ประชาไท | Prachatai3.info |
- เสวนานิติราษฏร์: การรัฐประหารกับระบอบรัฐธรรมนูญ
- ‘ท่อ’ รักษาชีวิต เจาะเศรษฐกิจ ‘รวมมิตร’ เมืองยะลา
- วรเจตน์ ภาคีรัตน์
- ภาคภูมิ แสงกนกกุล: เมดิคัลฮับและความไม่เท่าเทียม (2)
- บทวิจารณ์รายงานของ คอป. ส่วนที่ว่าด้วย "สาเหตุและรากเหง้า" ของปัญหาการเมือง
- ‘สาวตรี’ วิจารณ์ข้อเสนอ คอป. ชี้ประโยชน์และปัญหา
- เหตุป่วนใต้เช้ายันเย็น วันเดียวตาย 4 เจ็บ 4
- วรเจตน์ ภาคีรัตน์: เหตุใดจึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดสถาบันกษัตริย์
- สะท้อนย้อนคิดฯ: มอง "สำนักเชียงใหม่" 360 องศา
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23-29 ก.ย. 2555
- สรุปปาฐกถาเกษียร เตชะพีระ: นักกฎหมายไทยกับการรัฐประหาร
เสวนานิติราษฏร์: การรัฐประหารกับระบอบรัฐธรรมนูญ Posted: 30 Sep 2012 10:23 AM PDT
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
‘ท่อ’ รักษาชีวิต เจาะเศรษฐกิจ ‘รวมมิตร’ เมืองยะลา Posted: 30 Sep 2012 09:08 AM PDT
สำรวจบรรยากาศถนนรวมมิตร ย่านธุรกิจไข่แดงเซฟตี้โซนกลางเมืองยะลา เส้นทางที่ยาวแค่ 950 เมตร ทว่าที่มีกำลังหมุนเวียนดูแลความปลอดภัยมากกว่า 200 นาย เศรษฐกิจกับชีวิตที่ฝากไว้กับ 'ท่อซิเมนต์' และโชคชะตา
"ตอนนี้มีทหารหมุนเวียนสลับกันดูแลรักษาความปลอดภัยในย่านถนนรวมมิตร รวม 200 นายครับ" คือน้ำเสียงหนักแน่นของ พ.อ.นพพร เรือนจันทร์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลา ที่พูดถึงมาตรการหนึ่งในการรักษาความปลอดภัยในเขตพื้นที่ปลอดภัย หรือ 'เซฟตี้โซน' ย่านเศรษฐกิจสำคัญกลางเมืองยะลา ถนนรวมมิตร ยาวเพียง 950 เมตร ทว่ามีประวัติโชกโชน เพราะตกเป็นพื้นที่เป้าหมายโจมตีทำลายล้างด้วยระเบิดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง ครั้งที่หนักที่สุดก็คงไม่พ้นเหตุคาร์บอมบ์ 3 ลูก เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 วันเดียวกับเหตุคาร์บอมบ์ที่โรงแรมลีการ์เด้นส์พลาซ่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก กระทั่งเลขาธิการสหประชาชาติถึงกับออกแถลงการณ์ประณามผู้ก่อเหตุรุนแรง เหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินไปมาก ตัวอาคารร้านค้าถูกเพลิงไหม้ย่อยยับไปหลายคูหา ที่แย่ไปกว่านั้น คือ อารมณ์ความรู้สึกของผู้ประกอบการ พ่อค้าแม้ค้าทั้งรายเล็กรายใหญ่ ซึ่งหลายคนเพิ่งเริ่มฟื้นจากเหตุคาร์บอมบ์ครั้งที่แล้วเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นเหตุระเบิด 12 จุดทั่วเมืองยะลามาได้ไม่นาน กลับต้องมาเจอกับเหตุการณ์นี้ซ้ำอีกครั้ง อย่างที่นายนฤพล สุคนธชาติ ผู้ประกอบการร้านอาหารและผับย่านถนนรวมมิตร เคยเล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้ หลังเหตุคาร์บอมบ์ 3 ลูก เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 มาตรการต่างๆ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการจากรัฐจึงค่อยๆ ทยอยออกมาดังเช่นทุกครั้งหลังเกิดเหตุ ทั้งการปกป้องดูแลรักษาชีวิตและทรัพย์สิน และการกระตุ้นเศรษฐกิจในย่านนี้ให้กลับมาคึกคักโดยเร็ว มาตรการหนึ่งในนั้นคือ การกำหนดเป็นเขตเซฟตี้โซน เริ่มจากกำหนดให้เดินรถทางเดียว หรือ one way กำหนดทางเข้าออกชัดเจน และมีจุดตรวจบริเวณทางเข้าและทางออก โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจตลอด 24 ชั่วโมง "ย่านถนนรวมมิตรมีจุดตรวจ 14 จุด อยู่ตรงทางเข้า 6 จุด ทางออก 8 จุด แต่ละจุดมีทหารประจำอยู่ 6-8 นาย มีทั้งยานพาหนะและตรวจบุคคล" พ.อ.นพพร ระบุว่า คำว่า 'เข้า 6 ออก 8' ในที่นี้หมายถึงถนนหรือซอยที่เชื่อมต่อถนนสายอื่นกับถนนรวมมิตรลักษณะเหมือนก้างปลา ซึ่งถนนก้างปลาพวกนี้ก็ถูกกำหนดให้เดินรถทางเดียวเช่นกัน พ.อ.นพพร บอกว่า เดิมมีกำลังทหารรักษาความปลอดภัยในเขตเทศบาลนครยะลาวันละ 50 - 100 คน ทั้งการเดินลาดตระเวน ตั้งด่านตรวจ ดูแลตลาด แต่เหตุระเบิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ได้เพิ่มกำลังเป็น 200 นาย ที่จะหมุนเวียนดูแลรักษาความปลอดภัยในเขตเทศบาลนครยะลา ซึ่งรวมถึงย่านถนนรวมมิตรด้วย "นั่นยังไม่นับกำลังตำรวจ อาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) รวมทั้งกองกำลังประชาชนที่แทรกอยู่ตามจุดต่างๆ ในย่านถนนรวมมิตรอีกหลายสิบคน" พ.อ.นพพร ระบุ "ไม่เพียงเท่านั้นครับ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมการอยู่ตลอด คือ พยายามวิเคราะห์รูปแบบการก่อเหตุของฝ่ายขบวนการ เพื่อหาทางป้องกันการก่อเหตุที่อาจเกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ ให้ได้" แต่เมื่อเหตุเกิดขึ้นมาแล้ว "เราได้เชิญผู้นำศาสนาและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบออกมาละหมาดฮายัต เพื่อแสดงว่า เราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง" หัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัยประจำจุดตรวจนายหนึ่ง บอกว่า ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง โดยผลัดเปลี่ยนเวรกันทุกๆ 3 - 4 ชั่วโมง วิธีการตรวจตราและรักษาความปลอดภัย มีตั้งแต่การสอบถามผู้ขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ การตรวจสอบผ่านกล้องวงจรปิดว่า ผู้ที่เข้ามาในย่านนี้ ได้เดินทางไปตรงจุดที่แจ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจหรือไม่ ผู้ที่ผ่านเข้าออกพูดจาคล่องแคล่วฉะฉานไม่ตะกุกตะกัก หรือมีพิรุธหรือไม่ จนมั่นใจจึงจะให้ผ่านไปได้ "ทุกคนที่เข้ามาในย่านนี้ เรียกได้ว่า จะอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่และกล้องวงจรปิดตลอด" เจ้าหน้าที่รายนี้ บอกว่า การตรวจเข้มแบบนี้ บางทีก็ถูกประชาชนบ่น ส่วนเจ้าหน้าที่เองก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องคอยดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด แต่พวกผู้ก่อความไม่สงบไม่ยอมที่จะหยุดหาช่องโหว่ช่องว่างเพื่อเข้ามาก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ก็ต้องปิดทุกช่องให้ได้ต่อไป ไม่มีสิทธิเบื่อ
'ท่อ' ป้องกันชีวิต เป็นท่อซิเมนต์ที่มาจากการช่วยเหลือของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วยส่วนหนึ่ง ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานหอการค้าจังหวัดยะลา บอกว่า "ท่อซิเมนต์ไม่ได้ช่วยให้คาร์บอมบ์ลดลงหรอกครับ แต่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้ร้านไม่เสียหายมากและอาจช่วยชีวิตได้ด้วย" ท่อซิเมนต์พวกนี้ เริ่มผุดขึ้นมาเป็นแถวหลังจากร้านขายก๋วยเตี๋ยวราดหน้าตรงปากทางเข้าโรงแรมปาร์ควิว นำท่ออัดด้วยปูนซิเมนต์มาตั้งไว้เป็นร้านแรกมาเป็นปี ก่อนที่ย่านนี้จะถูกกำหนดเป็นเขตเซฟตี้โซนเสียอีก เจ้าของร้านขายอุปกรณ์ประกอบพิธีทางศาสนาของคนไทยเชื้อสายจีน ระบุว่า ปกติการวางท่อซีเมนต์หน้าร้านต้องขออนุญาตจากเทศบาลก่อนด้วย แต่พอหลังเกิดเหตุระเบิด ไม่มีใครรอขออนุญาตแล้ว ตัดสินในทำเลย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ย้ายไปไหนแล้ว "เราไม่อยากไปเริ่มต้นทำกิจการที่อื่น เพราะไม่รู้ว่าจะคุ้มค่ากับการไปเริ่มใหม่หรือไม่ คนย้ายออกไปส่วนใหญ่เป็นข้าราชการมากกว่าเจ้าของธุรกิจ" เจ้าของร้านรายนี้ ยืนยัน ส่วน 'แจ๊ค' ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายตุ๊กตาย่านถนนรวมมิตร 20 ปีแล้ว บอกว่า ตอนนี้ท่อซิเมนต์ กลายเป็นสิ่งก่อสร้างดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวหรือคนแปลกหน้าไปแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ หากมีคนลงจากรถมาถ่ายรูป 'คู่กับท่อ' สีสันแปลกตากันบ้างแล้ว ทว่า "ท่อหน้าร้านไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นเลย มันไม่สวยงามหรอก จะวางของโชว์หน้าร้านก็ไม่ได้ เพราะคนมองไม่เห็น แถมยังทำให้เสียพื้นที่ไปด้วย" ที่สำคัญ แจ๊ค บอกว่า "มันดูน่ากลัว รู้สึกว่าเหมือนอยู่ในพื้นที่สงคราม แต่เอาล่ะ ไหนๆ ก็ตั้งมาแล้ว ก็ต้องให้มันดูดีซักหน่อย ซื้อสีมาทาหรือวาดรูปเสียเลย จิตใจจะได้ไม่หดหู่ สุขภาพจิตจะได้ไม่แย่มาก" การวางท่อหน้าร้านครั้งนี้ แจ๊คบอกว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และยังหมดเงินไปประมาณ 3,000 บาท จากราคาท่อละ 300 บาท รวม 10 ท่อ พร้อมกับตั้งความหวังไว้ว่า "เมื่อไหร่หนอ ลูกค้าคนต่อไปจะแวะเข้ามาในร้าน?"
