โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ภาคประชาชนพลิกวิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ญี่ปุ่น สู้ค้านโครงการในไทย

Posted: 15 Mar 2011 02:43 PM PDT

กรีนพีซชี้เทคโนโลยีมีความเสี่ยงแฝงเร้น แนะแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ เครือข่ายต้านฯ เผยเตรียมยื่นจดหมายถึงผู้นำไทย-เวียดนาม คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ชาวบ้านถามหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับบ้านเรา จะมีใครรับผิดชอบชีวิตประชาชน

 
วิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ญี่ปุ่นเลวร้ายลงอีกเมื่ออาคารปฏิกรณ์ที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 3 แห่งเกิดระเบิดขึ้น ภายหลังวิกฤติภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสึนามิ ติดตามมาด้วยข่าวคราวการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีทั้งทางอากาศและทางทะเล ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นและประเทศใกล้เคียงต่างต้องเตรียมรับมือผลกระทบอันเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะที่อีกหลายประเทศต้องทบทวนมาตรการความปลอดภัยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตนเอง
 
สำหรับประเทศไทย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ในยุคสมัยน้ำมันแพง และความต้องการใช้พลังงานมีมาก แม้จะถูกคัดค้านจากประชาชนในหลายพื้นที่ตลอดมา
 
 
วานนี้ (15 มี.ค.54)กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนที่คัดค้านโรงไฟฟ้าทั่วประเทศ แถลงข่าวจุดยืนกรณีการผลักดันโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ภายหลังการร่วมแลกเปลี่ยนในเวทีสาธารณะเรื่อง “วิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น”ที่สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ
 
ธารา บัวคำศรี ผู้ประสานงานรณรงค์ ประจำประเทศไทย กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์ให้ทั้งคนวางแผน และคนทั่วไปว่าเทคโนโลยีมีความเสี่ยงแฝงเร้น ที่ผ่านมาการใช้นิวเคลียร์มีการพัฒนาเพื่อให้มีความปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดกำลังมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศฟินแลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งกระบวนการก่อสร้างต้องระวังความปลอดภัยอย่างมาก ทำให้โครงการล่าช้าและใช้งบประมาณสูง อย่างไรก็ตามความเสียงที่มีอยู่เหนือการควบคุม
 
ผู้ประสานงานฯ กรีนพีซ กล่าวด้วยว่า จากกรณีของญี่ปุ่นมีความพยายามลดขอบเขตการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสีให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัย แต่การแก้ปัญหาก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหม่ อีกทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็อาจทำให้ไม่รู้วิธีการที่จะรับมือหากเกิดข้อผิดพลาด ยกตัวอย่างแท่งเชื้อเพลิงที่เปลี่ยนจากแร่ยูเรเนียมเป็นพลูโตเนียม ซึ่งเรารู้แต่เพียงว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าเดิม แต่เราไม่ค่อยรู้ถึงการรับมือผลกระทบ
 
ทั้งนี้ ความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อระบบระบบหล่อเย็นในเตาปฏิกรณ์หยุดทำงานจากผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ ซึ่งนำไปสู่การหลอมละลายของแท่งเชื้อเพลิง ถึงขั้นที่จะปล่อยกัมมันตภาพรังสี โดยสารกัมมันตภาพรังสีจำนวนมากอาจมีการรั่วไหลได้ ทั้งนี้ แม้จะมีการพยายามเติมน้ำทะเลเพื่อรักษาระดับความดัน แต่เตาปฏิกรณ์ก็เกิดระเบิดขึ้นในเวลาต่อมา
 
ธารา ยังกล่าวถึงกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์​ฟุกุชิมะ โรงที่ 1 ที่บริษัทไฟฟ้าโตเกียวของญี่ปุ่น หรือเทปโก้ ออกมายอมรับว่าได้ทำการปล่อยก๊าซที่มีกัมมันตภาพรังสีผสมอยู่ว่า ถือเป็นการละเมิดกฎหมายในการควบคุมการปล่อยก๊าซอันตราย แม้จะเป็นการอ้างว่าเพื่อลดแรงดันภายในเครื่องเตาปฏิกรณ์ ทั้งนี้ การจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดวิสัยหรือเหตุการณ์เหนือความคาดหมายหรือไม่นั้นไม่สามารถบอกได้ เพราะปัญหาของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก โดยที่ผ่านมามีเหตุการณ์กรณีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ควบคุมยากเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมากก่อน
 
สำหรับประเทศไทย ผู้ประสานงานฯ กรีนพีซ กล่าวว่าแผนพัฒนากำลังไฟฟ้ามีเรื่องผลประโยชน์ที่ซับซ้อนอยู่ เพราะเท่าที่ดูกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศยังเหลืออยู่ อีกทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพก็ยังสามารถใส่ลงไปในแผนพีดีพีได้ ส่วนระบบการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ในประเทศไทยก็มีศักยภาพ เพราะเรามีระบบสายส่งภายในประเทศที่ส่งเข้าถึงในหมู่บ้านซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะนำไปสู่การสร้างระบบพลังงานที่กระจายศูนย์ ตรงนี้ไม่ได้พูดถึงแค่จะใช้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเรื่องของการวางแผนพลังงานกระจายศูนย์ที่มีความโปร่งใส โดยยังไม่พูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่นการผูกขาดของหน่วยงานด้านไฟฟ้าของไทย
 
ธารา กล่าวต่อมาว่า เรื่องทางออกของพลังงานไฟฟ้า ประเทศไทยมีคำตอบ โดยการพัฒนาศักยภาพของสิ่งที่มีอยู่ เพื่อให้สังคมไทยเดินไปข้างหน้าได้พร้อมกัน ทั้งนี้สิ่งที่เรียกร้องไม่ใช่การกลับไปหายุคอดีตที่ต้องจุดเทียนกินข้าว แต่มองไปถึงอนาคตในเรื่องของการกระจายศูนย์พลังงาน การปฏิรูประบบพลังงานไทย และสิ่งที่กรีนพีซพยายามจะยกระดับขึ้นมาเรียกว่าเป็นการปฏิวัติพลังงานที่พิจารณาถึงว่าจะใช้พลังงานอย่างไร ส่งมันไปอย่างไร และใช้มันอย่างไร เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะทำได้และเกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกๆ คน
 
“ประเด็นใหญ่เลยก็คือเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลที่ก็ยังบิดเบือนอยู่ในขณะนี้ เพราะมันมีผลประโยชน์เรื่องนิวเคลียร์ มีผลประโยชน์เรื่องผู้ผลิตพลังงานขนาดใหญ่ไม่ว่าจะมาจากก๊าซธรรมชาติ หรือมาจากถ่านหินก็ตาม ซึ่งมันเป็นประเด็นที่เราคงไม่ได้มองแค่เรื่องตัวเลขว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่แต่อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องระบบพลังงานโดยรวมด้วย” ธาราแสดงความเห็น
 
ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า 20 ปี (2553-2573) หรือพีดีพี 2010 จะศึกษาก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 โรงจำนวน 5,000 เมกะวัตต์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประเมิน และคัดเลือกที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 17 พื้นที่ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ชุมพร จ.สุราษฎร์ธานี จ.ตราด จ.นครสวรรค์ จ.อุบลราชธานี จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี และ จ.นครศรีธรรมราช
 
 
เผยเตรียมยื่นจดหมายถึงผู้นำไทย-เวียดนาม ต้านสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
 
สดใส สร่างโศรก หนึ่งในแกนนำเครือข่ายคนไทยไม่เอาไฟฟ้านิวเคลียร์ จาก จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่นและการรั่วไหลของกัมมันตรังสี ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยไม่สมควรสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกจากนั้นประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในเรื่องศักยภาพทั้งมาตรฐาน ความรู้ รวมทั้งในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สำคัญการเลือกพื้นที่โครงการก็ไม่ได้สอบถามประชาชน และใช่เหตุผลในการก่อสร้างเพียงว่า “ประชาชนไม่คัดค้าน”
 
สดใส กล่าวต่อมาว่า ข้อเรียกร้องของเครือข่ายฯ คือ ในวันที่ 16 มี.ค.นี้ จะมีการจักรณรงค์และไว้อาลัยให้แก่ผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่นที่ศาลหลักเมือง จ.อุบลราชธานี และจะไปวางดอกไม้ที่หน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่า อีกทั้งจะมีการทำจดหมายถึงนายกของเวียดนาม กรณีที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจุดที่ใกล้กับ จ.อุบลราชธานี นอกจากนั้นจะทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย จากนั้นในวันที่ 18 มี.ค.หรือ 21 มี.ค.นี้จะเดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีด้วย พร้อมกับรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันเรียกร้องไม่ให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 
 
สดใส กล่าวยืนยันด้วยว่า เครือข่ายฯ จะทำการเคลื่อนไหวคัดค้านไปทุกรัฐบาล อีกทั้งจะมีการให้ข้อมูลที่แท้จริงแก่ประชาชน เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลด้านเดียวมาโดยตลอดว่า พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาด ราคาถูก แต่ไม่พูดถึงผลกระทบ อีกทั้งที่ผ่านมาการผลิตกระแสไฟฟ้าคนใช้คืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในขณะที่ประชาชนเป็นผู้เดือดร้อนจากผลกระทบของโครงการ
 
“หากประชาชนมีส่วนร่วมจริงๆ ประเทศเรามีทางเลือก นิวเคลียร์ไม่ใช่ทางออก” สดใสกล่าว
 
 
มุมมองจากชาวบ้านในพื้นที่เป้าหมายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
 
มานะ ช่วยชู ตัวแทนเครือข่ายพลังงานจากจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวแสดงความเสียใจต่อประชาชนชาวญี่ปุ่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับสังคมทั่วโลก ใน 2 ประเด็น คือ เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์อย่างแท้จริง มนุษย์ไม่สามารถไปควบคุมหรือจัดการได้ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยอมให้เกิดการระเบิดขึ้น และประเด็นต่อมาคือสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้เสมอ ดังกรณีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ พร้อมฝากคำถามถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดหาไฟฟ้าว่า แม้จะเชื่อมั่นในเทคโนโลยีแต่เชื่อจริงๆ หรือว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดในประเทศไทย
 
“ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลในโอกาสที่รัฐบาลนี้กำลังหมดวาระไปด้วยการยุบสภา อยากเรียกร้องให้เกิดผลงานที่ชัดเจนของรัฐบาลเป็นครั้งสุดท้าย โดยการมีกระบวนการที่จะนำไปสู่การยกเลิกการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย” มานะกล่าว
 
“ประกาศยกเลิกไปเลยครับ ท่านนายกครับ เอาโครงการนี้ออกจากแผนพีดีพีไปเลยครับแล้วท่านจะได้รับความสนับสนุนจากประชาชนให้เป็นรัฐบาลสมัยหน้าอีกสมัยครับ” บุญเรือง เรืองอร่ามศรี เครือข่ายพลังงานจากจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวฝากไปถึงนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ
 
ส่วนพรพิพัฒน์ วัดอักษร เครือข่ายพลังงานจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่าแม้จะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าทันสมัยแต่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะมนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเอาชีวิตประชาชน ไปเสี่ยงกับเทคโนโลยีที่ไม่มีความปลอดภัยต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
 
“ทุกคนได้เห็นภาพที่โรงไฟฟ้าฯ ถูกตั้งขึ้นแล้ว ส่งผลกระทบ ซึ่งมันไม่ใช่เฉพาะชีวิต แต่ยังกระทบเศรษฐกิจ สังคม ผลเสียหายมากมาย” พรพิพัฒน์ ระบุ
 
“เราจะส่งมอบโลกใบนี้ให้ลูกหลานเราโดยมีสารปนเปื้อนอย่างนี้หรือครับ ในวันนี้เราสงสารประเทศญี่ปุ่น สงสารประชากรญี่ปุ่นที่ต้องเสียชีวิต แต่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เราต้องสงสารตัวเองหรือเปล่า” สนั่น กลับดี เครือข่ายพลังงานจากจังหวัดชุมพร ตั้งคำถามฝากไว้
 
วิจาร ขันธุวาร เครือข่ายผู้คัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จ.ตราด กล่าวว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เหมือนระเบิดเวลา ซึ่งสำหรับประเทศไทยไม่ต้องรอสึนามิ เพราะเรามีการคอรัปชั่น ทำให้การก่อสร้างโครงการไม่สามารถเชื่อถือไว้วางใจได้ ทั้งนี้จากตัวอย่างที่ผ่านมาจะเห็นว่าการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช้งบบานปลาย การกำจัดและจัดเก็บมีปัญหา จึงไม่อยากให้ดื้อสร้างอีกต่อไป
 
“หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับบ้านเรา จะมีใครรับผิดชอบชีวิตประชาชน นึกถึงว่าประเทศญี่ปุ่นเทคโนโลยีเขาเรียกว่าอันดับหนึ่งในโลกเขายังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงนั้นได้ แล้วจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยไม่รู้ว่ามาตรฐานการสร้างมันจะเท่ากับที่ญี่ปุ่นทำหรือเปล่า คิดแล้วยิ่งน่ากลัว ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ในบ้านเรา อยากให้พี่น้องในประเทศไทยทุกๆ คนมาช่วย ร่วมกันคิด ช่วยกันออกมาต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ช่วยเราด้วยค่ะ” พิระจิตร จันทรวรชาต เครือข่ายพลังงานจากจังหวัดนครสวรรค์กล่าว
 
ทั้งนี้ โครงการพลังงานนิวเคลียร์ของไทย ในขณะนี้อยู่ระหว่างการรายงานข้อมูลความพร้อมการก่อสร้างแก่สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ซึ่ง ไอเออีเอ จะส่งเอกสารตรวจสอบกลับมายังไทยในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนกระทรวงพลังงานจะต้องเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ ครม.ต่อไป เพื่อตัดสินว่าจะเดินหน้าในระยะที่ 2 หรือไม่ หลังจากที่มีการเสนอข่าวว่า ในระยะแรกที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงสร้างความเข้าใจ และเตรียมข้อมูลศึกษาก่อสร้างไปแล้ว
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อภิปรายไม่ไว้วางใจ: “มิ่งขวัญ” เปิด “อภิสิทธิ์” ชี้แจง

Posted: 15 Mar 2011 12:15 PM PDT

 
หมายเหตุ: เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้อภิปรายภาพรวมของญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นคนแรก และต่อมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายรัฐบาล อภิปรายชี้แจง

000

 

มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ
ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย

"ทุกรัฐบาลที่ผ่านมา 27 คนของในประเทศไทยก่อหนี้ไว้ 8.6 แสนล้านบาท แต่นายกฯอภิสิทธิ์ กู้และก่อหนี้ 1.4 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯ จะใช้หนี้อย่างไร เพราะมีแต่การกู้และการทุจริตเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังสร้างหนี้นอกระบบ โดยผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และตอนนี้ดอกเบี้ยทะลุ 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้นนายกฯ ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว"

 

การอภิปรายต่อจากนี้ไปจะเป็นการอภิปรายการบริหารงานที่ล้มเหลวของนายกฯ ที่ทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศไทย และก่อให้เกิดการทุจริตอย่างมากมาย ความล้มเหลวดังกล่าวนอกจากทำให้เกิดการทุจริตการไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดผลเสียอย่างกว้างขวาง ทั้งเศรษฐกิจระบบจุลภาคและมหัพภาค ทั้งข้าวยากหมากแพง ก่อให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เริ่มจากเรื่องปากท้องประชาชน ข้าวยากหมากแพง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องปาล์มน้ำมัน เครื่องมือเครื่องใช้และสบู่ถูกตัวและสินค้าอื่นๆ ที่ขึ้นราคา และยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อน้ำมันไบโอดีเซล และที่สำคัญกระทบราคาน้ำมันทั้งระบบ และกำลังจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาแก๊สหุงต้มและเอ็นจีวี จึงอยากให้ประชาชนรับฟังข้อมูลอย่างเป็นธรรม

การขาดแคลนน้ำมันปาล์มทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง อยากตั้งข้อสังเกตว่า สต๊อกน้ำมันปาล์มลดลงต่ำกว่าระดับเฝ้าระวังต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 และสต๊อกน้ำมันน้ำมันปาล์มลดลงสู่จุดวิกฤต ในเดือนธันวาคม 2553 แต่ทำไมเพิ่งมาอนุมัติการนำเข้าเมื่อเดือนมกราคม 2554 และสังเกตไม่ว่าผู้ปลูกปาล์มและส่งออกรายได้ของโลกประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย

แต่มาเลเซีย อินโดนีเซียมีการกำหนดประเภทของน้ำมันปาล์มหลากหลายมีมาตรฐานราคาที่ชัดเจน แต่ทำไมรัฐบาลไทยตัดสินใจนำเข้าจากพ่อค้าคนกลางของสิงคโปร์ซึ่งถือว่าเป็นนัยยะสำคัญในการทุจริต ทั้งที่ผลผลิตปาล์มในประเทศไทยพอต่อการบริโภคและส่งออก แบ่งไปทำไบโอดีเซลได้ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลนี้ทำให้พัง ประชาชนต้องแบกค่าใช่จ่ายน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกระทบค่าครองชีพอย่างรุนแรงน้ำกระทบต่อโครงสร้างของน้ำมัน และดูเหมือนว่าเกิดวิกฤตรุนแรงราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่อยู่ๆ ก็มีเจตนาดีแต่เป็นเจตนาดีประสงค์ร้าย เมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำมันขวดสีชมพู ขอตั้งเครื่องหมายคำถามว่าเงินไปตกอยู่ที่ใคร เพราะราคาโครงสร้างน้ำมันผันผวนอย่างหนัก และเกิดหนี้ก้อนใหญ่ที่ค้างอยู่จะสะเทือนสถานะของปตท.แน่นอน เมื่อรัฐบาลเอาเงินกองทุนน้ำมันมาใช้จนหมด อย่างก๊าซแอลพีจีถ้าไม่ช่วยราคาจะขึ้นแบบก้าวกระโดด การบริหารแบบนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหาศาล หากท่านหยุดชำระหนี้ ท่านจะสร้างหนี้ผูกพันมหาศาล

มีการสำรวจไปถามคน 100 คน ปรากฏว่าคน 72 คนบอกว่าเป็นการขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่เกิดจากการทุจริต และมีข่าวลือว่ามีการนำน้ำมันปาล์มเถื่อนเข้ามาก่อน จาก 3 บริษัท ซึ่งเรื่องนี้จะมีการอภิปรายแน่นอน และอยากทราบว่าการอนุมัติปาล์มเข้ามา 30,000 ตันจริงแล้วต้องผลิตได้ 60 ล้านขวด แต่เหตุใดจึงผลิตได้เพียง 44 ล้านขวด แล้ว 16 ล้านขวดหายไปไหน

ตอบง่ายๆ ท่านขาดประสบการณ์หรือบริหารไม่เป็นหรือกำลังปล้นประชาชน ถ้วนหน้าไม่เว้นเศรษฐีหรือยาจก เรื่องทั้งหมดจะส่งไปยังป.ป.ช. และต้องยอมรับว่าความล้มเหลวในการบริหารน้ำมันปาล์มปฏิเสธไม่ได้ว่าเชื่อมโยงกับการบริหารกลไกน้ำมันและก๊าซของประเทศ นายกฯต้องการตรึงนราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 30 ต้องใช้เงินอุดหนุนลิตรละ 5 บาท สมมติว่าเราใช้น้ำมัน 7 ส่วน 2 ส่วนเป็นน้ำมันเบนซิน อีก 5 ส่วนเป็นน้ำมันดีเซล เพราะฉะนั้นถ้าน้ำมันดีเซลเกิดผลขึ้นประชาชนต้องมีผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งการบริหารน้ำมันปาล์มทำให้โครงการไบโอดีเซลเกือบจะระงับยับยั้งลง รัฐบาลต้องนำเงินไปอุดหนุนลิตรละ 5 บาท วันนี้เงินกองทุนน้ำมันถึงวันที่ 14 มี.ค. 54 เหลือไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ใช้ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์สิ้นเดือนมี.ค.เงินจะหมดในกระเป๋าแล้ว ขอย้ำไม่มีอีกแล้ว ซึ่งฐานะกองทุนน้ำมัน ตัวเลข ณ วันที่ 14 มี.ค.54 เงินสดในบัญชีอ้างว่ามีอยู่ 32,082 ล้านบาท ปรากฏมีหนี้สินกองทุนต่างๆ ไม่ได้ชำระ 14,282 ล้านบาท

เพราะฉะนั้นถ้าหักฐานะของกองทุนทั้งหมดเบื้องต้นจะเหลือ 17,800 ล้านบาท แต่ฐานะของกองทุนที่มีมติไปแล้วว่าต้องชำระหนี้แต่ยังไม่มีการเบิกจ่ายอยู่ 13.000 กว่าล้านบาท เพราะฉะนั้นสถานภาพของกองทุนสุทธิจึงมีไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ขอยืนยันตัวเลขแท้จริงปรากฏเป็นหลักฐานสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ไม่บิดเบี้ยวหรือเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นภายในไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้น้ำมันดีเซลจะเกิดอะไรขึ้น

ตัวเลขน่าสะพรึงกลัวที่รัฐบาลกำลังทำไว้กับประชาชน กองทุนน้ำมันสะท้อนการบริหารจัดการและฝีมือในการบริหารจัดการประเทศ เงินไหลออกจากกองทุนน้ำมัน 1 วัน 300 ล้านบาท 10 วัน 3,000 ล้านบาท 1 เดือนจ่ายออก 9,000 ล้านบาท วันนี้กองทุนน้ำมันไม่ถึง 4,800 ล้านบาทเพราะฉะนั้นน้ำมันดีเซลจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตแน่นอน ยกเว้นจะไปกู้หนี้ยืมสินแบบมโหฬารครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์อีกครั้งเอามาโปะราคาน้ำมัน ตัวเลขนี้ต้องการเตือนสติในการแก้ไขปัญหา ถ้าไม่ท่านไม่พร้อมในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจให้ดีท่านต้องการผู้ใดขึ้นมาบริหารประเทศ”

ถ้าเงินกองทุนหมดรัฐบาลจะเกิดการชักดาบ ขณะนี้ ปตท.ถูกสถาบันมูดี้ส์ลดความน่าเชื่อถือทางการเงินลง นั่นเป็นการสั่นสะเทือนสถานภาพของปตท.เรียบร้อย และจะต้องลดลงไประยะยาวถ้าปตท.ไม่ชำระหนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเงินกองทุนน้ำมันจะมีผลต่อค่าใช้อย่างรุนแรงและไม่เคยปรากฏก่อน เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันดีเซลขึ้นไปถึง 36บาทแน่นอน และก๊าซแอลพีจีก็จะราคา 30 บาทคนหุงต้มจะอยู่ได้อย่างไร นี่มหันตภัยอย่างรุนแรง ดังนั้นรัฐบาลคงไม่ปล่อยต้องกู้เงินมาเพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องเข้าไป 2-3 เดือน เป็นหนี้มหาศาลให้รัฐบาลต่อไปรับภาระ ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์โชคดีมีเวลาทำงาน 800 วันในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบไม่แพงเมื่อเทียบกับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ สมัยท่านราคาน้ำมันดิบอยู่ 32 เหรียญต่อบาร์เรลถือว่าโคตรถูกเมื่อเทียบกับรัฐบาลนายสมัครราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 110 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ไมได้ทำให้คนไทยมีความสุขให้ประชาชนแม้แต่น้อย และจะทำให้ในอนาคตเราต้องกินไข่เจียว 20 บาทเป็น 30 บาทแน่นอน

ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ที่น้ำมันราคาแพง เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขึ้นเพดานภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซลจาก 4 บาทเป็น 10 บาทและน้ำมันเบนซินจาก 5 บาทเป็น 10 บาท จึงขอยืนยันว่าบัญชีมีสองหน้า รัฐบาลนี้จะหมดสิ้นงบประมาณในกองทุนน้ำมันหมดในสิ้นเดือน มี.ค.แน่นอน

จะเห็นว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวในการบริหารน้ำมันอย่างสิ้นเชิง วันนี้ทุกไทยทุกคนจะต้องลิ้มรสข้าวยากหมากแพงขึ้นทุกขณะ เพื่อยืนยันข้อมูลตรงนี้ไม่ต้องให้กองงานโฆษกหรือรองนายกฯหรือนายกฯ มาแก้แต่อย่างใด เพราะข้อมูลกองทุนน้ำมันเปิดเผยชัดเจน ตนไม่ได้บิดเบือนข้อมูล ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พูดมาเป็นจุดวิกฤต จุดเสื่อมสลายความอ้อนด้อยในการบริหารและหายนะกำลังพุ่งเข้ามา มองเผินๆ ราคาน้ำมันปาล์มราคาสูงไม่มีอะไร แต่กองทุนน้ำมันกำลังจะหมด สภาพคล่องกำลังจะหมดไป

ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ นายมิ่งขวัญได้มีการเปรียบเทียบราคาข้าวสมัยนายมิ่งขวัญเป็น รมว.พาณิชย์ดูแลเรื่องข้าวซึ่งมีราคาสูงกว่าสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ โดยนายมิ่งขวัญกล่าวว่า สมัยตนราคารับจำนำข้าวเปลือกข้าวเจ้า 14,000 บาทต่อเกวียน ขณะที่ข้าวสารอยู่ที่ 30,000 บาทต่อเกวียน แต่รัฐบาลนี้ประกันราคาข้าวอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเกวียน แต่ขายได้จริงๆ อยู่ที่เกวียนละ 6,000-7,000 บาท บางจังหวัดได้ 5,700 บาท ทำให้ชาวบ้านเอาข้าวมาเทที่ถนนก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบาย 3 วันเท่านั้น ถามว่าอีก 4,000-5,000 บาทหายไปไหน เพราะในสมัยรัฐบาลสมัคร มีการรับจำนำ 1.4 หมื่นบาท โดยราคาขายจริงมากกว่า 1.4 หมื่นบาท สถานการณ์แบบนี้พ่อค้าคนกลางกดราคาใช่หรือไม่

อีกทั้งยังมีปัญหาสต็อกลมที่นางพรทิวา นาคาศรัย รมว.พาณิชย์บอกว่ามี 6 ล้านตัน แต่กลับไม่มีข้าวจริง และการประกาศขายข้าว 4 ล้านตัน ก่อนการเก็บเกี่ยวมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง และมีการทุจริตเกิดขึ้น เรื่องนี้จึงเป็นความอัปยศในการค้าข้าว นอกจากนี้ได้อภิปรายในประเด็นการแก้ไขไข่แพง ด้วยการนำไข่มาชั่งกิโลขาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเข้าสู่ปัญหาข้าวยากหมากแพง และยืนยันว่าตนเป็นผู้นำในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และตนพยายามทำให้เป็นระบบ และข้าราชการเขาทนไม่ได้ที่มีการทุจริตเกิดขึ้น ทำให้ตอนที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายนั้นมีเอกสารหลักฐานการทุจริตหลั่งไหลเข้ามา ดังนั้นการอภิปรายครั้งนี้จะไม่มีการขี่ม้าเลียบค่ายแน่นอน

นายมิ่งขวัญ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ ล้มเหลวเรื่องการบริหารการเงินการคลัง เพราะทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติการณ์ โดยเฉพาะการตั้งงบ 2.07 ล้านบาทในปีงบประมาณล่าสุดที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะรัฐบาลฟุ่มเฟือย โดยมีงบลงทุนเพียง 16% เพียง 3.4 แสนบาท สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตไม่ได้ 

ทั้งนี้เพราะทุกรัฐบาลที่ผ่านมา 27 คนของในประเทศไทยก่อหนี้ไว้ 8.6 แสนล้านบาท แต่นายกฯอภิสิทธิ์ กู้และก่อหนี้ 1.4 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯ จะใช้หนี้อย่างไร เพราะมีแต่การกู้และการทุจริตเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังสร้างหนี้นอกระบบ โดยผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และตอนนี้ดอกเบี้ยทะลุ 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้นนายกฯ ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว

ยังมีกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าไปแทรกแซงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินคดีผู้กระทำผิดในคดีอาญาในข้อหาแสดงภาษีอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี กรณีบริษัทฟิลิป มอร์ริส ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีเป็นเงิน 68,881,394,278.69 บาท ทำให้รัฐเสียหาย เรื่องนี้ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้อภิปราย ซึ่งหากนายกฯ ตอบเรื่องนี้ไม่ได้ต้องลาออกกลางสภาฯ

การอภิปรายครั้งนี้จะมีการอภิปรายการทุจริตในหลายๆ เรื่อง ทั้ง การทุจริต รถเมล์เอ็นจีวี หวยกาชาด รวมถึงเรื่องการออก พ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง 400,000 ล้าน ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนการใช้งบประมาณเพิ่มเติมที่ใช้เงินเกินงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นายกฯสั่งสลายม็อบ ซึ่งเป็นการฆ่าประชาชน ใครทำอะไรไว้ต้องรับ สิ่งเหล่านั้นต้องได้รับการเปิดเผย

การอภิปรายครั้งนี้ขอให้ประชาชนเปิดใจกว้างรับฟังข้อมูลทั้งสองฝ่าย อย่าปิดบังอย่าเซนเซอร์ข้อมูลแล้วจะรู้ว่าความจริงคืออะไร สุดท้ายนี้อยากฝากบอกนายกฯว่า หมดเวลาก่อหนี้ หมดเวลาอยู่ต่อไป และหมดเวลาของนายอภิสิทธิ์แล้ว และเชื่อว่าจะคืนไมโครโฟนให้ผมได้พูดอีกครั้งในเวลา 21.00 น.ของวันศุกร์ แล้วตนจะรอฟังการชี้แจงของนายกฯและรัฐมนตรีอย่างใจจดใจจ่อ

 

000

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี

“ผมยืนยันว่าการที่เรากู้มาและกระตุ้นเศรษฐกิจจนรายได้ฟื้น และขณะนี้ฐานะทางเงินคงคลังดีขึ้น และรัฐบาลก็ยืนยันในการเดินเข้าสู่การมีงบสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ” 

 

ท่านประธานที่เคารพกระผมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีโดยข้อเท็จจริงแล้ววันนั้นผมก็ตอบท่านด้วยไมตรี ไม่นึกว่าจะเป็นความแค้นถ้ามีความแค้นจะเกิดขึ้นก็คงต้องบอกว่าไม่ได้เกิด ขึ้นจากผม เกิดขึ้นจากความจริงที่ผมได้นำเสนอเท่านั้นเอง วันนี้ก็เช่นกัน ผมอยากจะกราบเรียนว่าผมไม่ใช่คำเดิม แต่ผมต้องใช้ว่าข้อมูลของท่านก็ยังเป็นข้อมูลที่มีการตกแต่งหรือตัดต่อ เพราะข้อเท็จจริงที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไป คือการมาดูภาพรวมอย่างชัดเจน ท่านอภิปรายไว้ 5 ประเด็น ประเด็นสุดท้ายท่านเน้นกลับไปในเรื่องเดิมซึ่งผมเคยชี้แจงแล้วในเรื่องของ ปัญหาการกู้ และปัญหาหนี้สิน ตัวเลขท่านพูดถูก บอกว่าเอามาจากหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ แต่วิธีการนำเสนอการใช้เหตุผลประกอบ หรือการชวนให้คนคิดไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงต่างหาก คือปัญหาที่จำเป็นจะต้องพูดกัน และผมดีใจ ผมดีใจว่าวันนี้ท่านพูดชัดเจนว่าท่านพูดที่ท่านเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีเรา ก็จะได้เปรียบเทียบแนวคิดหลักการ วิสัยทัศน์ ในการบริหารประเทศ

ผมเองก็กราบเรียนว่าเรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญทั้ง สิ้น เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้อภิปรายครอบคลุมเป็นถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เพื่อนสมาชิก ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติมาและก็เป็นเรื่องหลักในการถอดถอนผมก็คือเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ก็เข้าใจว่าคงจะมีสมาชิกท่านอื่นมาอภิปรายว่า แต่ผมกราบเรียนว่าที่ท่านบอกว่าจำเป็นต้องมาอภิปรายซ้ำในปีนี้ ผมก็ขอเรียนว่าในฐานะที่ท่านจะเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีท่านก็ควรจะมีจุดยืน ที่ชัดเจนเช่นเดียวกันว่า ท่านมีความคิดอย่างไร ต่อการปลุกระดมให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง ท่านมีความคิดอย่างไรกับการที่มีความพยายามที่จะเอาสร้างความแตกแยกเพิ่ม เติมในสังคม เพราะผมเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีที่จะมีความ สำคัญมากที่จะบริหารประเทศต่อไป แต่ผมจะผ่านประเด็นนั้นไปก่อน เพราะว่าจะชี้แจงในช่วงที่มีการอภิปรายในเรื่องนั้น กลับมา 5 เรื่องหลักที่ท่านพูด

