โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นักข่าวพลเมือง: นักศึกษาขอบคุณ “เพื่อไทย” หลังไม่ร่วมพิจารณาร่างกฎหมายควบคุมการชุมนุม

Posted: 22 Mar 2011 11:56 AM PDT

ตัวแทนเครือข่ายกิจกรรมนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย มอบช่อดอกไม้และยืนหนังสือชื่นชมพรรคเพื่อไทยในความกล้าหาญของ ส.ส. ที่ไม่เห็นด้วยและไม่ร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พร้อมประณาม ส.ส. ที่ร่วมพิจารณากฎหมายนี้อย่างไม่เห็นหัวประชาชน ขณะที่เพื่อไทยยืนยันไม่สนับสนุนทุกกฎหมายที่เป็นเผด็จการ 

วานนี้ (22 มี.ค. 54) ที่พรรคเพื่อไทย ตัวแทนเครือข่ายกิจกรรมนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เข้ายืนหนังสือแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่เห็นด้วยและไม่ร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พร้อมมอบช่อดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจ โดยมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนรับ

ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “ข้อกำหนดใน พรบ.ควบคุมการชุมนุมนี้ถือเป็น พรบ.เผด็จการทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ประชาชนอยู่ห่างไกลจากอำนาจรัฐ และอำนาจอธิปไตยที่ตนเองเป็นเจ้าของ และเพื่อให้รัฐบาลมือเปื้อนเลือด สามารถบริหารงานบนความทุกข์ยากและคราบน้ำตาของประชาชนได้โดยไม่เดือดร้อนกับการชุมนุมเรียกร้องของประชาชน

ดังนั้นเราจึงขอประกาศคัดค้าน พรบ.การชุมนุมในที่สาธารณะ และประณามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าไปร่วมพิจารณากฎหมายเผด็จการนี้อย่างไม่เห็นหัวประชาชน นอกจากนี้ยังขอชื่นชมในความกล้าหาญของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่เห็นด้วยและไม่ร่วมพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว”

ทั้งนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ ยังกล่าวกับตัวแทนที่มายื่นหนังสือว่า "เพื่อไทยสนับสนุนทุกกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตยและไม่สนับสนุนทุกกฎหมายที่เป็นเผด็จการ รวมถึงจะต่อสู้ในสภาต่อไป"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" ซัดรบ.พม่าใช้ทหารแก้ปัญหาขัดแย้ง

Posted: 22 Mar 2011 11:33 AM PDT

รัฐบาลทหารพม่าเรียกกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" (SSA/SSPP) เป็น "กลุ่มกบฏ" หลังสองฝ่ายสู้รบเดือด ขณะที่ SSA/SSPP โต้รัฐบาลทหารพม่าใช้ทหารแก้ปัญหาขัดแย้ง

ภาพจากหนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ หนังสือพิมพ์กระบอกเสียงของรัฐบาลพม่า ฉบับวันที่ 21 มี.ค. 54 กล่าวหาว่ากองทัพรัฐฉานเหนือ SSA /SSPP เป็นกลุ่มก่อการร้าย

 

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา กองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (Shan State Army 'North') อันมีพรรคก้าวหน้ารัฐฉาน (Shan State Progress Party – SSPP) เป็นองค์กรการเมือง ได้ออกแถลงการณ์โต้ตอบกรณีถูกรัฐบาลทหารพม่าให้ชื่อเป็นกลุ่มกบฏ หลังจากทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม เป็นต้นมา ซึ่งการสู้รบเกิดจากการส่งกำลังเข้ากวาดล้างของกองทัพพม่า

ทั้งนี้ แถลงการณ์ระบุว่า กองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) ใช้สันติวิธีแก้ไขความขัดแย้งโดยยึดการแก้ไขปัญหาการเมืองด้วยวิธีทางการเมือง แต่รัฐบาลทหารพม่ากลับพยายามกดดันกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) ตั้งเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน BGF และกดดันให้วางอาวุธมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รัฐบาลทหารพม่ายังใช้กำลังทหารกดดันกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" ทุกวิถีทางและเมื่อปลายปีที่ผ่านมา กองทัพรัฐบาลทหารพม่าจงใจบุกโจมตีกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) 5–6 ครั้ง

"กองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) ไม่ใช่กลุ่มกบฏและไม่ใช่กลุ่มเรียกร้องการแยกตัวออกสหภาพพม่า แต่รัฐบาลทหารพม่ากลับกล่าวหาใส่ร้ายเป็นกลุ่มกบฏและใช้วิธีชั่วร้ายโดยใช้ กำลังทหารเข้าปราบปรามกวาดล้างกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) ซึ่งรัฐบาลทหารพม่ากำลังใช้กำลังทหารแก้ไขความขัดแย้งแทนการใช้สันติวิธี" ถ้อยคำแถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เมียนมาร์อะลิน สื่อกระบอกเสียงรัฐบาลทหารพม่ากล่าวหากองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) เป็นกลุ่มกบฎ โดยอ้างว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 มี.ค. ทหารกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) ก่อเหตุโจมตีสะพานบนเส้นทางเมืองหนอง – เมืองสู้ จนได้รับความเสียหาย และเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ได้ก่อเหตุทำลายสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งบนเส้นทางแสงแก้ว – สองแก ในเขตเมืองสี่ป้อ และต่อมามีการลงในหนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษของรัฐบาลพม่า เมื่อ 21 มี.ค.

กองทัพรัฐบาลทหารพม่าใช้ปฏิบัติทางทหารเข้าปราบปรามกวาดล้างกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" (SSA/SSPP) ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือดในหลายพื้นที่ของรัฐฉานภาคเหนือ ทั้งในพื้นที่เมืองเกซี เมืองสู้ และเมืองไหย๋ ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" มีการสูญเสียทั้งสองฝ่าย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากถูกกระสุนปืนของทหารพม่าหลายราย นอกจากนี้มีผู้อพยพพออกนอกพื้นที่นับพันคน ขณะที่กองทัพรัฐบาลทหารพม่ายังคงมีการเกณฑ์รถยนต์และลูกหาบในพื้นที่สำหรับ ใช้ลำเลียงยุทธภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

 

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/


"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ความคืบหน้าการปรับปรุงตลาดชาวเขาดอยมูเซอ จ.ตาก

Posted: 22 Mar 2011 11:09 AM PDT

บทความโดย “เกียรติศักดิ์ ม่วงมิตร” เผยสถานการณ์หลังเจ้าหน้าที่ ตชด. – อส. สนธิกำลังเตรียมรื้อถอนปรับปรุงอาคารตลาด ก่อนที่ภาคราชการจะยุติปฏิบัติการและยอมเจรจากับชาวบ้าน โดยล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เตรียมนัดกับแกนนำชาวบ้านอีกครั้งในวันพุธนี้ที่ศาลากลางจังหวัดตาก 

