ประชาไท | Prachatai3.info |
- นิธิ เอียวศรีวงศ์: ชาตินิยมกับชาติพันธุ์นิยม
- กสทช.ถอย คุมเนื้อหาสื่อ เปลี่ยนแนวให้กำกับกันเอง
- โอบาม่า ปรับปรุงระบบการสืบข่าวกรอง หวังสร้างความเชื่อมั่นหลังถูกเปิดโปง
- สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: โค่นทำไมระบอบทักษิณ!
- ส่งท้ายรอมฎอนสันติภาพ ลุ้นอีก 10 วันท่ามกลางความคลุมเครือ
- ตั้งเป้าลดภาวะตาบอดจากต้อกระจกปีงบ 57
- เอฟทีเอ ว็อทช์จี้เจรจาเอฟต้า ต้องไม่ยอมรับทริปส์พลัสด้านยา
นิธิ เอียวศรีวงศ์: ชาตินิยมกับชาติพันธุ์นิยม Posted: 11 Aug 2013 08:18 AM PDT "คนไทยไม่ทิ้งกัน" นี่คงเป็นคำขวัญที่สร้างความประทับใจมากสุดในน้ำท่วมคราวนี้ จึงมีผู้เอาไปแต่งเป็นเพลงหรือแทรกอยู่ในเนื้อเพลงปลุกปลอบใจ ที่มีการแต่งกันหลายเพลงในช่วงนี้ ผมนึกถามตัวเองว่า แล้วใครเป็น "คนไทย" วะ ที่ชัดเจนแน่นอนอย่างหนึ่งคือ แรงงานพม่าไม่ใช่แน่ เพราะเขาถูกทิ้งให้เผชิญภัยพิบัติอย่างน่าเวทนาจำนวนมาก รายได้ก็ขาด อาหารก็ไม่มีใครเอาไปแจก พูดขอความช่วยเหลือกับใครก็ไม่มีใครรู้เรื่อง
ที่มา: มติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กสทช.ถอย คุมเนื้อหาสื่อ เปลี่ยนแนวให้กำกับกันเอง Posted: 11 Aug 2013 08:02 AM PDT บอร์ดกสท. ปรับมาตรฐานการจัดเรทคุมเนื้อหา สนับสนุนสื่อกำกับกันเองตามจริยธรรมให้เข้มแข็ง – ลดข้อหาแทรกแซงสื่อ นางสางสุภิญญา กลางณรงค์ เปิดเผยว่า แม้สัปดาห์นี้ บอร์ดกสท.จะไม่ได้มีการพิจารณาเพิ่มเติมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ... ตามมาตรา37 แห่ง พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 (ขณะนี้นำขึ้นเวบเพื่อเปิดรับฟังความเห็นทางเวบไซต์ www.nbtc.go.th)ก็ตาม แต่มติครั้งที่ผ่านมาตนได้ส่งบันทึกความเห็นเพิ่มเติมต่อร่างประกาศฯดังกล่าว ดังนี้ มีความคลุมเครือระหว่างการกำกับดูแลเนื้อหารายการที่เป็นการกระทำผิดกฎหมายตามมาตรา 37 กับการกระทำผิดจรรยาบรรณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมาตรา 39 และ มาตรา 40 ของพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จึงเสนอให้สำนักงาน กสทช.จัดการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในประเด็นเพิ่มเติม ว่า สาระส่วนใดของร่างประกาศฯ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 37 โดยตรง และสาระในส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการส่งเสริมและควบคุมจริยธรรมแห่งวิชาชีพและการคุ้มครองผู้เสียหายจากการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. รวมทั้ง สืบเนื่องจากการประชุมครั้งที่ 24/2556 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 ได้พิจารณาร่างประกาศฯ ฉบับยกร่างโดยกลุ่มงานกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ และ ร่างประกาศฯ ฉบับยกร่างโดยคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ การประชุมในครั้งนั้นตนได้สงวนความคิดเห็นว่า เห็นด้วยกับสาระโดยส่วนใหญ่ของร่างประกาศ กสทช. ฉบับยกร่างโดยกลุ่มงานกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์เนื่องจากหมวดสองในร่างประกาศของคณะอนุกรรมการด้านผังรายการฯ เป็นการลงรายละเอียดในแนวทางปฏิบัติ ซึ่งเปิดให้เป็นการใช้ดุลพินิจของกรรมการ กสทช. ที่มากเกินไป อีกทั้งสาระในหมวดสองยังอยู่นอกเหนือขอบเขตของมาตรา 37 ของพ.