ประชาไท | Prachatai3.info |
- เพลิงไหม้เรือนจำฮอนดูรัสคร่า 355 ชีวิต
- เสวนา: เรายังจะจัดงานบอลกันอีกหรือ?
- ไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันติ
- เม้าท์มอย: บาทวิถีสนทนา@ศาลอาญา
- เว็บไซต์ดังสำรวจ SMS โพลล์ เผยประชาชน 53.68% ไม่กังวลว่าความเห็นต่างกรณี ม.112 จะบานปลาย
- ALRC เผยรายงาน "การคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเสรีภาพทางการเมืองในประเทศไทย"
- หมอตุลย์ที่ FCCT แจงทำไมห้ามแก้ ม. 112
- ใจ อึ๊งภากรณ์: ความป่าเถื่อนของระบบศาลและคุกในประเทศไทย
- ปปง.เตรียมแจงจันทร์นี้หลัง FATF ขึ้นบัญชีดำไทยไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานฟอกเงิน
- เหยื่อร่ำไห้กลางศาลปกครอง สะเทือนใจถูกซ้อมพร้อมอิหม่ามยะผา
- พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คณะนิติราษฎร์คือรถไฟขบวนสุดท้าย
- CSR พลังอำนาจของ “ภาพลักษณ์” หรือ “มายาคติ” ลวงโลก?
- อภิปราย ‘รัฐประหาร’ ใน ‘การปกครองระบอบประชาธิปไตย’ แจงลักษณะเฉพาะแบบไทยๆ
เพลิงไหม้เรือนจำฮอนดูรัสคร่า 355 ชีวิต Posted: 17 Feb 2012 12:45 PM PST เกิดเหตุเพลิงไหม้เรือนจำครั้ 16 ก.พ. 2012 - จากเหตุการเพลิงไหม้เรื สำนักข่าว BBC รายงานว่า ทางการฮอนดูรัสได้พยายามระบุตั ญาติของผู้เสียชีวิตต่างเดิ โฆษกสำนักงานอัยการแผ่นดิ โดยในคืนเกิดเหตุมีการลำเลี ผู้รอดชีวิตเล่าว่าเพื่อนผู้ต้ "ผมตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงร้องระงมจากเพื่อนผู วิลล์ แกรนท์ ผู้สื่อข่าว BBC รายงานบรรยากาศหลังเกิดเหคุเพลิ
รัฐบาลประกาศ 'ยกเครื่อง' เรือนจำ ครอบครัวของผู้ต้องขังพากันมาที นักดับเพลิงบอกว่าพวกเขาไม่ ประธานาธิบดี พอร์ฟิลิโอ โลโบ สัญญาว่าจะดำเนินการสื ผู้รอดชีวิตบางส่วนกล่าวกับผู้ แต่ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็
เผยผู้ต้องขังกว่าครึ่งเป็นแค่ สำนักข่าว BBC เปิดเผยว่าฮอนดูรัสเป็นประเทศที หลายปีก่อนหน้านี้ทางการฮอนดูรั สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอีกว่
ที่มา Comayagua prison fire killed 355 - Honduras officials, BBC, 16-02-2012 http://www.bbc.co.uk/news/ Honduras prison fire: Families' grief and anger, BBC, 16-02-2012 http://www.bbc.co.uk/news/ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เสวนา: เรายังจะจัดงานบอลกันอีกหรือ? Posted: 17 Feb 2012 08:53 AM PST กลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน เสวนาตั้งคำถามต่องานฟุตบอลประเพณี ผู้ร่วมอภิปรายมอง งานบอลมิได้ส่งเสริมความสามัคคีระหว่างนศ.สองสถาบันตามที่พูดกันทั่วไป หากแต่ยิ่งปลูกฝังความเป็นสถาบันนิยม แนะ ควรนำเงินที่ใช้จัดไปส่งเสริมกองทุนการศึกษา เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 17.00 น. ห้อง 107 ตึก 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน จัดเสวนาในหัวข้อ “เรายังจะจัดงานบอลกันอีกหรือ” โดยมีวิทยากรร่วมเสวนา คือ นายดิน บัวแดง นิสิตจากกลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน นายกิตติพัฒน์ มณีใหญ่ นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายรักษ์ชาติ์ วงศ์อธิชาติ อุปนายกองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) และนายปราบ เลาหะโรจนพันธ์ นักศึกษาจากกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย โดยมีนิสิตนักศึกษาและบุคคลทั่วไปร่วมวงเสวนากว่า 100 คน นายดิน บัวแดงอธิบายประวัติความเป็นมาของงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ โดยชี้ว่าเดิมทีเป็นกิจกรรมเตะฟุตบอลเล็กๆ ของเพื่อนนิสิตและนักศึกษาที่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยเป็นกิจกรรมส่วนตัวของนิสิตนักศึกษาอย่างแท้จริง ส่วนรายได้จากการเก็บเงินค่าผ่านประตูนั้นทำไปบำรุงการกุศลอย่างเป็นรูปธรรมเช่น สร้างเรือนพักคนไข้วัณโรค บำรุงการศึกษาสองสถาบัน บำรุงรพ.ทหารบก ช่วยเหลืออัคคีภัยพิษณุโลก และโดยเสด็จพระราชกุศล สมทบทุน “อานันทมหิดล” เพื่อวิจัยโรคเรื้อน เป็นต้น แต่ตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา รายได้จากงานฟุตบอลประเพณีฯ ก็เป็นไปเพื่อ “โดยเสด็จพระราชกุศล” แทบทั้งสิ้น นายดินชี้ว่า กิจกรรมเตะฟุตบอลของนิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันในช่วง 20 ปีแรก (พ.ศ. 2477 – พ.ศ. 2500) ได้มีการพัฒนากิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาอย่างสร้างสรรค์ เช่น การแปรอักษร เชียร์ลีดเดอร์หญิง รวมทั้งขบวนพาเหรดล้อการเมืองด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงต่อมากิจกรรมเตะฟุตบอลได้พัฒนาจนมีขนาดใหญ่โตหรูหรามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นงานระดับชาติ อย่างไรก็ตามช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นิสิตนักศึกษามีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ในช่วงนั้น จึงได้มีการเคลื่อนไหวต่อต้านงานฟุตบอลประเพณีอย่างเป็นรูปธรรมโดยนักศึกษาธรรมศาสตร์กลุ่มสภาหน้าโดม เขาตั้งข้อสังเกตว่า ความเฟื่องฟูของงานฟุตบอลประเพณีฯ กับการตื่นตัวทางการเมืองของนิสิตนักศึกษามีความสัมพันธ์กันอย่างเห็นได้ชัด คือ ในช่วงเวลาที่นิสิตนักศึกษามีความตื่นตัวทางการเมืองมาก งานฟุตบอลประเพณีจะค่อนข้างซบเซา จะเห็นได้จากการยกเลิกงานฟุตบอลในปี 2516-2518 ซึ่งนักศึกษาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เช่น ออกสู่ชนบท จัดนิทรรศการต่างๆ เช่น นิทรรศการศิลปะเพื่อชีวิตบนถนนราชดำเนิน นิทรรศการจีนแดง ฯลฯ การรื้อฟื้นงานฟุตบอลประเพณีฯ หรือในเดือนมกราคม 2519 ที่มีการเปลี่ยนเนื้อหาสาระของงานบอลให้รับใช้ประชาชน ลดความฟุ่มเฟือยและเพิ่มการบำเพ็ญประโยชน์ การงดจัดงานฟุตบอลประเพณีในปี 2520 เนื่องจากเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 และในปี พ.