โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

วงถกคนรุ่นใหม่อีสานสร้างสังคมการอ่าน แนะเปิดเสรีภาพการจำหน่าย-ปลดล็อคหนังสือต้องห้าม

Posted: 13 Jun 2013 01:32 PM PDT

กลุ่มแว่นขยาย ร่วมกับคนรุ่นใหม่จังหวัดอุบลราชธานี จัดงาน "Book Talk หนังสือพูดได้ ลานสนทนาฅนรุ่นใหม่อีสานกับการอ่าน" ชวนคนหนุ่มสาวร่วมขบคิดสร้างสังคมการอ่าน

 
 
วันที่ 13 มิ.ย. 2556 กลุ่มแว่นขยาย ร่วมกับคนรุ่นใหม่จังหวัดอุบลราชธานี จัดงาน "Book Talk หนังสือพูดได้ ลานสนทนาฅนรุ่นใหม่อีสานกับการอ่าน" ณ ลานหน้าฟรีดอมโซน อุบลราชธานี เพื่อสร้างบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นที่สะท้อนการอ่านในสังคมไทยอย่างมีเหตุผล
 
กิจกรรมเริ่มต้นโดยการกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดย นางสาวขจรปรีย์  ภู่งาม ผู้จัดการฟรีดอมโซน แนะนำฟรีดอมโซนที่เป็นพื้นที่เปิดให้บริการสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะจัดดำเนินกิจกรรม และตัวแทนจากกลุ่มแว่นขยายกล่าวถึงความสำคัญในการจัดกิจกรรม ที่ต้องการสร้างการพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองการอ่านของคนรุ่นใหม่อีสานและคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย
 
นางสาวสิรินทรา พุฒิจันทร์ ผู้เข้าร่วมกล่าวถึงความชอบส่วนตัวในการอ่านว่า ชอบอ่านหนังสือมากกว่าการดูหนัง เพราะได้จินตนาการตัวละครในหนังสือ หนังสือหลายเล่มที่ผู้เขียนสามารถดึงดูดให้ผู้อ่านตั้งใจอ่านจนจบเล่มได้ แต่ปัจจุบันหนังสือดีๆ หลายเล่มมีราคาสูงทำให้โอกาสของผู้อ่านลดลง รวมทั้งในสังคมไทยเองยังมีการจำกัดไม่ให้อ่านหนังสือบางเล่ม ซึ่งยิ่งห้ามยิ่งทำให้คนอยากรู้และหาอ่าน พร้อมทั้งเสนอแนะให้รัฐมีบทบาทในการควบคุมราคาหนังสือและจัดบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสม รวมทั้งเปิดเสรีภาพการจำหน่ายหนังสือให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงที่มิจำกัดใดๆ
 
นายเจนณรงค์ วงษ์จิตร กล่าวว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่หันไปอยู่ในสังคมออนไลน์มากกว่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด ยุคสมัยที่สังคมเปลี่ยนแปลงทำให้คนไม่มีโอกาสในการสัมผัสบรรยากาศรอบตัวขณะอ่านหนังสือพร้อมทั้งเสนอแนะให้คนรุ่นใหม่ซื้อหนังสือมาเก็บไว้แม้จะยังไม่ได้อ่าน แต่สักวันในอนาคตที่มองเห็นหนังสือจะได้มีโอกาสหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
 
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมระดมความเห็นเพื่อเสนอทางออกให้สังคมเกี่ยวกับการอ่านของคนรุ่นใหม่อีสานและคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย ดังนี้
 
การอ่านหนังสือควรเริ่มต้นจากความสนใจของตนเองที่มิต้องตามกระแสผู้อื่น และอย่าคิดว่าหนังสือที่ตนเองอ่านไม่สำคัญ
 
อยากเห็นบรรยากาศการส่งเสริมการอ่านรูปแบบที่น่าสนใจให้กับคนรุ่นใหม่ผ่านกระบวนการที่สนุกสนาน อาทิ การทำละคร การทำสื่อให้คนรุ่นใหม่พิจารณาและไปหาคำตอบจากการอ่าน
 
ควรมีการจัดศูนย์กลางการค้นคว้าและการอ่านให้มากขึ้นในสังคม หนังสือที่อยู่ในศูนย์ควรเป็นหนังสือที่มีความหลากหลายเพียงพอต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่
 
รัฐควรสนับสนุนการอ่านอย่างจริงจังและเปิดเสรีภาพอย่างแท้จริง ไม่ควรมีหนังสือต้องห้าม หนังสือทุกเล่มประชาชนควรมีสิทธิอ่านและพิจารณาเอง มิควรยกเรื่องความมั่นคงของรัฐมาอ้างและทำให้เกิดการจำกัดการอ่าน
ให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นอ่าน และให้ตั้งคำถามกับหนังสือที่อ่านตลอดช่วงที่อ่าน โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อหนังสือที่อ่านทั้งหมด ควรอ่านให้จบเล่มที่จะได้ช่วยให้ผู้อ่านทราบถึงเจตนารมของผู้เขียน
 
การส่งเสริมให้เกิดการอ่านเป็นเรื่องที่ยากในสังคมไทย สิ่งที่จำเป็นและต้องเริ่มคือต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน แล้วค่อยส่งเสริมไปถึงผู้อื่น
 
ทุกคนที่อ่านหนังสือต่างๆ ไม่ควรมองว่าเรื่องที่ผู้อื่นอ่านเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ควรเคารพในสิ่งที่ผู้อื่นชอบ และไม่ควรตำหนิเพราะจะเป็นการคุกคามพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่น
 
ให้สร้างบรรยากาศการแลกเปลี่ยนพูดคุยอย่างมีเหตุผลขึ้นในสังคมที่คนได้มีพื้นที่ในการสนทนาที่เป็นทั้งผู้รับสารและผู้ส่งสาร อันจะนำมาซึ่งความเข้าใจในความแตกต่างและความหลากหลายของคนในสังคม
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผลโพลนิด้า ชี้ ปชช. ร้อยละ 92.95 อยากให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลรับจำนำข้าว

Posted: 13 Jun 2013 01:07 PM PDT

นิด้าโพลเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน 'โครงการรับจำนำข้าวกับการขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท' จาก 1,249 ตัวอย่างทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เชื่อว่าขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทจริง แต่ยังหนุน รัฐฯ ดำเนินโครงการฯ ต่อ โดยปรับราคาตามกลไกตลาด

 
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "โครงการรับจำนำข้าว กับ การขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11 – 12 มิถุนายน 2556 จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,249 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และการขาดทุนเป็นมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error: S.E.)  ไม่เกิน ร้อยละ 1.4
 
จากการสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 92.95 เห็นว่า รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าว เพราะต้องการทราบถึงการดำเนินโครงการ ต้องการให้รัฐบาลแสดงถึงความโปรงใส่ในการทำงาน จะได้เป็นที่กระจ่างชัดต่อประชาชนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร  รองลงมา ร้อยละ 3.84 ระบุว่า ไม่ควรเปิดเผย เพราะ คิดว่ารัฐบาลน่าจะโปร่งใสในการทำงานอยู่แล้ว รัฐบาลให้ราคาจำนำข้าวเป็นที่น่าพอใจ และไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งกัน
 
ทั้งนี้จากกระแสข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว 2.6 แสนล้านบาท นั้น พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.71 เชื่อว่าขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทจริง เพราะรับจำนำข้าวในราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับราคากลางในตลาด แต่ตอนขายกลับขายในราคาที่ต่ำกว่าราคารับจำนำ และมีข้าวล้นในสต๊อกเป็นจำนวนมาก และยังมีกระแสข่าวออกมาว่าขาดทุน รองลงมา ร้อยละ 26.50 ไม่เชื่อว่าขาดทุน เพราะเป็นตัวเลขที่ไม่น่าจะขาดทุนมากขนาดนั้น และยังไม่มีข้อมูลหรือการชี้แจงจากรัฐบาลที่ชัดเจน และข้าวที่มีอยู่ในสต๊อกก็ยังสามารถขายออกได้เรื่อยๆ  ขณะที่ ร้อยละ 20.82 เชื่อว่าขาดทุนแต่อาจจะไม่ถึง 2.6 แสนล้านบาท และร้อยละ 14.97 ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ
 
เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อการตัดสินใจของรัฐบาล หากรัฐบาลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว 2.6 แสนล้านบาท พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.51 เห็นว่า รัฐบาลควรดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อ แต่ควรปรับราคาการรับจำนำให้เป็นไปตามกลไกตลาด รองลงมา ร้อยละ 21.38 ควรยุติโครงการรับจำนำข้าว เพราะเกิดช่องโหว่ง่ายต่อการทุจริต เกิดผลเสียในด้านเศรษฐกิจระดับประเทศ เงินส่วนหนึ่งที่มาจ่ายส่วนต่างก็มาจากเงินภาษีของประชาชน ร้อยละ 20.82 เห็นว่า ควรเปลี่ยนระบบเป็นการประกันราคาข้าว เพราะง่ายต่อการตรวจสอบ และน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการรับจำนำข้าว  ร้อยละ 9.61 ให้ดำเนินโครงการเหมือนเดิม และ ร้อยละ 1.44 อื่นๆ เช่น ให้เน้นไปที่การตรวจสอบการทุจริต การบริหารจัดการโครงการ เพื่อลดช่องว่างที่เอื้อต่อการทุจริต เปิดโอกาสให้ชาวนาซื้อขายกันเอง และรัฐบาลควรพิจารณาตัวเอง
 
สำหรับผู้ที่ควรรับผิดชอบ หากโครงการรับจำนำข้าวมีการขาดทุนจริง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 39.95 ควรเป็นคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ รองลงมา ร้อยละ 27.06 ควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด ทั้ง นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ร้อยละ 15.45 เป็น น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 8.57 เป็น นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 1.68 เป็น นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
 
ท้ายสุด เมื่อถามถึง ผู้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 36.60 ระบุว่าเป็นรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 36.20 เป็นโรงสี ร้อยละ 34.03 เป็นชาวนา ร้อยละ 29.86 เป็นนักการเมือง ร้อยละ 14.04 เป็นผู้ส่งออกข้าว
 
รองศาสตราจารย์ ดร. อดิศร์  อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์ประจำคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับผลการสำรวจในครั้งนี้เพิ่มเติมว่า  แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสังคมไทยมีความคาดหวังสูงด้านการรับรู้ข่าวสารข้อมูลจากภาครัฐ การที่หน่วยงานภาครัฐปิดบังข้อมูลสาธารณะอาจเป็นสิ่งที่กระทำได้ในอดีต แต่ในปัจจุบันประชาชนต้องการมีส่วนรู้เห็นกับการดำเนินงานของรัฐมากขึ้นและอยากตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลดังจะเห็นได้ว่าประชาชน ร้อยละ 92.95 เห็นว่ารัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูล การที่รัฐบาลไม่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวยังส่อเจตนาของความเป็นไปได้ที่โครงการนี้อาจมีการทุจริตในรูปแบบต่างๆ และรัฐบาลไม่สามารถหาทางออกได้
 
"ในส่วนของภาพรวมของการดำเนินโครงการจำนำข้าว ผลการสำรวจเป็นไปในทิศทางที่สะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในผลกระทบของโครงการรับจำนำข้าวมากขึ้นและสามารถแยกแยะออกได้ว่าการช่วยเหลือชาวนานั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องมีวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง ไม่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ดังจะเป็นได้ว่าประชาชนยังยินดีให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อ แต่ต้องปรับราคารับจำนำลงในขณะที่ประชาชนอีกบางส่วนเห็นว่าควรยุติโครงการไปเลย รวมแล้วมีประชาชนมากถึงร้อยละ 80 ที่มีความเห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการปรับปรุงโครงการจำนำข้าวนี้" รองศาสตราจารย์ ดร.อดิศร์ ระบุ
 
ดาวน์โหลดรายงานผลการสำรวจได้ที่  http://nidapoll.nida.ac.th
 

 

1. ท่านคิดว่ารัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่

ความคิดเห็นต่อการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล

ร้อยละ

ควร        เพราะ ต้องการทราบถึงการดำเนินโครงการ ต้องการให้รัฐบาลแสดงถึงความโปรงใส่ในการทำงาน

               จะได้เป็นที่กระจ่างชัดต่อประชาชนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

92.95

ไม่ควร   เพราะ คิดว่ารัฐบาลน่าจะโปร่งใสในการทำงานอยู่แล้ว รัฐบาลให้ราคาจำนำข้าวเป็นที่น่าพอใจ และ

              ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งกัน

3.84

ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ

3.20

รวม

100.00

 

2. ท่านเชื่อหรือไม่ว่ารัฐบาลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว 2.6 แสนล้านบาท

   ความเชื่อของประชาชนต่อการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว 2.6 แสนล้านบาทของรัฐบาล

ร้อยละ

เชื่อว่าขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท เพราะ รับจำนำข้าวในราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับราคากลางในตลาด แต่ตอน