ร.บ. การประกอบกิจการฯ พ.ศ. 2551 และอาจขัดกับมาตรา 46 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ซึ่งตนยังอยากเสนอให้คณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการนำร่างประกาศ กสทช. ฉบับยกร่างโดยกลุ่มงานกฎหมายฯ มาประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง นอกจากนี้ในที่ประชุม คณะอนุกรรมการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง ซึ่งตนเป็นประธาน ได้มีมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 พิจารณาให้ความคิดเห็นต่อร่างประกาศดังกล่าว ว่าไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาบางส่วนในร่างประกาศดังกล่าว เนื่องจากมีความเกี่ยวพันและขัดกับหลักการการกำกับดูแลกันเองซึ่งเป็นอำนาจที่ พ.ร.บ. ได้กำหนดไว้ในมาตรา 39 และ มาตรา 40 และมีความขัดแย้งกับหลักการบางมาตรารัฐธรรมนูญฯ ซึ่งร่างประกาศดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนต่อการประกอบวิชาชีพและเป็นเรื่องที่องค์กรวิชาชีพสื่อหลายองค์กรได้มีการทักท้วงตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าว จึงเห็นควรให้ทบทวนกระบวนการจัดทำร่างประกาศฯ โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มโดยครอบคลุมผู้เกี่ยวข้อง ทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเองได้จัดทำแนวทางธำรงไว้ซึ่งจรรยาบรรณและจริยธรรมและแนวทางการกำกับดูแลกันเองขององค์กรวิชาชีพด้านกระจายเสียงและโทรทัศน์ไว้ในเบื้องต้นแล้ว และได้มีการประสานงานกับคณะอนุกรรมการพัฒนาวิชาชีพในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ให้นำแนวปฏิบัติดังกล่าวไปปรากฏไว้ในภาคผนวกของร่างมาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้ประกอบวิชาชีพที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข โดยคณะอนุกรรมการได้เสนอให้ กสท.โปรดพิจารณาเร่งรัดกระบวนการจัดทำมาตรการดังกล่าวและให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกลไกการกำกับดูแลกันเองของผู้รับใบอนุญาตและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว นางสาวสุภิญญา กล่าวว่า อย่างไรก็ตามเรื่องใดที่ไม่ได้มีความผิดร้ายแรงควรจะให้เป็นเรื่องของการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และหนึ่งในนั้นเป็นคือการจัดระดับเนื้อหาความเหมาะสมทางโทรทัศน์(หรือการจัดเรท)น่าจะเป็นทางออกตรงกลางระหว่างเสรีภาพกับความรับผิดชอบของสื่อ ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละช่องก็มีการจัดเรตเนื้อหาของช่องอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่มีมาตรฐานเดียวกันและอาจไม่สอดคล้องกับยุคสมัย โดยที่ กสทช.น่าเป็นตัวกลางในการทบทวนและจัดทำเรทที่เหมาะสมมีการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน แต่ยังเน้นหลักการคุ้มครองเด็กและเยาวชนตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ยังมีหลายวิธีที่จะสนับสนุนวิชาชีพสื่อให้มีการกำกับตนเองตามกรอบจรรณยาบรรณ ที่จะมาช่วยเติมช่องว่างในสิ่งที่หายไปจากการควบคุมจากรัฐ ที่น่าจะเป็นทางออกระยะยาวที่น่าจะนำไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคมโดยที่รัฐไม่เข้ามาแทรกแซงและกระทบเสรีภาพสื่อมาก ทั้งนี้การจัดเรทความเหมาะสมกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะใช้กับเฉพาะฟรีทีวี หรือรวมทั้งในทีวีเคเบิ้ลดาวเทียมด้วย คงต้องหารือกันต่อไป.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