ศ. 2534 นักศึกษารุ่น “พฤษภาทมิฬ” ที่ตื่นตัวด้านการเมืองมาก ทำให้สมาชิกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ส่วนใหญ่ลงมติไม่จัดงานบอล นอกจากนี้ยังมีการยกเลิกงานฟุตบอลประเพณีเนื่องด้วยความไม่สะดวกต่างๆ เช่น เหตุน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งนายดิน บัวแดงก็ตั้งคำถามว่า ปีนี้ก็มีเหตุน้ำท่วมใหญ่เช่นกัน ทำไมจึงไม่งดจัดงานฟุตบอลประเพณี นายดิน บัวแดง ทิ้งท้ายด้วยการกล่าวถึงบทเพลงมาร์ชธรรมศาสตร์-จุฬา สามัคคี ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ประพันธ์ขึ้น เพื่อเน้นย้ำว่านิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษาธรรมศาสตร์จะต้องรับใช้ประชาชนร่วมกัน ต่อมานายนายรักษ์ชาติ์ วงศ์อธิชาติ กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของงานฟุตบอลประเพณี และความคุ้มทุน ซึ่งในอดีต ดร. สุรพล สุดารา อดีตประธานเชียร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อ “พิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นความสามัคคีระหว่างผู้ที่จะต้องไปใช้สมองร่วมกันรับใช้ประเทศชาติต่อไปในอนาคต” รักชาติ์ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของงบประมาณ และชี้ให้เห็นว่า ความสามัคคีที่มักถูกอ้างนั้น เกิดจากการบีบบังคับและปลูกฝังโดยระบอบ SOTUS และกิจกรรมรับน้อง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ปลูกฝังความคิดแบบสถาบันนิยม จนทุกวันนี้นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็แข่งขันประชดประชันด่าทอกันอย่างรุนแรง ตัวแทนจากอมธ. จึงสรุปว่า งานฟุตบอลประเพณีฯ ไม่ได้ทำนิสิตนักศึกษาของสองสถาบันสมัครสมานสามัคคีกันมากขึ้น ดังมีผู้กล่าวอ้างตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต่อประเด็นที่ว่างานฟุตบอลประเพณีเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าเพราะมีขบวนล้อการเมืองซึ่งสะท้อนภาพของสังคม นายรักษ์ชาติ์แย้งว่าไม่จริง เพราะนิสิตถูกจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองเสมอมา ทั้งโดยรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยสมาคมศิษย์เก่าในพระบรมราชูปถัมภ์ การมีประธานในพิธีเป็นราชวงศ์ นอกจากนี้ รักษ์ชาติชี้ว่า การควบคุมเสรีภาพมีทั้งในรูปแบบการเซ็นเซอร์เนื้อหา การใช้ความบันเทิงมอมเมาเยาวชน และแม้แต่ยกเลิกงานฟุตบอลประเพณี สำหรับงานฟุตบอลประเพณีในปีนี้ นายรักษ์ชาติ์เห็นว่าเรื่อง มาตรา 112 เป็นเรื่องที่นิสิตถูกจำกัดไม่ให้แสดงความคิดเห็น ในขณะที่งานฟุตบอลประเพณีซึ่งมีถูกใช้ไปใน “การโฆษณาความศักดิ์สิทธิ์และส่งเสริมสถาบันนิยมอย่างล้นเกิน” ดังนั้นหากขบวนล้อการเมืองจะสะท้อนภาพใดได้ ก็คงเป็นภาพการเมืองและประชาธิปไตยที่ตกต่ำของประเทศไทยเท่านั้น สุดท้ายนายรักษ์ชาติ์ได้เชิญชวนให้นิสิตนักศึกษาหันกลับมาทบทวนความถูกต้อง เหมาะสม ว่าจำเป็นที่จะต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่ อลังการ และฟุ่มเฟือยหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือเจตนารมณ์ที่แท้จริงของงานฟุตบอลประเพณี โดยต้องดิ้นให้หลุดจากภาพมายาเพื่อมองความเป็นจริงของสังคม นายกิตติพัฒน์ มณีใหญ่ ผู้ร่วมเสวนาคนที่สาม ตั้งคำถามเรื่องงบประมาณจำนวนมากที่ใช้ไปกับการจัดงานฟุตบอลประเพณี ซึ่งไม่มีตัวเลขที่สามารถตรวจสอบได้ และยังเสนอให้นำงบประมาณจำนวนดังกล่าวไปใช้ในกิจการที่ส่งเสริมด้านวิชาการมากกว่า เช่น ใช้เป็นกองทุนหนังสือเรียนสำหรับนิสิต นอกจากนี้ นายกิตติพัฒน์ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้งานฟุตบอลประเพณีเป็นพื้นที่สำหรับให้คนกลุ่มหนึ่งออกมาขายหน้าตา ทำให้นิสิตให้ความสำคัญกับรุ่นพี่ที่เป็นดารานักแสดงมากกว่ารุ่นพี่ที่คำคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ ให้แก่ประเทศชาติ ต่อประเด็นเรื่องการสร้างความสามัคคีระหว่างนิสิตนักศึกษาโดยใช้งานฟุตบอลประเพณี นายกิตติพัฒน์ชี้ให้เห็นว่าตัวกิจกรรมเตะฟุตบอลที่จริงแล้วไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร เนื่องจากนิสิตนักศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มผู้จัดกิจกรรมให้ความสำคัญกับการแสดงบนเวทีและการแปรเพลทบนแสตนด์มากกว่า และกิจกรรมอื่นๆ ก็ไม่ได้ส่งเสริมความสามัคคี เช่น หลังจากการเตะฟุตบอลจบแล้ว ก็เวทีคอนเสิร์ตของสองมหาวิทยาลัยแยกกันอยู่ โดยนายกิตติพัฒน์เสนอให้รวมเวที และให้วงดนตรีของทั้งสองมหาวิทยาลัยแสดงร่วมกัน
นายกิตติพัฒน์ฝากคำถามที่ตนมองว่าสำคัญที่สุด คือหน้าที่ของสถาบันการศึกษาซึ่งควรจะผลิตบุคคลากรออกมารับใช้ประเทศชาติประชาชน แต่นิสิตนักศึกษากลับแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน และคิดแต่ว่าจะเรียนจบเพื่อไปปกครองคนอื่น นอกจากนี้นายปราบยังเสนอด้วยว่างานฟุตบอลประเพณีฯ ได้ทำให้อัตลักษณ์ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลายเป็นสินค้าซึ่งซื้อขายได้ บริโภคง่าย โดยการสวมใส่อัตลักษณ์นั้นๆ คือ เพียงแค่มาร่วมงานฟุตบอลประเพณี ใส่เสื้องานฟุตบอลประเพณี ก็จะมีความเป็นนิสิตนักศึกษาของสถาบันนั้นๆ ขึ้นมาทันที หลังจากวิทยากรทั้งสี่ท่านพูดจบแล้ว ผู้ที่มาร่วมฟังการเสวนาได้ร่วมตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอกันอย่างหลากหลาย เช่น การชื่นชมนิสิตที่ชูป้ายประท้วงงานฟุตบอลประเพณีในงานแถลงข่าว "การแข่งขันฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์" ครั้งที่ 68 เมื่อ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่อาคารจัตุรัส จามจุรี การเสนอให้รวมแสตนด์เชียร์ของสองมหาวิทยาลัย การให้นำงบประมาณไปสนับสนุนนิสิตนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ รวมไปถึงการเรียกร้องให้นิสิตนักศึกษาสามารถรวมกรณีมาตรา 112 เข้าในขบวนพาเหรดได้ด้วย
นอกจากนี้ ภายในงานเสวนา ยังมีกลุ่มอดีตสมาชิกองค์การบริการสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ในฐานะผู้จัดงานฟุตบอลประเพณีได้เข้าร่วมรับฟัง และชี้แจงว่าตัวเลขงบประมาณของงานฟุตบอลประเพณีปีนี้ถูกลดเหลือเพียง 2 ล้าน 6 แสนบาทเท่านั้น และค่าใช้จ่ายของงานฟุตบอลประเพณีในปีที่ผ่านๆ มาก็มีเก็บไว้เป็นเอกสารอยู่ที่ห้องของอบจ. ซึ่งเปิดให้ทุกคนสามารถเข้าไปดูได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าฟังเสวนาบางส่วนแสดงความคิดเห็นว่าอบจ. ควรนำตัวเลขดังกล่าวออกมาสู่ที่สาธารณะ
ภาพทั้งหมด จากเฟซบุ๊กกลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 17 Feb 2012 08:09 AM PST |
เม้าท์มอย: บาทวิถีสนทนา@ศาลอาญา Posted: 17 Feb 2012 07:23 AM PST ช่วงที่ 1 วาเลนไทน์อาเซียน เม้าท์ๆ มอยๆ บรรยากาศวันแห่งความรัก วาเลนไทน์ เดย์ 14 กุมภาที่ผ่านมา ว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนของเรามีเรื่องราวความเคลื่อนไหวอะไรกันบ้าง รัฐบาลประเทศไหนส่งเสริมหรือกีดกันความหวานของวันแห่งความรักของหนุ่มสาวให้ร้าวระทมใจกันแค่ไหนอย่างไร ช่วงที่ 2 เม้าท์มอยหน้าศาลอาญากับนักอดข้าวริมทางเท้า ไปเม้าท์มอยกันถึงหน้าศาลอาญา รัชดา คุยกับ “เอ็ม” ฤทธิพงษ์ มหาเพชร ที่อดข้าวเป็นวันที่ 3 จากที่ตั้งใจไว้ 7 วัน เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้กับสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และคนอื่นๆ ที่ถูกข้อหาตามมาตรา 112 ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี และคุยกับไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันติ นักกิจกรรมทางสังคมที่เดินทางมาร่วมอดข้าวด้วย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เว็บไซต์ดังสำรวจ SMS โพลล์ เผยประชาชน 53.68% ไม่กังวลว่าความเห็นต่างกรณี ม.112 จะบานปลาย Posted: 17 Feb 2012 05:59 AM PST MThai SMS เผยผลสำรวจผ่านทางโทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 257 เบอร์ เริ่มสำรวจความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. – 17 ก.