กว่าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะลงมาเจรจากับชาวบ้าน ก็เกือบจะเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับคำสั่งให้มารื้อถอนอาคารกับพ่อค้าแม่ค้าซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งมุ่งจะปกป้องผลประโยชน์และทรัพย์สินของตนเอง จากการตัดสินใจดำเนินงานโครงการปรับปรุงตลาดชาวเขา ดอยมูเซอ จ.ตาก ซึ่งทางจังหวัดได้รับงบประมาณสนับสนุนให้มาดำเนินการกว่า 7 ล้านบาท

พ่อค้าแม่ค้าซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่หลายหมู่บ้าน เห็นว่าการดำเนินงานของทางจังหวัดนั้นไม่สามารถจะแก้ปัญหาการค้าขายของตลาดได้อย่างแท้จริง จึงรวมตัวกันคัดค้านพร้อมทั้งมีข้อเสนอให้กับทางจังหวัด แต่การคัดค้านและข้อเสนอของชาวบ้านก็ไม่เป็นผล ทางจังหวัดยังยืนยันที่จะเดินหน้าตามโครงการที่กำหนดไว้แล้ว

ก่อนถึงกำหนดวันรื้อถอน ทางจังหวัดได้ส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากข้อเสนอของชาวบ้านมิได้รับการตอบสนอง และในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันรื้อถอน ทางจังหวัดได้ส่งกำลังขึ้นมาเพื่อทำการรื้อถอนแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ด้วยชาวบ้านรวมตัวกันขัดขวาง กระทั่ง นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ลงมาเจรจาพูดคุยกับชาวบ้าน

จากการนั่งลงเจรจานั่นเอง ก็แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและไม่ครบถ้วนของผู้ว่าฯ อันเนื่องมาจากความเชื่อมั่นและเชื่อใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่ท่านสั่งการให้ลงมาทำงานแล้วใช้ข้อมูลชุดเป็นแนวทางในการตัดสินใจเดินหน้าปรับปรุงตลาดชาวเขาดอยมูเซอ

ท่านผู้ว่าฯ ได้ข้อมูลใดจากผู้ใต้บังคับบัญชาไม่อาจทราบได้ จึงทำให้ท่านเริ่มต้นพูดคุยกับแกนนำชาวบ้าน ซึ่งมีนายจักรพงษ์ มงคลคีรี เป็นหนึ่งในแกนนำ ในทำนองว่าเป็นผู้ยุยงยุแหย่ให้ชาวบ้านรวมตัวกันคัดค้าน ต่อต้าน ขัดขวางการสร้างความเจริญให้กับพื้นที่ ที่สำคัญทำให้จังหวัดเสียชื่อเสียง ให้ยุติการกระทำนั้นเสีย แล้วหันมาให้ความร่วมมือกับทางราชการ

แต่ท่านก็ไม่ได้รับข้อมูลอีกด้านหนึ่งของจักรพงษ์ ซึ่งเป็นแกนนำที่ชาวบ้านเชื่อมั่น ศรัทธา ไว้วางใจให้เป็นผู้นำของพวกเขา การได้การยอมรับจากชาวบ้านของจักรพงษ์มิใช่เป็นเรื่องเลื่อนลอย เหลวไหล แต่เป็นเพราะความจริงใจ ความเสียสละและเอาจริงเอาจังในการทำงานเพื่อชาวบ้านตลอดเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์

จะว่าไปแล้วจักรพงษ์ ได้มีส่วนสร้างชื่อเสียงให้กับทางจังหวัดตากเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นแกนนำชาวบ้านในการดูแลรักษาป่าจนได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ซึ่งเป็นรางวัลระดับประเทศที่มอบให้กับชุมชนที่มีผลงานการดูแลรักษาป่าเป็นที่ประจักษ์ หรือการได้รับเลือกเป็นชุมชนต้นแบบในการจัดการน้ำของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) รวมทั้ง “กาแฟมูเซอ” ซึ่งเป็นแบรนด์กาแฟสดจากดอยมูเซอของสหกรณ์การเกษตรบ้านห้วยปลาหลดจำกัด ที่จักรพงษ์ เป็นแกนนำซึ่งเป็นที่รู้จักในวงที่กว้างขวางมากขึ้น

ประการถัดมา ท่านไม่ได้รับทราบข้อมูลอีกหลายเรื่องที่เป็นปัญหาในการดำเนินงาน เช่น

ท่านตัดตอนแก้ปัญหาตลาดชาวเขาดอยมูเซอเฉพาะปัญหาการค้าขายในปัจจุบัน ซึ่งไม่พิจารณาที่ไปที่มาของปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ในอดีต รวมทั้งการเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาของชาวบ้านอื่น ๆ ทั้งที่มีข้อเสนอให้มีการจัดการอย่างเป็นระบบไปจากชาวบ้าน

ท่านสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสำรวจผู้ค้าขายในตลาด ซึ่งการสำรวจของลูกน้องท่านก็ทำอย่างลวก ๆ และไม่โปร่งใส จำนวนจากการสำรวจนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง หนำซ้ำยังมีรายชื่อแทรกเพิ่มเข้ามาอีกจำนวนมาก ในขณะที่ชาวบ้านหลายคนที่ค้าขายอยู่กลับตกหล่นไป

สำหรับแผงจำหน่ายสินค้าที่ทางโยธาธิการจังหวัดเป็นผู้ออกแบบนั้น ซึ่งมีขนาดเพียง 1.5 ตารางเมตร ในความเป็นจริงนั้นพื้นที่เท่านี้ไม่เพียงพอต่อการวางจำหน่ายสินค้าได้ นอกจากนั้นจำนวนแผงสินค้าที่จะจัดทำก็มีไม่เพียงพอต่อจำนวนพ่อค้าแม่ค้าที่จะมาใช้พื้นที่จำหน่าย

หากท่านไม่ลงมาพบปะกับชาวบ้านในวันนี้ ท่านจะไม่ทราบเลยว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ท่านใช้ให้ลงมาเตรียมการและประสานงานนั้นผิดพลาดบกพร่องไปอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการการจัดประชุมทั้ง  ครั้งที่ท่านไม่ได้มาร่วมด้วยตัวเองนั้น พ่อค้าแม่ค้าตัวจริงเสียงจริงกลับไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วย คนที่เข้าประชุมหลายคนมิใช่ตัวจริง

ในการประชุมครั้งที่สาม ที่ท่านผู้ว่าฯ ลงมาประชุมร่วมกับชาวบ้าน ซึ่งมีข้อท้วงติงจำนวนมาก ทั้งจำนวนและรายชื่อผู้ค้า จำนวนและขนาดของแผงจำหน่ายสินค้า ซึ่งท่านได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำความเข้าใจและดำเนินการปรับปรุงแก้ไข แต่ข้อท้วงติงเหล่านั้นกลับถูกรายงานให้ทราบว่ามีการดำเนินการเพียงวาจาแต่มิได้มีการปฏิบัติจริง