โอบาม่า ปรับปรุงระบบการสืบข่าวกรอง หวังสร้างความเชื่อมั่นหลังถูกเปิดโปง Posted: 11 Aug 2013 02:41 AM PDT ปฏิกิริยาล่าสุดจากทางการสหรัฐฯ หลังมีการเปิดโปงเอกสารเรื่องโครงการสอดแนมของหน่วยงานความมั่นคง ปธน. โอบาม่าแถลงว่าจะแต่งตั้งผู้คอบดูแลด้านสิทธิความเป็นส่วนตัวเพื่อถ่วงดุล และมุ่งสร้างความเข้าใจด้านการทำงานข่าวกรอง แต่ยังก็คงยืนยันให้มีโครงการสอดแนมต่อไป เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2013 ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ของสหรัฐฯ ได้แถลงข่าวยอมรับกรณีโครงการสอดแนมที่ถูกเปิดโปงเป็นครั้งแรก หลังจากที่สาธารณชนแสดงความกังวลต่อโครงการดังกล่าว ในที่ประชุมแถลงข่าวของทำเนียบขาว ปธน. โอบาม่ากล่าวว่าการเปิดเผยการกระทำของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) ทำให้ชาวอเมริกันตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อรัฐบาล และเป็นการทำลายชื่อเสียงของประเทศสหรัฐฯ ในสายตาต่างชาติ แต่โอบาม่าก็ยังยืนยันว่าพวกเขาจะยังคงให้โครงการสอดแนมมีอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าพวกเขาจะมีการพิจารณาปรับปรุงระบบข่าวกรองและการโทรคมนาคม โดยจะมีการรายงานผลภายในสิ้นปีนี้ "แค่ผมที่เป็นประธานาธิบดีมีความเชื่อมั่นในโครงการเหล่านี้ยังถือว่าไม่มากพอ ประชาชนอเมริกันก็ควรมีความเชื่อมั่นต่อโครงการพวกนี้" โอบาม่ากล่าว โอบาม่ากล่าวว่า เขามีแผนการ 4 ขั้นตอนที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอเมริกันและปรับภาพลักษณ์ต่อสายตาชาวโลก โดยอาศัยการทำงานร่วมกับรัฐสภาเพื่อปฏิรูปกฏหมายต่อต้านการก่อการร้ายมาตรา 215 ตามความเหมาะสม ซึ่งกฏหมายฉบับนี้ได้มอบอำนาจให้ทางการสามารถเก็บข้อมูลการสื่อสารทางโทรศัพท์ของผู้ใช้ชาวสหรัฐฯ หลายล้านคนได้ โอบาม่าเสนอให้มีการแต่งตั้ง "ผู้ให้คำแนะนำด้านสิทธิความเป็นส่วนตัว" ในการบวนการศาลสืบราชการลับ โดยมีการเสนอชื่อวุฒิสมาชิก 3 คน คือ ริชาร์ด บลูเมนธาล, มาร์ค อูดัล และ รอน ไวเดน เพื่อเป็นผู้ให้คำแนะนำดังกล่าวตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุน อย่างไรก็ตามเดอะ การ์เดียน กล่าวว่า สิ่งที่โอบาม่ากล่าวในการการแถลงข่าวไม่ได้ทำให้การสอดแนมของทางการสหรัฐฯ เปลี่ยนไป และดูเหมือนว่าในแง่สมดุลระหว่างการเก็บข้อมูลข่าวกรองและสิทธิความเป็นส่วนตัว พวกเขาจะเอนเอียงมาทางสิทธิความเป็นส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนึ่งในวุฒิสมาชิกที่ได้รับการเสนอชื่อ รอน ไวเดน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การสอดแนมของ NSA กล่าวว่าเขายอมรับข้อเสนอของโอบาม่า แต่ก็เรียกร้องให้โอบาม่าให้รายละเอียดมากกว่านี้ รอนชี้อีกว่าคำแถลงของโอบาม่าไม่ได้กล่าวถึงการยกเลิกการอาศัยช่องกฏหมายในการค้นหาอีเมล์และข้อมูลโทรศัพท์ของชาวอเมริกันโดยไม่ต้องอาศัยหมายค้นภายใต้มาตรา 702 ของกฏหมายว่าด้วยการสืบราชการลับต่างประเทศ (Foreign Intelligence Surveillance Act) อย่างไรก็ตามในที่ประชุมแถลงข่าวโอบาม่าได้ว่า