นภัยธรรมชาติอย่างเข้มแข็ง ความยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น ณ วันหนึ่งอาจต่างไปจากความยิ่งใหญ่อีกแบบในอดีตเสียเหลือเกิน แต่การปรับและเปลี่ยนในวันนี้มิใช่หรือ ที่เป็นเครื่องวัดความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง?
 
อธิปไตย เขตแดน และเอกภาพ และความเป็นสูงสุดทั้งหลายที่แตะต้องไม่ได้ ความยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นชักเริ่มทำให้สงสัยว่าคำศัพท์กลุ่มนี้ยังคงความหมายอันยิ่งใหญ่สำคัญดังเดิม เหมือนตอนที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อหลายศตวรรษที่แล้วหรือไม่ ?
 
คลื่นน้ำจากแผ่นพิภพที่เปราะพังนั้นรุนแรง หากจะแรงเท่าคลื่นคนในระบอบแห่งความนิ่ง หรือไม่หนอ?
 
.......................................................
 
บรรณานุกรม
 
รายงานข่าว: ญี่ปุ่นคือผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยซึนามิเมื่อปี ๒๕๔๗ (๑ มกราคม ๒๕๔๘)
 
รายงานข่าว: ญี่ปุ่นคือผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในการช่วยเหลือโครงการอาหารขององค์การสหประชาชาติ (๑๑ มกราคม ๒๕๕๔)
 
รายงานข่าว:ญี่ปุ่นคือผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในการช่วยเหลือศาลพิเศษในประเทศกัมพูชา (๒๘ มกราคม ๒๕๕๔)
 
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์, มหกรรมสามัคคี (๒๕๔๗)
 
Verapat Pariyawong, Sovereignty in International Law Making (2007)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรณีเป็ปซี่กับเสริมสุข: บทเรียนสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์

Posted: 14 Mar 2011 01:14 PM PDT

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวคราวเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่าง บริษัท เป็ปซี่ โค แห่งสหรัฐอเมริกากับ บมจ.เสริมสุข ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายเป็ปซี่ รายเดียวในประเทศไทยเป็นเวลากว่าเกือบ 60 ปี ถึงขั้นที่ว่าจะเลิกสัญญากันทำให้ผู้ที่ติดน้ำดำยี่ห้อนี้ต้องเป็นกังวลว่าจะต้องหันไปดื่ม โค้ก หรือ บิ๊กโคล่าที่มาแรงในต่างจังหวัดหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้ โดยมีการแก้ไขสัญญาการผลิตและจำหน่ายบางประการที่ บมจ.เสริมสุข เห็นว่าไม่เป็นธรรม

ผู้เขียนไม่ได้เป็นผู้บริโภคน้ำดำไม่ว่าจะจากค่ายใด แต่เห็นว่ากรณีดังกล่าวมีบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับธุรกิจแฟรนไชส์โดยทั่วไปสำหรับผู้ประกอบการไทยซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์จากต่างประเทศ หรือจากเจ้าของแฟรนไชส์ที่เป็นคนไทยเอง และรัฐบาลในฐานะที่เป็นผู้ที่ต้องกำกับดูแลให้สัญญาที่ทำขึ้นนั้นเป็นธรรม ก่อนอื่นขอสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับที่มาที่ไปของกรณีข้อพิพาทดังกล่าว

เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว บริษัท เป็ปซี่ โค ต้องการที่จะเข้าควบคุม บมจ.เสริมสุข ในลักษณะของ การเทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร โดยการเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทเสริมสุขจากนักลงทุนทั่วไปในราคา 29 บาทต่อหุ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีผู้ที่เสนอขายหุ้นเพียงร้อยละ 8.54% เท่านั้น ต่ำกว่าที่เกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องการ 25% ทำให้การทำเทนเดอร์ไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่เคยมีลักษณะที่เป็นพันธมิตรกันเปลี่ยนไป บมจ.เสริมสุขจึงลุกขึ้นมาเรียกร้องที่จะแก้สัญญา Exclusive Bottling Appointment Agreement (EBA) ระหว่างบริษัทกับกลุ่มเป๊ปซี่ เพื่อลดราคาค่าหัวน้ำเชื้อเป็ปซี่ (ซึ่งมองได้ว่าเป็นค่ารอยัลตี้) และ ยกเลิกข้อห้ามที่มิให้ บมจ.เสริมสุข ผลิตและจำหน่ายน้ำดื่มประเภทอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับน้ำโคล่าอีกด้วย รวมทั้งข้อกำหนดหรือเงื่อนไขอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเด็นทางการค้าโดยตรงตามลักษณะของสัญญา เช่นข้อกำหนดเกี่ยวกับสิทธิของเป๊ปซี่ในการแต่งตั้งผู้บริหาร เป็นต้น

ผู้เขียนไม่ทราบรายละเอียดของสัญญาดังกล่าวนอกเหนือจากที่มีการรายงานในสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายการแข่งขันทางการค้าทั่วไปมีข้อจำกัดมิให้ผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือ เครื่องหมายทางการค้า ใช้อำนาจผูกขาดที่ได้รับจากการให้การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายในลักษณะที่เป็นการจำกัดหรือกีดกันการแข่งขันหรือเอาเปรียบคู่ค้าหรือผู้บริโภค

โดยทั่วไปแล้ว สัญญาแฟรนไชส์จะได้รับการ ยกเว้นจากข้อบังคับของกฎหมายการแข่งขันทางการค้าบางประการ เช่น

  1. การแบ่งพื้นที่ในการประกอบธุรกิจ: สัญญาแฟรนไชส์สามารถกำหนดพื้นที่ที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์สามารถประกอบกิจการได้แต่เพียงผู้เดียว เพื่อเป็นการประกันรายได้ให้กับผู้ซื้อแฟรนไชส์ พฤติกรรมดังกล่าวโดยทั่วไปแล้วจะผิดกฎหมายเนื่องจากมีเป็นการจำกัดการแข่งขันในระดับพื้นที่
  2. การกำหนดเงื่อนไขและวิธีการในประกอบธุรกิจของผู้ซื้อแฟรนไชส์ กฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้ากำหนดไว้ว่า ในการอนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้น เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะต้องกำกับควบคุมให้สินค้าหรือบริการเป็นไปตามมาตรฐาน ดังนั้น เพื่อที่จะรักษามาตรฐาน ชื่อเสียง และลักษณะเฉพาะตัวของสินค้า เจ้าของแฟรนไชส์สามารถกำหนดแหล่งของวัตถุดิบที่ต้องใช้ ที่มาของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการได้ แต่บทบัญญัติดังกล่าวอาจทำให้เจ้าของแฟรนไชส์แสวงหากำไรจากการบังคับ “ขายพ่วง” เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การประกอบธุรกิจอย่างแท้จริงโดยอ้างว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือดังกล่าวจำเป็นต่อการควบคุมคุณภาพของแฟรนไชส์เพื่อทำกำไรจากการขายสินค้าพ่วงเหล่านั้น ส่งผลให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์สิ้นเปลืองเงินลงทุนโดยไม่จำเป็น ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเงื่อนไขหรือวิธีการในการประกอบธุรกิจที่เจ้าของแฟรนไชส์กำหนดขึ้นมาทั้งหลายทั้งปวงนั้น จำเป็นต่อการควบคุมคุณภาพของสินค้า หรือ เป็นการแทรกแซงการประกอบธุรกิจของผู้ซื้อแฟรนไชส์ซึ่งอาจเป็นการละเมิดมาตรา 29 ของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าว่าพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม
  3. การทำข้อตกลงมิให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ประกอบธุรกิจที่แข่งขันกับธุรกิจแฟรนไชส์: สัญญาแฟรนไชส์โดยทั่วไปมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือ know how ในการดำเนินธุรกิจหรือการผลิตสินค้าตามสัญญา จึงต้องมีการป้องกันมิให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวแล้วบอกเลิกสัญญาเพื่อไปตั้งธุรกิจใหม่ของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าแฟรนไชส์ อย่างไรก็ดี การห้ามมิให้ผู้ซื้อแฟราไชส์ประกอบธุรกิจอื่นนั้นจะต้องจำกัดเฉพาะธุรกิจที่แข่งขันโดยตรงกับสินค้าหรือบริการภายใต้สัญญาแฟรนไชส์เท่านั้น
    ตัวอย่างเช่น ในอดีตที่บริษัท The Pizza ซึ่งเป็นนิติบุคลไทยที่ซื้อแฟรนไชส์ Pizza Hut จากกลุ่ม Tricon Global Restaurant Inc แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ยื่นฟ้องศาลยุติธรรมที่มลรัฐนิวยอร์ค (ตามข้อกำหนดของสัญญา) ว่ากลุ่ม Tricon กำหนดเงื่อนไขของสัญญาที่ไม่เป็นธรรม โดยมีการแก้ไขสัญญาแฟรนไชส์ในช่วงการต่อสัญญา จากเดิมที่ห้าม The Pizza ขายพิซซ่ายี่ห้ออื่นเป็นเวลา 5 ปีหลังเลิกสัญญา เป็นการห้ามมิให้บริษัทประกอบธุรกิจอาหารประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากพิซซ่าทั้งหมดทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เมื่อทราบว่า The Pizza ได้ทำการตกลงที่จะซื้อแฟรนไชส์ “Chicken Treat” ของออสเตรเลียเข้ามาแข่งขันกับ KFC ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของกลุ่ม Tricon
    กรณีนี้มีการตกลงกันนอกศาล โดยกลุ่ม Tricon ยอมให้ The Pizza ดำเนินธุรกิจขายพิซซ่าในประเทศไทยต่อไปได้โดยไม่ต้องซื้อแฟรนไชส์ Pizza Hut แต่จะต้องเปลี่ยนชื่อภัตตาคารทุกแห่งที่ใช้ชื่อ Pizza Hut ทั้งหมด กรณีตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าการกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เกี่ยวโยงกับสัญญาเดิมที่เป็นลักษณะของการจำกัดโอกาสในการประกอบธุรกิจของคู่สัญญาเป็นพฤติกรรมที่อาจเป็นการละเมิดบทบัญญัติว่าด้วยการค้าที่ไม่เป็นธรรมได้

เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ซื้อมากกว่าผู้ขายทรัพย์สินทางปัญญา ในปี พ.ศ.2553 เรามีรายรับจากค่ารอยัลตี้ เครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ต่างๆ เป็นวงเงิน 4,386 ล้านบาท แต่มีรายจ่ายสูงถึง 97,657 ล้านบาท ภาครัฐควรหันมาให้ความสนใจในการสอดส่องดูแลให้สัญญาแฟรนไชส์เป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการไทย ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่ารอยัลตี้ซึ่งมักมีราคาที่สูงลิ่วแล้ว ยังอาจถูกผูกมัดด้วยเงื่อนไขมากมายที่ไม่เป็นธรรมซึ่งผู้ซื้อแฟรนไชส์ในประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีกฎหมายให้การคุ้มครองไม่เคยพบเจอ

