ประชาไท | Prachatai3.info |
- นักวิจัยเผยประเด็นก่อดรามาแก้บทความในวิกิพีเดีย 13 ภาษา
- สมาคมต้านสภาวะโลกร้อนจี้ปลด 'ปลอดประสพ' ฐานละเมิดจริยธรรม
- อัยการสั่งฟ้อง ชวนนท์-มัลลิกา หมิ่นนายกฯ กรณีโฟร์ซีซันส์
- ไทยสปริงและหน้ากากกาย ฟอว์กส์
- รพ. ชุมชนภาคใต้-แพทย์ชนบท ร่วมแถลงย้ำไม่เอา P4P
- สื่อฝ่ายเห็นต่าง ยกประวัติเล่าเรื่อง‘ปืนใหญ่พญาตานี’
- “ไม่อยากเห็น... คนมาฆ่ากัน” สมชาย ปัตตานี ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์
- หลายองค์กรเรียกร้องเปิดทางให้ประชาชนหลบหนีจากการสู้รบในเมืองคูซาเยร์ของซีเรีย
- 'ชิคาโก ซัน-ไทมส์' ปลดช่างภาพทั้งหมด-เทรนนักข่าวใช้ไอโฟน
- Timeline: การใช้งาน 'หน้ากากกายฟอว์กส์' แบบไทยๆ
- Science Space : วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กับความมั่นคง
นักวิจัยเผยประเด็นก่อดรามาแก้บทความในวิกิพีเดีย 13 ภาษา Posted: 03 Jun 2013 12:43 PM PDT นักวิจัยศึกษาสงครามการแก้ไขงานในเว็บวิกิพีเดีย 13 ภาษา พบเรื่องปรัชญา ศาสนา และการเมือง เป็นเรื่องถกเถียงมากสุดในทั้ง 13 ภาษา โดยหัวข้อ อิสราเอล อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ การสังหารหมู่ชาวยิว และเรื่องพระเจ้า เป็นข้อถกเถียงมากที่สุดใน 3 กลุ่มภาษา นักวิจัยจากฮังการี อังกฤษ และอเมริกา ศึกษาเรื่องสงครามของการแก้งานในเว็บวิกิพีเดีย สารานุกรมออนไลน์ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้าไปเขียนและแก้ไขบทความ โดยดูจากการแก้งานกลับไปสู่เวอร์ชั่นก่อนหน้า โดยหัวข้อที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากที่สุดก็คือ เรื่องของศาสนา ปรัชญาและการเมือง Taha Yasseri หนึ่งในทีมวิจัยเขียนในบล็อกของเขาว่า แม้อาจมีคำวิจารณ์ว่าวิกิพีเดียนั้น เชื่อถือไม่ได้ ไม่สมบูรณ์ หรือมีอคติ แต่ในทางหนึ่ง วิกิพีเดียก็ถือว่ามีประโยชน์ รวดเร็วและเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งโดยนับเป็นตัวอย่างของความร่วมมือของคนจำนวนมาก มีผู้เป็นบรรณาธิการกว่า 40 ล้านคน มีบทความกว่า 37 ล้านบทความในกว่า 280 ภาษาทั่วโลก โดยเมื่อคนที่ไม่ใช่มืออาชีพจากต่างภูมิหลัง วัฒนธรรม และความเห็น มาช่วยกันเขียนงาน จึงไม่ง่ายและไม่ราบรื่นเสมอไป แม้หัวข้อจำนวนมากจะเป็นเรื่องกลางๆ อย่างแตงโมหรือแฮมสเตอร์ แต่ก็มีสงครามการบรรณาธิการและการปะทะกันทางความคิดเบื้องหลังวิกิพีเดียจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าอะไรคือลักษณะสำคัญของสงครามเหล่านี้ อะไรคือบทความที่มีการโต้แย้งกันมากที่สุด และมันทำให้เห็นวิธีที่ผู้คนจากส่วนต่างๆ ของโลกคิดกับเรื่องต่างๆ หรือไม่ ทั้งนี้ งานวิจัยนี้ศึกษาวิกิพีเดียในภาคภาษาต่างๆ 13 ภาษาด้วยกัน ประกอบด้วย ภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส เปอร์เซีย อารบิก ฮิบรู เชค ฮังกาเรียน โรมันเนีย จีนและญี่ปุ่น งานวิจัย แบ่งกลุ่มภาษาหลักๆ ออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศสและสเปน 2.ภาษาเชค ฮังกาเรียน และโรมันเนีย 3.อารบิก เปอร์เซีย และฮิบรู โดยบทความเกี่ยวกับอิสราเอล อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ เหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวยิว และเรื่องพระเจ้า เป็นหัวข้อที่มีข้อถกเถียงในการเขียนมากที่สุดในทั้งสามกลุ่มภาษา ขณะที่เรื่องของพระเยซู อิสลาม และศาสดามูฮัมหมัด เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันมากถึง 2 ใน 3 ของกลุ่มภาษาทั้งหมด Taha Yasseri ระบุว่า พบรูปแบบที่น่าสนใจคือ เรื่องศาสนาและการเมือง เป็นเรื่องที่เป็นข้อถกเถียงในภาษาเปอร์เซีย อารบิกและฮิบรูมากกว่าภาษาอื่นๆ ขณะที่วิกิพีเดียภาคภาษาสเปนและโปรตุเกสเต็มไปด้วยสงครามระหว่างสโมสรฟุตบอลต่างๆ ส่วนวิกิพีเดียภาคภาษาฝรั่งเศสและเชค ค่อนข้างจะถกเถียงกันในเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านวิกิพีเดียภาคภาษาจีนและญี่ปุ่นนั้น เป็นสมรภูมิรบของการ์ตูน แอนิเมะ ทีวีซีรีส์ และแฟนคอบันเทิง ผลิตภัณฑ์ของช่อง TVB ปรากฏบ่อยครั้งในลิสต์ของจีน และอันดับที่ 19 ของประเด็นที่ถกเถียงกันมากในภาคภาษาญี่ปุ่นก็คือ องคชาต Yasseri ระบุว่า ข้อค้นพบเหล่านี้ จะช่วยให้วิกิพีเดียและโครงการต่างๆ ที่คล้ายๆ กัน ออกแบบได้ดีขึ้น โดยพิจารณาจากบทเรียนและข้อสังเกตเหล่านี้ และ สอง เชื่อว่ากรณีศึกษาเหล่านี้จะช่วยให้นักสังคมศาสตร์เข้าใจเกี่ยวกับสังคมมนุษย์มากขึ้น ผ่านการวิเคราะห์การกระทำและปฏิสัมพันธ์ของสังคมขนาดใหญ่ของปัจเจกบุคคล (ในที่นี้คือบรรณาธิการวิกิพีเดีย) วิกิพีเดียภาคภาษาอังกฤษ ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงมากที่สุด คือเรื่องของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ตามด้วย อนาธิปไตย, ศาสดามูฮัมหมัด, รายชื่อของคนในแวดวงมวยปล้ำอาชีพ (WWE), ภาวะโลกร้อน, การขลิบ, สหรัฐอเมริกา, พระเยซู, ความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติและความฉลาด และศาสนาคริสต์ ในวิกิพีเดียภาคภาษาญี่ปุ่นนั้น หัวข้อหลักที่ถกเถียงกันนั้น เป็นเรื่องของชาวเกาหลีในญี่ปุ่น ตามด้วย ทฤษฎีต้นกำเนิดประเทศเกาหลี, สิทธิของผู้ชาย, ฝ่ายขวาในอินเทอร์เน็ต, วงเกิร์ลกรุ๊ป AKB48, ซีรีย์คาเมนไรเดอร์, การ์ตูนวันพีซ, คิม ยู นา นักกีฬาสเก็ตน้ำแข็ง คู่แข่งคนสำคัญของมาโอะ อะซาดะ นักกีฬาชาวญี่ปุ่น, มิซูโฮ ฟุกุชิมา นักการเมืองหญิงชาวญี่ปุ่น หนึ่งในผู้นำการต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์, โกโก เซนไท โบเคนเจอร์ ภาพยนตร์แนวขบวนการยอดมนุษย์ลำดับล่าสุด ส่วนวิกิพีเดียภาคภาษาจีนนั้น เถียงกันหนักที่สุดในเรื่องไต้หวัน, ซีรีย์ใหม่ในช่องTVB, จีน, เจียงไคเช็ค, หม่าอิงจิ๋ว, เฉินสุ่ยเปียน, เหมาเจ๋อตุง, สงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่สอง และการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อปี 1989
ที่มา: ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สมาคมต้านสภาวะโลกร้อนจี้ปลด 'ปลอดประสพ' ฐานละเมิดจริยธรรม Posted: 03 Jun 2013 12:31 PM PDT จากการปราศรัยของรองนายกฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่เชียงใหม่ สมาคมฯ มองว่าดูหมิ่นเหยียดหยามประชาชน เตรียมยื่นหลักฐานเพิ่มแก่ศาลปกครองกลางที่เคยได้ยื่นฟ้องไว้ฐานละเมิดจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 3 มิ.