ยิ่งได้พูดคุยกับแกนนำชาวบ้านมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ผู้ว่าฯ เห็นข้อบกพร่องในการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น ซึ่งไม่สามารถตอบคำถามของท่านได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ทำให้ท่านมีท่าทีที่ดีขึ้นต่อแกนนำชาวบ้าน พร้อมกับกล่าวขอโทษจากความผิดพลาด และได้นัดหารือกับแกนนำชาวบ้านอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นที่ศาลากลางจังหวัดตาก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: ละครเร่มูเจะคี - เสียงสะท้อนเยาวชนปกาเกอะญอ หลังความแปลกเปลี่ยนรุกคืบชุมชน

Posted: 22 Mar 2011 10:49 AM PDT

“คนเฒ่าคนแก่ที่พูดว่า- -ในอนาคต จะมีสัตว์ร้ายอย่างหนึ่งที่เข้ามาหาพวกเรา มันเข้ามาแล้ว มันจะดูดกลืนเราทั้งหมด...ตอนแรกเราก็งง แต่มาตอนนี้เราถึงบางอ้อ คือคนเฒ่าคนแก่บอกว่าสัตว์ร้าย เป็นงูยักษ์นั้น เราก็เข้าใจว่า อาจจะเป็นถนนโค้งเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านนี้ถูกดูด กลืนเด็กวัยรุ่นเข้าไปในเมืองแล้วก็คายกลับมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินเหล้ากินยา วัฒนธรรม ค่านิยมที่ผิดๆ แล้วเขาก็อ้วกกลับมา ให้กับหมู่บ้าน ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนไปมาก ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง”

นพรัตน์ ฤทัยกริ่ม
เยาวชนปกาเกอะญอ มูเจะคี อ.กัลยานิวัฒนา จ.เชียงใหม่

 

มูเส่คี หรือ มูเจะคี ที่คนชนเผ่าปกาเกอะญอในแถบป่าสนวัดจันทร์เรียกขานกัน ว่ากันว่า แต่ก่อนนั้นเป็นดินแดนที่ผู้คนมีวิถีชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสอดคล้องแนบแน่นและกลมกลืนมาช้านาน ท่ามกลางป่าสนธรรมชาติผืนใหญ่นับแสนๆ ไร่ อันเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำแจ่ม ที่ไหลลงไปหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ก่อนจะไหลลงไปรวมกับแม่น้ำปิงในตอนลุ่มน้ำตอนท้ายของ จ.เชียงใหม่

ทว่า มูเจะคี ในวันนี้ เริ่มมีเสียงครวญจากคนในพื้นที่มากขึ้นแล้วว่า เริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หลังจากมีสิ่งใหม่ในนามของ ‘ความเจริญ’ และ ‘การพัฒนา’ เดินทางเข้ามาตามถนนใหญ่จากถนนฝุ่นกลายเป็นถนนลาดยางคดโค้งอ้อมป่าอ้อมดอย จากเขต อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เข้ามาสู่ชุมชนวัดจันทร์ และที่สำคัญ เมื่อล่าสุด, พื้นที่มูเจะคี หรือวัดจันทร์ ได้กลายเป็นอำเภอกัลยานิวัฒนา อำเภอใหม่ล่าสุดของ จังหวัดเชียงใหม่

... อำเภอที่ชาวบ้านบอกว่า รัฐตั้งใจจะให้เป็นเป็นอำเภอต้นแบบ อำเภอแห่งสนพันปี อำเภอการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศ

แน่นอน ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้มีหลายสิ่งหลายอย่างได้เข้ามากระชากวิถีชีวิตชนเผ่าให้ต้องปรับตัวเรียนรู้กันยกใหญ่ สองข้างทาง จึงมองเห็นความแปลกใหม่ที่คนในชุมชนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แต่ต้องรับรู้และยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ เช่น ร้านค้าขายเหล้าเบียร์ ร้านอาหารและเกสเฮ้าส์ผุดขึ้นมาให้เห็น แม้กระทั่งร้านเสริมสวย หรือไก่หมุน ที่เด็กๆ หลายคนเรียกกันว่า ‘เคเอฟซีดอย’ ก็ถูกตั้งวางขายริมข้างถนนที่ยังเป็นฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายอยู่ยามรถยนต์วิ่งสวนทางกันไปมา และนั่นอาคาร ธกส.และบริษัทปล่อยเงินกู้สินเชื่อชื่อดัง ได้มาเปิดสาขาถึงบนดอยแห่งนี้ เพื่อรองรับให้ชาวบ้านบนดอยที่ไม่มีเงิน ได้มากู้หนี้ยืมสินกันถึงในเขตชุมชนของตนเองได้รวดเร็วมากขึ้น

เงินและระบบทุนนิยม จึงทำให้ตรรกะการใช้ชีวิตของคนบนดอยจึงเปลี่ยนไป
จากเดิม ไม่มีเงิน ไม่มีหนี้ = มีความสุข
ต้องเปลี่ยนเป็น ไม่มีเงิน กู้ได้ มีหนี้ = มีแต่ทุกข์

และที่หลายคนเริ่มเป็นวิตกกังวลกันมาก ก็คือ ถนนและความเจริญได้ดึงวัยรุ่นคนหนุ่มคนสาว บ้างถูกฉุดกระชากลากไปสู่วิถีเมืองใหญ่ ก่อนหวนกลับคืนมาสู่หมู่บ้านเกิดของตนอย่างสะบักสะบอม บ้างนำสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นอารยะ เช่น การเสพเหล้า บุหรี่ วัฒนธรรมข้างล่าง อย่างการแต่งกาย การแต่งรถ ขับรถชิ่ง ขึ้นมาระบาดไปหลายชุมชนบนดอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มองเห็นปัญหาเหล่านี้ พวกเขารวมกลุ่มกัน วิเคราะห์และหาทางออกกับปัญหาต่างๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างเรียนรู้ อย่างเข้าใจและรู้เท่าทัน โดยเยาวชนปกาเกอะญอกลุ่มนี้ ตั้งชื่อกลุ่ม โช โพเก่อเรอ บ้านหนองเจ็ดหน่วย’ จนกระทั่งได้กลายเป็น ‘กลุ่มละครเร่มูเจะคี’ ขึ้นมา เพื่อช่วยกันสะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในชุมชนให้เด็กๆ เยาวชน คนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่ได้ฉุกคิดตรึกตรอง ตระหนักและหาหนทางแก้ไขร่วมกันในอนาคต ผ่านตำนานเรื่องเล่าและ ละคร 2 เรื่อง ซึ่งล้วนบ่งบอกถึงบางสิ่งที่กำลังเข้ามาและบางอย่างกำลังสูญหายไปจากชุมชน

เรื่องแรก คือ ฉ่าอิ๊เกระ’ เป็นเรื่องของชุมชนหนึ่ง มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่รวมกันมาก นับวันยิ่งมีจำนวนผู้คนในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้อาหารการกินในชุมชนน้อยลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา  และทำให้ผู้คนเริ่มกักตุนอาหารไว้ให้มากขึ้น ซึ่งทำให้แม่บ้านคนหนึ่ง ต้องการกักตุน กุ้ง หอย ปู ปลา เหมือนกับคนอื่นบ้าง เธอจึงออกไปหามาไว้ในบ้าน แต่หามาแล้ว เธอยังไม่พอ ยังมีความอยาก มีความต้องการได้อีก เพื่อที่จะได้กินเก็บตุนไว้ให้ได้หลายๆ มื้อ หลายๆ วัน ไปในลำห้วย เจอรูที่ไหนก็ล้วงที่นั่น ล้วงไปล้วงมา มือเธอก็เลยติดอยู่ในรูนั้น ดึงเท่าไหร่ก็ไม่หลุดออก พอติด สามีก็เดือดร้อน ลูกๆ ก็เดือดร้อน ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เดือดร้อน จนสุดท้ายเอามือออกมาไม่ได้ เธอหมดสติและเสียชีวิตอยู่ตรงนั้ ทว่าพอสิ้นลมหายใจ มือของเธอกลับหลุดออกมาจากรูนั้นได้อย่างง่ายดาย...