ผู้เขียนเสนอว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือ สำนักส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ควรเร่งกำหนดแนวทางในการวินิจฉัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการผูกขาดที่เกี่ยวโยงกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (Abuse of Intellectual Property Rights) ซึ่งรวมถึงการกำหนดลักษณะของเงื่อนไขในสัญญาแฟรนไชส์ที่ไม่เป็นธรรมด้วย และที่สำคัญอย่างยิ่ง ภาคธุรกิจไทยจะต้องตระหนักว่า เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขของสัญญาในการใช้สิทธิ “ตามอำเภอใจ” ได้ แม้กระทั่งการกำหนดค่ารอยัลตี้ก็ยังต้องอยู่ในกรอบที่เป็นธรรม ทั้งนี้ ควรมีการกำหนดแนวทางในการพิจารณาว่า เงื่อนไขของสัญญาในลักษณะใดขัดหรือไม่ขัดกับกฎหมายแข่งขันทางการค้า เพื่อที่ภาคเอกชนไทยจะไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของธุรกิจข้ามชาติที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ภาครัฐทุ่มเงินกับการส่งเสริมธุรกิจไทยมามากแล้ว ควรหันมาผลักดันมาตรการที่ใช้ “ปัญญา” มากกว่า “เงิน” บ้าง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จวกรัฐล้มเหลว ทำคดี 7 ปี ไม่สามารถนำคนอุ้ม “ทนายสมชาย” มาลงโทษ

Posted: 14 Mar 2011 12:56 PM PDT

วานนี้ (14 มี.ค.54) คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission) เผยแพร่แถลงการณ์โดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Culture Foundation: CrCF) เรื่อง “เจ็ดปี รัฐล้มเหลวไม่สามารถนำคนอุ้มสมชายมาลงโทษ รัฐต้องตอบญาติ สังคมไทยและเวทีโลก ใครอุ้มทนายสมชาย” เผยแพร่วันที่ 12 มี.ค.54

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 11 มี.ค.54 ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาคดีกรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร หลังมีการแจ้งว่า พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 สาบสูญ ระบุคดีนี้ยังไม่ชัดว่า ทนายสมชายบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วหรือไม่ แม้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและโจทก์ร่วมที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบตามกฎหมาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายจัดการแทนในคดีและไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วม ส่วนคำให้การพยานยังสับสน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พ.ต.ต.เงิน และให้ออกหมายขังไว้ระหว่างฎีกา ส่วนจำเลยอื่นพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ในโอกาสครบรอบ 7 ปี การหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นคดีที่สาธารณชนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย และยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาดังกล่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายนาย ที่ยังไม่สามารถนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ อีกทั้ง คดีนี้ยังความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่วิจารณ์กันว่า คดีเช่นนี้ ผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมักลอยนวล โดยที่กฎหมายไทยไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุต่อมาว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ตอกย้ำข้อวิจารณ์ดังกล่าว และเป็นการยืนยันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยไร้ประสิทธิภาพ หรือปกป้องเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดให้ลอยนวล และไม่มีกฎหมาย หรือมาตรการที่เพียงพอในการนำผู้กระทำผิดโดยบังคับให้บุคคลสูญหายมาลงโทษได้ เนื่องจากไม่มีข้อหาการบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดอาญา ในกฎหมายไทย อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมของไทย ยังไม่ยอมรับว่า การบังคับให้บุคคลสูญหาย หรือ Enforced Disappearances หรือการอุ้มหาย อุ้มฆ่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

“เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลจะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นพนักงานสอบสวนและอัยการ เพื่อแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่กระทำผิดแต่ ลอยนวล ทั้งขอเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งลงนามเข้าเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of all persons from Enforced Disappearance) อันจะนำมาซึ่งการตราบทบัญญัติในกฎหมายอาญาว่า การบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นการกระทำผิดทางอาญา การปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญา จะนำไปสู่การสร้างมาตรฐาน ทั้งทางกฎหมาย การบริหารงานตุลาการ และด้านการคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครอง และยุติการบังคับให้บุคคลสูญหาย ในประเทศไทย โดยรัฐต้องแสงความมุ่งมั่นและเจตจำนงทางการเมือง ต่อเวทีระหว่างประเทศที่จะมีการพิจารณารายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ตามระบบ UPR ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2554 ที่จะถึงนี้” นายสมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิฯ กล่าว

ทั้งนี้แถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้

 

แถลงการณ์
เจ็ดปี รัฐล้มเหลวไม่สามารถนำคนอุ้มสมชายมาลงโทษ
รัฐต้องตอบญาติ สังคมไทยและเวทีโลก ใครอุ้มทนายสมชาย

ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2554 ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และบุตรของนายสมชาย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย1 ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2547

คำพิพากษาอุทธรณ์วิเคราะห์เหตุการณ์ว่า เกิดเวลาค่ำแสงน้อย พยานไม่เห็นหน้าจำเลย ยกประโยชน์แห่งความสงสัย กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยกฟ้องให้จำเลยที่ 1 พ้นผิด จำเลยที่ 2 – 5 ไม่มีประจักษ์พยาน จำเลยที่ 5 หลักฐานทางโทรศัพท์ไม่น่าเชื่อถือ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 – 5 องค์กรสิทธิมนุษยชน เสนอรัฐบาลรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศ เรื่องการคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับให้สูญหายในเวที UPR2 ที่กรุงเจนีวา เดือนตุลาคม พ.ศ.2554 เพื่อแสดงเจตจำนงทางการเมือง แก้ไขระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ล้มเหลวในการนำคนผิดมาลงโทษ เรียกร้องรัฐจะต้องตอบญาติ ตอบสังคม และเวทีโลก ให้ได้ว่า ใครอุ้มทนายสมชาย

ในวันนี้ เป็นวันครบรอบ 7 ปี การหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน คดีนี้ คดีที่สาธารณชนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากนอกจากจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดี ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาดังกล่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายนาย ที่ยังไม่สามารถนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ อีกทั้ง คดีนี้ ยังความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเป็นที่วิจารณ์กันว่า คดีเช่นนี้ ผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมักลอยนวล โดยที่กฎหมายไทยไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ตอกย้ำข้อวิจารณ์ดังกล่าว และเป็นการยืนยันว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยไร้ประสิทธิภาพ หรือปกป้องเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดให้ลอยนวล (Impunity) และไม่มีกฎหมาย หรือมาตรการที่เพียงพอในการนำผู้กระทำผิดโดยบังคับให้บุคคลสูญหายมาลงโทษได้ เนื่องจากไม่มีข้อหาการบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดอาญา ในกฎหมายไทย อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมของไทย ยังไม่ยอมรับว่า การบังคับให้บุคคลสูญหาย หรือ Enforced Disappearances หรือการอุ้มหาย อุ้มฆ่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยไปว่า เมื่อภรรยาและบุตรของทนายสมชาย ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมไม่สามารถยืนยันได้ว่า ทนายสมชายเสียชีวิตจากการถูกทำร้าย หรือได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการงานเองได้ จึงไม่เข้าตามหลักเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิเป็นผู้เสียหายแทนได้ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้บุคคลในครอบครัวของนายสมชายทั้ง 5 คน เข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น มิชอบตามกฎหมาย จึงไม่ต้องพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม คำพิพากษาของศาลเท่ากับเป็นการตัดสิทธิของภรรยาและบุตรทั้ง 4 ของนายสมชาย ในการเข้ามามีส่วนรวมในการต่อสู้ เพื่อค้นหาความจริง และเพื่อความยุติธรรมในกระบวนการศาล ศาลอุทธรณ์ไม่รับคำอุทธรณ์โดยโจทก์ร่วม คือ ภรรยาและบุตร ในการพิจารณาอุทธรณ์คดีนี้ ทั้งๆที่ ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ นายสมชายเป็นบุคคลสาบสูญ หลังหายตัวไปครบ 5 ปี แล้ว เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2552

“เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลจะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นพนักงานสอบสวนและอัยการ เพื่อแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่กระทำผิดแต่ ลอยนวล ทั้งขอเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งลงนามเข้าเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วย การคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับให้สูญหาย (International Convention for the Protection of all persons from Enforced Disappearance) อันจะนำมาซึ่งการตราบทบัญญัติในกฎหมายอาญาว่า การบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นการกระทำผิดทางอาญา การปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญา จะนำไปสู่การสร้างมาตรฐานทั้งทางกฎหมาย การบริหารงานตุลาการ และด้านการคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครอง และยุติการบังคับให้บุคคลสูญหาย ในประเทศไทย โดยรัฐต้องแสงความมุ่งมั่นและเจตจำนงทางการเมือง ต่อเวทีระหว่างประเทศที่จะมีการพิจารณารายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ตามระบบ UPR ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2554 ที่จะถึงนี้” นายสมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิฯ กล่าว

...........................

  1. พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน. ช่วยราชการกองปราบปราม, พ.ต.ท.สินชัย นิมปุญญกำพงษ์ อายุ 42 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 38 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลียมสงวน อายุ 45 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. เป็นจําเลยที่ 1-5
  2. การจัดทำรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) โดยประเทศไทย จะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ สถานการณ์สิทธิมนุษยชน ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) ในวันที่ 5 และ วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2554 และ วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554 เป็นวันสุดท้ายที่องค์กรภาคประชาสังคมต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ จะสามารถส่งรายงานสถานการณ์สิทธิฯ ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ โดยมีการคาดการณ์ว่า ประเด็นเรื่องการหายตัวไปของทนายสมชาย จะเป็นประเด็นที่ทาง HRC จะท้วงติงสอบถามความคืบหน้า ในการนำคนผิดมาลงโทษ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: ปิดตำนาน “ศูนย์ข้อมูลคนหาย” 9 ปีกับภารกิจพาคนกลับบ้าน

Posted: 14 Mar 2011 12:46 PM PDT

เป็นเวลา เกือบ 9 ปี ที่มูลนิธิกระจกเงา ได้ดำเนินโครงการ “ศูนย์ข้อมูลคนหาย” โดยมีภารกิจหลักในการรับแจ้งเหตุและประสานงานติดตามคนหาย โดยถือเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่จับประเด็นปัญหาทางสังคมในด้านนี้ จำนวนคนหายที่รับแจ้งตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการกว่า 2,000 ราย และสายโทรศัพท์ขอรับคำปรึกษากว่าหมื่นสาย คือ สิ่งยืนยันว่า โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย ได้ทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” ให้กับครอบครัวที่ประสบปัญหาคนหาย และเชื่อมโยงการจัดการปัญหาดังกล่าวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน ตลอดจนภาคประชาสังคมเพื่อให้ประเด็นปัญหาคนหาย ได้รับการเยียวยาช่วยเหลือ และกลายเป็นประเด็นทางสาธารณะ