                                                   ขายกลับขายในราคาที่ต่ำกว่าราคารับจำนำ และมีข้าวล้นในสต๊อกเป็นจำนวนมาก  

                                                   และยังมีกระแสข่าวออกมาว่าขาดทุน

37.71

ไม่เชื่อว่าขาดทุน                        เพราะ เป็นตัวเลขที่ไม่น่าจะขาดทุนมากขนาดนั้น และยังไม่มีข้อมูลหรือการชี้แจง

                                                  จากรัฐบาลที่ชัดเจน และข้าวที่มีอยู่ในสต๊อกก็ยังสามารถขายออกได้เรื่อยๆ

26.50

เชื่อว่าขาดทุน แต่ อาจจะไม่ถึง 2.6 แสนล้านบาท

20.82

ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ

14.97

รวม

100.00

 

3. หากรัฐบาลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ถึง 2.6 แสนล้านบาท ตามที่เป็นข่าว ท่านคิดว่ารัฐบาลควรตัดสินใจอย่างไร

       การตัดสินใจของรัฐบาลหากรัฐบาลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ถึง 2.6 แสนล้านบาท

ร้อยละ

ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อแต่ควรปรับราคาการรับจำนำให้เป็นไปตามกลไกตลาด

38.51

ยุติโครงการรับจำนำข้าว เพราะ เกิดช่องโหว่ง่ายต่อการทุจริต เกิดผลเสียในด้านเศรษฐกิจระดับประเทศ

      เงินส่วนหนึ่งที่มาจ่ายส่วนต่างก็มาจากเงินภาษีของประชาชน

21.38

เปลี่ยนระบบเป็นการประกันราคาข้าว เพราะ ง่ายต่อการตรวจสอบ และน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการรับจำนำข้าว

20.82

ดำเนินโครงการเหมือนเดิม

9.61

อื่นๆ เช่น ให้เน้นไปที่การตรวจสอบการทุจริต การบริหารจัดการโครงการ เพื่อลดช่องว่างที่เอื้อต่อการทุจริต เปิดโอกาส

         ให้ชาวนาซื้อขายกันเอง รัฐบาลควรพิจารณาตัวเอง

1.44

ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ

8.25

รวม

100.00

 

4. ถ้าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนจริง ท่านคิดว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ

                   ผู้ที่ควรรับผิดชอบ หากโครงการรับจำนำข้าวมีการขาดทุนจริง

ร้อยละ

คณะรัฐมนตรีทั้งคณะ

39.95

รับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด ทั้ง นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

27.06

น.ส. ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

15.45

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

8.57

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

1.68

ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ

7.29

รวม

100.00

 

5. ท่านคิดว่าความจริงแล้วโครงการรับจำนำข้าว ใครได้ประโยชน์ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)

       ผู้ที่ได้ประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว

ร้อยละ

รัฐบาล

36.60

โรงสี

36.20

ชาวนา

34.03

นักการเมือง

29.86

ผู้ส่งออกข้าว

14.04

ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ

4.65

 

ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง

 

1. ตารางที่ 1 แสดงจำนวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามเพศ

เพศ

จำนวน

ร้อยละ

ชาย

679

54.36

หญิง

570

45.64

รวม

 1,249

100.00

 

 

2. ตารางที่ 2 แสดงจำนวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามอายุ

อายุ

จำนวน

ร้อยละ

ต่ำกว่า 25 ปี

86

6.89

25 – 39 ปี

453

36.27

40 – 59 ปี

593

47.48

60 ปีขึ้นไป

117

9.37

รวม

 1,249

100.00

 

 

3. ตารางที่ 3 แสดงจำนวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามศาสนา

ศาสนา

จำนวน

ร้อยละ

พุทธ

1,176

94.16

อิสลาม

60

4.80

คริสต์ และอื่นๆ

13

1.04

รวม

1,249

100.00

 

 

4. ตารางที่ 4 แสดงจำนวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามสถานภาพการสมรส

สถานภาพการสมรส

จำนวน

ร้อยละ

โสด

330

26.42

สมรส

899

71.98

หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่

20

1.60

รวม

 1,249

100.00

 

 

5. ตารางที่ 5 แสดงจำนวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามระดับการศึกษา

ระดับการศึกษา

จำนวน

ร้อยละ

ประถมศึกษาหรือต่ำกว่า

316

25.30

มัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า

392

31.39

อนุปริญญาหรือเทียบเท่า

122

9.77

ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

337

26.98

สูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

82

6.57

รวม

1,249

100.00

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คปก.เล็งออก กม.กลางด้านสวัสดิการสังคม

Posted: 13 Jun 2013 12:36 PM PDT

มธ.เผยผลวิจัยการปฏิรูปกฎหมายสวัสดิการสังคม ชี้ไทยมีกฎหมายสวัสดิการสังคม ถึง 70 ฉบับ เสนอทบทวน กฎหมายส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมฯ ชี้มีช่องว่างการปฏิบัติ ยกเลิกกฎหมายจัดหางานให้คนไร้อาชีพ

 
 
13 มิ.ย.56 – คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านสวัสดิการสังคม ในคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) จัดการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 12/2556 ณ ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย โดยได้เชิญ รศ.ศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอผลการวิจัย เรื่อง การปฏิรูปกฎหมายสวัสดิการสังคมต่อคณะกรรมการฯ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการฯ
 
นางสุนี ไชยรส รองประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และประธานกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านสวัสดิการสังคม เปิดเผยว่า คปก.วางแผนดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดด้านระยะเวลาที่ คปก.ชุดปัจจุบันยังมีวาระการดำรงตำแหน่งเหลืออีก 2 ปี คือ 1.การสร้างแนวคิดสวัสดิการสังคมที่ชัดเจน 2.พัฒนากฎหมายกลางว่าด้วยสวัสดิการสังคม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยเน้นการรณรงค์ทางสังคม
 
รศ.ศักดิ์ชัย กล่าวนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเรื่อง การปฏิรูปกฎหมายสวัสดิการสังคมว่า กฎหมายสวัสดิการสังคมของประเทศไทยมีความกว้างขวางและหลากหลายจำนวนประมาณ 70 ฉบับ ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมกฎหมายเก่า มีข้อสังเกต 3 ประการคือ 1.กฎหมายมีผลบังคับใช้อยู่แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ใช้ และสมควรยกเลิก เช่น พ.ร.บ.จัดหางานให้คนไร้อาชีพ พ.ศ.2484 พ.ร.บ.อบรมและฝึกอาชีพบุคคลบางประเภท พ.ศ.2518  2.กฎหมายบางฉบับควรนำมาพิจารณาศึกษาใหม่  โดยปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัย ได้แก่ พ.ร.บ.สงเคราะห์บุคคลผู้ที่ได้รับการพักการลงโทษ ผู้พ้นโทษ และเด็กผู้พ้นการฝึกอบรม พ.ศ.2497
 
และ3.กฎหมายที่ควรทบทวน แก้ไขปรับปรุงหรือบัญญัติใหม่ ที่สำคัญ อย่างกรณีกลุ่มกฎหมายหลัก เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมฯ เป็นกฎหมายแม่บทในการจัดสรรสวัสดิการสังคมทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน แต่ในทางปฏิบัติยังมีช่องว่าง ข้อจำกัด เนื่องจากเป็นกฎหมายกลางที่ครอบคลุมกว้างขวางในหลายเรื่อง โดยไม่มีมาตรการเฉพาะเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ลักษณะของกฎหมายเป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการในภาพกว้าง เน้นหนักไปที่การส่งเสริมการดำเนินการของภาคเอกชน องค์กรสาธารณะประโยชน์
 
รศ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า มีข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ปัญหาคือ 1. ด้านตัวบทกฎหมายหรือพระราชบัญญัติที่ควรพิจารณายกเลิกหรือนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น กฎหมายสวัสดิการสังคมฉบับเก่า 3 ฉบับที่ยังมีผลบังคับใช้ ทั้งพ.ร.บ.จัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก พ.ศ.2479 พ.ร.บ.จัดหางานให้คนไร้อาชีพ พ.ศ.2484 และพ.ร.บ.อบรมและฝึกอาชีพบุคคลบางประเภท พ.ศ.2518 ประการที่ 2 การแก้ไข ปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายเพื่อการปฏิรูปกฎหมายสวัสดิการสังคม ควรพิจารณาแยกเป็นประเด็นกลุ่มเป้าหมาย สิทธิประโยชน์ ความเป็นธรรม รวมถึงกลไกการบริหารและหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการ และทรัพยากรสาธารณะหรือแหล่งงบประมาณตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะในประเด็นกลุ่มเป้าหมาย ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายต่างๆให้ความชัดเจน โดยมีกฎหมายพิทักษ์และคุ้มครองเป็นการเฉพาะแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติและส่งเสริมความเสมอภาคทางโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม บนแนวคิดจัดสวัสดิการพื้นฐานแก่ประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง
 
"ด้านสิทธิประโยชน์และความเป็นธรรม ควรลดวงเงินค่าลดหย่อนสำหรับคนรวย กรณีลงทุนใน LTF, RMF อีกทั้งควรกำหนดสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมโดยยึดหลักสังคมส่วนรวมเป็นตัวตั้ง และควรจัดระบบกองทุนสวัสดิการต่างๆไม่ให้มีการจ่ายเงินซ้ำซ้อน" รศ.ศักดิ์ชัย กล่าว
 
รศ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันการบูรณาการความรู้ไปสู่สังคมสวัสดิการยังไม่มีความเป็นเอกภาพเท่าใดนัก เรามีความเห็นร่วมกันหรือไม่ว่า สวัสดิการสังคมควรมีอะไรบ้าง จัดเพื่อใครและใครเป็นคนจัดการ และจะใช้งบประมาณจากแหล่งใด หากพิจารณาประเด็นทางกฎหมายพบว่า กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีชุดความคิดที่ลงตัวแล้ว เนื่องจากรัฐบาลได้มอบหมายให้ พม.ขับเคลื่อนสังคมสวัสดิการ ขณะเดียวกันในข้อเท็จจริงพบว่า ยังขาดมิติการมีส่วนร่วมทางสังคมในการจัดสวัสดิการ ประเด็นนี้ยังไม่มีกฎหมายใดรองรับ จึงควรพิจารณาในประเด็นเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ยังเสนอแนะ คปก.ให้ทำข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาสวัสดิการสังคมทั้งระบบนอกเหนือจากการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
 
นายไพสิฐ พาณิชย์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ระบบฐานข้อมูลด้านสวัสดิการสังคมค่อนข้างล้มเหลว ยังไม่ได้มีการออกแบบเป็นพลวัตร และยังเป็นฐานข้อมูลที่ล่าสมัย ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินการในเชิงนโยบาย ดังนั้น จึงควรเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวคู่ขนานกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านสวัสดิการสังคม ขณะเดียวกันบทบาทของ คปก.ในระดับท้องถิ่นนอกจากการเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายแล้วควรจะจัดทำข้อมูลพื้นฐานในท้องถิ่นด้วยเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดสรรงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมต่อไป
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ม็อบเขื่อนหัวนา เร่งรัฐฯ จ่ายค่าทดแทน หลังรอมา 15 ปี เกาะติดผลเจรจาออนไลน์จากทำเนียบ

Posted: 13 Jun 2013 12:20 PM PDT

สมัชชาคนจนเขื่อนหัวนารวมตัวสันเขื่อนราษีไศล ปักหลักครั้งชุมนุมใหญ่หลังเดือดร้อน 15 ปีแก้ปัญหาไม่คืบ ขู่พร้อมอยู่ยาวหากผลเจรจาร่วมตัวแทนรัฐฯ 14 มิ.ย.นี้ยังไร้ความชัดเจน แกนนำเผยเตรียมถ่ายทอดสดออนไลน์การประชุมจากทำเนียบถึงที่ชุมนุม 

 
วันนี้ (14 มิ.ย.56) สมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเดือดร้อนจากเขื่อนหัวนามานากว่า 15 ปี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2556 จากการออกมาชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.56 บริเวณศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนเครือข่ายทามมูล สันเขื่อนราษีไศล อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ หลังยุติการเคลื่อนไหวไม่ชุมนุมมานานกว่า 3 ปี ตั้งแต่เมื่อปี 2552 เป็นต้นมา
 
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาและมีกระบวนการทำงานตามขั้นตอนในระดับจังหวัด สามารถนำไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหา (ชุดใหญ่) ที่ น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ซึ่งจะมีการประชุมในวันนี้ (14 มิ.ย.56) ณ ทำเนียบรัฐบาล 
 
แถลงการณ์ระบุว่า ชาวบ้านจำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากเขื่อนหัวนาอีกครั้ง เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 27 เม.ย.53 ให้กรมชลประทานดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านการจ่ายค่าทดแทนที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการสร้างคันเขื่อนถมลำน้ำมูนเดิมให้แล้วเสร็จ ขณะนี้กรมชลประทานได้มีการปิดประตูเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำมาตั้งแต่ปลายปี 2555 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการจ่ายค่าทดแทนให้กับราษฎรได้จนถึงปัจจุบัน
 