ย. 56 - สืบเนื่องจากการปราศรัยของรองนายกรัฐมนตรี ปลอดประสบ สุรัสวดี เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่สนามกีฬา 700 ปีเชียงใหม่เกี่ยวกับการประชุมน้ำโลก ซึ่งถูกมองว่ามีลักษณะดูถูกเหยียดหยามองค์กรภาคประชาสังคม สมาคมต้านสภาวะโลกร้อน นำโดยนายศรีสุวรรณ จรรยา ชี้ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการละเมิดจริยธรรมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 แถลงการณ์ของสมาคมฯ ระบุว่า เตรียมจะนำพยานหลักฐาน วีดีโอและเอกสารข่าวทั้งหมดยื่นเพิ่มเติมต่อศาลปกครองกลาง ตามคดีหมายเลขดำที่ 1039/2556 ที่สมาคมฯและเครือข่ายภาคประชาสังคม ได้ยื่นฟ้องปลอดประสพไว้แล้วต่อศาลปกครองกลางแล้ว เมื่อคราวด่าภาคประชาชนว่า "ขยะ" ในการประชุมเรื่องน้ำโลกที่เชียงใหม่ที่ผ่านมา โดยจะนำไปยื่นต่อศาลในวันพุธที่ 5 มิถุนายน 2556 เวลา 10.30 น. ณ ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ ในวันเดียวกัน เครือข่ายประชาชนในลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคอีสาน ได้ออกแถลงการณ์ต่อการกระทำดังกล่าวของรองนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบพฤติกรรมดังกล่าวของนายปลอดประสบ เนื่องจาก "รับไม่ได้กับท่าทีพฤติกรรมและคำพูดรองนายกรัฐมนตรี จึงขอเรียกร้องให้ยุติท่าที พฤติกรรมและการใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม" นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รองนายกรัฐมนตรี "กลับเข้าสู่การดำเนินงานที่มีบรรยากาศของการมีส่วนร่วม จริงใจในการดำเนินงานร่วมกันทุกฝ่าย ฟังเสียงของชุมชนท้องถิ่น โดยถือประโยชน์และการแก้ไขปัญหาเป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์อื่นใดที่แอบแฝง" ทั้งนี้ เว็บไซต์ผู้จัดการ ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่สนามกีฬาเชียงใหม่ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นปราศรัยโดยกล่าวทักทายกลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่ในสนามกีฬา พร้อมสอบถามว่าได้ดูตนแสดงเป็นพญาเม็งรายในการประชุมน้ำโลกหรือเปล่า พร้อมขอบคุณกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่จัดม็อบสกัดกั้นกลุ่มเอ็นจีโอที่มาประท้วง "ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณทุกคนว่า ช่วงที่ประชุมน้ำ มีไอ้พวกบ้าบอคอแตกอะไรจะมาประท้วง แล้วท่านทั้งหลายก็จัดคณะไปเก็บขยะ (หมายถึงกลุ่มเอ็นจีโอ) มันก็โกธรผมนะ ว่าผมไปด่ามันว่าขยะ ที่จริงยังน้อยไปนะ ในใจเนี่ยผมอยากจะด่าไอ้เหี้ยด้วยซ้ำไป (เสียงเฮ) แต่ผมไม่ได้ด่าเพราะกลัวเค้าฟ้อง" นายปลอดประสพกล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อัยการสั่งฟ้อง ชวนนท์-มัลลิกา หมิ่นนายกฯ กรณีโฟร์ซีซันส์ Posted: 03 Jun 2013 08:47 AM PDT กรณีแถลงข่าวว่านายกฯ ใช้เวลาส่วนตัวไปประชุมลับที่โฟร์ซีซั่นส์ ศาลนัดรายงานตัวเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล 28 มิ.ย.นี้ ชวนนท์ยืนยันเป็นการป้องประโยชน์ของประชาชน เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่า วันนี้ (3 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 นัดฟังการสั่งคดีที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณี นายชวนนท์ และ น.ส.มัลลิกา ร่วมกันแถลงข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาราชการไปประชุมลับกับนักธุรกิจที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ย่านถนนวิทยุ หรือกรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง นายเรืองวิชญ์ โภคัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 เจ้าของสำนวน เปิดเผยว่า ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักฐานพอควรฟ้อง จึงมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ทนายความได้ขอเลื่อนนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องต่อศาล เนื่องจากต้องเตรียมหลักทรัพย์ที่จะใช้ประกันตัวในชั้นศาล จึงนัดให้ผู้ต้องหามารายงานตัวเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ เวลา 10.30 น. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า คดีนี้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาล ซึ่งตนก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด โดยพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาล ยืนยันว่าที่ผ่านมาได้นำเสนอข่าวในเชิงตั้งคำถามเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทให้ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ขอให้นายกรัฐมนตรีให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งในชั้นสอบสวน และสืบพยานในชั้นศาล เนื่องจากที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จากฝ่ายตนเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ทราบว่าได้ดำเนินการ หรือรวบรวมพยานหลักฐานจากอีกฝ่ายอย่างไรบ้าง และที่ผ่านมาฝ่ายบริหารก็ได้ใช้อำนาจปิดปากพวกตน ซึ่งพูดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ที่มา: เว็บไซต์ผู้จัดการ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 03 Jun 2013 07:10 AM PDT เท่าที่ได้ทราบข้อมูลมา คนแรก ๆ ที่ใช้คำว่าไทยสปริงก็คือพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชรในโฮมเพจที่ไว้ล่าลายชื่อสำหรับประท้วงการกล่าวปาฐกถาของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่มองโกเลียนั้นเอง เพื่อเป็นการจุดประกายการต่อต้านและการล้มรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ในยุคที่เสื้อเหลืองอันมีสำนักพิมพ์ผู้จัดการเป็นศูนย์กลางดูโรยราเต็มที และในเวลาอันใกล้ๆ นั้นไทยสปริงดูจะสามารถจุดประกายแฟชั่นการติดรูปหน้ากากขาวหรือหน้ากากกาย ฟอว์กส์ไว้แทนตัวตนของนักท่องโลกไซเบอร์ทั้งหลายที่ชื่นชอบในการเกลียดชังพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ผู้ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง ผู้กุมอำนาจชักใยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เผด็จการ รัฐบาลฉ้อฉล โกงกิน รัฐบาลทุนสามานย์ รัฐบาลล้มเจ้า ฯลฯ ถึงแม้กลุ่มของคุณวสิษฐจะยืนยันว่าเป็นคนละกลุ่มกับพวกหน้ากากขาว แต่ด้วยการคาดคะเนของผู้เขียนเองว่าคงมีผู้ประสานงานหรือสนับสนุนเป็นคนกลุ่มเดียวกันหรืออย่างน้อยก็อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน อุปมาดังเบียร์สิงห์และเบียร์ลีโอที่เป็นคนละแบรนด์แต่ก็ถูกผลิตโดยบริษัทเดียวกัน บทความนี้จึงเรียกนักประท้วงทั้งหลายโดยภาพรวมว่าชาวไทยสปริง สำหรับคำว่าสปริงหรือ Spring นี้มีความหมายโดยทั่วไปคือฤดูใบไม้ผลิ แต่อีกความหมายหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันไปสู่สิ่งใหม่ ถ้าเป็นคำศัพท์ทางการเมืองก็คือการปฏิวัติ (Revolution) การปฏิวัติไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะมักมีคนนำไปปะปนกับรัฐประหาร (Coup d'etat) ซึ่งหมายความว่าแค่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยใช้วิธีการทางทหารเกือบทั้งหมด (ความจริงพลเรือนก็มี) แต่การปฏิวัติที่แท้จริงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรัฐ ไม่ว่าการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ โดยแรงผลักดันคือมวลชนทั้งหลาย (1) มีการใช้คำนี้กับเหตุการณ์มากมายในอดีตเช่นการประท้วงของชาวฮังการีต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ภักดีกับสหภาพโซเวียต (Hungarian Spring) ในปี 1956 เช่นเดียวกับการประท้วงของชาวเช็คโกสโลวาเกียต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียตในปี 1968 (Prague Spring) ถ้า 2 เหตุการณ์นี้ไม่ประสบความล้มเหลวเสียก่อนก็จะนำประเทศไปสู่การเป็นประชาธิปไตยทุนนิยม (แต่กระนั้นก็เป็นปัจจัยทางอ้อมที่นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991) คำว่าสปริงได้มาโผล่อีกครั้งและเป็นที่นิยมจนติดหูในปี 2011 ที่ประชาชนในกลุ่มประเทศอาหรับออกมาประท้วงรัฐบาลเผด็จการที่ปกครองประเทศมาหลายทศวรรษจนประสบความสำเร็จไม่ว่าตูนีเซีย ลิเบีย อียิปต์ เยเมน ประเทศได้กลายเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าจะใช้คำตรงกว่านั้นก็ต้องบอกว่าประเทศได้มีภาวะการกลายเป็นประชาธิปไตย (Democratization) เพราะมีหลายประเทศที่ยังมีภาวะที่ไม่เรียบร้อยจนเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอำนาจกันครั้งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นอียิปต์ หลังจากอาหรับสปริงครั้งแรกได้ผลักดันให้ฮอสนี มูบารักพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี ชาวอียิปต์เองก็ยังไม่พอใจที่ว่าสถาบันของทหารยังคงมีอำนาจอยู่มาก ยังมีการประท้วงกันที่จุตรัสทาห์รีร์กันอยู่เรื่อยๆ จนเมื่อมีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศและได้ประธานาธิบดีคนใหม่ตามระบอบประชาธิปไตยคือ นายโมฮะหมัด มอร์ซีซึ่งได้กำจัดอิทธิพลของทหารออกไปโดยวิธีแยบยล ประเทศก็น่าจะก้าวสู่สภาพเรียบร้อยแต่ทว่าประชาชนยังเห็นว่านายมอร์ซีมาจากพรรคภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ซึ่งน่าจะนำประเทศไปภายใต้อำนาจหรืออุดมการณ์ของมุสลิมหัวรุนแรง เมื่อประธานาธิบดีออกกฏหมายมอบอำนาจให้ตัวเองเหนือฝ่ายตุลาการและเปิดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งถูกโจมตีว่าให้อำนาจกับศาสนามากไป ชาวอียิปต์ก็แห่กันมาใช้บริการจุตรัสทาห์รีร์กันอีกครั้งถึงแม้ในปัจจุบันจะสงบนิ่งไปแต่พร้อมจะมีคลื่นลูกใหม่ออกมาเรื่อย ๆ อนึ่ง ในการประท้วงนี้ยังรวมไปถึงการเรียกร้องสิทธิของสตรีซึ่งถูกกดขี่อย่างมากในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามแบบอนุรักษ์นิยมอย่างอียิปต์ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าให้เมืองไทยจะต้องมีภาวะทางการเมืองเหมือนกับอียิปต์หรือโจมตีตำหนิการประท้วงของชาวไทยสปริงแต่ประการใด เพียงแค่ต้องการถามชาวไทยสปริง (เช่นเดียวกับพวกเสื้อแดง เสื้อเหลืองหรือเสื้อไร้สี) ทั้งหลายว่าสามารถทำให้คำว่า "สปริง" ศักดิ์สิทธิ์หรือปฏิวัติสังคมไทยได้ถึงรากถึงแก่นได้เหมือนตัวอย่างข้างบนหรือไม่ หรือว่าเพียงต้องการให้ทักษิณและเครือข่ายหมดอิทธิพลไปก็พอใจโดยไม่สนใจว่ากลุ่มอิทธิพลอื่นไม่ว่าทหาร ข้าราชการประจำ กลุ่มทุนสามานย์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก(ที่สื่อมักไม่เอ่ยนามในด้านลบเหมือนทักษิณ) เลื้อยเข้ามาคลุมพื้นที่แทนอิทธิพลของเครือข่ายทักษิณ ชาวไทยสปริงสนใจหรือไม่ที่จะต่อสู้กับกลุ่มประโยชน์เหล่านั้นโดยการเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตยไม่ว่าความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ สังคมหรือแม้แต่เรื่องทางเพศ รวมไปถึงเสรีการแสดงออกที่รัฐบาลไม่ว่าชุดไหนก็ใช้ความเป็น "รัฐตำรวจ" ในการควบคุมทั้งนั้นไม่ว่ากฏหมายมาตรา 112 หรือกฏหมายการเซ็นเซอร์สื่อมวลชน ชาวไทยสปริงสนใจหรือไม่ที่ในอนาคตจะร่วมช่วยเหลือชนรากหญ้าจำนวนมากในการเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐ หรือเพิ่มระดับขั้นไปสู่การปลดแอกจากการกดขี่ของนายทุนจำนวนมาก(ที่ไม่จำเป็นต้องสังกัดในกลุ่มทักษิณ) ถ้าสามารถทำได้ก็ถือได้ว่าเป็นปรากฏไทยสปริงที่ปรากฏลงบนสื่อสากล เช่น ซีเอ็นเอ็น หรือบีบีซีอย่างน่าภาคภูมิใจ สำหรับหน้ากากขาวหรือหน้ากากกาย ฟอว์กส์ (ซึ่งน่าจะได้รับความนิยมกว่าสัญลักษณ์ดอกบัวของพลตำรวจเอก วสิษฐอย่างมากเพราะของฝ่ายหลังดูคล้ายคลึงกับสัญลักษณ์ของยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งอย่างกับแกะ) ได้รับอิทธิพลจากกาย ฟอว์กส์ (1570 – 1606) บุรุษชาวอังกฤษซึ่งไม่ได้ต่อสู้เพื่อสิทธิหรือเสรีภาพแบบประชาธิปไตย แถมยังมีพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของชาวไทยสปริงอย่างรุนแรง นั้นคือฟอว์กส์เป็น "พวกล้มเจ้า" เพราะต้องการลอบปลงประชนม์พระเจ้าเจมส์ที่ 1 เพื่อเปลี่ยนอังกฤษให้กลับมายึดถือนิกายคาทอลิกแต่ก็ถูกจับได้และประหารชีวิตเสียก่อน ดังนั้นจึงเป็นผลิตซ้ำความหมายของสัญลักษณ์ที่น่าสนใจสำหรับชาวไทยสปริงในการนำหน้ากากนี้เป็นตัวแทนขบวนการของตน (2) นอกจากนี้การที่หน้าของฟอว์กส์ได้รับความนิยมก็เพราะนักเขียนชาวอังกฤษ 2 คนคือ อลัน มัวร์และเดวิด ลอยด์ นำมาใช้เป็นหน้ากากสำหรับตัวเอกที่ต่อสู้กับรัฐบาลฟาสซิสต์ของอังกฤษในโลกอนาคตภายใต้งานที่ชื่อ V for Vendetta โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการที่มวลชนอังกฤษทำการประท้วงรัฐบาลของมาร์กาเรต แทตเชอร์อย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ 80 เมื่อนวนิยายกึ่งการ์ตูนเรื่องนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2005 ก็ได้นำหน้ากากกาย ฟอว์กส์ไปสู่ความนิยมของชาวโลกในการประท้วงรัฐบาลที่กดขี่ บั่นทอนเสรีภาพของประชาชนรวมไปถึงกลุ่มประชาชนที่ต่อต้านระบบทุนนิยมโดยการยึดครองวอลล์สตรีท (Occupy Wall Street) และสถานที่สำคัญหลายแห่งในโลกเมื่อ 2 ปีก่อน (โดยที่คนประท้วงก็คงมีอยู่มากที่ไม่รู้ว่าหน้ากากมีที่มาอย่างไร) ที่สำคัญทั้งนวนิยายและภาพยนตร์ต้องการให้ตัวเอกที่ใส่หน้ากากกาย ฟอว์กส์เป็นตัวแทนของแนวคิดอนาธิปไตย (Anarchism) หรือแนวคิดที่ต่อต้านปฏิเสธการมีอยู่ของรัฐเพราะเห็นว่ารัฐคือตัวแทนของการกดขี่ข่มเหง โดยต้องการให้สังคมของชนกลุ่มต่างๆ ร่วมกันปกครองตัวเอง สำหรับชาวไทยสปริงจำนวนมากก็ดูใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีกับระบบทุนนิยมอันแตกต่างจากกลุ่มยึดครองวอลล์ สตริท และเกือบทั้งหมดก็คงเป็นพวกภักดีเจ้าอย่างเหลือล้น (Hyper-royalist) หรือในอนาคตขอเดาเล่นๆ หากทหารทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไป ก็คงมีคนใส่หน้ากากกาย ฟอว์กส์ไปยืนชี้นิ้วเป็นรูปตัววีอยู่หน้ารถถังกันอยู่เป็นทิวแถว ก็เลยขอกดปุ่ม Like ให้กับชาวไทยสปริงอีกครั้งว่าได้สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับหน้ากากกาย ฟอว์กส์ว่าเป็นสัญลักษณ์เพื่อโจมตีรัฐบาลแต่ก็เชิดชูสถาบันที่ทรงอำนาจของ"รัฐ" ยิ่งกว่าตัวของรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ ! ========== (1) ถ้าคำนึงถึงประวัติศาสตร์ ไทยสปริงครั้งแรกน่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 การที่มักมีคนบอกว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนอำนาจจากบุคคลคนหนึ่งไปยังบุคคลกลุ่มหนึ่ง ก็เพราะพวกเขาถูกหล่อมหลอมโดยประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยมที่มุ่งนำเสนอคณะราษฎรในด้านบิดเบือนและไม่ได้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ "มวลชนสยาม" ไม่ว่าชนชั้นกลางหรือรากหญ้าในช่วงการปฏิวัติว่าได้สนับสนุนคณะราษฎรอย่างไร เหตุใดการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปโดยไม่นองเลือดและปราศจากการต่อต้านของมวลชน และคณะราษฎรนั้นได้กระทำการอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทย (2) ผู้เขียนเข้าใจตามแนวคิดโพสต์โมเดิร์นดีกว่าสัญลักษณ์เช่นนี้ก็อาจถูกนำไปมาใช้หรือผลิตซ้ำในอีกบริบทหนึ่งก็ได้ โดยที่ไม่มีใครสามารถกุมอำนาจในการให้ความหมายได้อย่างแท้จริง (แม้แต่แต่ผู้ให้กำเนิดสัญลักษณ์เอง) เช่นหน้ากากกาย ฟอว์กส์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าก็ไม่ใช่การผิดอะไรเพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ยอดนิยมทีเข้าถึงจิตใจคนรุ่นใหม่ได้ดีกกว่าดอกบัวของพลตำรวจเอกวสิษฐ แต่ผู้เขียนคิดว่าอย่างไรแล้วมันก็ยังมีจุดเชื่อมโยงระหว่างสัญลักษณ์ที่ถูกผลิตซ้ำมาใหม่กับบริบทแบบเก่าอยู่อย่างน้อยก็อยู่ในความคิดของคนที่รู้ที่มาของสัญลักษณ์เช่นนั้น เช่น ลองจินตนาการความรู้สึกของเราที่เห็นคนรุ่นใหม่เอาภาพพระพุทธรูปไปติดในห้องส้วม ในฐานะตัวแทนของความรู้สึกสว่าง สงบ สบายขณะถ่ายของเสีย หรือคนรุ่นใหม่เดินถือธงที่มีสัญลักษณ์สวัสดิกะของนาซีไปทั่วถนนแล้วบอกว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพดู ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รพ. ชุมชนภาคใต้-แพทย์ชนบท ร่วมแถลงย้ำไม่เอา P4P Posted: 03 Jun 2013 05:58 AM PDT รพ.