แม้การเปิดโปงเอกสารข้อมูลของทางการโดยเอ็ดเวิร์ด สโนวเดนจะทำให้เกิดการถกเถียงในทางสาธารณะ แต่ก็ยืนยันว่าสโนวเดนไม่ถือเป็น "คนรักชาติ" อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองใช้อำนาจในทางที่ผิดแต่เป็นเรื่องปัญหาการรับรู้ของสาธารณะ ขณะที่จามีล แจฟเฟอร์ รองผู้อำนวยการด้านกฏหมายขององค์กรสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) กล่าวคัดค้านว่า "แค่จากข้อเท็จจริงเรื่องรัฐบาลเก็บข้อมูลทั้งหมดของประชาชนชาวอเมริกันก็ถือว่าเป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดแล้ว แต่แม้ว่าพวกเราจะจำกัดนิยามเรื่องการใช้อำนาจในทางที่ผิดให้แคบเข้ามาอีกพวกเราก็ไม่มีข้อมูลเพราะมันถูกปิดเป็นความลับหมด" ในเว็บไซต์คอมมอนดรีมส์กล่าวถึงแผนการพิจารณาปรับปรุงของโอบาม่าอีกว่า มีการให้ NSA แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ด้านสิทธิความเป็นส่วนตัวและด้านเสรีภาพพลเมือง และเสนอให้มีการสร้างเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความโปร่งใสให้กับการทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง โดยให้ผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับและเข้าใจวิธีการทำงานของหน่วยข่าวกรอง เรียบเรียงจาก Obama touts NSA surveillance reforms to quell growing unease over programs, The Guardian, 09-08-2013 http://www.theguardian.com/world/2013/aug/09/obama-nsa-surveillance-reforms-press-conference Obama: Snowden 'Triggered More Rapid' NSA Dialogue for Nation, CommonDreams, 09-08-2013 http://www.commondreams.org/headline/2013/08/09-10 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: โค่นทำไมระบอบทักษิณ! Posted: 11 Aug 2013 02:15 AM PDT สถานการณ์ทางการเมืองต้นเดือนสิงหาคมนี้ ดูเหมือนว่าจะร้อนแรงมากขึ้น เมื่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลุ่มเก่าๆ ได้นำเอาเรื่องการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมในสภามาเป็นข้ออ้าง แล้วสร้างการเคลื่อนไหวทางการเมืองเต็มรูปแบบ โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวที่เปิดตัวชัดมี 2 กลุ่มคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศจะต่อสู้ทั้งในและนอกสภา และอีกกลุ่มหนึ่งคือ พลังมวลชนฝ่ายขวาที่ตั้งเป็น กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีผู้สนับสนุนคือ สื่อมวลชนกระแสหลักจำนวนหนึ่ง และกลุ่มพลังอื่นในรัฐสภา เช่น กลุ่ม 40 สว. ที่เป็นแนวร่วมโดยอ้อมกับฝ่ายประชาธิปัตย์มาช้านาน กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเหล่านี้ เห็นว่า สถานการณ์ในขณะนี้สุกงอมพอที่จะนำไปสู่การ"โค่นระบอบทักษิณ"ได้ ถึงขนาด พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ผู้นำฝ่ายกองทัพประชาชนได้ประกาศว่า จะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ภายใน 7 วัน โดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์วิเคราะว่า รัฐบาลจะล้มด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ การยุบสภา กับการรัฐประหาร แต่น่าจะลงท้ายด้วยการรัฐประหารมากกว่า ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดไป อะไรคือ ระบอบทักษิณที่ต้องการที่จะโค่น ในแถลงการณ์ของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ อธิบายว่า ระบอบทักษิณ คือ "ระบอบการปกครองที่ได้อำนาจรัฐจากการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งแล้วอ้าง ประชาธิปไตย มอมเมาให้ประชาชนเสพติดนโยบายประชานิยม เอาภาษีของคนทั้งประเทศไปผลาญสร้างความนิยม แล้วใช้อำนาจไปทุจริตคอรัปชั่น โกงกิน ทุกรูปแบบอย่างไม่เกรงกลัว ทำลาย แทรกแซงกลไกตรวจสอบถ่วงดุล ทำลายและลดความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ มุ่งทำลายและจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อการสืบทอดอำนาจในตระกูล นักการเมือง สมุนและพวกพ้อง ใช้รัฐตำรวจข่มขู่ คุกคาม ปราบปรามประชาชนจนถึงอุ้มฆ่า รวมทั้งใช้มวลชนในสังกัดข่มขู่ คุกคามผู้มีความเห็นต่าง" นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังได้อธิบายถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่า ถือว่าเป็นรัฐบาล "ของเน่าทั้งแผ่นดิน"เนื่องจากการบริหารประเทศที่ไร้ทิศทาง และล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับการจัดการปัญหา นำมาสู่การปล่อยน้ำเข้าท่วมกรุงเทพและจังหวัดที่เป็นที่ตั้งทางธุรกิจขนาดใหญ่ นานกว่า 1 เดือน และยังล้มเหลวในการจัดการปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรจนเกิด "หอมแดงเน่าจากการรับจำนำ" ตลอดจนการทุจริตขนาดใหญ่ สร้างประวัติการณ์ "ข้าวเน่าทั้งแผ่นดิน" ยังไม่รวมถึงการบริหารประเทศที่ส่อไปทางทุจริต คอรัปชั่น จากโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท อยากจะขอเริ่มต้นตรงนี้ก่อนว่า คำอธิบายทั้งเรื่องระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้น ไม่มีอะไรถูกต้องเลย เป็นวาทกรรมที่วางอยู่บนความเชื่ออันขาดหลักฐาน และขาดหลักเหตุผลหลายเรื่อง คำอธิบายเช่นนี้จึงใช้ได้เพียงการปลุกปลอบกลุ่มของตนเองที่เชื่อในแบบเดียวกัน ไม่มีทางที่จะสร้างประชามติให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยได้ ดังนั้น การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ของพวกเขา จึงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และขนาดของประชาชนที่เข้าร่วมก็น้อยลงทุกที ในครั้งนี้ พวกเขานัดชุมนุมกันที่สวนลุมพินี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา และประกาศที่จะชุมนุมยืดเยื้อ แต่ข้อมูลจากสำนักข่าวทั้งหลายตรงกันว่า ในช่วงที่มีประชาชนเข้าร่วมมากที่สุด ไม่มากเกิน 2 พันคน ด้วยพลังประชาชนจำนวนขนาดนี้ คงยากที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงได้ มีผู้ถามมาจำนวนมากว่า สถานการณ์เผชิญหน้าเช่นนี้จะรุนแรงมากขึ้นไหม คงต้องตอบว่าโอกาสน้อยมาก เพราะกลุ่มต้านระบอบทักษิณไม่มีกำลังเพียงพอที่จะเผชิญกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง และติดตั้งตำรวจหลายพันคนบริเวณรอบรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล ทั้งยังมีฝ่ายคนเสื้อแดงที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าคอยสนับสนุน ฝ่ายที่มีกำลังสนับสนุนมากกว่ากองทัพประชาชน คือ พรรคประชาธิปัตย์ แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบอกให้ทราบว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยต่อสู้อะไรจริงจัง