เรื่องแรกเรื่องหนี้ผมจะใช้วิธีย้อนกลับไป เรื่องหนี้สิน เรื่องการกู้เงินท่านก็พยายามพูดบอกว่าผมในฐานะนายกรัฐมนตรีกู้มากที่สุด เปรียบเทียบเป็นปีได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง แต่ไม่รู้จักวิธีการหาเงิน ทำไมท่านไม่เอาตัวเลขการหาเงินเข้าประเทศ เรื่องการส่งออก กับการท่องเที่ยวมาให้พี่น้องประชาชนทราบ ว่าปี 2553 ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามาจากต่างประเทศสู่ประเทศ ไทยสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ทำไมท่านไม่พูดบ้างล่ะครับว่าตัวเลขของการส่งออกเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดใน ประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน และพูดง่าย ๆ ก็คือการหารายได้เข้าประเทศ ถ้าดูจากบัญชีการส่งออก และการบริการก็เป็นการมีรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน ท่านเอาที่ไหนมากล่าวหาว่ารัฐบาลนี้ไม่หารายได้ และท่านก็ต้องเข้าใจดีอยู่แล้วตัวเลขจะเป็น งบประมาณ จะเป็นรายได้ จะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว หนี้สิน มันเติบโตของมันโดยลำดับอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ถ้ารองท่านเองเรื่องของการหารายได้มาบอกเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ผมก็ได้หมดอีกแหละครับ แต่ท่านไม่พูด ท่านพูดให้เกิดความเข้าใจว่ามันเป็นเฉพาะเรื่องหนี้สินเป็นเรื่องของการกู้ เงิน ไม่ใช่ครับ และตัวเลขที่ท่านพูดวันนี้ก็สะท้อนวิสัยที่ต่างกันระหว่างท่านกับผม

ผมบริหารประเทศผมทราบดีว่าไม่เหมือนบริหารธุรกิจ ตัวเลขการขาดดุลรายได้ ตัวเลขการตัดสินใจการกู้ยืมเงินของรัฐบาลมันคิดแบบธุรกิจไม่ได้ วิสัยทัศน์ซึ่งผมไม่ทราบว่าท่านโต้แย้งหรือไม่ก็คือว่ายามใดที่เศรษฐกิจตก ต่ำประชาชนยากลำบากรัฐบาลต้องเข้าไปเป็นหนี้ และถ้าเราทำอย่างนี้แล้วเศรษฐกิจฟื้นเร็วในที่สุดหนี้ของรัฐบาลก็จะลดลง ในทางตรงกันข้ามในยามที่ยากลำบากวันที่ฝ่ายท่านออกจากตำแหน่งไป และเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าวันนั้นรัฐบาลไม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจกู้หนี้ยืมสินแล้ว พี่น้องประชาชนจะยากลำบากมาก คนจะตกงานอย่างที่ท่านเคยพูดไว้ 1 ล้านคน 2 ล้านคน เขาจะไม่มีรายได้ แล้วในที่สุด รัฐบาลก็เป็นหนี้อยู่ดี เพราะเขาจะไม่มีภาษีจ่ายให้กับรัฐบาล ถ้าพูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์แนวคิดทางเศรษฐกิจต้องพูดกันอย่างนี้ และผมก็ยืนยันว่าจากการที่เรากอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2551 ปลายปีมาจนถึงปัจจุบัน สถานะการเงินของประเทศ การคลังของประเทศ ไม่ได้แย่ลงอย่างที่ท่านพูด และตัวเลขท่านวันนี้ท่านก็มาแก้ตัว 2 จุดที่พยายามเอาตัวเลขว่าของผมสูงกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ รวมกัน

ประการแรกท่านบอกว่าที่ท่านนายกทักษิณกู้ 7 แสนล้านไม่ให้นับก็เป็นความคิดของท่าน ผมเพียงแต่ถามว่ากู้มา 7 แสนล้าน ความจริงกู้จริงก็ประมาณ 6 แสนกว่าล้านในวันนั้น เอามาใช้หนี้เพื่อช่วยภาคธนาคารเลยไม่ต้องนับใช่ไหมครับ แต่ผมกู้มาเพื่อสร้างงานให้ประชาชนให้ประชาชนมีรายได้ ให้โรงเรียนมีการปรับปรุง โรงพยาบาลมีการปรับปรุง มีถนนไร้ฝุ่น มันผิดใช่ไหมครับ ทำแหล่งน้ำให้ประชาชนมันผิดใช่ไหมครับ ต้องกู้มาใช้หนี้ให้นายธนาคารจึงจะไม่นับเป็นหนี้อย่างนั้นเหรอครับ นี่ก็ 7 แสนล้านที่ท่านบอกว่าของท่านไม่นับ ออกไปดื้อ ๆ เลยครับ แต่ผมก็ยืนยันว่าหนี้ก็คือหนี้ เพียงแต่ว่าจะมาใช้อะไรเป็นคนละประเด็นกับเสถียรภาพว่าหนี้หรือไม่มีหนี้ ผมยืนยันว่าการที่เรากู้มาและกระตุ้นเศรษฐกิจจนรายได้ฟื้น และขณะนี้ฐานะทางเงินคงคลังดีขึ้น และรัฐบาลก็ยืนยันในการเดินเข้าสู่การมีงบสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ

นอกจากนั้นท่านยังบอกอีกว่าที่ท่านยกว่าหนี้ของปีงบประมาณ 2552 ที่บอกว่ามีการกู้เงิน 4 แสนกว่าล้านที่มานับรวมให้ยอดในการกู้ในช่วงรัฐบาลผมสูง วันนั้นผมก็ชี้ให้เห็นว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรม เพราะว่าเป็นงบประมาณที่รัฐบาลท่านเป็นคนผ่านออกมาเป็นกฎหมาย และก็ขาดดุลไปแล้ว 350,000 ล้าน หรือ 3 แสนล้าน วันนี้ท่านแสดงออกถึงภาวะความเป็นผู้นำของท่าน ท่านบอกว่า 3 แสนล้านนี้ถึงแม้ท่านเป็นคนวางแผนผ่านออกมาเป็นกฎหมายออกมาเป็นงบประมาณไว้ ผมเข้ามามีสิทธิ์ที่จะไม่ใช่ ท่านครับ แปลว่าตอนที่ท่านจัดแล้วขาดดุล 3 แสนล้าน ท่านจัดไว้อย่างนั้นใช่ไหมครับ ไม่ใช้ก็ได้ใช่ไหมครับ แล้วมีเจตนาอะไร ที่จัดไว้ถึง 3 แสนกว่าล้านที่ขาดดุล ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เจตนาคืออะไร ความรับผิดชอบอยู่ตรงไหน วุฒิภาวะคืออะไร ผมถึงบอกว่าตัวเลขเนี่ยท่านเอามาบวกแบบของท่าน แต่มันไม่ได้บ่งบอกอะไรเลย แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นหลักที่เราน่าจะต้องดูมากกว่าเป็นบรรทัดสุด ท้ายในการประเมินว่าที่ทำมาทั้งหมด ในที่สุดแล้วฐานะของบ้านเมืองของประเทศ และในเรื่องของความมั่นคงทางการเงินการคลังเป็นอย่างไร มันไม่ได้จะหายนะอย่างทีท่านพูดหรอกครับ หลักสำคัญที่สุดก็คือว่าหนี้สาธารณะ คือการกู้เงินทั้งหมด การบริหารเงินทั้งหมดของประเทศ เขาดูกันว่าเทียบกับรายได้ของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวม ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ หรือจีดีพี สัดส่วนมันเท่าไหร่ วันที่รัฐบาลท่านายกทักษิณ เพราะว่านั่นเป็นรัฐบาลที่ท่านชอบเปรียบเทียบด้วย ออกไปจากตำแหน่งสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี คือ ร้อยละ 42.75 วันนี้หรือเอาตัวเลขเดือนมกราคมปีนี้ ที่พวกผมบริหารอยู่ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีคือร้อย 41.94 ฐานะประเทศมั่นคงกว่าเมื่อปี 2549 รัฐบาลที่ท่านบอกว่าบริหารการเงินการคลังได้วิเศษสุดมีเวลาบริหารอยู่ 6 ปี ในภาวะซึ่งไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ แต่พวกผมบริหารในภาวะซึ่งมีวิกฤตเศรษฐกิจและทั่วโลก พี่น้องประชาชนที่ดูข่าวต่างประเทศจะทราบว่ามีกี่ประเทศที่เข้าสู่วิกฤตหนี้ สาธารณะ แต่ผมรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อรายได้ของประเทศให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า วันที่รัฐบาลนายกทักษิณที่ท่านบอกว่าบริหารได้ดีที่สุดออกไปจากตำแหน่ง

ผมเคยกราบเรียนท่านประธานในวันที่ท่านอภิปรายเรื่องนี้ในวันพิจารณางบประมาณกลางปี เช่นเดียวกันว่านอกเหนือจากตรงนี้แล้วที่ต้องดูอีกก็คือว่า ถ้าบ้านเมืองนี้กำลังจะล่มสลายคนที่เขาให้กู้เงินกับรัฐบาลเขาจะบอกว่าเรา ไม่น่าเชื่อถือ เราไม่ควรที่จะเป็นคนที่ได้รับการกู้เงิน เขาจะจัดลำดับ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า เครดิตเรทตี้ ตกต่ำลง แต่ที่ผมบริหารขณะนี้เขาปรับเราดีขึ้น แสดงว่าเขายอมรับว่าฐานะของประเทศไทยในขณะนี้มั่นคงขึ้น ผมเชื่อว่าท่านส.ส.มิ่งขวัญท่านเป็นคนติดตามข่าวสารในเรื่องนี้ท่านทราบดี แต่ท่านเลือกจะไม่พูดที่จะนำเสนอตัวเลขทีมาตรฐานของสากล ที่นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการเขาใช้กันในการประเมินฐานะของประเทศ เพื่อมาบอกความจริงให้พี่น้องประชาชนทราบ ไม่หายนะหรอกครับ และที่ท่านบอกว่าเมื่อมีการกู้เงินบริหารกันมาอย่างนี้ผมต้องก้มหน้ารับ ผมยืนยัน ผมจะรับผิดชอบตรงนี้ ถ้าท่านคิดว่าตัวเลขอย่างนี้บริหารแล้วหายนะท่านบอกประชาชน ผมจะไปบอกประชาชนในการเลือกตั้งว่าผมบริหารให้มั่นคงได้ต่อไปอย่างแน่นนอน ผมยินดีที่จะรับผิดชอบตรงนี้ต่อไป เพราะผมมั่นใจว่าขณะนี้แนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องความมั่นคงของเศรษฐกิจใน ภาพรวมนั้นเป็นเรื่องที่เราได้ดำเนินการมาเป็นที่ยอมรับ และสามารถบริหารจัดการต่อไปได้ แต่แน่นอนปัญหาในเรื่องของความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เรื่องของแพง เรื่องรายได้ เป็นเรื่องที่เรายังต้องเผชิญ ซึ่งกระผมก็จะได้กราบเรียนต่อไป แต่ประเด็นที่ท่านพูดเป็นประเด็นที่ 5 เรื่องหนี้ เรื่องการกู้ ผมว่ามันชัดเจนแล้ว วาทกรรมมันเป็นเรื่องของการพยายามเอาคำพูดมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้คนเข้าใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง การมาตอกย้ำเรื่องการกู้ของท่านคือวาทกรรมอย่างแท้จริง แต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจต้องวัดกันด้วยมาตรฐานที่นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญการเงินการคลัง สถาบันการเงิน และคนที่เขาวิเคราะห์เศรษฐกิจเขาว่ากัน ผมไม่เอาวาทกรรม ผมเอาของจริง ผมเอาตัวเลขสั้น ๆ เพราะว่าผมไม่มีโอกาสที่จะไปเตรียม 119 รูป ไปขออนุญาตท่านประธานไม่ทัน แต่บอกสั้น ๆ ว่าช่วงแรกที่ผมตอบ ผมยืนยันที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดเรื่องการกู้ เรื่องหนี้ ทำให้คนคิดว่าเกิดหายนะจากการบริหารการเงินการคลังตรงกันข้าม

ประเด็นที่ 4 ที่ท่านอภิปราย เรื่องนี้ผมไม่พูดมาก เพราะว่าท่านบอกว่าจะมีเพื่อนสมาชิกมาอภิปรายในรายละเอียด คือปัญหาเรื่องการเก็บภาษีบุหรี่จากบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ผมเรียนสั้น ๆ ว่าที่ท่านเอาตัวเลขมาเปรียบเทียบ เพื่อที่จะให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่ามีพิรุธก่อนท่านเอาการนำเข้าของบริษัท ที่ขายสินค้าปลอดอากรมาเปรียบเทียบกับการขายตามติด คนที่นำเข้ามาขายตามปกติ ซึ่งท่านทำธุรกิจมาก่อนท่านน่าจะทราบ ว่ามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้เฉย ๆ ไม่ได้ แต่ว่ารายละเอียดไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะชี้แจง และท่านก็ท้าผมบอกว่าถ้าผมตอบไม่ได้ ผมลาออก เดี๋ยวผมจะตอบ และพี่น้องประชาชนจะต้องตัดสินว่าผมตอบได้หรือไม่ได้ แต่ที่ท่านกล่าวหาว่าผมไปแทรกแซง ไปสั่งข้าราชการ ไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่แน่นอน และก็สับสนมาก เพราะว่าผมไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคดี ที่ผมสั่งการให้มีการประชุมเป็นคนละเรื่องกัน คือเรื่องของ WTO ไม่ใช่เรื่องของคดีภายในประเทศ กรุณาอย่าหยิบตรงนั้นมาชนตรงนี้ จับแพะชนแกะ แล้วทำให้เกิดความไขว่เขว ความสับสน ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะต้องมีคำถามมาอีก ผมจะไปลงรายละเอียดตอนนั้น แต่ว่าท่านบอกว่าถ้าผมตอบไม่ได้ให้ผมลาออก ถ้าผมตอบได้ ผมไม่เรียกร้องท่านลาออก เอาว่าถ้าผมตอบได้ท่านอยู่ต่อไปเถอะครับ เสนอตัวแข่งขันกับผมต่อไปในฐานะนายกรัฐมนตรี

ท่านประธานที่เคารพ ประเด็นที่ผมจำเป็นต้องชี้แจงยาวเป็นพิเศษมี 2 เรื่อง ที่เป็นเรื่องที่มีความหมายและมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้อง ประชาชน นั่นก็คือเรื่องข้าวกับเรื่องของการบริหารจัดการในเรื่องน้ำมันกับพลังงาน ซึ่งผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าถ้ารัฐบาลบริหารกันเสียหายในเรื่องของพลังงาน ขนาดนี้ก็แปลกที่ท่านไม่อภิปรายท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเลย อ้างว่าผมรักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดียว กฎหมายที่ท่านพูด 2516 คือดูแลไม่ให้น้ำมันขาดแคลนในประเทศ กองทุนน้ำมันผมไม่ได้เป็นกรรมการนะครับ แต่ไม่เป็นไรผมดูแลนโยบาย ผมรับผิดชอบ และจะอธิบายและชี้ให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ แนวทางการบริหารจัดการมันต่างกันอย่างไร แต่ว่าเอาเรื่องข้าวก่อน ท่านผู้อภิปรายคุณมิ่งขวัญภาคภูมิใจมากเลยว่าท่านบริหารข้าวจนประสบความ สำเร็จเป็นปีทองของข้าว ที่จริงผมคิดว่าคนที่จะเป็นผู้นำประเทศควรจะทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับพี่ น้องประชาชนก่อนว่าสินค้าหลายตัว โดยเฉพาะสินค้า อย่างเช่น สินค้าการเกษตร ภาวะตลาดโลกมีความสำคัญมากต่อราคา ถ้าท่านคิดว่าปี 2551 ราคาข้าวที่ได้ดี เพราะฝีมือ แปลว่าฝีมือท่านทำให้ราคาข้าวทั่วโลกเลยเหรอครับสูงขึ้น ผมอ่านอย่างไรเขาก็วิเคราะห์กันว่าย้อนกลับไปปี 2551 ที่ราคาข้าวมันสูง เพราะเกิดปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ทำให้ผลผลิตในโลกลดลงมาก ที่สำคัญที่สุดภาวะในเรื่องของการขาดแคลนอาหารเข้าสู่วิกฤตถึงขั้นที่มีหลาย ประเทศมีมาตรการห้ามส่งออกข้าว เวียดนาม อินเดีย หลายประเทศ เขาห้ามส่งออกข้าว เพราะฉะนั้นที่มันเป็นปีทองเหตุผลคือตรงนี้ เพราะใครจะซื้อข้าวก็ต้องวิ่งมาซื้อจากเรามากที่สุด เพราะหลายประเทศไม่ยอมส่งออก นี่คือลักษณะของความจริงที่เราควรจะให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบ

นอกจากนั้นก็จะเห็นว่าท่านได้พูดว่าภาวะตอนนั้นดี และนโยบายที่ท่านทำผมก็เรียนยืนยันว่าวันนี่ผมพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้ง แล้วก็บอกพี่น้องประชาชนว่าเลือกพวกผม ประกันรายได้เดินหน้าต่อ เลือกพวกท่านยกเลิกโครงการนี้ พร้อมสู้ เพราะผมมั่นใจว่าแนวทางที่ทำอยู่ขณะนี้เป็นแนวทางที่ช่วยเหลือพี่น้อง เกษตรกรได้ครอบคลุมทั่วถึง และเป็นธรรมมากกว่า และตรงกันข้ามกับที่ท่านพูด บิดเบือนกลไกตลาดน้อยกว่าท่าน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันเสาร์ที่ผ่านมาประทานโทษผมไปตรัง แต่ไปคุยกับพี่น้องชาวศรีษะเกษ ซึ่งเวลาที่เขาว่างเว้นจากการทำนา เขาก็จะไปหางานที่ภาคใต้ เขาไปก่อสร้าง จำได้ว่ามีทุกคนที่นั่งคุยกับผมที่บ้านทำนาหมด ก็คุยกันเรื่องนี้ ถามว่าประกันรายได้กับจำนำเป็นอย่างไร ผมจำได้ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อปู บอกว่าจำนำข้าวประกาศราคาสูง ๆ ดีทั้งนั้น แต่เขาไม่เคยได้ไปไม่ทัน ไปจำนำไม่ได้ มีอีกคนหนึ่งบอกว่าที่บ้านทำนาจริง ปลูกข้าวจริง ข้าวเหนียว แต่ว่าปลูกแล้วเก็บไว้รับประทานเอง บริโภคเอง กินเอง จะจำนำเท่าไหร่ก็เท่านั้นล่ะ แต่ว่าถ้าประกันรายได้ ถ้าราคาในตลาดต่ำกว่าราคาประกันเขาได้ เพราะฉะนั้นตัวเลขเวลาท่านพูดว่าเกษตรกรขายได้เท่านั้น เท่านี้ ตามราคาที่ท่านประกาศว่าจำนำมันไม่จริง มันจริงเฉพาะเกษตรกรประมาณ 1 ใน 4 เท่านั้นเอง แล้วที่สำคัญข้าวจากการจำนำที่เก็บมาในสมัยท่านแล้วเมื่อผมเข้ามาในช่วงรอย ต่อจำเป็นต้องจำนำข้าวต่อ แล้วเก็บเป็นสต๊อกของรัฐบาล ตัวนี้และคือตัวที่บิดเบือนกลไกตลาดอย่างแท้จริง เพราะไปซื้อเขามาราคาสูง เก็บไว้ในสต๊อก เก็บไว้สักพักข้าวก็เสื่อมสภาพ พ่อค้าทั่วโลกรู้ว่ารัฐบาลไทยมีข้าวในสต็อกเยอะ ๆ ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องแย้งซื้อข้าวและทำให้ข้าราคาขนยับขึ้น เพราะสต็อกมันทับอยู่ รู้ว่ายังไงก็ต้องขายออกมาวันหนึ่ง เพราะว่าเก็บไว้ก็เสื่อมก็หายไปเฉย ๆ ขายก็ขายอยาก เพราะว่าเป็นรัฐบาลเข้ามาซื้อไปซื้อไว้แพง ๆ พอจะขาดต้องขาดทุนก็มีปัญหาลังเลกันตลอดว่าขายแล้วขาดทุนจะถูกต่อว่า จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจกันหรือป่าว

นี่คือระบบจำนำของท่าน แต่ประกันรายได้ทุกคนขึ้นทะเบียนปลูกข้าว จะขาย จะรับประทานเอง จะน้ำท่วม ภัยแล้ง แมลงศัตรูพืช ได้รับการชดเชยถ้าราคาตลาดต่ำกว่าราคาประกัน นี่คือความแตกต่าง และโดยข้อเท็จจริง ท่านพูดพูดแต่เฉพาะข้าวขาว ท่านเทียบราคาตำนนี้ก็ได้ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ พี่น้องยากจนที่สุดอยู่อีสาน ราคาข้าวในช่วงที่เราเข้ามารับผิดชอบต่ำกว่ายุคของท่านที่เป็นยุคทอง ราคาใกล้เคียงกันมากมีแต่ข้าวขาวเท่านั้นที่เรากำลังบริหารจัดการอยู่ แต่เมื่อพี่น้องเดือดร้อนต้นทุนเพิ่มขึ้น เราก็เพิ่มราคาประกันให้ เพราะฉะนั้นผมก็ยืนยันว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าไหน ๆ ท่านพูดแล้วว่ายุคของท่านเป็นยุคทองของการบริหารจัดการ และบอกว่าผมอ่อนด้อยประสบการณ์ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ ผมก็จำเป็นต้องพูดว่าท่านนะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บริหาร ข้าวอย่างไร ใช่ครับ ท่านเก็งตลาด บอกหมดเลยพี่น้องเกษตรกรชาวนาอย่างเพิ่งขายข้าว รอให้ถึง 30,000 ก่อน เชื่อท่านไปหลายคน เสียหายไปเยอะ เพราะราคาข้าวตกในที่สุดสมัยที่ท่านอยู่ แล้วท่านก็บริหารข้าวในสต็อกเสียหายมาก เพราะที่เก็บไว้ 2 ล้านไม่ยอมขาย ไม่ยอมขายเวลาราคาดี สุดท้ายรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนชุดต่อมาต้องมาขายขาดทุน เพราะราคาตกไปแล้ว ผมจำได้การบริหารของท่านตอนนั้นที่ท่านบอกว่าท่านเก่งกว่าผมมีประสบการณ์ มากกว่าผม แล้วไปชักชวนชาวนา ชักชวนพ่อค้าทุกคนว่าให้ทำอย่างนี้ สุดท้ายท่านเก็งตลาดผิด จำไม่ได้เหรอครับ ข้าวตก และช่วงนั้นก็ทะเลาะขัดแย้งกันมากในรัฐบาลของท่านเอง เอาข้าวออกมาทำข้าวถุง และสุดท้ายคนที่ตัดสินท่านไม่ใช่พวกผม แต่พรรคของท่านเองปรับท่านออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมจำได้ผมต้องทำหน้าที่พูดสรุป ผมสรุปประโยคเดียวเลยว่าคำอภิปรายไม่ไว้วางใจนายมิ่งขวัญในฐานะรัฐมนตรีว่า การกระทรวงพาณิชย์ที่มีน้ำหนักมากที่สุด ต้องขอประทานโทษที่เอ่ยนามท่านก็คือคำอภิปรายของท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ที่ตำหนิท่านชัดเจน และในสื่อมวลชนก็ลงเอาไว้วางเป็นอย่างไร มีเรื่องข้าว ผมเพียงเตือนความจำพี่น้องประชาชนจะได้รับทราบว่าท่านกำลังบอกว่าสมัยท่าน เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์เป็นยุคทอง แต่ความจริงคืออะไร แล้วเราก็จะได้มีการพิสูจน์กัน อย่าลืมนะครับเข้าสู่เวทีหาเสียงกรุณาไปยืนยันว่าท่านจะยกเลิกโครงการประกันรายได้

ท่านประธานที่เคารพครับ ถัดมาคือเรื่องของการบริหารเรื่องของการพลังงาน เรื่องน้ำมัน ไปโอดีเซล แล้วก็บอกว่าจะทำให้เดือดร้อนทั้ง ดีเซล ทั้ง LPG ทั้งอะไรเดี๋ยวพี่น้องประชาชนจะแตกตื่น เหมือนที่ท่านอภิปรายเรื่องหนี้ว่าจะนำไปสู่ความหายนะของประเทศ ประเด็นแรกที่ผมคิดว่าท่านคงลืมไป ท่านบอกว่ารัฐบาลชุดนี้อ่อนประสบการณ์ไม่มีวิสัยทัศน์ และก็กำลังจะทำให้กองทุนน้ำมันติดลบ ซึ่งหมายถึงไม่กู้ก็หนี้ ก็จะทำให้เกิดความเดือดร้อนมากมาย ปตท.จะมีปัญหา คนนั้นคนนี้จะอยู่ไม่ได้ ท่านลืมไปแล้วหรือครับประวัติของกองทุนน้ำมัน ท่านทราบไหมว่ากองทุนน้ำมันเคยติดลบสูงสุดเท่าไหร่ ทราบไหมครับ เกือบ 9 หมื่นล้าน และท่านทราบไหมว่าใครเป็นคนบริหารให้กองทุนน้ำมันติดลบไป 9 หมื่นล้านบาท นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 9 หมื่นล้านนั้นล่ะครับก็บริหารกันจนในที่สุดรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องมาคอยใช้หนี้ที่กู้เงินไป เพื่อที่จะทำให้กองทุนน้ำมันกลับมาเป็นบวกได้ เพราะฉะนั้นถ้าท่านว่าผมว่าจะทำกองทุนน้ำมันติดลบ ไม่ตำหนิท่านนายกทักษิณสักนิดเลยเหรอครับ ว่าบริหารอย่างไรติดลบไปตั้ง 9 หมื่นล้าน แต่หลักคิดที่ผมบริหาร ผมไม่ตั้งใจที่จะให้กองทุนน้ำมันติดลบ 9 หมื่นล้านละครับไม่ล่ะครับ และผมจึงอธิบายแนวความคิดผมชัดเจน วันที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีราคาสูง หลักคิดของผมก็คือว่าเราจะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เราจะเก็บภาษีสรรพสามิต มันก็ยิ่งเพิ่มภาระให้แก่ประชาชน ช่วงเวลาที่น้ำมันดิบแพง ๆ เราจึงต้องยอม ยอมในการลดภาระที่รัฐบาลเก็บจากประชาชน แต่เมื่อไหร่ที่น้ำมันดิบราคาลดลง เมื่อนั้นเราก็ต้องเก็บเงินไว้เหมือนกับเป็นคลังเพื่อที่เราจะใช้ในวันที่ น้ำมันแพง หลักคิดอย่างนี้ผมว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นช่วงหาเสียงที่ผมบอกว่าต้องลดเงินการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพราะตอนนั้นราคาน้ำมันดิบสูง แต่ช่วงที่ผมเข้ามาบริหารช่วงเรก ราคาน้ำมันดิบต่ำ ผมถึงต้องพยายามเก็บเงินไว้ก่อน นี่คือหลักของการรักษาเสถียรภาพ แต่ถ้าเราบอกว่าช่วงไหนแพงเราช่วย ช่วงไหนถูกเราก็หาเสียงกันต่อนั่นแหละครับ คือการบริหารที่ไม่มีความรับผิดชอบ แล้วท่านก็บอกว่าคนเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เพราะว่าผมช่วยแต่เรื่องของดีเซล

ท่านประธานครับ พวกท่านต่อว่าพวกผมมาตลอดว่าไม่ค่อยช่วยคนจน ผมถามว่าคนจน คนรวย ใครใช้ดีเซล ใครใช้เบนซิน ผมต้องยอมเสียคะแนนกับคนที่มีฐานะที่เก็บเงินเบนซินแพงหน่อย เพราะผมต้องการช่วยคนจน เกษตรกรใช้ พี่น้องประชาชนที่พอเริ่มมีฐานะขึ้นมาใช้ รถที่ใช้ในการเกษตร รถปิดอัพ ที่พี่น้องพอเริ่มมีฐานะลืมตาอ้าปากได้ใช้คนเหล่านี้ผมช่วย และผมก็ต้องเก็บเงินจากคนซึ่งใช้เบนซิน 95 ใครใช้ ท่านบอกผมมาคนจนคนไหนใช้เบนซิน 95 หลักการบริหารผมจึงชัดเจน ยามที่เราเผชิญกับเรื่องที่เป็นปัญหาของแพงเราต้องลดภาระให้ประชาชน เมื่อใดก็ตามซึ่งภาวะธรรมชาติมันค่อนข้างที่จะต่ำ เอื้อเราต้องเก็บเงินเข้ามา ถ้าต้องเลือกระหว่างจะช่วยก็ต้องช่วยคนที่ยากลำบากก็ต้องช่วยคนที่ยากลำบาก คือคนจน และอาจจะต้องเก็บจากคนรวยบ้าง ถ้าท่านไม่เห็นด้วยก็ไปหาเสียงเลย ว่าเอ้าท่านจะเปลี่ยนก็ได้เก็บเงินจากคนใช้ดีเซลไปอุ้มคนใช้เบนซิน ให้มันแตกต่างชัดเจนกันไปเลย ว่าสิ่งที่ผมทำมามันผิด ผมกราบเรียนว่าการบริหารตรงนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านว่า เริ่มต้นมาความจริงถ้าเอาฐานะของกองทุน เพิ่งลืมตา อ้าปากคนที่ผมเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ผมอาศัยช่วงที่ท่านบอกว่าผมโชคดี ประธานโทษคำพูดท่านว่าน้ำมันโคตรถูกอะไรนั่นแหละ ผมก็อาศัยช่วงนั้นในการจัดระบบเก็บเงินเข้ากองทุน และในส่วนของภาษีสรรพสามิต ซึ่งท่านยกเลิกการเก็บไปดื้อ ๆ เนี่ย เอากลับเข้ามาสู่โครงสร้างเสียก่อน และสะสมฐานะเงินตรงนี้ขึ้นมาจนกระทั่งขึ้นไปถึงประมาณ 30,000 ล้าน ทำไมไม่พูดล่ะครับข้อมูลที่เสนอใช่ แต่ทำไมเสนอไม่หมด ความเที่ยงตรงความเที่ยงธรรมต่อการเสนอข้อมูลอยู่ตรงนี้ต่างหาก 30,000 ล้าน พอเรามีปัญหาราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นขณะนี้ เราจึงนำมาช่วยกัน แล้วที่ท่านพูดสรุปเรื่อง B5, B3, B2 ท่านสับสนมาก ถ้ายังคงบี 3 หรือ บี5 เรายิ่งเงินไหลออกจากกองทุน เพราะการชดเชยตรงนั้นสูงกว่า แต่ที่เราปรับบี5 ลงมาเป็นบี3 ลงมาเป็นบี2 นอกเหนือจากการที่จะทำให้มีน้ำมันปาล์มเข้าไปสู่ค่าอาหารแล้ว ยังเป็นการประหยัดภาระของเงินกองทุนน้ำมันด้วย ไม่น่าผิดพลาดง่าย ๆ อย่างนี้เลย

ที่อภิปรายไปเมื่อสักครู่ เพราะฉะนั้นเนี่ยขณะนี้เราก็ดำเนินการในการที่จะใช้เงินกองทุนช่วยน้ำมัน ดีเซล ท่านบอกเงินเหลือแค่ 4,000 กว่าล้าน เพราะหักภาระหลายอย่าง ท่านไม่บอกด้วยล่ะครับว่าภาระตรงนั้นรวมถึงการที่เราชดเชยเรื่องของก๊าซหุง ต้มไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนาไม่ใช่ปัจจุบัน ชดเชยไปถึงสิ้นเดือนมิถุนา ทำไมไม่อ่านด้วยว่าเงินตรงนี้อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเรากำลังเปลี่ยนลด LPG เป็น NGV ที่ท่านบอกว่าไม่มีวิสัยทัศน์ในการที่จะไปบอกว่าให้คนทำเลย ทำครับ และตัวเลขท่านก็มีอยู่ในมือถึงได้เสนอตัวเลขสรุปมาได้ ทำไมไม่พูดโครงการที่มีการเปลี่ยนแท็กซี่จาก LPG เป็น NGVที่ทำให้มีหนี้ของกองทุนตรงนี้ แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะขึ้นจะลงมากน้อย แค่ไหนอย่างไร แต่ผมยืนยันว่าถึงสิ้นเดือนเมษายนเรายังทำได้แน่นอน โดยอาศัยการบริหารในเรื่องของกองทุนเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ที่สำคัญก็คือว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านพูดว่าผมใช้เงินกองทุนจนสนุก เพราะว่าจะหาเสียง ถึงมีมติและประชุมกันเร็ว ๆ นี้ เพราะผมก็พูดเอาไว้ว่าเงินกองทุนที่แตะที่ประมาณหมื่นล้าน หรือต่ำกว่าหมื่นล้านเท่าไหร่มาคุยกัน ถ้าผมไม่สนใจผมก็ปล่อยแบบสมัยท่านนายกทักษิณ ขาดทุนไปเกือบแสนล้าน และก็ทิ้งให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาใช้หนี้ ผมไม่ทำหรอกครับ ผมมีความรับผิดชอบต่อประเทศ ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต การดูแลน้ำมันดีเซลตรงนี้ผมจึงอยากจะกราบเรียนว่าถ้าในภาวะซึ่งเป็นไปตามอุป สงค์ อุปทาน ตามปกติ ผมคิดว่าเราอาจจะปรับแต่งในเรื่องของกองทุน ในเรื่องของระบบภาษีอยู่เล็กน้อยก็น่าจะตรึงได้ ท่านไม่สังเกตเหรอครับ ท่านพยายามจะแสดงให้เห็นว่าน้ำมันเบนซินมันแพงอย่างไร แต่ผมยันน้ำมันดีเซลถูกกว่าท่าน แม้ในราคาน้ำมันดิบที่สูงกว่าแล้ว เพราะผมรู้ว่าถ้าดีเซลเกิน 30 มันไม่ใช่รัฐบาลเดือดร้อน ประชาชนเดือดร้อน ค่าขนส่งจะขึ้น สินค้าทุกตัวจะอ้างค่าขนส่งเป็นการขึ้นราคา นี่คือเหตุผลที่ต้องตรึง ก๊าซหุงต้มผมเป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศชัดเจนว่าก๊าซหุงต้นที่เราใช้กันในครัว เรือน พี่น้องประชาชนควรซื้อได้ในราคาถูก เพราะปริมาณก๊าซที่ออกมาจากของเรากับปริมาณที่ใช้อยู่ในครัวมันไม่ได้ห่าง กันมากหรอกครับ มันพอทำไมจะต้องให้พี่น้องประชาชนไปซื้อในราคาเดียวกับอุตสาหกรรม