แย่ไม่ใช่แค่ถูกคาร์บอมบ์ แจ๊ค บอกว่า สาเหตุที่ยอดขายลดลง มาจากการทำเป็นถนนวันเวย์และการตรวจเข้มของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญ แต่เชื่อว่าผ่านไปสักพักทุกคนก็คงจะชิน และอย่างน้อยเซฟตี้โซนก็ช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง แจ๊คเปรียบเทียบถนนรวมมิตรกับถนนยะลาสายกลาง ซึ่งเป็นเขตเซฟตี้โซนแห่งแรกในเขตเทศบาลนครยะลาว่า สินค้าหลักที่ขายในย่านถนนยะลาสายกลาง เป็นพวกสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งขายได้ตลอดและเข้าออกง่าย ทำให้ผู้ประกอบการยังขายสินค้าได้ "ต่างกับถนนรวมมิตร ที่ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร และการเข้าออกยากกว่า เพราะต้องเดินรถทางเดียว มีการปิดทางเข้าออกในซอยย่อยๆ ทำให้ต้องขับรถวนกว่าจะถึงร้านที่ลูกค้าต้องการ ทำให้เสียเวลา ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้ลูกตัดสินใจหันไปจับจ่ายที่อื่น" แจ๊ค ระบุว่า เหตุคาร์บอมบ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ยังส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาเคยคิดจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นด้วย แต่ตอนนี้ยอมรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ได้แล้ว และยืนยันจะสู้ต่อไป ถึงแม้ว่า ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการส่วนหนึ่งย้ายออกไป แต่ก็มีผู้ประกอบการรายใหม่ย้ายเข้ามาแทนที่ ซึ่ง ดร.ณพพงศ์ บอกว่า "ถึงอย่างไรก็ตาม ถนนรวมมิตรก็ยังคงเป็นทำเลทองของศูนย์กลางเศรษฐกิจเมืองยะลาอยู่ดี" แนวคิดเรื่องเซฟตี้โซนมีขึ้นในช่วงที่นายกฤษฎา บุญราช เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา โดยก่อนเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554 มีการจัดทำเขตเซฟตี้โซนนำร่องในย่านถนนยะลาสายกลาง ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล "เซฟตี้โซนในช่วงแรกทำได้เพียงเดือนเศษ ผู้ประกอบการก็ขอให้ยกเลิก เพราะส่งผลทำให้ยอดขายลดลง พร้อมทั้งมีเสียงบ่นถึงความรำคาญและความลำบากในการเดินทางเข้าออกย่านเซฟตี้โซน" ดร.ณพพงศ์ ระบุ จากนั้นจึงมีการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหาทางปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดความสมดุลในทางปฏิบัติมากขึ้น ทว่ายังคงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่เหมือนเดิม ประธานหอการค้าจังหวัดยะลา บอกว่า มีเซฟตี้โซนก็ช่วยรักษาความปลอดภัยได้อยู่ แต่ถ้ามีแล้วยังช่วยอะไรไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีไว้ทำไม แต่ถึงอย่างไรก็ตามผ่านมา 8 ปีมาแล้วที่เจอเหตุการณ์ คนในพื้นที่ปรับตัวพอสมควรแล้ว แต่ก็ใช่ว่า เซฟตี้โซนอย่างเดียวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ หากแต่เหตุการณ์อื่นๆ หรือในพื้นที่อื่น โดยเฉพาะเหตุระเบิดในเขตเมืองหรือย่านเศรษฐกิจ ก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของเมืองยะลาด้วยเช่นกัน ดร.ณพพงศ์ อธิบายด้วยว่า หลังเหตุคาร์บอมบ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองยะลาอย่างเห็นได้ชัด เช่น เหตุคาร์บอมบ์ในเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เหตุระเบิดโรงแรมซีเอส.ปัตตานี รวมทั้งเหตุการณ์อื่นๆ ในช่วงแรกของเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม แม้กระทั่งเทศกาลการถือศีลอดของชาวมุสลิมซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เอง ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมเช่นกัน เนื่องจากประชาชนไม่ค่อยออกมาท่องเที่ยวหรือจับจ่ายสินค้ามากนัก ยกเว้นในช่วงก่อนสิ้นสุดเดือนรอมฎอน ที่ประชาชนส่วนใหญ่จะออกมาซื้อเครื่องแต่งกายชุดใหม่ๆ และซื้อทองไว้ใช้ในช่วงวันรายอ ซึ่งเป็นวันฉลองสิ้นการถือศีลอด ทว่า นายวรพจน์ อุฬาร์ศิลป์ เจ้าของห้างทองโอฬาร(อุ่ยยงพง) ในเขตเทศบาลนครยะลา ก็ยังเห็นว่า ปีนี้ยอดซื้อขายทองน้อยลงถึงครึ่งหนึ่งถ้าเทียบกับปีก่อน "ปีนี้ยอดขายลดลง แถมชาวบ้านยังเอาทองมาจำนำเพิ่มอีกต่างหาก" ประกอบกับมีร้านทองที่มุสลิมเป็นเจ้าผุดขึ้นมาในพื้นที่ชุมชนมากขึ้น ชาวบ้านจึงมักใช้บริการร้านทองในตัวเมืองน้อยลง เพราะสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อย่างไรก็ตาม ทั้งดร.ณพพงศ์และนายวรพจน์ ระบุเหมือนกันสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เศรษฐกิจซบเซา คือ ราคายางพาราที่ตกต่ำลงอย่างมากเมื่อเทียบกับราคาในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เมื่อราคาตกคนก็ต้องประหยัดเงินมากขึ้น การจับจ่ายก็น้อยลงตามไปด้วย ดร.ณพพงศ์ ระบุว่า "50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จังหวัดยะลา ก็มาจากยางพารานี่แหละ" 'หมอหน่อย' หรือ ทันตแพทย์หญิงศุภมาส ลิ่วคุณูปการ เจ้าของคลินิกหมอหน่อยย่านรวมมิตร บอกว่า ช่วงแรกของการตั้งเซฟตี้โซน คนไข้ประจำไม่ยอมมาใช้บริการเลยเพราะกลัว แต่พอจะเข้าใช้บริการ ก็บอกว่าเข้าไม่ถูก เพราะเส้นทางเข้าออกเปลี่ยนไป "ส่วนแม่ค้าบอกว่าไม่ต้องการเซฟตี้โซน เพราะในความเป็นจริง มีเจ้าหน้าที่มาดูแลเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ดิฉันอยากให้มี เนื่องจากมีคนเข้าออกพลุกพล่านเพราะเป็นร้านอาหารเสียส่วนใหญ่ และเป็นร้านของคนมุสลิม 2 -3 ร้านเท่านั้น"
กระตุ้นเศรษฐกิจ ดร.ณพพงศ์ บอกว่า ส่วนหอการค้าจังหวัดยะลา มาทำหน้าที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างเต็มที่เช่นกัน ที่ผ่านมา มีหลายกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดยะลา โดยเฉพาะย่านถนนรวมมิตร เช่น เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน – 27 กรกฎาคม 2555 หอการค้ายะลาได้จัดงานยะล้า ยะลาแฟร์ ซึ่งหอการค้ามอบคูปองให้ร้านค้าเพื่อแจกมอบให้ลูกค้า ซึ่งพอเรียกขวัญกำลังใจของผู้ประกอบการให้กลับคืนมาได้บ้าง หลังเหตุคาร์บอมบ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ไม่นาน นายกิตตรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงพื้นที่จังหวัดยะลา เพื่อร่วมงาน Dinner Talk เชื่อมั่นเศรษฐกิจ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ร่วมกับพ่อค้าประชาชนในพื้นที่ ซึ่งครั้งนั้นทางหอการค้าทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีข้อเสนอต่างๆ ที่จะให้รัฐบาลช่วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในพื้นที่ นอกจากนี้ หอการค้าจังหวัดยะลายังได้ประสานธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) มาปล่อยสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการย่านถนนรวมมิตร ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุคาร์บอมบ์ นำใช้ฟื้นฟูกิจการ เป็นต้น ขณะที่นายวรพจน์ อุฬาร์ศิลป์ เจ้าของห้างทองโอฬาร เสนอให้เพิ่มเขตเซฟตี้โซนอีก 3 แห่ง คือ ย่านถนนรถไฟ ย่านถนนสายคุรุ และบริเวณหลังกองร้อย ถนนสุขยางค์ เพราะบริเวณนี้มักมีข่าวการก่อเหตุรุนแรงบ่อยครั้ง นายวรพจน์ เสนอให้รัฐบาลนำเทคโนโลยีมาใช้ในเขตเซฟตี้โซน เช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิดคุณภาพสูง เครื่องเอ็กซเรย์ใบหน้าบุคคล เครื่องมือที่สามารถจดจำใบหน้าของคนร้ายได้ และเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารระเบิด เป็นต้น ถึงตอนนี้เทรนด์(ทำลาย)เศรษฐกิจกำลังมาแรง ก็คงต้องเอาทุกทางกันแล้วกับนวัตกรรมรักษาชีวิตและปากท้อง ถ้าไม่ซวยจริงๆ ทุกคนก็จะอยู่รอดปลอดภัย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 30 Sep 2012 08:40 AM PDT |
ภาคภูมิ แสงกนกกุล: เมดิคัลฮับและความไม่เท่าเทียม (2) Posted: 30 Sep 2012 08:36 AM PDT ความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯมีอุปทานการแพทย์จากโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนสูงกว่าจังหวัดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนบุคลากรทางการแพทย์เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์หรือระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน [1] สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมนี้คือ นโยบายการบริหารประเทศที่ร่วมศูนย์กลางไว้ที่กรุงเทพฯทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ความเจริญในกรุงเทพฯสูงกว่าจังหวัดอื่นๆและดึงดูดเงินลงทุน นักลงทุน แรงงาน เข้ามากระจุกตัวที่กรุงเทพฯ แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขส่วนใหญ่ถึงแม้ไม่ใช่คนกรุงเทพฯโดยกำเนิดก็อยากจะย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯมากกว่าเมื่อใช้ทุนเสร็จแล้ว กรุงเทพฯมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันและ ส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและสร้างฐานครอบครัวในอนาคตได้ดีกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรุงเทพฯมีโรงเรียนแพทย์เฉพาะทาง มีศูนย์โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยจำนวนมากกว่าเพื่อให้แพทย์ได้ศึกษาต่อ มีโรงเรียนที่มีคุณภาพการศึกษามากกว่าต่างจังหวัดเพื่อให้ลูกหลานพวกเขาได้ศึกษาเป็นทุนในการสร้างอนาคตต่อไป มีโรงพยาบาลเอกชนให้เลือกทำงานมากกว่าหรือมีโอกาสที่เปิดคลีนิคเป็นของตนเองได้ง่ายกว่า ในขณะเดียวกันนักลงทุนเอกชนก็มองเห็นโอกาสทำกำไรได้มากเมื่อเปิดโรงพยาบาลในกรุงเทพฯที่เต็มไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัด นโยบายสาธารณสุขต้องสัมพันธ์กับนโยบายบริหารประเทศ และจำเป็นต้องมีนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นลดความเหลื่อมล้ำระหว่างจังหวัด ต้องสร้างงานในต่างจังหวัดเพื่อลดการอพยพของคนต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเพฯ สร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นในทุกจังหวัดเช่น ระบบขนส่งมวลชนราคาถูก ระบบการศึกษาเป็นต้น กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น สร้างแนวทางเจริญในอาชีพการงานของบุคลากรสาธารณสุขในต่างจังหวัดให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนเพื่อดึงดูดให้พวกเขาอยากทำงานในท้องที่ต่อไป ความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยระหว่างโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน โรงพยาบาลภาครัฐมีความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าโรงพยาบาลภาคเอกชน โรงพยาบาลเอกชนมีอุปทานทางการแพทย์ที่ดีกว่าและมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น บุคลากรทางสาธารณสุข แพทย์เฉพาะทาง อุปกรณ์ทางการแพทย์ราคาแพง [2] โรงพยาบาลที่สะดวกสบายสะอาดและมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน สถานที่และบรรยากาศการทำงานน่าดึงดูดให้บุคลากรสาธารณสุขมาร่วมงาน อัตราเงินเดือนของเอกชนที่สูงกว่าของรัฐสองถึงสี่เท่าแต่มีภาระงานที่เบากว่าภาครัฐ ระบบการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่าระบบราชการและมีอิสระมากกว่า ภาวะสมองไหลของบุคลากรจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสที่มีระบบสาธารณสุขที่ประสิทธิภาพดีที่สุดตามที่องค์การอนามัยโลกจัดอันดับในปี 2000 [3] แพทย์สมองไหลออกไปสู่ที่ๆอัตราเงินเดือนสูงกว่า สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ระบบภาษีอัตราก้าวหน้าในฝรั่งเศสที่เป็นตัวยับยั้งชั่งใจแพทย์ก่อนที่จะตัดสินใจไปทำงานภาคเอกชน ในขณะที่ประเทศไทยกลับไม่มีการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า การรักษาสุขภาพในอดีตถูกมองว่าเป็นเรื่องความเสี่ยงส่วนบุคคล แต่ละคนที่เกิดมาเจ็บป่วยหนักหรือไม่เป็นเรื่องของผลกรรมในอดีต ดังนั้นแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยนั้นเอง การจ่ายค่ารักษาพยาบาลจึงเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลโดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาจัดการ ผลของการวางตำแหน่งการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องส่วนตัวทำให้รัฐไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพประชาชนและใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อเรื่องสุขภาพน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และต้องอาศัยภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในระบบสาธารณสุข ผลดีของนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคคือการเปลี่ยนมุมมองของคนในสังคมว่าสุขภาพและการรักษาไม่ใช่เรื่องของปัจจเจกบุคคลอีกต่อไป แต่เป็นความเสี่ยงของสังคมที่ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันแบกรับและเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกัน หลังจากนโยบายสามสิบบาทประกาศออกมาปรากฏว่าภาครัฐเพิ่มงบประมาณในการรักษามากขึ้นทุกปี สัดส่วนค่าใช้จ่ายในเรื่องสุขภาพระหว่างรัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ [4] อย่างไรก็ตามการขาดการลงทุนด้านการรักษาจากภาครัฐก่อนมีนโยบายสามสิบบาทและต้องอาศัยการลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อเปิดโรงพยาบาลจำนวนมากและรองรับความต้องการสินค้าบริการที่เพิ่มสูงมากขึ้นตามสภาพเสือเศรษฐกิจที่เติบโตในช่วงทศวรรษ 90 สาเหตุนี้ทำให้เปิดโอกาสนักลงทุนเอกชนเข้ามาสู่ระบบสาธารณสุขได้อย่างเสรีโดยมีกฎระเบียบข้อบังคับที่ไม่เคร่งครัดและตามไม่ทันกระแสการเปลี่ยนแปลง ผู้ประกอบการเอกชนจำนวนมากเข้ามาแสวงหากำไรและสร้างการแพทย์พาณิชย์ที่ฝังรากลึกในระบบสาธารณสุข
การขาดกฎระเบียบควบคุมและผู้บริโภคขาดอำนาจต่อรองส่งผลให้การแพทย์พาณิชย์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบสาธารณสุขคือ
เพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างโรงพยาบาลรัฐและเอกชนต้องอาศัยการลงทุนเพิ่มขึ้นจากภาครัฐ ปฏิรูประบบราชการ เพิ่มรายได้ให้กับบุคลากรสาธารณสุขในภาครัฐสูงขึ้นระดับหนึ่ง เก็บภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อควบคุมเงินเดือนของบุคลากรสาธารณสุขภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ออกกฎระเบียบควบคุมจำนวนอุปกรณ์การแพทย์ สร้างความเข้มแข็งให้ผู้บริโภค สิทธิผู้ป่วยในภาคปฏิบัติ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเข้าถึงข้อมูลการรักษาเพื่อลดโอกาสที่บุคลากรสาธารณสุขแสวงกำไรจากความไม่เท่าเทียมด้านข้อมูล เชิงอรรถ 1 http://www.moph.go.th/ops/thp/index.php?option=com_content&task=view&id=176&Itemid=2 2 http://www.moph.go.th/ops/thp/index.php?option=com_content&task=view&id=176&Itemid=2 3 http://fr.wikipedia.org/wiki/Syst%C3%A8me_de_sant%C3%A9_fran%C3%A7ais 4 Source : WHO 5 http://thai-medical-error.blogspot.com/2011/02/6_09.html ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
บทวิจารณ์รายงานของ คอป. ส่วนที่ว่าด้วย "สาเหตุและรากเหง้า" ของปัญหาการเมือง Posted: 30 Sep 2012 07:28 AM PDT
