ประชาไท | Prachatai3.info |
- เหวง โตจิราการ: คอป.พูดอย่างทำอย่าง? หน้าเนื้อใจเสือ?
- ‘คนละแม-ชุมพร’ รำลึก 2 ปีไล่ ‘กฟผ.’ ตื่นรู้ ‘ผังเมือง’ ตรึงโรงถ่านหิน-นิวเคลียร์
- เครือข่ายญาติ 112 จัดวันเกิด “สมยศ-ธันย์ฐวุฒิ”หน้าคุก
- ชาวบ้านริมน้ำโขงผิดหวัง ‘ยิ่งลักษณ์’ เมินรับเรื่องค้าน ‘เขื่อนไชยะบุรี’
- 2 ปี คอป.เสนอ 13 ข้อไขปมขัดแย้ง
- ยูกันดาให้ประกันตัวนักทำละครเกย์ชาวอังกฤษ
- เคาะงบหนุนสร้างสภาวะเอื้อดับไฟใต้ กพต.อนุมัติซื้อโรงแรมร้างกลางเมืองยะลา
- สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: 6 ปีรัฐประหารอัปยศ
- อิหร่านยอมรับ ช่วยเหลือด้านข้อมูลแก่รัฐบาลซีเรีย
- สหภาพครูชิคาโก้ ยังสไตรค์ต่ออาทิตย์ที่สอง
- อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญายอมรับ FTAไทย-ยุโรปต้องรอบคอบ กระทบเรื่องยา
- เว็บกระทรวงศึกษาฯ โดนแฮก
- 'เงียโจ งามยิ่ง' ราษฎรไทยที่ถือบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 8
- ลิเบียจับผู้ต้องสงสัยสังหารทูตสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 50 คน
- ภาคภูมิ แสงกนกกุล: ชีวจริยศาสตร์ (ตอนจบ)
เหวง โตจิราการ: คอป.พูดอย่างทำอย่าง? หน้าเนื้อใจเสือ? Posted: 17 Sep 2012 12:39 PM PDT ผมมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมถึง คอป.และนายสมชายหอมละออ ดังนี้ครับ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
‘คนละแม-ชุมพร’ รำลึก 2 ปีไล่ ‘กฟผ.’ ตื่นรู้ ‘ผังเมือง’ ตรึงโรงถ่านหิน-นิวเคลียร์ Posted: 17 Sep 2012 11:36 AM PDT เวทีร่วมสร้างละแมน่าอยู่ ครบ 2 ปี การตื่นรู้ฐานทรัพยากรและพลังงาน ตรึงโรงไฟฟ้าถ่านหิน-นิวเคลียร์ นักผังเมืองเผยผังเมืองรวมชุมพรระบุชัดเปิดพื้นที่สีเขียวสร้างเมกะโปรเจ็กต์ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 กันยายน 2555 ที่ศาลาประชาคมอำเภอละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร สมาคมประชาสังคมจังหวัดชุมพร ร่วมกับเครือข่ายรักษ์ละแม จัดเวทีร่วมสร้างละแมน่าอยู่: แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของดีดีที่ละแม "ครบ 2 ปี การตื่นรู้ฐานทรัพยากรและพลังงาน" โดยมีส่วนราชการ นักวิชาการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นักศึกษา และชาวบ้านในอำเภอละแม และใกล้เคียง ร่วมประมาณ 150 คน วิเวก อมตเวทย์ นายวิเวก อมตเวทย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์ละแม ชี้แจงว่า เครือข่ายรักษ์ละแม และภาคีเครือข่ายต่างๆ ต้องการรำลึก 2 ปี ของการต่อสู้กับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีแผนสร้างในอำเภอละแม โดยร้อนคุกรุ่นเมื่อปี 2553 จนชาวบ้านรวมตัวกันจัดเวทีใหญ่ทำสัญญาประชาคม จนสามารถไล่เจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้สำเร็จ "ทั้งนี้เพื่อสร้างการเรียนรู้เรื่องดีๆ ของอำเภอละแม ร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งส่วนราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อทิศทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ละแมน่าอยู่ พร้อมรับมือกับการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 การมีอาชีพมั่นคง การมีสุขภาพดี การมีการศึกษาดี การมีสิ่งแวดล้อมดี อยู่ในสังคมสงบสุข ผู้คนมีจิตอาสาและสำนึกประชาธิปไตย ขับเคลื่อนถักทอสานกับสถาบันครอบครัว ศาสนา สถาบันการศึกษา พลังชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) อาสาสมัคร และสื่อมวลชน ภายใต้บริบทของการบริหารจัดการชุมชนท้องถิ่นอย่างมีส่วนร่วม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การดูแลสุขภาพ เกษตรยั่งยืน การเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชน เศรษฐกิจชุมชน ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น และแนวทางเพื่อสร้างละแมน่าอยู่" นายวิเวก กล่าว ภารนี สวัสดิรักษ์ นางสาวภารนี สวัสดิรักษ์ นักผังเมืองอิสระ เครือข่ายผังเมืองเพื่อสังคม ชี้แจงว่า จังหวัดชุมพรถูกกรมโยธาธิการและผังเมือง กำหนดทั้งในผังประเทศ 2600 ผังเมืองรวมอนุภูมิภาคอ่าวไทย ผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร ผังเมืองรวมเมืองหลังสวน โดยในผังประเทศ 2600 ระบุว่า อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กครบวงจร มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง มีท่าเรือน้ำลึก และถนนเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดชุมพร ฝั่งอ่าวไทย กับจังหวัดระนอง ฝั่งทะเลอันดามัน นางสาวภารนี ชี้แจงอีกว่า ร่างผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร พ.ศ. ... ซึ่งอยู่ในขั้นตอนเตรียมประกาศใช้ในพระราชกฤษฎีกา ระบุเอกสารแนบท้ายว่า พื้นที่สีเขียว (พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดชุมพร) สามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าได้ อีกทั้งผังเมืองรวมเมืองหลังสวน ผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน ผังเมืองรวมเมืองชุมพร ก็หมดอายุ ซึ่งอาจถูกลักไก่ก่อสร้างโรงไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมเหล็กก็ได้ ทั้งนี้ เอกสารแนบท้าย ร่างผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร พ.ศ. ... ระบุว่า ลำดับที่ 49 โรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม ลำดับที่ 59 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการถลุงเหล็ก ผลิตเหล็ก หรือเหล็กกล้าในขั้นต้น โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม ลำดับที่ 88 โรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม และลำดับที่ 89 โรงงานผลิตก๊าซ ซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ ส่ง หรือจำหน่ายก๊าซ โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เครือข่ายญาติ 112 จัดวันเกิด “สมยศ-ธันย์ฐวุฒิ”หน้าคุก Posted: 17 Sep 2012 11:35 AM PDT พ่อ-ภรรยา นักโทษการเมืองนำทีมจัดกิจกรรมฉลองวันเกิด จรัลปราศรัยเรียกร้องรัฐบาลเร่งแก้มาตรา 112 หาทางช่วยเหลือผู้ต้องขัง
17 ก.ย.55 เวลา 12.00 น. บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เครือข่ายญาติและผู้ประสบภัยจากมาตรา 112 ร่วมกับคนเสื้อแดงราว 30 คน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมอวยพรวันเกิดให้นายธันย์ฐวุฒิ (ขอสงวนนามสกุล) หรือหนุ่ม เรดนนท์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักโทษในคดีมาตรา 112 ที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ กลุ่มญาติเครือข่าย 112 อดีตนักโทษการเมืองที่ได้รับการปล่อยตัว และคนเสื้อแดงได้ผลัดกันกล่าวคำอวยพรวันเกิดให้นักโทษทั้งสอง และร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์บริเวณหน้าเรือนจำ พร้อมกับชูป้ายเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมือง
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ซึ่งมาร่วมกิจกรรมด้วย กล่าวว่า นักโทษการเมืองไม่ได้รับสิทธิ ทั้งสิทธิการประกันตัว สิทธิการปฏิบัติอย่างเหมาะสม สิทธิการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม และความผิด 112 สังคมส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยรู้ ถ้ารู้ก็มักมีความคิดไปในทางหนึ่ง การมาร่วมอวยพรวันเกิดทั้งสองคน นอกจากขอให้มีสุขภาพใจอันเข้มแข็งที่จะเผชิญการจองจำ ยังอยากเรียกร้องของขวัญที่ประเสริฐสุดสำหรับนักโทษการเมืองคือการได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระโดยเร็วที่สุด นายจรัลได้กล่าวเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมว่าขอให้พิจารณาคดี 112 อย่างยุติธรรม และเรียกร้องไปทางรัฐบาลในปัจจุบันขอให้กำหนดเป็นแนวทางการเมืองที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขมาตรา 112 และปล่อยนักโทษการเมืองทั้งในคดี 112 และคดีอื่นๆ โดยเร็วที่สุด จะโดยวิธีใดก็ตาม เพราะขณะนี้เป็นรัฐบาลมากว่า 1 ปีแล้ว ปีแรกยังพอเข้าใจว่าทำอะไรไม่ได้มาก แต่พอปีที่สองแล้วต้องกล้าทำมากขึ้น โดยเฉพาะการปล่อยตัวนักโทษการเมือง จากนั้นนายชีเกียง (ขอสงวนนามสกุล) บิดาของนายธันย์ฐวุฒิ ได้เป็นตัวแทนเป่าเทียนวันเกิด และเดินพร้อมกับนางรสมาลิน ภรรยาของนายอำพล นำเค้กไปให้นักโทษภายในเรือนจำดูขณะเยี่ยมญาติ โดยไม่สามารถนำเค้กส่งเข้าไปในเรือนจำได้ เพราะทางเรือนจำไม่อนุญาตให้นำอาหารจากภายนอกเข้าไป
นางแต้ม แม่ของสุรภักดิ์ ผุ้ต้องขังคดี 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ชาวบ้านริมน้ำโขงผิดหวัง ‘ยิ่งลักษณ์’ เมินรับเรื่องค้าน ‘เขื่อนไชยะบุรี’ Posted: 17 Sep 2012 10:40 AM PDT