ถึงกำลังจะปรับโครงสร้างตรงนี้ทั้งหมด และวันที่ผมเข้ามารับตำแหน่ง เขาคิดจะให้ผมขึ้นราคาก๊าซหุงต้มสำหรับพี่น้องประชาชน ผมตัดสินใจแน่นอนว่าไม่ขึ้น และวันนี้ก็ยังตัดสินใจว่าไม่ขึ้น ผมฟังท่านอภิปราย ผมไม่ทราบว่าตัวท่านไปทางไป เพราะบางช่วงบอกว่าทำไมตอนนั้นไม่ปล่อย LPG ลอยตัว แต่อีกทีก็มาบอกว่า เดี๋ยวปล่อย LPG ลอยตัวประชาชนจะเดือดร้อน ผมบริหารแบบของผมเนี่ยหล่ะครับ ยามใดราคาสูงผมก็พยายามบริหารกองทุนน้ำมันในลักษณะที่จะช่วยประชาชน เมื่อไหร่ลดต่ำผมก็จำเป็นในการที่จะต้องเก็บเงินเข้า และก็จะรักษาระดับก๊าซสำหรับครัวเรือนหุงต้มเอาไว้ เอาเลยพฤษภายุบสภาปั๊บท่านประกาศเลยท่านจะลอยตัว LPG ที่ต่อว่าว่าผมไม่ทำ ผมก็จะหาเสียงว่าผมไม่ลอยตัว LPG ผมต้องการให้พี่น้องประชาชนซื้อก๊าซหุงต้มในราคาเท่าเดิม และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง และผมจะบริหารกองทุนน้ำมันกับระบบภาษีให้ได้ เพราะท่านพูดเหมือนบอกว่าไม่มีทางแล้วเป็นอย่างนี้ดีเซลต้องขึ้น 6 บาท LPG ต้องขึ้นกี่บาท ผมยืนยันว่าผมจะบริหารตามแนวทางนี้ เครื่องมือยังมี และจะบริหารจัดต่อไป แล้วเราไปถามประชาชนกันว่าจะเอาแบบไหน นี่ก็เป็นเรื่องของการบริหารน้ำมันคราว เพราะว่าผมไม่ต้องการจะใช้เวลามา

ส่วนเรื่องปาล์มเดี๋ยวจะมีรายละเอียดไม่เป็นไร เพราะว่าคงจะมีผู้ที่จะต้องชี้แจง ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นการยื่นถอดถอนท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรองนายก ไม่ได้ยื่นถอดถอนนายกนะครับ แต่ว่าผมสะดุดอยู่คำหนึ่ง ท่านบอกว่าน้ำมันที่ขึ้นจาก 38 บาท เป็น 47 บาท บริหารไม่เป็น หรือปล้นประชาชน ผมไม่มีเวลาทำสไลด์เยอะ ๆ อย่างท่านหรอกครับ ของสไลด์เดียว ๆ ไม่ทราบท่านประธานจะอนุญาตไหมครับ ไม่รู้เพาเวอร์พ้อยท์ทำทันหรือเปล่า แต่เอาเร็ว ๆ ง่าย ๆ ท่านเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ชาวสวนปาล์มได้ราคา 5.90 บาท ผมเป็นนายกรัฐมนตรีชาวสวนได้ 8.63 นี่ต้นทุน น้ำมันปาล์มดิบท่านเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์อยู่ที่ 35.98 บาท สมัยผมขึ้นไป 51.48 บาท ต้นทุนห่างกันเยอะมาก สมัยผมแพงกว่าเยอะมาก แต่สมัยผมอนุญาตให้ขายน้ำมันปาล์มน้ำมันพืชแก่พี่น้องประชาชนขวดละ 47 บาท ของท่าน 47.50 บาท บริหารไม่เป็นหรือใครปล้น เพราะก่อนขึ้นเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์น้ำมันพืชขวดก็ประมาณ 40 บาท หลังท่านเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ก็ประมาณ 40 บาท มีเฉพาะช่วงท่านเป็นแพงที่สุดคือ 47.50 บาท ในขณะที่ชาวสวนปาล์มได้ 5-6 บาท ทั้งที่ยุคนี้ได้ 8-9 บาท ในช่วงที่เกิดวิกฤต

ท่านประธานที่เคารพสิ่งที่ท่าน ส.ส.มิ่งขวัญได้อภิปรายมาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารพลังงานไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้าว แม้กระทั่งจะต้องมีการอภิปรายต่อไปเรื่องปาล์มและเรื่องบุหรี่นั้นรัฐบาล พร้อมชี้แจงว่าได้ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และที่สำคัญผมยังยืนยันว่าการนำเสนอข้อมูลต่อสภาแห่งนี้ ต้องให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ เรื่องตลาดโลก เรื่องต้นทุนที่แท้จริง เรื่องปัจจัยต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องของวาทกรรมอย่างแน่นอน ข้อมูลที่ท่านเสนอวันนี้ตัดต่อ ตัดตอน แต่งเติม แต่ผมเอาความจริงมาหวังว่าจะไม่เพิ่มความแค้นให้ท่านครับ ขอบคุณครับ

 

ที่มา: เรียบเรียงจากวิทยุรัฐสภา มติชนออนไลน์ โพสต์ทูเดย์ และ พรรคประชาธิปัตย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปชป.ไม่พอใจฝ่ายค้านอภิปรายโดยใช้ข้อมูลด้านเดียว ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

Posted: 15 Mar 2011 11:29 AM PDT

"วรงค์ เดชกิจวิกรม” บอกต้องใช้วิจารณญาณเวลาฟัง “มิ่งขวัญ” อภิปรายเพราะพูดความจริงครึ่งเดียว ด้าน “เทพไท” จวก “มิ่งขวัญ” อภิปรายดุดัน แต่ขัดกับบุคลิกประจำตัว ชาวบ้านเรียกดัดจริต ข้อมูลไม่มีอะไรใหม่เหมือนตัดแปะหนังสือพิมพ์ จึงไม่แปลกที่มีการเรียกร้องให้ “เฉลิม” มานำการอภิปราย พร้อมเย้ย “10 ทักษิณ 100 มิ่งขวัญ 1000 เฉลิม ก็ไม่เท่า 1 อภิสิทธิ์”

เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ที่อาคารรัฐสภา นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “ศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านอย่างใกล้ชิด พบว่าการนำเสนอ ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของฝ่ายค้าน และนายมิ่งขวัญ เป็นการนำข้อมูลเดิม และนำเสนอข้อมูลเพียงบางส่วนเพื่อให้ เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ศูนย์ฯ ได้ติดตามการอภิปรายฯใน ห้า เรื่อง กล่าวคือ หนึ่ง การสร้างความเข้าใจผิดกับการสร้างภาระหนี้ภาครัฐของรัฐบาลปัจจุบัน สองการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของการคลังภาครัฐ สามการบริหารนโยบายข้าวฝ่ายค้านพยายามเปรียบเทียบนโยบายประกันรายได้เกษตรกร กับนโยบายการรับจำนำของรัฐบาลในอดีต โดยไม่พูดถึงราคาข้าวตลาดโลกขณะนั้น สี่ ข้อเท็จจริงการบริหารกองทุนน้ำมัน ห้าปัญหาราคาน้ำมันปาล์ม

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าทั้งห้าเรื่องเป็นการนำเสนอข้อมูลด้านเดียว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสับสนในข้อมูล ทำให้การนำเสนอการอภิปรายโดยบุคคลที่พรรคเพื่อไทยเสนอเพื่อให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีนั้น มีการตั้งประเด็นคำถามมากกว่า หาคำตอบในการแก้ไขปัญหา

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการตรวจสอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (ศตอ.) ได้มีการประเมินการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายค้าน โดยประเมินว่าไม่ได้ตื่นเต้นอย่างที่คิด และสิ่งที่พูดมามีเพียงความจริงครึ่งเดียว ดังนั้น ตนอยากยืมคำนายกฯ ท้าให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ในฐานะผู้นำทีมการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทยว่า หากต้องการแข่งเป็นนายกฯ ก็อยากท้าให้ชูแคมเปญว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้วจะยกเลิกนโยบายการ ประกันราคาสินค้าเกษตรกร สำหรับการอภิปรายวันนี้ (15มี.ค.) ตัวเอกคือนายมิ่งขวัญ ซึ่งทางศูนย์ได้จัดเรตติ้งของผู้อภิปรายเด่นๆ ในแต่ละวันให้ประชาชนรับทราบ โดยสำหรับวันนี้วันแรกในการอภิปรายยกให้นายมิ่งขวัญเป็นตัวเอก แต่อยู่ในประเภทพูดความจริงครึ่งเดียว ผู้ชมและผู้ฟังควรใช้วิจารณญาณในการรับฟัง

ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนของการบริหารงานด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ยืนยันว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทาง ที่ได้ยกเลิกน้ำมันบี 5 และเหลือบี 2 ไว้สำหรับเป็นทางเลือกกับผู้ใช้ดีเซลในภาคขนส่งและการผลิต เนื่องจากน้ำมัน บี 5 หากต้องซื้อปาล์มมาผสมในราคาที่สูง จึงเป็นการไม่คุ้มทุน อีกทั้ง เป็นการประหยัดเงินในกองทุนน้ำมันและเหลือไว้ให้ประชาชนบริโภค

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภาพรวมโดยสรุปการอภิปราย ไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านยังขาดความพร้อม เช่น ญัตติที่เสนอต่อสภาจากเดิมที่แจ้งประธานสภาว่าเป็นนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แต่กลับเป็นนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน เปรียบเสมือนเป็นการแย่งซีน และแสดงให้เห็นไม่มีการประสานงานในพรรคฝ่ายค้าน จึงทำให้เกิดปัญหาต่อฝ่ายรัฐบาล ที่ทำให้ไม่สามารถประเมินได้ว่าการอภิปรายช่วงต่อไปจะเป็นใครและกระทรวงไหน ซึ่งเป็นเรื่องยากต่อรัฐบาลในการเตรียมตัว ดังนั้น อยากให้ฝ่ายค้านยกประเด็นเรื่องการสลายการชุมนุมมาอภิปรายต้นๆ เพราะมีความสำคัญ และคิดว่าหากอภิปรายเป็นวันสุดท้ายจะติดขัดเรื่องเวลา เพราะต้องใช้เวลาในการอภิปรายมากรวมถึงการประท้วง อีกทั้งต้องปิดการประชุมก่อนเที่ยงคืน

นายเทพไท กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายของนายมิ่งขวัญในวันแรก ยังคงใช้รูปแบบเดิมเหมือนการอภิปรายงบประมาณกลางปีที่ผ่านมา คือใช้พาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนอข้อมูล เพียงแต่เพิ่มความเข้มข้นในการใช้วาทะกรรม และเพิ่มบุคลิกให้ก้าวร้าวดุดัน ซึ่งขัดกับบุคลิกประจำตัว หรือเรียกแบบชาวบ้านได้ว่าดัดจริต ส่วนเนื้อหาที่นำเสนอก็เป็นการอภิปรายไม่ตรงกับผู้ที่รับผิดชอบ เช่น กรณีปัญหาน้ำมัน ไม่อภิปรายรมว.พลังงาน หรือกรณีภาษีบุหรี่ ก็ไม่ได้อภิปราย รมช.คลัง ที่ดูแลกรมศุลกากร ส่วนเรื่องการบริหารเงินกู้ก็ใช้ข้อมูลเก่าซึ่งถูกนายกฯตอกกลับไปแล้วเมื่อ การอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา เป็นการจั่วหัวไม่สอดคล้องกับประเด็นการอภิปราย และไม่มีการเปิดหัวไปถึงกระทรวงที่จะอภิปราย อาทิ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กระทรวงการต่างประเทศ

เพราะฉะนั้น ข้อมูลทั้งหมดยังไม่เห็นมีอะไรใหม่ เป็นการตัดแปะตามหนังสือพิมพ์ เปรียบเหมือนการอภิปรายผิดฝาผิดฝั่ง เป็นญัตติการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติของ ส.ว. หรือเป็นการอภิปรายเพื่อตั้ง กมธ.เต็มสภามาศึกษาปัญหานั้นๆ จึงไม่แปลกที่มีการเรียกร้องให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย มาเป็นผู้นำการอภิปราย เพื่อทำงานให้สอดคล้องกับติวเตอร์อย่างสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ดังนั้น อยากให้ไปหาคนมีฝีมืออภิปรายขนาด “10 ทักษิณ 100 มิ่งขวัญ 1000 เฉลิม ก็ไม่เท่า 1 อภิสิทธิ์”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข้อสังเกตบางประการ คำพิพากษาจำคุก 13 ปี ผู้ออกแบบเว็บ นปช.ยูเอสเอ

Posted: 15 Mar 2011 11:25 AM PDT

สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
ที่มา:  เฟซบุ๊ค Sawatree Suksri (15 มีนาคม 2554)
 
 
 
ผลของคดีนี้ตัดสินจำคุกสูงมาก มีข้อสังเกตดังนี้
 
1. ต้องถือเป็นคำพิพากษาที่ "สวน" กระแสคำพิพากษาอื่นที่เกี่ยวกับ 112 และ พ.ร.บ. คอมฯ ในช่วงที่ผ่านมา 2-3 คดีที่ยกฟ้องหรือเลื่อนยาว
 
2.ไม่แน่ใจว่ากิดอะไรขึ้น แต่ข้อเท็จจริง (ในทางเทคนิค) ก็คือ การจะสืบว่าใครเป็นแอดมินที่แท้จริง หรือใครโพสในเว็บ นปช.ยูเอสเอ สืบให้สิ้นสงสัยยากมาก
 
เอาเข้าจริง คำว่า admin ในเว็บสมัยใหม่ ใคร ๆ ก็เขียน หรือตั้งได้ บางกรณีมีระบบว่า ถ้าไม่ลงชื่อเป็นอืน ก็จะแสดงผลเป็นแอดมินได้อีก ลักษณะของเว็บไซต์นี้ (นปช. ยูเอสเอ) ก็มีระบบการทำงานคล้าย ๆ แบบนั้น แน่นอนว่า สำหรับคดีนี้ การแก้ต่างหรือข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นดังกล่าว ถือว่ามีความสำคัญ แต่หลัก ๆ ก็ต้องอยู่ที่ฝ่ายโจทก์

อย่างไรก็ตาม เหตุผลของศาลชี้ว่า

“จำเลยไม่ได้นำสืบว่าหมายเลขไอพีแอดเดรสดังกล่าวไม่ได้เป็นของจำเลย และเมื่อมีชื่อในระบบว่า admin แล้วจะไม่สามารถตั้งซ้ำได้ ประกอบกับจำเลยพยายามเข้าเว็บไซต์ด้วยระบบ FTP จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง แม้ว่าบันทึกจราจรคอมพิวเตอร์จะเป็นบันทึกคนละวันและเวลากับข้อความที่ปรากฏก็ตาม ศาลตัดสินว่ามีความผิดจำคุก 13 ปี”

 
ตรงนี้น่าสนใจมาก ในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
 
หลักสำคัญที่สุดในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็คือ

1. ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลย หรือผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าศาลจะพิพากษาว่ามีความผิด

 
2. สืบเนื่องจากข้อ 1 นั่นหมายความว่า ผู้มีภาระการพิสูจน์ ให้ศาลสิ้นสงสัย คือ "โจทก์" ไม่ใช่ "จำเลย” แต่จากเหตุผลของศาลนี้... เขาเขียนทำนองว่าจำเลยไม่ยอมพิสูจน์ ... แสดงว่าศาลหันมาให้น้ำหนักกับการแก้ต่างของ “จำเลย” มากกว่า การพิสูจน์โดย “โจทก์” ซึ่งน่าจะถูกต้องตามหลักการ
 
ปกติคดีความที่เกี่ยวกับเรื่องทางเทคนิคมาก ๆ แบบนี้ คนที่หนักคือโจทก์อยู่แล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ศาลมักต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย คือ ยกฟ้อง....คำถามเรื่องนี้จึงมีว่า

1. โจทก์สืบยังไงหรือ ศาลถึงสิ้นสงสัย ? (ทั้งที่ ในเหตุผล ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสงสัยอยู่)

 
2.ฝ่ายจำเลยได้พยายามทำลายน้ำหนักของโจทก์หรือไม่ อย่างไร?
 