เมื่อได้รายการสาเหตุของปัญหามาแล้ว คอป. ก็สรุปว่า "วิกฤติ ความขัดแย้งในประเทศไทยนั้น เกิดจากรากเหง้าของปัญหาที่โยงใยกันอย่างซับซ้อน ไม่มีมูลเหตุใดเพียงลำพังที่จะสามารถอธิบายปัญหาความขัดแย้งได้". หากจะตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด ข้อสรุปนี้ก็คงจริง แต่ก็คงไม่มีประโยชน์สำหรับผู้อ่าน เพราะก็ไม่มีใครเชื่ออยู่แต่แรกแล้วว่าจะมีปัจจัยใดที่สามารถอธิบายความขัด แย้งทางการเมืองได้โดยปัจจัยเดียว. ในแง่นี้ข้อสรุปของ คอป. จึงไม่ได้บอกอะไรใหม่. หากเราจะตีความให้คำพูดของ คอป. มีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง เราต้องตีความว่า สาเหตุของปัญหาทั้ง 25 ข้อที่ คอป. ยกมานั้น ต่างเป็นปัจจัยที่ "จำเป็น" ต่อการเกิดปัญหาทั้งสิ้น ไม่มีปัจจัยใดที่เราจะละเลยได้. การตีความแบบนี้สอดคล้องกับคำพูดในรายงานของ คอป. ที่กล่าวว่า ความรุนแรง...ไม่ได้เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง และจะมีลักษณะเป็นองค์รวม ซึ่งเกิดจากการผสมผสานปัจจัยหลายๆ ด้านที่มีความสลับซับซ้อน เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้เชื่อมโยงกันแบบแยกไม่ออก และมีความเป็นพลวัตอยู่ตลอดเวลา. (น. 216) ในเมื่อปัจจัยทั้ง 25 ปัจจัย "เชื่อมโยงกันแบบแยกไม่ออก" และก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่ง "มีลักษณะเป็นองค์รวม" ที่ "เกิดจากการผสมผสานปัจจัยหลายๆ ด้าน" ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราตัดปัจจัยบางปัจจัยออกไป ปัจจัยที่เหลือย่อมไม่สร้างผลแบบเดิมอีกต่อไป. กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ปัจจัยทุกปัจจัยที่ คอป. ยกมานั้น เป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อการเกิดปัญหาการเมืองทั้งสิ้น. การที่ คอป. คิดว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาในตัวของมันเอง ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า คอป. ไม่เข้าใจที่ทางของความขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตยเลย. ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง และประชาธิปไตยที่เข้มแข็งก็ย่อมมีกลไกในการตัดสินข้อขัดแย้งก่อนที่มันจะ กลายเป็นความรุนแรงอยู่แล้ว. หากความขัดแย้งกลายเป็นความรุนแรงได้ นั่นย่อมหมายความว่ากลไกประชาธิปไตยที่ใช้ตัดสินความขัดแย้งนั้นถูกทำให้ใช้ การไม่ได้. ในกรณีนี้ปัญหาย่อมอยู่ที่ความไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่อยู่ที่ความขัดแย้ง. ในระบอบประชาธิปไตย ความขัดแย้งจึงไม่ใช่ปัญหา. แต่ต่อให้เราสมมติว่า คอป. คิดว่าความขัดแย้งไม่เป็นปัญหา หากแต่ความรุนแรงเท่านั้นที่เป็นปัญหา รายงานของ คอป. ก็ยังบกพร่องอีกจุดหนึ่ง. นั่นคือ คอป. ทึกทักเอาว่าความรุนแรงทุกรูปแบบเป็นปัญหา ทั้งที่จริงๆ แล้วความรุนแรงบางรูปแบบเท่า นั้นที่เป็นปัญหา. การที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้โล่พลาสติกกระแทกเพื่อผลักดันผู้ประท้วงนั้น เป็นความรุนแรงที่ปกติเรายอมรับได้และไม่ถือว่าเป็นปัญหา. แต่การที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ปืนติดกล้องส่องยิงศีรษะผู้ประท้วงจากระยะไกล นั้น เป็นความรุนแรงที่ยอมรับไม่ได้และเป็นปัญหาแน่นอน. การตีขลุมว่าความรุนแรงทุกรูปแบบ ทุกระดับ เป็นปัญหาทั้งหมด ทำให้รายงานของ คอป. หลงประเด็นไปสาธยายสาเหตุของหลายสิ่งที่ไม่ใช่ปัญหาอยู่ตั้งแต่แรก.
"ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่มีการรัฐประหาร ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายใช้เป็นข้ออ้างในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจ รัฐ ในการเข้ามาบริหารประเทศ และทำให้ฝ่ายผู้ที่มีอำนาจรัฐและกลุ่มผู้สนับสนุน กับฝ่ายต่อต้านและกลุ่มผู้สนับสนุน ผลัดกันเข้ามามีอำนาจ" (น. 217)
ไม่ว่ากรณีใดๆ คอป. ดูจะไม่มองว่า กองทัพ, ศาล และสถาบันกษัตริย์ (ซึ่งครอบคลุมองคมนตรี) เป็นหุ้นส่วนหลักในความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาเลย. คอป. มองว่าสถาบันเหล่านี้เพียงแค่ถูกกลุ่มการเมืองดึงมาใช้เพื่อให้ฝ่ายตนได้ ประโยชน์ หรือบางครั้งก็อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยตัวเองบ้างเพื่อสนับสนุนฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้พัวพันกับความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งตั้งแต่แรก. มุมมองนี้ของ คอป. ขัดกับมุมมองของนักวิชาการจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งก็คงไม่มีอะไรเสียหายหาก คอป. สามารถให้เหตุผลสนับสนุนมุมมองตัวเองได้. แต่น่าเสียดายที่ คอป. ไม่เคยให้เหตุผลว่าทำไมสถาบันเหล่านี้จึงไม่นับเป็นคู่ขัดแย้งหลัก เช่นเดียวกับพรรคการเมืองและกลุ่มมวลชน.
ความสับสนของ คอป. เรื่องคู่ขัดแย้งนี้ ดูจะเป็นผลจากแนวคิดพื้นฐานของ คอป. ที่ว่าความขัดแย้งทางการเมืองมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว. ในความเป็นจริงแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในวิกฤติการเมืองนั้นมีหลากหลาย. ผู้เล่นแต่ละกลุ่มในสนามการเมืองก็มีความขัดแย้งกับกลุ่มอื่นๆ ในรูปแบบที่ต่างกันไป (เพราะผู้เล่นแต่ละกลุ่ม ถึงแม้ว่าจะสนับสนุนกันในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ก็มีเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน). สาเหตุที่อธิบายความขัดแย้งระหว่างพรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่อาจอธิบายความขัดแย้งระหว่างพรรคไทยรักไทยกับกองทัพ หรือระหว่างพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ได้. สมมุติฐานของ คอป. ที่ว่าผู้เล่นทุกกลุ่มถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายด้วยความขัดแย้งเดียวนั้น จึงเป็นสมมุติฐานที่ผิดมาตั้งแต่ต้น.
ในทางหนึ่ง การที่ คอป. หลีกเลี่ยงจะระบุว่าปัจจัยใดสำคัญมาก ปัจจัยใดสำคัญน้อย เป็นการชวนให้เข้าผิดว่าปัจจัยทุกข้อที่ คอป. เสนอมานั้นสำคัญเท่ากัน: "การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549" มีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้งเท่าๆ กับ "การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ"; และ "ตุลาการภิวัฒน์" มีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้งพอๆ กับการล้อเลียนพรรคเพื่อไทยว่า "พรรคเผาไทย" และการล้อเลียนพรรคประชาธิปัตย์ว่า "พรรคประชาวิบัติ". ในอีกทางหนึ่ง การที่ คอป. ร่ายรายการปัจจัยมายืดยาวโดยที่ไม่จัดลำดับความสำคัญของปัจจัยเหล่านั้น ไม่ต่างอะไรจากนักอุตุนิยมวิทยา ที่พอถูกถามว่าอะไรคือสาเหตุของพายุเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็จัดแจงเอาตำรา "ลมฟ้าอากาศเบื้องต้น" มาอ่านให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่ระบุว่าส่วนใดบ้างของตำราที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพายุเมื่อสัปดาห์ ก่อนมากที่สุด. การนั่งอ่านตำราให้ผู้ชมฟังแบบนี้ ไม่ได้เกินความสามารถของเด็กมัธยมทั่วไป. ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเสียเงินหลักสิบล้านเพื่อจ้างคณะกรรมการใดมาอ่านให้ ฟัง.
ในอีกมิติหนึ่ง เราต้องแยกแยะระหว่าง "สาเหตุที่ควรแก้ไข" กับ "สาเหตุที่ไม่ควรแก้ไข". สาเหตุบางปัจจัย แม้จะเป็นสาเหตุทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ควรถูกแก้ไข. ตัวอย่างเช่น การที่ร้านสะดวกซื้อเปิดดึก เป็นสาเหตุทั่วไปประการหนึ่งที่ทำให้ร้านสะดวกซื้อถูกปล้น. แต่เราคงไม่พยายามป้องกันปัญหาการปล้นด้วยการบอกให้ร้านสะดวกซื้อปิดเร็ว ขึ้น (เพราะร้านมีสิทธิที่จะเปิดดึก) หากแต่เราต้องพยายามให้รัฐป้องกันไม่ให้โจรสามารถปล้นได้สำเร็จต่างหาก (เพราะนั่นคือหน้าที่ของรัฐ). ในกรณีนี้ ถึงแม้ว่าการที่ร้านสะดวกซื้อเปิดดึกจะเป็นสาเหตุทั่วไปของการถูกปล้น แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ควรแก้ไข. รายงานของ คอป. ไม่เคยแยกแยะระหว่างสาเหตุที่ควรแก้ไขกับสาเหตุที่ไม่ควรแก้ไข. คอป. กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ...จากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคม อุตสาหกรรม" และ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" เป็นสาเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง. ในขณะเดียวกัน คอป. ก็กล่าวว่า "การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549" และ "ตุลาการภิวัฒน์" ก็เป็นสาเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่แยกแยะสาเหตุชุดใดควรแก้ ชุดใดไม่ควรแก้. การผสมปนเปสาเหตุสองประเภทนี้เข้าด้วยกันทำให้รายงานของ คอป. ชวนให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสาเหตุแต่ละสาเหตุสมควรถูกแก้ไขพอๆ กัน.