ชิ สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ศิลปินปกาเกอะญอ สรุปให้ฟังตอนท้ายว่า ละครเรื่องนี้ พยายามจะสื่อว่า บางทีเราก็ต้องดูกำลังของเรา ตามวิถีของเราเอง กินเท่าที่เรามี ทำเท่าที่เราจะกิน แต่ถ้าเราทำเกินกว่าที่เรากิน เรากินเกินกว่าที่เรามี มันจะมีปัญหา”

 

เรื่องที่สอง เป็นเรื่อง หน่อเดะโพ’ หญิงสาวกับกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำ แต่กระบอกไม้ไผ่ได้ตกหล่นลงไป แล้วก็ลอยไปตามน้ำ พอมันลอยไปตามกระแสน้ำ เธอก็ตามไป ไปถึงต้นกล้วย เธอก็ไม่ได้ตัด ไปเจอต้นซุง เธอก็ไม่ล้ม พอไปเจอหิน ก็ไม่ล้ม หลังจากนั้นกระบอกไม้ไผ่ก็ลงไปในน้ำวน...หลังจากหญิงสาวตกเข้าไปในวังวนของทรายในน้ำนั้น ก็ไปเจอยักษ์ตนหนึ่งก็พยายามจะกลืนเธอ เธอก็พยายามบอกว่า “อย่ากินฉันเลย ฉันจะไปทำอาหารให้ ฉันจะไปช่วยปรนนิบัติ” เธอก็พยายามบอกว่า เธอทำอะไรได้บ้าง...จากนั้น เธอจึงได้อยู่ร่วมกับครอบครัวของยักษ์ ดูแลปรนนิบัติยักษ์นั้นอย่างดี จนได้รับความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ

....หลังจากนั้น ยักษ์ก็ให้เลือกระหว่างกระบุงเก่า กับกระบุงใหม่ เธอก็เลือกกระบุงเก่าเพราะมันมั่นคงถาวรกว่า และมีสิ่งที่มีค่าอยู่ในนั้น หลังจากนั้นยักษ์ให้ห่อข้าวมาสี่ห่อ   ขี้ไก่ กับขี้คน เธอไม่เอา แต่ได้เลือกเอาข้าวกับไข่ไก่...ฯลฯ

ชิ สุวิชาน อธิบายถึงสัญลักษณ์ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้ซ่อนไว้ในนิทานในละคร ให้เข้าใจได้ชัดขึ้นว่า ต้นกล้วย หมายถึง ความอุดมชุ่มชื้นของทรัพยากร โดยเฉพาะพื้นที่ต้นน้ำ ต้องดูแลอย่าไปมองข้าม, ต้นซุง คือผืนป่าและทุนทางทรัพยากรทางธรรมชาติ ก็ต้องดูแล ต้นซุงอาจหมายถึงความชรา ผู้อาวุโส เพราะฉะนั้น ผู้รู้แขนงต่างๆเหล่านั้น เราอย่าไปมองข้าม, หิน หมายถึงสิ่งที่มั่นคง อาจหมายถึงที่ดิน ถ้าที่ดินยังอยู่กับเรา เรายังสามารถกำหนดอะไรเองได้แต่ถ้าที่ดินอยู่ในมือคนอื่นเราหมดสิทธิ์ และน้ำวน อาจหมายถึง วังวนของการพัฒนาของระบบทุนนิยม!

ส่วนในเนื้อเรื่องละครตอนท้าย ที่ให้เลือกกระบุงเก่ากับกระบุงใหม่ และห่อข้าวกับห่อขี้ไก่ขี้คน นั้นอาจต้องการสื่อให้ลูกหลานชนเผ่าได้รู้จักเลือกรับ เลือกปฏิเสธกับสิ่งที่กำลังเข้ามาในวิถีชีวิต

ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรมของเรา ซึ่งนับวันมันกำลังลอยไปตามกระแสการพัฒนา กระแสการเปลี่ยน เหมือนกับกระแสน้ำในละคร ในนิทาน” ชิ สุวิชาน กล่าวในตอนท้าย

เช่นเดียวกับ นายนพรัตน์ ฤทัยกริ่ม เยาวชนปกาเกอะญอที่มานั่งชมละคร ก็บอกเล่าความรู้สึกหลังดูละครเรื่องนี้จบลงว่า เรื่องนี้ เขาต้องการสื่อให้รู้ว่า สมัยปัจจุบันนี้ไม่เหมือนกับยุคเมื่อก่อน คือเมื่อก่อนจะมีความไว้ใจ มีความซื่อตรงมากกว่าสมัยนี้ แต่สมัยนี้มันเปลี่ยนไปมาก เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

ละครเรื่องนี้ก็จะสะท้อนให้ชาวบ้านรู้ว่า เราอยู่ในหมู่บ้านนี่เรากำลังจะมีของขวัญชิ้นใหญ่มา บางทีอาจเหมือนชาวบ้านบอกว่า เราจะมีอำเภอเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้ชาวบ้าน แล้วการมาของของขวัญนั้น คือห่อมาอย่างดี แพ็คกล่องแต่งด้วยลวดลายอย่างดี ซึ่งเราไม่อาจเดาได้ว่าข้างในนั้นเป็นอะไร เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้และเห็นได้ คือ ถ้าเราแกะออกมา เราก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่แม้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราก็ต้องระวังตัวเอาไว้ เราต้องไม่ลุ่มหลงหรือว่าเชื่อ และไม่โลภ ถ้าภายนอกมีอะไรมา เราต้องคิดถึงสิ่งเดิมๆ หรือสิ่งเก่าๆ ของเราเอาไว้ มันก็มีค่า ควรจะรักษาไว้ไม่ให้สิ่งใหม่ๆ เข้ามาทดแทนหรือว่าทำให้มันสูญหายไปได้”

เยาวชนคนนี้ ยังบอกเล่าถึงคำสอนของคนเฒ่าคนแก่ที่พูดว่า- -ในอนาคตมันจะมีสัตว์ร้ายอย่างหนึ่งที่เข้ามาหา มันเข้ามาแล้วมันจะดูดกลืนเราทั้งหมด