จากวันนั้นถึงวันนี้ 9 ปีกับภารกิจติดตามหาย ถึงเวลาที่โครงการต้องปิดตัวลงอย่าง น่าใจหาย แม้เจตนารมณ์ของโครงการจะมีความตั้งใจอยู่แล้วว่า จะต้องปิดตัวเองลงเมื่อหน่วยงานรัฐ สามารถบริหารจัดการปัญหาคนหายได้อย่างเป็นระบบ วันนี้โครงการต้องปิดตัวมาถึงเร็วเกิดกว่าที่คาดคิด ด้วยจำยอมรับโดยดุษฎีถึงปัจจัยรอบด้านที่ไม่สามารถเอื้ออำนวยให้โครงการได้รับใช้สังคมต่อไป และนี่คือตำนาน ตั้งแต่ก้าวแรก ก้าวที่ยืนอยู่ และทิศทางการก้าวเดินข้างหน้า ในภารกิจติดตามคนหาย ของมูลนิธิกระจกเงา

ก้าวแรกกับปัญหาคนหาย

นับตั้งแต่ปี 2534 คนหนุ่มสาวในนามของกลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา ได้ดำเนินกิจกรรมทางสังคมอยู่ในพื้นที่ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเปรียบเสมือนห้องทดลองปัญหาทางสังคมซึ่งห่างไกลจากศูนย์กลางทางนโยบายของรัฐ จนกระทั่งปี 2546 พบว่าในพื้นที่ ตำบลแม่ยาว ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการทำงาน เกิดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงาน ของคนบนพื้นที่สูง เข้าสู่เมือง เช่น เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งนำมาซึ่งปัญหาคนหายออกจากชุมชน ขาดการติดต่อจากครอบครัวโดยไม่ทราบสาเหตุ คนหายบางส่วนในชุมชนกลายเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ ถูกหลอกไปบังคับใช้แรงงาน และหลอกไปบังคับค้าประเวณี

ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในพื้นที่ ได้พยายามมองหามาตรการในการช่วยเหลือ แต่ก็พบว่ากระบวนการจัดการปัญหาคนหายของประเทศไทยในขณะนั้น แทบจะไม่มีกลไกใดๆ เลย นอกจากกระบวนการแจ้งความ และได้รับเพียงบันทึกประจำวันเพียงใบเดียวจากสถานีตำรวจ

ในจำนวนการได้รับแจ้งเหตุคนหายจากชาวบ้านเพียงตำบลเดียวถึงเกือบ 20 ราย จึงทำให้ กลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา มองถึงปัญหาในเชิงมหภาคระดับประเทศว่า แท้จริงแล้วในประเทศไทยมีปัญหาคนหายจำนวนกี่ราย เพราะตำบลเดียวยังมีถึง 20 ราย

เดือนตุลาคม พ.ศ.2546 กลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา จึงจัดตั้งโครงการศูนย์ข้อมูล คนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยการสนับสนุนของ มูลนิธิเอเชีย และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และขยายสำนักงานจากเชียงราย มาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งภายหลังไม่นานจากนั้น กลุ่มศิลปวัฒนธรรมกระจกเงา ได้จดทะเบียนเป็น มูลนิธิกระจกเงา ศูนย์ข้อมูล คนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ จึงถือเป็นโครงการแรกของมูลนิธิกระจกเงาในสำนักงานกรุงเทพมหานคร

การทำงานในช่วงเวลาแรกเป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาเชื่อมโยงกับการจัดการปัญหา มีการจัดทำโปรแกรมฐานข้อมูลรับแจ้งคนหายและประวัติคนหายในรูปของระบบอิเล็คทรอนิคส์ และการจัดทำเว็บไซต์ติดตามคนหาย www.backtohome.org เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารในการติดตามคนหาย และสื่อกลางในการนำเสนอปัญหาคนหายในประเทศไทย

ในช่วงระยะสองปีแรกของการดำเนินโครงการ เป็นช่วงที่มีการสนับสนุนจากแหล่งทุนต่อเนื่อง ทำให้การดำเนินโครงการมีเจ้าหน้าที่เต็มกำลังถึง 7 คนในการบริหารงานรับแจ้งเหตุ ติดตาม และประชาสัมพันธ์คนหายผ่านเครื่องมือทางสาธารณะ ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว การรับแจ้งคนหายของโครงการฯ ยังมีไม่มากนัก เนื่องจากเป็นระยะเริ่มต้นของโครงการ การรับแจ้งเหตุในช่วงนั้น จึงเป็นเคสที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องการค้ามนุษย์เป็นหลัก ทั้งคนหายที่ถูกหลอกไปลงเรือประมง และเคสคนหายจากชุมชนในจังหวัดเชียงราย การดำเนินงานในช่วงสองปีแรก จึงเป็นการโยนหินก้อนใหญ่ลงกลางแม่น้ำ เพื่อประกาศต่อสังคมว่า เรากำลังเผชิญกับปัญหาคนหายในสังคม

ก้าวที่สอง-ระยะเปลี่ยนผ่าน

ช่วงระยะเปลี่ยนผ่านของโครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย อยู่ในช่วงปลายปี 2547 ซึ่งขณะนั้น เป็นช่วงที่งบประมาณสนับสนุนจากแหล่งทุนหมดลง จึงทำให้มีการปรับลดเจ้าหน้าที่ลงเหลือเพียง 2-3 คน โดยช่วงเวลาดังกล่าว ศูนย์ข้อมูลคนหายได้รับแจ้งเหตุเด็กทารกถูกลักพาตัว จึงขยายผลไปเชื่อมโยงกับขบวนการที่นับเด็กมาเป็นเครื่องมือในการขอทาน และได้รับการสนับสนุนจาก โครงการเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง องค์การสหประชาชาติ (UNIAP) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในการดำเนินโครงการศึกษาและสำรวจเด็กขอทานในประเทศไทย จึงทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว เจ้าหน้าที่โครงการศูนย์ข้อมูลคนหายเพียง 2 คน ต้องทำงาน 2 โครงการไปพร้อมกัน โดยต้องทำโครงการเกี่ยวกับเด็กขอทานเป็นหลัก เพื่อประคับประคองให้โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย ดำเนินการต่อไปได้
ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เป็นช่วงที่ศูนย์ข้อมูลคนหายเริ่มที่เป็นรู้จักของสังคมมากขึ้น จึงรับแจ้งเหตุคนหายตกเดือนละประมาณ 60 ราย ซึ่งจำเป็นต้องบริหารจัดการช่วยเหลือเคสที่มีความสำคัญเร่งด่วนก่อน โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด เนื่องจากบุคลากรน้อย แต่ปริมาณเคสมีเข้ามาเป็นจำนวนมาก และต้องบริหารจัดการโครงการถึงสองโครงการไปพร้อมกันเป็นเวลายาวนานถึง 4 ปีเต็ม กระนั้นก็ตามในช่วงเวลาดังกล่าว เริ่มมีการใช้กลไกทางกฎหมายมาเชื่อมโยงกับการติดตามคนหาย และมีการแบ่งประเภทคนหายออกเป็น 10 ประเภท เพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุปัจจัย และแนวทางในการติดตามหาตัวคนหาย นอกจากนี้เมื่อมีการแยกประเภทคนหายตามสาเหตุของการหาย จึงทำให้มีการแตกยอดโครงการใหม่ๆ เพื่อมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดที่ต้นเหตุของปัญหา โดยมีการเริ่มโครงการใหม่ ดังนี้

  1. โครงการยุติธุรกิจเด็กขอทาน
  2. โครงการศูนย์เฝ้าระวังภัยเทคโนโลยี
  3. โครงการคุ้มครองสิทธิแรงงานประมง
  4. โครงการผู้ป่วยข้างถนน
  5. โครงการอาสาสมัครสนามหลวง

โดยระหว่างการแตกยอดโครงการใหม่ จากประเด็นปัญหาสังคมที่พบเจอในระหว่างการดำเนินโครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย มีแหล่งทุนสนับสนุนโครงการใหม่หลายแห่ง รวมทั้งบริษัทเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนงานของศูนย์ข้อมูลคนหายเป็นระยะเวลา 2 ปี จึงทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว ศูนย์ข้อมูลคนหายได้ ทำงานอย่างเต็มกำลังภายใต้เจ้าหน้าที่เต็มเวลา 2 คน และทำให้ศูนย์ข้อมูลคนหาย เป็นที่รู้จักของสังคมในวงกว้าง และเชื่อมโยงการทำงานกับสื่อสารมวลชนเพื่อนำภาพถ่ายคนหายประกาศติดตามหาในรายการโทรทัศน์ นอกจากนี้ยังได้มีการถอดประสบการณ์รับแจ้งเหตุและติดตามคนหาย ในรูปแบบคู่มือติดตามคนหายเพื่อใช้เป็นแนวทางในการติดตามคนหาย ระยะโครงการช่วงนี้ เป็นช่วงแตกยอดโครงการเพื่อก้าวไปยืนในปัญหาสังคมที่เชื่อมโยงเป็นใยแมงมุม อย่างมุ่งเน้น เอาจริงเอาจังในแต่ละประเด็นปัญหา

ก้าวปัจจุบัน-เมื่อโครงการถึงทางตัน

นับแต่เริ่มต้นโครงการมาเกือบจะครบ ทศวรรษ โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย ยังมีเจตนารมณ์เดิม คือ การผลักดันให้รัฐสามารถบริหารจัดการปัญหาคนหายได้อย่างเป็นระบบ มีหน่วยงานที่ดูแลปัญหาเป็นการเฉพาะ แต่ภารกิจดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จโครงการก็มีอันต้องสิ้นสุดลงเสียก่อน ซึ่งต้องยอมรับว่า หลังจากที่โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย ได้นำภาพถ่ายคนหายเผยแพร่ในรายการโทรทัศน์ และมีผลการดำเนินงานผ่านสื่อมวลชนบ่อยครั้ง จึงทำให้โครงการเป็นที่รู้จักทางสาธารณะในวงกว้าง ในแต่ละเดือนจึงมีการรับแจ้งเหตุคนหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก สวนทางกับผู้สนับสนุนโครงการซึ่งไม่มีเลย การดำเนินโครงการในช่วงเวลานี้ จึงประคับประคองโครงการด้วยต้นทุนที่จำกัด การทำงานกับเคสที่มีความยาก และเดินทางไกล ไม่สามารถทำได้คล่องตัวนัก มีเคสหลายรายที่ไม่สามารถติดตามตัวได้พบ และมีเคสจำนวนมากที่โครงการไม่สามารถเข้าไปจัดการได้อย่างทั่วถึง สภาพโครงการจึงอยู่ในลักษณะตั้งรับ และเป็นเพียงผู้ให้ข้อมูล และคำปรึกษาเท่านั้น