คอป. นอกจากจะไม่พูดถึงการริดรอนสิทธิทางการเมืองของคนจำนวนมากแล้ว ก็ยังไม่พูดถึงบทบาทของสถาบันทางการเมืองบางสถาบัน ที่มีส่วนโดยตรงต่อการริดรอนสิทธินี้. กล่าวคือ คอป. ไม่พูดถึงบทบาทของบุคคลในสถาบันกษัตริย์ เช่น องคมนตรี ในการสนับสนุนรัฐประหาร. คอป. ไม่พูดถึงบทบาทของกองทัพในการช่วยจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย หลังจากที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบ. แม้ว่า คอป. จะพูดถึงรัฐประหารและตุลาการภิวัฒน์อยู่ด้วย แต่ก็พูดถึงเพียงผ่านๆ (พูดถึงตุลาการภิวัฒน์เพียง 6 บรรทัด และรัฐประหารเพียง 15 บรรทัด โดยตัดเอาเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น การตัดสินล้มผลการเลือกตั้ง และการตัดสินยุบพรรค ไปใส่ไว้ใน footnote ราวกับว่ามันเป็นแค่รายละเอียดที่ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องรับทราบ).
คอป.กล่าวถึงแนวคิดของ นปช. และของพันธมิตรฯ เกี่ยวกับประชาธิปไตย ดังนี้: "สังคมได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๒ กลุ่มอย่างชัดเจน ... อันได้แก่ สรุปคือ คอป. มองว่า นปช. เชื่อว่ารัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องมีความโปร่งใสและถูกตรวจสอบ ในขณะที่พันธมิตรฯ เชื่อว่ารัฐบาลต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง. ในลำดับที่สอง มุมมองของ คอป. ที่ว่าพันธมิตรฯ ให้ความสำคัญกับการที่รัฐบาลประชาธิปไตยต้องโปร่งใสและถูกตรวจสอบได้เป็น หลัก ก็ดูจะเป็นมุมมองที่คลาดเคลื่อน. ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าพันธมิตรฯ แสวงหาความโปร่งใสและการตรวจสอบ มากกว่าการได้บุคคลที่มีจริยธรรมเข้ามาทำหน้าที่. ในทางตรงกันข้าม พันธมิตรฯ ได้แสดงให้เห็นหลายครั้งว่าเขาพร้อมจะยอมรับ "คนดี" ที่ไม่ถูกตรวจสอบ มากกว่า "คนชั่ว" ที่ตรวจสอบได้ เห็นได้จากการสนับสนุน สว. แต่งตั้ง, การเสนอให้ สส. 70% มาจากการแต่งตั้ง, การเรียกร้องนายกรัฐมนตรีพระราชทาน และการกล่าวโจมตีผู้เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ต้องโปร่งใสและถูกตรวจสอบ ได้. อันที่จริง ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักที่ คอป. จะเข้าใจแนวคิดของมวลชนแบบคลาดเคลื่อน เพราะ คอป. มุ่งระดมความเห็นโดยการจัดสัมมนาวิชาการและ "เวทีสาธารณะ" (ที่เอาเข้าจริงก็ไม่มีมวลชนตัวจริงเสียงจริงเข้าร่วมเท่าใดนัก) แต่ไม่เคยลงไปฝังตัวในเวทีชุมนุมเสื้อแดงหรือพันธมิตรฯ หรือเกาะติดกลุ่มตัวอย่าง เพื่อสังเกตและบันทึกความรู้สึกนึกคิดของมวลชนแต่ละฝ่าย. (จริงๆ แล้ว ด้วยเวลาสามปีและงบประมาณหลักสิบล้านบาท การลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร.)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
‘สาวตรี’ วิจารณ์ข้อเสนอ คอป. ชี้ประโยชน์และปัญหา Posted: 30 Sep 2012 03:54 AM PDT
30 ก.ย.55 ในช่วงท้ายของเวทีเสวนา 2 ปีนิติราษฎร์ 6 ปีรัฐประหาร ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวถึงรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่า หลังจากได้อ่านรายงานมีหลายจุดที่ค่อนข้างมีประโยชน์ เช่น มีข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลดิบที่แสดงมีไม่เพียงพอ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เหตุป่วนใต้เช้ายันเย็น วันเดียวตาย 4 เจ็บ 4 Posted: 30 Sep 2012 03:11 AM PDT กอ.รมน.ภาค 4 สน. รายงานเบื้องต้น วันเดียวเกิดเหตุเช้ายันเย็น ทั้งยิงทั้งระเบิด 7 เหตุการณ์ ตาย 4 เจ็บ 4 คนร้ายวางบึ้มพลาดเป้าทหารรอด ยิงซ้ำโดนรถชาวบ้าน ประกบยิงสามีภรรยาสองคู่ตายเจ็บ ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กองอานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) รายงานเหตุการณ์ประจำวันที่ 29 กันยายน 2555 โดยตลอดวันตั้งแต่เช้าไปจนถึงช่วงเย็น มีทั้งหมด 7 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 4 คน ดังนี้ เวลา 07.30 น.คนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิง ด.ต.มุสตอพา แลแฮ อายุ 44 ปี ตำรวจกองกำกับการ สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัด(กก.สส.ภ.จว.) ปัตตานี ที่หน้าพักของตัวเอง ที่บ้านสือดัง หมู่ที่ 4 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี กระสุนปืนถูกศีรษะ 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส เวลา 07.45 เกิดเหตุระเบิดบริเวณริมถนนสาย 42 สะพานบ้านลาคอ เขตรอยต่อระหว่าง ต.ตะบิ้ง - ต.มะนังดาลา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ โดยคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่อง ไม่ทราบภาชนะบรรจุ และการจุดชนวน มาซุกซ่อน ไว้ เป้าหมายเพื่อลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐที่เดินทางโดยรถยนต์มาประชุมที่ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี แต่รถของเจ้าหน้าทีชุด ชป.ฉก.ทพ.46 ขับรถผ่านไปก่อนแล้วจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ ต่อมาคนร้ายอีกชุดได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว แต่กระสุนปืนพลาดเป้าไปถูกรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจส สีเทา ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ซึ่งเป็นรถของนางวริยา ขวัญนุ้ย ชาวบ้าน ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่ขับรถตามทำให้รถยนต์เก๋งได้รับความเสียหาย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เวลา 07.45 น. คนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ประกบนางสาวเสาวลักษณ์ อินทรวิสุทธิ์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 147 บ้านถ้ำเหนือ หมู่ที่ 4 ต.หน้าถ้า อ.เมือง จ.ยะลา กระสุนปืนถูกบริเวณแผ่นหลัง 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ เสียชีวิต ในเวลาต่อมา ส่วนนายปริญา สิทธิพันธ์ อายุ 29 ปี ชาวบ้านตะวันออก หมู่ที่ 5 ต.ลำพระยา อ.เมือง จ.ยะลา กระสุนปืนถูกบริเวณเข่าซ้าย ซึ่งทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน เหตุเกิดขณะกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ไปซื้อของที่ อ.เมือง จ.ยะลา เหตุเกิดบนถนนสาย 4065 บ้านเนียง - ท่าสาป บ้านท่าสาป หมู่ที่ 1 ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา สาเหตุอยู่ระหว่างตรวจสอบ เวลา 09.30 น.คนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ลอบยิงนางสาวดวงเนตร คาศรี อายุ 37 ปี ชาวบ้านบันนังบูโบ หมู่ที่ 3 ต.ถ้าทะลุ อ.บันนังสตา จ.ยะลา กระสุนถูกบริเวณแก้มขวา 2 รู ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดขณะนางสาวดวงเนตรกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์เพียงลาพังอยู่บนถนนสาย 410 มุ่งหน้าเข้าพื้นที่เขต อ.เมือง จ.ยะลา บริเวณบ้านกาโสด หมู่ที่ ถ ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา สาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เวลา 11.10 น. คนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาด ยิงนายมาหะมะ อาแว อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/5 หมู่ที่ 5 บ้านจือแรบาตู ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ขณะยืนขายของอยู่ริมถนนหน้ามัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี สาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เวลา 13.00 น.คนร้าย ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ใช้อาวุธปืนสงคราม และอาวุธปืนพกไม่ทราบขนาด ประกบยิงนางกิตติมา นัดทอง เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายสุนทร นัดทอง ได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองเป็นสามีภรรยา เหตุเกิดขณะทั้งสองขับรถกระบะยี่ห้อ นิสสัน ฟรอนเทียร์ ทะเบียน บจ 8947 ปัตตานี มุ่งหน้าพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เหตุเกิดบริเวณบ้านบาโงปะแต หมู่ที่ 1 ต.โคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สาเหตุเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เวลา 14.40 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวน ขับรถยนต์เก๋งไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาด ประกบยิง นายเกื้อม สุขการ อายุ 74 ปี อยู่บ้านเลขที่ 25 บ้านเหมืองล่าง หมู่ที่ 5 ต.ตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น เวฟ หมายเลขทะเบียน กบค 279 ยะลา เหตุเกิดบริเวณบ้านอาเส็น หมู่ที่ 6 ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา สาเหตุเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