ตอนแรกเราก็งง แต่มาถึงตอนนี้ถึงบางอ้อ ว่าสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่ที่บอกว่าสัตว์ร้าย และเขาระบุด้วยว่าเป็นงูยักษ์ เราก็มานั่งวิเคราะห์จากคำทา ซึ่งมันอาจจะเป็นถนนหรือเปล่า ถนนที่โค้งเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วเข้ามาดูดกลืนเด็ก วัยรุ่นเข้าไปในเมือง แล้วก็คายกลับมา พร้อมสิ่งร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินเหล้ากินยา วัฒนธรรม ค่านิยมที่ผิดๆ แล้วเขาก็อ้วกกลับมาให้กับหมู่บ้าน”

กลุ่มละครเร่มูเจะคี ที่เยาวชน ‘โช โพเก่อเรอ บ้านหนองเจ็ดหน่วย’ ได้เดินทางสัญจรไปแสดงตามโบสถ์ ตามชุมชน หลายๆ หมู่บ้านในเขตพื้นที่มูเจะคี ซึ่งได้รับความสนใจจากเด็กๆ เยาวชน คนหนุ่มคนสาว ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นอย่างมาก

ละครเร่มูเจะคี เป็นการนำเอาละคร นิทาน เรื่องเล่าของพี่น้องปกาเกอะญอที่ทุกคนเคยรับรู้รับฟังมากระตุ้นให้ชาวบ้าน ได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ใช้ละครเป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดความตระหนักร่วม ในการเลือกรับและเลือกปฏิเสธ สิ่งที่จะเข้ามาในแต่ละชุมชน โดยให้เด็กเป็นคนสื่อสารซึ่งอาจดีกว่าให้ผู้ใหญ่สื่อสาร เด็กเขาก็ทำได้ดี เราก็แค่เป็นคนเอื้ออำนวย เหมือนกับว่าเราได้สายเลือดใหม่เข้ามาที่จะสืบสานต่อยอดความคิดต่อไป” ชิ สุวิชาน กล่าวในตอนท้าย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จีนไม่เห็นด้วยใช้กำลังทหารแก้ปัญหาลิเบีย

Posted: 22 Mar 2011 10:27 AM PDT

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนแสดงความเสียใจกรณีหลายประเทศใช้กำลังทหารในลิเบีย เรียกร้องหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะมีต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา นางเจียงหยู โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตอบผู้สื่อข่าวเมื่อถูกถามถึงท่าทีของจีนต่อกรณีที่หลายประเทศใช้กำลังทางทหารต่อลิเบียว่า ประเทศจีนได้เฝ้าสังเกตสถานการณ์ในประเทศลิเบียมาโดยตลอด ประเทศจีนขอแสดงความเสียใจที่หลายประเทศใช้กำลังทางทหารต่อลิเบีย ทั้งนี้ จีนไม่สนับสนุนการใช้กำลังแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โดยนางเจียงหยูกล่าวว่า ประเทศจีนสนับสนุนการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์และหลักการตามกฎบัตรสหประชาชาติ และบรรทัดฐานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายสากล เคารพอธิปไตย อิสระ เอกภาพและความสมบูรณ์ในอาณาเขตของลิเบีย และหวังว่าสถานการณ์ของลิเบียจะได้รับการฟื้นฟูเสถียรภาพทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบที่รุนแรงซึ่งจะเพิ่มการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของประชาชนลิเบีย

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ด้วยว่า นายอู๋ซือเคอ ทูตพิเศษของจีนในปัญหาตะวันออกกลาง จะเดินทางไปเยือนประเทศอิสราเอล ปาเลสไตน์ ซีเรีย เลบานอน กาตาร์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องดำเนินการด้านสันติภาพและสถานการณ์ปัจจุบันของตะวันออกกลางกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 23 มี.ค.- 2 เม.ย.ที่จะถึงนี้

สำหรับสถานการณ์ความปลอดภัยของชาวจีนในลิเบียนั้น สถานทูตจีนในลิเบียได้อพยพชาวจีนอ อกจากลิเบีย ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา จนเมื่อเวลา 23.15น. ของวันที่ 5 มี.ค. ภารกิจจึงเสร็จสิ้น โดยชาวจีน 35,860 คนได้อพยพจากลิเบียทั้งทางอากาศ ทางทะเลและทางบก  ในขณะเดียวกัน จีนยังช่วยเหลือชาวต่างชาติ 2,100 คนจาก 12 ประเทศอพยพออกจากลิเบีย

เจ้าหน้าที่ของสถานทูตจีนในลิเบียกล่าวว่า สถานทูตจีนตั้งอยู่ในเขตที่ค่อนข้างปลอดภัย โดยปัจจุบัน มีชาวจีน 29 คนยังยืนยันอยู่ในลิเบียต่อด้วยเหตุผลส่วนตัว อย่างไรก็ตาม พวกเขายังปลอดภัยดี และมีเครื่องอุปโภคบริโภคเพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของสถานทูตจีนในลิเบียกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังไม่อาจคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตได้ แต่มีแผนการรองรับไว้แล้ว

อนึ่ง จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่งดออกเสียงในการอนุมัติมติกำหนดเขตห้ามบินในลิเบียของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับรัสเซีย บราซิล เยอรมนี และอินเดีย

 

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
http://news.qianlong.com/28874/2011/03/06/2861@6694876.htm
http://www.militaryy.cn/html/23/n-58123.html
http://news.sina.com.cn/w/2011-03-21/100922152521.shtml
http://www.chinanews.com/gn/2011/03-21/2918749.shtml

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปปง. ระบุไทยติด 1 ใน 10 ประเทศก่อการร้ายรุนแรง

Posted: 22 Mar 2011 10:03 AM PDT

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมกับคณะกรรมการต่อต้านก่อการร้ายยูเอ็น เตรียมหามาตรการควบคุมธุรกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร ป้องกันรับเงินสนับสนุนก่อการร้าย

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมกับคณะกรรมการต่อต้านก่อการร้ายสหประชาชาติ หามาตรการควบคุมธุรกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร ป้องกันรับเงินสนับสนุนก่อการร้าย ระบุ ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศก่อการร้ายรุนแรง

สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวัันนี้ (22 มี.ค. 54) ว่า พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 22-24 มีนาคม นี้ ปปง.จะประชุมในระดับภูมิภาคเพื่อหามาตรการป้องกันการใช้เงินขององค์กรที่ไม่ แสวงหาผลกำไรในทางที่ผิด เพื่อสนับสนุนการก่อการร้าย ร่วมกับคณะกรรมการต่อต้านการก่อการร้ายสหประชาชาติ, คณะกรรมาธิการว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย กระทรวงต่างประเทศ และการค้า ของประเทศนิวซีแลนด์ รัฐบาลแคนาดา และรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์

พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า ในฐานะ ปปง.เป็นหน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่ในการกำกับดูแลองค์กรดังกล่าวพบว่าขณะนี้ หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ได้รับเงินช่วยเหลือจากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยในส่วนของประเทศไทยมีองค์กรซึ่งไม่แสวงหาผลกำไรจำนวนมากเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศและได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและยุโรปบางส่วน