ด้วยปัจจัยดังกล่าวนี้ โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย จึงไม่สามารถดำเนินโครงการต่อได้ ยอดเงินบัญชีในโครงการจะเป็น 0 บาทในสิ้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ หากเป็นการเปรียบเทียบในเชิงเศรษฐศาสตร์ โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย อยู่ในสภาวะขาดทุนและต้องควักเนื้อโดยตลอด ซึ่งหากยังดันทุรังพาโครงการต่อไป โครงการดังกล่าวนี้ อาจจะมีสภาพไม่ต่างจากการทำงานของหน่วยงานรัฐ ที่ตั้งรับกับปัญหาขนาดใหญ่ และไม่สามารถบริหารจัดการปัญหาได้อย่างทั่วถึงเป็นที่น่าพอใจของประชาชนที่เดือนร้อนและเข้ามาขอความช่วยเหลือ มติของกรรมการมูลนิธิกระจกเงา จึงมีความจำเป็นต้องยุติโครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย หยุดภารกิจการรับแจ้งเหตุคนหาย นับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป

ก้าวต่อไป-กับภารกิจสนับสนุนรัฐในการจัดการปัญหา

แม้วันนี้โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย จำเป็นต้องยุติบทบาทการรับแจ้งเหตุคนหาย ด้วยปัจจัยภายนอกซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งภารกิจเกี่ยวกับปัญหาคนหายในประเทศไทยยังไม่บรรลุถึงเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ ก้าวต่อไปของมูลนิธิกระจกเงา ต่อการจัดการปัญหาคนหาย จะเปลี่ยนบทบาทและท่าที จากผู้ปฏิบัติงานรับแจ้งเหตุ เป็นการมอนิเตอร์ ให้คำปรึกษา แก่หน่วยงานรัฐที่รับภารกิจรับแจ้งเหตุคนหายไปดำเนินการต่อ และรวบรวม สังเคราะห์ การจัดการความรู้ (KM) เกี่ยวกับเรื่องคนหายเพื่อเป็นแนวทางในการผลักดันการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

โดยภายหลังจากการปิดโครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย การแจ้งหายคนหาย จะถูกส่งต่อไปยัง หน่วยงานบ้านพักเด็กและครอบครัว (ศูนย์ประชาบดี 1300) ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีครบทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศไทย โดยความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น มูลนิธิกระจกเงา จะสนับสนุนระบบโปรแกรมฐานข้อมูลคนหาย ติดตั้งให้กับหน่วยงานบ้านพักเด็กและครอบครัวทุกจังหวัด และจะระดมทุนเพื่อจัดเวทีถอดบทเรียนประสบการณ์ เพื่อใช้ในการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนผลิตเอกสารคู่มือติดตามคนหาย สำหรับการแจกจ่ายไปยังหน่วยงานที่รับบทบาทการรับแจ้งคนหายต่อทั่วประเทศ

วันนี้แม้จะมีการปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงาน แต่ปณิธานที่มุ่งมั่นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดการปัญหาคนหายในประเทศไทยยังคงก้าวต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สังคมจะเข้าใจ และยังคงให้การสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของมูลนิธิกระจกเงา ตลอดจนการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันภารกิจจัดการปัญหาคนหาย ให้เกิดกลไกที่มีประสิทธิภาพ และเป็นมาตรฐานเพื่อพาคนหายทุกคน กลับบ้านอย่างปลอดภัยต่อไป

 

หมายเหตุ: มูลนิธิกระจกเงาจะมีการแถลงข่าวปิดศูนย์ข้อมูลคนหาย ในวันพุธที่ 16 มีนาคมนี้ เวลา 11.00 น. ณ มูลนิธิกระจกเงา สำนักงานกรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-9414194-5 ต่อ 104, 086 794 8670

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“อังคณา” ร่วมเวที UNHRC ร้องความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ยุติการควบคุมตัวตามอำเภอใจ

Posted: 14 Mar 2011 12:39 PM PDT

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2554 นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ (Justice for Peace Foudation) ในนามคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists - ICJ) ได้แถลงด้วยวาจา ระหว่างการเสนอรายงานร่วมของคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ (Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance) และคณะทางานด้านการควบคุมตัวตามอำเภอใจ (Working Group on Arbitrary Detention) ขององค์การสหประชาชาติ ในที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Human Rights Council - UNHRC) นครเจนีวา (Human Rights Council) เรียกร้องให้คณะทำงานฯ ร่วมมือกับรัฐบาลไทย ยุติการควบคุมตัวตามอำเภอใจ และให้ความกระจ่างถึงชะตากรรมของบรรดาผู้ถูกบังคับให้สูญหาย โดยให้รัฐบาลไทยตอบรับการมาเยือนอย่างเป็นทางการของคณะทำงานของสหประชาชาติ

ทั้งนี้ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในการประชุมครั้งที่ 10 ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลได้แสดงความยินดีต่อรัฐบาลไทย ในการให้การรับรองว่า ผู้กระทำผิดในการทำให้นายสมชายสูญหายจะต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม จนปัจจุบันยังไม่มีมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม ที่จะหาตัวผู้รับผิดชอบต่อการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร ในขณะที่ครอบครัวยังต้องเผชิญกับการข่มขู่ คุกคาม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่จะมีการอ่านคำพิพากษา

นางอังคณา ยังกล่าวถึงกรณีผู้สูญหายอื่นๆ ในประเทศไทย ว่า คณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ ของสหประชาชาติ ได้รับกรณีผู้สูญหาย 57 กรณี และได้ส่งคำถามถึงรัฐบาลไทย พบว่า มี 54 กรณี ของผู้สูญหาย รวมถึงคดีนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย

นอกจากนี้ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ยังได้แสดงความกังวลเรื่องการควบคุมตัวประชาชนตามอำเภอใจ ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในประเทศไทย โดยกล่าวว่า พระราชกำหนดฯ ฉบับนี้ ได้กัดกร่อนหลักนิติธรรม และหลักกฎหมายของประเทศไทย รวมถึงยังเป็นการส่งสัญญาณการขยายขอบเขตอำนาจในการจับกุม และควบคุมตัวประชาชน โดยอนุญาตให้สามารถควบคุมตัวบุคคลได้ตามอำเภอใจ ซึ่งขัดแย้งกับ มาตรา 9 ของกติกาสากลระหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

ทั้งนี้ ดร.เจรามี ซาร์กิน ประธานคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ ของสหประชาชาติ ยังได้แถลงเรียกร้องให้รัฐต่างๆ พัฒนาให้มีกฎหมายภายในรัฐต่างๆ กำหนดให้การบังคับสูญหายเป็นอาชญากรรม รวมทั้งการรับรองสิทธิของเหยื่อและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นสิทธิที่จะทราบความจริง สิทธิในความยุติธรรม และสิทธิที่จะได้รับการเยียวยา

ในขณะที่ ประธานคณะทำงานด้านการควบคุมตัวตามอำเภอใจของสหประชาชาติ ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลไทย ตอบรับการมาเยือนอย่างเป็นทางการของคณะทำงานฯ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์การควบคุมตัวบุคคลโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย และกติกาสากลระหว่างประเทศ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ที่ปรึกษา รมว. ICT ระบุ “จุติ” พร้อมรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

Posted: 14 Mar 2011 12:09 PM PDT

เผย รมว.ไอซีที ท้า “กลัวจะไม่ถูกอภิปรายบางประเด็นที่โฆษณาไว้” พร้อมโชว์ความสำเร็จ e-Government และ e-Commerce โครงการติวออนไลน์ และ e-Health ที่มีอนามัยกว่า 15,000 แห่งรอเข้าระบบ 

 
วานนี้ (14 มี.ค.54) blognone.com เผยแพร่แถลงการณ์ “ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ โดย มัลลิกา บุญมีตระกูล ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” โดยระบุว่าเป็นแถลงการณ์ที่นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูลที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่ส่งถึงนักข่าวหลายสำนัก โดยแถลงการณ์ดังกล่าวถึงการทำงานของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)  ที่ต้องมีการวางแผนแนวทางการพัฒนาให้เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมที่ทัดเทียมนานาประเทศ
 
นอกจากนั้นยังมีการยกตัวอย่างผลงานของกระทรวงไอซีทีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน รวมถึงการพร้อมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจพร้อมยื่นถอดถอน นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีทีด้วย
 
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุเนื้อหา ดังนี้ ข้อเท็จจริงหนึ่งในประเทศนี้คือถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะได้ใช้เทคโนโลยี 3G และถึงเวลาแล้วไหมที่องค์กรรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมประเทศนี้จะไม่ใช่แค่เสือนอนกิน แล้วถ้าคุณเป็นผู้บริหารองค์กรด้านนี้ของประเทศนี้จะมีวิธีรับมือกับโลกแห่งการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอย่างไร ถึงเวลาแล้วไหมที่คุณต้องปรับตัวและนี่น่าจะเป็นที่มาของการจัดการเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการเปลี่ยนโครงข่ายจาก CDMA เป็น HSPA วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียศึกษาและคิดหาทางรอดของ กสท องค์กรที่สร้างรายได้ให้แก่รัฐมหาศาลเมื่อเวลาผ่านและโลกปัจจุบันและอนาคตมีเทคโนโลยีมากำหนดให้เดินเพื่อการแข่งขัน แล้วจะชนะเขาได้อย่างไร แล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร แล้วจะเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมที่ทัดเทียมนานาประเทศได้อย่างไร ดังนั้นการต้องหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กสท น่าจะเป็นทางรอดที่หนึ่ง หรือไม่แล้วทางเลือกอื่นๆ จะต้องตามมา
 
นโยบายรัฐที่ผ่านมาทำให้รัฐวิสากิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไม่เติบโต ถ้าหันไปรอบตัวจะเห็นว่าเพื่อนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นลาวเทเลคอมของประเทศลาว มาเลเซียเทเลคอมของประเทมาเลเซีย สิงเทล ของประเทศสิงคโปร์ ไชน่ามายของประเทศจีน เอ็นทีทีของประเทศญี่ปุ่น เอสเคเทเลคอมของประเทศเกาหลี หรือฟรานซ์เทเลคอมของประเทศฝรั่งเศส ประเทศต่างๆ ล้วนกำหนดทิศทางเดินให้กับการสื่อสารด้านโทรคมนาคมประเทศตัวเอง ประเทศต่างๆ นั้นองค์กรรัฐวิสาหกิจด้านนี้ยิ่งใหญ่มีศักดิ์ศรี แต่บ้านเรานั้นบริษัทเอกชนด้านโทรคมนาคมกลายเป็นผู้มีอิทธิพลชี้นำทิศทางมาจนเคยตัว เพราะก่อนหน้านี้คนประเทศเราอาจตื่นตัวด้านเทคโนโลยีน้อยเกินไปไม่คิดถึงว่าแท้จริงคลื่นที่มีอยู่ในอากาศมันมีมูลค่ามหาศาล รัฐวิสากิจทั้งทีโอทีกับกสท จะทำอะไรต้องขออนุมัติแผนการลงทุน ผ่านความเห็นชอบจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผ่านแผนการกู้เงิน ดังนั้นผู้มีเงินเท่านั้นจึงจะทำธุรกิจด้านนี้ได้
 