วรเจตน์ ภาคีรัตน์: เหตุใดจึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดสถาบันกษัตริย์ Posted: 30 Sep 2012 01:57 AM PDT สรุปการอภิปรายของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ กลุ่มนิติราษฎร์ ระบุว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของรัฐประหาร 2490 คือ การฝังสำนึกห้ามแตะต้องรัฐธรรมนูญหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เพื่อให้สังคมไทยเดินไปข้างหน้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ต่อหน้าได้ ถ้าเราต้องการการปรองดองที่สถานฉันท์อย่างแท้จริง อย่างน้อยรัฐธรรมนูญต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สถาบันการเมือง ศาล และกองทัพ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สะท้อนย้อนคิดฯ: มอง "สำนักเชียงใหม่" 360 องศา Posted: 30 Sep 2012 01:11 AM PDT ในระหว่างวันที่ 21 - 22 กันยายน ที่ผ่านมา ในการประชุมวิชาการ "สะท้อนย้อนคิด สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเชียงใหม่" ที่ห้องประชุมใหญ่ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยภาควิชาสังคมวิทยามานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และสำนักพิมพ์คบไฟนั้น ในการประชุมวันแรก มีการเสวนาหัวข้อ "มอง "สำนักเชียงใหม่" 360 องศา" ผู้อภิปรายประกอบด้วย ผศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี และ อ.ดร.อรัญญา ศิริผล จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.นลินี ตันธุวนิตย์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการและร่วมเสวนาโดย ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง โดยมีการอภิปรายโดยลำดับ ดังนี้
อรัญญา ศิริผล
การอภิปรายโดยอรัญญา ศิริผล (รับชมแบบ HD) จากยุคศึกษาตอบสนอง "ความมั่นคง" สู่งานข้ามพรมแดนหลังสงครามเย็น โดย อรัญญา ศิริผล อภิปรายว่า จะสำรวจสถานภาพความรู้ทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า "สำนักเชียงใหม่" มีจริงอย่างที่ภายนอกมองหรือไม่ และอะไรเป็นแรงผลักในการก่อรูปสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเชียงใหม่ และมีคุณูปการในการมีอิทธิพลต่อสังคมภายนอกอย่างไร หลักสูตรการเรียนการสอนมีจุดเน้นอย่างไร ทั้งนี้ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการปรับปรุงหลักสูตรแล้ว 4 ครั้งในปี พ.ศ. 2507, 2518, 2531 และ 2549 โดยในการก่อตั้งภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาช่วงต้น พ.ศ. 2507 - 2517 มีอย่างน้อย 4 ปัจจัยที่เป็นแรงผลักได้แก่ 1.วิชาการในประเทศจากศูนย์กลางมาสู่ภูมิภาค มีอาจารย์จากธรรมศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มาสอนที่เชียงใหม่ ซึ่งมาพร้อมๆ กับการตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2. บริบทของประเทศ ที่เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีการพัฒนาที่วางแผนมาจากส่วนกลาง มองว่าการพัฒนาจะลงสู่ชนบทได้อย่างไร 3. องค์กรวิชาการต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ส่งอาจารย์ที่ได้ทุนฟุลไบรท์มาเป็นอาจารย์ช่วยสอนมาตั้งแต่ตั้งภาควิชา 4. คหบดีท้องถิ่น เช่นไกรศรี นิมมานเหมินท์ มีความสนใจงานวิชาการมานุษยวิทยา ต่อมาในปรับปรุงหลักสูตรครั้งที่ 2 ยังไม่แบ่งหมวดหมู่วิชา แต่เริ่มมีอาจารย์ใหม่ๆ เข้ามา มีการเพิ่มวิชาสาขาย่อยทางมานุษยวิทยา บริบททางการเมืองเปลี่ยน บรรยากาศที่นักศึกษาสนใจการเมืองและเป็นซ้าย ส่งผลต่อการเรียน 2 ด้าน ด้านแรก เพิ่มวิชาด้านท้องถิ่นนิยมและชาติพันธุ์มากขึ้น ด้านที่สอง ไม่เปลี่ยนชื่อวิชา แต่เปลี่ยนสาระ เช่น วิชาสถาบันการเมือง วิชาการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่อาจารย์ประจำวิชาเอาทฤษฎีมาร์กซิสต์มาถกเถียงปัญหาแทนฐานเดิม การปรับปรุงหลักสูตรครั้งที่สาม เน้นการพัฒนาสังคมเกษตรกรรม วิเคราะห์ปัญหาในสังคมภาคเหนือ หวังว่าจะไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกระบวนการพัฒนา ทำให้เกิด เรียนให้ลึกขึ้น และแบ่งกาเรียนออกเป็น 5 สาขาวิชา ล่าสุดในการปรับปรุงครั้งที่ 4 พ.ศ. 2549 เปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตรและเนื้อหา ลดสาขาวิชาลงมาเป็น 2 สาขา คือสายวิชาการ และสายวิชาชีพ ให้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ประยุกต์มากขึ้น ให้ความสำคัญกับสหสาขาวิชามากกว่า และต้องการเพิ่มความหลากหลายในแนวคิดทฤษฎีของการศึกษาวิเคราะห์สังคมมากขึ้น ส่วนของวิชาการ วิธีวิทยา และการศึกษาเชิงพื้นที่ ได้ขยายไปสู่ภาคเหนือไปเป็นลุ่มน้ำโขง คือเน้นอาณาบริเวณศึกษามากขึ้น ส่วนหลักสูตรปริญญาโทเริ่มในปี 2532 ปรับปรุง 2 ครั้งในปี 2535 และ 2542 โดยพยายามตอบโจทย์สังคมในภูมิภาค โดยมองว่าสถาบันการศึกษาที่อื่นโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ยังขาดการศึกษาเรื่องการพัฒนาสังคมด้านเกษตรกรรม ในส่วนของหลักสูตรไม่ได้เน้นเรื่องผลผลิต รายได้ แต่เน้นการพัฒนาอย่างเท่าเทียม จัดการที่ดิน แรงงาน น้ำ อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีวิทยานิพนธ์เรื่อง "ดิน น้ำ ป่า" ออกมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่ส่วนที่เป็นวิธีวิทยาเป็นแบบสหสาขา ด้านวิชาเรียนแยกสองส่วน คือ สังคมเกษตรในชนบทกับการจัดการทรัพยากร และการจัดการเชิงโครงสร้างสถาบัน ต่อมามีการปรับปรุงหลักสูตรครั้งที่ 2 ทำให้วิชานิเวศวิทยาสังคม เป็นตัวบังคับเพราะเน้นเรื่องสังคมเกษตรในภาคเหนือ จึงเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมและนิเวศน์มากขึ้น ในปรับปรุงหลักสูตรปริญญาโทครั้งที่สาม พ.ศ. 2542 จากเดิมที่เน้นเรื่องการจัดการทรัพยากรและสังคมเกษตรภาคเหนือ ไปสู่ประเด็นที่หลากหลายมากขึ้น มีมิติที่มากขึ้น ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ศาสนาและระบบความเชื่อ การขยายตัวของเมือง ความเป็นพลเมือง กลุ่มคนชายขอบในสังคมสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมีวิชาเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ตามความถนัดและความสนใจของคณาจารย์ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ในการเปิดหลักสูตรปริญญาโท 22 ปี มีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษา 100 คน มีวิทยานิพนธ์ 100 เล่ม โดยวิทยานิพนธ์ในช่วงปี 2532 - 2541 ประเด็นจะเป็นเรื่องดินน้ำป่า นิเวศวิทยาวัฒนธรรม เรื่องความขัดแย้ง ยุคหลัง 2542 จะเริ่มมีวิทยานิพนธ์ที่มีเนื้อหาเรื่องคนชายขอบ ความสัมพันธ์ทางอำนาจและอำนาจในการต่อรอง ส่วนสถานภาพของหลักสูตรในปัจจุบัน มีการปิดหลักสูตรปริญญาโทสาขาการพัฒนาสังคมไปตั้งแต่ปี 2554 แต่เปิดหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอกเป็นสาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาแทน
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรีการอภิปรายโดยปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี (รับชมแบบ HD)