ชุมชนภาคใต้ 7 จ.ตอนล่างแถลงร่วมข้อเสนอของแพทย์ชนบท ย้ำรัฐบาลต้องยกเลิกระบบ P4P เอาเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับที่ 4,6 มาใช้เช่นเดิม ระบุจะเคลื่อนไหวจนกว่าจะปลดนพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ จากการเป็นรมว.สาธารณสุข 3 มิ.ย. 56 - มีรายงานว่า ที่ห้องสัมมนาของโรงไฟฟ้าจะนะ มีการสัมมนาเพื่อทำความเข้าใจในกลุ่มวิชาชีพทุกวิชาชีพของโรงพยาบาลชุมชน 7 จังหวัดภาคใต้ เพื่อทำความเข้าใจต่อการประกาศไม่ทำ P4P และขอให้นำเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายคืนมา รวมทั้งกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลชุมชน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง นายแพทย์สมชาย ศรีสมบัณฑิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตากใบ จังหวัดนราธิวาส และนายแพทย์รอซาลี ปัตยบุตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา ได้แถลงย้ำรัฐบาลต้องยกเลิกระบบ P4P เอาเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับที่ 4,6 มาใช้เช่นเดิม และเรียกร้องให้ปลดนพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ จากการเป็นรมว.สาธารณสุข ในขณะที่ชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์และจุดยืนต่อการเจรจาในวันที่ 4 และ 6 มิ.ย. นี้ กับผู้แทนนายกรัฐมนตรี โดยย้ำว่าจะ "เคลื่อนไหวอารยะขัดขืนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องจนกว่า พีฟอร์พี จะถูกยกเลิก และ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ถูกย้ายออกจากกระทรวงสาธารณสุข" โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ของโรงพยาบาลชุมชน 7 จังหวัดภาคใต้ และชมรมแพทย์ชนบท มีดังนี้ สืบเนื่องจากการที่ทางรัฐบาลโดยตัวแทนจากนายกรัฐมนตรี นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ ได้ขอเจรจากับแพทย์ชนบทและเครือข่ายสุขภาพที่ออกมาไล่ รมต.ประดิษฐและไม่เอา p4p จนบรรลุข้อตกลงในการจัดการเจรจาในวันที่ 4 และ 6 มิถุนายน โดยเป็นการเจรจาตามข้อเรียกร้องของแพทย์ชนบท ทันตภูธร เครือข่ายโรงพยาบาลชุมชน เครือข่ายกลุ่มคนรักหลักประกัน สหภาพองค์การเภสัชกรรม เครือข่ายผู้ป่วยและองค์กรพัฒนาเอกชน กับผู้แทนรัฐบาลนั้น โรงพยาบาลชุมชน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ขอยืนยันว่า P4P คือยาพิษ จะไม่มีการเจรจาลงรายละเอียดเรื่อง P4P แต่อย่างใด ไม่รับทั้งหมด ไม่มีการโอนอ่อน และขอยืนยันข้อเรียกร้องที่ลดหย่อนไม่ได้เลยของแพทย์ชนบทและเครือข่ายโรงพยาบาลชุมชนนั่นคือ 1. การยกเลิกนโยบาย p4p สำหรับโรงพยาบาลชุมชนโดยสิ้นเชิง แล้วเอาเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับที่ 4,6 กลับมาใช้เช่นเดิม รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราสำหรับวิชาชีพอื่นที่นอกเหนือจากแพทย์ ทันตแพทย์ด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานและลดปัญหาการสมองไหลจากโรงพยาบาลชุมชน จะไม่มีการเจรจารายละเอียดใดๆในเรื่อง P4P 2. รัฐบาลต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลด นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ออกจากการเป็นรัฐมนตรี และมอบหมายให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รักษาการแทน และให้เป็นผู้แทนการเจรจาในฝั่งกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การเจรจาดำเนินไปได้ เพราะ รมต.ประดิษฐเป็นโมฆะบุรุษและเป็นเชื้อโรคร้ายที่บ่อนทำลายระบบสุขภาพ จึงไม่อาจให้มาทำหน้าที่ตัวแทนฝ่ายกระทรวงสาธารณสุขได้ การที่ผู้แทนท่านนายกรัฐมนตรีคือ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาขอร้องให้ชมรมแพทย์ชนบทยอมรับการเจรจานั้น ไม่ได้แปลว่าชมรมแพทย์ชนบทและโรงพยาบาลชุมชนทั้งหมดจะยุติความเคลื่อนไหวในการชุมนุมหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี แต่ทางชมรมแพทย์ชนบท โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีความพร้อมที่จะมาออกให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่หน้าบ้านนายกรัฐมนตรีทุกวัน และพร้อมจะชุมนุมยืดเยื้อหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี หากการเจรจาไม่นำไปสู่การตอบสนองข้อเรียกร้องทุกข้อ การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ระบบสุขภาพให้ไม่ถูกทุนสามานย์ยึดครองไป เป็นการต่อสู้เพื่อระบบสุขภาพที่เอื้อให้กับการดูแลสุขภาพคนทุกคนในสังคมไทยไม่เฉพาะคนจนคนชนบท เป็นบทบาทการแพทย์เพื่อสังคมที่ต้องยืนหยัด และขอเชิญคนไทยทั้งประเทศติดตามและเข้าร่วมการปกป้องระบบสุขภาพไทยในครั้งนี้ด้วย นายแพทย์รอซาลี ปัตยบุตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามัน จ.ยะลา กล่าวย้ำว่า "การที่ผู้แทนท่านนายกรัฐมนตรีคือ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาขอร้องให้ชมรมแพทย์ชนบทยอมรับการเจรจานั้น ไม่ได้แปลว่าชมรมแพทย์ชนบทและโรงพยาบาลชุมชนทั้งหมดจะยุติความเคลื่อนไหวในการชุมนุมหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี แต่ทางชมรมแพทย์ชนบท โดยเฉพาะแพทย์ชนบทและโรงพยาบาลชุมชนใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ยังพร้อมที่จะมาออกให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่หน้าบ้านนายกรัฐมนตรีทุกวัน และพร้อมจะชุมนุมยืดเยื้อหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี หากการเจรจาไม่นำไปสู่การตอบสนองข้อเรียกร้องทุกข้อ การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ระบบสุขภาพให้ไม่ถูกทุนสามานย์ยึดครองไป เป็นการต่อสู้เพื่อระบบสุขภาพที่เอื้อให้กับการดูแลสุขภาพคนทุกคนในสังคมไทยไม่เฉพาะคนจนคนชนบท เป็นบทบาทการแพทย์เพื่อสังคมที่ต้องยืนหยัด และขอเชิญคนไทยทั้งประเทศติดตามและเข้าร่วมการปกป้องระบบสุขภาพไทยในครั้งนี้ด้วย " สืบเนื่องจากการที่กระทรวงสาธารณสุขได้กดดันให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ทุกจังหวัด ให้ไปกดดันและลงมือสั่งการให้ รพช.ต่างๆต้องทำ P4P เพราะทั้งรัฐมนตรีประดิษฐ และปลัดกระทรวง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ สั่งลุยเต็มที่ก่อนการเจรจา สำหรับการประชุมประจำเดือนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานีในวันที่ 31 พ.ค. 56 นี้นั้น นพ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ แพทย์ดีเด่นในชนบท แพทย์ที่ชาวบ้านรักใคร่ ได้ตอบคำถามที่ว่า 'ทำ P4P หรือยัง ผู้ใหญ่เขาสั่งมา' นพ.