ยิ่งลักษณ์ส่งผู้ตรวจราชการ ก.พลังงานรับเรื่องแทน ชาวบ้านริมน้ำโขงผิดหวัง ชี้เมื่อนายกฯ ไม่มารับยื่นหนังสือด้วยตนเอง ประชาชนจึงตกลงจะไม่พบนายกฯ เช่นกัน พร้อมยันค้านเขื่อนแม่น้ำโขงต่อไป แถมพ้อจะไม่หนุนนายกฯ อีก วันนี้ (17 ก.ย.55) เวลาประมาณ 9.00 น. ชาวบ้านริมน้ำโขง 8 จังหวัด และเครือข่ายภาคประชาชนที่มีความห่วงใยในประเด็นเขื่อนไซยะบุรี เดินทางมารวมตัวที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำโปสการ์ดปลาบึกที่ประชาชนได้ร่วมกันลงชื่อและเขียนเหตุผลในการคัดค้านเขื่อนบนแม่น้ำโขง รวมทั้งหนังสือที่มีการเปิดลงชื่อทางระบบอีเล็คโทรนิคส์ รวมรายชื่อ 9,055 รายชื่อ เข้ายื่นให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายไม่มีการยื่นเนื่องจากนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ยอมมารับด้วยตนเอง ข้อความในหนังสือที่เตรียมยื่นต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ระบุเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดการสนับสนุนเขื่อนบนแม่น้ำโขงทั้งหมด และระงับการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรีในประเทศ สปป.ลาวที่กำลังเร่งผลักดันอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะจากกลุ่มบริษัทของไทย นำโดยบริษัท ช.การช่างผู้ก่อสร้าง สนับสนุนโดยธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งของไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ผู้ดำเนินการในการเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าเกือบทั้งหมดจากการสร้างเขื่อนไซยะบุรี "พวกข้าพเจ้า ในนามตัวแทนประชาชนและภาคประชาชน ขอนำโปสการ์ดจำนวนดังกล่าวเพื่อเสนอต่อ ฯพณฯ ณ ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ พร้อมด้วยกลุ่มประชาชนจากจังหวัดริมแม่น้ำโขง 7 จังหวัดและเครือข่ายอื่นๆ ที่มีความห่วงใยต่อปัญหาเขื่อนพลังไซยะบุรี รวมทั้งเครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ รวมทั้งตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนจากประเทศกัมพูชา และนานาชาติ ด้วยความหวังว่า ฯพณฯ และรัฐบาลของท่าน จะได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบของประเทศไทยและรัฐบาลไทย ที่มีต่อปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และยืนยันการปกป้องรักษาสิทธิและความเป็นอยู่ของประชาชน" หนังสือดังกล่าวระบุ นอกจากนั้นยังมีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทย เร่งตรวจสอบกระบวนการทำงานของหน่วยงาน และบริษัทเอกชนของไทย ที่มีบทบาทในการสร้างเขื่อน และวางแผนรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี และเขื่อนแม่น้ำโขงสายหลักอื่น ๆ และดำเนินการแก้ปัญหา ทั้งในระดับภูมิภาค และให้กับประชาชนไทยโดยเร็วที่สุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงานเป็นตัวแทนรับหนังสือ แต่ชาวบ้านยืนยันจะพบกับนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าการได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาได้เลือกตั้งเข้ามาจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตระหนักถึงความรับผิดชอบของประเทศไทยและรัฐบาลไทยที่มีต่อความเดือดร้อน และยืนยันปกป้องรักษาสิทธิของประชาชน อย่างไรก็ตาม ต่อมาชาวบ้านได้มีการปรับข้อเรียกร้อง โดยให้รัฐบาลส่ง ส.ส.จากจังหวัดลุ่มน้ำโขงที่ชาวบ้านเลือกตั้งเข้าไปให้มารับหนังสือแทน แต่สุดท้ายก็ไม่มีนักการเมืองเดินทางมาพบชาวบ้าน จึงไม่มีการยื่นหนังสือใดๆ "เมื่อนายกไม่มารับยื่นหนังสือจากชาวบ้านด้วยตนเอง ประชาชนจึงตกลงจะไม่พบนายกเช่นกัน และจะร่วมกันรณรงค์ในพื้นที่ ร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ ดำเนินการไม่สนับสนุนโครงการเขื่อนแม่น้ำโขงอย่างไม่หยุดต่อไป และไม่อาจสนับสนุนท่านนายกฯ ได้อีก" ข้อความจากเพจ เกาะติดไฟฟ้า ในสังคมออนไลน์ facebook โดยเครือข่ายภาคประชาชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวครั้งนี้ สำหรับหนังสือข้อเรียกร้อง "ร่วมกันลงนามถึงนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อหยุดเขื่อนไซยะบุรี ปกป้องวิถีแม่น้ำโขง!" ซึ่งเปิดลงชื่อทางระบบอีเล็คโทรนิคส์ ให้ข้อมูลว่าขณะนี้รัฐบาลลาว กำลังผลักดันการสร้าง "เขื่อนไซยะบุรี"1,285 เมกะวัตต์ซึ่งจะปิดกั้นแม่น้ำโขงสายหลัก ในแขวงไซยะบุรี ประเทศลาว ตรงข้ามกับจังหวัดน่านของไทย และจะเป็นเขื่อนแรกที่ถูกสร้างบนแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง ตัวเขื่อนไซยะบุรีจะอยู่เหนือจาก อ.เชียงคาน จ.เลยภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยขึ้นไปตามลำน้ำโขงประมาณ 200 กิโลเมตรอันเป็นระยะทางที่นับว่าใกล้มากในแง่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบข้ามพรมแดนต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพของชุมชนริมน้ำโขงตลอดพรมแดนไทย-ลาว ทั้งในเขต จ.เชียงราย ทางภาคเหนือ และในเขต 7 จังหวัดของภาคอีสาน อันได้แก่ จ.เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหารอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ซึ่งอาศัยแม่น้ำโขงหาเลี้ยงชีพทั้งการทำเกษตรริมโขง และประมง ฯลฯการทำมาหาเลี้ยงชีพเหล่านี้จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเก็บกักน้ำและปล่อยน้ำจากเขื่อนไซยะบุรี แม้เขื่อนไซยะบุรีจะสร้างอยู่ในลาวแต่ไฟฟ้าที่ผลิตได้ถึงร้อยละ 95 จะส่งมาขายยังประเทศไทย ซึ่งในเดือนตุลาคม 2554 รัฐบาลไทยโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด [ซึ่งผู้ถือหุ้นทั้งหมดคือ บริษัทไทย อันประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน), บริษัท นที ชินเนอร์ยี่ จำกัด (บริษัทลูกของปตท.), บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (บริษัทลูกของกฟผ.) และบริษัท พี.ที.คอนสตรัคชั่นแอนด์อิริเกชั่น จำกัด] และแหล่งเงินกู้ของโครงการมูลค่า 115,000 ล้านบาทจะมาจากธนาคารสัญชาติไทย คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ ฉะนั้นประเทศไทยจึงมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อการเดินหน้าของโครงการเขื่อนไซยะบุรีแทนที่ประเทศไทยจะสนับสนุนโครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่มูลค่านับแสนล้านบาทซึ่งจะสร้างผลกระทบมหาศาล และทำลายหลายล้านชีวิตในลุ่มแม่น้ำโขงเพียงเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่ไม่สิ้นสุด ประเทศไทยควรต้องมุ่งเน้นพัฒนา 'พลังงานทางเลือก' ที่มีประสิทธิภาพยั่งยืน และเป็นธรรม ทั้งนี้ หนังสือที่เตรียมมอบต่อนายกรัฐมนตรีมีเนื้อหา ดังนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
2 ปี คอป.เสนอ 13 ข้อไขปมขัดแย้ง Posted: 17 Sep 2012 09:27 AM PDT นอกเหนือจากการแถลงรายงานการศึกษาข้อเท็จจริงเหตุการณ์เม.ย.-พ.ค.53 ฉบับสมบูรณ์แล้ว ในรายงานรวมทั้งในแถลงข่าวของ คอป.ยังมีส่วนของข้อเสนอแนะต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เรื่อสถาบันกษัตริย์ สถาบันทหาร การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรม ฯลฯ
17 ก.ย.55 ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ถนนรัชดา คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) แถลงข่าวถึงรายงานการศึกษาการค้นหาความจริงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ฉบับสมบูรณ์ หลังจากทำงานจนครบวาระ 2 ปี โดยภายหลังการนำเสนอที่มาของปัญหาในเชิงโครงสร้าง และข้อมูลรายละเอียดในประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ความรุนแรงแล้ว ยังได้มีการนำเสนอข้อเสนอแนะของ คอป.ต่อทุกฝ่าย 6.การแก้รัฐธรรมนูญ: การเร่งรัดให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชาชนยังมิได้รับทราบข้อมูลอย่างรอบด้าน อาจทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจ จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการไปอย่างถูกต้องตามหลักการและกระบวนการที่กำหนด มีการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดให้มีเวทีสาธารณะหรือสานเสวนาเพื่ออภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และการใช้อำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญว่ามีปัญหาอย่างไรและควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร 11.หน่วยแพทย์ฯ: เรียกร้องให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชุมนุม ให้ความคุ้มครองและอำนวยความสะดวกแก่หน่วยแพทย์ พยาบาล การขนส่งทางแพทย์ หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชุมนุม และขอให้ทุกฝ่ายใช้เครื่องหมายกาชาดอย่างถูกต้อง
สรุปข้อเสนอแนะของ คอป.