สำหรับข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ตามแถลงการณ์ มี 3 ข้อ คือ 1.ให้รับรองขอบเขตอ่างที่ได้มีการกันเขตระดับน้ำท่วมจริงที่ระดับ +114 ม.รทก. ร่วมกัน ตามผลการศึกษาผล ในวันที่ 23 พ.ย.54 เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ 2.ให้รับรองบัญชีรายชื่อราษฎรผู้ได้รับผลกระทบชุดแรกที่ได้รับการรังวัด รว 43 ก.แล้ว เพื่อเป็นการนำร่องในการแก้ไขปัญหาการจ่ายค่าทดแทนอย่างเป็นรูปธรรม
 
และ 3.ให้จ่ายค่าทดแทนที่ดินทำกินอย่างยุติธรรม ผู้ได้รับผลกระทบจะต้องสามารถจัดหาที่ดินแปลงใหม่ได้ในท้องถิ่นใกล้เคียง เพื่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืน และมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างการชุมนุมสมัชชาคนจนเขื่อนราศีไศลจำนวนกว่า 2,000 คน ได้เดินทางมาสมทบร่วมชุมนุมที่สันเขื่อนราศีไศล โดยขณะนี้ผู้ชุมนุมได้เตรียมที่พักอาศัย และเตรียมความพร้อมในการชุมนุมยืดเยื้อหากการแก้ไขปัญหาไม่มีความคืบหน้า
 
นางสำราญ สุรโครต แกนนำกลุ่มชาวบ้านกล่าวว่า ระหว่างการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาจะมีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อในระบบออนไลน์มายังที่ชุมนุม เพื่อให้สมาชิกผู้ได้รับผลกระทบทุกคนได้มีส่วนร่วมติดตามการประชุมอย่างใกล้ชิด และจะได้พบปะพูดคุยกับ น.สพ.ยุคล ก่อนจะมีการประชุมคณะกรรมการด้วย
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนไปที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลล่าง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ บริเวณสันเขื่อนราษีไศล เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนหัวนา ในพื้นที่ อ.กันทรารมย์ อุทุมพรพิสัย และราศีไศล รวมพื้นที่กว่า 12,000 ไร่ โดยได้ยื่นหนังสือให้ตัวแทนโครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษามูลล่าง
 
 
 
แถลงการณ์สมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา
ฉบับที่ ๑/๒๕๕๖ วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๖
 
วันนี้พวกเรามีความจำเป็นที่จะต้องออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการแก้ไขปัญหา
ผลกระทบจากเขื่อนหัวนาอีกครั้ง จากมติ คณะรัฐมนตรี วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ ให้กรมชลประทานดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านการจ่ายค่าทดแทนที่ดินทำกินที่ได้รับผลกระทบควบคู่ไปพร้อมกับการสร้างคันเขื่อนถมลำน้ำมูนเดิมให้แล้วเสร็จ บัดนี้กรมชลประทานได้มีการปิดประตูเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำมาตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๕ แต่ยังไม่สามารถดำเนินการจ่ายค่าทดแทนให้กับราษฎรได้จนถึงปัจจุบัน
 
สมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อรักษาสิทธิในที่ดินทำกิน และสิทธิชุมชน มานานกว่า ๑๕ ปี เพื่อผลักดันให้เกิดกระบวนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเขื่อนหัวนาที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทั่วถึง และยุติธรรม
 
ขณะนี้คณะอนุกรรมการระดับจังหวัดทั้ง ๒ ชุด ได้แก่ (๑) อนุกรรมการแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด ได้ดำเนินการปักขอบเขตอ่างครอบคลุมขอบเขตน้ำท่วมถึงจริงในระดับน้ำหน้าเขื่อน +๑๑๒ ม.รทก. แต่กันเขตในระดับน้ำ +๑๑๔ ม.รทก. ตามผลการศึกษาฯ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่าง กรมชลประทาน ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายราษฎร ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามมติคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดศรีสะเกษ ยังได้ดำเนินการตรวจสอบและจัดทำบัญชีรายชื่อราษฎรผู้ได้รับผลกระทบชุดแรก เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาต่อไป ในส่วนราษฎรที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบทรัพย์สิน สมัชชาคนจนเขื่อนหัวนาได้ผลักดันให้กรมชลประทานเปิดรับการยื่นคำร้องใหม่ โดยมีนายอำเภอท้องที่ทุกอำเภอเป็นประธานกรรมการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกพื้นที่ ได้มีสิทธิอย่างเท่าเทียม (๒) อนุกรรมการสืบเสาะราคาที่ดินฯ ได้ดำเนินการสืบเสาะราคาที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ (รว๔๓ก.) เสร็จแล้ว โดยมีหลักการร่วมกัน คือ    ผู้ได้รับผลกระทบจะต้องได้รับค่าทดแทนที่ดินอย่างยุติธรรม
 
บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าราษฎรผู้ได้รับผลกระทบชุดแรกที่ผ่านการตรวจสอบในสิทธิ์ในที่ดินทำกินอย่างครบถ้วนทุกกระบวนการเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕-๒๕๕๒ สมควรได้รับการแก้ไขปัญหาในระยะเวลาอันสมควร จากกรมชลประทานและรัฐบาล เราจึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังนี้
 
 
๑.      ให้รับรองขอบเขตพื้นที่น้ำท่วมถึงจริงในระดับ +๑๑๔ เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ตามผลการศึกษา EIA และ ครม. มีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ และมีการลงตรวจสอบพื้นที่จริง ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ
๒.     ให้รับรองบัญชีรายชื่อราษฎรผู้ได้รับผลกระทบชุดแรกที่ผ่านการตรวจสอบในสิทธิ์ในที่ดินทำกินอย่างครบกระบวนการเรียบร้อยแล้ว และดำเนินการจ่ายค่าชดเชยโดยเร็ว
๓.      ให้จ่ายค่าทดแทนที่ดินทำกินอย่างยุติธรรม ผู้ได้รับผลกระทบจะต้องสามารถจัดหาที่ดินแปลงใหม่ได้ในท้องถิ่นใกล้เคียง เพื่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืน และมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น
 
สมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๖
ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สโนวเดน แฉเพิ่ม สหรัฐฯ แฮกระบบอินเตอร์เน็ตประเทศจีนบ่อยครั้ง

Posted: 13 Jun 2013 10:52 AM PDT

สโนวเดน ให้สัมภาษณ์สื่อจีน เผยสหรัฐฯ แฮกระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจีนเพื่อดูข้อมูลมาหลายร้อยครั้ง ด้านประชาชนโลกจริง-โลกอินเตอร์เน็ตหนุนการเปิดเผยข้อมูลของเขา ทั้งชุมนุม แถลงการณ์ ช่วยเหลือด้านการเงิน และล่ารายชื่อให้สหรัฐฯ ละเว้นโทษ

 
13 มิ.ย.2013 เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ชายอายุ 29 ปี ผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมข้อมูลของสภาความมั่งคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อท้องถิ่น เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ พูดถึงสาเหตุที่เขาเลือกมาอยู่ฮ่องกงและเผยว่าเขามีหลักฐานเรื่องที่สหรัฐฯ ทำการจารกรรมทางอินเตอร์เน็ตต่อทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง
 
"คนที่บอกว่าผมทำพลาดที่เลือกมาที่ฮ่องกง เขากำลังเข้าใจเจตนาผมผิดไป ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อหลบซ่อนตัวจากระบบยุติธรรม ผมมาเพื่อเปิดโปงอาชญากรรม" สโนวเดนกล่าว เขาบอกอีกว่าทางการสหรัฐฯ พยายาม 'ข่มเหง' ฮ่องกงเพื่อให้ส่งมอบตัวสโนวเดนกลับสหรัฐฯ ในฐานะนักโทษ
 
ในกรณีนี้ เรจินา ยิบ คณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายนิติบัญญัติของฮ่องกงและอดีตเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงกล่าวว่า ตัวเขาเองไม่สามารถพูดแทนทางการฮ่องกงในตอนนี้ได้ แต่ถ้าหากสหรัฐฯ มีข้อเรียกร้องมาถึงทางการก็จะจัดการตามกระบวนการกฎหมาย
 
นอกจากนี้สโนวเดนยังได้กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา NSA ได้ปฏิบัติการจารกรรมโดยมีเป้าหมายเป็นจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงหลายร้อยครั้ง "พวกเราได้แฮกเข้าไปในแกนของระบบเครือข่ายที่เปรียบเสมือนเป็นอินเตอร์เน็ตเราเตอร์ขนาดใหญ่ เพื่อที่จะให้เราได้เข้าถึงข้อมูลการสื่อสารของเครื่องคอมพิวเตอร์หลายแสนเครื่องโดยที่ไม่ต้องไปแฮกทีละเครื่อง"
 
สโนวเดน กล่าวถึงเป้าหมายที่หนึ่งคือมหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง ซึ่งมีสถานีวิจัยด้านอินเตอร์เน็ตชั้นนำและเป็นแหล่งโครงสร้างใหญ่ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของทั้งเมืองฮ่องกง แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ได้แถลงว่าพวกเขาไม่สามารถตรวจพบการรุกล้ำใดๆ และยังคงใช้งานได้ตามปกติ
 
การเปิดโปงเรื่องดังกล่าวทำให้หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวของทางการจีนมีพาดหัวข่าวว่า การเปิดเผยเรื่องราวของสโนวเดนทำให้ภาพลักษณ์สหรัฐฯ ในสายตาต่างชาติเสียหาย และเป็นการทดสอบการสานสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
 
ลี ไห่ตง นักวิจัยด้านอเมริกันศึกษาจากมหาวิทยาลัยการทูตของจีนกล่าวผ่านสื่อจีนว่า ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนเป็นผู้ก่อการจารกรรมทางอินเตอร์เน็ตมาตลอด แต่ดูเหมือนภัยร้ายแรงที่สุดต่อเสรีภาพและสิทธิความเป็นส่วนตัวคืออำนาจที่ไม่อาจควบคุมได้ของรัฐบาลสหรัฐฯ เอง
 
สื่อจีนกล่าวอีกว่า วิธีการที่สหรัฐฯ จัดการในเรื่องนี้จะเป็นเรื่องท้าทาย ที่เสี่ยงต่อการทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จากการที่สโนวเดนในตอนนี้อยู่ในอาณาเขตของจีน และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็เริ่มเสื่อมถอยลงไปแล้วจากเรื่องความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ต
 
 
ประชาชนชุมนุม - ล่ารายชื่อ กรณีโครงการ PRISM และการคุ้มครองสโนวเดน
 
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา สำนักข่าวนอกกระแส CommonDream รายงานเรื่องประชาชนในโลกออนไลน์และนอกแสดงการสนับสนุน เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน โดยมีทั้งการชุมนุมและการล่ารายชื่อเรียกร้อง 
 
ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.56 มีกลุ่มนักกิจกรรมรวมตัวกันที่จัตุรัสยูเนียนสแควร์ ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก แอนดี้ สเตฟาเนี่ยน ผู้จัดการประท้วงกล่าวว่า วาระของสโนวเดนที่นำเสนอในสื่อถูกทำให้กลายเป็น 'เรื่องชายขอบ'
 
"ในตอนนี้สื่ออาจจะนำเสนอเรื่องนี้มาก แต่ที่ผ่านมาเราจะพบว่าเมื่อคนเปิดโปงรัฐบาลเหล่านี้เปิดเผยตัวออกมาไม่ว่าจะเป็นแดเนียล เอลส์เบิร์ก หรือแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง ไม่นานนักก็จะมีความพยายามกล่าวให้ร้ายบุคคลเหล่านี้ อาจจะมีการสร้างเรื่องเล่าคู่ขนาน หรือพยายามทำให้พวกเขาดูเป็นตัวร้าย จากสิ่งที่พวกเขาทำ" แอนดี้กล่าว
 
แอนดี้กล่าวอีกว่า พวกเราควรจะตั้งคำถามว่า เหตุใดสโนวเดนถึงยอมสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อเปิดโปงความจริงในเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯ แอบสอดแนมพวกเราโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบ โดยอ้างเรื่องสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยที่การแอบสอดแนมเช่นนี้ถือเป็นการผิดหลักมาตรา 4 ของบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ
 
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.56 ในฮ่องกง ก็มีกลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนสโนวเดนราว 1,000 คน วางแผนชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลคุ้มครองเขา และไม่ส่งตัวเขาออกนอกประเทศ
 
ในสังคมออนไลน์ก็มีการรวบรวมรายชื่อในเว็บไซต์ทำเนียบขาวเพื่อเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ อภัยโทษให้สโนวเดน ซึ่งในตอนนี้มีมากกว่า 68,000 รายชื่อแล้ว ขณะเดียวกันก็มีการรณรงค์เพื่อช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายของสโนวเดน
 
มีพนักงานของ Facebook รายหนึ่งชื่อ ดไวท์ โครว บริจาคเงินส่วนตัว 1,000 ดอลลาร์ (ราว 30,000 บาท) เพื่อช่วยเหลือสโนวเดนด้านค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย, ค่าที่พักโรงแรม และค่าเดินทาง โดยที่โครวกล่าวว่า เขาคิดว่าสโนวเดนจะต้องรับมือกับสิ่งที่มากกว่าค่าธรรมเนียมทางกฎหมายแน่ๆ แต่สโนวเดนต้องอยู่ในฮ่องกงโดยที่บัญชีของเขาถูกอายัด ดังนั้นการช่วยเหลือด้านงานเงินจึงสำคัญ
 