ละทิ้งมวลชนเสมอ และคอยฉวยโอกาสจากการสนับสนุนของกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งในครั้งนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็รู้ทัน โดย การที่นายกรัฐมนตรีเสนอเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม ให้มีการจัดตั้งสภาปฏิรูปการเมือง โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทุกกลุ่มทุกสี มาพูดคุยเพื่อหาทางออกทางการเมืองร่วมกัน ข้อเสนอนี้คงไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้เกิดการเสวนาในลักษณะเชนนี้จริง เพราะประเมินล่วงหน้าได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มเสื้อเหลืองจะไม่มีทางร่วมด้วย แต่เป็นการสื่อสารไปยังกลุ่มชนชั้นนำกลุ่มอื่นว่า รัฐบาลพร้อมที่จะปรองดองและพูดคุย เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนแรงทางการเมือง ความจริงแล้ว เหตุผลแห่งการสร้างกระแสการต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้นก็มาจากการบิดเบือน เพราะเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย เหมะ ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ก็ได้เสนอหลักการชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ต้องการที่จะนิรโทษกรรมประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีและติดคุก ไม่มีข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีการละเมิดอำนาจศาล และไม่มีเรื่องที่จะกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาเข้าจริงไม่มีความจำเป็นใด ที่จะต้องต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมถึงขนาดนี้ การสร้างกระแสต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็นเรื่องอันไร้เหตุผล ความล้มเหลวอย่างแน่นอนของกลุ่มโค่นระบอบทักษิณขณะนี้ ยังไม่ใช่เรื่องของมวลชน แต่เป็นเรื่อง ความไม่สามารถในการสร้างความเห็นพ้อง และทำให้ชนชั้นนำส่วนใหญ่ในสังคมสนับสนุน เพราะแม้ว่ากลุ่มนายทุน ศักดินา และหลายฝ่ายในระบบการเมือง จะไม่ได้นิยมชมชื่นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เห็นได้ว่า การโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ลงในขณะนี้ จะสร้างความเสียหายมากกว่า เพราะกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ ก็ไม่ได้มีจินตภาพชัดเจนว่า ถ้าโค่นระบอบทักษิณลงได้ แล้วจะเอาอะไรมาแทน ถ้าเลิกโครงการทั้งหมดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะยิ่งสร้างความเสียหายมากกว่าหลายเท่าสำหรับประเทศชาติ ดังนั้น ในระยะเฉพาะหน้า การคงรักษารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังเป็นประโยชน์แก่ชนชั้นนำกลุ่มต่างๆ มากกว่า พรรคประชาธิปัตย์คงจะฝันหวานเกินไป ที่จะคิดว่ากลุ่มชนชั้นนำจะช่วยกันโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วอุ้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จึงสามารถอธิบายต่อไปได้ว่า แนวโน้มที่จะเกิดรัฐประหารโค่นรัฐบาล แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่มีสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงเพียงพอ ไม่มีนายทหารกลุ่มไหนพร้อมที่จะดำเนินการ เหตุผลและความชอบธรรมที่จะอ้างทำเรื่องรัฐประหารก็ไม่มี นี่คือสถานการณ์ที่เป็นจริง!