คอป. มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่อาจกระตุ้นให้ความขัดแย้งยกระดับไปสู่การใช้ความรุนแรงได้ คอป.เห็นว่า สังคมไทยควรตระหนักว่าประเทศชาติได้รับความเสียหายและบอบช้ำจากปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมมาเป็นเวลานานแล้ว และควรนำวิกฤตการณ์ความรุนแรงในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อระลึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นและร่วมกันประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้ความประเทศต้องประสบกับเหตุการณ์ความรุนแรงอีก รวมทั้งช่วยกันนำพาสังคมไทยให้ก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่ความปรองดอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ยูกันดาให้ประกันตัวนักทำละครเกย์ชาวอังกฤษ Posted: 17 Sep 2012 09:19 AM PDT เดวิด เซซิล ถูกทางการยูกันดาจับหลังจั 17 ก.ย. 2012 BBC รายงานว่า เดวิด เซซิล ผู้ผลิตละครชาวอังกฤษที่ถูกจั เดวิด เซซิล ถูกจับกุมหลังจากที่ทำละครเกี่ ละครเรื่องดังกล่าวมี หนังสือพิมพ์เดลีมอนิเตอร์ของยู เซซิลถูกปล่อยตัวหลังวางเงิ ทนายความของเซซิล จอห์น ฟรานซิส ฮอนยันโก กล่าวว่าลูกความของเขายังมีสุ การกระทำเชิงรักร่วมเพศเป็นเรื่ มีกฏหมายต่อต้านเกย์ที่ต้ กฏหมายฉบับนี้ถูกนำเสนอครั้ ที่มา Uganda frees British producer David Cecil over gay play, BBC, 17-09-2012 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เคาะงบหนุนสร้างสภาวะเอื้อดับไฟใต้ กพต.อนุมัติซื้อโรงแรมร้างกลางเมืองยะลา Posted: 17 Sep 2012 09:14 AM PDT อนุมัติ ศอ.บต.ซื้อโรงแรมร้างบนทำเลทองกลางเมืองยะลา สร้างศูนย์เยียวยา เผยได้ของถูก ต่ำกว่าราคาประเมินเกือบ 60 ล้าน ตั้งอนุกรรมการซื้อที่ดินชายแดนใต้
ศอ.บต.ซื้อ - โรงแรมชางลีกลางเมืองยะลาถูกทิ้งร้างมานานเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 กันยายน 2555 ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2555 มีผู้เข้าร่วมประมาณ 30 คน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในแผนบูรณาการ/โครงการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะเร่งด่วน ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2555 แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มงาน ซึ่งจะเสนอขอความเห็นชอบและอนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้ง 5 กลุ่มงาน มีดังนี้ 1.กลุ่มงานการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน งบประมาณ 1,003 ล้านบาท 2.กลุ่มงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและโครงการพื้นฐาน 1,050 ล้านบาท 3.กลุ่มงานยุติธรรม 1,134 ล้านบาท 4.กลุ่มสิทธิมนุษยชนและการสร้างความเข้าใจ 49 ล้านบาท และ 5.กลุ่มงานสนับสนุนการสร้างสภาวะที่เกื้อกูลต่อการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง 23 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 3,262 ล้านบาท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ ศอ.บต. ซื้อโรงแรมชางลี ซึ่งเป็นโรงแรมหรูชื่อดังบนถนนสิโรรส กลางเมืองยะลาพร้อมที่ดินซึ่งปัจจุบันถูกทิ้งร้าง เพื่อจัดทำเป็นสถาบันส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และศูนย์ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ งบประมาณทั้งสิ้น 167 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินปีงบประมาณ 2555 จำนวน 90 ล้านบาท ที่เหลือใช้งบปี 2556 จำนวน 76 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าว ต่ำกว่าราคาประเมินของกรมที่ดินประมาณ 59 ล้านบาท ที่ประชุมยังเห็นชอบในหลักการให้ตั้งอำเภอใหม่ขึ้นอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา โดยรวมพื้นที่บางส่วนของอำเภอเมือง กับตำบลโกตาบารู อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ขึ้นเป็นอำเภอใหม่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคง มีสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อน รวมทั้งประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้การแก้ปัญหาและการพัฒนาไม่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่าที่ควร ซึ่ง กพต.จะมอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยดำเนินการต่อไป ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับที่ดินและทรัพย์สินจากสถานการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้จัดสรรงบ 1,200 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินคืนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ จนต้องย้ายออกจากพื้นที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: 6 ปีรัฐประหารอัปยศ Posted: 17 Sep 2012 09:04 AM PDT เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 นายทหารกลุ่มหนึ่ง ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมด้วย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 พล.ท.อนุพงศ์ เผ่าจินดา แม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 เป็นต้น ได้นำกองทัพเข้าก่อการยึดอำนาจทำการรัฐประหาร เพื่อล้มรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ได้ทำการล้มเลิกประชาธิปไตย แล้วล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งชาติไปด้วย มาถึงขณะนี้เวลาผ่านมาแล้ว 6 ปี คงจะต้องสรุปว่า การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นครั้งล้มเหลวที่สุด เป็นการรัฐประหารที่นำมาสู่ความวุ่นวาย ความแตกแยก และการนองเลือดของประชาชน และเป็นการชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีการอันไม่เป็นประชาธิปไตย ภายใต้กรอบแนวคิดอนุรักษ์นิยมจัด ย่อมไม่ได้ผล และนำไปสู่ความอัปยศเป็นที่สุด ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่า การรัฐประหารในประเทศไทยครั้งนั้น เผชิญปัญหาประการแรกทันที เพราะเป็นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่เอื้ออำนวยของสถานการณ์ระหว่างประเทศ เพราะโลกนานาชาติไม่ได้ถือกันแล้วว่า การรัฐประหารเป็นวิถีทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบอารยะ ประเทศที่ก้าวหน้าในยุโรป ไม่มีการรัฐประหารมาเป็นเวลาช้านาน ในลาตินอเมริกา แอฟริกา ก็แทบจะไม่เหลือประเทศที่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยวิธีการรัฐประหารเลย การรัฐประหาร พ.