เดชาตอบว่า "ถ้าท่านผู้บริหารกระทรวงฯ ถามผมว่า ดูแลประชาชนในพื้นที่ตามนโยบาย District Health System อย่างไร คืบหน้าแค่ไหน ผมจะรีบรายงานว่า ในจังหวัดของเรา ทีมทำงานในอำเภอร่วมกันอย่างแข็งขัน 4-5 อำเภอ แล้ว มีการตั้งกองทุนร่วมกับชุมชนเพื่อดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียงตามบ้าน บางอำเภอมีทีมขี่จักรยานออกไปเยี่ยมบ้าน แม้เป็นพื้นที่ในความรุนแรง ซึ่งพวกเราภูมิใจมากกับงานที่ทำนี้ และจะขยายออกไป แต่หากถามไร้สาระว่า ทำ P4P หรือยัง คำตอบของผม คือ ไม่ทำ" 0000 แถลงการณ์ชมรมแพทย์ชนบท เรื่องจุดยืนการเคลื่อนไหวและเป้าหมายการเจรจากับผู้แทนนายกรัฐมนตรี (วันที่ 4 และ 6 มิ.ย. 56) ตามที่ชมรมแพทย์ชนบท ชมรมทันตภูธร สหวิชาชีพ ในโรงพยาบาลชุมชน และเครือข่ายเพื่อความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วยสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรม เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เอดส์ หัวใจ มะเร็ง โรคเลือด เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้รวมตัวกันเคลื่อนไหวขับไล่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข เพื่อปกป้องระบบสาธารณสุขของรัฐ ไม่ให้ถูกครอบงำโดยกลุ่มผลประโยชน์ธุรกิจเอกชน และบริษัทยาข้ามชาติ ด้วยการเคลื่อนไหวอารยะขัดขืนทั่วประเทศ ไม่เอาพีฟอร์พี และไม่เอา นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ และประกาศ เลื่อนการชุมนุมจัดตั้ง รพ.คนจนภาคสนาม ที่หน้าบ้านนายกรัฐมนตรีจากวันที่ 6 มิ.ย. เป็นการชุมนุมในวันที่ 20 มิ.ย. 56 เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจากับผู้แทนนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 4 และ 6 มิ.ย. นี้ และเพื่อให้เกิดความชัดเจน ชมรมแพทย์ชนบทจึงขอประกาศจุดยืนการเคลื่อนไหว และเป้าหมายการเจรจากับผู้แทนนายกรัฐมนตรี ไว้ดังนี้ จุดยืนการเคลื่อนไหว 1. จะเคลื่อนไหวอารยะขัดขืนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องจนกว่า พีฟอร์พี จะถูกยกเลิก และ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ถูกย้ายออกจากกระทรวงสาธารณสุข 2. พร้อมเจรจากับผู้แทนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อมูลถึงภาวะอันตรายของระบบสาธารณสุขของรัฐที่กำลังจะล่มสลาย เพราะนโยบายที่ผิดทิศผิดทาง ทำร้ายคนจน เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจเอกชนและบริษัทยาข้ามชาติ พร้อมยื่นข้อเสนอถึงแนวทางการแก้ไข และความจำเป็นที่ต้องย้าย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ออกไปจากกระทรวงสาธารณสุข 3. ถ้าการเจรจาในวันที่ 4 และ 6 มิ.ย. 56 ไม่มีความคืบหน้า จะร่วมกับเครือข่ายวิชาชีพ รพ.ชุมชนทั่วประเทศ เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เอดส์ หัวใจ มะเร็ง โรคเลือด เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรม การไฟฟ้าฯ การประปาฯ และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ชุมนุมใหญ่และจัดตั้ง รพ.คนจนภาคสนามขึ้น หน้าบ้านนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 20 มิย. 56 นี้เป็นต้นไป จนกว่าจะได้เข้าพบท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อให้แก้ปัญหา และย้าย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ออกไป เป้าหมายการเจรจา 1. ขอให้นายกรัฐมนตรีย้าย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ออกจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของระบบสาธารณสุขของรัฐ 2. ยกเลิกนโยบายให้ร่วมจ่ายทุกกรณีในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ ให้มีการแยกผู้ซื้อบริการ (สปสช.) และผู้จัดบริการ (กระทรวงสาธารณสุข) ให้อิสระจากกัน และถ่วงดุลกันตามที่กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พศ. 2545 กำหนดไว้ 3. ยกเลิกเป้าหมายจะแปรรูปองค์การเภสัชกรรม ฟ้องเอาผิดกับผู้ที่ทำลายภาพลักษณ์องค์การเภสัชกรรม และเปลี่ยนคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมชุดปัจจุบัน 4. ยกเลิกการจ่ายค่าตอบแทนแบบพีฟอร์พี ในรพ.ชุมชน และใช้ระบบเหมาจ่ายเหมือนเดิมโดยตั้งงบประมาณให้เพียงพอ ไม่ให้กระทบต่อฐานะเงินบำรุงของ รพ. ที่มีเงินบำรุงไว้ใช้บริการผู้ป่วยโดยตรง ทั้งนี้ชมรมแพทย์ชนบทขอยืนยันว่าจะร่วมกับเครือข่ายเพื่อความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ ดำเนินการเคลื่อนไหวทุกวิถีทางด้วยความสงบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อปกป้องระบบสาธารณสุขของรัฐ ให้เอื้อกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ และหวังว่า ท่านนายกรัฐมนตรีจะเห็นปัญหาและแก้ไข ขจัดต้นตอของปัญหาออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบสาธารณสุขของรัฐ ถูกทำลาย และประชาชนเดือดร้อนในอนาคตอันใกล้นี้ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ และคณะกรรมการชมรมแพทย์ชนบท วันที่ 3 มิ.ย. 2556
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สื่อฝ่ายเห็นต่าง ยกประวัติเล่าเรื่อง‘ปืนใหญ่พญาตานี’ Posted: 03 Jun 2013 04:47 AM PDT เว็บไซด์ Ambranews ระบุวางปืนใหญ่จำลองที่มัสยิดกรือเซะไม่เคารพศาสนสถาน ไม่ได้ถามคนในพื้นที่ว่าต้องการของจำลองหรือไม่ พร้อมยกประวัติเล่าเรื่องปืนใหญ่เป็น 1 ใน 3 กระบอกที่ร่วมรบจนสุดท้ายถูกยึดไป เว็บไซด์ Ambranews ซึ่งเชื่อว่าเป็นเว็บไซด์ข่าวที่ใกล้ชิดกับขบวนการบีอาร์เอ็น ได้เขียนรายงานที่พูดถึงพิธีวางปืนใหญ่พญาตานีจำลอง ที่หน้ามัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2556 โดยระบุว่า เป็นการไม่เคารพศาสนสถานและไม่ได้ถามคนในพื้นที่ว่าต้องการปืนใหญ่จำลองจริงหรือไม่ทั้งที่เรียกร้องของจริงมานานแล้ว อีกทั้งยังได้ยกประวัติศาสตร์ปืนใหญ่กระบอกนี้ว่า เป็น 1 ใน 3 กระบอกที่ร่วมรบกับกองทัพสยามมา 4 ครั้ง สุดท้ายแพ้ให้กองทัพไทย ภายใต้การนำของแม่ทัพพระยากลาโหม และถูกยึดเป็นสินสงคราม ทว่าปืนใหญ่ศรีนาคราได้ตกลงไปในทะเลขณะลำเลียง ส่วนปืนใหญ่มหาเลลาได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย สำหรับเนื้อหารายงานชิ้นนี้ ซึ่งพาดหัวว่า Meriam Sri Patani tiruan di Patani (ปืนใหญ่จำลองที่ปาตานี) แปลเป็นภาษาไทยคำต่อคำ ดังนี้ ....... เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2556 ได้กลายเป็นปรากฏการณ์กับพิธีการวางปืนใหญ่จำลองที่เสมือนจริงของปืนใหญ่ศรีปาตานี หรือที่คนไทยเรียกว่า พญาตานี ที่ตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งนานมากแล้วที่คนในพื้นที่เรียกร้องให้คืนศรีปาตานีหรือพญาตานีกลับสู่ถิ่นเดิม แต่การเรียกร้องดังกล่าวถูกเพิกเฉย แต่เมื่อวันนี้ (2 มิถุนายน 2556) ได้คืนกลับมาเพียงปืนใหญ่ศรีปาตานีที่ถูกจำลองขึ้น ถูกนำไปวางบนแท่นรองรับปืนใหญ่บริเวณมัสยิดกรือเซะ และมีการเดินขบวนพาเรดยิ่งใหญ่ในช่วงเที่ยงวันดังกล่าว ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า ปืนใหญ่ดังกล่าว(ของจริง) ถูกหล่อเมื่อปี ค.ศ.1616 -1624 ในสมัยของรายาบีรู โดยชายชาวจีนที่มารับอิสลาม ณ แผ่นดินปาตานีในสมัยนั้น นามว่า โต๊ะ กายัน หรือลิ่ม โตะ เคี้ยน ซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำการหล่อปืนในครั้งนั้น เพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับข่าวลือว่า สยามจะเข้าโจมตี ปาตานี ในสมัยนั้น ลิ้ม โต เคี้ยม ได้หล่อสำเร็จแล้วสามกระบอก คือ SRI PATANI (พญาตานี) SRI NAGARA (ศรีนครา) และ MAHA LELA (มหาเลลา) ซึ่งมหาเลลา เป็นปืนกระบอกเล็กที่สุดในบรรดาปืนทั้ง 3 กระบอก คือวัดได้เพียง 5 ศอก 1 คืบ ศรีนาคราและศรีปาตานี เป็นปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ปืนใหญ่ทั้ง 3 กระบอก ได้ทำหน้าที่ในการป้องกันการรุกรานจากกองทัพสยามมา 4 ครั้ง เมื่อ ค.