พ. 55 พบประชาชนไม่กังวลว่าความเห็นต่างกรณี ม.112 จะบานปลาย 53.68% 17 ม.ค. 55 – MThai News รายงานว่าจากการที่ MThai SMS โพลล์ สำรวจความคิดเห็นผ่านมือถือในประเด็น “คุณกังวลว่าความเห็นต่างกรณี ม.112 จะบานปลายหรือไม่” ผลสรุปว่า ประชาชน 53.68% ไม่กังวลว่าความเห็นต่างกรณี ม.112 จะบานปลาย ขณะที่อีก 46.32 % กังวลว่าความเห็นต่างกรณี ม.112 จะบานปลาย ทั้งนี้ โพลล์ดังกล่าวมีสมาชิกร่วมแสดงความเห็นผ่านทางโทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 257 เบอร์ เริ่มสำรวจความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 21ม.ค. – 17 ก.พ. 2555 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ALRC เผยรายงาน "การคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเสรีภาพทางการเมืองในประเทศไทย" Posted: 17 Feb 2012 05:25 AM PST รายงานศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย (Asian Legal Resource Centre: ALRC) ระบุมีการคุกคามที่เพิ่มขึ้นและเข้มงวดของรัฐในหลายด้านต่อเสรีภาพทางการเมืองในประเทศไทย โดยการคุกคามดังกล่าวเกิดขึ้นโดยเฉพาะต่อผู้แสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 55 ที่ผ่านมาศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย (Asian Legal Resource Centre: ALRC) ได้เผยแพร่รายงาน "ประเทศไทย: การคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเสรีภาพทางการเมืองในประเทศไทย" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ... สำหรับเผยแพร่ทันที คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่ แถลงการณ์อย่างเป็นลายลักษณ์อั ประเทศไทย: การคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเสรี 1. ศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย (Asian Legal Resource Centre: ALRC) ต้องการรายงานให้คณะมนตรีสิทธิ 2. แทนที่จะใช้กฎหมายหมิ่นประมาททั 3. แม้ว่า มาตรา 112 จะได้รับการกำหนดเป็นตั 4. คำตัดสินลงโทษในหลายคดีเมื่อเร็ ก. วันที่ 15 มีนาคม 2554 นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ได้ถูกลงโทษจำคุก 13 ปี ตามมาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้ ข. วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 นายอําพล ตั้งนพกุล ได้ถูกลงโทษจำคุก 20 ปี ตามมาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้ ค. วันที่ 8 ธันวาคม 2554 นาย Joe Gordon ได้ถูกลงโทษจำคุก 2.5 ปี ตามมาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้ ง. วันที่ 15 ธันวาคม 2554 คำพิพากษาคดี น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ที่ถูกเพิกถอน เมื่อปี 2552 ได้ถูกพิพากษาใหม่ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ 5. สืบเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อเดือนมกราคม 2555 คณะนิติราษฎร์ (ซึ่งหมายถึงกฎหมายสำหรั 6. ผลจากการรณรงค์ครั้งนี้ เป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิ 7. พร้อม ๆ กับการแสดงความเห็นและการคุ 8. การคุกคามทั้งโดยทางตรงและทางอ้ "1. บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิ (ก) การเคารพในสิทธิหรือชื่อเสี การกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ความมั 9. ศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชียจึงต้ ก. กระตุ้นรัฐบาลไทย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ให้ยุติการคุกคามคณะนิติราษฎร์ ข. กระตุ้นรัฐบาลไทยให้แสดงความเห็ ค. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุ 10. โดยย้ำเตือนถึงข้อเสนอแนะต่อรั 11. การที่รัฐบาลไทยยอมรับข้ # # # เกี่ยวกับ ALRC: ศูนย์ข้อมูลกฎหมายเอเชีย (Asian Legal Resource Centre: ALRC) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระดับภูมิ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
หมอตุลย์ที่ FCCT แจงทำไมห้ามแก้ ม. 112 Posted: 17 Feb 2012 05:14 AM PST นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ชี้แจงนักข่าวต่างประเทศที่ FCCT ย้ำรณรงค์แก้กฎหมายหมิ่น-อภิปรายออกทีวีไม่ได้ เพราะคนไทยขาดภูมิคุ้มกันจากนักการเมืองและไม่ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง จึงทำให้ขาดความเข้าใจที่มากพอ ชี้คนไทยจำนวนมากอยู่ภายใต้อาณัติของนักการเมือง หัวคะแนน เป็นเผด็จการของนักการเมือง ซึ่งนำผลการเลือกตั้งไปอ้างเพื่อใช้อำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกเรื่องในสภา 000
ส่วนหนึ่งของการอภิปรายโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันหรือกลุ่มเสื้อหลากสี ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยหรือ FCCT เมื่อคืนวันที่ 16 ก.พ. โดยในคลิปเป็นไฮไลท์ช่วงท้ายของการตอบคำถามผู้สื่อข่าว 000
การอภิปรายของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ที่ FCCT ทั้งหมด
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันหรือกลุ่มเสื้อหลากสี อภิปรายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยหรือ FCCT เมื่อคืนวันที่ 16 ก.พ. โดยเป็นการอภิปรายในช่วงแรก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อภิปรายที่ FCCT ในคลิปเป็นช่วงถาม-ตอบ ช่วงแรก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อภิปรายที่ FCCT ในคลิปเป็นช่วงถาม-ตอบ ช่วงท้าย
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกนนำเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน หรือกลุ่มเสื้อหลากสี ได้รับเชิญเป็นวิทยากรอภิปราย ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยหรือ FCCT ซึ่งบรรยายในหัวข้อ “The Case for 112” โดยมีผู้สื่อข่าวต่างประเทศสนใจถามคำถามในประเด็นดังกล่าวจำนวนมาก โดย นพ.ตุลย์ใช้เวลาอภิปรายและตอบคำถามผู้สื่อข่าวราว 2 ชั่วโมงเศษ โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (13 ก.พ.) FCCT ได้เชิญ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์มาอภิปรายเช่นกัน ในการอภิปราย นพ.