ทีโอทีกับกสท สองหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเทศนี้มีใบอนุญาติ 3G ใช้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วซึ่งเป็นครั้งแรกๆ ที่โลกนี้มีเทคโนโลยี 3G แต่ตอนนั้นรัฐบาลกลับไม่ทำ ลองนึกภาพดูว่าถ้าประเทศเรามี 3G ใช้กันตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าทั้งทีโอทีกับกสท ดำเนินการตั้งแต่ยุคนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะประโยชน์ของเทคโนโลยี 3G มันจะสร้างมูลค่ามหาศาลต่อวงการการศึกษา สาธารณสุข สังคม เศรษฐกิจ วันนี้ทุกคนมาลงที่รัฐวิสาหกิจหาว่าไปเอื้อเอกชนแต่หารู้ไม่ว่าที่ผ่านมาและแม้บัดนี้เอกชนก็ไม่เคยมองทีโอทีหรือกสท เลย จริงๆ คือเอกชนหวังจะทำเองแต่พอประมูลไม่ได้ก็จะมาใช้รัฐวิสาหกิจนี้เป็นเครื่องมือ
 
เอไอเอสกับทีโอทีเป็นพันธมิตรกัน ทรูกับกสทเป็นพันธมิตรกัน ดีแทคก็มีคลื่นของตัวเองที่พอจะดำเนินกิจการด้วยตัวเองได้ แต่สิ่งที่เอกชนคิดคือทั้งหมดเอาประโยชน์ตัวเองมาก่อนทั้งนั้นนั่นคือที่ผ่านมา จึงมีคดีความทั้งที่มีคำพิพากษาแล้ว คดีที่เรียกเก็บสมบัติชาติคืน การปรับ หรือเรื่องที่ต้องไปตกลงกันที่อนุญาโตตุลาการมากมาย
แต่รัฐบาลนี้ไม่ใช่ รัฐบาลนี้คิดเอาประโยชน์ของประชาชนมาก่อน รัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลแรกที่ก่อตั้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ตั้งมาเพื่อจัดการเรื่องภาษีโทรคมนาคมเมื่อเสร็จกิจแล้วก็ไม่ใยดี ตอนตั้งรัฐมนตรีว่าการคนแรกของกระทรวงไอซีทีนั้น ใหม่ๆก็โม้ว่ากระทรวงนี้จะมี 5 E ประกอบด้วย E-Government, E-Commerce, E-Health, E-Education, E-Logistics, สุดท้ายได้แค่ E-เพิ้ง ทำอะไรก็ไม่ได้
 
ประชาธิปัตย์มาดูแลกระทรวงไอซีทีครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์มานั่งเป็นรัฐมนตรีในรอบ 8 ปีที่มีกระทรวงแห่งนี้เป็นรัฐมนตรีคนที่ 8 ท่ามกลางกับดักระเบิดเวลาที่รอวันปะทุมากมาย แต่ 6 เดือนแรกก็ผลักดันนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติสำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านเคเบิลใยแก้ว ระบบไร้สายผ่านดาวเทียม เพิ่มเส้นทางส่งถ่ายข้อมูลผ่านเคเบิลใต้น้ำเพื่อรองรับข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตที่นับวันจะมากขึ้น และลดความเสี่ยงของภัยธรรมชาติ เช่นแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น ปราบเว็บไซต์ผิดกฎหมายก็ปราบอย่างจริงจังผลงาน 25 เท่าขอรัฐบาลพลังประชาชน
 
รัฐมนตรีไอซีทีคนแรกที่นายกรัฐมนตรีทักษิณมอบหมายให้มาทำ E-Government, E-Commerce และโม้ไปอีกหลาย E ซึ่ง 8 ปีก็ทำไม่สำเร็จ แต่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์มอบหมายมา 8 เดือน วันนี้ทั้งสอง E ได้ตั้งเป็นองค์การมหาชนเรียบร้อยแล้ว และวันนี้เศรษฐกิจไทยรอวันโตแบบก้าวกระโดด เพราะถ้า E-Government, E-Commerce, E-Logistics ประสบความสำเร็จ การส่งออกซึ่งได้ปีละเป็นล้านล้านบาท การส่งออกจะกระชับ เร็วขึ้น เพราะต้นทุนถูกลง ลดคอขวดกระบวนการส่งออกที่มี แล้วการส่งออกจะดีขึ้นมหาศาล ก็ลองนึกภาพว่าเพราะเทคโนโลยีใช่หรือไม่ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ขายสินค้าออนไลน์ของต่างประเทศแค่ 3 บริษัท คือ อาลีบาบา อีเบย์ และอาเมซอน ก็มีรายรับมากกว่ารายรับภาษีของประเทศไทยเราทั้งปี ยังไม่นับลูกหลานไทยที่สามารถมีครูติวหนังสือผ่านคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตจะสอนกี่ครั้งกดติวกี่ครั้งก็ได้เอาจนเก่ง อนามัยอีกกว่า 15000 แห่งที่รอมาเข้าระบบ E-Health ของรัฐบาลเพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิต โรคภัยอันตรายใดอยู่ที่ไหนก็สามารถรักษากับแพทย์เชี่ยวชาญได้ผ่านระบบเหล่านี้
 
3G คือส่วนหนึ่งของนโยบายบรอดแบนด์จะมารองรับแผนงานแห่งชาติ สร้างโอกาสการพัฒนาประชากรพัฒนาประเทศไทย ลดช่องว่างความเจริญระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบท กระตุ้นเศรษฐกิจหรือ GDP เพิ่มให้ประเทศในอัตรา 1.38% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 1 แสนล้านบาทจากการเพิ่มอัตราการเข้าถึงบรอดแบนด์ต่ออินเทอร์เน็ตในทุก 10% ซึ่งจะมีผลดีในการสร้างงานใหม่ให้คนรุ่นใหม่อย่างมหาศาลแก่ระบบเศรษฐกิจประเทศไทยทุกภาคส่วนและยกระดับความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้สูงขึ้นอย่างยั่งยืน
 
แน่นอนว่าก่อนจะมี 3G ต้องผ่านเส้นกติกาแห่งความถูกต้องเสียก่อน ความถูกต้องแห่งกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ความถูกต้องและโปร่งใสในแผนงานธุรกิจ ลดความเสี่ยง หยุดความเสียหาย ประโยชน์ต่อประชาชนทั่วประเทศ การทำให้องค์กรรัฐวิสาหกิจไม่เสียเปรียบดังเช่นที่เคยผ่านมาและพนักงานขององค์กรสามหมื่นกว่าครอบครัวก็อยู่รอดด้วย ทั้งหมดมีคำตอบพร้อมองค์ประกอบแห่งความถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม ตามกติกาที่ประเทศนี้สังคมนี้กำหนดไว้ เราจะไม่เดินมาไกลเพื่อมาทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทุกกติกามีไว้เพื่อใช้กับรัฐมนตรีทุกพรรคทุกรัฐบาลแบบเดียวกัน
 
และ 15-18 มีนาคม 2554 รัฐมนตรีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายจุติ ไกรฤกษ์ ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจพร้อมถูกยื่นถอดถอน ถ้าถามรัฐมนตรีว่ากลัวไหมเหตุผลข้างต้นคงประเมินได้ว่าควรกลัวหรือไม่กลัว ที่สำคัญกว่ากลัวถูกถอดถอนคือ “กลัวจะไม่ถูกอภิปรายบางประเด็นที่โฆษณาไว้เพราะเห็นว่ามีพวกตะโกนดังๆ แล้วได้เปลี่ยนกระเป๋าใบใหม่ ก็อย่าเอาพ่อมาล่อเหยื่อแล้วจากไปเฉยๆ เพราะพ่อจะพูดให้หมดไม่อภิปรายก็ต้องพูดให้ฟังเพราะพาดพิงมาตั้งหลายเดือน”
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“สนธิ” ยก “อภิสิทธิ์” เลวกว่าทุกรัฐบาล ตั้งแต่ประเทศไทยมีมา

Posted: 14 Mar 2011 11:44 AM PDT

อัด ปชป.เหยียบศพประชาชนขึ้นมาเป็นใหญ่ โจมตีเหลือง-แดงป่วนเพราะอยากเป็นพระเอกเอง ลั่นที่ได้นั่งรัฐบาล เป็นเพราะสิ่งที่เสื้อเหลืองเรียกร้อง ย้ำพันธมิตรฯ พร้อมสู้และจะถอยไม่ได้อีกแล้ว

สนธิอัดอภิสิทธิ์เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นนานแล้ว

เมื่อเวลา 21.20 น. วานนี้ (14 มี.ค.) ช่วงหนึ่งของการถ่ายทอดสดการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวปราศรัยเป็นเวลา 18 นาทีเศษ ใจความว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนั้น เป็นคนที่ตอแหล และเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นมานานแล้ว โดยได้ไล่เรียงเหตุการณ์ให้เห็นว่า เมื่อ 14 ปีก่อน วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 นายอภิสิทธิ์ในฐานะโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ด่ารัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ว่าการกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ถือเป็นความล้มเหลว เงื่อนไขการกู้จะผลักภาระให้ประชาชน เช่น รัฐวิสาหกิจจะขึ้นค่าบริการ เพราะฉะนั้นจึงถือว่ารัฐบาลทำไม่ถูก แต่หลังจากนั้น 4 เดือน นายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกฯ นายอภิสิทธิ์ได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายอภิสิทธิ์กลับบอกว่า จะบอกว่าไอเอ็มเอฟเป็นความล้มเหลวเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ไทยมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าโครงการ และหาวิธีเสริมทุนสำรอง นโยบายต่างๆ ก็มีการปรับตามสถานการณ์ เพราะฉะนั้นไอเอ็มเอฟก็มีความจำเป็นสำหรับประเทศไทย
 
นายสนธิ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ยังได้พูดประชดประชันนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นนอมินี ซึ่งถ้าเขาจะขึ้นเป็นนายกฯ เขาจะต่อสู้ด้วยตนเองไม่เป็นนอมินีหุ่นเชิดให้ใคร อยากถามว่า นายอภิสิทธิ์พูดตอนนั้นได้ขออนุญาตนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายเนวิน ชิดชอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือยัง และในวันที่ 16 ม.ค.2546 นายอภิสิทธิ์ก็เคยให้สัมภาษณ์ยูบีซีว่า “ผมพร้อมที่จะทำงานให้พรรคแต่เขาจะออกจากพรรคเมื่อประชาธิปัตย์ละทิ้งอุดมการณ์ ไม่ทำตามแนวทางที่ประกาศไว้ และวันที่ผมไม่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ คือวันที่ผมไม่อยู่ในระบบพรรคการเมืองแล้ว ... ถุย”
 
นายสนธิ กล่าวอีกว่า วันที่ 24 มิถุนายน 2551 นายอภิสิทธิ์ ได้วิพากษ์วิจารณ์นายสมัครไว้ 9 ข้อ วันนี้กรรมตามสนอง เพราะทั้ง 9 ข้อที่ด่านายสมัคร เป็น 9 ข้อที่ตัวเองทำเรื่อง เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟังเป็นข้อๆ
 