ศ.2549 ของไทยจึงถูกมองด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ กล่าวกันว่าแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาก็มีความเห็นว่า การรัฐประหารในไทยครั้งนั้น "ไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับได้" สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้คณะรัฐประหารไม่สามารถถือครองอำนาจไว้ได้ยาวนาน ต้องรีบดำเนินการให้กลับเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองปกติโดยเร็ว ความล้มเหลวของการรัฐประหารประการสำคัญ เห็นได้จากการไม่บรรลุข้ออ้างในการรัฐประหาร เช่น ข้ออ้างที่จะทำหารรัฐประหารเพื่อการป้องกันความรุนแรงและความแตกแยกในสังคม จะเห็นได้ว่า หลังรัฐประหาร สังคมไทยก็ยังแตกแยกยิ่งกว่าเดิม และยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และจนถึงขณะนี้ ผลกระทบจากความแตกแยกและความรุนแรงก็ยังไม่อาจเยียวยาได้ แม้ว่า พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ในวันนี้ จะเปลี่ยนบทบาทมาเป็น ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร และรับตำแหน่งประธานกรรมาธิการปรองดองฯของรัฐสภา พร้อมทั้งเสนอกฎหมายปรองดองเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่การปรองดองก็ยังไม่บรรลุผล ข้ออ้างต่อมา คือ เรื่องของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เห็นได้ชัดว่า หลังจากการัฐประหาร มีการเอาอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายศัตรูทางการเมืองกันชัดเจน ดังเช่นการใช้มาตรา 112 มาจับกุมประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก จนถึงขณะนี้ ก็ยังมีผู้บริสุทธิ์ถูกคุมขังอยู่ การที่กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขังผู้บริสุทธิ์ หรือทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตคาคุกเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการปกป้องพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด แต่จะยิ่งทำให้เกิดความแยกห่างจากประชาชนมากยิ่งขึ้น ข้อกล่าวหาเรื่อง รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แทรกแซงองค์กรอิสระ ในวันนี้ องค์กรอิสระทั้งหมดก็ยังถูกแทรกแซงโดยฝ่ายตุลาการ ที่ทำให้องค์กรเหล่านี้ มีบทบาทอันอัปลักษณ์บิดเบี้ยว การดำเนินการและผลงานล้วนไม่เป็นที่ยอมรับ กลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอยุติธรรม เช่นเดียวกับองค์กรตุลาการอื่น ส่วนข้อกล่าวเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์อันชัดเจนแต่อย่างใด แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นมายาคติขนาดใหญ่ ที่ยังคงมีการสร้างอย่างต่อเนื่อง และทำให้ฝ่ายประชาชนเสื้อเหลืองเชื่อว่าเป็นความจริง และยังคงต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ผลของการรัฐประหารที่เสียหายอย่างยิ่ง คือ การล้มเลิกรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะความจริงแล้วการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยพัฒนาอย่างราบรื่นมาตั้งแต่ พ.ศ.2535 มีการเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ และมีกติกาชัดเจนว่า พรรคการเมืองที่ได้เสียงมากที่สุด และรวบรวมเสียงในรัฐสภาได้มากกว่าครึ่ง ก็จะได้จัดตั้งรัฐบาล และการเปลี่ยนรัฐบาลก็เป็นไปตมครรลองประชาธิปไตยเสมอ ยิ่งกว่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2540 ก็ถือว่าเป็นฉบับประชาธิปไตยและประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดฉบับหนึ่ง แต่คณะรัฐประหารล้มเลิกหมด และนำเอารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอัปลักษณ์ ที่ให้อำนาจแก่ศาลเหนือการเมือง มาใช้แทน จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่กระนั่นความพยายามที่จะแก้ไขยกเลิกรัฐธรรมอัปลักษณ์นี้ ก้ยังถูกต่อต้านจากฝ่ายปฏิกิริยาเสมอมา ปัญหาสำคัญที่นำมาสู่ความรุนแรงก็คือ การที่กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่อยู่เบื้องหลังทางการเมืองหลังรัฐประหาร สนับสนุนให้มีการตั้งรัฐบาล โดยพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับที่สองในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2550 โดยให้มีการรวบรวมเสียงจากพรรคเสียงเล็กน้อยกับกลุ่มแปรพักตร์มาตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ นั่นคือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่รับตำแหน่งในเดือนธันวาคม พ.ศ.2551 จึงนำมาซึ่งการต่อต้านคัดค้านอย่างหนัก ในที่สุด ชนชั้นนำที่ค้ำจุนรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็สนับสนุนการใส่ร้ายป้ายสีด้วยการสร้างผังล้มเจ้า เพื่อเปิดทางให้เกิดการใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างปราบปรามประชาชนด้วยกองทัพ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 94 คน และบาดเจ็บนับพันคน มีผู้ถูกจับกุมจำนวนมาก และในขณะนี้ก็ยังมีการดำเนินคดีกับประชาชนที่ถูกจับกุมอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การรัฐประหาร พ.ศ.2549 ก็ได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หวนกลับ โดยเฉพาะในเรื่องการตื่นตัวของประชาชน ที่มีความสนใจและมีส่วนร่วมทางการเมือง อันทำให้การรัฐประหารครั้งใหม่คงเกิดขึ้นอีกได้ยาก และที่เห็นได้คือ การเกิด"ปรากฏการณ์ตาสว่าง" ที่ทำให้ประชาชนเห็นถึงความชั่วร้ายของฝ่ายอำมาตย์ และทำให้เกิดการปฏิเสธสถาบันหลัก(Establishment)ที่ครอบงำสังคมไทยมาช้านาน และทำให้เห็นว่า สังคมไทยที่แท้จริงแล้วเป็นเมืองตอแหล หน้าไหว้หลังหลอก พร่ำพูดกันแต่เรื่องดีด้านเดียว ไม่สนใจความจริง ชนชั้นนำไทยไม่สนใจและเอาใจใส่ชีวิตของประชาชนระดับล่าง ยิ่งกว่านั้น คือ การได้เห็นธาตุแท้ของตุลาการและกระบวนยุติธรรม ที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนชั้นล่าง แต่ยอมจำนนกับการรัฐประหาร และพร้อมที่จะเอื้ออำนวยให้มีการจับผู้บริสุทธิ์เข้าคุก สถานการณ์ในระยะ 6 ปีนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า การที่จะสร้างประเทศให้มีความก้าวหน้ามั่นคง ไม่อาจจะฝากความหวังใดกับชนชั้นนำ เพราะชนชั้นนำไทยมีแนวโน้มทางทัศนะที่เป็นอนุรักษ์นิยมจัด โลกทัศน์แคบ หวาดกลัวความคิดแตกต่าง ยอมรับและปอปั้นอภิสิทธิ์ชน และไม่นิยมประชาธิปไตย อำนาจในการเปลี่ยนแปลงสังคมจึงอยู่ที่ประชาชนระดับล่าง ซึ่งมีใจรักประชาธิปไตย เคารพในสิทธิของมนุษย์ คิดในหลักเสมอภาค และ มีจิตใจกล้าต่อสู้ ปัญญาชนที่ก้าวหน้าและอยู่ฝ่ายประชาชน เช่น กลุ่มนิติราษฎร์ ครก.112 กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ นักวิชาการแนวหน้าคนอื่น อาจจะมีบทบาทในการนำเสนอประเด็นต่อสังคมไทย แต่การผลักดันให้เป็นจริง ย่อมอยู่ที่การทำให้ประเด็นเหล่านั้นมีลักษณะยอมรับร่วมกันในหมู่ประชาชน การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยจึงจะเป็นจริงได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
อิหร่านยอมรับ ช่วยเหลือด้านข้อมูลแก่รัฐบาลซีเรีย Posted: 17 Sep 2012 08:58 AM PDT
นายพลจาฟารีของอิหร่าน แถลงข่าวยอมรับว่ เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมาสำนักข่าว The Guardian ของอังกฤษรายงานว่า ผู้บัญชาการกองกำลังปกป้ นายพลโมฮัมหมัด อาลี จาฟารี กล่าวในที่ประชุมแถลงข่าวว่ามี สำนักข่าวเดอะ การ์เดียน กล่าวว่า การเปิดเผยในครั้งนี้ เดอะการ์เดียนกล่าวว่า การออกมายอมรับของนายพลจาฟารี เน้นให้เห็นว่าการลุกฮือในซีเรี กองกำลังหน่วย Qods ของอิหร่านประกอบด้วยกองกำลังพิ เจ้าหน้าที่ทางการของอังกฤษกล่ มีรายงานว่าอิหร่านไม่พอใจต่ นายพลจาฟารีกล่าวในที่ประชุ แผนสร้างสันติของทูตยูเอ็ ลัคดาร์ บราฮิมี ทูตผู้มีประสบการณ์ชาวอัลจีเรี บราฮีมี ยังได้เข้าพบตัวแทนของฝ่ายตอ่ต้ แต่ผู้นำกองกำลังปลดปล่อยซีเรีย (FSA) คาดการณ์ว่าแผนการสรางสันติ ด้านสำนักข่าวซานาของรัฐบาลซี มีรายงานจากซีเรียเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมาอีกว่ากลุ่มกบฏได้ต่ ที่มา Iran confirms it has forces in Syria and will take military action if pushed, The Guardian, 16-09-2012 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สหภาพครูชิคาโก้ ยังสไตรค์ต่ออาทิตย์ที่สอง Posted: 17 Sep 2012 06:02 AM PDT การผละงานครั้งแรกในรอบ 25 ปีของครูในชิคาโก้กว่า 2 หมื่นคน ยังดำเนินเป็นสัปดาห์ที่ 2 เพื่อกดดันให้รัฐเลิกระบบประเมินผลแบบใหม่และเพิ่มสวัสดิการครู ในขณะที่นายกฯ ชิคาโก้ระบุการชุมนุมเป็นเรื่อง "ผิดกฎหมาย" 17 ก.