ตุลย์ เสนอว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากเกรงว่าหากมีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์แล้ว อาจทำให้การหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มีสูงขึ้นมากกว่าเดิม จึงมีข้อเสนอว่า ควรเปิดให้มีการจัดเวทีระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข ม.112 ในเชิงวิชาการและสันติ พร้อมทั้งให้มีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการสั่งฟ้อง ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย นอกจากนี้ เขากล่าวว่า ควรมีการนิยามข้อบังคับกฎหมายดังกล่าวให้ชัดเจนมากกว่าเดิมด้วย แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี อธิบายว่า การหมิ่นสถาบันฯ ในระยะหลังๆ ได้เพิ่มขึ้นสูงมาก เนื่องมาจากความไม่หวังดีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมืองโดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่มุ่งจะเปลี่ยนแปลงประเทศและเข้าแทรกแซงกระบวนการต่างๆ ของไทย ทั้งตุลาการ ศาล และสถาบัน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในชนบทและขาดการศึกษาตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง นพ. ตุลย์ กล่าวว่า กลุ่มที่รณรงค์แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่น นิติราษฎร์ กลุ่ม ครก. 112 หรือกลุ่มที่รณรงค์เพื่อความตื่นรู้ ที่มุ่งจัดเวทีให้ความรู้ความเข้าใจในจังหวัดต่างๆ นั้น แท้จริงแล้วมีเบื้องหลัง และอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในแง่มุมต่างๆ และอาจส่งผลเสียตามมาต่อประเทศไทยได้ เขาจึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนิติราษฎร์ ทั้งนี้ เขาระบุว่า เขาเองยินดีที่จะร่วมเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนและถกเถียงกับกลุ่มที่เสนอให้แก้ไข ม. 112 เช่น นิติราษฎร์ ตราบใดที่การพูดคุยนั้นเป็นอย่างสันติและเชิงวิชาการ อย่างไรก็ตาม นพ.ตุลย์กล่าวว่า ไม่ต้องการที่จะร่วมพูดคุยในประเด็นดังกล่าวออกอากาศทางโทรทัศน์ เนื่องจากเป็นเรื่องอ่อนไหวและอาจถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีเอาไปโจมตีได้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่ฝ่ายเสนอให้แก้ม. 112 ชี้ว่าจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมายเพื่อเป็นการรักษาสถาบันฯ นพ.ตุลย์ตอบว่า นั่นเป็นเพียงการกล่าวอ้างและ “โฆษณาชวนเชื่อ” เท่านั้น เพราะตนเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับการรักษาสถาบันแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น นอกจากนี้ยังชี้ว่า กลุ่มนิติราษฎร์เป็นเพียงกลุ่มทางวิชาการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ และไม่ได้ศึกษาข้อกฎหมายอย่างรอบด้าน “ปกติแล้ว ถ้าอาชญากรรมนั้นมีเพิ่มสูงขึ้น การลงโทษก็ต้องเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยเพื่อที่จะหยุดยั้งมัน หากแต่ข้อเสนอจากดุษฎีบัณฑิตทางด้านกฎหมายอย่างวรเจตน์ ที่บอกว่า ต้องลดบทลงโทษ เพื่อที่จะให้คดีหมิ่นฯ ลดน้อยลงนั่น ผมจินตนาการไม่ออกเลย ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วย ผมเองเป็นหมอ และหากว่าผมมีไข้หรือเจ็บป่วย ผมก็ต้องใส่ยาที่แรงขึ้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดให้ยาหรือให้น้อยลง” นพ. ตุลย์กล่าว เมื่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศให้ความคิดเห็นว่า หากยังมีการพยายามปิดกั้นพื้นที่ในการถกเถียงเรื่องสถาบันฯ ในสังคมไทย โดยอ้างว่ากลัวความวุ่นวาย อาจจะเป็นอันตรายมากขึ้นในระยะยาวได้ นพ.ตุลย์ชี้ว่า สังคมไทยยังไม่พร้อมในการถกเถียงทางวิชาการที่สันติ เนื่องจากคนไทยยังขาดการศึกษาอยู่มาก นอกจากนี้ นพ.ตุลย์ยังเชื่อว่า กรณีการตัดสินจำคุกอากง 20 ปี และโจ กอร์ดอน เป็นการจัดฉากขึ้น เพื่อให้กลุ่มที่ต้องการแก้ไข ม. 112 ใช้เป็นข้ออ้าง และเป็นแผนการของทักษิณ ชินวัตร ในช่วงท้าย นิรมล โฆษ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ของสิงคโปร์ตั้งข้อสังเกตว่า นพ.ตุลย์มักใช้คำว่า “ชาวไทย” “คนไทย” บ่อยครั้ง จึงอยากทราบว่า นพ.ตุลย์หมายถึงใครบ้าง เพราะคนอย่าง นพ.ตุลย์และคนเสื้อแดง ก็เป็นผลผลิตจากสังคมเดียวกัน แกนนำเสื้อหลากสีจึงได้ตอบว่า เราทั้งหมดเป็นคนไทยด้วยกัน บ้างเป็นอิสระ บ้างตกอยู่ในพันธนาการของนักการเมืองที่ต้องการอำนาจ ตอนนี้นักการเมืองทุกคนต้องสังกัดพรรคการเมือง นี่ต่างจากประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ “สภาพจริงๆ ตอนนี้เหมือนเกษตรพันธะสัญญา หัวหน้าหมู่บ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อย่าง “หัวคะแนน” ผมไม่แน่ใจภาษาอังกฤษเรียกอะไร คือคนที่ได้รับเงินแล้วเอาไปจ่ายเพื่อให้ประชาชนที่ยากจนมาสนับสนุน ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ พวกเขาก็จะเลือกตามหัวคะแนน ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่เสรีชน เขาเป็นคนไทย เป็นคนไทยที่ยากจน ครอบครัวของผมก็เหมือนคนเหล่านี้ ปู่ย่าตายายผมเป็นชาวนา แต่พวกเขาสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ ดังนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต่างจากประเทศอื่น” ผมเสียใจ ผมรู้ และผมเกลียดสถานการณ์เช่นนี้มาก ผมอยากให้ทุกคนเป็นอิสระเหมือนอย่างผม หาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น นี่เป็นธรรมชาติของผมเลยนะ ถ้าพวกเขาเป็นเสรีชนและพวกเขาเสนอแบบนี้ (เสนอแก้ไข ม.112) ผมเห็นด้วยกับเขาเลย ถ้าข้อเสนอบางอย่างไม่ทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะอันตราย ผมเห็นด้วยกับพวกเขา แต่ตอนนี้เหมือนสถานการณ์ถูกชักใยโดยนักธุรกิจ นักการเมือง นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย ถ้าคุณพิจารณาดีๆ นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย ตอนนี้เป็นเผด็จการโดยทหาร เผด็จการโดยนักการเมือง พวกเขาโหวตทุกเรื่องเพื่อเปลี่ยนทุกเรื่องในสภา และเราก็จับตาพวกเขา เฝ้าดูว่าพวกเขากำลังทำอะไรในสภา และผมกลัวว่าในอนาคตอันใกล้ประเทศจะตกอยู่ในภาวะล้มละลายเหมือนที่เกิดขึ้นกับบางประเทศ ผมไม่พูดชื่อประเทศนะ ก็ประเทศอย่างที่พวกคุณรู้ “พวกเขาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยใช้อำนาจที่ได้มาจากคนจน 15 ล้านคะแนน แล้วพวกเขาบอกว่าชนะเลือกตั้ง เขาสามารถจะทำได้ทุกเรื่อง นี่คือประชาธิปไตยหรือ?” นพ.ตุลย์กล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ใจ อึ๊งภากรณ์: ความป่าเถื่อนของระบบศาลและคุกในประเทศไทย Posted: 17 Feb 2012 04:54 AM PST