แต่ที่ผ่านมาองค์กรเหล่านี้ไม่ได้รับการตรวจสอบเกี่ยวกับการทำธุรกรรมอย่าง เข้มงวด ประกอบกับสถานการณ์การก่อการร้ายซึ่งเกิดขึ้นอยู่แทบทุกประเทศ องค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) จึงแสดงความเป็นห่วง ทำให้ต้องจัดประชุมเพื่อหาแนวทางและมาตรการในการกำกับดูแลองค์กรเหล่านี้ เพื่อไม่ให้องค์กรการกุศลถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่อการร้าย เช่นเดียวกับแนวทางการป้องกันของ ปปง.กรณีที่ธนาคารต่าง ๆ ต้องรายงานการทำธุรกรรม

พ.ต.อ.สีหนาท ยังกล่าวว่า กรณีที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แม้ประเทศไทยจะไม่ยอมรับว่าเป็นการก่อการร้ายแต่เมื่อ พิจารณาในรูปแบบของการต่อสู้แล้วต่างประเทศถือว่าไทยเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มีการก่อการร้ายรุนแรง ดังนั้น กรณีที่มีเงินเข้ามาจำนวนมากเข้ามาในประเทศโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวดจึง เป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยก่อนหน้านี้ในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายนราธิวาสราชนครินทร์หรือ ค่ายปิเหล็ง เมื่อปี 2547 ปปง.ก็ตรวจสอบพบว่ามีเงินเข้ามามากผิดปกติเช่นกัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พม่าเปิดด่านเจดีย์สามองค์เป็นเส้นทางการค้า

Posted: 22 Mar 2011 09:09 AM PDT

ขณะที่ไทยเล็งขอพม่าเปิดด่านเพิ่ม ทั้งที่ด่านสิงขร ตรงประจวบคีรีขันธ์ และด่านห้วยต้นนุ่น แม่ฮ่องสอน เป็นด่านถาวรเพื่อสะดวกในการติดต่อ "เนปิดอว์" เมืองหลวงใหม่พม่า และออกสู่ทะเลที่เมืองทันเว

(21 มี.ค. 54) เมื่อเร็วๆ นี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า ผลจากการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า ครั้งที่ 5 เมื่อเดือนเมษายน ปีที่ผ่านมา วันนี้พม่าได้เปิดด่านพญาตองซู หรือด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ซึ่งฝ่ายไทยคาดว่า พม่าจะเปิดด่านชายแดนอื่นๆเพิ่มเติม เช่น ด่านห้วยต้นนุ่น-BP 12 อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอนต่อไป เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้า การขนส่ง และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเตรียมพร้อมไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนร่วมกันในปี 2558

โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แสดงความยินดีที่ฝ่ายพม่าได้เปิดด่านพญาตองซู ตรงข้ามกับด่านเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นผลจากการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ระหว่างไทยกับพม่า ครั้งที่ 5 เมื่อเดือนเมษายน 2553 ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายพม่าพิจารณาการเปิดด่านพญาตองซู ซึ่งฝ่ายพม่าได้ปิดตั้งแต่ปี 2550

พร้อมกันนี้ ฝ่ายไทยได้เสนอขอยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าเป็นด่านถาวร 2 แห่ง คือ 1) ด่านสิงขร-มูด่อง อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งฝ่ายพม่า ได้เห็นชอบกับข้อเสนอ โดยขณะนี้ ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการเปิดด่านถาวร และ 2) ด่านห้วยต้นนุ่น- BP 13 อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งฝ่ายไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ของไทยในการเข้าถึงกรุงเนปิดอ เมืองหลวงพม่าด้วยระยะทางที่สั้นที่สุดเพียง 220 กิโลเมตร และด่านดังกล่าวจะเป็นประตูเปิด 17 จังหวัดภาคเหนือเชื่อมกับตลาดพม่าและตลาดโลก ออกสู่ทะเลที่เมืองทันเว ด้วยระยะทาง 420 กิโลเมตร ฝ่ายไทยจึงหวังว่า พม่าจะยกระดับด่านต้นนุ่น-BP 12 จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นด่านถาวรต่อไป  ซึ่งจะนำไปสู่การอำนวยความสะดวกทางการค้าของทั้งสองประเทศ

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศยังเปิดเผยว่า เมื่อปี 2553 (มกราคม-ตุลาคม) มูลค่าการค้าไทยกับพม่าอยู่ที่ 129,910 ล้านบาท จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 54,509 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้า 75,401 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 20,892 ล้านบาท และในช่วงเวลาเดียวกัน การค้าชายแดนระหว่างไทย-พม่า 115,306 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าการส่งออก 42,591 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้า 72,715 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 30,124 ล้านบาท ซึ่งการค้าชายแดนคิดเป็นร้อยละ 89 ของมูลค่าการค้ารวม ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นด่านชายแดนไทย-พม่าที่มีมูลค่าการค้าสูงสูง รองลงมา คือ ตาก และระนอง ตามลำดับ

สำหรับการค้าชายแดนด้านจังหวัดกาญจนบุรี ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 มูลค่าการค้ารวม 71,142 ล้านบาท จำแนกเป็นมูลค่าการส่งออก 1,653 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้า 69,488 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 67,835 ล้านบาท ด่านดังกล่าวส่วนใหญ่ไทยเป็นฝ่ายนำเข้าสินค้าก๊าซธรรมชาติ รองเท้า และผลิตภัณฑ์ไม้อื่นๆ ส่วนสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย คือ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำมันปาล์ม และน้ำผลไม้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

หมอตุลย์ขอให้อัยการชี้แจงเพราะเหตุใดจึงไม่ถอนประกันแกนนำ นปช.

Posted: 22 Mar 2011 07:21 AM PDT

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีถอนบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา 3 ฉบับ ชี้หากสภารับรอง ดินแดนจะกลายเป็นของกัมพูชา พร้อมไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้ตรวจสอบดุลยพินิจของอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษที่สั่งไม่ถอนประกันแกนนำ นปช. 