ย. 55 - สำนักข่าวบีบีซี รายงานการผละงานของสหภาพแรงงานครูชิคาโก้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินมาเป็นสัปดาห์ที่สองว่า นายกเทศมนตรีเมืองชิคาโก้ ได้เตรียมขอหมายศาลเพื่อยุติการประท้วงของครูเมืองชิคาโก้ราว 25,000 คน ที่กำลังคัดค้านระบบประเมินผลครูแบบใหม่และเรียกร้องสวัสดิการที่มากขึ้น ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าว เป็นการผละงานครั้งแรกในรอบ 25 ปีของสหภาพแรงงานครูชิคาโก้ การผละงานของสหภาพแรงงานครูชิคาโก้ ที่ส่งผลกระทบต่อนักเรียนกว่า 350,000 คน เริ่มต้นขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 9 ก.ย. 55 หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหภาพแรงงานครูและนายกเทศมนตรีไม่สามารถหาข้อตกลงเรื่องค่าจ้างและระบบการประเมินคุณภาพครู ซึ่งดำเนินมาต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน นายกเทศมนตรีเมืองชิคาโก้ ราห์ม เอมานูเอล อดีตหัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาวของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ประณามการนัดหยุดงานดังกล่าวของครูชิคาโก้ และกล่าวในแถลงการณ์ว่า การผละงานเป็นการ "ผิดกฎหมาย" และ "ไม่ถูกต้องต่อเด็กๆ ของเรา" การเผชิญหน้าดังกล่าว ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สร้างความกระอักกระอ่วนให้กับปธน. โอบามา ในฐานะผู้มีฐานเสียงที่เมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ ระหว่างช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมีขึ้นเดือนพ.ย. นี้ ด้านสหภาพแรงงานครูชิคาโก้ ระบุว่า หากระบบประเมินผลแบบใหม่ถูกนำมาใช้ จะทำให้ผลการเรียนของนักเรียนมีผลต่อการประเมินคุณภาพของครูราวร้อยละ 40 ซึ่งทางสหภาพเกรงว่า วิธีนี้ อาจทำให้ครูร้อยละ 25 ในโรงเรียนรัฐต้องตกงาน ถึงแม้นายกเทศมนตรีชิคาโก้จะขอหมายศาลเพื่อสั่งห้ามการผละงาน แต่ทางตัวแทนของสหภาพแรงงานครูคาเรน ลูอิส กล่าวว่า สมาชิกส่วนใหญ่ของสหภาพฯ ราว 26,000 คน โหวตว่าจะยังคงผละงานต่อไป เพื่อให้การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายยังสามารถดำเนินต่อไป ทั้งนี้ นายกฯ เอมนานูเอล ต้องเผชิญกับงบขาดดุลด้านการศึกษาราว 700 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่ปีที่แล้ว และกล่าวว่า ข้อเสนอที่ตกลงไว้กับสหภาพแรงงาน จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 295 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 4 ปี โดยข้อเสนอของสหภาพแรงงานครูชิคาโก้ ได้เรียกร้องให้รัฐชะลอเวลาการนำระบบประเมินผลใหม่มาใช้ และลดน้ำหนักของคะแนนผลการเรียนของนักเรียนที่มีผลต่อการประเมินคุณภาพครู การคงไว้ซึ่งสวัสดิการด้านสุขภาพที่เท่าเดิม และให้ขึ้นเงินเดือนร้อยละ 3 ในปีนี้ และอีกร้อยละ 2 ในปีต่อไป ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Rahm Emanuel says Chicago teachers' strike 'illegal' ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญายอมรับ FTAไทย-ยุโรปต้องรอบคอบ กระทบเรื่องยา Posted: 17 Sep 2012 05:28 AM PDT อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ชี้ทำเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป มีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา ฉะนั้นต้องรอบคอบ ด้านนักวิชาการชี้ควรเจรจาเฉพาะส่วน อย่าเอาประเด็นทางสังคม สุขภาพและสิ่งแวดล้อมไปแลก
17 ก.ย.55 นางปัจฉิมา ธนสมบัติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้สัมภาษณ์ทางรายการเช้าทันโลก เอฟเอ็ม 96.5 กล่าวถึงความพยายามของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ที่พยายามเร่งให้มีการเริ่มเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ต้องทำอย่างรอบคอบ และหากไทยไปยอมรับความตกลงที่เกินไปกว่าทริปส์ตามที่สหภาพยุโรปต้องการ จะนำไปสู่การแก้กฎหมายซึ่งประเทศสมาชิกอื่นๆ ขององค์การการค้าโลกจะมาเรียกร้องขอใช้ประโยชน์ด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 17 Sep 2012 04:08 AM PDT เว็บไซต์บล็อกนันรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.40 น. มีผู้พบว่า มีมือดีไปเปลี่ยนภาพแบนเนอร์ 3 ภาพ ในหน้าเว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการ ภาพแรกเขียนว่า "Hacked by Gleich zi Libertia... We don't need you.. Bring me democrazy !" ทั้งนี้ พบว่าแฮกเกอร์ได้มีการประกาศล่วงหน้าเอาไว้แล้วในเพจ โหดสัส V2 ในเฟซบุ๊ก
ที่มา: ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'เงียโจ งามยิ่ง' ราษฎรไทยที่ถือบัตรประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 8 Posted: 17 Sep 2012 02:14 AM PDT
นาย เงียโจ งามยิ่ง มาประชุมผู้ใหญ่บ้าน ณ ที่ว่าการอำเภอุ้มผางเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา วันนี้มีนัดสอบถามข้อเท็จจริงกรณีนายเงียโจ ผู้ใหญ่บ้านแม่จันที่ได้รับการเลือกตั้งจากลูกบ้าน ซึ่งต่อมาถูกพิจารณาว่า ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน เพราะเขาไม่ได้เป็น "ผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด" เพราะเลขประจำตัวประชาชนของเขาขึ้นต้นด้วยเลข 8 ณ วันนี้ แม้นายเงียโจ งามยิ่ง จะไม่มีหนังสือยืนยันถึงความเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่ในการประชุมผู้ใหญ่บ้านที่ที่ว่าการอำเภออุ้มผาง เขายังมาร่วมและช่วยงานทางราชการอยู่ และนี่เป็นโอกาสที่จะได้คุยกับเขา จากคำบอกเล่าของนายเงียโจพบว่า เขาลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน บ้านแม่จันทะ หมู่ที่ 8 ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก โดยนายเงียโจได้ยื่นพยานหลักฐานประกอบการสมัครรับเลือกตั้งต่อนายอำเภออุ้มผาง และได้รับการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านจากคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งทางคณะกรรมการได้ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายเงียโจแล้วพบว่า มีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่มีลักษณะต้องห้ามสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 ปรากฎว่าเงียโจได้รับเลือกตั้งจากชาวบ้านให้เป็นผู้ใหญ่บ้านโดยมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง (จากผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งสิ้นจำนวน 6 คน) ต่อมานายอำเภออุ้มผางได้ออกคำสั่งแต่งตั้งนายเงียโจ งามยิ่ง ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 8 ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (หนังสือคำสั่งอำเภออุ้มผางที่ 73/2555 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555) แต่ภายหลังการแต่งตั้งได้ไม่นาน ทางปลัดอำเภอได้แจ้งให้นายเงียโจทราบว่า ทางจังหวัดตากยังไม่สามารถออกหนังสือสำคัญการเป็นผู้ใหญ่บ้านแก่นายเงียโจได้ เพราะนายเงียโจไม่ได้เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามมาตรา 12 (1) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช พ.ศ. 2457 จึงถือว่านายเงียโจขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน อย่างไรก็ดี ปลัดอำเภอได้แจ้งว่า ทางอำเภอไม่ได้มีข้อขัดข้องใดๆ เนื่องจากนายเงียโจผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว และทางอำเภอก็ได้ออกหนังสือแต่งตั้งให้นายเงียโจเป็นผู้ใหญ่บ้านไปแล้วเช่นกัน จึงขอให้นายเงียโจปฏิบัติหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านต่อไป และทางอำเภอก็รับปากว่าจะดูแลปัญหาเรื่องนี้ให้ ทางเงียโจจึงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านเรื่อยมา เช่น การส่งชาวบ้านออกมาอบรมหลักสูตรชรบ.