นายสนธิกล่าวด้วยว่า “เวทีมีแต่ความจริง เวทีนี้ไม่โกหกตอแหลหลอกลวง เวทีนี้พูดวันนี้กับพูดปีข้างหน้า ไม่มีผิดแผกไปเลย เราพูดได้ตลอดเวลา เรายืนยันได้ตลอดเวลา”
 
 
อัด ปชป. เหยียบศพประชาชนขึ้นมาเป็นใหญ่ บอกเหลืองแดงป่วนเพราะอยากเป็นพระเอกเอง
 
นายสนธิกล่าวต่อไปว่า วันนี้ เอแบคโพล ออกโพลมาอันหนึ่งน่าสนใจมาก วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ อาจจะขี้ไม่ออก เพราะเอแบคโพล แต่ไม่แน่เพราะคนพรรคนี้เดี๋ยวนี้ขี้ไม่ต้องเบ่งก็ออกแล้ว พี่น้องครับ เอแบคโพลน่าสนใจ เขาถามบอกว่า เลือกตั้งงวดหน้าจะเลือกใคร 58% บอกไม่เลือกพรรคการเมืองใดเลย แล้วพรรคประชาธิปัตย์ล่ะ ทำโพลทุกครั้งต้อง 40% วันนี้เหลือ 17% พี่น้อง จากที่เคยได้ร้อยละ 40 กว่า ผมไม่อยากใช้คำว่า “สมน้ำหน้า” เพราะยังน้อยไปกับการกระทำ ผมว่าพอใกล้เลือกตั้งจะลดเหลือแค่ 10% ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณเท่านั้นเลย ใช่ไม่ใช่
 
“เหยียบศพประชาชนขึ้นไปเป็นใหญ่ ขึ้นไปเป็นใหญ่แล้วถุยน้ำลาย แล้วเยี่ยวรดศพประชาชน ดูถูกพี่น้องประชาชน ขึ้นมาปั๊บก็บอกว่าเสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นตัวป่วนเมือง อยากจะเป็นพระเอกใช่ไม่ใช่พี่น้อง ใครเป็นตัวป่วนเมืองไม่สำคัญ เท่ากับว่า เขา แต่ละฝ่ายมาต่อสู้ เรียกร้อง เพื่ออะไร
 
 
ปชป.ได้นั่งรัฐบาล เป็นเพราะสิ่งที่เสื้อเหลืองเรียกร้อง อัดเลวกว่าทุกรัฐบาล
 
เสื้อเหลือง เขาเรียกร้อง เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องหลักการ ที่สุด ไอ้ที่พวกมึงได้เป็นรัฐบาล ก็เพราะสิ่งที่เสื้อเหลืองเขาเรียกร้องกัน หลักนิติรัฐต้องเป็นหลักนิติรัฐ ผมไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่ดันทะลึ่งออกหนังสือสำนักนายกฯ ไปเรียกอัยการ เรียกดีเอสไอ มาประชุม เพื่อที่จะกลับมติ ยกเลิก ภาษีฟิลิป มอริสฯ 68,000 ล้าน ไหนมึงบอกไม่แทรกแซงไงล่ะ
 
ไม่แทรกแซง เคยมีไหมในประวัติศาสตร์ไทย ที่มีมติ ครม. เสนอให้ศาล ประกันตัวพวกเสื้อแดง ก็ฝีมือมันอีกพี่น้อง ฝีมือมันทั้งนั้น ประกันตัวเรียงหน้ากันเข้ามา บางคนไม่ต้องเสียเงินประกันแม้แต่บาทเดียว ก็ปล่อยตัวไป นี่คือฝีมืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาวันนี้ ทำร้ายทำลายประชาชน จนกระทั่งวันนี้ ประชาชนที่ตัวเองคิดว่าจะลงเสียงให้ตัวเองเหลือเพียง 17% ไอ้ 17% ก็คือไอ้พวกโง่ๆ ทั้งหลาย จนวันนี้ยังดูไม่ออก ว่ารัฐบาลชุดอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั้น เลวกว่าทุกๆ รัฐบาล ตั้งแต่ประเทศไทยมีมา นอกจากขายชาติแล้ว ยังโกงชาติด้วยใช่ไม่พี่น้อง นี่มันทั้งขายทั้งโกงเลย หาได้ที่ไหน”
 
นายสนธิ กล่าวอีกว่า วันนี้เมื่อบ่ายสามโมงเย็นผมขึ้นเวที ผมพูดอยู่คำหนึ่ง และหมายความเช่นนี้ วันนี้ เราถอยไม่ได้อีกแล้ว ใช่ไม่ใช่ จะมีกี่กองร้อย กี่กองพัน มาเถอะ มาให้หมด โดยเฉพาะไอ้พวกขายชาติทั้งหลาย ไอ้พวกนายพลกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่คอยรับใช้สุเทพ เทือกสุบรรณ เวลามาสลาย มาด้วยนะ อย่าหายไป
 
ในวันพรุ่งนี้ จะมาฉีกเป็นข้อๆ ให้เห็นว่าเป็นเวรกรรมของชาติบ้านเมืองที่มีนายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์ ตนไปดูข้อมูลเก่าๆ เพิ่งนึกได้ว่า นายอภิสิทธิ์นั้นไม่ใช่เพิ่งจะเป็นแบบนี้ แต่เป็นมา 10 กว่าปีแล้ว เป็นคนกะล่อนตอแหลมาตลอด เพียงแต่เรามองไม่เห็น มามองเห็นตอนเขามีอำนาจ เมื่อมีอำนาจแล้ว ความที่อยากมีอำนาจ เขาต้องโกหกตอแหลทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นนายกฯ อยู่ต่อไปได้
 
 
ท้าอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่ง พร้อม “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์”
 
นายสนธิได้ท้าว่า หากนายอภิสิทธิ์แน่จริงและยังมีความเป็นลูกผู้ชายเหลืออยู่บ้างให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ พร้อมกับนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่จะลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.พร้อมกัน อย่าใช้กติกาพรรคมาบีบนายสมเกียรติ เพราะเป็นกติกาพรรคที่ขายชาติ ทำให้เราเสียแผ่นดิน เราเคยมีคนโกงชาติ วันนี้มีทั้งโกงชาติและขายชาติ พรรคนี้เรื่องเลวเล็กๆ ไม่ทำ แต่จะทำเรื่องเลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เริ่มมาตั้งแต่ทำให้เสียปราสาทพระวิหาร ขโมยแผ่นดินของคนไทย เอาที่ดิน สปก.ไปให้เศรษฐีภูเก็ต ยกให้เขา ร่างกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ยกทรัพย์สินสมบัติของคนไทยที่ยึดมาเลหลังให้ฝรั่งในราคาถูกแล้วเอามาขายคืนคนไทยในราคาเต็ม 100 % ขายแผ่นดินให้เขมร ช่วยฝรั่งโกงภาษีอีก 6.8 หมื่นล้าน โกงเรื่องน้ำมันปาล์มทำให้คนไทยเดือดร้อนซื้อน้ำมันปาล์มในราคาแพง 7 ข้อเป็นเรื่องร้ายกาจ สมัยโบราณอย่าว่าแต่ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรเลย เขาตัดทั้งตระกูล ตลอดไป ชั่วนิรันดร
 
นายสนธิอ้างว่า ที่คะแนนนิยมพรรคประชาธิปัตย์เหลือร้อยละ 17 เป็นเพราะพวกเราและเอเอสทีวีเปิดโปงข้อมูลทุกวัน รัฐบาลจึงให้เราอยู่ไมได้ ทั้งที่เราแค่บอกว่าให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 แล้วจะสลายการชุมนุมทันที แต่เขาไม่ยอมทำให้ เพราะกำลังอยู่ในกระบวนการขายชาติขายแผ่นดิน เห็นสันดานนักการเมืองหรือยัง วันนี้ พรรคชาติไทยพัฒนา นายเนวิน ชิดชอบ พรรคเพื่อแผ่นดินจับมือกันบอกว่าพร้อมที่จะปรองดอง อยากให้นายอภิสิทธิ์ ที่เคยไปกอดเอวนายเนวินได้ดู วันนี้มันพิสูจน์ชัดว่ามันผิดมาตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ขึ้นมามีอำนาจแล้วแทนที่ จะยืนอยู่บนความถูกต้อง ยืนอยู่ข้างประชาชนที่ต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง แต่กลับเอาการเมืองมาเล่น ต้องการเป็นพระเอกทางการเมือง ต้องการอยากได้ภาพว่าเป็นคนรักสงบ เป็นคนจัดการกับทั้งสองฝ่าย แต่ไม่ดูว่าทั้ง 2 ฝ่ายยืนอยู่บนหลักการอะไร อีกฝ่ายต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเอาทักษิณกลับมา อีกฝ่ายไม่ให้แก้เพื่อรักษาความถูกต้อง แล้วฝ่ายนี้ก็ออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินในขณะนี้ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่กับพวกโกงชาติบ้านเมือง เราจึงพร้อมที่จะสู้และจะถอยไม่ได้อีกแล้ว
 
 
หมายเหตุ: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ และ Manager Radio
ฟังคลิปเสียงการปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อคืนวันที่ 14 มีนาคม 2554 ได้ที่นี่
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“อภิสิทธิ์” ชี้ประชาชนจะได้ประโยชน์จากอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่อยู่ที่ “ฝ่ายค้าน”

Posted: 14 Mar 2011 07:55 AM PDT

“อภิสิทธิ์”พร้อมแจงกรณี “ฟิลลิป มอร์ริสฯ” ลั่นจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหา ส่วนเรื่องฝ่ายค้านขอเปิดคลิปอภิปรายเป็นเรื่องของ “ชัย ชิดชอบ” ด้าน “สปริงนิวส์” โละปรับผังใหม่รับ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ”

 
อภิสิทธิ์ให้ “ชัย” ตัดสินเรื่องฝ่ายค้านขอเปิดคลิป
 
ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล รายงานวันนี้ (14 มี.ค.54) ว่า เมื่อเวลา 15.45 น. ณ ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมกรรมการบริหาร และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ถึงการเตรียมความพร้อมของคณะรัฐมนตรีในการซักซ้อมการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มี.ค.นี้ ว่า มีแต่ซักซ้อมขอให้ทุกคนพร้อมที่จะชี้แจง รวมไปถึงรัฐมนตรีที่ไม่ได้อยู่ในญัตติที่อาจจะพาดพิงก็ควรจะเตรียมความพร้อมด้วย ส่วนประชาชนจะได้ประโยชน์จากการอภิปรายหรือไม่ก็อยู่ที่การอภิปรายของฝ่ายค้าน ทั้งนี้ หลายเรื่องที่หยิบขึ้นมาน่าเสียดายที่เป็นเรื่องที่มุ่งไปเรื่องอื่นๆ มากกว่าปัญหาของประชาชนจริงๆ
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นการเอื้อประโยชน์ทางด้านภาษีให้กับบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยระบุว่าจะเป็นหมัดล็อกรัฐบาลนายกรัฐมนตรีมีความเห็นอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีปัญหาหรอก ก็เสนอข้อมูลมา ตนก็พร้อมที่จะชี้แจงอยู่แล้ว "มันไม่มีอะไรหรอกครับสิ่งที่กล่าวหาในคำถอดถอนไม่ใช่ความเป็นจริง และเรื่องนี้ทั้งหมดมีความเข้าใจสับสนกันเยอะมาก ซึ่งเข้าผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ชี้แจงทั้งหมด ส่วนที่พาดพิงคนที่แวดล้อมผมก็ธรรมดาครับ ก็ดูจากตัวญัตติและการเลือกการถอดถอนก็พยายามจะพยายามมุ่งเรื่องการเมืองมากกว่าที่จะยึดข้อเท็จจริง"
 