ศ.1603, 1632, 1634 และ 1638 หลังจากล้มสลายของอาณาจักรอยุธยา เมื่อปีค.ศ.1767 เป็นช่วงสมัยที่รัฐปาตานี ปกครองโดย ซุลต่านมูฮัมหมัด (ค.ศ.1776 - 1786) หลังจากที่ได้พยายามปลดปล่อยตัวเองจากการคุกคามของไทย อย่างไรก็ตาม ในปี 1785 กองทัพไทย ภายใต้การนำของแม่ทัพพระยากลาโหม ประสบความสำเร็จในการทำการรบชนะปาตานี ปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก นั้นคือ ศรีนาครา กับ ศรีปาตานีหรือพญาตานี ถูกยึดเป็น "สินสงคราม" ศรีนาคราได้ตกลงไปในทะเล ขณะลำเลียงโดยเรือเพื่อนำไปสู่เมืองหลวง โดยระบุว่า ได้ตกลงในอ่าวปัตตานี และต่อมามหาเลลา ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อปี ค.ศ.1787, พระราชา รามาที่ 1 ได้มีกระแสรับสั่งให้หล่อปืนใหญ่ในลักษณะเดียวกันกับ ศรีปาตานี หรือพญาตานี โดยมีขนาดเท่ากัน และตั้งชื่อว่า นารายณ์สังหาร ที่ถูกวางคู่กันหน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานครฯ (อ้างอิง :อิบรอเฮม ซุกรี ในหนังสือ ประวัติศาสตร์อาณาจักรมลายูปาตานี) ปรากฏการณ์นี้ สร้างความเจ็บปวดแก่ชาวมลายูปาตานี ที่เคยเรียกร้องให้มีการคืนสิทธิดั่งเดิมของชาวมลายูปาตานี ซึ่งชัดเจนว่า เป็นของคนที่นี้ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่า ขณะนี้ ปืนใหญ่ศรีปาตานี หรือพญาตานี ถูกจัดเป็น "สินสงคราม" ที่ไม่ถูกอนุญาตให้ส่งคืนสู่ถิ่นเดิม แต่ได้สร้างปืนจำลองเสมือนจริง แทน Ambranews ได้ติดตามพิธีดังกล่าวนั้น มองว่า พิธีดังกล่าวมีหลายเรื่องที่เป็นเรื่องที่อดสู อับอาย เนื่องจากการนำปืนใหญ่ดังกล่าวได้กระทำหน้ามัสยิด ที่เป็นเสมือนบ้านของพระเจ้า พิธีการดังกล่าวไม่ได้แสดงถึงความเคารพในสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของมุสลิม หลังเสร็จสิ้นการวางปืนใหญ่แล้วนั้น ปืนใหญ่ดังกล่าวได้กลายเป็นเพียงของเล่นของเด็กๆ ฝ่ายรัฐไทยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของชาวมลายูปาตานี ว่าต้องการอะไร ผิดตรงไหนที่ปืนใหญ่ที่เป็นของคนปาตานี จะกลับคืนสู่ถิ่นเดิม รัฐไทยเคยถามความเห็นคนในพื้นที่หรือไม่ว่า ต้องการ ปืนใหญ่จำลองนี้ มาอยู่บนผืนแผ่นดินปาตานี หรือเปล่า??" ลิงค์บทความต้นฉบับ http://www.ambranews.com/berita-hangat/meriam-sri-patani-tiruan-di-patani/ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
“ไม่อยากเห็น... คนมาฆ่ากัน” สมชาย ปัตตานี ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ Posted: 03 Jun 2013 03:31 AM PDT อีกหนึ่งการแสดงของหนุ่มชายแดนใต้ "สมชาย ปัตตานี" บนเวทีไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ กลั่นความรู้สึกจากใจผู้สูญเสีย ผ่านบทเพลงนกพิราบสีขาว ตรงนี้ลุกเป็นไฟ พร้อมอยากจะเห็น...เหมือนดั่งเคย จับมือกอดคอกันเอ๋ยที่เคยผ่านมา "ไม่อยากเห็น... คนมาฆ่ากัน จับปืนถือมีดไล่ฟัน กันอีกเลย อยากจะเห็น...เหมือนดั่งเคย จับมือกอดคอกันเอ๋ย ที่เคยผ่านมา" นั่นเป็นเนื้อหาในบทเพลงส่วนหนึ่งที่ "สมชาย ปัตตานี" ร้องแสดงในคลิปวิดีโอที่บันทึกการแสดงของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คลิปวิดีโอที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูปเพียงวันเดียว แล้วมีคนคลิกดูมากถึง 100,000 กว่าครั้ง ยิ่งเป็นคลิปที่เกี่ยวกับชายแดนใต้ ยิ่งหายาก เป็นคลิปที่ว่า ชื่อว่า "ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ - TGT 3 (2 JUNE 2013) - สมชาย ปัตตานี" เป็นคลิปบันทึกรายการไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทวีช่อง 3 ที่ออกอากาศเมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2556 ซึ่งถูกอับโหลดขึ้นเว็บไซต์ในวันเดียวกัน เป็นคลิปบันทึกการแสดงการร้องเพลงของนายสมชาย นิลศรี อายุ 29 ปี อาชีพค้าขาย ระบุว่าชาวเป็นชาวจังหวัดปัตตานี เดินทางมาเพื่อร้องเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เอาความรู้สึกของคนที่ตรงนั้นมาผ่านเสียงเพลง เนื้อร้องและทำนองของตัวเอง โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ "ผมไม่อยากให้หูต้องได้ยินเสียงปืน แล้วตาก็ต้องไปเห็นคนที่นอนห่อเสื่อมา ไม่ว่าจะซ้อนท้ารถกระบะหรือว่าซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งภาพยังอยู่ในตาของผม เมื่อตอนตรุษจีนปีที่แล้ว" "แม้กระทั่งหลานของผม หรือว่าเพื่อนหรือพ่อของเพื่อนของผม จากไปโดยที่ไม่หวนกลับคืนมา ผมเด็ก 3 จังหวัดชายแดนใต้คนหนึ่ง ที่รู้ถึงความรู้สึกของครอบครัวผู้ที่สูญเสีย ถึงแม้มันไม่อาจจะเรียกกลับคืนมา" "อยากจะพูดถึงเพื่อนที่คิดไปในทางที่ไม่ดี ขอให้เพื่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิม คนใต้บ้านเรายังไงก็ทำได้ ขอให้เพื่อนๆคนใต้ทุกคนมั่นใจ ผมเด็ก 3 จังหวัดภาคใต้คนหนึ่งขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด" จบการแนะนำตัว เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม จากสมชายก็เริ่มบทเพลงของตัวเองทันที "นกพิราบสีขาวจงกลับคืนมา ปกป้องดูแลรักษาประชาได้ไหม นกพิราบสีขาว ตรงนี้ลุกเป็นไฟ กลับมาปกป้องโพยภัยให้พวกฉันที ผู้คนไม่เข้าใจกัน ต่างเข้าใจกันคนละทาง ไม่สามัคคีเหมือนอย่าง ที่เคยเป็น #ไม่อยากเห็น... คนมาฆ่ากัน จับปืนถือมีดไล่ฟัน กันอีกเลย อยากจะเห็น...เหมือนดั่งเคย จับมือกอดคอกันเอ๋ย ที่เคยผ่านมา จะต้องล้มตายอีกสักเท่าใด ก็เราคนไทยด้วยกันทั้งนั้น อยากจะเห็นเหมือนดั่งเคย จับมือกอดคอกันเอ๋ย เหมือนอย่างที่เคยผ่านมา ด้วยเนื้อหาและความรู้สึก ไม่น่าเชื่อว่า ผ่านไปไม่ทันถึง 24 ชั่วโมงหลังการอับโหลดคลิปนี้ ก็มีคนคลิกเปิดชมไปแล้วกว่า 170,000 คน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หลายองค์กรเรียกร้องเปิดทางให้ประชาชนหลบหนีจากการสู้รบในเมืองคูซาเยร์ของซีเรีย Posted: 03 Jun 2013 03:02 AM PDT ขณะที่เมืองคูซาเยร์ที่ฝ่าบกบฏยึดครองอยู่กำลังถูกล้อมโดยกองทัพฝ่ายรัฐบาล ทางยูเอ็นและองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์เรียกร้องให้มีการเปิดทางให้ประชาชนในพื้นที่หลบหนีและให้กลุ่มช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปดูแลผู้บาดเจ็บ ขณะที่กก.กาชาดระหว่างประเทศรับทราบการแจ้งเตือนและกำลังวางแผนส่งความช่วยเหลือ 2 มิ.