 
สุดท้ายโทษคดีนี้สูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ !
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: ชาวบ้านไม่ยอมให้ จนท.กฟผ. ปักเสาไฟฟ้าสูงเข้าที่สวนของตน

Posted: 15 Mar 2011 11:05 AM PDT

เจ้าหน้าที่ กฟผ. ลงพื้นที่อุดรธานี ขอเจรจาชาวบ้านวางสายไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ รองรับไฟที่จะซื้อจากลาว ยันจะฟ้องก็ฟ้องไป หาก กฟผ. แพ้ก็พร้อมถอนเสาไฟ ด้านชาวบ้านไม่ยอม เจ้าหน้าที่ กฟผ. จึงถอยไป

วันนี้ (15 มี.ค.) เวลาประมาณ 09.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงพื้นที่หมู่บ้านแม่นนท์ หมู่ 2  ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อขอเข้าเจรจากับนายบุญเลี้ยง โยทะกา กลุ่มคณะกรรมการชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง (คชส.) ซึ่ง กฟผ.จะดำเนินการก่อสร้างเสาไฟฟ้าและวางแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ขนาด 500 กิโลโวลต์ น้ำพอง 2 – อุดรธานี 3 ผ่านที่ดินเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน เพื่อรองรับไฟฟ้าที่ไทยจะรับซื้อจากเขื่อนน้ำงึม สปป.ลาว

ทั้งนี้ กลุ่ม คชส. ปัจจุบันกำลังฟ้องคดีขอเพิกถอนการก่อสร้างแนวสายส่งไฟฟ้าดังกล่าว ต่อศาลปกครองขอนแก่น และคดียังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองอุดรธานี (โอนคดีจากศาลปกครองขอนแก่นมายังศาลปกครองอุดรธานี) แต่ กฟผ.ได้ทำหนังสือมาแจ้งกลุ่มชาวบ้าน จำนวน 10 ราย ที่ถูกเสาไฟฟ้า ว่าจะลงมาทำการก่อสร้างเสา โดยจะเริ่มเข้ามาดำเนินการในวันที่ 17 มีนาคม 2554 นี้ เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ กฟผ. กว่า 10 คน ได้ใช้รถกระบะติดแค็ป มีโลโก้ของกฟผ. จำนวน 3 คัน เป็นพาหนะ โดยมี 1 คันจอดดูลาดเลา ที่บริเวณปากทางเลี้ยวเข้าซอยที่นานายบุญเลี้ยง ส่วนอีก 2 คัน วิ่งเข้าไปจอดอยู่ริมถนนตรงข้ามที่ดินของนายบุญเลี้ยง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ กฟผ. 7 คน ได้เดินเข้าไปบริเวณที่ดินของนายบุญเลี้ยง เพื่อขอพูดคุยเจรจาด้วย ขณะเดียวกันนั้นนายบุญเลี้ยง จึงเดินออกไปพร้อมบอกให้เจ้าหน้าที่กฟผ.หยุดก่อน ไม่ให้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตนอีก

โดยเจ้าหน้าที่ กฟผ. คนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่านายสมเกียรติ วัฒยกุล ได้กล่าวกับนายบุญเลี้ยงว่า วันนี้มีเจ้าหน้าที่มาครบทุกฝ่าย เพื่อจะขออธิบายทำความเข้าใจให้ฟังทุกประเด็นที่ชาวบ้านสงสัย ทั้งนี้ กฟผ.มีความจำเป็นจะต้องทำตามระเบียบ กฎหมายเท่าที่ทำได้ เพราะขณะนี้การดำเนินการก่อสร้างได้ล่าช้าไปมากจากที่กำหนดไว้ในแผน ซึ่งเดิมกำหนดแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2553

“พวกผมอยากจะคุยด้วยถ้าไม่คุยวันนี้ก็นัดหมายมาเลยว่าวันไหน หรือจะคุยกันเป็นกลุ่มก็ได้ ซึ่งหากได้ข้อตกลงแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะขอตรวจสภาพดินและลงมือดำเนินการก่อสร้างเสา ส่วนเรื่องฟ้องก็ฟ้องไปถ้าหาก กฟผ. แพ้ กฟผ. ก็พร้อมที่จะรื้อถอนเสาออกก็แค่นั้น” เจ้าหน้าที่กฟผ.กล่าว

ส่วนนายบุญเลี้ยง ไม่ขอเจรจาด้วย โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้ขั้นตอนทุกอย่างกำลังอยู่ในชั้นศาล ดังนั้นจึงต้องรอให้ศาลตัดสินชี้ขาดออกมาเสียก่อน ได้ผลอย่างไรแล้วค่อยมาคุยกัน เจ้าหน้าที่กฟผ.ใช้เวลาเกลี้ยมกล่อมนายบุญเลี้ยง ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ระหว่างนั้นก็ได้มีกลุ่มชาวบ้านทยอยกันออกมาเพื่อให้กำลังใจนายบุญเลี้ยง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ กฟผ. จึงขึ้นรถออกจากพื้นที่ไป

หลังจากนั้นนายบุญเลี้ยง  โยทะกา ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ที่ผ่านมา กฟผ.พยายามเข้ามาเจรจา ทั้งข่มขู่ เกลี้ยกล่อมตนและชาวบ้านคนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อยินยอมให้ กฟผ.ลงมาดำเนินการก่อสร้างเสาไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของชาวบ้าน

“กฟผ.ไม่เคยฟังเสียงของชาวบ้าน โดยทำทุกวิถีทางให้ชาวบ้านยินยอมเพื่อเข้ามาดำเนินการ เช่น เอาเงินมาซื้อใจชาวบ้าน ยุแย่ให้กลุ่มชาวบ้านแตกกัน หรือแม้แต่การปลุกปั่นให้คนข้างนอกเกลียดชังพวกเราว่าเป็นพวกถ่วงความเจริญ ฯลฯ ทั้งๆที่ กฟผ.ก็รู้ว่าขณะนี้ขั้นตอนทุกอย่างยังอยู่ระหว่างรอการตัดสินของศาลปกครอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายแต่กลับละเมิดกฎหมายเสียเอง และยังไม่เคารพศาลด้วย” นายบุญเลี้ยงกล่าว

ช่วงบ่ายวันเดียวกันกลุ่มชาวบ้านได้ทำหนังสือส่งไปถึง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อขอให้ยุติการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่กฟผ.ที่จะเข้ามาดำเนินการก่อสร้างเสาไฟฟ้าแรงสูงในบริเวณที่ดินของกลุ่มชาวบ้านที่ยังไม่ยินยอม และให้เลิกพฤติกรรมอ้างเอากฎหมายมาข่มขู่ชาวบ้าน จนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลปกครอง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"สุเทพ" ลั่นไม่ส่ง "สมเกียรติ พงษ์ำไพบูลย์" ลงปาร์ตี้ลิสต์อีก

Posted: 15 Mar 2011 10:16 AM PDT

สุเทพ เทือกสุบรรณ มั่นใจต้องมีการเลือกตั้ง ถ้ามีใครบิดเบือนไปจากนี้ประชาชนเขาไม่เอา ยันกรรมการบริหารจะว่าอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตนจะไม่ส่ง "สมเกียรติ" ลงเลือกตั้งรอบหน้า เพราะเดินคนละทางกับพรรค

วันนี้ (15 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ต่อข้อถามว่ายังมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะมีสัญญาณบอกเหตุหลายอย่าง เช่นระดับแกนนำเก่าของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็กลับมาขึ้นเวทีกัน

นายสุเทพกล่าวว่า มั่นใจแน่นอนว่าจะต้องมีการเลือกตั้งเพราะเรื่องของการเลือกตั้งและวันเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่เขาเห็นคล้อยไปทางเดียวกับนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้นถ้าใครบิดเบือนแกล้งทำให้ผิดแผกไปจากนี้ประชาชนเขาไม่เอาหรอก

เมื่อถามว่า นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์  แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีพูดชัดว่านับไป 10 วันจะไม่มีการเลือกตั้งแน่นอน พฤติกรรมแบบนี้พรรคยังจะส่งลงเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่ออีกหรือไม่

นายสุเทพตอบว่า “ไม่ส่งครับ ถึงแม้จะยังไม่เป็นมติพรรค แต่ถามผม ๆ ก็ตอบชัดเจนว่าไม่ส่ง ผมตอบตรงๆ จะตอบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ส่วนกรรมการบริหารพรรคจะว่าอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง และเขาคงจะไม่เป็นสมาชิกพรรคแล้ว แม้เราจะไล่ใครออกไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่ส่งเขาลงเลือกตั้ง เขาก็ไม่อยู่กับเราเป็นธรรมดา ที่พูดอย่างนี้เพราะคุณสมเกียรติเขาเลือกแนวทางเดิน ที่เป็นคนละแนวทางกับพรรคมาอยู่แล้ว"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บีบีซีเตือนระวังข่าวปล่อยเรื่องนิวเคลียร์รั่ว แฝงไวรัสคอมพิวเตอร์

Posted: 15 Mar 2011 09:28 AM PDT

กรณีมีข้อความเท็จแพร่กระจายในอินเทอร์เน็ต ระบุว่า สำนักข่าวบีบีซีรายงานข่าวด่วนว่ามีการรั่วของกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมา สำนักข่าวบีบีซียืนยันว่าไม่ได้รายงานเนื้อหาดังกล่าวแต่อย่างใด

(15 มี.ค. 54) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า กรณีมีข้อความเท็จแพร่กระจายในอินเทอร์เน็ต โดยเนื้อหาเท็จดังกล่าวระบุว่า สำนักข่าวบีบีซีรายงานข่าวด่วน ว่ามีการรั่วของกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมา สำนักข่าวบีบีซียืนยันว่าไม่ได้รายงานเนื้อหาดังกล่าวแต่อย่างใด

ข้อความเท็จดังกล่าวระบุว่า "ข่าวด่วน บีบีซี รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าการรั่วของกัมมันตภาพรังสีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุกุชิมาแล้ว ประเทศต่างๆ ในเอเชียควรป้องกันตัวล่วงหน้า โดยหากฝนตก ให้อยู่ภายในอาคารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ปิดประตูและหน้าต่าง เช็ดผิวหนังบริเวณลำคอด้วยเบตาดีน เนื่องจากเป็นบริเวณต่อมไทรอยด์ เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีจะเข้าสู่ไทรอยด์เป็นจุดแรก ทั้งนี้ กัมมันตภาพรังสีจะเข้าสู่ฟิลิปปินส์ในเวลา 16.00 น. วันนี้"

อย่างไรก็ตาม ข้อความเหล่านี้ได้แพร่กระจายและสร้างความตระหนกไปทั่วเอเชียตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศฟิลิปปินส์ โดยสื่อบางแห่งได้แนะนำให้ส่งคนงานและเด็กนักเรียนกลับบ้านหลังข่าวลือดังกล่าวแพร่ออกไป ขณะที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของฟิลิปปินส์ ได้จัดแถลงข่าวเพื่อยืนยันต่อสาธารณะว่า พวกเขายังปลอดภัยแม้ว่าระดับกัมมันตภาพรังสีในญี่ปุ่นเริ่มสูงขึ้นก็ตาม

จากภัยพิบัติครั้งนี้ มีการส่งข้อความและอีเมลลวงเพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ รวมถึงเพื่อก่อให้เกิดความแตกตื่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ที่ญี่ปุ่น เช้าวันนี้ เตาปฏิกรณ์ที่สองที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมาไดอิจิได้เกิดระเบิดเป็นแห่งที่สามในรอบ 4 วันนี้ และแม้ว่าระดับกัมมันตภาพรังสีจะสูงขึ้น แต่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกิดเหตุเท่านั้น

ทางการญี่ปุ่นได้ประกาศขยายพื้นที่อันตรายเพิ่มขึ้นโดยให้ประชากรในระยะ 30 ก.ม. (18 ไมล์) ให้อพยพหรืออยู่แต่ภายในอาคาร

 

เรียบเรียงจาก: 'Radiation' text message is fake http://www.bbc.co.uk/news/technology-12745128

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: โจรสองคนเยินยอกัน

Posted: 15 Mar 2011 09:24 AM PDT

โจรคนหนึ่งกำลังขโมยเครื่องเซ่นในศาลพระภูมิ ซึ่งมีเพียงเศษอาหารเย็นชืด
ขนมหวาน และน้ำแดงหนึ่งขวด

โจรอีกคนหนึ่งผ่านมาพบเข้า ก็นึกอยากได้บ้าง จึงกล่าวสรรเสริญโจรคนแรกว่า

"ท่านครับ นโยบายและการปฏิบัติงานของท่านช่างเฉียบแหลมและตรงเป้าอย่างที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยครับ
ผมด๊ใจครับ ที่ประเทศไทยโชคดีได้ท่านเป็นโจร"

"ขอบคุณครับ" โจรคนแรกตอบ "ท่านก็ไม่เบานะครับ
ผมได้ข่าวว่าคะแนนนิยมในตัวท่านกำลังเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ ในพื้นที่"

"ผมก็แค่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ชาวบ้านเท่านั้นแหละครับ
คนเราจะงามได้ก็ด้วยคุณความดี และความซื่อสัตย์กตัญญูเท่านั้น"

"จริงครับ เรื่องศีลธรรมนี่เป็นเรื่องใหญ่และสมควรที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชา่ติโดยด่วน
บ้านเมืองเราจะมีความสงบ สันติ สามัคคีได้ก็ต่อเมื่อเรารักและเข้าใจกัน
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันเท่านั้นครับ"
แล้วโจรคนแรกก็โยนเศษอาหารส่วนหนึ่งมาให้แก่โจรคนที่สอง
ซึ่งรับไว้อย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ

เมื่อพระภูมิเจ้าที่ได้เห็นและได้ยินดังนั้นแล้ว ก็คิดขึ้นว่า
เราอุตส่าห์อดโทษปล่อยเจ้ากระทำย่ำยีแก่เครื่องเซ่นของเราก็แล้วยังไม่พอที่
โจรร้ายทั้งสองนี้ัยังกล่าวยกย่องกันและกันด้วยถ้อยคำไม่จริง
นับเป็นเสนียดจัญไรแก่หูเรายิ่งนัก

คิดดังนั้นแลัวจึงนิมิตกายให้ปรากฏใหญ่พิลึกพึงสยอง
โจรทั้งสองคนนั้นก็ตกใจและพากันวิ่งหนีไป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกฯ ญี่ปุ่นเผยระบายกัมมันตภาพรังสีสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว

Posted: 15 Mar 2011 09:00 AM PDT

ตำรวจเมืองมิยากิรับแจ้งเหตุขโมยของในร้านค้าแล้ว 40 ราย เสียหายกว่า 1.6 ล้านเยน ขณะที่บริษัทผลิตไฟฟ้าญี่ปุ่นยังดำเนินมาตรการดับกระแสไฟฟ้าในหลายเมือง ขณะที่ จนท.เร่งอพยพประชาชนในรัศมี 20 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะที่เกิดระเบิดที่อาคารคลุมเตาปฏิกรณ์ ล่าสุดเกิดเหตุแผ่นดินไหว 6 ริกเตอร์กลางดึกศูนย์กลางอยู่ที่ชิสุโอกะ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 3 พันราย สูญหายกว่า 6 พัน

ตำรวจเมืองมิยากิ รับแจ้งเหตุขโมยสินค้าในร้านค้า สูญ 1.6 ล้านเยน

สำนักข่าวเอนเอชเค ภาคภาษาญี่ปุ่น รายงานเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 14 มี.ค. ว่า จากการเปิดเผยของตำรวจที่จังหวัดมิยากิ ระบุว่า หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ได้เกิดเหตุขโมยสินค้าในร้านสะดวกซื้อและร้านค้าในเมือง ทั้งนี้ตำรวจได้รับแจ้งเหตุราว 40 กรณี ตัวเลขความเสียหายรวมอยู่ที่ 1 ล้าน 6 แสนเยน โดยตำรวจได้ออกคำแนะนำให้จดเลขทะเบียนรถยนต์ และรูปพรรณของคนร้ายพร้อมแจ้งตำรวจ


นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงโรงไฟฟ้าระบายสารกัมมันตภาพรังสีสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว

ขณะที่เมื่อเวลา 12.39 น. ตามเวลาท้องถิ่น (10.39 น. เวลาประเทศไทย) วันนี้ (15 มี.ค. 54) สำนักข่าวเอเอชเค รายงานว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายนาโอโตะ คัง (Naoto Kan) เตือนให้ประชาชนอพยพออกจากรัศมี 20 กิโลเมตรของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะหมายเลข 1 เขายังบอกประชาชนที่อยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าในรัศมีระหว่าง 20 ถึง 30 กิโลเมตร ให้อยู่แต่ในอาคาร

นายคังซึ่งประกาศต่อสาธารณะทางโทรทัศน์เมื่อเช้าวันนี้ ยังกล่าวด้วยว่า เหตุระเบิดของก๊าซไฮโดรเจน 2 ครั้ง และเพลิงไหม้ ได้ทำให้ปริมาณกัมมันตภาพรังสีเพิ่มระดับขึ้น และถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ เขายังกล่าวด้วยว่าการที่มีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ยิ่งทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยในรัศมี 20 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าได้ออกจากบริเวณดังกล่าวแล้ว และเขาต้องการให้ประชาชนที่ยังเหลือในพื้นที่ย้ายออกไป

เขากล่าวด้วยว่า มีความพยายามในทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระเบิด หรือเหตุกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลในอนาคต และเขากล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้ากำลังเสี่ยงชีวิตในการเติมน้ำเข้าไปในระบบหล่อเย็นสำหรับแกนเชื้อเพลิงปฏิกรณ์นิวเคลียร์

เขากล่าวด้วยว่า แม้ว่าเขาจะเข้าใจถึงความวิตกกังวลของประชาชน แต่ขอให้ประชาชนคลายความกังวลลง

 

ตำรวจญี่ปุ่นเผยประชาชนรอบรัศมี 20 กม. ของโรงไฟฟ้าออกจากพื้นที่แล้ว

ในช่วงเย็น สำนักข่าวเอนเอชเค รายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นกล่าวว่า ประชาชนทั้งหมดในพื้นที่รัศมี 20 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ หมายเลข 1 ซึ่งได้รับความเสียหายหลังเหตุแผ่นดินไหว ได้รับการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แล้ว

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ได้แนะนำให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย หลังจากมีรายงานกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาจากเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้า ทั้งนี้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำงานตลอดคืน เพื่อย้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลและผู้รักษาตัวในบ้านจำนวน 450 ราย โดยรถบัส และมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลจำนวน 96 รายได้รับการเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยทางเฮลิคอปเตอร์ในช่วงเช้าวันนี้ (15 มี.ค.)