กับทางอำเภอ เป็นต้น จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม นายเงียโจกล่าวว่า การที่ยังไม่มีหนังสือแต่งตั้งการเป็นผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการส่งมาจากทางจังหวัดนั้น ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ การรับค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งนายเงียโจบอกว่า เพิ่งได้รับค่าตอบแทนเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ส่วนค่าตอบแทนตั้งแต่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อต้นปียังไม่ได้รับ และไม่สามารถตั้งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาช่วยปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะชาวบ้านหลายคนก็ยังไม่แน่ใจว่า นายเงียโจได้เป็นผู้ใหญ่บ้านโดยสมบูรณ์แล้ว นายเงียโจกล่าวอีกว่า ตนเองมีความสงสัยว่า น่าจะมีบุคคลที่เป็นคู่แข่งในการรับเลือกตั้งไปแจ้งกับทางอำเภอว่า นายเงียโจเป็นบุคคลต่างด้าว ทำให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเข้ารับการดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านดังกล่าว ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาก็คือ เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านตามมาตรา 12 (1) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พุทธศักราช 2457 ซึ่งได้วางหลักไว้ว่า ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านจะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ว่า โดยข้อเท็จจริงแล้วนายเงียโจเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดหรือไม่ อย่างไร จากการสอบถามข้อเท็จจริง นายเงียโจเล่าว่า นายเงียโจมีบิดาชื่อ นายเงียซะ งามยิ่ง มีบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 8 มารดาชื่อ นางคำหล้า งามยิ่ง มีบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 5 นายเงียโจเป็นบุตรชายคนโต มีน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก 7 คน จากพยานหลักฐานที่เป็นสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลในครอบครัวของนายเงียโจพบว่า นายเงียซะ นายเงียโจ และนายบุญดี (บุตรชายคนที่สองของนายเงียซะและนางคำหล้า) ถือบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 8 ส่วนนางคำหล้าและลูกๆ คนที่เหลือทั้งหมดถือบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 5 นายเงียโจเล่าต่อมาว่า สาเหตุที่บุคคลในครอบครัวของนายเงียถือบัตรประจำตัวประชาชนโดยมีเลขประจำตัว แบ่งเป็นสองกลุ่มเช่นนี้ เหตุผลก็คือ แต่เดิมนั้นทางอำเภออุ้มผางได้เข้าไปแจ้งให้ชาวบ้านในหมู่บ้านของนายเงียโจ ไปทำบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูงที่ทางตัวอำเภออุ้มผาง แต่เนื่องจากการคมนาคมจากหมู่บ้านของนายเงียโจไปยังตัวอำเภออุ้มผางนั้นมีความยากลำบากมาก ประกอบกับนางคำหล้ากำลังตั้งครรภ์บุตรชายคนเล็กด้วย ทั้งครอบครัวจึงมีแค่นายเงียซะ นายเงียโจ นายบุญดีเท่านั้นที่เดินทางออกจากหมู่บ้านมาทำบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง (บัตรสีฟ้า) ส่วนนางคำหล้าและน้องคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เดินทางออกมาด้วย ทำให้มีนายเงียซะ นายเงียโจ นายบุญดีเท่านั้นที่มีเอกสารแสดงสถานะเป็นบุคคลพื้นที่สูง ต่อมาภายหลังราวปี พ.ศ.2547-2550 ทางอำเภออุ้มผางได้เข้าไปแจ้งให้คนในพื้นที่หมู่บ้านนายเงียโจให้มาทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่อีกครั้ง (มีความเป็นไปได้ว่าเป็นการสำรวจและลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลง รายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูงพ.ศ.2543) นายเงียซะ นายเงียโจ นายบุญดีจึงได้รับการเพิ่มชื่อเข้าทะเบียนบ้านและมีบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 8 ส่วนนางคำหล้านั้นปรากฎพยานหลักฐานว่า บิดาและมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย จึงยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อเข้าทะบียนบ้านและมีบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 5 จากนั้นนางคำหล้าก็ขอเพิ่มชื่อบุตรทุกคนที่เหลือเข้าทะเบียนบ้านด้วย บุตรคนที่เหลือทั้งหมดจึงได้บัตรประจำตัวประชาชนเลข 5 ในช่วงปี พ.ศ.2547-2550 เช่นเดียวกัน พิจารณาในส่วนของกรณีของเงียโจนั้น ปรากฎจากพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. สำเนาทะเบียนบ้านของนายเงียโจ งามยิ่ง เมื่อพิจารณาจากสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จะเห็นได้ว่า นายเงียโจ งามยิ่ง มีบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 8 กลุ่ม 84 (เลขหลักที่หกและเจ็ดเป็นเลข 84) จึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่า นายเงียโจคือบุคคลที่มีบิดามารดาเกิดในประเทศไทย และถือว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดด้วย จึงได้รับการลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.2543 อย่างไรก็ตาม สำเนาทะเบียนบ้านของนายเงีย โจนั้นกลับแตกต่างจากสำเนาทะเบียนบ้านของน้องคนอื่นๆ กล่าวคือ ระบุสัญชาติของบิดามารดาของนายเงียโจว่า เป็นผู้มีสัญชาติกระเหรี่ยง ทั้งที่น้องของนายเงียโจทุกคนมีสำเนาทะเบียนบ้านระบุว่า มีบิดาและมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย นอกจากนี้ทะเบียนบ้านของนายเงียโจกับของน้องคนอื่นๆ ก็ใส่ชื่อบิดามารดาแตกต่างกัน กล่าวคือ - ในสำเนาทะเบียนบ้านของนายเงียโจระบุบิดาชื่อ นาย เวียซะ ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน สัญชาติกระเหรี่ยง มารดาชื่อนางคำละ ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน สัญชาติกระเหรี่ยง - ส่วนในทะเบียนบ้านของน้องๆ ของนายเงียโจทุกคนนั้นระบุมีบิดาชื่อนายเงียซะ สัญชาติไทย มารดาชื่อ นางคำหล้า สัญชาติไทย ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ที่ทางจังหวัดอ้างว่า นายเงียโจเป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดนั้นอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า เป็นการพิจารณาจากสำเนาทะเบียนบ้านของนายเงียโจ โดยไม่ได้พิจารณาจากข้อมูลในเลขประจำตัวประชาชน ทั้งที่เลขประจำตัวประชาชนของนายเงียโจนั้นได้ยืนยันแล้วว่า นายเงียโจเป็น บุคคลบนพื้นที่สูงที่ได้รับลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคล บนพื้นที่สูงพ.ศ.2543 โดยถือว่าเป็นผู้ที่มีบิดามารดาเกิดในประเทศไทย และถือว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ดังนั้นนายเงียโจย่อมไม่ขาดคุณสมบัติการลงสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา 12 (1) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช พ.