ระบบศาลและคุกในประเทศไทยเป็ สำหรับฝ่ายประชาชนเอง ซึ่งเจ็บปวดกับสภาพสั อย่างไรก็ตามการตื่นตัวของพลเมื โดยรวมแล้วปัญหาของระบบศาลและคุ 1. ผู้พิพากษาเป็นเครื่องมือของผู้ นอกจากนี้ในระบบศาลไทย พลเมืองธรรมดาไม่มีส่วนร่วมเลย เพราะไม่มีระบบลูกขุนที่คัดเลื ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีนั 2. ผู้พิพากษา ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศาล ไร้ความเคารพต่อพลเมืองที่เข้ บ่อยครั้งเจ้าหน้าที่ดังกล่ มีหลายกรณีที่ผู้ต้องหาถูกขั ในกรณีคดี 112 ประชาชนทั่วไปไม่สามารถร่วมพิ 3. ระบบศาลในไทย ไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานที่ถื การที่รัฐบาลไทยรักไทยในอดี การที่ทหารและนักการเมืองสั่งฆ่ นอกจากนี้มีปัญหาใหญ่ในเรื่ 4. การล่ามโซ่และบังคับให้ผู้ต้ 5. ในระบบศาลและคุกไทย และในสังคมไทยโดยรวม ไม่มีการมองถึง “สิทธิมนุษยชน” ของนักโทษที่ได้รับการตัดสินคดี 6. สภาพคุกไทย แย่พอๆ กับสภาพกรงสัตว์ ไม่มีการคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ 7. คุกไทยเต็มไปด้วยคนจน ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีคดีประเภท “ลักขโมย” หรือคดียาเสพติด สังคมไทยไม่มีการถกเถียงและพิ โทษประหารเป็นการแก้แค้นเท่านั้ การลักขโมยมีต้นเหตุ ปัญหายาเสพติดถูกทำให้แย่มากขึ้ คุกไทยมีนักโทษมากเกินไป ควรลดจำนวนนักโทษให้เหลือแต่ 8. คนรวย คนที่มีเส้น นายพลระดับสูง นักการเมืองที่ใกล้ชิดกั ถ้าเราจะพูดถึงคดีการเมืองในไทย เราจะเห็นว่าการวิจารณ์ผู้มี 9. การลงโทษในระบบศาลไทย ไม่สมเหตุสมผล คดีฆ่าคน หรือทำร้ายคน จะได้รับโทษเบากว่าคดี 112 ซึ่งมาจากการแสดงความเห็นต่ ทั้งหมดนี้ฟ้องถึงความย่ำแย่ป่ สังคมไทยในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ไม่เคยเคารพความเป็นพลเมื การ “ปรองดอง” ยอมจำนนต่ออำนาจทหาร ที่รัฐบาลทำอยู่ ไม่ใช่คำตอบ เพราะปัญหาจะยิ่งแย่ลง คำตอบคือเราควรร่วมกันสนับสนุ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ปปง.เตรียมแจงจันทร์นี้หลัง FATF ขึ้นบัญชีดำไทยไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานฟอกเงิน Posted: 17 Feb 2012 04:43 AM PST เลขาธิการ ปปง. เตรียมแถลงข่าวกรณีคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) ขึ้นบัญชีดำประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงิน วันจันทร์ที่ 20 ก.พ.นี้ 17 ก.พ. 55 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าหลังจากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force on Money Laundering – FATF) ขึ้นบัญชีดำไทย รวมทั้งประเทศอื่น คือ ปากีสถาน, อินโดนีเซีย, กานา และแทนซาเนีย ในรายชื่อประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงิน และการให้ทุนสนับสนุนการก่อการร้าย รายงานข่าวจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แจ้งว่า ขณะนี้ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง.อยู่ระหว่างการร่วมประชุม คณะทำงา FATF ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 13-20 ก.พ.นี้ และจะกลับมาแถลงข่าวกรณีดังกล่าวในวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 13.00 น.โดยจะแถลงข่าวใน 3 ประเด็น คือ 1.การดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของไทย 2.ปัญหาข้อบกพร่องของประเทศไทยที่สำคัญๆ ประเด็นเหล่านี้เป็นข้อสังเกตจาก FATF ว่าฝ่ายไทยไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย 3. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย ที่ถูกขึ้นบัญชีดำเรื่องการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism - AML/CFT) ทั้งนี้ เนื้อข่าวตามเว็บไซต์ของ FATF ระบุว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีการรับรองจากฝ่ายการเมืองที่จะดำเนินความร่วมมือกับ FATF และ กลุ่มความร่วมมือต่อด้านในการฟอกเงินเอเชีย-แปซิฟิก (The Asia-Pacific Group on Money Laundering-APG) ในการปรับปรุงข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) แต่ไม่มีความคืบหน้าอย่างเพียงพอในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ และยังคงมีข้อบกพร่องทางยุทธศาสตร์ แม้ว่าประเทศไทยจะประสบปัญหาภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการตรากฎหมายที่จำเป็นตั้งแต่ พ.ศ. 2552 - 2554 ประเทศไทยมีการดำเนินการปรับปรุงระบบ AML/CFT และมีการประเมินความเสี่ยงในภาคการเงินแล้วเสร็จ ประเทศไทยควรดำเนินการตามแผนปฏิบัติการในการปรับปรุงข้อบกพร่องทางยุทธศาสตร์ที่เหลือ รวมถึง (1) การกำหนดให้การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายเป็นความผิดอาญาอย่างเหมาะสม (ข้อแนะนำพิเศษที่ II) (2) กำหนดและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมในการระบุและยึด/อายัดทรัพย์สินของผู้ก่อการร้าย (ข้อแนะนำพิเศษที่ III) และ (3) มีการกำกับดูแลด้าน AML/CFT ที่เข้มข้นขึ้น (ข้อแนะนำที่ 23) FATF กระตุ้นเตือนให้ประเทศไทยดำเนินการกับข้อบกพร่องที่เหลืออยู่ และดำเนินการตามแผนปฏิบัติการต่อไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เหยื่อร่ำไห้กลางศาลปกครอง สะเทือนใจถูกซ้อมพร้อมอิหม่ามยะผา Posted: 17 Feb 2012 04:30 AM PST นายรายู ดอคอ ร่ำไห้กลางศาลปกครองสงขลา สะเทือนใจเหตุถูกซ้อมทรมานพร้อมอิหม่ามยะผา ตุลาการนัดพิพากษาคดีฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 มีนาคม 2555 เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ศาลปกครองสงขลา นายสมยศ วัฒนภิรมณ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสงขลา พร้อมองค์คณะขึ้นนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 94/2553 ระหว่างนายรายู ดอคอ ผู้ฟ้อง กับกระทรวงกลาโหม กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1- 4 โดยนายรายูฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด เป็นเงิน 1,631,400 บาท โดยผู้ฟ้องคดีและทนายมาศาล ส่วนผู้แทนผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ไม่มาศาล คดีนี้ นายรายูได้แจ้งความประสงค์ขอแถลงข้อเท็จจริงด้วยวาจาต่อศาล นายรายูแถลงว่า ตนถูกควบคุมตัวพร้อมกับอิหม่ามยะผา กาเซ็ง ที่เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวของทหาร โดยตนถูกเจ้าหน้าที่ซ้อมทรมานด้วย แต่หลังจากนายรายูแถลงได้ประมาณ 10 นาที นายรายูเริ่มมีสีหน้าเศร้าพร้อมกับมีน้ำตาคลอ จนทำให้การแถลงติดขัด นายรายูจึงแถลงต่อศาลว่า ตนไม่สามารถแถลงข้อเท็จจริงได้อีกต่อไปจนจบ เพราะรู้อัดอั้นตันใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตน ขณะเดียวกันญาติของนายรายู ซึ่งมาฟังการพิจารณาคดีด้วยประมาณ 3 – 4 คน ต่างก็ร้องไห้ออกมาด้วย นายสมยศ จึงอนุญาตให้หยุดการแถลงข้อเท็จจริงได้ พร้อมกับแถลงว่า ศาลสามารถพิจารณาข้อเท็จจากเอกสารแถลงการณ์ที่ทนายของผู้ฟ้องได้ยืนต่อศาลมาแล้วได้ ศาลจึงกำหนดวันอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 14 มีนาคม 2555 สำหรับองค์คณะตุลาการพิจารณาคดีนี้ ประกอบด้วย นายสมยศ นายสมมาศ รัฐพิทักษ์สันติ และนายสุทธิพงศ์ เชาวนาดิศัย ส่วนตุลาการผู้แถลงคดี คือนางนัทธมน อิ่มสะอาด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า