ที่มา: โลกวันนี้วันสุข 10 สิงหาคม 2556 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ส่งท้ายรอมฎอนสันติภาพ ลุ้นอีก 10 วันท่ามกลางความคลุมเครือ Posted: 10 Aug 2013 11:28 PM PDT ส่งท้ายรอมฎอนยังคงมีเหตุรุนแรง ก่อนฮารีรายอลอบวางบึ้ม อส.ยะลาเจ็บ 3 ราย และมีคลิปวิดีโอปริศนาโผล่ หลังฮารีรายอปะทะเดือดที่ลาโละฝ่ายก่อการเสียชีวิต 2 ราย ขณะเดียวกันพบป้ายผ้าข้อความสอดคล้องกับคลิปล่าสุดหลายพื้นที่ ด้านวิทยุร่วมด้วยออกอากาศบทสัมภาษณ์ฮัสซัน ตอยิบ กิจกรรมรอมฎอนจรรโลงสันติภาพ วันที่ 8 สิงหาคม 2556 ตรงกับวันที่ 1 เดือนเซาวัล ปีฮิจเราะห์ 1434 คือวันอิดิ้ลฟิตรี หรือวันรายอ เป็นวันฉลองการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิมทั่วโลก ซึ่งหลายพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างร่วมฉลองในวันดังกล่าวนีด้วย นอกจากการประกอบศาสนกิจในวันดังกล่าวแล้ว บางพื้นที่ยังมีการจัดกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย ดังเช่น เครือข่ายองค์กรมุสลิม มัสยิดและชุมชน จังหวัดยะลา จัดโครงการละหมาดอิดิ้ลฟิตรี ฮิจเราะห์ 1434 โดยมีกิจกรรมพบปะ ทักทาย สลามชื่นชมยินดีกับผู้นำทุกระดับด้วยความปีติยินดีและอวยพรระหว่างกัน เพื่อความเป็นเอกภาพและภราดรภาพในบรรดาผู้ศรัทธาจังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียงและยังมีกิจกรรมคุฏบะฮ์อิดิลฟิตรี้ ในหัวข้อ รอมฏอนสันติภาพ สังคมสันติสุข โดยมีพี่น้องมุสลิมกว่า 5,000 คน ร่วมละหมาดอิดิ้ลฟิตรี ต้อนรับวันฮารีรายอที่ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา ในวันนี้พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมพบปะพี่น้องมุสลิมที่มา ละหมาดอิดิ้ลฟิตรี ประจำปี ฮิจเราะห์ศักราช 1434 ในโครงการ "จรรโลงสันติภาพ" สำหรับการอ่านคุตบะห์ในครั้งนี้โดยอาจารย์มัสลัน มะหะหมัด ซึ่งตอนหนึ่งมีใจความว่า "การใช้กองกำลังและการใช้ความรุนแรง ไม่เคยแก้ปัญหาใดๆ นอกจากบ่มเพาะความสูญเสียและความเคียดแค้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด ประเทศอิรักและอัฟกานิสถานเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ถึงแม้มหาอำนาจใช้ศักยภาพที่เหนือกว่า แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสำเร็จลุล่วง เพราะความยุติธรรมและเสรีภาพคือความต้องการพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ ตราบใดที่ยังไม่พบเจอมนุษย์จะต้องถามทั้ง 2 ประการนี้ตลอดเวลา ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เพื่อยืนยันว่า กองกำลังและศักยภาพทางอาวุธ อาจสามารถเปิดประเทศ หรือยึดครองประเทศได้ แต่ไม่มีทางที่จะไปยึดครองหัวใจของผู้คนได้ จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านตระหนักถึงความสำคัญของการใช้หลักยุติธรรมและเสรีภาพ โดยผ่านกระบวนการสถานเสวนา เพื่อสร้างสังคมสันติสุขที่แท้จริง"