ทางด้านกลุ่มปฏิบัติการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโลก (Global Network Initiative หรือ GNI) ก็ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยบอกว่า กรณีการสอดแนมไม่ว่าจะมาจากรัฐบาลใดก็ตามเป็นเรื่องชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับ ความโปร่งใส มาตรการตรวจสอบ และผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่รวมถึงสิทธิความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการแสดงความเห็น
 
โดยทาง GNI ได้กล่าวเรียกร้องผ่านแถลงการณ์ให้รัฐบาลสหรัฐฯ และทั่วโลกพยายามสร้างความโปร่งใสมากขึ้นทั้งด้านกฎหมายและการบังคับใช้ เนื่องจากความโปร่งใสที่มากขึ้นจะทำให้มีข้อมูลการอภิปรายในเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเรียกร้องให้เพิ่มตัวแทนภาคส่วนต่างเข้าร่วมตัดสินใจโครงการในแนวนี้ด้วย
 
"เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ มีเทคโนโลยีหรือความสามารถใหม่ๆ ในการด้านการสอดแนม ทาง GNI ขอเรียกร้องให้มีการตัวแทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมผู้เข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายด้วย" แถลงการณ์ GNI กล่าว "เสรีภาพในการแสดงความเห็นและสิทธิความเป็นส่วนตัวจะได้รับการคุ้มครองหากมีการฟังความเห็นจากทุกส่วน"
 
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Protesters Worldwide Rally to Support Whistleblower Edward Snowden, CommonDreams, 12-06-2013 
 
Hong Kongers to protest in support of U.S. whistleblower Edward Snowden, The Raw Story, 12-06-2013
 
NSA revelations will test China-US ties, say Chinese media, The Guardian, 13-06-2013
 
GNI Statement on Communications Surveillance, GNI, 12-06-2013

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดาวส์โหลดได้แล้ว หนังสือ 'สันติภาพและยุติธรรมที่ยั่งยืน'

Posted: 13 Jun 2013 10:19 AM PDT

หนังสือ "สันติภาพและยุติธรรมที่ยั่งยืน" ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานนักสิทธิ-นักกฎหมาย ในโครงการการพัฒนาการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ เปิดให้ดาวส์โหลด E Book

 
14 มิ.ย.56 - ตามที่มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ซึ่งดำเนินการโครงการประสบการณ์การทำงานภายใต้ "โครงการการพัฒนาการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้" ระหว่างเดือน ม.ค.2554- มี.ค.2556 โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสหภาพยุโรป
 
ล่าสุดได้จัดทำหนังสือ "สันติภาพและยุติธรรมที่ยั่งยืน" เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ ถึงเป้าหมายหรือเจตนารมณ์ในการทำงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ที่ร่วมมือกันทำงานเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งต้องการสะท้อนถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ข้อสังเกต และบทเรียน ที่ได้จากการดำเนินโครงการดังกล่าว
 
สามารถดาวน์โหลดหนังสือ "สันติภาพและยุติธรรมที่ยั่งยืน" ฉบับเต็มได้ที่ลิงค์:
 
ทั้งนี้ แม้จะสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินงานแล้ว แต่องค์กรภาคีทุกองค์กรก็ยังคงร่วมมือกันทำงานเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชน ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมอย่างต่อเนื่องอีกต่อไป
 
 
บทนำ

สำหรับผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับแต่เหตุการณ์ปล้นปืนปี พ.ศ.2547 ปะทุขึ้น ชีวิตของพวกเขาแทบไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ยามย่ำรุ่งที่เคยสดใสคล้ายเป็นอดีตรางเลือนที่ไม่หวนกลับมา ไม่สามารถเดินออกจากบ้านไปกรีดยางพาราด้วยความรื่นรมย์ใจเหมือนเก่าก่อน มีเพียงความหวาดกลัวว่าเช้าวันนี้ตนเองผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวจะถูกฆ่าตายในระหว่างทางหรือไม่ แม้แต่บรรยากาศระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวมลายูมุสลิมที่เคยผูกพันอันดีต่อกันมาช้านานก็กลับต้องถูกแทนที่ด้วยแรงกดทับหนาหนักของความหวาดระแวง เพราะในแต่ละวัน ไม่เพียงประชาชนผู้บริสุทธิ์เท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อสังเวยชีวิต หากทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ครู รวมถึงพระสงฆ์และโต๊ะอิหม่ามต่างก็ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง แม้กระทั่งไม่นานมานี้ กรณีวิสามัญผู้ลอบโจมตีฐานกองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 32 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส จนเสียชีวิตทั้ง 16 คน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก็คืออีกหนึ่งประจักษ์พยานสำคัญของสถานการณ์ความรุนแรงที่ผลักให้เกิดการตอบโต้ เผชิญหน้าและจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสังคมไทย เนื่องด้วยทุกชีวิตที่ดับสูญไปตลอดระยะเวลา 9 ปี ก็ล้วนเป็นลูกหลานไทยทั้งสิ้น

โดยเฉพาะ เมื่อข้อเท็จจริงอีกด้านระบุว่า หนึ่งในผู้ที่ลอบโจมตีฐานปฏิบัติการและถูกวิสามัญนั้น คือเหยื่อในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ จ.นราธวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 อันเป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์บาดแผล ที่ตราบจนวันนี้ รัฐไทยและกระบวนการทางกฎหมายของไทยก็มิสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับผู้สั่งสลายการชุมนุมได้เลย ทั้งที่รายงานข้อเท็จจริงหลายฉับทั้งจากคณะกรรมาธิการ วุฒิสภาและรายงานการสังเกตุการณ์คดีโดยองค์กรสิทธิมนุษยชน ต่างก็มีหลักฐานพยานแน่ชัดว่าเป็นการกระทำโดยจงใจของเจ้าหน้าที่รัฐจนทำให้เกิดการเสียชีวิตและมีบุคคลสูญหายในเหตุการณ์นี้เป็นจำนวนมาก

เมื่อพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเต็มไปด้วยการกระทำนอกกรอบกฎหมาย อีกทั้งรากเหง้าแท้จริงของปัญหายังคงถูกบดบังด้วยบริบทซับซ้อนจนยากจะคลี่คลาย "กระบวนการยุติธรรมอันเที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพ" จึงสมควรต้องเป็น 'หลังพิง' และ 'เครื่องมือ' สำคัญในการสะสางปมที่ถูกผูกไขว้จนกลายเป็น 'เงื่อน' ร้อยรัดผู้คนให้ติดอยู่ในวังวนแห่งการทำลายล้างอย่างไม่รู้จบสิ้น ทั้งเพื่อปิดหนทางมิให้ผู้ที่มีผลประโยชน์หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสถานการณ์ความไม่สงบ ฉวยโอกาสนำเอาวาทกรรม 'ความไม่เป็นธรรม' มาเป็นข้ออ้างแสวงหาแนวร่วมหรือปลุกระดมให้เกิดการก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน ทว่า ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา กฎหมายพิเศษหลายฉบับซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ไม่สามารถยุติความรุนแรงได้เลย มิหนำซ้ำ บ่อยครั้งการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบก็กลับกลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญอันนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายเสียเอง

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จึงว่าด้วยเรื่องราวของความพยายามผลักดันสันติภาพให้บังเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ผ่านการต่อสู้กับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยกระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่ละทิ้งต่อการทำความเข้าใจในบริบทอื่นๆ ทางสังคมและวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้คดีความต่างๆ ถูกหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา เป็นบรรทัดฐานและเป็นบทเรียนที่ทุกองคาพยพซึ่งเกี่ยวข้องรวมทั้งผู้คนในทุกภาคส่วนของสังคมควรได้เรียนรู้ร่วมกัน ว่าตราบใดที่กระบวนการยุติธรรมเองยังมีบางขั้นตอนอันอ่อนด้อย ห่างไกลและซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนจะเอื้อมถึง ทั้งกฎหมายต่างๆ ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ซึ่งเอื้อให้เกิดการใช้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตราบนั้น การกระทำ 'นอกกฎหมาย' ทุกรูปแบบย่อมไม่มีวันจบสิ้นลงได้เลย

เหล่านี้เองคือปฐมเหตุอันใหญ่หลวงที่ผลักดันให้เกิด 'โครงการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้' โดยความร่วมมือของเครือข่ายพันธมิตรอันแข็งแกร่ง ได้แก่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (Cross Cultural Foundation-CrCF) มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม (Muslim Attorney Center Foundation-MAC) ร่วมด้วยเหล่านักกฎหมาย ทนายความ ผู้ช่วยทนายความและอาสาสมัครในพื้นที่ซึ่งพร้อมนำความรู้ความสามารถที่มีมาร่วมตรวจสอบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความมุ่งหวังว่าการใช้อำนาจ "นอกระบบ" ทุกรูปแบบจะหมดสิ้นไปในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า

เมื่อเสาหลักแห่งกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งให้คนทุกหมู่เหล่าได้อย่างแท้จริง …
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โต๊ะสันติภาพไทย-BRN เห็นร่วมลดเหตุรุนแรงเดือนรอมฏอน

Posted: 13 Jun 2013 09:49 AM PDT

เลขา สมช.เผยผลการพูดคุยสันติภาพไทย-BRN ราบรื่น ทั้ง 2ฝ่ายเห็นร่วมลดเหตุรุนแรงช่วงเดือนรอมฏอน ให้แต่ละฝ่ายเสนอมาตรการที่ชัดเจน ยัน 'ปกครองพิเศษ' เป็นเรื่องปลายทาง ยังไม่ถึงเวลาคุย

 
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.56 เวลา 21.30 น. (ตามเวลาในประเทศมาเลเซีย) ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (INTERCONTINENTAL) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มแกนนำบีอาร์เอ็นว่า บรรยากาศในการพูดคุยเป็นไปอย่างดีมาก ราบรื่น ได้รับความร่วมมือร่วมใจในการแก้ปัญหา
 
พล.ท.ภราดร เปิดเผยว่า ประเด็นหลักๆ ที่มีการพูดคุยคือ เรื่องที่ทางบีอาร์เอ็นมีข้อเรียกร้อง 5 ข้อ จึงได้ชี้แจงไปถึงการดำเนินการสืบสภาพข้อเท็จจริง แสวงหาคำตอบของ 5 ข้อนั้น และปัญหาที่ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ เพราะความชัดเจนของข้อเรียกร้องที่เป็นภาษาต่างๆ ยังไม่ชัดเจน ซึ่งทางขบวนการรับข้อนี้ไป เพื่อที่จะส่งรายละเอียดชี้แจงแถลงไขของเนื้อหา 5 ข้อ ให้มีความชัดเจนก่อนเดือนรอมฎอน มาให้คณะฝ่ายไทยเพื่อที่จะทำความเข้าใจ และแสวงหาคำตอบร่วมกันต่อไป
 
พล.ท.ภราดร เปิดเผยว่า ประเด็นที่สอง คือเรื่องลดเหตุความรุนแรง ได้เห็นพ้องต้องกันว่า ในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดนของชาวมุสลิมจะลดเหตุความรุนแรง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะกลับไปเตรียมมาตรการเพื่อมาเสนอร่วมกันว่าจะดำเนินการอย่างไรในช่วงเดือนรอมฎอน
 
"ขั้นตอนคือ จะให้ศอ.บต.(ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ดำเนินการไปให้ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน เพื่อให้ได้คำตอบมาในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาระยะหนึ่ง แต่จะรีบดำเนินการ เพราะอย่างน้อยควรจะมีคำตอบในชั้นต้นซึ่งกันและกัน" พล.ท.ภราดร กล่าว
 
พล.ท.ภราดร เปิดเผยว่า สำหรับเดือนรอมฎอนเป็นเดือนสำคัญ เป็นเดือนแห่งความประเสริฐ จึงเป็นคำตอบร่วมกันว่าในเดือนนี้ จะเป็นรูปธรรมในการลดเหตุความรุนแรง และได้มีการนัดพูดคุยอีกครั้งหลังเดือนรอมฎอน แต่ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน โดยฝ่ายมาเลเซียเป็นผู้ประสานงาน
 
"การพูดคุยในครั้งนี้เมื่อเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา ถือว่ามีความคืบหน้าสูง มีตัวชี้วัดว่าจะลดความรุนแรงก็คือเดือนรอมฎอน โดยให้ทั้งสองฝ่ายเสนอมาตรการมาว่า ฝ่ายเราจะลดการปฏิบัติการอย่างไร ฝ่ายขบวนการจะลดการปฏิบัติการอย่างไร แต่แน่นอนว่ามาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชนก็คงต้องมีอยู่ ซึ่งมาตรการฝ่ายเราท่านแม่ทัพภาค 4 มีแผนเตรียมเอาไว้แล้ว" พล.ท.ภราดร กล่าว
 