ทั้งนี้ รถของตำรวจลาดตระเวนในพื้นที่รัศมี 20 และ 30 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าและเตือนให้ประชาชนอยู่แต่ภายในอาคารบ้านเรือนซึ่งปิดหน้าต่างมิดชิด

 

ญี่ปุ่นยังดำเนินมาตรการดับกระแสไฟฟ้า

ด้านบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียว (TEPCO) วางแผนดับไฟในหลายจังหวัดรอบโตเกียว ในช่วงเช้าวันนี้ (15 มี.ค. 54) จากการรายงานของสำนักข่าวเอนเอชเค ประกอบด้วยส่วนหนึ่งของจังหวัดโทชิกิ กันมะ ไซตามะ ซึ่งทำให้หลายพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้

ทั้งนี้มีการประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (13 มี.ค.) ว่าจะมีการตัดกระแสไฟใน 5 เขตของโตเกียว และอีก 8 จังหวัด ทั้งนี้การดับกระแสไฟในช่วงเช้าทำให้ 700,000 ครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ ขณะที่การดับกระแสไฟรอบสองเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ทำให้อีก 250,000 ครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้งนี้การดับกระแสเกิดขึ้นเป็นเวลา 3 ชั่วโมง

บริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียวกล่าวด้วยว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงมากในตอนเย็น โดยมาตรการดับกระแสไฟอาจจะดำเนินต่อในบางโอกาส

บริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียวยังกล่าวด้วยว่ากิจกรรมทางอุตสาหกรรมซึ่งลดระดับลงหลังแผ่นดินไหว น่าจะกลับมาสู่ระดับปกติ

 

ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3,300 ราย สูญหายกว่า 6,700 ราย

เมื่อเวลา 22.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) สำนักข่าวเอนเอชเค รายงานว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มี.ค. ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ที่ 3,300 รายแล้ว ขณะที่มีผู้สูญหายอีกกว่า 6,700 ราย

ที่จังหวัดมิยากิ มียอดผู้เสียชีวิตที่ยืนยันได้แล้ว 1,619 ราย และสูญหาย 1,219 ราย ที่จังหวัดอิวาเตะ มีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ยืนยันได้แล้ว 1,193 ราย และมีผู้สูญหาย 3,318 ราย ที่จังหวัดฟุกุชิมะ มีผู้เสียชีวิตที่ยืนยันได้แล้ว 506 ราย มียอดผู้สูญหาย 2,200 ราย และที่จังหวัดอาโอโมริ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และสูญหาย 1 ราย

ในภาคคันโต มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายจากเหตุภัยพิบัติดังกล่าว ประกอบไปด้วย ผู้เสียชีวิต 19 รายที่อิบารากิ และ 7 รายที่โตเกียว

 

เกิดเหตุแผ่นดินไหวระลอกใหม่ในช่วงกลางดึกที่ญี่ปุ่น

นอกจากนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหว วัดได้ 6.0 ริกเตอร์ บริเวณภาคกลางของญี่ปุ่นในช่วงกลางคืนวันนี้ (15 มี.ค.) โดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นรายงานว่ามีเหตุแผ่นดินไหวเมื่อเวลา 22.31 น. ตามเวลาท้องถิ่น อยู่ในระดับ 6 บวก ตามมาตรฐานญี่ปุ่น โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ในพื้นที่ด้านตะวันออกของจังหวัดชิสุโอกะ ลึกจากผิวดินราว 10 กม.

 

ที่มาของข่าว แปลและเรียบเรียงจาก 

被災地で万引きや窃盗相次ぐ, NHK, 3月14日 18時28分
 
PM Kan urges those remaining near plants to leave, NHK World, Tuesday, March 15, 2011 12:39 +0900 (JST) http://www3.nhk.or.jp/daily/english/15_29.html
 
Rolling blackouts continue, NHK World, Tuesday, March 15, 2011 12:30 +0900 (JST)
 
All residents within 20km of plant evacuated, NHK World, Tuesday, March 15, 2011 16:05 +0900 (JST) http://www3.nhk.or.jp/daily/english/15_42.html
 
More than 3,300 deaths confirmed, NHK World, Tuesday, March 15, 2011 22:30 +0900 (JST)
 
Powerful quake hits Shizuoka, NHK World, , Tuesday, March 15, 2011 23:05 +0900 (JST)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วารสารคนทำงาน เดือนกุมภาพันธ์ 2554

Posted: 15 Mar 2011 07:59 AM PDT


Published under a Creative Commons License By attribution, non-commercial

เกิดเหตุระเบิดที่่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา 2 รอบวันนี้

Posted: 15 Mar 2011 06:28 AM PDT

มีรายงานว่าเกิดเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา 2 รอบ และบ่อเก็บแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วหน่วยที่ 4 เกิดไฟไหม้ขึ้นและมีการปล่อยกัมมันตภาพรังสีโดยตรงสู่อากาศวัดค่าได้ 400 มิลลิซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ด้านสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเผยถ้าวัดรังสีในอากาศเกิน 1 ไมโครซีเวิร์ทต่อชั่วโมง ขึ้นไป จะมีมาตรการให้ประชาชนหลบอยู่ในที่พักอาศัย

วันนี้ (15 มี.ค.) เว็บไซต์สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ รายงานว่า เมื่อเวลา 12.24 น. ตามเวลาประเทศไทย สำนักงานได้รับแจ้งข้อมูลจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศว่า บ่อเก็บแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima-Daiichi หน่วยที่ 4 เกิดไฟไหม้ขึ้นและกัมมันตภาพรังสีถูกปล่อยโดยตรงออกสู่บรรยากาศ อัตราระดับรังสี ณ ที่เกิดเหตุ วัดได้มีค่าถึง 400 มิลลิซีเวิร์ตต่อชั่วโมง สาเหตุที่เกิดไฟไหม้ขึ้นอาจเป็นไปได้ว่ามาจากการระเบิดของไฮโดรเจน

เมื่อเวลา 14.35 น. เวลาประเทศไทย สำนักงานได้รับแจ้งข้อมูลจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศว่าไฟที่ไหม้ บ่อเก็บแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima-Daiichi หน่วยที่ 4 ดับไปแล้วเมื่อเวลา 09.00 น. เวลาประเทศไทย

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 09.08 น. ตามเวลาประเทศไทย เว็บไซต์สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ยังรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2554 สำนักงานได้รับแจ้งข้อมูลจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศว่า NISAได้ยินเสียงระเบิดขึ้นที่ โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 2 ในบริเวณของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima-Daiichi เมื่อเวลา 04.10 น. ตามเวลาในประเทศไทย วันที่ 15 มีนาคม 2554 ในรายงานระบุว่ามีความเป็นไปได้ว่าแหล่งเก็บน้ำสำหรับระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน (suppression chamber) อาจได้รับความเสียหายเนื่องจากการระเบิด ซึ่งสาเหตุที่เกิดระเบิดมีรายละเอียดดังนี้

วันที่ 14 มีนาคม 2554 เวลา 11.25 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากระบบหล่อเย็นในแกนเครื่องปฏิกรณ์ไม่สามารถทำงานได้ บริษัท TEPCO ได้แจ้งเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 15 ตามกฎหมายมาตราพิเศษการเตรียมพร้อมกรณีฉุกเฉินทางนิวเคลียร์

วันที่ 14 มีนาคม 2554 เวลา 15.16 น. ตามเวลาประเทศไทย ระดับน้ำได้ลดลงถึงจุดสูงสุดของแกนเครื่องปฏิกรณ์ ความดันภายในเครื่องเพิ่มขึ้น และวาล์วปรับความดันเริ่มทำงาน ถึงแม้ว่าได้มีการฉีดน้ำทะเลเข้าไปในเครื่องตั้งแต่เวลา 18.05 น. ตามเวลาประเทศไทย ระดับน้ำยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับที่ตรวจวัดได้

วันที่ 15 มีนาคม 2554 เวลา 04.10 น. มีการระเบิดที่โรงไฟฟ้าหน่วยที่ ๒

วันที่ 15 มีนาคม 2554 เวลา 07.55 น. ตามเวลาประเทศไทย ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศแจ้งว่าได้มีการประเมินความเสียหายของแกน ปฏิกรณ์ ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สูงกว่าที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ได้ประเมินไว้

นอกจากนี้ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ยังรายงานว่า  สำนักงานฯ ได้มีการติดตั้งเครื่องวัดรังสีในอากาศทั่วประเทศ โดยติดตั้งที่กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น เชียงใหม่ และสงขลา โดยการแจ้งเตือนจะเตือนเมื่อระดับรังสีสูงกว่า 200 nSv/hr (Investigation level) โดยสำนักสนับสนุนกำกับดูแลความปลอดภัยจากพลังงานปรมาณู

เมื่อมีการฟุ้งกระจายและมีผลต่อสุขภาพของประชาชนในระดับรุนแรงนั้น สำนักงานจะมีการปฏิบัติโดยใช้แผนฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีแห่งชาติเป็น แนวทางในการปฏิบัติ ในการปฏิบัติเบื้องต้น จะมีการสุ่มตัวอย่างอาหารตามที่ต่างๆ ที่คาดว่าจะมีวัสดุกัมมันตรังสีตกลงและปนเปื้อน โดยใช้เกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงสำหรับการปนเปื้อนในอาหารซึ่งถ้าปนเปื้อน วัสดุกัมมันตรังสีที่แผ่รังสีแกมมา เมื่อค่าที่ปนเปื้อนอาหารและน้ำเกินระดับที่กำหนด จะมีการดำเนินการดังนี้

1. แนะนำให้ประชาชน ไม่ดื่ม หรือไม่รับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนวัสดุกัมมันตรังสีดังกล่าว
2. ถ้าวัดระดับรังสีในอากาศได้มากกว่า 1 ไมโครซีเวิร์ทต่อชั่วโมง ขึ้นไป ให้ประชาชนหลบอยู่ในที่พักอาศัย โดยปิดประตู หน้าต่างอย่างแน่นหนา และปิดระบบระบายอากาศ เพื่อป้องกันไม่ให้วัสดุกัมมันตรังสีที่อยู่ในอากาศเข้ามาในที่พักอาศัยได้
3. รอรับการแจ้งจากหน่วยงานระงับเหตุฉุกเฉิน (จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบจากเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรต่อไป
4. เมื่อระดับรังสีที่ประเมินได้ สูงจนเป็นอันตรายต่อประชาชน หรือ 1 มิลลิซีเวิร์ท แนะนำให้ประชาชนอพยพออกนอกบริเวณ และไปอยู่ในบริเวณที่มีระดับรังสีไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย
5. เมื่อระดับรังสีที่ประเมินได้ อยู่ในระดับปกติ แจ้งเตือนให้ประชาชนมีระมัดระวังในเรื่องของการเปรอะเปื้อนทางรังสีที่พื้น ดิน อาคารบ้านเรือน
6. การป้องกันเบื้องต้นสำหรับวัสดุกัมมันตรังสี I-131 เมื่อพบว่ามีการฟุ้งกระจายของวัสดุกัมมันตรังสี I-131 แจ้งให้ประชาชนรับประทาน โปแตสเซียมไอโอได ในทันที เพื่อลดการรับรังสีบีตา และแกมมาที่ต่อมไทรอยด์
7. การป้องกันเบื้องต้นสำหรับวัสดุกัมมันตรังสี Cs-137 ให้รับประทาน Prussian Blue หลังจากที่ได้รับวัสดุกัมมันตรังสี Cs-137 นั้นเข้าสู่ร่างกาย (ตามคำแนะนำของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ณัฐวุฒิ-เหวง เป็นพยานขอประกันตัวเสื้อแดงอุบลฯ ศาลนัดฟังผล 29 มี.ค.

Posted: 15 Mar 2011 05:49 AM PDT

คนเสื้อแดงแห่ฟัง ณัฐวุฒิ และ นพ.เหวง ขึ้นเบิกความเป็นพยานประกอบการพิจารณาให้ประกันตัวคดีเผาศาลากลาง จ.อุบลราชธานี ขณะที่ศาลยังไม่วินิจฉัย นัดฟังอีกรอบ 29 มี.ค.

เมื่อวานนี้ (14 มี.ค.) เวลาประมาณ 13.45 น. ศาลจังหวัดอุบลราชธานี นัดไต่สวนพยานจำนวน 4 ปาก เพื่อประกอบการพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาจำนวน 21 ราย ในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลฯ พยานทั้ง 4 ได้แก่ พ.ต.อ.ไอศูรย์ สิงหนาท รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี, ผู้แทนจากเรือนจำกลางอุบลฯ, นพ.เหวง โตจิราการ และนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำ นปช. ซึ่งได้รับการประกันตัวออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ บรรยากาศบริเวณศาล เต็มไปด้วยความคึกคัก มีผู้สนับสนุน นปช. ญาติของผู้ต้องหา และผู้สนใจกว่า 200 คนปักหลักรอการไต่สวนตั้งแต่ช่วงเช้า

การไต่สวนแล้วเสร็จเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. โดยศาลได้นัดอ่านคำวินิจฉัยว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่ ในวันที่ 29 มีนาคม 2554 ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง ต้องส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นผู้พิจารณา

ภายหลังทราบผล ญาติของผู้ต้องหาจำนวนหนึ่งถึงกับร้องไห้ด้วยความผิดหวัง อาทิ นางวาสนา ลิลา ภรรยานายบุญเหรียญ ลิลา และนางสายทอง เกตุสุวรรณ์ มารดานายสนอง เกตุสุวรรณ์ เนื่องจากทุกคนตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อแกนนำ นปช. มาให้การเป็นพยานแล้ว ผู้ต้องหาน่าจะได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวเช่นเดียวกับแกนนำ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข้อเสนอ 5 ประการต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นเรื่องแรงงานข้ามชาติในไทย

Posted: 15 Mar 2011 05:36 AM PDT

หมายเหตุ: 1. ชื่อรายงานเดิม "มสพ.ส่งรายงานสถานการณ์สิทธิฯเเรงงานข้ามชาติต่อคณะมนตรีสิทธิฯยูเอ็น หวังถ่วงดุลการประเมินสถานการณ์สิทธิในไทย"

วันนี้ (15 มี.ค.) มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) แจ้งว่า ทางมูลนิธิได้ส่งรายงานสถานการณ์สิทธิฯ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ ให้กับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ เพื่อประกอบการตรวจสอบสถานการณ์สิทธิฯ ในประเทศไทย (UPR) [คลิกที่นี่เพื่ออ่านเอกสารฉบับเต็ม] โดยคำแถลงของมูลนิธิมีดังนี้

 

คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) จัดตั้งขึ้นในปี 2549 เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของสหประชาชาติ มีหน้าที่ในการสอดส่องตรวจสอบ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมด ประเทศไทยเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรของประเทศไทยประจำสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้รับคัดเลือกเป็นประธาน HRC วาระดำรงตำแหน่ง 1 ปี ถึงเดือนมิถุนายน 2554 โดยประเทศไทยได้ให้คำมั่นที่จะส่งเสริมการอนุวัติกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน เร่งทบทวนแก้ไขกฎหมายฉบับต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ตลอดจนส่งเสริมระบบยุติธรรมและนิติรัฐเพื่อความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และป้องกันมิให้ผู้กระทำผิดลอยนวล และขจัดการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ HRC ได้กำหนดกระบวนการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ (UPR) โดยประเทศไทยมีวาระจะต้องเข้าสู่การทบทวนเป็นครั้งแรกในวันที่ 5 ตุลาคม 2554 นี้ และต้องจัดทำรายงานต่อ HRC ภายในเดือนกรกฎาคม โดยกระบวนการ UPR เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมนำเสนอรายงานตรงต่อ HRC ได้ภายในวันที่ 14 มีนาคมนี้

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา จึงได้ส่งรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเด็นเกี่ยวข้องกับสิทธิของแรงงานข้ามชาติและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ไปยัง HRC เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2554 โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญดังนี้

1.รัฐไทยต้องยกเลิกกฎหมาย ระเบียบ ทางปฏิบัติ ที่เลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติ และละเมิดพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานที่รัฐไทยเป็นภาคี ตลอดจนส่งเสริมการปฏิบัติงานของกลไกด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติโดยการตอบรับการของเดินทางมาเยี่ยมประเทศไทยอย่างเป็นทางการของผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของแรงงานย้ายถิ่น

2.รัฐไทยต้องเคารพและดำเนินมาตรการที่เข้มงวดเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการละเมิดโดยการใช้อำนาจโดยมิชอบของหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนอื่น ๆ ตลอดจนดำเนินการสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรมและเยียวยาความเสียหายตามกฎหมาย

3.รัฐไทยต้องพัฒนาวิธีการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการจัดการประชากรย้ายถิ่นฐาน อันตั้งอยู่บนสมดุลระหว่างการพัฒนาส่งเสริมเศรษฐกิจกับการเคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งรัฐไทยควรเปิดให้มีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติรอบใหม่เพื่อให้ แรงงานข้ามชาติจำนวนล้านกว่าคนที่ไม่ได้จดทะเบียนและทำงานอยู่ในประเทศไทยในขณะนี้ได้มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ ทั้งนี้ รัฐไทยโดยกระทรวงแรงงานต้องควบคุมธุรกิจบริการพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติของบริษัทนายหน้า โดยให้มีมาตรการการบริการและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม

4.แม้ว่าประเทศไทยจะลงนามรับหลักการอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และพิธีสารป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เพิ่มเติมอนุสัญญาดังกล่าวแล้วตั้งแต่ปี 2545 แต่ปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่ารัฐไทยได้ให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีพิธีสารดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเห็นสมควรให้รัฐไทยดำเนินการเพื่อให้สัตยาบันพิธีสารดังกล่าวโดยพลัน

5.รัฐไทยต้องพัฒนาองค์ความรู้การระบุความแตกต่างระหว่างการค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์จากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และการฉ้อโกงแรงงาน ทั้งในระดับหลักการและการปฏิบัติ เพื่อมิให้เกิดช่องว่างการฟื้นฟูเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และต้องพัฒนากระบวนการบังคับใช้กฎหมายกรณีดำเนินคดีกับนิติบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์เพื่อเป็นการตัดเส้นทางการเงินของกระบวนการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ

AttachmentSize
Summary on Human Rights Situation of Migrant Workers in Thailand1.38 MB
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

กวีประชาไท: แด่เธอ…เซ็นได

Posted: 15 Mar 2011 05:17 AM PDT

แด่เธอ…เซ็นได
เซ็นไดไสเป็นเฉกเช่นนี้
มหานทีคลุ้มคลั่งจากหนไหน
พัดถล่มจ่อมจมจนร่ำไห้
เกลื่อนกระจายลับหายไปทั่วเมือง

เห็นแต่ศพพบแต่น้ำที่เซ็นได
สึนามิโถมใส่ถล่มทั่ว
บ้านแตกคนตายหายตัว
เห็นทั่วมีให้เห็นที่เซ็นได

เซ็นไดเซ็นได..วันใบไม้เปลี่ยนสี
ปฐพีสั่นแยกแหวกคลื่นร้าย
ย่อยยับพินาศจมเพลิงไฟ
สำแดงเดชทันไรโรงนิวเคลียร์

เซ็นไดเซ็นไดวันปวดร้าว
คุกเข่าเศร้าจนน้ำตาไหล
จากนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว..เซ็นได
ร่องรอยทิ้งไว้คือบทเรียน

เช็ดน้ำตาเถอะ..เซ็นได
แล้วดอกไม้จะบานเปลี่ยนสีอีกหน
ปลุกชีวิตปลุกพลังของผู้คน
ให้หลุดพ้นห้วงยามราตรีกาล

สุดเศร้าเสียใจกับเธอด้วย
อยากช่วยฟื้นฟูอยู่ใกล้ๆ
ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ
ดอกไม้จากเมืองไทยมอบให้เธอ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทหารไม่เห็นด้วย “คอป.” สอบกรณียิง “เสธ.แดง” แล้วมีสื่อมานั่งฟัง

Posted: 15 Mar 2011 04:59 AM PDT

คอป.สอบกรณีลอบสังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล สื่อยันระหว่างสัมภาษณ์ เสธ. หันหน้าเข้า ถ.พระราม 4 ทหารแจงพล.ม.2 รอ.คุมเต็มพื้นที่ ถ.พระราม 4 ร่วมกับตำรวจ แต่ไม่เห็นด้วยที่มีสื่อมานั่งฟัง ระบุเรื่องสอบควรยกให้ดีเอสไอ ด้าน “สมชาย หอมลออ” ยังไม่พอใจข้อมูล หัวกระสุนหายไปได้อย่างไร ชี้เรื่องเกิดในพื้นที่ซึ่ง จนท. คุมไว้แล้ว ทางการต้องอธิบายให้ได้ในเรื่องที่มีมือปืนเข้าไปก่อเหตุ 

อนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง คอป. เผยแพร่รายงานที่ระบุว่า ยังได้รับข้อมูลที่ไม่น่าพอใจกรณีการเสียชีวิตของพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล หลังจากที่เชิญกองทัพภาคที่ 1 และทางโรงพยาบาลหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติมาชี้แจง เนื่องจากข้อมูลที่ได้ไม่ชัดเจน และไม่สามารถให้คำตอบเรื่องการควบคุมพื้นที่ และการพบหัวกระสุนปืนในศีรษะของเสธ.แดงที่หายไป

 

คอป.เชิญหลายฝ่ายให้ข้อมูลกรณียิง เสธ.แดง”

โดยวันนี้ (15 มี.ค. 54) ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในการประชุมครั้งที่ 7 นายสมชาย หอมลออ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง เป็นประธานในที่ประชุมโครงการรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบจากทุกฝ่าย (Hearing) ได้นำกรณีการเสียชีวิตของพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2553 ขึ้นมาพิจารณา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตัวแทนจากกองทัพภาคที่ 1 ผู้สื่อข่าวเดอะเนชั่น ตัวแทนโรงพยาบาลหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยมีผู้สังเกตการณ์จาก ศรส. EU และตัวแทนสถานทูตออสเตรเลีย ส่วนหน่วยงานที่ คอป. เชิญเข้าร่วมชี้แจงแต่ไม่ได้มาเข้าร่วมการประชุมคือ ตำรวจ สน.ลุมพินี สน.สามเสน และ นายแพทย์จรูญศักดิ์ นวลแจ่ม จากโรงพยาบาลวชิระพยาบาล

นายสมชาย ในฐานะประธานที่ประชุมได้กล่าวเปิดประชุมโดยกล่าวว่า นายคณิต ณ นคร ในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ได้กล่าวไว้ว่าการสร้างความปรองดองต้องค้นพบความจริงเสียก่อน เพื่อจะนำไปสู่ความปรองดองได้ ที่ผ่านมาได้รับฟังข้อเท็จจริง กรณีดาวเทียมไทยคม กรณีการเสียชีวิตของช่างภาพญี่ปุ่น กรณีความรุนแรงบริเวณบ่อนไก่-สีลม ฯลฯ เป็นต้นมา และครั้งนี้เป็นกรณีเสียชีวิตของ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่ถูกยิงเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2553 ซึ่งความรุนแรงดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น และเป็นคดีอุกอาจ เพราะถูกยิงต่อหน้าผู้สื่อข่าว

 

ผู้สื่อข่าวนิวยอร์กไทม์เผยระหว่างสัมภาษณ์เสธ.แดงหันหน้าเข้า ถ.พระราม 4

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ของ คอป. ได้นำข้อมูลเสนอต่อที่ประชุม เป็นคำให้การของนายโธมัส ฟุลเลอร์ ผู้สื่อข่าวนิวยอร์กไทม์ ที่กล่าวถึงตำแหน่งการยืนของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกว่า ในตอนที่เสธ.แดงให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวอยู่นั้น ได้หันหน้าไปทางถนนพระราม 4 ตัวผู้สื่อข่าวเองยืนห่างออกมาประมาณ 2 ฟุต โดยในขณะนั้นมีผู้สื่อข่าวเสียงอเมริกา (VOA) ร่วมสัมภาษณ์อยู่ด้วย และทางเจ้าหน้าที่ คอป. ได้เปิดภาพถ่ายวิดีโอการช่วยเหลือนำตัวเสธ.แดง ส่งโรงพยาบาล และมีหลักฐานจากคำพูดของ น.พ.จรูญศักดิ์ นวลแจ่ม หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลวชิระพยาบาล ที่ได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ว่า วันที่ 13 พ.ค. เสธ.แดงยังไม่เสียชีวิต แต่เนื้อสมองตายแล้ว แพทย์ชันสูตรพบว่า เสธ.แดง ถูกยิงตายด้วยกระสุน 1 นัดแต่ไม่ทราบว่าเป็นชนิดใด เนื่องจากไม่มีหัวกระสุนในเนื้อสมอง และบาดแผลถูกยิงทำมุม 30 องศา

 

ผู้สื่อข่าวเนชั่นระบุผ่านหน้า รร.ดุสิต ได้ยินเสียงดังมาก ตอนแรกคิดว่าประทัด

นายปองพล สารสมัคร ผู้สื่อข่าวเดอะเนชั่นได้ชี้แจงว่า ตนไม่ได้อยู่ในช่วงที่พล.ต.ขัตติยะหรือเสธ.แดง ถูกยิง เมื่อไปถึงพื้นที่ เห็นเสธ.แดงให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศอยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าไปร่วมสัมภาษณ์ จากการสังเกตอาการเสธ.แดงวันนั้น มีลักษณะท่าทางที่ไม่อยู่นิ่ง หันซ้ายหันขวา ก้มหน้าดูพื้นตลอดเวลา ทำให้ช่างภาพทำงานยาก หลังจากนั้นได้แยกตัวออกไป เมื่อเดินออกไปผ่านหน้าโรงแรมดุสิต ได้ยินเสียงดังมาก ในตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงประทัด ต่อมาทางโรงพิมพ์แจ้งว่า เสธ.แดงถูกยิงให้รายงานสถานการณ์ด่วน

 

พยาบาลหัวเฉียวไม่รู้เรื่องหัวกระสุนหายช่วงทำ CT แสกน

นายชูชีพ บุญเส็ง เจ้าหน้าที่ควบคุมกู้ชีพผลัดที่ 1 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งเป็นผู้พาพล.ต.ขัตติยะ จากโรงพยาบาลหัวเฉียวฯ ไปโรงพยาบาลวชิระพยาบาล ชี้แจงว่าเป็นผู้นำส่งเสธ.แดงไป ขณะนั้นยังไม่เสียชีวิต โดยมีเจ้าหน้าที่ พยาบาลจาก รพ.วชิระมารับเสธ.แดงด้วย และได้นำรถออกทางด้านหลังโรงพยาบาลหัวเฉียวฯ เนื่องจากด้านหน้ามีผู้ชุมนุม ซึ่งเขาไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สั่งย้าย พล.ต.ขัตติยะออกจากโรงพยาบาล

นางโสรญา สิทธิผิน พยาบาลประจำการศูนย์หัวเฉียวพิทักษ์ชีพ ชี้แจงว่าตอนที่คนไข้เข้ามาโรงพยาบาลยังไม่เสียชีวิตและไม่รู้สึกตัว จากนั้นได้นำคนไข้ไป ศูนย์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ จากนั้นนำไปรักษาตัวที่ห้องไอซียู จากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมงก็มีการเคลื่อนย้ายคนไข้ไป ร.พ.วชิระ เมื่ออนุกรรมการถามว่า เห็นหัวกระสุนตอนที่ทำ CT สแกนหรือไม่ นางโสรญาบอกว่าไม่ได้ดู และไม่ทราบเรื่องการสั่งย้าย เพราะคนที่ทราบคือ ผู้บริหารโรงพยาบาล รู้แต่เพียงคนไข้ไม่รู้สึกตัว มีผ้าพันแผลที่ศีรษะ และมีเลือดไหลตลอด

 

ทหารบ่นไม่เห็นด้วยที่ คอป. เชิญสื่อมานั่งฟัง ชี้ควรเป็นเรื่องดีเอสไอ

พ.ท.สิทธิศักดิ์ ธิวันนา ผู้ช่วยฝ่ายยุทธการกองทัพภาคที่ 1 (ผช.ฝยก.ทภ.1) ได้ชี้แจงว่า ในพื้นที่ถนนพระราม 4 มีหน่วยงานของ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ควบคุมอยู่เต็มพื้นที่ร่วมกับตำรวจ และหน้าที่หลักที่ได้รับคำสั่งมาคือ การป้องกันการก่อเหตุจากมือที่ 3 ในการเข้ามาชี้แจงต่อคอป. นั้น ตนไม่เห็นด้วยที่คณะกรรมการเชิญมาสอบโดยมีผู้สื่อข่าวนั่งฟังอยู่ด้วย และจะชี้แจงทางหนังสือตามมาทีหลัง ส่วนการสอบสวนคิดว่าควรเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษมากกว่า

 

สมชาย หอมลออ” บอกข้อมูลยังไม่น่าพอใจ จี้รัฐอธิบายทำไมถึงมีมือปืนเข้ามา

นายสมชาย หอมลออ กล่าวว่า การประชุมวันนี้ได้รับข้อมูลที่ไม่น่าพอใจ เพราะตัวแทนที่เกี่ยวข้องที่เชิญมาร่วมประชุมหลายฝ่ายไม่มา ดังนั้นต้องทำการตรวจสอบกรณีนี้ต่อ เพื่อที่จะได้ข้อมูลที่แท้จริง เพราะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพื้นที่และอาวุธปืนที่ พล.ต.ขัตติยะถูกยิงด้วยสไนเปอร์ เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิเศษ และหน่วยงานที่มีปืนชนิดนี้มีแต่หน่วยงานราชการเท่านั้น แต่การจะอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่แตกแถวไปบ้างนั้น คนที่ยิงได้แม่นขนาดนี้ต้องมีความแม่นยำและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

และวิถีกระสุนที่เจาะเข้าศีรษะทางด้านขวา ทำมุมเฉียง 30 องศานั้น จึงเป็นการยิงจากมุมสูง ผู้เสียชีวิตหันหน้าไปถนนพระราม 4 เป็นไปได้ว่า วิถีกระสุนน่าจะมาจากอาคารทางด้านฝั่งขวา ซึ่งจะมีอาคารที่น่าจะเกี่ยวข้อง เช่น สีลมพล่าซ่า หรืออาคารโรงพยาบาลจุฬาฯ นอกจากนั้น พื้นที่ในระยะใกล้ หรือที่สูง ในช่วงเกิดเหตุดังกล่าวน่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่มาแล้วหลายวัน การที่จะมีมือปืนแปลกปลอมเข้าไปก่อเหตุได้นั้น ทางการต้องอธิบายให้ได้ว่า ทำไมถึงเปิดช่องให้มือปืนแปลกปลอมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ได้ คำถามนี้ ทางคณะอนุกรรมการฯ ต้องการคำตอบไม่ใช่เฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อความกระจ่างตามที่ได้ภาระหน้าที่มอบหมายมา รวมทั้งเรื่องโรงพยาบาลพบหัวกระสุนจริง แล้วหัวกระสุนหายไปได้อย่างไร เพราะหัวกระสุนจะได้รู้คำตอบว่ามาจากปืนกระบอกใด ซึ่งจะต้องตรวจสอบต่อไป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น