สงครามเย็นและการบูรณาการแห่งชาติ สู่แนวการศึกษาแบบขัดขืนต่อรองอำนาจ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี เริ่มอภิปรายว่า เมื่อปี 2529 ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมเรื่อง "สถานภาพสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทย" และมีการสรุปรวบรวมประเด็นจากการประชุมแล้วตีพิมพ์ในเวลาต่อมา โดยโจทย์เมื่อปี 2529 จากการอ่านคำนำของหนังสือดังกล่าวที่เขียนโดยฉลาดชาย รมิตานนท์คือจะทำอย่างไรสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทยจะสลัดตัวเองออกจากความคิด "พวกฝรั่ง" ขณะที่ในปีนี้ ได้กลับมามองสิ่งที่เรียกว่า "สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทย" อีกครั้งหนึ่ง แต่ตัวตั้งตอนนี้เป็นเรื่อง "ประกันคุณภาพ" ที่รัฐไทยพยายามใช้ควบคุมอุดมศึกษาไทย โดยสิ่งที่ สวนกระแสหรือทิศทางระบบประกันคุณภาพ ด้วยการเสนอวิธีมองคุณภาพที่ต่างไป และเป็นมิติที่ไม่เคยถูกมองในวิธีคิดกระแสหลัก ตัวชี้วัดในระบบการศึกษาปัจจุบัน มักใช้คำว่า "ใบสั่ง" มากกว่า "อรรถาธิบาย" เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่ใช่โรงงานผลิตปลากระป๋อง แต่ผลิตสร้างความรู้และสร้างคน สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในฐานะที่เป็นศาสตร์ที่สะท้อนการสร้างคน จะคุณภาพที่ต่างจากกรอบคิดกระแสหลักอย่างไร นั้น จะต้องตอบโจทย์ให้มากกว่า 4 ข้อ หนึ่ง พลังทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อะไรที่ก่อรูปสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาไทยในแต่ละยุคสมัย สอง ในฐานะศาสตร์ที่มีเป้าหมายในการทำความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรม สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาใช้เครื่องมืออะไรในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทั้งในแง่ทฤษฎีและวิธีวิทยา และเครื่องมือดังกล่าวนำไปสู่การสร้างความรู้ประเภทใด สาม แต่ละยุคสมัย สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ได้มีส่วนก่อรูปสังคม หรือการรับรู้ของสาธารณชนต่อสังคมและวัฒนธรรมที่ตนศึกษาอย่างไรบ้าง และ สี่ บุคคลประเภทใด เป็นผลผลิตของศาสตร์ในสายสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา โดยปิ่นแก้ว ได้เริ่มอภิปรายว่า กำเนิดของมานุษยวิทยาไทย เป็นผลผลิตของสงครามเย็น ในทศวรรษ 1950 นักมานุษยวิทยาจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่า กำเนิดของมานุษยวิทยาเชื่อมโยงโดยตรงกับความต้องการของสหรัฐอเมริกาในการเข้าใจภูมิภาคอันจะเป็นฐานต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งความต้องการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐไทยในสมัยเดียวกันที่จะผนวกชนบทเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชาติผ่านสถาบันการศึกษา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีการตั้งภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษวิทยา พร้อมกับมหาวิทยาลัยวิทยาลัยเชียงใหม่ ถ้าเข้าไปดูในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ "Master Narrative" หรือโครงเรื่องหลักของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยคือ "คนในท้องถิ่นเรียกร้องให้มีมหาวิทยาลัยในล้านนา" แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในนโยบายการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในภูมิภาค เพื่อสร้างปัญญาชนแก่ชาติ เป็นส่วนหนึ่งของการ "National Integration" หรือนโยบายบูรณาการแห่งชาติ เป็นส่วนหนึ่งของรัฐที่มองชนบทว่ามีภัยความมั่นคง มีภาวะการด้อยพัฒนา โดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนแรกคือพระยาศรีวิสารวาจา องคมนตรี นายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่คือจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้มีบทบาทในการวางแผนหลักสูตรคณะสังคมศาสตร์ และภาคสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เป็นนักรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าภาควิชาคนแรกคือ อานนท์ อาภาภิรม สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มช. ยุคแรกจึงประกอบไปด้วยการเมืองยุคสงครามเย็นมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหอก การใช้มหาวิทยาลัยเชื่อมต่อท้องถิ่นและรัฐส่วนกลาง และกระแสท้องถิ่นนิยมที่ต้องการให้ล้านนามีมหาวิทยาลัยเป็นของตัวเอง บทบาทของสหรัฐอเมริกาในการสร้างภาควิชามีความสำคัญอย่างยิ่ง ในยุคแรกที่อาจารย์มีอย่างจำกัด สหรัฐอเมริกาได้ส่งอาจารย์มาสอนในวิชาสำคัญๆ 14 ปี ผ่านโครงการทุนฟุลไบรต์ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามหาวิทยาลัยอื่นมีสัญญาเดียวกันนี้หรือไม่ โดยอาจารย์ชาร์ล เอฟ คายส์ (Charles F. Keyes) บอกว่า ในยุคที่ไม่มีตำรา ในห้องสมุดไทยยุคนั้นไม่มีหนังสือเกี่ยวกับสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา การบรรยายของอาจารย์ในยุคนั้นสำคัญมากในการถ่ายทอดวิทยาการความรู้ และความคิดให้กับนักศึกษาในยุคนั้น การบรรยายของอาจารย์จึงก่อรูปความคิดของนักศึกษา สหรัฐอเมริกามีบทบาทในการให้ทุนทำวิจัยต่อเนื่องจนถึงยุคปลายสงครามเย็น บทบาทของแหล่งทุน ที่มีส่วนในการก่อรูปทุนการศึกษาด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในสังคมไทย ยังเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนศึกษาอย่างจริงจัง แม้ในต่างประเทศหัวข้อดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่มีการศึกษาในเชิงวิพากษ์อย่างกว้างขวาง ในยุคแรก มูลนิธิฟอร์ด มูลนิธิรอกกี้เฟลเลอร์ จัดประชุมร่วมกันและมีข้อถกเถียงว่า สหรัฐอเมริกาจะต้องเริ่มเข้าไปในภูมิภาคส่งเสริมงานด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และเผยแพร่สิ่งที่เรียกว่า การศึกษาแบบอาณาบริเวณศึกษา การนำทฤษฎีความทันสมัยเข้ามาสู่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคนั้น พลังจากการเมืองยุคสงครามเย็น การสร้างชาติภายใต้อุดมการณ์ความทันสมัย มีส่วนสำคัญในการก่อรูปสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเชียงใหม่ยุคต้น งานวิชาการยุคต้นตอบสนองโจทย์รัฐชาติ การเมืองระหว่างประเทศ และความมั่นคงเป็นสำคัญ มุ่งเน้นการอรรถาธิบายโครงสร้างประชากรกลุ่มชนต่างๆ มากกว่าสนใจความเปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์อันซับซ้อนของกลุ่มชนกับรัฐไทย งานทางวิชาการในปี 2507 เป็นต้นมา การศึกษาประชากรในมิติต่างๆ มีความสำคัญมาก เช่น เรื่องการเติบโตประชากร ภาวะการเจริญพันธุ์ การวางแผนครอบครัว ในยุคต่อมา ขบวนการนักศึกษาและขบวนการเรียกร้องประชาชน มองสังคมไทยในมิติที่มีความขัดแย้งและเปลี่ยนแปลง นักศึกษาตั้งคำถาม และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดของคณาจารย์ และเนื้อหาในการสอนในบางวิชา โดยอาจารย์ชาร์ล เอฟ คายส์ ซึ่งเข้ามาสอนช่วงนั้นให้ข้อมูลว่า นักศึกษามีกิจกรรมเยอะมาก นักศึกษาเองเป็นตัวกระตุ้น ตั้งคำถามในวิชาที่สอน มีการจัดสัมมนา "การศึกษาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในประเทศไทย" ที่นักศึกษาจัดที่ค่ายอนุชน (ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 2 กันยายน 2516) มีการตั้งคำถามกับคุณค่าของสังคมวิทยาและมานุษยาไทย มีอาจารย์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเข้าร่วม และมีอาจารย์บุญสนอง บุญโยทยาน มาร่วมด้วย เนื้อหาการสัมมนาก็น่าสนใจมาก ในยุคนี้ อาจารย์ฉลาดชาย รมิตานนท์ ให้ข้อมูลว่า เกิดพลวัตในภาควิชา เดิมสอนแต่ทฤษฎีของพาร์สันส์ (Talcott Parsons - สำนักหน้าที่นิยม) เรื่องสังคมจะปรับตัวอย่างไร ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคนั้นได้ตั้งคำถามขึ้นมา ทฤษฎีมาร์กซิสต์เริ่มมีการนำมาใช้ในภาควิชา ทั้งที่ก่อนหน้านี้แนวคิดที่ใช้เป็นหลักคือเรื่องประชากรศาสตร์ ในยุคถัดมาทิศทางการศึกษาเรื่องพื้นที่สูงและพื้นที่ราบที่เริ่มในทศวรรษ 2530 ซึ่งเป็นอานิสงส์จากมูลนิธิฟอร์ด ซึ่งให้ทุนสนับสนุนเยอะมาก ชุมชนวิชาการ ประสานตัวเองเข้ากับขบวนการทางสังคมและการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งพลวัตที่เกิดขึ้นไปไกลเกินการคาดคิดของมูลนิธิฟอร์ด โดย agenda (วาระ) ในการสนับสนุนวิจัยของมูลนิธิฟอร์ดคือต้องการให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น ทั้งนี้ภาคเหนือเป็นพื้นที่ขัดแย้งแหลมคมระหว่างรัฐกับประชาชน ก่อให้เกิดการเรียกร้องงานวิชาการที่ตอบสนองต่อโจทย์ทางสังคมในการทำความเข้าใจต่อเงื่อนไขความขัดแย้งและการเผชิญหน้าทั้งในระนาบปรากฏการณ์และอุดมการณ์ ยุคนี้อาจเป็นยุคทองของมโนทัศน์ว่าด้วยเรื่องการต่อรอง ขณะที่คำถามทางวิชาการก่อนหน้านี้ว่าด้วยเรื่องแนวคิดการปรับตัวเข้าหารัฐและสังคม อาจจะเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคมองหาการต่อรองและขัดขืน ระหว่างรัฐและคนชายขอบ ยุคนี้เป็นยุคที่ อาจารย์เคร็ก (Craig J. Reynold) และอาจารย์คายส์เรียกว่าเป็นยุค "Socially Engaged Sociology and Anthropology" เป็นมานุษยวิทยาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทางสังคม ขณะเดียวกันในภาควิชาเกิดการขยายตัวของประเด็นในการศึกษาออกนอกกรอบคิดรัฐเป็นศูนย์กลาง