พล.ท.ภราดร กล่าวด้วยว่า เป้าหมายของเดือนรอมฎอนก็คือจะต้องไม่มีเหตุ แต่ถ้ามีเหตุเกิดขึ้น ก็จะต้องไปลงลึกว่า มูลเหตุจากเรื่องใด เพราะมีการสื่อสารร่วมกันแล้วว่าจะลดเหตุรุนแรง ส่วนมาตรการฝ่ายเจ้าหน้าที่นั้น ในช่วงเดือนรอมฎอนก็คงจะต้องเพลาลงหรือหยุดลงไป แต่มาตรการในการรักษาความปลอดภัยพี่น้องประชาชน สถานที่ต่างๆก็ยังคงมีอยู่ ไม่ได้หยุดไปทุกอย่าง
 
หลังจากการแถลงข่าว พล.ท.ภราดร ได้นำแถลงการณ์ร่วมหลังการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น มาเปิดให้บรรดาสื่อมวลชนดู โดยมีเนื้อหาดังนี้
 
การประชุมหารือเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2556 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คณะผู้เข้าร่วมฝ่ายไทย นำโดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประเทศไทย และฝ่ายบีอาร์เอ็น นำโดยอุสตาซฮาซัน ตอยิบ หัวหน้าสำนักงานประสานงานต่างประเทศของกลุ่มบีอาร์เอ็นในมาเลเซีย โดยมีดาโต๊ะ ซรี อาหมัด ซัมซามิน ฮาซิม ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการหารือ ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซีย
 
ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงในหลักการเพื่อลดเหตุการณ์ความรุนแรงตลอดเดือนรอมฏอนอันประเสริฐ เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัย ทั้งนี้ สอดคล้องกับคุณค่าอันประเสริฐของเดือนรอมฏอน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ ความตั้งใจ และความเชื่อถือของทั้งสองฝ่าย ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆ เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายในการสร้างพื้นที่ให้ปลอดจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยตลอดเดือนรอมฏอน ทั้งสองฝ่ายจะได้นำเสนอรูปแบบและวิธีการในเวลาอันใกล้นี้
 
ฝ่ายบีอาร์เอ็นจะส่งคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอ 5 ข้อ ตามที่ได้มอบให้ฝ่ายไทยแล้ว หลังจากที่ได้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจากฝ่ายบีอาร์เอ็นแล้ว ฝ่ายไทยรับที่จะตัดเตรียมข้อมูลป้อนกลับเสนอไปยังฝ่ายบีอาร์เอ็น ผ่านผู้อำนวยความสะดวกในโอกาสแรกต่อไป
 
การประชุมหารือเพื่อสันติภาพครั้งที่ 4 นี้ ได้ดำเนินการท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตร และได้ดำเนินไปอย่างสร้างสรรค์ทั้งสองฝ่ายได้แสดงถึงความรับผิดชอบร่วมกัน ที่มีต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ เพื่อความก้าวหน้าในอนาคต
 
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีการพูดคุยครั้งต่อไปหลังจากเดือนรอมฎอน
 
 

ยันยังไม่ถึงเวลาคุย 'ปกครองพิเศษ'

ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าวันเดียวกัน (13 มิ.ย.56) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียว่า คณะพูดคุยเพื่อสันติภาพฝ่ายไทยนำโดย พล.ท.ภราดร ได้ร่วมประชุมคณะฝ่ายไทยที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเน็นต้อล เพื่อเตรียมความพร้อมในการพูดคุยเพื่อสันติภาพกับคณะผู้แทนฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN) ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายวันเดียวกัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 15 คน
 
โดยประชุมเสร็จในเวลาประมาณ 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 09.30 น.ตามเวลาไทย จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ของมาเลเซียนำคณะผู้แทนฝ่ายไทยออกเดินทางไปร่วมพูดคุยกับฝ่ายบีอาร์เอ็นทันที ซึ่งเป็นสถานที่ลับห้ามผู้สื่อข่าวติดตามไปด้วย
 
พล.ท.ภราดร ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการประมวลข้อมูลต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการพูดคุยกับฝ่ายบีอาร์เอ็น โดยมีสัญญาณบวกหลายอย่างระหว่างการเตรียมตัว คาดว่าจะได้ผลคืบหน้าบางอย่างที่เป็นรูปธรรมจากทั้งสองฝ่ายหลังการพูดคุยเพื่อสันติภาพในวันนี้
 
พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ในการพูดคุยกับฝ่ายบีอาร์เอ็น ฝ่ายไทยต้องการที่จะให้มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนในเรื่องของการลดเหตุรุนแรงในพื้นที่ โดยจะนำผลการสำรวจความเห็นและการจัดเวทีต่างๆในพื้นที่มายืนยัน เนื่องจากเป็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สะท้อนความต้องการของคนในพื้นที่
 
ส่วนข้อเสนอที่ให้ลดการก่อเหตุรุนแรงในช่วงเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิมนั้น พล.ท.ภราดร กล่าวว่า เป็นข้อเสนอแนะจากพื้นที่ ซึ่งจะนำเสนอในการพูดคุยครั้งนี้ด้วย
 
ส่วนข้อเสนอ 5 ข้อของฝ่ายบีอาร์เอ็นนั้น พล.ท.ภราดร กล่าวว่า คาดว่าฝ่ายบีอาร์เอ็นจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคุยด้วย ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องถามให้ชัดเจนว่า แต่ละข้อมีความหมายว่าอย่างไร
 
ส่วนเรื่องเขตปกครองพิเศษนั้น พล.ท.ภราดร กล่าวว่า การปกครองพิเศษเป็นเรื่องปลายทาง ยังไม่น่าจะถึงเวลาที่จะคุยเรื่องนี้ ประเด็นหลักๆ วันนี้ จะเป็นเรื่องของการลดเหตุรุนแรง
 
พล.ท.ภราดร ยังได้ตอบคำถามในประเด็นที่จะพูดคุยเรื่องการตั้งกลไกการตรวจสอบเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ด้วยหรือไม่ ว่า ประเด็นหลักๆ ของการพูดคุยในวันนี้ คือต้องให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมในเรื่องของการลดเหตุรุนแรงในพื้นที่
 
ส่วนผลสำรวจของสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ออกมาว่า ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้แก้ปัญหายาเสพติดสูงมากด้วยนั้น พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ก็จะต้องนำไปพูดคุยด้วย เนื่องจากเป็นความต้องการของคนในพื้นที่
 
ส่วนผู้ที่จะร่วมคณะพูดคุยในครั้งนี้ พล.ท.ภารดร กล่าวว่า ยังอยู่ในกระอบเดิมคือ ไม่เกินฝ่ายละ 15 คน
 
ทั้งนี้มีรายงานว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยสันติภาพครั้งนี้ มีทั้งหมด 10 คน ประกอบด้วย พล.ท.ภราดร ในฐานะหัวหน้าคณะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
 
พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) พล.ต.นักรบ บุญบัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 (รอง ผอ.ศปป.5) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) นายประมุข ลมุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
 
ดร.มะรอนิง สาลามิง รองเลขาธิการ ศอ.บต. ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ และนายอาซิส เบ็ญหาวัน ประธานสภาที่ปรึกษาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.ต.ชรินทร์ อมรแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 4

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ILO เผยเด็กรับใช้ในบ้านทั่วโลกกว่าสิบล้านคน อายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนด

Posted: 13 Jun 2013 06:36 AM PDT

ILO เผยมีเด็กกว่า 10.5 ล้านคนทั่วโลกอายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนดทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านและอาจอยู่ในสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย-ถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส



เด็กสาวชาวเนปาลในการทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน (ที่มาภาพ: ILO/J. Maillard)


13 มิ.ย. 56 - เนื่องในวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก (World Day Against Child Labour) เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 56 ที่ผ่านมา องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization - ILO) เปิดเผยว่ามีเด็กกว่า 10.5 ล้านคนทั่วโลกที่มีเกณฑ์อายุที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านอาจอยู่ในสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย และถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส

โดยจากรายงาน Ending Child Labour In Domestic Work ระบุว่าเด็กที่ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านเกือบ 3 ใน 4 เป็นเด็กผู้หญิง และเด็กที่ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน 6.5 ล้านคน มีอายุระหว่าง 5 และ 14 ปี

การใช้แรงงานเด็กทำงานบ้านพบมากที่สุดในประเทศแถบแอฟริกา โดยเฉพาะประเทศเบอร์กินาฟาโซ กานา ไอเวอรีโคสต์ และมาลี ขณะที่เด็กสาวชาวเอธิโอเปียมักจะถูกส่งไปเป็นคนรับใช้ในประเทศอาหรับ

ส่วนในเอเซีย อย่างในประเทศปากีสถานและเนปาล เจ้าหนี้จะบังคับให้ผู้ปกครองที่ติดหนี้ส่งลูกของตัวเองไปเป็นเด็กรับใช้ภายในบ้านเพื่อเป็นการชดใช้หนี้

ILO ระบุว่าลักษณะงานของเด็กในอุตสาหกรรมคนรับใช้นี้ประกอบไปด้วยทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดเสื้อผ้า-รีดผ้า ทำอาหาร ทำสวน หาบน้ำ เลี้ยงเด็กและดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวของนายจ้าง

นอกจากนี้เด็กเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ถูกคุกคามทางเพศ ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และยังเสี่ยงที่จะถูกบังคับให้ค้าประเวณีอีกด้วย

นอกเหนือจากความพยายามของ ILO ต่อต้านการใช้แรงงานเด็กแล้ว ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างกัมพูชาก็มีความพยายามลดจำนวนแรงงานเด็กลงจาก 16.5% ในปี 2542 ให้เหลือเพียง 8% ภายในปี 2558 ให้ได้ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาความยากจน พัฒนาระบบการศึกษา รวมทั้งเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นี้ว่านายปรัก จันทา รัฐมนตรีแรงงานและการฝึกอบรมของกัมพูชา ได้ระบุว่าการแก้ปัญหาแรงงานเด็กเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน

สำหรับประเทศไทยเมื่อช่วงปลายปี 2555 ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่าไทยเป็นประเทศที่ถูกจับตามองในเรื่องการค้ามนุษย์ ซึ่งเกี่ยวพันกับการใช้แรงงานเด็ก โดยสินค้า 5 ประเภทจากไทยที่เข้าข่ายถูกจับตามองประกอบไปด้วย สิ่งทอ ปลา กุ้ง อ้อย และสื่อลามก



อ่านรานงาน "Ending Child Labour In Domestic Work" ฉบับเต็มได้ที่ :
http://www.ilo.org/ipecinfo/product/download.do?type=document&id=21515

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงานเสวนา: งบฯ แผ่นดิน เอาไปไหน? วราเทพ VS ปรีดิยาธร

Posted: 13 Jun 2013 05:59 AM PDT

 

 

13 มิ.ย.56  Thaipublica จัดเสวนาพิเศษเรื่อง "งบฯแผ่นดิน เงินของเราเขาเอาไปทำอะไร?" โดยมีวิทยากร ได้แก่

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน

วราเทพ รัตนากร กล่าวถึงแนวคิดในการจัดทำงบประมาณปี 2557 ว่าต่างจากปีอื่นๆ เนื่องจากมีการประชุมร่วมส่วนราชการเพื่อทำยุทธศาสตร์ประเทศ เพื่อที่จะหลุดพ้นรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยวางทิศทางของโครงสร้างงบประมาณว่าจะลดการขาดดุลลงเรื่อยๆ สู่งบสมดุลในปี 2560 ดังจะเห็นว่าปี 55 ขาดดุล 4 แสนล้าน, ปี 56 ขาดดุล 3 แสนล้าน, ปี 57 ขาดดุล 2.5 แสนล้าน แต่ก็มีงบลงทุนนอกงบประมาณคือ เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน (2 ล้านล้าน) และบริหารจัดการน้ำ (3.5 แสนล้าน) อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตัวงบประมาณปี 2557 (2.52 ล้านล้าน) จะเห็นว่ามีสัดส่วนเรื่องการศึกษา จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียม ถึง 33% หรือ 8.4 แสนล้าน ไม่ใช่จะเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว
 


ที่มา: พาวเวอร์พ้อยท์วิทยากร (วรเทพ รัตนากร)
 

จากนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้สอบถามนายวราเทพถึงหลักการวินัยการคลังว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร เนื่องจากเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ที่กู้นอกงบประมาณจำนวนมหาศาล

"นี่เป็นการแหกวินัยการคลังครั้งใหญ่ที่สุด แม้มันจะมีอะไรดีที่ช่วยประเทศชาติ แต่ก็มีอะไรที่อันตรายเหมือนกัน" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวและแสดงความเห็นเสริมว่าควรตั้งบประมาณปกติจะเหมาะสมกว่า โดยตั้งงบขาดดุลสูงก็ได้ เพราะเมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งรัฐบาลจะรู้ว่าต้องหยุดก่อนเพื่อไม่ให้ประเทศเซ แต่เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยเริ่มกู้นอกงบประมาณ รัฐบาลอื่นๆ ก็จะดำเนินรอยตาม ดังนั้น จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีกระบวนการสร้างหนี้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนประเทศเสียหาย

นายวราเทพ ตอบว่า ต้องแยกแยะงบที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน งบบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเป็นเหตุจำเป็นเนื่องจากเป็นอุทกภัยใหญ่ที่กระทบภาพรวมความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากไม่มีแผนชัดเจนจะดึงความมั่นใจกลับมาไม่ได้ จึงต้องดำเนินการเร่งด่วนทำให้ต้องดำเนินการนอกงบประมาณ ส่วนงบโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านนั้น ก็เป็นงบลงทุนระยะ 7 ปี ซึ่งไม่สามารถนำใส่งบปกติได้ เนื่องจาก 1.การลงทุนนี้เป็นแผนเปลี่ยนระบบขนส่งทั้งประเทศ แผนที่ชัดเจนจะส่งผลต่อความมั่นใจของเอกชน รวมถึงเอกชนที่จะมาร่วมงานด้วย การนำใส่งบปกติอาจไม่สามารถเสนอได้ตรงตามเวลา การทำเป็นงบผูกพันอาจมีปัญหาในเรื่องสัญญา และที่ผ่านมาไม่สามารถใส่แผนงานขนาดใหญ่เป็นแสนล้านได้ในงบปรกติ จะมีปัญหาการกระจุกตัวของงบที่ลงทุนแต่โครงสร้างพื้นฐาน ไม่กระจายสู่ด้านสังคมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการกู้นอกงบประมาณแต่ก็มีระบบตรวจสอบไม่ต่างกัน ไม่สามารถลบเลี่ยงมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างได้

ส่วนว่ารัฐบาลอื่นจะดำเนินรอยตามและจะเกิดความเสียหายหรือไม่นั้นต้องดูเหตุผลในการดำเนินการว่ามีเพียงพอไหม และดูว่าระบบการคลังไปได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครดันทุรังจนเกิดความเสียหายได้ สำหรับหลักประกันในเรื่องนี้ หากจะออกเป็นกฎหมายก็ไม่ยั่งยืนเท่าการสร้างการตระหนักรู้ของสังคม รวมถึงบทบาทราชการที่จะไม่โอนเอียงตามฝ่ายการเมืองทั้งหมด เพราะถึงที่สุดออกกฎหมายก็ยังแก้ไขได้
 


ที่มา: พาวเวอร์พ้อทย์วิทยากร (ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล)
 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นำเสนอในเวที โดยจำแนกรายละเอียดโครงการต่างๆ ในพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านว่า เห็นด้วยในส่วนอื่นๆ ทั้งหมดว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและควรจะดำเนินการตั้งนานแล้ว แต่หากดูในรายละเอียดด้านต่างๆ ยังพบว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ในส่วนของ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า หรือ container yard ซึ่งควรจะมีอีกหลายจุด

อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร แสดงความเห็นในส่วนโครงการที่ไม่เห็นด้วยว่า มี 4 โครงการย่อยในกลุ่มรถไฟความเร็วสูงที่ไม่คุ้มทุน คือ กรุงเทพ-เชียงใหม่ กรุงเทพ-หนองคาย กรุงเทพ-ปดังเบซาร์ และกรุงเทพ-พัทยา-ระยอง เนื่องจากรถไฟความเร็วสูงนั้นขนส่งคนเป็นหลักไม่ใช่ขนส่งสินค้า และงบลงทุนกลุ่มนี้ใช้เงินถึง 7.8 แสนล้านบาท คำนวณแล้วว่าหากจะคุ้มทุนต้องเก็บค่าโดยสารแพงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำในขณะที่ใช้เวลาเดินทางนานกว่า หากทำแล้วร้างใครจะรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลอยากจะทดลองก็ควรทดลองสาย กรุงเทพ-พัทยา-ระยอง ก่อนเพราะด้านตะวันออกไม่มีสายการบินต้นทุนต่ำ คนที่มีกำลังจ่ายยังไม่มีทางเลือก

"มันไม่มีทางคุ้มค่า ท้าได้เลย ถ้ามีเงินถุงเงินถังไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ ก็ต้องนึกถึงความคุ้มค่าด้วย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว



ที่มา: พาวเวอร์พ้อยท์วิทยากร (สมชัย จิตสุชน)

สมชัย จิตสุชน กล่าวว่า การทำให้งบสมดุล ดูเหมือนเป็นการทำให้เกิดภาพพจน์ที่ดีเพื่อสนับสนุนการกู้ 2 ล้านล้าน ซึ่งสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี (สปน.) ก็คำนวณมาแล้วว่าหนี้สามธารณะจะยังคงไม่เกิน 50% แต่สิ่งที่ยังขาดและไม่มีการเปิดเผยข้อมูล แม้แต่ในชั้นกรรมาธิการก็คือ เราต้องเสียอะไรบ้างกับการได้รถไฟความเร็วสูง งบประมาณด้านอื่นๆ มีปัญหาหรือไม่ เช่น กรณีของงบสาธารณสุขอย่าง 30 บาท ก็ถูกแช่เข็งอย่างน้อย 2 ปี นอกจากนี้เรื่องของความคุ้มค่าก็ถูกตั้งคำถามมาก การศึกษาความเป็นไปได้โครงการ (FS-feasibility study) ก็ไม่ชัดเจน อีกทั้งยังทำผิดหลักการโดยให้ประเทศจีนกับญี่ปุ่นเป็นผู้ศึกษา ทั้งที่สองประเทศนี้อาจเป็นผู้ลงทุนด้วย การทำการศึกษาเรื่องนี้ต้องทำโดยผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย

พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ กล่าวถึงภาพรวมหนี้สาธารณะว่า หากดูตั้งแต่ปี 2539 ถึงปัจจุบันจะพบว่า ก่อนวิกฤตปี 2540 นั้นหนี้สาธารณะของประเทศไม่เกิน 15% แต่เมื่อปี 2543 หนี้กระโดดขึ้นเป็นกว่า 60% เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูแล้วจึงค่อยๆ ลดระดับลง จากนั้นในปี 2551 เกิดวิกฤต Hamburger การปิดสนามบิน ฯ ทำให้มีการออก พ.ร.บ.กู้ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นที่มาของโครงการไทยเข้มแข็ง จากนั้นหนี้สาธารณะก็เพิ่ม ในปี 51 จาก 37% เป็น 45% ในปี 2552

"ในฐานะที่ดูแลด้านรายจ่ายและหนี้สินของประเทศ ขอยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดจะไม่ทำให้เราหลุดกรอบความยั่งยืนทางการคลัง" หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สินกล่าว พร้อมอธิบายถึงเหตุผลว่า เพราะ 1.หนี้ต่อจีดีพีไม่เกิน 50% 2.รายจ่ายชำระเงินต้นรวมดอกเบี้ย ไม่เกิน 15% ขณะนี้ลดลงเหลือ 7-8% เพราะโอนหนี้ให้กองทุนฟื้นฟูฯ จัดการ 3.งบลงทุนต่องบรวม ตั้งเป้าไม่เกิน 25% ไม่ว่าจะเป็นงบในงบประมาณหรือนอกงบประมาณ 4.โครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่นั้นเหมาะสม เพราะเรายังมี fiscal space หรือช่องว่างให้นโยบายทางการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจได้อยู่ เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะของเรานั้นไม่สูง เพียงแค่ 46.5% ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่กว่า 100%  สภาพคล่องในตลาดการเงินก็ยังมีมาก อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ 4% กว่าเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจึงยังมีช่องว่างในการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกระยะ

ที่มา: พาวเวอร์พ้อยท์วิทยากร (พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ )

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ท้องได้ไม่ผิด ทำแท้งไม่เถื่อน: เรียนรู้การขับเคลื่อน ‘ความเป็นธรรมทางเพศ’ ในอาเซียน

Posted: 13 Jun 2013 05:56 AM PDT

เตรียมพบเวที 'การสร้างความเข้มแข็งงานขับเคลื่อนด้านความเป็นธรรมทางเพศ: ประสบการณ์จากเพื่อนบ้านอาเซียน' รศ.ดร.กฤตยา ชี้เป็นโอกาสของไทยได้เรียนรู้ประเด็น 'ความเป็นธรรมทางเพศ' ที่เจ้าของปัญหาเป็นผู้นำขบวนเอง

 
เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 'การสร้างความเข้มแข็งงานขับเคลื่อนด้านความเป็นธรรมทางเพศ: ประสบการณ์จากเพื่อนบ้านอาเซียน' กำหนดจัดขึ้นวันที่ 17-18 มิ.ย.นี้ ประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ในการเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประเด็น 'ความเป็นธรรมทางเพศ' ที่ยังไม่ปรากฏการถกเถียงทางสาธารณะ และเป็นการรวมตัวกันของผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง นักกิจกรรมหรือแอ๊กติวิสท์ รวมถึงนักวิชาการ เอ็นจีโอ รวมถึงผู้มีประสบปัญหาโดยตรงในภูมิภาคอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความสำเร็จ ความล้มเหลว ปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนความท้าทายและโอกาสที่จะเกิดขึ้นในการขับเคลื่อนด้านความเป็นธรรมทางเพศ
 
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และกรรมการจัดเวทีครั้งนี้ กล่าวว่าการเลือกประเด็นคุยกันในครั้งนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเคลื่อนไหวเพศวิถี และยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงร้อนแรงในทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็น สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์โดยเฉพาะการท้องและการทำแท้ง การประกอบอาชีพบริการทางเพศ สิทธิและอัตลักษณ์ทางเพศ แรงงานข้ามชาติ สิทธิและโอกาสของผู้หญิงพิการ และความรุนแรงต่อผู้หญิง
 
แต่ละประเด็นที่มีลักษณะร่วมกันตรงที่ใช้มาตรฐานด้านศีลธรรมมาใช้ตัดสินคุณค่า เช่น ตีตราผู้หญิงที่ท้องแล้วทำแท้งเป็นคนชั่ว ตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ ประณาม หรือดูหมิ่นผู้ประกอบอาชีพบริการทางเพศ รวมถึงการกดขี่ข่มเหงคนที่มีอัตลักษ์ทางเพศนอกกรอบ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แล้วยังซ้ำเติมให้ผู้ประสบปัญหาต้องเผชิญกับสภาพเลวร้ายมากขึ้น ในการทำงานและการขับเคลื่อนในแต่ละประเด็นต้องอาศัยยุทธศาสตร์ แนวทางและวิธีการที่หลากหลายในการปฏิบัติการ โดยเฉพาะการมุ่งแก้ไขเชิงโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมที่ไม่เป็นธรรม
 
"ประสบการณ์การเคลื่อนไหวเรื่องทำแท้งในอินโดนีเซีย ทั้งที่เป็นประเทศอิสลาม ทำไมถึงทำได้  หรือในมาเลเซียมีแพทย์ให้บริการทำแท้ง และมีการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมทางเพศที่เจ้าของปัญหาเป็นผู้นำขบวนเอง ซึ่งต่างจากไทยที่เป็นลักษณะตัวแทน เช่นหลายเรื่องที่มีเอ็นจีโอเป็นแกนนำ การมีเวทีแลกเปลี่ยนนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทย" รศ.ดร.กฤตยากล่าว
 
รศ.ดร.กฤตยา กล่าวด้วยว่า เวทีดังกล่าวมีวิทยากรรับเชิญที่มีประสบการณ์ทำงานด้านการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ อาทิ โรสานา อิซา (Rozana Isa) จากประเทศมาเลเซีย สมาชิกองค์กรผู้หญิงมุสลิม Sisters in Islam (SIS) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่มุ่งส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงมุสลิมบนฐานศาสนาอิสลาม นินุก วิดยานโตโร (Ninuk Widyantoro) นักจิตวิทยาที่ได้พบเห็นผู้หญิงและเด็กหญิงวัยรุ่นถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงการทำแท้ง ทำให้ตัดสินใจทุ่มเททำงานตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ในการผลักดันให้ผู้หญิงได้เข้าถึงการทำแท้งที่ปลอดภัย และฟาติมะห์ อับดุลละห์ (Fatimah Abdullah) ที่ทำงานขับเคลื่อนเพื่อสิทธิของผู้ประกอบอาชีพบริการในมาเลเซีย เป็นต้น
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทั่วโลกประชุมยกเลิกโทษประหารชีวิตครั้งที่ 5 ที่มาดริด

Posted: 13 Jun 2013 04:49 AM PDT

เริ่มการประชุมระดับโลกเพื่อการยกเลิกโทษประหารชีวิตครั้งที่ 5 รมช.ต่างประเทศของนอร์เวย์หวังประสบการณ์ยกเลิกโทษประหารชีวิตในยุโรปจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับการยกเลิกโทษประหารทั่วโลก ระบุรู้สึกภูมิใจ ที่ไม่มีชาวนอร์เวย์เรียกร้องให้ใช้โทษประหารชีวิต หลังเกิดเหตุสังหารเยาวชน 77 รายที่เกาะโอตูย่า