ศ. 2457 จากการสอบถามทางอำเภออุ้มผางกล่าวว่าขณะนี้ (4 กันยายน 2555) เรื่องของนายเงียโจได้ถูกส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความปัญหาการเป็นผู้ใหญ่บ้านของนายเงียโจแล้ว จึงต้องรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมกฤษฎีกาต่อไป กรณีของนายเงียโจนี้ นอกจากจะต้องพิจารณาในแง่กฎหมายปกครองแล้ว เห็นควรที่จะได้พิจารณาแง่กฎหมายระหว่างประเทศ ในประเด็นเรื่องสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองในรัฐไทยว่ามีความสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและทางปฏิบัติของนานาประเทศหรือไม่ อย่างไร เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR)[1] โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2539 มีผลผูกพันรัฐไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2540 ซึ่งกติกาฉบับนี้ ได้รับรองสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองของพลเมืองเจ้าของดินแดน (Right of Self-Determination) และสิทธิทางการเมืองในการที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐกิจ เช่น สิทธิที่จะลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนของตนเอง สิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนในระดับต่างๆ และสิทธิในการเลือกตั้งหรือลงรับเลือกตั้งดังกล่าวจะต้องไม่ถูกจำกัดอย่างไร้เหตุผลด้วย ดังนั้นเมื่อราษฎรไทยที่อยู่ในสถานะเป็นพลเมืองของประเทศไทยต้องการที่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองแล้วก็ควรที่จะรับรองสิทธิดังกล่าวตามพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันกับนานาประเทศเพื่อให้เป็นไปตามเจตจำนงร่วมกันของรัฐภาคีในอันที่จะส่งเสริมและยอมรับซึ่งสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพลเมืองในรัฐของตนเอง นอกจากพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐไทยจะต้องปฏิบัติการให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามกติกาฉบับดังกล่าวแล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย[2] ก็ได้รับรองสิทธิในการสิทธิในการแสดงเจตจำนงทางการเมืองของพลเมืองไว้อย่างชัดแจ้งไว้แล้วว่าสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันหน่วยงานของรัฐในการใช้บังคับกฎหมายด้วย ดังนั้นเมื่อปรากฎข้อเท็จจริงอันทำให้นายเงียโจ งามยิ่ง ราษฎรไทย ที่อยู่ในสถานะผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดแล้วนายเงียโจย่อมสามารถใช้สิทธิฐานะราษฎรไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช พ.ศ. 2457 และเมื่อผลการเลือกตั้งเป็นไปถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ปรากฎข้อเท็จจริงอื่นอันทำให้ผลการเลือกตั้งเสียไปแล้ว ทางรัฐไทยก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกที่จะระงับสิทธิสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนายเงียโจไว้ นอกจากจะต้องรับรองให้นายเงียโจดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านตามสิทธิที่นายเงียโจควรจะได้
[1] ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองค.ศ.1966[International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR] ได้วางหลักว่า ข้อ 2 1.รัฐภาคีแต่ละรัฐแห่งกติกานี้รับที่จะเคารพและประกันแก่ปัจเจกบุคคลทั้งปวงภายในดินแดนของตนและภายใต้เขตอำนาจของตนในสิทธิทั้งหลายที่รับรองไว้ในกติกานี้ โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ อาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน กำเนิดหรือสถานะอื่นๆ และข้อ 25 พลเมืองทุกคนย่อมมีสิทธิและโอกาสโดยปราศจากความแตกต่างดั่งกล่าวไว้ในข้อ 2 และโดยปราศจากข้อจำกัดอันไม่สมควร (ข)ในการที่จะออกเสียงหรือได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งอันแท้จริงตามวาระซึ่งมีการออกเสียงโดยทั่วไปและเสมอภาค และโดยการลงคะแนนลับเพื่อประกันการแสดงเจตนาโดยเสรีของผู้เลือก [2] มาตรา 3 วรรคหนึ่งแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมายและการตีความกฎหมายทั้งปวง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ลิเบียจับผู้ต้องสงสัยสังหารทูตสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 50 คน Posted: 17 Sep 2012 01:44 AM PDT
ผู้นำลิเบียเผยจับผู้ต้องสงสั เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2012 ประธานาธิบดีของลิเบียเปิดเผยว่ โมฮาเม็ด อัล-มาการีฟ ประธานาธิบดีจากสภาแห่งชาติ คริสโตเฟอร์ สตีเวน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำลิเบีย และเจ้าหน้าที่ชาวสหรัฐฯ อีก 3 รายเสียชีวิตหลังกลุ่มติดอาวุ "มันเป็นการวางแผนมาก่อนอย่ "การกระทำที่น่ารังเกียจ การก่ออาชญากรรมต่อเอกอัครราชทู ขณะเดียวกันซูซาน ไรซ์ เอคอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติกล่าวเมื่อวั ขณะที่ทางกลุ่มอัล-เคด้า ในคาบสมุทรอาหรับกล่าวผ่ พันเอก รอมฎอน เอล-เดรสซี กล่าวว่าจะเริ่มมีการให้ "พวกเราต้องการความร่วมมือจากรั ที่มา Libya makes Benghazi attack arrests, Aljazeera, 16-09-2012 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ภาคภูมิ แสงกนกกุล: ชีวจริยศาสตร์ (ตอนจบ) Posted: 16 Sep 2012 11:31 PM PDT องค์กรที่มีบทบาทสำคัญ ในประเทศฝรั่งเศสในปี 2005 ได้สร้างหน่วยงานชีวการแพทย์ (Agence de la biomédecine) โดยอำนาจของกฎหมาย la loi de la bioéthique 2004 ซึ่งเปลี่ยนจากองค์กรเดิมคือ สถาบันการปลูกถ่ายอวัยวะในฝรั่งเศส สถาบันใหม่ที่สร้างขึ้นนี้อยู่ภายใต้กำกับกระทรวงสาธารณสุข และได้ขยายขอบเขตจากเดิมที่เน้นเฉพาะเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะไปสู่สี่เรื่องหลักที่เกี่ยวข้องกับชีวจริยศาสตร์ของมนุษย์ คือ การช่วยเหลือทางด้านการแพทย์เพื่อเจริญพันธุ์ การวินิจฉัยปริกำเนิดและการวินิจฉัยทางยีน การวิจัยด้านตัวอ่อนและสเตมเซลล์ และ การจัดหาและปลูกถ่ายอวัยวะ องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรที่เน้นด้านการออกแบบ กำกับ ควบคุม และฝึกฝนการปฏิบัติการทางการแพทย์และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อเกิดการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนในสี่เรื่องหลักดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน สร้างความเท่าเทียมกันกับประชาชนในการเข้าถึงการรักษาในสี่เรื่องข้างต้น ไม่ละเมิดจริยธรรมและกฎหมาย สร้างความน่าเชื่อถือโปร่งใสกับประชาชน รวมถึงให้ข้อมูลข่าวสารและทำรายงานประจำปีให้สาธารณชนรับทราบ เช่นการจัดการลิสต์รายชื่อของผู้บริจาคอวัยวะ และผู้รับอวัยวะ ตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้อำนาจในการจัดหาผู้บริจาคอวัยวะตับ พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศของการบริจาคอวัยวะ เนื้อเยื่อ เซลล์ มีอำนาจในการอนุญาตการนำเข้าหรือส่งออกเซลล์สืบพันธุ์หรือตัวอ่อน รับรองผู้ปฏิบัติงานทางคลินิคและชีววิทยาในการช่วยเหลือการเจริญพันธุ์ ควบคุมและออกใบอนุญาตและยึดใบอนุญาตให้กับนักวิจัยเป็นรายบุคคลในด้านการวิจัยตัวอ่อนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยหน่วยงานชีวการแพทย์ ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่ตั้งคณะกรรมการทำงานที่เกี่ยวข้องกับชีวจริยศาสตร์ โดยในปี 1983 รัฐบาลฝรั่งเศสสมัยฟรองซัวส์ มิตเตรฮงด์ได้ตั้ง คณะกรรมการที่ปรึกษาระดับชาติด้านจริยธรรมเพื่อวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิตและสุขภาพ (le Comité consultatif d'éthique pour les sciences de la vie et de la santé) ขึ้นมา คณะกรรมการดังกล่าวจะแตกต่างจากหน่วยงานชีวการแพทย์ที่เน้นถึงด้านการวางกรอบปฏิบัติงาน และควบคุมออกใบอนุญาตให้แพทย์ นักวิทยาศาสตร์และบุคลากรสาธารณสุขในการทำวิจัยและบริการสาธารณะโดยไม่ละเมิดข้อกฎหมายและจริยธรรม แต่คณะกรรมการนี้จะเป็นองค์กรที่ตอบปัญหาทางด้านปรัชญาชีวจริยศาสตร์ และเป็นองค์กรที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์เท่านั้น และรัปฟังคำถามสังคมที่เกิดจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ชีววิทยา การแพทย์และสุขภาพ โดยองค์กรดังกล่าวมีความเป็นอิสระและไม่ขึ้นอำนาจกำกับจากองค์กรรัฐ และเคลื่อนไหวทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ คณะกรรมการประกอบด้วยหลากหลายวิชาชีพซึ่งมีประธานหนึ่งคนได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีดำรงวาระสองปีและสมาชิกอีก 39 คนดำรงวาระสี่ปีโดย 5 คนมาจากพื้นเพทางด้านปรัชญาและศาสนาคาธอลิค อิสลาม โปรเตสแตนท์ และยูดาห์, 19 คนได้รับเลือกจากความสามารถและความสนใจในด้านการทำงานชีวจริยศาสตร์เป็นเวลานาน, และอีก 15 คนมาจากสถาบันการวิจัย ด้านการแพทย์และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการปัจจุบันประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพ ทั้งอาชีพ นักวิทยาศาสตร์เช่น Pascale Cossart, แพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เช่น Alain Grimfieldกุมารแพทย์และดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับชาติด้านจริยธรรม, นักปรัชญาอย่าง Luc Ferry, นักบวชนักเทววิทยา เช่น Louis Schweitzer, นักวารสารที่เกิดในตูนิเซียอย่างAlain-Gérard Slama,นักมานุษยวิทยา เช่น Françoise Héritier, นักการเมือง Lucien Neuwirthที่เป็นคนผลักดันการออกกฎหมายการใช้ยาคุมกำเนิดเมื่อปี 1967 คณะกรรมการดังกล่าวทำหน้าที่รับฟังปัญหาทางชีวจริยศาสตร์ซึ่งอาจมาจากทั้งทางด้านรัฐสภา มาจากหน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่มีส่วนสำคัญต่อชีวจริยศาสตร์ หรือมาจากภาคประชาสังคมยกประเด็นมา โดยคณะกรรมการมีการประชุมดีเบตกันทุกๆเดือนเพื่อหาข้อถกเถียงและทำเป็นข้อเสนอแนะต่อรัฐสภา และตีพิมพ์ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ นอกจากนี้ร่วมมือทำงานกับคณะทำงานด้านชีวจริยศาสตร์ในประเทอื่นๆและจัดการประชุมด้านชีวจริยศาสตร์ในระดับนานาชาติ ผลงานที่ผ่านมาของคณะกรรมการระดับชาติทางจริยธรรมได้แก่ การให้คำแนะนำในเรื่องการนำเนื้อเยื่อของตัวอ่อนที่ตายแล้ว เพื่อการรักษาวินิจฉัย และการศึกษา การวินิจฉัยปริกำเนิด การบริจาคอวัยวะ การได้มาและใช้สเตมเซลล์ การุณฆาต สุขภาพของประชากรในคุก และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตั้งครรภ์ เนื่องจากองค์กรสององค์กรข้างต้นทำหน้าที่เรื่องภาคปฏิบัติควบคุมกำกับและด้านปรัชญาแต่ไม่มีอำนาจบังคับใช้ทางกฎหมาย และไม่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย อย่างไรก็ตามการจะออกข้อบังคับเพื่อควบคุมคนทั้งรัฐโดยเฉพาะในประเทศที่เป็นนิติรัฐแล้ว จำเป็นต้องออกมารูปในกฎบัญญัติจากรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาต้องอาศัยกฤษฎีกา (Conseil d'Etat) ที่มีหน้าที่สำคัญด้านให้คำปรึกษากฎหมายแก่รัฐสภาว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ กฤษฎีกาทำหน้าที่ศึกษาข้อด้อยของกฎหมายในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับชีวจริยศาสตร์ เพื่อหาข้อแก้ไขสำหรับอนาคตให้สอดคล้องกับสังคมและดำรงค์ไว้ซึ่งคุณธรรมของมนุษย์ในขณะเดียวกันก็ต้องเกิดการพัฒนาการแพทย์ควบคู่ไปด้วย ในการศึกษาเพื่อทำข้อเสนอแก่รัฐสภาในการแก้กฎหมายชีวจริยศาสตร์ la loi de la bioéthique 2004 กฤษฎีกาได้เชิญที่ปรึกษาจำนวน 60 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ตัวแทนจากสมาคมต่างๆที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนจากปัญญาชน เพื่อทำการศึกษาฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ ศึกษาเปรียบเทียบกับประสบการณ์ต่างประเทศ ผลจาการศึกษาของคณะกรรมการได้แนะนำว่า เพื่อดำรงค์ไว้ถึงจริยธรรมและการพัฒนาการแพทย์ การศึกษาวิจัยตัวอ่อนและสเตมเซลล์ไม่สามารถทำได้ ยกเว้นเฉพาะกรณีเพื่อทำการรักษา ในด้านการวินิจฉัยปริกำเนิดสามารถทำได้เฉพาะกรณีอันตรายร้ายแรงเท่านั้น และการวินิจฉัยก่อนตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกสามารถทำได้ในกรณีที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ในด้านการช่วยเหลือทางการแพทย์เพื่อเจริญพันธุ์สามารถทำได้เฉพาะคู่แต่งงานที่มีบุตรยาก และเป็นคู่แต่งงานที่อยู่กินด้วยกันอย่างน้อยมาสองปี และห้ามกรณีการนำตัวอ่อนที่ตายแล้วจากการเกิดข้อผิดพลาดในขณะตั้งครรภ์มาทำการวิจัย ส่วนประวัติผู้บริจาคสเปิร์มหรือไข่ก็ยังคงปิดเป็นความลับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากสิทธิมนุษยชนพิจารณาจากศาลยุโรป ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในการอนุญาตให้ข้อมูลลักษณะของผู้บริจาคได้หรือถ้าในกรณีที่ได้รับการอนุญาตจากผู้บริจาคก็สามารถเปิดเผยอัตลักษณ์ของผ้บริจาคแก่เด็กที่กำเนิดจากเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ในเรื่องการตั้งครรภ์แทนผู้อื่นเป็นข้อต้องห้ามในทุกกรณีเพราะเป็นลักษณะการนำร่างกายมนุษย์เพื่อการค้า ในด้านการุณยฆาตเชิงรุก (active euthanasia) ยังคงเป็นข้อห้ามในฝรั่งเศสเนื่องจากสาเหตุด้านมนุษยธรรม การขยายตัวสู่เวทีสาธารณะ การดีเบตมีจัดขึ้นในหลายเขตคือ มาร์กเซย์ แรนส์ สตราสบูร์ก และปารีส ผลดีของการดีเบตคือได้รับฟังแนวความคิดและข้อเสนอแนะของประชาชนอันมีผลไปสู่การปรับกฎหมายชีวจริยศาสตร์ในปี 2010 นอกจากนี้ความสำเร็จจากการจัดตั้งทำให้รัฐบาลมีดำริให้มีการจัดดีเบตสาธารณะเรื่องชีวจริยศาสตร์ต่อไปโดยให้คณะกรรมการที่ปรึกษาระดับชาติด้านจริยธรรมเพื่อวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิตและสุขภาพเป็นแม่งานสำคัญ นอกจากองค์กรดังกล่าวข้างต้นที่มีส่วนสำคัญแล้ว ศาสนจักรและสื่อก็มีบทบาทเช่นกันในด้านชีวจริยศาสตร์ ทั้งนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดคำสอนของศาสนา ในประเทศฝรั่งเศสถึงแม้คนส่วนใหญ่นับถือคริสต์นิกายคาธอลิคแต่ก็มิได้กำหนดไว้เป็นศาสนาประจำชาติ ไม่ว่าศาสนาคริสต์ พุทธ อิสลาม หรือ ยูดาห์ ต่างตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในชีวจริยศาสตร์ สังฆราชออกมาให้ความเห็นทุกครั้งเมื่อมีประเด็นด้านจริยธรรมในสังคม เช่นการแต่งงานของรักร่วมเพศ การคุมกำเนิด การทำแท้ง หรือ คำถามเรื่องสภาพความเป็นมนุษย์ของตัวอ่อน มีการประชุมจัดโต๊ะกลมเรื่องชีวจริยศาสตร์โดยเชิญตัวแทนจากสี่ศาสนาหลัก มีการทำเวปไซต์เคลื่อนไหวเรื่องชีจริยศาสตร์เป็นต้น สื่อไม่ว่าเป็นสื่อโทรทัศน์หรือสิ่งพิมพ์เองก็ตื่นตัวและทำหน้าที่สำคัญในการกระจายเรื่องชีวจริยศาสตร์สู่สาธารณชน และมีการจัดรายการด้านชีวจริยศาสตร์ทุกครั้งเมื่อมีข้อขัดแย้งในสังคม เช่นรายการโทรทัศน์ภายใต้หัวข้อเรื่อง "แพทย์ทำหน้าที่เป็นพระเจ้าหรือ" ซึ่งถ่ายทอดผ่านทีวีสาธารณะ France24 น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ในประเทศไทย พุทธศาสนาที่เป็นศานาประจำชาติไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการถกปัญหาเชิงปรัชญาด้านชีวจริยศาสตร์ที่เป็นเรื่องส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในปัจจุบันและอนาคต และยังคงยึดติดกับเรื่องบุญกรรมในอดีต การล้างกรรมจากการทำแท้งแต่ไม่เคยอธิบายว่าทำแท้งไม่ได้เพราะเหตุใดนอกจากสาเหตุเดียวคือเป็นบาป หรือพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสังคมก็หมกหมุ่นอยู่กับสตีฟ จอบส์ ไอนสไตน์โดยไม่เคยเข้ามาถกปัญหาด้านชีวจริยศาสตร์ ในขณะที่สื่อเองก็ไม่ได้เป็นตัวกลางนำเรื่องชีวจริยศาสตร์ขยายวงไปสู่ภาคประชาชน น่าเสียดายที่มีนักวิชาการประเทศไทยทำงานและสนใจด้านชีวจริยศาสตร์มาเป็นสิบปีแล้วแต่ขาดตัวกลางที่นำงานต่างๆขยายเข้าสู่ภาคประชาชน แม้แต่กระบวนการออกกฎหมายการุณยฆาตแบบPassive (ผู้ป่วยสามารถปฏิเสธการรักษาเพื่อจากโลกนี้อย่างสงบ) ซึ่งออกมาในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ ก็มีการรับรู้ของประชาชนในวงจำกัด ทั้งๆที่เป็นเรื่องสำคัญมากกับประชาชนทุกคน
เชิงอรรถ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น