สำหรับเหตุแห่งคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2551 เมื่อทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 39 ร่วมกับตำรวจสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ร่วมกันปิดล้อม ตรวจ ค้น และควบคุมตัวนายรายู ดอคอ ที่บ้านเลขที่ 51/1 หมู่ที่ 5 ตำบลรือเสาะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งอีกว่า จากนั้นนำตัวไปควบคุมตัวพร้อมกับอิหม่ามยะผา กาเซ็ง กับลูกและหลานของอิหม่ามยะผา รวมทั้งหมด 7 คน โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกและนำตัวนายรายูกับพวกไปแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยกล่าวหาว่า นายรายูกับพวกเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบ และนายรายูมีส่วนร่วมในการฆ่าผู้อื่นในอำเภอรือเสาะ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งต่อไปว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวนายรายูกับพวกไปควบคุมตัวที่หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 ที่วัดสวนธรรม ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ โดยขังไว้ในรถบรรทุกหกล้อสำหรับรับส่งผู้ต้องหาของสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า นายรายู ถูกนำตัวไปซักถามและถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ จากการทรมานอย่างทารุณโหดร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นเหตุให้นายรายู ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งด้วยว่า ศาลปกครองสงขลารับฟ้องคดีและอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามที่ผู้ฟ้องคดียื่นขอ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งเพิ่มเติมว่า คดีนี้นายรายูได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 19 มีนาคม2552 ด้วย แต่ศาลแพ่งเห็นว่าคดีนี้อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงสั่งจำหน่ายคดี นายรายูจึงฟ้องร้องต่อศาลปกครองสงขลาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คณะนิติราษฎร์คือรถไฟขบวนสุดท้าย Posted: 17 Feb 2012 04:24 AM PST วิกฤตการเมืองไทยปัจจุบัน เริ่มเมื่อต้นปี 2549 ผ่านรัฐประหาร 19 กันยายน ได้ยืดเยื้อมากว่าห้าปี นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างพลังสองฝ่ายที่ช่วงชิงกันว่า ประเทศไทยจะเดินไปทางไหน ระหว่างเผด็จการในอดีต กับประชาธิปไตยในอนาคต สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
CSR พลังอำนาจของ “ภาพลักษณ์” หรือ “มายาคติ” ลวงโลก? Posted: 17 Feb 2012 03:17 AM PST การแข่งขันในเกมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ทุกวันนี้เต็มไปด้วยการแข่งขัน และเกมสำคัญที่ธุรกิจต่อสู้ช่วงชิงความได้เปรียบกันอย่างรุนแรงเห็นจะเป็นเรื่องการตลาด การตลาดสมัยใหม่มีความพยายามใช้ยุทธศาสตร์การยึดครองลูกค้าหรือผู้บริโภคโดยใช้กลยุทธ์ในการแข่งขันให้แนบเนียนและซึมลึกเข้าครอบงำจิตใจคนมากขึ้น เครื่องมือที่สำคัญคือ การสื่อสารมวลชนอย่างบูรณาการ (IMC – Integrate Mass Communication) ซึ่งใช้สื่อหลากหลายรูปแบบสร้างข้อมูล และเรื่องราวต่างๆ เพื่อทำให้ผู้ชมผู้ฟังสื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับยี่ห้อ และภาพลักษณ์ขององค์กรธุรกิจเหล่านั้น ในทิศทางที่บรรษัทวางแผน การสื่อสารผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมถูกควักเอามาใช้หล่อหลอมอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภคซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในบางครั้งผู้บริโภคจะจำภาพลักษณ์ของบรรษัทและสินค้าบริการของแต่ละยี่ห้อ ด้วยภาพลักษณ์ที่ปรากฏในโฆษณามากกว่าข้อมูลที่แท้จริงของสินค้าหรือกระบวนการผลิตสินค้าเหล่านั้น เช่น จำว่าสินค้าของบรรษัทนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมองข้ามไปว่าวิธีการผลิตสินค้าชนิดนี้จะต้องใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและก่อมลพิษสูง สถานการณ์ปัจจุบันพลิกผันอย่างรวดเร็ว การตลาดจึงต้องพลิกแพลงไปตามภาวการณ์ การบริหารจัดการและการตลาดในช่วงวิกฤต จึงต้องพยายามพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือภัยจากน้ำมือมนุษย์ จึงเป็นวิกฤตที่ธุรกิจจำต้องช่วงชิงโอกาสเหล่านั้นให้กลับกลายเป็นโอกาส การทำกิจกรรมทางสังคม ถือเป็นกิจกรรมทางการตลาดชนิดหนึ่ง โดยกิจกรรมเหล่านี้เป็นการแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบทางสังคมของบรรษัท ตามหลัก CSR – Corporate Social Responsibility เป็นแนวทางหนึ่งที่ผลักดันให้องค์กรทางธุรกิจจำนวนมากได้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมทางสังคมโดยปันงบจากหมวดการประชาสัมพันธ์และการตลาดมาใช้ เพื่อสร้างกิจกรรมที่สามารถเชื่อม ความสัมพันธ์กับประชาชนได้ดี โดยเฉพาะในยามวิกฤตที่คนต้องการความช่วยเหลือและแบ่งปัน อนึ่ง ปิแอร์ บูริดิเยอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เลื่องชื่อ ได้กล่าวถึงวิธีการแข่งขันในเกมว่าผู้เล่นทั้งหลายต้องแสวงหากลยุทธ์ต่างๆ มาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยความได้เปรียบเกิดจากการสั่งสมทุน 4 ประเภท คือ ทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรม และที่สำคัญมากคือ ทุนสัญลักษณ์ ทุนทางเศรษฐกิจ คือ ต้นทุนในการต่อสู้แข่งขันที่อยู่ในรูปแบบของทรัพยากร โอกาส และความสามารถในการนำทรัพยากรมาเสริมศักยภาพของการแข่งขัน เช่น ที่ดิน โรงงาน สิทธิในทรัพยากร ส่วนทุนทางสังคม คือ ฐานของเครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่กับผู้อื่นในสังคม เช่น มีเครือญาติ เพื่อนฝูง คนรู้จัก ที่สามารถพึ่งพาอาศัย และช่วยเหลือกันได้ และทุนทางวัฒนธรรม คือ การสั่งสมสิ่งที่สังคมนั้นให้ความหมายว่าเป็นสิ่งทรงคุณค่า ควรแก่การนับถือชื่นชม เช่น การจบการศึกษาจากสถาบันมีชื่อเสียง การได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ เป็นต้น ทุนสัญลักษณ์ คือ ภาพลักษณ์ หรือ สัญลักษณ์ ที่เกิดจากสร้างความรู้สึกอารมณ์ต่อสิ่งนั้น ให้ติด “ภาพ” เช่น การช่วยเหลือผู้อื่นคราวละน้อยๆ แต่ช่วยบ่อยๆ การบริจาคเพื่อการกุศล ซึ่งจะเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรให้คนในสังคมมองมาด้วยความรู้สึกชื่นชม จนไม่ตั้งข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้ว คนหรือองค์กรเหล่านั้นมีข้อมูล หรือข้อเท็จจริงอื่น ที่ปิดบังซ่อนเร้นไว้หรือไม่ สาเหตุที่ทุนประเภทนี้มีความสำคัญมากก็ด้วยเหตุที่สามารถครอบงำความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้คนได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถือเป็นความรุนแรงอย่างที่สุดเพราะเป็นการเอาชนะด้วยการสร้างความชอบธรรมกดทับข้อเท็จจริงทั้งหลายที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ที่สวยงาม