12 มิ.ย. 56, มาดริด - การประชุมโลกเพื่อการยกเลิกโทษประหารชีวิตครั้งที่ 5 (5th World Congress against the Death Penalty) ได้เริ่มขึ้นแล้วที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดราว 1,500 ทั้งตัวแทนจากรัฐบาล นักกฎหมาย ภาคประชาสังคม องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงครอบครัวของผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิต การจัดงานครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือของภาคีเพื่อการต่อต้านโทษประหารชีวิต (Together  against the Death Penalty) ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ไม่หวังผลกำไรของประเทศฝรั่งเศส พร้อมการสนับสนุนจากรัฐบาลสเปน ฝรั่งเศส นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ มีจุดมุ่งหมายร่วมกันเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศที่ยังคงมีการใช้อยู่

ในพิธีเปิดการประชุมดังกล่าว นอกจากจะมีการกล่าวเปิดจาก ราฟาเอล เชนิล ฮาซาน ผู้อำนวยการองค์กรภาคีเพื่อการยกเลิกโทษประหารชีวิต นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ และอาร์คบิชอบเดสมอนด์ ตูตู ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพเมื่อปี 1984 ผ่านทางวีดีโอ และมีการเสวนาโดยมีรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสเปนและฝรั่งเศส รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสเปน และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของนอร์เวย์ ร่วมพูดคุยถึงความมั่นหมายของประเทศดังกล่าว ต่อภารกิจที่มุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิตทั่วโลก

นางกรีย์ ลาร์สัน (Gry Larsen) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของนอร์เวย์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องโทษประหารชีวิต ยุโรปถือว่ามีความพิเศษและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศในภูมิภาคอื่นได้ เพราะทุกประเทศในยุโรปได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตหมดแล้วยกเว้นเบลารุสในยุโรปตะวันออก โดยเธอกล่าวถึงบทเรียนสามประการที่ประเทศอื่นๆ สามารถนำไปเรียนรู้จากยุโรปได้

ประการแรก เธอชี้ว่า ยุโรปประกอบไปด้วยประเทศที่มีความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา แต่การยกเลิกโทษประหารชีวิตก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของผู้นำทางการเมือง ซึ่งมิได้ผูกติดอยู่กับคุณค่าทางวัฒนธรรมหรือศาสนาแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น 

ประการที่สอง ผู้นำทางการเมืองมักมีความเชื่อโดยทั่วไปว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเห็นชอบโทษประหารชีิวิตอยู่ จึงไม่อยากเปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์ได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้นำตัดสินใจผลักดันโทษประหารชีวิตแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นด้วยตาม เพียงแต่ผู้นำทางการเมืองต้องกล้าที่จะตัดสินใจและแสดงเหตุผลที่ชอบธรรมแก่ประชาชน

ประการที่สาม คือสถาบันทางการเมืองที่ปูทางให้กับการยกเลิกโทษประหารชีวิตและให้คุณค่ากับสิทธิมนุษยชน อย่างสภาแห่งยุโรป (Council of Europe) ได้กำหนดเงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิกว่า ต้องยกเลิกโทษประหารชีิวิตก่อนจึงจะเข้าร่วมได้ 

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของนอร์เวย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายที่กรุงออสโล และในเกาะอูโตย่า ในเดือนกรกฎาคม ปี 2554 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีิวิต 77 ราย ในจำนวนนี้รวมเยาวชนที่ขณะนั้นเข้าค่ายกับสันนิบาตเยาวชนแรงงานในเกาะอูโตย่า 69 คน 

"เราได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด แต่เราก็ต้องยึดถือคุณค่าของเรา" เธอกล่าว "สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่สุด คือ ไม่มีใครสักคนที่เรียกร้องให้ใช้โทษประหารชีวิต เราเชื่อใจในประชาธิปไตยของเรา เราเชื่อใจในสถาบันของเรา และเราก็ไม่ได้เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายใดๆ เรายังคงใช้กฎหมายอันเดิมอย่างที่เราเคยมีมา" ตามด้วยเสียงปรบมือกึกก้องในห้องประชุม

ด้านนายลอรองท์ ฟาบิอุส (Laurent Fabius) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของฝรั่งเศส กล่าวว่า ฝรั่งเศสได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าไม่นานมาก ก่อนหน้านี้ประชาชนชาวฝรั่งเศสเห็นชอบกับโทษประหารชีวิตมานานหลายทศวรรษ แต่เมื่อผู้นำทางการเมืองได้ตัดสินใจยกเลิกโทษประหาร เพียง 2-3 ปีหลังจากนั้น ความคิดเห็นของสาธารณะก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย เขาจึงย้ำว่า ผู้นำประเทศต้องตัดสินใจอย่างมั่นคงในเรื่องนี้ และอย่ามัวแต่เชื่อว่าประชาชนจะไม่เห็นชอบ ต้องไปให้ไกลกว่าความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในเรื่องนี้้

"ทุกวันนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการเอาโทษประหารชีวิตกลับมาใช้อีก ไม่ใช่เพียงในทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังในทางคุณค่าทางสังคมด้วย" รมต. ต่างประเทศฝรั่งเศสกล่าว

เขากล่าวด้วยว่า ฝรั่งเศสยังมีความมุ่งหมายที่จะรณรงค์เรื่องนี้ผ่านทางภารกิจทางการทูต โดยได้มอบหมายให้สถานทูตฝรั่งเศสในหลายๆ ประเทศ ทำการรณรงค์เรื่องนี้เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยเฉพาะในประเทศที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิตอยู่

สำหรับประเทศสเปน ที่เป็นเจ้าภาพการจัดงานในครั้งนี้ นายอัลแบร์โต รุยซ์ กัลยาร์ดอน (Alberto-Ruiz Gallardon) รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสเปนกล่าวว่า สเปนในสมัยการปกครองของนายพลฟรังโก ได้มีการประหารชีวิตของฝ่ายต่อต้านฟาสซิสต์ 5 คน ในปี พ.ศ. 2518 การประหารชีวิตครั้งนั้นได้นำมาซึ่งการประณามอย่างรุนแรงจากสวีเดนและในยุโรป ต่อมา ในปี พ.ศ. 2521 รัฐธรรมนูญของสเปนก็ได้ยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิต และให้นิรโทษกรรมความผิดของผู้ที่ได้รับโทษประหารชีวิต เขากล่าวว่า ไม่มีแม้สักหนึ่งเสียงในรัฐสภาที่ค้านการยกเลิกโทษประหารชีวิตในตอนนั้น 

นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงการก่อการร้ายในกรุงมาดริด สเปนเมื่อปี พ.ศ. 2547 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 191 ราย แต่ไม่มีใครเลยที่เรียกร้องให้ใช้โทษประหารชีวิตแก่ผู้ที่กระทำความผิด ถึงแม้ว่ามีผู้ได้รับผลกระทบมากมาย 

"โทษประหารชีวิตมิได้แก้ปัญหาอะไรเลย แต่กลับทำให้ปัญหาที่เราต้องการจะแก้นั้นแย่ลง" อัลแบร์โตกล่าว "มันจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งในสังคม ที่ฝังอยู่ในสติปัญญาและระเบียบทางคุณธรรม และส่งผลต่อศักดิ์ศรีของหญิงและชายทุกคน"

ทั้งนี้ ประเทศทั้งหมดในโลกส่วนใหญ่ได้ยกเลิกประหารชีวิตแล้ว คิดเป็น 97 ประเทศ มี 8 ประเทศที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับอาชญากรรมที่ถือว่าไม่ร้ายแรง แต่ยังคงมีข้อยกเว้นสำหรับอาชญากรรมกรณีพิเศษ มี 36 ประเทศที่ถือว่ายกเลิกในทางปฏิบัติ คือไม่ทำการประหารชีวิตเลยในรอบ 10 ปี ส่วนประเทศที่ยังใช้โทษประหารชีวิตอยู่มี 57 ประเทศ คิดเป็นประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย และบางส่วนในแอฟริกา 

ในภูมิภาคเอเชีย จากทั้งหมด 24 ประเทศ มี 5 ประเทศ ที่ยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตแล้ว รวมถึงกัมพูชา ฟิลิปปินส์ มี 6 ประเทศที่ถือว่ายกเลิกในทางปฏิบัติ เช่น บรูไน ลาว พม่า และมีอีก 13 ประเทศ ที่ยังคงใช้โทษประหารชีิวิตอยู่ รวมถึงไทยด้วย สำหรับประเทศไทย ถึงแม้รัฐบาลจะบรรจุแผนการยกเลิกโทษประหารชีวิตไว้ในแผนปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2552-2556) แต่ในปี 2552 ไทยได้ประหารชีวิตนักโทษในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 2 ราย หลังจากที่เว้นมิได้ประหารชีวิตมาตั้งแต่ 2546

ในปี 2555 ประเทศที่มีการประหารชีวิตสูงสุดในโลกได้แก่ ได้แก่ จีน อิหร่าน อิรัก ซาอุดิอารเบีย และสหรัฐอเมริกา

สำหรับการประชุมโลกเพื่อการยกเลิกโทษประหารชีวิตครั้งที่ 5 จะดำเนินถึงวันที่ 15 มิ.ย.ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน โดยในงานมีการเสวนาทางวิชาการ การแสดงทางศิลปะ วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับเรื่องโทษประหารชีวิต อนึ่ง การประชุมโลก จัดขึ้นทุกๆ 3-4 ปี โดยในปี 2544 จัดขึ้นที่เมืองสตราส์เบิร์ก ฝรั่งเศส ปี 2547 จัดที่เมืองมอนทรีออล แคนาดา ปี 2550 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส และปี 2553 จัดที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวป. เรียกร้อง ปธ.รัฐสภาเปิดประชุมด่วน เพื่อยกเลิก รธน.ม.309 จี้ ผบ.ทบ.อย่าปฏิวัติ

Posted: 13 Jun 2013 03:27 AM PDT

กวป.ร้องประธานรัฐสภาเปิดประชุมสมัยวิสามัญด่วน เพื่อยกเลิก รธน. ม.309  ชี้คุ้มครองกลุ่มผู้ทำรัฐประหารเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ต่อด้วยยื่นหนังสือถึงผบ.ทบ. จี้ อย่าปฏิวัติ ด้าน ผบ.ทอ.แจงกองทัพทำงานใต้อำนาจบริหาร

13 มิ.ย.56 สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า นายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจากนายศรรัก มาลัยทอง โฆษกกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) และคณะ ที่ขอให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญเพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309 โดยกลุ่ม กวป.ให้เหตุผลว่า มาตรา 309 เป็นการคุ้มครองคณะบุคคลที่ทำการรัฐประหาร ตลอดจนองค์กรอิสระต่างๆ ให้ได้รับประโยชน์มาตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งประชาชนไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรานี้แต่อย่างใด แต่กลับก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงลิดรอนอำนาจของประชาชน ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นกลุ่ม กวป.จึงมีมติเสนอความเห็นต่อรัฐสภาให้ยกเลิกมาตรา 309 ก่อนมาตราใดๆ เพื่อให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าทำตามนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชนเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 โดยขอให้พิจารณาในการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญด่วน เพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป

ด้านนายวัฒนา กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อประธานรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภาโดยเร็ว  พร้อมชื่นชมการแสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองของกลุ่ม กวป.ที่แสดงออกตามกระบวนการระบอบประชาธิปไตย

ภาพกลุ่ม กวป. คลุมผ้าดำที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ / ภาพโดย RedHard Dang

ทั้งนี้ก่อนที่ กวป. จะมีการเคลื่อนมาที่หน้ารัฐสภา ได้คลุมผ้าดำที่บริเวณป้ายศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 (อาคาร A) ถนนแจ้งวัฒนะ ด้วย

ยื่นหนังสือถึงผบ.ทบ. จี้ อย่าปฏิวัติ

โดยในวันเดียวกัน ไอ.เอ็น.เอ็น. รายงานด้วยว่า กวป. เคลื่อนขบวนจากหน้ารัฐสภามายังบริเวณหน้ากองทัพบก เพื่อยื่นหนังสือเรื่องขอคำยืนยันในการรักษาประชาธิปไตย จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก โดยมี ร.อ.เสกสรรค์ กาศยปนันท์ นายทหารเวร รับหนังสือแทน ซึ่งหนังสือดังกล่าวระบุว่า กวป.และคนไทย หวาดระแวงข่าวสารจากสื่อมวลชนหลายแขนง เช่น ข่าวการปฏิวัติยึดอำนาจ และการใช้องค์กรอิสระในการแทรกแซงการบริหารงานของรัฐบาล และในการตัดสินคดีความต่างๆ ดังนั้น จึงต้องการขอคำยืนยันจากกองทัพบกว่า จะอยู่เคียงข้างประชาชน อีกทั้งขณะนี้ กวป. กำลังเรียกร้องความเป็นธรรมอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากเสียงข้างมากของประชาชน

ทั้งนี้ จึงขอให้กองทัพบก แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เพื่อความมั่นใจของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่จะได้รับคำยืนยันจากกองทัพบก ว่าจะพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประชาชน เพื่อธำรงไว้ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ภาพกลุ่ม กวป. ยื่นหนังสือถึง ผบ.ทบ. ภาพโดย RedHard Dang