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดูแลไม่ให้ขยายผลสร้างความแตกแยกในสังคมได้อย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นี่ก็เป็นเรื่องซึ่งตนหวังว่า ส.ส.ทุกคนจะมีความรับผิดชอบ ถ้าเราเล่นการเมืองถึงขั้นที่ว่าทำอะไรก็ได้จนกระทั่งบ้านเมืองวุ่นวาย มีความแตกแยกก็คงไม่ค่อยเหมาะสมและประชาชนก็จะได้เห็นว่าแต่ละพรรคการเมืองมีบทบาทอย่างไร ตนก็ยังยืนยันว่าจะทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาและเดินหน้าในการแก้ปัญหา
 
ผู้สื่อถามว่ามีความเห็นอย่างไรกับการที่ฝ่ายค้านขอเปิดคลิปในการอภิปราย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อยู่ที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา เพราะว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อบังคับ การนำเอาเอกสารและสื่ออะไรมานำเสนอประธานสภาจะเป็นผู้อนุญาต ดังนั้นจึงเป็นดุลพินิจของประธานสภา ซึ่งตนเข้าใจว่าประธานสภาก็ต้องการให้มีคนไปช่วยกลั่นกรอง ส่วนรูปแบบวิธีการก็เป็นเรื่องของประธานสภาที่จะกำหนด
 
 
สปริงนิวส์ล้มผังเก่าจัดผังใหม่ เกาะติดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
 
นอกจากนี้ มีรายงานจากสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ว่า นายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สปริง คอร์เปอเรชั่น จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์สถานีข่าว 24 ชม.ได้เปิดเผยว่าสปริงนิวส์ได้ล้มผังรายการเดิม และจัดรายการพิเศษ “ไม่ไว้วางใจ 54 ศึกสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง” เกาะติดการอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคมนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ความรู้ทางการเมืองมากยิ่งขึ้นและเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ เติมเต็มความเข้มข้นด้วยการเชิญอดีตนักการเมือง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญร่วมเกาะติดสถานการณ์ร่วมเปิดมุมมองวาทะติดขอบรัฐสภาพร้อมกราฟฟิกสนับสนุนจัดเต็มตลอด 3 วัน
 

“นอกจากเทคโนโลยี 3G และ Wimax เทคโนโลยีไร้สายความเร็วสูง ที่สปริงนิวส์ยึดเป็นหลักในการนำเสนออยู่แล้ว เราได้เพิ่มความเข้มข้นด้วยการเชิญกูรูการเมืองและเศรษฐกิจ ด้านต่างๆ มาร่วมบรรยายปรากฏต่างๆที่เกิดขึ้นในสภาฯ โดยมีรูปแบบคล้ายกับการถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬานัดสำคัญ ซึ่งถือเป็นรูปแบบใหม่ของการนำเสนอที่แตกต่างกว่าทุกครั้ง” นายฉัตรชัยกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“หมอประเวศ” ปลุกประชาชนติดอาวุธทางปัญญา ชี้ “ผู้บริโภค” ถูกทำร้ายจากทุกทิศทาง

Posted: 14 Mar 2011 07:29 AM PDT

“หมอประเวศ” ชี้การทำร้ายผู้บริโภคเป็นการผิดศีลธรรม ระบบทุนนิยมทำให้เกิดภัยพิบัติทั่วโลก ส่วนนักการเมืองทำเรื่องดีๆ ไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาชนขับเคลื่อน แนะสร้างกลไกคุ้มครองผู้บริโภคจากสังคมแสวงหากำไร

วันนี้ (14 มี.ค.54) ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “สานพลัง สามพลัง เพื่อผู้บริโภคไทย” จัดการประชุมวิชาการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2 เนื่องในโอกาสวันสิทธิผู้บริโภคสากลว่า การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นศีลธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน การทำร้ายผู้บริโภคเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม แต่พบว่า สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแสวงหากำไร ผู้บริโภคในปัจจุบันถูกทำร้ายจากทุกทิศทาง ทั้งในด้านอาหาร ยา สินค้าบริการ และสภาพสิ่งแวดล้อม ประชาชนได้รับผลกระทบทางลบและไม่มีความปลอดภัยมากมายจากสินค้าด้อยคุณภาพ อันตราย คิดราคาแพงเกินไป มีการใช้ยาฆ่าแมลง แร่ใยหิน สารหนู สารแคดเมี่ยม และสารตะกั่ว

ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวด้วยว่า แผ่นดินของเราเป็นแผ่นดินอาบยาพิษ ใช้ยา และสารพิษมากมาย ชีวิตของผู้บริโภคล้วนอยู่ล้อมรอบพิษภัยต่างๆ ที่สำคัญ การโฆษณาทำให้เกิดความเสื่อม ขาดการวิเคราะห์ ผู้ประกอบการแสวงหากำไรสูงสุด ไม่สนใจศีลธรรมเช่น การโฆษณาให้เด็กกินหวาน ดึงเงินไปจากพ่อแม่เด็ก 170,000 ล้าน บาท แต่ทิ้งปัญญาสุขภาพไว้กับเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติมากมาย ทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อมาว่า ระบบทุนนิยมก่อให้เกิดหายนะกระทบผู้บริโภคทั้งทางตรงและทางอ้อม นำไปสู่ความรุนแรง ความขัดแย้ง ความตาย ก่อความทุกข์ไปทั่วโลก ทำลายสังคม สิ่งแวดล้อม นำไปสู่โลกร้อน ผ่านการส่งเสริมการบริโภคเกินเลย เกิดภัยพิบัติไปทั่วโลก เช่น พายุ น้ำท่วมฉับพลัน ภาวะแห้งแล้ง ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดจะเกิดมากขึ้น นำไปสู่การขาดแคลนอาหาร เพราะพื้นที่การผลิตมีน้อยลง เกิดโรคระบาด การจลาจลและสงคราม ดังนั้น ประชาชนต้องขับเคลื่อนด้วยการติดอาวุธทางปัญญาจากภาควิชาการ ผลักดันให้นักการเมืองทำงานเพื่อประชาชน

ชี้นักการเมืองทำเรื่องดีๆ ไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาชนขับเคลื่อน

“เพราะนักการเมืองจะทำเรื่องดีๆ ไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาชนคอยขับเคลื่อน เพราะโดยปกติ อำนาจรัฐจะเข้าข้างคนมีเงิน ไม่เคยเข้าข้างคนที่เสียเปรียบ อย่างเรื่องร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งควรมีกองทุนเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคขนาดใหญ่พอที่จะส่งเสริมการทำระบบคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เท่าที่ทราบมาก็ถูกตัดงบประมาณ”

“นักการเมืองเป็นผู้แทนราษฎร ราษฎรเลือกเข้าไปให้ไปทำงาน แต่เข้าไปหาประโยชน์เป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน แต่พอเป็นเงินคุ้มครองผู้บริโภคของบประมาณไม่น้อยกว่า 5 บาทต่อหัวประชากร ก็จะมาขอตัดเหลือ 3 บาทต่อหัวประชากร ทั้งที่ต้องทำงานจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน นี่ก็จะมาตัดเขา ฉะนั้น ลำพังการเมืองนั้นไม่เคยทำสิ่งที่ดีๆได้ จำเป็นต้องอาศัยพลังประชาชนที่ตื่นตัวและติดอาวุธด้วยปัญญาและใช้สันติวิธีรุกคืบเข้าไป ผมเชื่อว่า อำนาจจะเคลื่อนที่จากพลานุภาพ ซึ่งคืออำนาจรัฐ-การใช้กำลัง ไปสู่ธนานุภาพซึ่งหมายถึงอำนาจทางการเงิน ไปสู่สังคมานุภาพ คือพลังทางสังคมในที่สุด”

แนะสร้างกลไกคุ้มครองผู้บริโภคจากสังคมแสวงหากำไร

ศ.นพ.ประเวศกล่าวว่า การจะสร้างกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคจากสังคมแห่งการแสวงหากำไร เปลี่ยนเป็นสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน ต้องเร่งสร้าง “พลังทางปัญญา พลังทางสังคม และพลังศีลธรรม” รวมเป็นพลังในการขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภคได้ดังนี้ 1.สร้างชุมชนเข้มแข็งทุกๆ ด้าน เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน 2.ระบบสุขภาพชุมชน ที่จะดูแลคนในชุมชน เช่น อสม. หมออนามัย เป็นต้น เผยแพร่ให้ความรู้การจัดอบรมนักสุขภาพครอบครัวที่คอยให้ข้อมูลการบริโภคที่ ปลอดภัย 
 
3.สร้างตลาดขายตรงให้มากที่สุด ไม่ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อส่งเสริมการบริโภคเกินเลย มีตลาดขายตรงผู้บริโภคซื้อจากผู้ขายโดยตรง รับผิดชอบ มีความเอื้ออาทรต่อกัน ผลิตสินค้าปลดสารพิษ เพื่อสุขภาพของผู้บริโภค ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่รวมตัวจัดตั้งบริษัทที่ทำเพื่อสังคม เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค พลังแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืนอยู่ที่พลังของผู้บริโภค 4.คนถูกยัดเยียดให้ข้อมูลข่าวสาร ควรส่งเสริมหลักสูตรวิเคราะห์ข่าวสารการโฆษณา คุ้มครองผู้บริโภคในทุกชั้นเรียน ควรมีความสามารถว่าข่าวสารอะไรเชื่อถือได้หรือไม่ ฝึกวิจารณญาณไม่ให้ถูกล้างสมอง ควรส่งเสริมให้เรียนรู้จากปฏิบัติจริง
 