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงค์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มเสื้อหลากสี เดินทางมาขอพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือขอให้ถอนบันทึกการประชุมของคณะกรรมการร่วมชายแดน ไทย-กัมพูชา (JBC) 3 ฉบับออกจากการพิจารณาของรัฐสภา และให้ประธานเจบีซีฝ่ายไทยดำเนินการเจรจาให้ทางกัมพูชาปฏิบัติตาม MOU 2543 โดยถอนทหารและประชาชนออกจากดินแดนที่รุกล้ำอธิปไตยของไทยหลังจากการลงนาม MOU 2543 พร้อมขอให้ช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำในประเทศกัมพูชา เนื่องจากสุขภาพทรุดโทรม

หากรัฐสภารับรองจะกลายเป็นการรับรองว่าดินแดนตรงนั้นเป็นของกัมพูชาไปเลย จึงเดินทางมายื่นหนังสือในวันนี้” นพ.ตุลย์กล่าว และว่าหลังจากยื่นหนังสือให้นายกรัฐมนตรีแล้วก็จะเดินทางไปกระทรวงการต่าง ประเทศยื่นหนังสือดังกล่าวให้นายอัษฎา ชัยนาม ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในฐานะประธานฝ่ายไทย ขอให้ถอดถอนร่างบันทึกการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับ และในฐานะประธานเจบีซีฝ่ายไทยดำเนินการเจรจาให้ทางกัมพูชาปฏิบัติตาม MOU 43 และเจรจาว่าอนุสัญญา ค.ศ. 1904 สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 และแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร รวมถึงแผนที่ 1ต่อ 200,000 นั้นเขียนถูกต้องตามเจตนารมณ์ที่บันทึกไว้ในอนุสัญญาและสนธิสัญญาดังกล่าว หรือไม่

นพ.ตุลย์กล่าวด้วยว่า แม้ว่าบันทึกการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับถูกถอนออกจากการพิจารณาของรัฐสภาไม่ให้การรับรอง ทางคณะกรรมาธิการเจบีซีก็สามารถเจรจาครั้งต่อไปได้โดยแจ้งให้ทางฝ่ายกัมพูชา ทราบเหตุที่รัฐสภาไม่ให้การรับรองเพื่อที่จะมีการเจรจาแก้ไขประเด็นที่ รัฐสภาและภาคประชาชนทักท้วงในการประชุมเจบีซีครั้งต่อไป

นพ.ตุลย์กล่าวอีกว่า จากนั้นจะเดินทางไปสำนักงานอัยการสูงสุดยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดขอให้ ตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจของอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษในการสั่งไม่ถอนประกัน ตัว 7 แกนนำ นปช.ที่มีพฤติการณ์ผิดเงื่อนไขในการประกันตัวของศาล หากเห็นชอบสั่งไม่ถอนประกันขอให้ชี้แจงชัดเจนว่าเหตุผลใด ขอให้อธิบดีอัยการพิเศษได้ทบทวนดุลยพินิจในการสั่งคดีนี้ด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ประยุทธ์” ยันมีเลือกตั้งแน่ ลั่นเป็นกลาง แต่วอนอย่าเลือกคนที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย-รุนแรง

Posted: 22 Mar 2011 03:13 AM PDT

ผบ.ทบ.ลั่นเตือน ผบ.หน่วยทหารแล้วให้ดูแลการเลือกตั้ง เตรียมกำลังพลไว้รักษาความปลอดภัยสถานที่เลือกตั้งเมื่อได้รับการร้องขอ ลั่นวางตัวเป็นกลาง บังคับใครไม่ได้ แต่จะเป็น ผบ.ทบ. ต่อ ไม่ว่าพรรคใดมาเป็นรัฐบาล ย้ำหนทางที่ดีที่สุดคือเลือกตั้งมีรัฐบาลชอบธรรม ดีกว่าต้องฆ่ากันให้หมด

ประยุทธ์” ลั่นให้ ผบ.หน่วยทหารเตรียมส่งกำลังพลลงไปสนับสนุนการเลือกตั้งเมื่อได้รับการร้องขอ

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (22 มี.ค.). พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หลายฝ่ายเป็นห่วงการเลือกตั้งในเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ กลายเป็นการเลือกตั้งที่นองเลือดว่า อย่าคิดอย่างนั้น ต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้บ้านเมืองเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย รัฐบาลดำเนินการไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลเอง คิดว่าพวกเราในฐานะที่เป็นประชาธิปไตย และทหารที่ถือเป็นประชาชนต้องรักษาระเบียบของการเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้ได้ ทั้งนี้ตนเตือน ผบ.หน่วยทหารไปแล้วว่า ให้เตรียมการดูแลการเลือกตั้ง เตรียมกำลังพลในให้การสนับสนุนรักษาปลอดภัยสถานที่เลือกตั้ง เมื่อได้รับการร้องขอ และให้ปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมายเลือกตั้งโดยเคร่งครัด อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการที่ผิดกฎหมาย พวกมือปืนถ้ามีต้องดำเนินคดีจับกุมอย่าให้มี

 

กรณีอดีตทหารไปลงคุม พธม. ไม่ถือเป็นความรับปิดของทหาร เพราะปลดประจำการไปแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ต้องการให้มีกลุ่มมาเฟียต่างๆ ในหน่วยทหารอีกต่อไป ไม่ว่า ใครจะอยู่กับผู้บังคับบัญชาไหนก็ตาม ต้องเรียกมาทำความเข้าใจว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนกรณีที่มีกำลังพลจากกองพันทหารม้าที่ 4 เข้าไปอยู่ในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นพลทหารที่ปลดประจำการไปแล้วหลายปี เคยเป็นทหารประจำการอยู่บ้านนายทหารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเขาก็อยู่ด้วยกัน และคงจะไปดูแลนายเก่าเขา แต่ไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของทหาร เพราะถือว่า ได้ปลดประจำการไปแล้ว

 

ลั่นเป็นกลาง-บังคับใครไม่ได้ และเป็น ผบ.ทบ.เหมือนเดิม ไม่ว่าพรรคใดมาเป็นรัฐบาล

"เราต้องเป็นกลางในการเลือกตั้ง เพราะเราบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว และต้องปฏิบัติตามกฎหมายเลือกตั้ง ใครอยู่เขตไหนก็ไป และเขามีสิทธิ์จะเลือกใครก็ได้ เป็นเรื่องของเขา ผมฝากว่า อย่าห่วงทหาร แต่ห่วงว่า อยากให้ประชาชนทั่วไปออกมาเลือกตั้งมากๆ หากอยากเห็นประเทศชาติเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น อยากเห็นประเทศชาติสงบเรียบร้อย ท่านต้องสร้างความเข้มแข็งให้รัฐบาล ส่วนใครจะเป็น ใครจะได้ยังไงก็แล้วแต่ เพราะประชาชนเป็นคนตัดสิน ผมบังคับไม่ได้ เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่า พรรคใดจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็เป็น ผมก็เป็นผบ.ทบ.เหมือนเดิม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 

แนะประชาชนอย่าเลือกใครที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย-รุนแรง

เมื่อถามว่าความใกล้ชิดของกองทัพ กับพรรคประชาธิปัตย์จะมีผลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงตอบในภาพรวมว่า คงไม่มีผลอะไร เพราะตนคงไม่สามารถสั่งการควบคุมบังคับบัญชาใครได้ แต่ส่วนตัวเขาไม่รู้ อย่าลืมว่า พลทหารมาจากทั้งประเทศ ปีละ 8 หมื่นกว่าคนมาจากทุกภาค ถ้าเขาอยากเลือกตามพ่อแม่ พี่น้องคงบังคับเขาลำบาก แม้เขาจะย้ายทะเบียนบ้านมา แต่ต้นตระกูลภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด คงบังคับไม่ได้หมด ทั้งนี้มั่นใจว่า จะมีการเลือกตั้ง ถ้าใครทำให้เกิดความวุ่นวายไม่นำไปสู่การเลือกตั้ง คิดว่า ประชาชนต้องดู สังคมต้องช่วยตัดสินว่า จะเอาอย่างไร เพราะหากบ้านเมืองนำไปสู่การเลือกตั้งน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ว่า จะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม การตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถ้าใครนำสู่ความวุ่นวาย ความรุนแรง ท่านอย่าไปเลือกจะดีกว่า