ย. 2013 องค์กรกาชาดสากลได้รับการเตือนเรื่องสถานการณ์การสู้รบระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏในเมืองคูซาเยร์ ประเทศซีเรีย โดยพร้อมเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำและยาแก่ประชาชนในพื้นที่ซึ่งคาดว่ามีประชาชนหลายพันคนถูกปิดล้อมอยู่ในเมืองโดยกลุ่มกองกำลังผสมของรัฐบาล โดยพื้นที่เมืองคูซาเยร์ (Qusair/Qusayr) ตั้งอยู่ใกล้กับเขตพรมแดนระหว่างซีเรียกับประเทศเลบานอน ถือเป็นเขตยุทธศาสตร์การสู้รบเนื่องจากฝ่ายรัฐบาลต้องการใช้เมืองนี้เป็นทางผ่านในการลำเลียงอาวุธและกองกำลังฮิซบอลเลาะห์เข้ามาช่วยสู้รบกับฝ่ายกบฏซึ่งมีกองกำลังยึดพื้นที่เมืองนี้อยู่ มีหลายองค์กรออกมาเรียกร้องให้มีการเปิดทางให้ประชาชนในพื้นที่สามารถหลบหนีออกมาจากสภาพที่มีการสู้รบระหว่างสองฝาย โดยที่เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมานักกิจกรรมฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเปิดเผยต่อสำนักข่าว BBC ว่ายังคงมีประชาชนราว 30,000 คน อยู่ในเมืองคูซาเยร์ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) กล่าวในแถลงการณ์ว่าพวกเขาได้รับการเตือนจากรายงานเรื่องมีพลเรือนติดอยู่ในเมืองคูซาเยร์และกำลังเตรียมการให้ความช่วยเหลือโดยทันที ทางด้านองค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้มีการเปิดเส้นทางความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและเส้นทางหลบหนีให้กับประชาชนในเมือง และเตือนว่ากองกำลังที่อยู่ฝ่ายเดียวกับประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด และฝ่ายกบฏจะต้องรับผิดชอบถ้ามีพลเรือนที่ติดอยู่ในเมืองได้รับความเดือดร้อน "ทั้งโลกกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ และพวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนในคูซาเยร์" สหประชาชาติกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. วาเลอรี่ อามอส ผู้ประสานงานการบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และนาวี พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเปิดเผยอีกว่า มีประชาชนราว 1,500 คนได้รับบาดเจ็บ และต้องการรักษาอย่างทันท่วงที อีกทั้งสถานการณ์ทั่วไปในเมืองคูซาเยร์ดูน่าสิ้นหวัง ขณะที่โฆษกของพิลเลย์กล่าวว่าการสร้างเส้นทางความช่วยทางมนุษย์ธรรมจะเกิดขึ้นได้หากฝ่ายที่สู้รบทั้งสองฝ่ายยอมตกลง "อย่างน้อยควรจะมีการหยุดยิงและอนุญาตให้พลเรือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บออกมาจากพื้นที่ และยอมให้การช่วยเหลือเข้าไป พลเรือนที่ติดอยู่ในเมืองต้องการน้ำและอาหาร" รูเพิร์ต โคลวิลล์ โฆษกของพิลเลย์กล่าว องค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ก็ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องเรื่องดังกล่าวในวันเดียวกัน โดยฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่าพวกเขาได้รับรายงานจากนักกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลในพื้นที่กล่าวหาว่ากองกำลังฝ่ายรัฐบาลโมตีใส่ประชาชนที่กำลังหลบหนี แถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ยังได้แสดงความกังวลต่อคววามปลอดภัยของประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่และนักรบที่ถูกจับตัวไว้ไม่ว่าจะจากฝ่ายใดก็ตาม พวกเขาอยากให้รัฐบาลซีเรียกดดันเจ้าหน้าที่ฝ่ายตนให้ปฏิบัติตามกฏนานาชาติโดยการไม่โจมตีใส่พลเรือน อนุญาตให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในพื้นที่โดยทันที และปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างเป็นมนุษย์ "กองกำลังใดๆ ก็ตามที่ปิดกั้นไม่ให้พลเรือนออกจากพื้นที่เมืองอัล-คูซาเยร์ ถือว่ากำลังกระทำการละเมิดกฏของสงคราม" ซาราห์ เลียห์ วิทสัน ผู้อำนวยการฝ่ายตะวันออกกลางของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว
UN wants safe corridor for Syrian citizens, Aljazeera, 02-06-2013 Syria conflict: Red Cross 'alarmed' over Qusair, 02-06-2013 Syria: Allow Civilians to Flee from al-Qusayr, 01-06-2013
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ชิคาโก ซัน-ไทมส์' ปลดช่างภาพทั้งหมด-เทรนนักข่าวใช้ไอโฟน Posted: 03 Jun 2013 01:03 AM PDT หนังสือพิมพ์ชิคาโก ซัน-ไทมส์ ของสหรัฐอเมริกาไล่ช่างภาพทั้งทีมจำนวน 28 คน ออก พร้อมวางแผนอบรมถ่ายภาพด้วยไอโฟนเบื้องต้นให้นักข่าว แหล่งข่าวระบุว่า ช่างภาพซึ่งเป็นพนักงานประจำทั้ง 28 คน ได้ทราบข่าวการเลิกจ้างนี้เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยให้มีผลทันที โรเบิร์ต เฟเดอร์ บล็อกเกอร์และคอลัมนิสต์ด้านสื่อ โพสต์ในเฟซบุ๊กของเขาว่า ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (31 พ.ค.) นักข่าวของชิคาโก ซัน-ไทมส์ ต้องเข้าร่วมการอบรมภาคบังคับเรื่องการถ่ายภาพด้วยไอโฟนเบื้องต้น หลังจากปลดช่างภาพออกทั้งหมด ด้านหนังสือพิมพ์ชิคาโก ซัน-ไทมส์ เผยแพร่แถลงการณ์ระบุว่า ธุรกิจของซัน-ไทมส์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผู้อ่านก็มองหาเนื้อหาข่าวในรูปแบบวิดีโอมากขึ้น โดยองค์กรได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อตอบสนองความต้องการนี้และได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความสามารถในการรายงานข่าวด้วยวิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ หนึ่งในผู้ที่ถูกปลดออก รวมถึง จอห์น เอช ไวท์ ช่างภาพรางวัลพูลิตเซอร์ สาขาภาพสารคดี ในปี 1982 ด้วย หลังการประกาศดังกล่าว สหภาพแรงงานหนังสือพิมพ์ชิคาโกระบุว่ากำลังพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับหนังสือพิมพ์ดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องให้รับพนักงานกลับเข้าทำงาน โดยช่างภาพ 28 คนที่ถูกไล่ออกนั้นเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน 20 คน
ที่มา: ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Timeline: การใช้งาน 'หน้ากากกายฟอว์กส์' แบบไทยๆ Posted: 02 Jun 2013 10:09 PM PDT ชุมนุม "หน้ากากกายฟอว์กส์" ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้ถูกนำมาใช้ด้วยวัตถุประสงค์หลากหลายภายใต้บริบทไทยๆ นับตั้งแต่เรียกร้องให้ปิด "เว็บหมิ่นฯ" - ประท้วงสหประชาชาติและสถานทูตสหรัฐฯ ที่ไม่เห็นด้วยต่อคำตัดสินคดี ม.112 - ไปจนถึงการทวงคืน "เหนือเมฆ"! ตามที่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ได้เปลี่ยนรูปโพรไฟล์เป็นรูป "หน้ากากกายฟอว์กส์" (Guy Fawkes) จากภาพยนตร์เรื่องวี ฟอร์ เวนเดตตา (V For Vendetta) และโพสต์ข้อความว่า "ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย" และตามมาด้วยการเพจ V for Thailand และเพจอื่นๆ ได้นัดหมายชุมนุม "แฟลชม็อบ" ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมาเรียกร้องให้มีการ "รวมพลังล้มล้างระบอบทักษิณ" นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้ หลังการฉายภาพยนตร์ "วี ฟอร์ เวนเดตตา" (V for Vendetta) มีการนำ "หน้ากากกายฟอว์กส์" ไปใช้ในการเคลื่อนไหวหลายครั้งในโลก เช่น กลุ่มแฮกเกอร์ Annonymous ขบวนการ Occupy Wall Street ในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่การประท้วงต่อต้านศาสนจักรแห่งวิทยาศาสตร์ "Church of Scientology" ก็มีปรากฏผู้สวมหน้ากากกายฟอว์กส์มาต่อต้าน ในกรณีของประเทศไทย การรวมตัวของคนสวมหน้ากากกายฟอว์กส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ภายใต้รหัส "ยุทธการ ประกาศศักดา รวมพลใหญ่ คนหน้ากาก" นั้น ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่มีการนำหน้ากากกายฟอว์กส์มาใช้ในการประท้วง แต่มีการนำหน้ากากกายฟอว์กส์มาใช้แล้วก่อนหน้านี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลากหลายภายใต้บริบทไทยๆ นับตั้งแต่เรียกร้องให้ปิดเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวหาว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ประท้วงผู้ที่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปจนถึงการทวงคืนละคร "เหนือเมฆ"!