ผบ.ทอ.แจงกองทัพทำงานใต้อำนาจบริหาร

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงกรณีที่ เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ยื่นหนังสือถึง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ออกมายับยั้งคนในรัฐบาลและรัฐสภา เหมือนว่าต้องการให้กองทัพออกมาทำรัฐประหาร ว่า ต้องเข้าใจว่ากองทัพอากาศเป็นหน่วยงานของภาครัฐ อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น งานใดที่ฝ่ายบริหารได้ทำไปแล้ว ก็ให้เป็นไปตามแผนงานที่รัฐบาลได้แถลงไว้ หรือเป็นไปตามยุทธศาสตร์ ทางกองทัพอากาศก็พร้อมสนับสนุน หากส่วนใดที่เป็นข้อห่วงใย ทางกองทัพอากาศก็จะเสนอแนะตามลำดับชั้น แต่เห็นว่าควรให้รัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ พล.อ.อ.ประจิน ยังกล่าวถึง กระแสข่าวการปรับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง ว่า ทางกระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงที่มีความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐมนตรี ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา กวป. ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยนำเรื่องเสนอประธานสภา เพื่อเปิดประชุมสมัยวิสามัญด่วน เพื่อหาทางออกให้ประเทศ โดยพิจารณายกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 หรือยกเลิกมาตรา 309 โดยมีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยมารับหนังสือ พร้อมกล่าวด้วยว่า พรรครับทราบถึงข้อเรียกร้องต่างๆ ของกลุ่ม กวป.ว่ามีข้อเรียกร้องอะไรบ้าง โดยจะนำเรื่องไปให้พรรคพิจารณาถึงความต้องการของพี่น้องประชาชน และขอให้กลุ่มพี่น้องเสื้อแดงทุกคนใจเย็นๆ ก่อนเพราะทุกอย่างจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิติเวชยัน ‘เอกยุทธ’ ตายเพราะขาดอากาศหายใจ หมอพรทิพย์ติงเก็บหลักฐานรวบรัด

Posted: 13 Jun 2013 02:57 AM PDT

แพทย์นิติเวชเผยผลพิสูจน์จากการเทียบเคียงลายนิ้วมือ ยันว่าผู้ตาย คือ 'เอกยุทธ' สาเหตุเพราะขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 5 วัน ด้านหมอพรทิพย์ติงเก็บหลักฐานรวบรัดหวั่นถูกครหา "รัฐตำรวจ" ยกเอกยุทธตัวอย่างคนที่สู้อำนาจรัฐ เทียบกรณี 'ทนายสมชาย'

13 มิ.ย.56 สำนักข่าวไทย รายงาน พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันผลตรวจเบื้องต้นการตรวจสอบลายนิ้วมือจากร่างที่ขุดพบที่ จ.พัทลุง ยืนยันเป็นนายเอกยุทธ อัญชันบุตร แต่ต้องรอผลตรวจดีเอ็นเอเทียบกับลูกชาย และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อื่นๆ เช่น กระดุมเสื้อ 3 เม็ด และเชือกรองเท้า ที่พบบริเวณจุดที่ฝังศพ อยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์ รวมทั้งเร่งหาเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งหายไป จากการตรวจสอบสภาพศพพบมีร่องรอยจากการบีบรัดที่ข้อมือ ลำคอ และพบรอยช้ำที่ส้นเท้าซ้ายที่คาดว่าเกิดจากการกระแทก ส่วนที่บริเวณปากพบรอยคล้ายถูกรัดด้วยเชือก จากนี้จะต้องตรวจหาสารพิษจากอาหารที่พบในช่องท้อง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นแพทย์ระบุเป็นการเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตมานานไม่ต่ำกว่า 5 วัน

ขณะที่ พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า จากการเทียบเคียงลายนิ้วมือศพกับฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันได้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นนายเอกยุทธจริง แต่เพื่อความชัดเจน แพทย์จะตรวจทุกขั้นตอน รวมทั้งประวัติการทำฟันของนายเอกยุทธอีกครั้ง

ส่วนรายละเอียดการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น ผลดีเอ็นเอ ต้องรอผล 1-2 วัน และภายในวันนี้ หลังแพทย์ผ่าพิสูจน์แล้ว ญาติสามารถนำศพนายเอกยุทธไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลได้

หมอพรทิพย์ติงเก็บหลักฐานรวบรัด หวั่นถูกครหา"รัฐตำรวจ"

ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการ Online รายงานด้วยว่า 13 มิ.ย.56 แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกายโดยระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า คดีของนายเอกยุทธ ถือว่าไม่ได้แตกต่างจากคดีของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำในปี 2547 ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

"คดีนี้มันก็ไม่ต่างจากกรณีของคุณสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเรายังไม่รู้ประเด็นว่าคืออะไร แต่ผู้ตายไม่ใช่ประชาชนธรรมดาที่ไม่เคยมีเรื่องกับอำนาจรัฐ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดกันตรงๆ คุณเอกยุทธถือเป็นตัวอย่างของคนที่สู้กับอำนาจรัฐ จะเป็นฝั่งอะไรก็ช่าง แต่เมื่อมีการตาย เจ้าหน้าที่รัฐและการเมืองต้องระวัง ระวังต่อการเข้าไปก้าวก่าย ระวังต่อการที่ทำให้เห็นได้ว่ามันมีการดำเนินการไม่สุด" พญ.พรทิพย์กล่าว

อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งถูก ครม.สั่งย้ายให้มาเป็นผู้ตรวจราชการฯ กล่าวต่อว่า โดยหลักการในต่างประเทศซึ่งเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่จะไม่มีการผูกขาดอำนาจอย่างในประเทศไทยเช่นปัจจุบัน โดยผู้ตรวจเก็บพยานหลักฐาน ผู้ตรวจพิสูจน์ และผู้ทำสำนวนต้องไม่เป็นหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันผู้ดำเนินการเกี่ยวกับคดีดังกล่าวเกี่ยวพันกับตำรวจ และผู้ถืออำนาจรัฐทั้งหมด ซึ่งทำให้ประชาชนครหาได้ว่าปัจจุบันรัฐไทยเป็น "รัฐตำรวจ"

"ทำอย่างไรถึงจะตอบได้ว่า ที่เขาตรวจพิสูจน์มันมีความโปร่งใสจริง เก็บมาเต็มที่ แต่ถ้าถามว่าหมอเห็นจากภาพที่เอาศพขึ้น ก็ตอบได้เลยค่ะว่ามันทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะค่ะ" พญ.พรทิพย์ระบุ และเสริมว่า เท่าที่ตนเห็นจากสื่อทำให้เกิดความเป็นห่วง เพราะคดีนี้ถือเป็นฆาตกรรมอำพราง ซึ่งตำรวจไม่ควรสืบทางโทรทัศน์ ซึ่งตำรวจจับผู้ต้องหามาแถลงทีนึง เมื่อมีผู้ต้องสงสัยก็กลับไปหาหลักฐานมาเพิ่มอีกที ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ

ประเด็นต่อมาคือ ข้อมูลและหลักฐานอื่นๆ เช่น ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่กลับไม่ทำให้ปรากฎออกมา ทั้งนี้แม้ทางญาติของผู้เสียชีวิตอยากให้ตนเข้าไปตรวจสอบคดีนี้เพิ่มเติมเหมือนในอดีต ตนก็คงทำไม่ได้เนื่องจากบทบาทของตนเองในปัจจุบันคือผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม แม้จะมีสถานะของความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์อยู่ก็ตาม

"หมอไม่สามารถทำงานได้ ถ้าไม่มีเครื่องมือหรือมีทีม แต่ถ้า (ผู้บังคับบัญชา) สั่งการมาให้ครบมันก็ทำอะไรได้อยู่แล้วค่ะ ... พอลำบากทีก็จะคิดถึงเราทุกที" พญ.พรทิพย์กล่าว โดยเมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าเมื่อถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมมีภารกิจอะไรบ้าง พญ.พรทิพย์ตอบว่า "ตรวจกระดาษมั้งคะ"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ.แก้รธน.สรุป “ส่งศาล รธน.ต้องผ่านอัยการ-ตัดยุบพรรคทิ้ง”

Posted: 13 Jun 2013 12:10 AM PDT

 

วานนี้ (12 มิ.ย.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก กมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 และมาตรา 237 ที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้ซึ่งเป็นนัดสุดท้าย โดย กมธ.เสียงส่วนใหญ่ ได้สรุปผลการพิจารณาเห็นชอบให้การแก้ไขมาตรา 68 ให้ผู้ที่ทราบเรื่องการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จะต้องยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณา และหากเห็นว่ามีมูลความผิดจริงก็ให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย การกระทำต่อไป แต่หากอัยการสูงสุดเห็นว่าไม่มีมูลก็ถือให้เป็นที่สุดแต่หากผู้ทราบการกระทำ ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเป็นเวลา 30 วัน แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็ให้ผู้ทราบการกระทำส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการได้
       
นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรา 237 ได้ตัดวรรค 2 เรื่องการยุบพรรคออกไปและโดยผู้ที่กระทำผิด และรู้เห็นตามมาตราดังกล่าว มีความผิดเฉพาะตัวไม่เหมายกเข่งโดยจะถูกตัดสิทธิเป็นเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ กมธ.จะแก้ไขคำผิดและส่งเรื่องให้ประธานรัฐสภาบรรจุในระเบียบวาระต่อไป คาดว่าจะนำมาพิจารณาในวาระ 2 ภายหลังวันที่ 1 ส.ค. ที่เปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปแล้ว โดยมีสมาชิกรัฐสภาเสนอคำแปรญัตติจำนวน 203 คน และมีผู้สงวนความเห็นบางส่วนเอาไว้

ขณะที่ความเคลื่อนไหววันนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมประจำสัปดาห์เพื่อพิจารณาคดีต่างๆ มีวาระที่น่าสนใจ คือ การพิจารณาคำร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และคำร้องของนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งระงับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และมาตรา 237 รวมทั้งขอให้ยุบ 6 พรรคการเมือง ที่ร่วมกันเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชุมตุลาการจะพิจารณาว่าจะรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือ ไม่

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังมีการพิจารณากรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ถูกร้องในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของ ส.ส. จำนวน 134 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (5) ประกอบมาตรา 102 (6) หรือไม่ จากกรณีที่กระทรวงกลาโหมมีคำสั่งปลด ร.ต.อภิสิทธิ์ ออกจากราชการเป็นนายทหารกองหนุน โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ได้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากลับมายังศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อย แล้ว ซึ่งจะต้องดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะกำหนดกระบวนวิธีพิจารณา หรือมีคำสั่งอย่างไรต่อไป

และเวลา 13.30 น. ศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยกรณีที่นายทะเบียนพรรคการ เมืองยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคพลังแผ่นดินไท (พรรคอาสามาตุภูมิ) ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 93 ประกอบ มาตรา 42 วรรค 2 และมาตรา 82

 

 

ที่มา: เว็บไซต์สำนักข่าวไทย เว็บไวซ์ ASTV-ผู้จัดการ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลฎีกายกฟ้อง ‘พล.ต.อ.วาสนา’ อดีต กกต.พร้อมคณะกรณีจัดเลือกตั้งปี 49

Posted: 12 Jun 2013 11:41 PM PDT

ศาลฎีกา พิพากษากลับ ยกฟ้อง อดีต กกต."วาสนา-ปริญญา" กรณีจัดเลือกตั้งมิชอบเมื่อปี 49 ชี้ ถาวร เสนเนียม ผู้เป็นโจทก์ ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง

13 มิ.ย.56 ที่ศาลอาญารัชดา ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. พร้อมพวกที่เป็นคณะกรรมการ กกต. ประกอบด้วย นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา อดีตเลขาธิการ กกต. ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และมาตรา 42 กรณีกำหนดจัดการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตรอบที่ 2 โดยไม่มีอำนาจ และออกหนังสือเวียนให้เปิดรับผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต โดยมิชอบ เมื่อวันที่ 23 และวันที่ 29 เม.ย.49 เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคไทยรักไทย

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดลงโทษจำคุก พล.ต.อ.วาสนา นายปริญญา และนายเอกชัย ไว้คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยทั้ง 3 คน เป็นเวลา 10 ปี ขณะที่ พล.อ.จารุภัทร จำเลยที่ 5 ได้ลาออกจาก กกต.ไปก่อน นายถาวร เสนเนียม (โจทก์) จึงถอนฟ้อง นายวีระชัย ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 21 ส.ค.55 ด้วยโรคไตวาย

ทั้งนี้ศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีดังกล่าวโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยมีความผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความผิดต่อรัฐไม่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงที่จะฟ้องจำเลย เมื่อวินิจฉัยได้ดังนี้จึงไม่ต้องวินิจฉัยข้อปัญหาอื่นอีกต่อไป ส่วนคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเสร็จสิ้นคำพิพากษา พล.ต.อ.วาสนา ได้เดินทางกลับในทันที่โดยขอไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน

เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวไทย และ ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น