 

ย้ำหนทางที่ดีที่สุดคือเลือกตั้งมีรัฐบาลชอบธรรม ดีกว่าต้องฆ่ากันให้หมด

เมื่อถามว่า กลุ่มพันธมิตรแย้งว่า การยุบสภา หรือเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หนทางที่ดีที่สุด คือ มุ่งไปสู่การเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มีความชอบธรรม แต่หากใครว่า เลือกตั้งไม่ได้ แล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านจะตีกัน ทะเลาะกัน หรือต้องฆ่ากันให้หมด อันไหนดีกว่ากัน ขอให้ทหารทำหน้าที่ทหารให้ดีที่สุด คือ ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลชายแดน

 

อยากให้ประชาชนช่วยแจ้งถ้ามีคนหมิ่นสถาบัน ถ้ามีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องต้องห้าม

เมื่อถามว่า บางพรรคสงสัยว่า มีการหมิ่นสถาบัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ประชาชนทราบว่า อะไรเป็นอย่างไร โยงใยกันอย่างไร อย่าไปพูดว่า เป็นพรรคใด แต่อาจจะเป็นกลุ่มบุคคล ตัวบุคคล ซึ่งในวันนี้จากที่ตนดูเห็นว่า มีไม่กี่คนที่ทำเรื่องหมิ่นสถาบัน เช่นในเว็บไซต์ โดยใช้คำที่รุนแรงจึงอยากให้สังคมและประชาชนดูว่า คนพวกพวกนี้เกี่ยวพันอะไรยังไงกับใคร แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินการ และดูว่า พรรคการเมืองใดเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ท่านต้องห้าม และไปหยุดเขาอย่าให้ทำ เพราะไม่เกิดประโยชน์

 

เรียบเรียงจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ และ ไทยรัฐออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ลุงบุญมีระลึกชาติ" คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเอเชีย

Posted: 22 Mar 2011 02:42 AM PDT

ภาพยนต์เรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" กำกับโดย "อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล" ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงาน "เอเชียน ฟิล์ม อวอร์ดส ครั้งที่ 5"

เมื่อคืนวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ภาพยนตร์เรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" (UNCLE BOONMEE WHO CAN RECALL HIS PAST LIVES) กำกับโดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากการประกาศผลรางวัลเอเชียน ฟิล์ม อวอร์ดส ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศฮ่องกง โดยเฉือนเอาชนะภาพยนตร์อีก 5 ได้แก่ AFTERSHOCK จากจีน, CONFESSIONS จากญี่ปุ่น, POETRY จากเกาหลีใต้, LET THE BULLETS FLY จากจีน และ PEEPLI LIVE จากอินเดีย

ก่อนหน้านี้ เมื่อ 23 พ.ค. 53 ภาพยนต์เรื่องนี้ได้รางวัลปาล์มทองคำ (Palme d’Or) ในงานเทศกาลภาพยนต์นานาชาิติที่เมืองคานส์ โดยในครั้งนั้น นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวแสดงความยินดีกับนายอภิชาติพงศ์ด้วย แต่นายธีระจำชื่อภาพยนตร์ผิดเป็น "ลุงบุญมีกลับชาติมาเกิด"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้ค้าฮือขวางเจ้าหน้าที่รื้อตลาดชาวเขาดอยมูเซอ

Posted: 22 Mar 2011 02:10 AM PDT

กลุ่มผู้ค้าตลาดชาวเขาดอยมูเซอ ด่านแม่ละเมา จ.ตาก ชุมนุมขวางเจ้าหน้าที่พร้อมโล่กระบองเตรียมเข้ารื้อตลาดเพื่อจัดระเบียบ ก่อนจะเจรจาตกลงกับตัวแทนผู้ว่าฯ ตากได้

ที่มาของภาพ: ไทยรัฐออนไลน์

เช้าวันนี้ (22 มี.ค.) ที่ตลาดชาวเขาดอยมูเซอ ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก เจ้าหน้าที่ชุด ชรบ. อส. ตำรวจ ตชด. และตำรวจภูธร สนธิกำลังกว่า 300 นาย นำกำลังเข้ารื้อตลาด ริมถนนสายตาก-แม่สอด โดยทางจังหวัดตากให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมปรับปรุงและจัดระเบียบใหม่ เนื่องจากเกิดความแออัดและรุกล้ำถนน ทำให้อาจเกิดอันตราย

โดยบรรดาพ่อค้าแม่ค้ากลุ่มชาติพันธุ์กว่า 400 คน ได้ตั้งแผงลอยเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีโล่และกระบองตั้งแถวอยู่

ต่อมานายวาทิต ปัญญาคม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ตาก รับคำสั่งจาก นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการ จ.ตาก เดินทางไปควบคุมสถานการณ์ และเจรจากับตัวแทนพ่อค้าแม่ค้า โดยการเจรจาได้ข้อยุติว่าจะให้พ่อค้าแม่ค้าตั้งคณะกรรมการขึ้นมาร่วมกับสื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ เพื่อคลี่คลายปัญหา ส่วนการจะปรับปรุงตลาดหรือไม่จะได้ตกลงกันต่อไป โดยขณะนี้สถานการณ์ลดความตึงเครียดลง

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 54 ที่ผ่านมา "ประชาไท" ได้รับการร้องเรียนจากผู้ค้าตลาดชาวไทยภูเขา ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก ดังกล่าว ซึ่งได้ทำหนังสือร้องเรียน ถึง ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรษ์จังหวัดตาก, นายอำเภอแม่สอด และ ผกก.สภ.พะวอ อ.แม่สอด เพื่อคัดค้านการดำเนินการโครงการปรับปรุงตลาดชาวไทยภูเขา

โดยในจดหมายร้องเรียน ระบุว่า โครงการปรับปรุงตลาดดังกล่าว จะไม่สามารถแก้ปัญหาของ ตลาดได้อย่างแท้จริง ไม่สะท้อนการแก้ปัญหาการทำมาหากินที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายในตลาด ของชาวบ้านในพื้นที่ อีกทั้งงบประมาณดำเนินงานซึ่งเป็นภาษีของประชาชนก็มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท อาจเกิดการทุจริตคอรัปชั่นได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทางจังหวัดได้จัดการประชุม และระบุอย่างชัดเจนที่จะเดินหน้าดำเนินงานการปรับปรุงตลาดชาวไทยภูเขา ดอยมูเซอ โดยไม่สนใจข้อท้วงติงของผู้ค้าตลาดชาวไทยภูเขาดังกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น