000 เรียกร้องปิดเว็บหมิ่นการประท้วงเมื่อ 1 ธันวาคม 2554 เรียกร้อง "ปิดเว็บหมิ่นฯ" ด้านหลัง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ มีผู้ร่วมประท้วงสวมหน้ากากกายฟอว์กส์ด้วย (ที่มาของภาพ: เดลินิวส์) โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 เดลินิวส์ และ สำนักข่าวไทย รายงานว่า นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่ม "ประชาชนคนไทยผู้จงภักดี" เดินทางไปยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปิดเว็บหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมาย ตามมาตรา 112 อย่างจริงจัง ทั้งนี้กลุ่มที่มี นพ.ตุลย์ เป็นแกนนำดังกล่าวให้เหตุผลของการยื่นหนังสือว่า "เนื่องจากขณะนี้มีกลุ่มบุคคลจำนวนมากได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพผ่านระบบออนไลน์กันมาก ทั้งในรูปแบบเว็บไซด์ เฟสบุ๊คแฟนเพจ หรือการสร้างเพจเพื่อกระทำการหมิ่นสถานบันโดยตรง รวมทั้งมีการเผยแพร่คลิปวีดีโอตัดต่อเป็นเรื่องราวและใช้ถ้อยคำหยาบคาย และขณะนี้มีมากกว่า 1 หมื่นเว็บไซต์ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วน" โดยในภาพข่าวการยื่นหนังสือดังกล่าวได้ปรากฏผู้สวม "หน้ากากกายฟอว์กส์" ร่วมกิจกรรม โดยยืนอยู่หลัง นพ.ตุลย์ ด้วย 000
ประท้วงสหรัฐ-ยูเอ็น เรียกร้องให้ขอโทษการประท้วงหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนิน เมื่อ 16 ธันวาคม 2554 (ที่มาของภาพ: เพจ V for Thailand) การประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา ถ.วิทยุ เมื่อ 16 ธันวาคม 2554 (ที่มาของภาพ: เพจ V for Thailand)
การประท้วงเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ครั้งนี้ เริ่มมีผู้สวมหน้ากากกายฟอว์กส์รวมการประท้วงมากขึ้น โดยในวันดังกล่าว นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ได้นำกลุ่ม "สยามสามัคคี" ไปประท้วงหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนิน และสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงเทพมหานคร โดยเรียกร้องให้ทั้งสหประชาชาติ และสถานทูตสหรัฐอเมริกาออกมาขอโทษ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) สำหรับการประท้วงดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2554 จากกรณีที่ แฟรงค์ ลา รู (Frank La Rue) ผู้ตรวจการพิเศษด้านเสรีภาพการแสดงออกแห่งสหประชาชาติ ส่งแถลงการณ์จากเจนีวา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ พร้อมเสนอตัวในการ 'ร่วมมืออย่างสร้างสรรค์' กับ 'คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย' เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) และต่อมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2554 โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฝ่ายเอเชียตะวันออก เดอรราจ์ พาราดิโซ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า สหรัฐอเมริการู้สึก "หนักใจ" กับการตัดสินของศาลในคดีของนายอำพล หรือ 'อากง' ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและละเมิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเห็นว่าการตัดสินคดีนายอำพล "ไม่สอดคล้อง" กับหลักสิทธิมนุษยชนสากลด้านเสรีภาพในการแสดงออก เช่นเดียวกับ นางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม2554 ว่าสหรัฐอเมริกากังวลใจต่อการตัดสินคดีของ 'โจ กอร์ดอน' ชายไทย-อเมริกันที่ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยทางการสหรัฐให้ความเคารพต่อสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างสูงสุด แต่รู้สึกเป็นกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในด้านเสรีภาพ ในการแสดงออก (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้ แถลงการณ์ของกลุ่มสยามสามัคคีระบุด้วยว่า "การเรียกร้องของบุคคลดังกล่าว เป็นกระบวนการเพื่อล้มล้างความเป็นมาตรฐานสากลของกระบวนการยุติธรรมไทย และทำลายความเชื่อมั่นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในไทย ไม่เคารพสิทธิ ความมั่นคงของชาติ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และอาจทำให้เกิดความเกลียดชังในชาติ ยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ" โดยทางกลุ่มยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำการชี้แจง "ให้บุคคลดังกล่าวและนานาประเทศเข้าใจและยอมรับการปกครองของไทย" และให้รัฐบาล "ทำหนังสือประณามการแทรกแซงกิจการภายใน ลบหลู่กระบวนการยุติธรรมของไทย และการแสดงออกที่มีผลให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย" 000
ทวงคืน "เหนือเมฆ"กระแสหน้ากากกายฟอว์กส์ กลับมาอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556 สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้งดฉายละคร "เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์" กลางคัน โดยให้เหตุผลว่า "เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ" โดยนำละครเรื่อง "แรงปรารถนา" นำแสดงโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ และ คิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ มาฉายแทน โดยทำให้เกิดกระแสทวงคืนละคร "เหนือเมฆ" ขนานใหญ่ แม้แต่ ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้ดำเนินรายการ "เวทีสาธารณะ" และบรรณาธิการข่าวสังคมและนโยบายสาธารณะ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ยังโพสต์สเตตัส เสนอให้เอาละครเหนือเมฆมาฉายที่ไทยพีบีเอส (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) (ที่มาของภาพ: เพจรณรงค์แบนช่อง 3 กรณีถอดละคร "เหนือเฆม 2" สนองคำสั่งนักโกงเมือง [1], [2]) ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2556 กลุ่มสังคมออนไลน์ทางเฟซบุ๊ก ในนาม "รณรงค์แบนช่อง 3 กรณีถอดะครเหนือเมฆ 2 สนองคำสั่งนักโกงเมือง" ได้มาชุมนุมที่หน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ ถนนพระรามที่ 4 เพื่อคัดค้านการถอดละคร "เหนือเมฆ 2" และชูป้ายให้กำลังใจทีมงานละคร "เหนือเมฆ 2" โดยผู้ชุมนุมได้พร้อมใจกันสวมหน้ากากกายฟอว์กส์ด้วย 000
ฯลฯและหลังจากที่มีการรณรงค์ใช้รูปหน้ากากกายฟอว์กส์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม เพื่อต่อต้านรัฐบาลและระบอบทักษิณ และก่อนที่จะมีการนัดหมายชุมนุมที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อ 2 มิถุนายน ก็ได้มีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลนำหน้ากากกายฟอว์กส์ไปใช้ในการรณรงค์ หน้ากากกายฟอว์กส์ โดย "แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน" ที่สนามหลวงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556 (ที่มาของภาพ: เพจ V for Thailand) โดยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน นำโดยนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ซึ่งเดินทางมาจาก จ.ศรีสะเกษ จ.นครราชสีมา และเข้ามาชุมนุมที่สนามหลวงตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ได้จัดอาสาสมัครสวมหน้ากากกายฟอว์กส์ ชุมนุมหน้ากากกายฟอว์กส์ ที่ ถ.สีลม เมื่อ 31 พฤษภาคม 2556 (ที่มาของภาพ: เพจ V for Thailand) และในวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 มีการสวมหน้ากากกายฟอว์กส์ไปรวมตัวกันที่ ถ.สีลม เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐบาล
ที่มาของภาพ: ASTV ผู้จัดการออนไลน์
นอกจากนี้ในวันเดียวกัน ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้พาดหัวข่าวว่า "ร่วมปฏิบัติการ 'หน้ากาก V' !!" โดย ชวนให้ประชาชนมาซื้อ 'สติ๊กเกอร์กายฟอว์กส์" ที่ 'ASTV Shop' บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. หรือซื้อ "ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์" ฉบับล่าสุดที่มีสติ๊กเกอร์แถมในเล่ม โดยลงข้อความในข่าวว่า "'ASTVผู้จัดการ' ขอเชิญท่านร่วมขยายเครือข่ายปฏิบัติการ 'หน้ากาก V' จากโลกไซเบอร์ สู่ท้องถนนและทุกซอกมุมในสังคม ด้วยการติด 'สติกเกอร์หน้ากากV' เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งเดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องโดยไม่ฟังเสียงประชาชน" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) และหลังจากนี้คงจะได้เห็นการชุมนุมของผู้สวมหน้ากากกายฟอว์กส์ ภายใต้ภารกิจ "ล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย" อีกหลายครั้ง เพราะหลังจากการชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ล่าสุดในวันนี้ (3 มิ.ย.) เพจ V for Thailand ได้ประกาศว่าจะจัดกิจกรรมชุมนุมหน้ากากกายฟอว์กส์อีกโดยจะจัดในกรุงเทพฯ 31 กรกฎาคม และอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 30 กันยายนนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Science Space : วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กับความมั่นคง Posted: 02 Jun 2013 04:08 PM PDT
รายการ Science Space เทปนี้นำเสนอตอนแรกของซีรีย์ 'วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กับความมั่นคง' ในมิติความมั่นคงทางด้านการทหาร พบกับ พ.อ.ธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองศึกษาวิจัยยุทธศาสตร์ ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย หรือที่รู้จักกันทั่วไปในโลกออนไลน์ว่า 'ทอทหาร' ในปัจจุบัน ความหมายของคำว่า 'ความมั่นคง' ได้ขยายความออกไปกว้างขวางกว่าที่เคยเข้าใจกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ซึ่งไม่ได้หมายความเฉพาะแค่ความมั่นคงในมิติทางการทหาร แต่กินความไปถึงภัยต่างๆ ที่คุกคามต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างสึนามิ แผ่นดินไหว อุทกภัย วาตภัย หรือกระทั่งการขาดแคลนพลังงาน อาหาร และอื่นๆ เป็นต้น สนทนากับ 'ทอทหาร' ถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ต่อการทหารตั้งแต่อดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันว่ามีความก้าวหน้าถึงไหนอย่างไร อากาศยานไร้คนขับ (Drone) Super Soldier ในปฏิบัติการล่าโอซามา บิน ลาเดน ในอัฟกานิสถาน เป็นอย่างไร และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารในประเทศไทย มีอะไรที่น่าสนใจ มีปัญหาอุปสรรคและความท้าทายอย่างไรบ้าง ดำเนินรายการโดย ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ และ รศ.ดร.โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น