ทรงคุณค่า เลิศหรู เพราะสิ่งที่การโฆษณาประชาสัมพันธ์แสดงให้เห็นก็เป็นเพียงการเลือกเสนอความจริงด้านเดียว และปิดบังความจริงอื่นๆ ที่ไม่เป็นคุณกับภาพลักษณ์ของบรรษัท ยุทธวิธีที่กำลังนิยมกันมาก คือ กลยุทธ์ที่หวังผลทางอ้อม เพราะแนบเนียนและครอบงำได้อย่างลึกซึ้งมากกว่า เนื่องจากผู้ที่ถูกครอบงำกลับไม่รู้สึกถึงการคุกคาม และยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว บทความนี้มิได้กล่าวอย่างเหมารวมว่า บริษัทห้างร้านทุกแห่ง ทุกยี่ห้อจะใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ด้วยการทำกิจกรรมทางสังคมเพื่อครอบงำ และปิดบังความจริงเอาไว้ แต่ข้อสังเกตที่เกิดจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา และอาจจะมาถึงในอนาคต ก็คือ ไม่มีใครพูดถึงต้นเหตุของปัญหา และไม่มีการบ่งชี้ว่าใครเป็นผู้สร้างปัญหาตัวจริง ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ทั้งหลายขององค์กรต่างๆ ทั้งบรรษัทเอกชน หรือองค์กรภาครัฐ จึงเป็นการวางแผนอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการควบคุมความจริง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมคิดและเชื่อ บนข้อมูลที่นำเสนอผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ มากกว่าการมีประสบการณ์ตรง ดังนั้นเรื่องราวจำนวนมากที่ประชาชนรับรู้รับฟังผ่านสื่อจึงเป็นเพียงยอดน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำ แต่ก้อนน้ำแข็งที่เป็นอันตรายนั้นจมอยู่ใต้ผิวน้ำ รอวันให้เรือเข้าชน จึงจะรู้ว่ามีมหันตภัยซ่อนอยู่ใต้ยอดน้ำแข็งนั้น การทำประชาสัมพันธ์แบบสร้างภาพลักษณ์บนพื้นฐานของ CSR จึงอาจเป็นเพียงภาพมายา ที่สร้างมายาคติครอบงำคนในสังคมให้หลงเข้าใจว่า บรรษัทมีความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างไรก็ดีเราควรผลักดันและตรวจสอบให้บรรษัทมีการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างครบวงจร มิใช่เพียงขั้นตอนการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตามประมวลความรับผิดชอบทางสังคมของบรรษัทข้ามชาติที่จัดทำขึ้นโดยกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม (OECD) ได้กำหนดขอบเขตของความรับผิดชอบทางสังคมไว้ใน 3 ประเด็นใหญ่ คือ ดังนั้นองค์กรที่จะสามารถอวดความเป็นบรรษัทที่รับผิดชอบสังคมได้อย่างภาคภูมิจึงต้องมีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมสิทธิแรงงาน และเคารพสิทธิมนุษยชน ในทุกกระบวนการทำธุรกิจของบรรษัท ตั้งแต่ขั้นตอน การผลิต การกระจาย การแลกเปลี่ยน หรือแม้กระทั่งกระตุ้นการบริโภคสินค้าหรือบริการของบรรษัท ไม่มีใครจะลุกขึ้นมาทำสิ่งเหล่านี้เองเพราะมีต้นทุนในการปรับเปลี่ยนสูงมาก จึงเป็นหน้าที่ของสังคมที่จะกำกับควบคุม และผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลง สังคมจะรู้ว่าบรรษัทใดมีความรับผิดชอบก็ต่อเมื่อมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ซึ่งเป็นไปได้ยากที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาใช้เวลาและทรัพยากรสืบเสาะความจริงเอาเอง จึงเป็นหน้าที่ของรัฐ และสื่อมวลชนที่มีศักยภาพแลหน้าที่โดยตรง การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในการขุดค้นพฤติกรรมด้านลบของบรรษัทและองค์กรทั้งหลายจึงเป็นหน้าที่สำคัญที่มาพร้อมกับสถานะอันสูงส่งแห่งฐานันดรที่สี่ ความรุนแรงของการขยายพื้นที่ของระบบทุนนิยมผ่านกิจกรรมต่างๆ ทางธุรกิจและการตลาดเข้าไปยังชีวิตประจำวันของประชาชน จึงเป็นภารกิจสำคัญของฝ่ายการเมือง และการเมืองภาคประชาสังคม มิใช่เพียงการง่วนอยู่กับการจัดสรรอำนาจ การเปิดโปง และการแก้ปัญหาการฟ้องหมิ่นประมาทโดยบรรษัท และการเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อ ก็เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยเช่นกัน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
อภิปราย ‘รัฐประหาร’ ใน ‘การปกครองระบอบประชาธิปไตย’ แจงลักษณะเฉพาะแบบไทยๆ Posted: 17 Feb 2012 03:07 AM PST ‘ปูนเทพ ศิรินุพงษ์’ แจง 5 ลักษณะ ‘ประชาธิปไตยแบบไทยๆ’ ไม่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน จ้องจับผิดนักการเมือง แต่ไม่ตรวจสอบคณะรัฐประหาร ด้าน ‘น.พ.กิติภูมิ จุฑาสมิต’ ชี้ไทยมีข้ออ้างทำรัฐประหาร ทั้งเพื่อระงับเหตุรุนแรง เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อสถาบัน เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธุ์ 2555 เวลา 13.00 น.คณะศิลปะศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จัดงานอภิปรายสาธารณะ ในหัวข้อ “รัฐประหารในการปกครองระบอบประชาธิปไตย” วิทยากรประกอบด้วย นายปูนเทพ ศิรินุพงษ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตัวแทนจากคณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร และน.พ.กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาลพาลภูสิงห์ จ.ศรีษะเกษ โดยมีนักศึกษาและประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังประมาณ 400 คน นายเสนาะ เจริญพร อาจารย์ประจำสาขาสังคมศาสตร์ ม.อุบลฯ ผู้ดำเนินการอภิปรายได้ยกข้อมูลwww.whereisThailand.info มาประกอบการพูดคุยว่า ประเทศไทยเคยผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 17 ครั้งติดอันดับ 4 ร่วมกับประเทศกินี-บิสเชา ซีเรียและโตโก เป็นรองประเทศซูดาน (31 ครั้ง) อิรัก (24 ครั้ง) และโบลิเวีย (19 ครั้ง) ตามลำดับ โดยประเด็นที่น่าสนใจคือ เรามีการทำ ‘รัฐประหาร’ ขณะที่เราเรียกตัวเองว่าปกครองด้วยระบอบ ‘ประชาธิปไตย’ แต่มี ‘ไปยาลน้อย (ฯ)’ ต่อท้าย ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่เคารพเจตจำนงของประชาชน ไม่ตั้งคำถามต่อการรัฐประหาร “การแตกทางความคิดเป็นสิ่งที่สวยงามในระบอบประชาธิปไตยเพราะเราไม่สามารถที่จะทำให้คนเราคิดเหมือนกันได้ ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดามากที่สังคมประชาธิปไตยจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่คุณค่าของประชาธิปไตยอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างอยู่ร่วมกันได้” นายปูนเทพ ศิรินุพงษ์ ตัวแทนจากคณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร แสดงทัศนะ นายปูนเทพ กล่าวว่า ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งถ้าเป็นต่างประเทศจะมีการปรับตัวให้เข้ากับประชาธิปไตย แต่ในสังคมไทยกลับจะต้องให้ประชาธิปไตยปรับให้เข้ากับสังคมไทย นายปูนเทพยังพูดถึงประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ ไว้ 5 ประเด็นดังนี้ 1) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ ให้ประชาชนชนมีอำนาจสูงสุด แต่ยังไม่พร้อมให้ประชาชนเป็นผู้ปกครองตัวเอง และถ้าหากใครเห็นต่างก็จะถูกมองว่าไม่เคารพในประชาธิปไตย 2) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ ประกาศรับรองให้ประชาชนมีอำนาจสูงสุด แต่ถ้าจะจัดวางองค์กรที่เกี่ยวข้องกับประชาชน หรือมาจากประชนชน ก็หาว่าทุจริตบ้าง มีการซื้อเสียงบ้าง เป็นระบบที่ไม่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน 3) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ เป็นระบอบที่ผู้นำเหล่าทัพมีบทบาทกำหนดทิศทางประเทศ โดยไม่ต้องฟังรัฐบาลและออกมาไล่ใครที่คิดต่างให้ไปอยู่นอกประเทศหรือขู่จะทำรัฐประหารได้ทุกเมื่อ 4) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำยากกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญ หากใครจะเสนอจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทหารก็จะออกมาขู่ว่าจะทำการปฏิวัติ ทำรัฐประหาร 5) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ นั้นยอมให้มีการทำรัฐประหารโดยไม่มีเงื่อนไข หรือการทำรัฐประหารไม่ได้ทำให้สังคมไทยลดค่าแต่อย่างใด นายปูนเทพยังได้ย้ำว่า ประชาธิปไตยที่มีไปยาลน้อย (ฯ) ในสังคมไทยนั้นไม่เคยตั้งคำถามเลยว่ารัฐประหารเกิดขึ้นได้อย่างไร แถมยังยินดีบังคับใช้กฎหมายหรือประกาศคณะปฏิวัติประกาศคณะปฏิรูป ซึ่งขัดกับหลักคุณค่าประชาธิปไตย องค์กรตุลาการ คณะตุลาการยอมรับรัฐประหารตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา คำวินิจฉัยส่วนตนบางคนถึงขนาดยอมรับว่าคณะรัฐประหารทำได้ทุกอย่าง รวมถึงนักวิชาการบางกลุ่มที่พึงพอใจกับการทำรัฐประหารเพราะมัวแต่ห่วงว่านักการเมืองจะทุจริต คอรัปชั่น นักวิชาการเหล่านี้ก็จะคอยด่าแต่นักการเมือง แต่ไม่เคยด่าหรือตรวจสอบคณะรัฐประหารเลย หลังเป็นประชาธิปไตย ไทยรัฐประหารทุก 3 ปี 4 เดือน ถี่กว่ามีเลือกตั้ง น.พ.กิติภูมิกล่าวว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันเราก็ยอมรับการทำรัฐประหาร และการทำรัฐประหารในประเทศไทยนั้นมีสถิติน่าสนใจนับจากเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมาพบว่า มีการรัฐประหารเพื่อทำลายรัฐบาลอย่างฉับพลัน 11 – 12 ครั้ง เฉลี่ยแล้ว ประเทศไทยมีรัฐประหารทุก 6 ปี 8 เดือน แต่ครั้นพิจารณาในรายละเอียดก็จะพบว่า มีการทำรัฐประหารไม่สำเร็จอีก 12 ครั้ง นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทยเรามีรัฐประหารทุก 3 ปี 4 เดือน ซึ่งถี่กว่าการเลือกตั้งที่กำหนดให้มีทุก 4 ปี “น่าสนใจเข้าไปอีกที่พบว่า ประเทศไทยมีการทำรัฐประหารตัวเองถึง 4 ครั้ง คือ ไม่ได้ไปยึดอำนาจจากรัฐบาลอื่นแต่รัฐประหารตัวเองเพื่อกระชับอำนาจ คือ สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม สมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ สมัยจอมพลถนอม กิตติขจรและสมัยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และประเทศไทยมีข้ออ้างเกี่ยวกับรัฐประหารที่ไม่เหมือนประเทศอื่น ทั้งเพื่อระงับเหตุรุนแรง เพื่อประชาธิปไตย และตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมาเริ่มมีข้ออ้างเพื่อสถาบัน เพราะเมื่อก่อนเมื่อก่อรัฐประหารก็จะเปิดเพลงสวนสนามของทหาร แต่ 2534 เป็นต้นมาเมื่อมีการยึดอำนาจก็จะเปิดเพลงเทิดพระเกียรติ พร้อมให้เหตุผลการทำรัฐประหารว่า เพื่อปกป้องสถาบัน” นพ.กิตติภูมิให้ข้อมูล นพ.กิตติภูมิกล่าวด้วยว่า รัฐประหารไม่ได้เพิ่งมีในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมาเท่านั้น ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็มีการรัฐประหารแต่เรียกกันว่า ‘ปราบดาภิเษก’ เป็นการแย่งชิงอำนาจของกษัตริย์ ขุนนาง อำมาตย์ หากอ่านจากคำให้การกรุงเก่า คำให้การของขุนหลวงหาวัด พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์หรือแม้แต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘สุริโยทัย’ ของ มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ก็ได้สะท้อนการแย่งชิงอำนาจในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เป็นอย่างดี รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยาฯ ครั้งล่าสุด แต่ไม่สุดท้าย “ที่ผ่านมา ไม่เคยมีนักรัฐศาสตร์คนไหนออกมายืนยันว่า การรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จะเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้าย” นพ.กิติภูมิ กล่าว นพ.กิติภูมิ กล่าวถึงรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางที่ดูหมิ่นคนจนและอิจฉาคนชั้นสูง คนชั้นกลางมักแสวงหาซูเปอร์ฮีโร่ มองหาคนพิเศษมีความรอบรู้เพื่อสนองตอบต่อความฝันของชนชั้นตนเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนชั้นกลางจะโหยหารัฐประหาร อีกทั้ง รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหากวิเคราะห์โครงสร้างของกลุ่มผู้เข้าร่วมจะพบว่า มีทั้งสื่อมวลชน มีทั้งมวลชน (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และพรรคการเมืองที่รอฉวยโอกาสขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งกลุ่มก้อนที่เข้าเป็นแนวร่วมก็ไม่แตกต่างจากการทำรัฐประหารโค่นล้มปรีดี พนมยงค์ หรือ 6 ตุลาคม 2519 ที่ผ่านมา “การเมืองไทยมีค่านิยมเรื่อง ‘ความสุจริต’ แต่ความสุจริตไม่ได้หมายถึง ‘ความมีประสิทธิภาพ’ ขณะเดียวกันสังคมไทยก็มี ‘ศรัทธา’ และ ‘ศรัทธา’ ก็ไม่ได้หมายถึง ‘ความมีเหตุผล’ เป็นความลักลั่นที่อยู่ด้วยกัน” นพ.กิตติภูมิกล่าว นอกจากนั้น นพ.กิติภูมิยังกล่าวถึงแนวคิดของนักวิชาการ อาทิ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่พยายามอธิบายว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมที่มีกรอบ มีเส้นที่ล่วงล้ำมิได้ อย่างเช่น ยอมให้นักการเมืองโกงได้แต่อย่าน่าเกลียด เพราะมันจะเปิดทางให้ทหารยึดอำนาจ ขณะเดียวกันทหารเองก็ต้องไม่ล้ำเส้น เพราะฆ่าประชาชนเมื่อใดประชาชนก็จะทนไม่ได้ รวมทั้งกล่าวถึงแนวคิด ‘วงจรอุบาทว์’ ที่ ศ.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช อธิบายว่า เมื่อประชาชนเลือกตั้งด้วยการขายเสียงก็จะได้นักการเมืองโกงกิน เมื่อนักการเมืองโกงกินถอนทุนหรือทุจริตคอรัปชั่นก็จะนำมาสู่การรัฐประหารและการเลือกตั้งหมุนวนไปเป็นวงจรเดิมๆ “ดันแคน แมคคาร์โก ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเอเชีย แห่ง University of Leeds มองประเทศไทยว่า รัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งมาไม่ใช่รัฐตัวจริง แต่จะมีกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็น ‘รัฐตัวจริง’ ซึ่งคุมอำนาจเป็นเครือข่ายชนชั้นสูง ข้าราชกับทหารที่ต้องคอยกระชับอำนาจของกลุ่มตนอย่างต่อเนื่อง” นพ.กิติภูมิกล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น