หลังสงครามเย็น:สู่ยุค สกว. สสส. สวรส. ในยุคปัจจุบันตั้งแต่ 2540 เป็นต้นมา การเปิดพรมแดนประเทศ การล่มสลายของอุดมการณ์การเมืองที่เคยแบ่งโลกในยุคก่อน ไม่เพียงได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงความหมายของพรมแดนธรรมชาติ หากแต่ยังก่อให้เกิดการลากเส้นเขตแดนทางวิชาการของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาขึ้นใหม่ เรียกร้องให้แสวงหาความรู้นอกพรมแดนสังคมไทย คือไม่เพียงแต่เกิดวิชา "ข้ามพรมแดน" ในหลักสูตร แต่งานวิจัยชายแดนกลายเป็นประเด็นที่คึกคักอย่างยิ่ง และกลายเป็น trademark (เครื่องหมายการค้า) ให้สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มช. ปัจจุบัน ทั้งนี้ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2540 สหรัฐอเมริกาได้ยุติบทบาทลงอย่างสิ้นเชิงในการสนับสนุนการศึกษาในไทย โดยเฉพาะเรื่องสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เช่นเดียวกับทุนจากญี่ปุ่น แหล่งทุนที่เข้ามาแทนที่คือ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ) สวรส. (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข) บทบาทของแหล่งทุนไทยที่มีอิทธิพลต่อทิศทางความรู้ของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประเด็นที่ควรค่าแก่การวิเคราะห์และศึกษาอย่างยิ่ง โดยการศึกษาของสังคมวิทยาและมานุษวิทยาเชียงใหม่ ได้ก่อรูปทางความคิดในเรื่อง หนึ่ง การเปิดมิติการเข้าใจสังคมชาวนาและการเปลี่ยนแปลงของสังคมชาวนา ในความสัมพันธ์กับรัฐไทย และกับระบบทุนนิยม สอง การเปลี่ยนวิธีคิดในการมองเรื่องสิทธิ ที่มองแต่เรื่องรัฐและเอกชน มาสู่ข้อเสนอเรื่องสิทธิชุมชน สาม การท้าทายมายาคติกระแสหลักว่าด้วยกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง สังคมชายแดน และสังคมชายขอบทั้งหลาย และสี่ การเปิดให้เห็นเงื่อนไขเชิงโครงสร้างของปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นในสภาวะการปิดล้อมทางทรัพยากร
นลินี ตันธุวนิตย์คลิปการอภิปรายโดยนลินี ตันธุวนิตย์ และการอภิปรายแสดงความคิดเห็นโดยผู้เข้าร่วมการเสวนา (รับชมแบบ HD)
สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเชียงใหม่: การถูกอ้างถึงเมื่อมองจากฝั่งธรรมศาสตร์ ด้านนลินี ตันธุวนิตย์ ได้อภิปรายแบ่งออกเป็นสามประเด็น โดยประเด็นแรก กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางวิชาการระหว่างคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประเด็นที่สอง นักวิชาการ นักพัฒนา นักเคลื่อนไหว และพัฒนาการของสังคมศาสตร์สาธารณะ และประเด็นที่สาม ตัดต่อขอยืมทางวิชาการของสำนักท่าพระจันทร์ และสำนักเชียงใหม่ โดยประการแรก นลินี ตั้งข้อสังเกตว่าสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกิดขึ้นในปีเดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ บริบททางวิชาการที่คล้ายๆ กัน แต่มีทิศทางของพัฒนาการต่างกันเพราะต่างมีเงื่อนไขเฉพาะ ประเด็นที่สอง พัฒนาการของสังคมศาสตร์สาธารณะ จุดพีคของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ น่าจะอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. 2530 - 2540 เริ่มมีเจ้าหน้าที่จากองค์กรพัฒนาเอกชนจากที่ต่างๆ ในประเทศมาเรียนปริญญาโทที่นี่ ด้วยเหตุผลทั้งการหาทางเลือกใหม่ในการทำงาน รวมไปถึงมาเรียนเพราะรู้จักอาจารย์มานุษยวิทยาที่เชียงใหม่อย่างเช่นรู้จักอานันท์ กาญจนพันธุ์ ประเด็นเหล่านี้น่าสนใจก็คือ งานวิชาการสังคมศาสตร์ที่นี่ไม่ได้เป็นอะไรที่ตัดขาดจากเรื่องราวที่เกิดรอบๆ มหาวิทยาลัย และเป็นส่วนสำคัญมากในการก่อรูป สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่เชียงใหม่ และด้วยบริบทของท้องถิ่นทำให้ อาจารย์หลายคนที่นี่นอกจากสอนหนังสือยังมีส่วนเคลื่อนไหวอย่างสำคัญกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ทั้งนี้การทำงานในพื้นที่ การลงชุมชน การร่วมเคลื่อนไหวกับการเคลื่อนไหวทางสังคม คิดว่าเป็นเสน่ห์หนึ่งของสำนักเชียงใหม่ ประการที่สาม เมื่อกลับมามองวิทยานิพนธ์ของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าการขอหยิบขอยืมการอ้างอิงทางวิชาการมาจากสำนักเชียงใหม่ เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้เยอะมากในช่วงปี 2529-2530 และแนวการศึกษาขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาธรรมศาสตร์ ยังใช้กรอบการศึกษาเชิงจิตวิทยาทางสังคม กระทั่งต่อมาในปี 2530 เริ่มมีงานศึกษา 3 เล่มที่อ้างอิงงานของสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเชียงใหม่ จนกระทั่งปี 2534 มีการเชิญ อานันท์ กาญจนพันธุ์ จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ โดยถือเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกๆ ที่มีอาจารย์นอกมหาวิทยาลัยมาเป็นที่ปรึกษา และมีการอ้างงานจากสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเชียงใหม่เยอะมาก และต่อมาในช่วง 2540 เริ่มมีการอ้างอิงงานจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ศึกษาเรื่องการเคลื่อนไหวทางสังคม ชาวบ้าน ดินน้ำป่า จะพบว่างานทางวิชาการจากสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นงานอันดับต้นๆ ที่ถูกอ้างถึงเยอะมากถ้าดูในบรรณานุกรม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23-29 ก.ย. 2555 Posted: 30 Sep 2012 12:26 AM PDT เผดิมชัยสั่งจัดระบบแรงงานเก็บผลไม้ฟินแลนด์-สวีเดน
พนักงานมหา'ลัยได้เฮ รับเงิน 15,000 ย้อนหลัง
ร้องอปท.อุดรฯปลด-ลดเงินพนง.
พยาบาลทั่วไทยกว่าหมื่นคนนัดหยุดงาน 16 ต.ค. ทวงสัญญาบรรจุข้าราชการ
คปก.ดันกฎหมายคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านให้เป็นธรรม เสนอเร่งตั้งคณะกรรมการฯ ด้วยวิธีลงคะแนน 1 กลุ่มต่อองค์กร
"เผดิมชัย" ปิ๊งไอเดียสร้างแฟลตให้แรงงานไทยในมาเก๊าเช่าถูก หลังพบปัญหาค่าเช่าที่พักแพงหูฉี่
เด็กแว้นส้มหล่น!งานมาเกย กลุ่มยานยนต์เห็นฝีมือเตรียมปั้นเป็นช่างใหญ่
สพฐ.ขาดครู 200,000 อัตราขออนุมัติเพิ่ม 23,123 อัตรา
สิ่งทอภูธร จ่อลอยแพแรงงาน เหตุค่าแรง 300
ลูกจ้าง ทน.สงขลานับร้อยประท้วงถูกเลิกจ้างหน้าจวนผู้ว่าฯ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สรุปปาฐกถาเกษียร เตชะพีระ: นักกฎหมายไทยกับการรัฐประหาร Posted: 30 Sep 2012 12:26 AM PDT วิดีโอและสรุปปาฐกถา เกษียร เตชะพีระ ในงานเสวนานิติราษฎร์ 2 ปีนิติราษฎร์ 6 ปีรัฐประหาร มุมมองจากนักรัฐศาสตร์ที่มองพัฒนาการบทบาทของนักกฎหมายในการสร้างความชอบธรรมให้รัฐประหาร หน้าที่ในเชื่อมรอยต่อเผด็จการกับประชาธิปไตยให้เรียบเนียน โดยยึดถือการดำรงอยู่และอำนาจของสถาบันกษัตริย์ คลิปการอภิปรายของเกษียร เตชะพีระ หัวข้อ นักกฎหมายไทยกับการรัฐประหาร 30 ก.ย. 55 เกษียร เตชะพีระ อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวปาฐกถาในงาน "นิติราษฎร์เสวนา: 2 ปี นิติราษฎร์ 6 ปีรัฐประหาร" ในหัวข้อ นักกฎหมายไทยกับการรัฐประหาร ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น