5.สื่อสร้างสรรค์ คณะ นิเทศ/วารสาร ควรรวมตัวกันทำระบบเฝ้าระวังสื่อ เป็นการโน้มน้าวให้สื่อเป็นสื่อสร้างสรรค์มากขึ้น มิฉะนั้นคนที่จบสาขาเหล่านี้ก็จะเข้าสู่วงจรปลุกระดมให้บริโภคที่ไม่สมควร องค์กรอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคควรส่งเสริมระบบเฝ้าระวังสื่อ 6.การวิจัยเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เป็นกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภค 7.เวทีพัฒนานโยบายเพื่อผู้บริโภค ภาครัฐส่วนใหญ่ไม่เข้าข้างผู้เสียเปรียบ จำเป็นต้องใช้ 3 พลังคือ พลังภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมมาเชื่อมโยงและมีเวทีในการพัฒนาเพื่อผู้บริโภค 8.ส่งเสริมธุรกิจไทยหัวใจมนุษย์ ที่มีความรับผิดชอบ ปฏิรูปความเป็นมนุษย์ ไม่ได้มุ่งแสวงผลกำไรเพียงอย่างเดียว และ 9.กองทุนเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค พลังที่จะขับเคลื่อน ควรมีกองทุนขนาดใหญ่ที่ส่งเสริมการทำระบบคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
 
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย รวม 11 องค์กร จัดการประชุมวิชาการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2 เนื่องในโอกาสวันสิทธิผู้บริโภคสากล วันที่ 15 มีนาคมของทุกปี (World Consumer Right Day) ในหัวข้อ “สานพลัง สามพลัง เพื่อผู้บริโภค” ระหว่างวันที่ 14-15 มี.ค.54 ซึ่งได้รับร่วมมือ 3 พลังหลัก อันประกอบด้วย ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ระดมเครือข่ายกว่า 800 คน ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนา วิชาการด้านการคุ้มครองผู้บริโภค นำไปสู่จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและร่วมกำหนดทิศทางในการพัฒนางานคุ้มครองผู้ บริโภคทั้งในระดับพื้นที่ และระดับประเทศไทย
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กสม.แสดงความยินดี นร.เตรียมอุดมฯ สอบผ่านแพทย์พระมงกุฎฯ

Posted: 14 Mar 2011 06:57 AM PDT

กรรมการสิทธิฯ เผย นร.เตรียมอุดมศึกษา สอบผ่านเข้าแพทย์พระมงกุฎฯ หลัง กสม.ยื่นศาลปกครองให้ กสทพ.ตรวจข้อสอบวิชาภาษาไทย-สังคมศึกษา ยันติดตามคดีต่อไป

 
สืบเนื่องจาก กรณีนายภาณน ศรีธเนศกุล นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่เข้าสอบกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ประจำปีการศึกษา 2554 และถูกตัดสิทธิ์ไม่ประกาศผลคะแนนวิชาภาษาไทยและสังคม โดย กสพท.ให้เหตุว่า นายภาณนทำผิดข้อปฏิบัติสอบนำโทรศัพท์มือถือไปที่สนามสอบ และไม่ได้ปิดมือถือ ทำให้เกิดเสียงนาฬิกาปลุกดังรบกวนผู้อื่น จึงหมดโอกาสสอบติดคณะแพทย์ รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ
 
วันนี้ (14 มี.ค.54) นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงความคืบหน้ากรณีนายภาณน ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เรื่อง กสพท.ตัดสิทธิไม่ประกาศผลสอบในวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาโดยไม่เป็นธรรม ซึ่ง กสม.เห็นว่ามีมูลเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และได้มอบหมายให้สำนักงาน กสม.ช่วยเหลือจัดทำคำฟ้องและคำขอคุ้มครองชั่วคราวให้บิดาของผู้ร้องยื่นต่อศาลปกครองกลาง จนกระทั่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ให้ กสพท.ตรวจคะแนนวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาให้แก่ผู้ร้องและนำไปรวมคะแนนกับวิชาอื่นเพื่อพิจารณาคัดเลือกเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตต่อไปนั้น
 
ล่าสุด กสพท.ได้มีประกาศ ลงวันที่ 14 มี.ค.54 เรื่อง ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์ ตรวจร่างกายเพื่อเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต รอบที่ 2 ปีการศึกษา 2554 โดยปรากฏว่าหลังจากที่ได้รับการรวมคะแนนสอบวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาเข้ากับวิชาอื่นแล้ว นายภาณน ศรีธเนศสกุล สามารถสอบผ่านเป็นผู้มีสิทธิเข้าสอบสัมภาษณ์ ตรวจร่างกายเพื่อเข้าศึกษาในวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (ชาย)
 
นายแพทย์ ระบุด้วยว่า สำนักงาน กสม.จึงขอแสดงความยินดีต่อนายภาณน ศรีธเนศสกุล ที่ประสบความสำเร็จสามารถสอบผ่านเข้าสัมภาษณ์เพื่อศึกษาในคณะแพทย์ศาสตร์ได้ตามความมุ่งหมาย และขอชื่นชม กสพท.ที่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในทางคดีศาลปกครองกลางยังคงจะต้องพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ต่อไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสำนักงาน กสม.จะได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายและคดีให้แก่ผู้ร้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อไป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“พล.ร.ท.ประทีป” เรียกร้องให้แม่ทัพภาคที่ 1 มาเข้ากับพันธมิตรฯ

Posted: 14 Mar 2011 12:16 AM PDT

“พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์” เรียกร้องให้แม่ทัพภาคที่ 1 หันมาเข้ากับ “กองทัพประชาชน” เพื่อขจัดนักการเมืองและผู้นำในกองทัพที่ตกเป็นเบี้ยล่างรัฐบาล ลั่นถ้ามีการสลายการชุมนุม นักการเมืองจะถึงจุดจบ

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ (13 มี.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ อดีตผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการลำน้ำโขง ซึ่งรับผิดชอบเป็นพิธีกรในวันนี้ ได้กล่าวบนเวทีเสวนาราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน ว่า วิกฤตบ้านเมืองในวันนี้เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองใช้อำนาจรัฐ จนทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกเบี่ยงเบน นำมาซึ่งการทำลายระบบนิติรัฐจนสูญสิ้น แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังกระโจนหนีหลังจากทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตย ด้วยการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ เท่านั้น
 
พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ อดีตรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก กล่าวว่า นายกฯ และคณะรัฐมนตรีกำลังดิ้นรนครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกศาลสั่งประหารชีวิต ด้วยการหันไปปรองดองกับกลุ่มคนเสื้อแดง ถึงขนาดให้ความช่วยเหลือแกนนำที่เผาบ้านเผาเมืองที่กระทำการอันเป็นกบฏ โดยช่วยเหลือให้ได้รับการประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี ทั้งที่มีอัตราโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต แล้วโยนความผิดให้กองทัพว่าเป็นผู้ยิงชายชุดดำในช่วงสลายการชุม แล้วอย่างนี้กองทัพโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ยังไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือ
 
พล.อ.ปรีชา ได้เรียกร้องให้ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 1 พลิกตัวออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และย้ำว่า บ้านเมืองในขณะนี้ ถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกมากู้ชาติบ้านเมือง และขอให้หันมาร่วมมือกับกองทัพประชาชน เพื่อขจัดนักการเมืองและผู้นำในกองทัพบางคนที่ตกเป็นเบี้ยล่างของรัฐบาล
 
“ขอประกาศว่าผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ กำลังรอการล้อมปราบจากรัฐบาล โดยถามไปยังผู้นำกองทัพ- ตร.และนักการเมืองชั่ว ว่า จะสู้กับกองทัพประชาชนอย่างนั้น วันนี้ประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะขจัดคนชั่วเสียที และอย่าได้กระพริบตา ในวันนี้-พรุ่งนี้ หากนักการเมืองชั่วสลายการชุมนุมเมื่อไหร่ จุดจบมาถึงเมื่อนั้น และขอให้พี่น้องพันธมมิตรฯ ฟังคำสั่งแกนนำอย่างเคร่งครัด เพราะเราจะร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้รับชัยชนะไปด้วยกัน”
 
ด้าน พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า “ในสภาวันนี้มีแต่พวกโจรห้าร้อย พวกสัตว์เลื้อยคลาน หากไม่มีคนดีก็ไม่ต้องเลือก แต่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองนี้ จะคุ้มครอง ทำให้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้” อดีตรอง ผบ.ทอ.กล่าว
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เกิดระเบิดที่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมาอีกรอบ เจ็บ 11 ราย

Posted: 13 Mar 2011 11:17 PM PDT

เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ของบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียวแห่งที่ 1 เมืองฟุกุชิมา เกิดเหตุระเบิด มีผู้บาดเจ็บ 11 ราย ทั้งนี้เป็นเหตุระเบิดรอบ 2 นับตั้งแต่เหตุระเบิดครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

สำนักข่าวเอ็นเอชเคของญี่ปุ่นรายงานว่า เกิดเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้าเมืองฟุกุชิมา แต่ยังไม่มีรายงานว่าห้องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้รับความเสียหายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีประชาชน 11 รายได้รับบาดเจ็บ

โดยสำนักงานด้านความปลอดภัยอุตสาหกรรมและนิวเคลียร์ กระทรวงเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า อุปกรณ์ไฮโดรเยนระเบิดเกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.01 น. วันนี้ (14 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น (09.01 น. ตามเวลาประเทศไทย) ที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ของบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียวแห่งที่ 1 ทั้งนี้ยังไม่มีรายงานปริมาณกัมมันตภาพรังสีในปริมาณผิดปกติออกมาบริเวณโรงไฟฟ้าบริษัทดังกล่าวรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บ 11 ราย

สำนักงานด้านความปลอดภัยอุตสาหกรรมและนิวเคลียร์ แนะนำให้ประชาชนอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าในรัศมี 20 กิโลเมตร และให้รีบหลบอยู่ภายในอาคารบ้านเรือนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้มีประชาชนราว 600 คนอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ เกิดเหตุอุปกรณ์ไฮโดรเจนระเบิดที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 ที่โรงไฟฟ้าแห่งเดียวกันนี้ เมื่อวันเสาร์ (12 มี.ค.) ที่ผ่านมา

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายยูคิโอะ เอนาโนะ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาได้รับรายงานการระเบิดแล้ว และปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหลออกมาในอากาศอยู่ในระดับต่ำ

โดยภาพจากวิดีโอเผยให้เห็นส่วนบนของอาคารที่ห่อหุ้มเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยุบตัวลง เหมือนกับเหตุระเบิดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้เกิดความหวั่นเกรงว่าจะเกิดเหตุระเบิดขึ้น ภายหลังจากที่ระดับน้ำของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 3 ลดระดับลง และปรากฏแท่งเชื้อเพลิงที่บรรจุในแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และเกิดปฏิกิริยาไอน้ำที่ทำให้เกิดปริมาณของไฮโดรเจนจำนวนมหาศาล โดยสำนักงานด้านความปลอดภัยอุตสาหกรรมและนิวเคลียร์ระบุว่าแม้ว่าส่วนบนของอาคารจะถล่มลงมา แต่ไม่มีผลอะไรกับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
Another Fukushima nuclear plant blast injures 11, NHK World, Monday, March 14, 2011 12:30 +0900 (JST) http://www3.nhk.or.jp/daily/english/14_26.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น