คลิปปริศนาก่อนรอยอมีประกาศมติสภาชูรอ BRN วันที่ 6 สิงหาคม ได้มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอในยูทูบที่ประกาศว่าเป็นคำปรพกาศมติของสภาซูรอหรือสภาที่ปรึกษา BRN ที่มีเนื้อหาว่า BRN คือขบวนการหนึ่งที่ต้องการปลดปล่อยชาวปาตานีจากการกดขี่ของนักล่าอาณานิคมสยามซึ่งมีเป้าหมายที่จะสถาปนาความยุติธรรม สันติภาพ และความสงบสุขแก่ชาวปาตานีในความหมาย " แผ่นดินทีดีและได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า" เมื่อพิจารณาข้อเสนอ 5 ข้อแรกและเงื่อนไข 7 ข้อหลัง เพื่อบรรลุข้อตกลง(ความเข้าใจร่วม) 30 วันเดือนรอมฎอน และ 10 วันเดือนเชาวาลพบว่า นักล่าอาณานิคมสยามมิได้ปฏิบัติตามเลยแม้แต่ข้อเดียว ในทางกลับกันนักล่าอาณานิคมสยามทำการบ่อนทำลาย โกหกและยังคงเผยแผ่การใส่ร้ายกับชาวปาตานี ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามมติสภาชูรอ (ที่ปรึกษา) BRN ตราบใดที่นักล่าอาณานิคมสยามยังมีจุดยืนดังกล่าว ดังนั้นนักล่าอาณานินิคมสยามไม่มีสิทธิที่สานต่อการสานเสวนาสันติภาพและไม่มีสิทธิอยู่ในพื้นแผ่นดินปาตานีและจะไม่มีตัวแทน BRN ในการสานเสวนาสันติภาพกับตัวแทนนักล่าอาณานิคมสยามตลอดไป
ป้ายผ้าที่เนื้อหาสอดคล้องกัน หลังวันฮารีรายอพบมีป้ายผ้าที่มีข้อความการทวงสิทธิความเป็นเจ้าของและการประการกาศจะต่อสู้จนเลือดหยดสุดท้ายแขวนในหลายพื้นที่ในคืนวันฮารีรายอ โดยมีทั้งที่เขียนด้วยภาษายาวีและเขียนด้วยอักษรรูมี นอกจากนั้นยังมีป้ายผ้าที่เขียนข้อมความอวยพรความสุขวันฮารีรายอโดยไม่ระบุชื่อหรือหน่วยงานผู้เขียน แต่มีข้อความภาษาอาหรับความว่า บัลดาตน ตอยยีบาตน วาร๊อบบนรอฟูร ซึ่งมีความหมายว่า "แผ่นดินทีดีและได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า" อันเป็นข้อความเดียวกันกับที่ประกาศในคลิปก่อนหน้า
สรุปเหตุก่อนรายอ 6 - 7 สิงหาฯ เกิดเหตุ 7 ครั้ง วันที่ 7 สิงหาคม 2556 เวลา 02.50 น. เกิดเหตุคนร้าย 2 คน ประกบยิงนายมูฮัมหมัดรูดวานสาและอายุ 17ปี ได้รับบาดเจ็บเหตุเกิดบนถนนสาย 409 บ้านลิมุดหมู่ที่ 3 ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา เวลา 05.30 น. พบศพชายไทยบริเวณบ้านบาโงยือแม็ง หมู่ที่ 5 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานีต่อมาทราบชื่อนายฮัมดัมวาจิอายุ 30 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 5 ต.กะรุบีอ.กะพ้อ จ.ปัตตานีสภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน เวลา 12.20 น. เกิดเหตุระเบิดอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) อ.เมือง จ.ยะลา ทำให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 ราย มี คือ 1.นายกฤษณะ โอภางกูล อายุ 30 ปี 2. นายสฤษดิ์วิจิตรพรรณ อายุ 27 ปี 3. นายอารียะ สะแม อายุ 45 ปีเหตุเกิดบนถนนสายชนบทบ้านบ่อเจ็ดลูกหมู่ที่ 6 ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา เวลา 18.15 น. เกิดเหตุคนร้ายยิงนายมะซาอุดีมะดาวีอายุ 28 ปีเสียชีวิต เหตุเกิดที่บ้านสะปอมหมู่ที่ 13 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส วันที่ 6 สิงหาคม 2556 เวลา 16.00 น.เกิดเหตุระเบิดชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยครูกองร้อยทหารพราน 4513 หน่วยเฉพาะกิจที่ 45 ขณะปฏิบัติหน้าที่หน้าโรงเรียนบ้านบองอ หมู่ที่ 4 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทำให้มีทหารพรานเสียชีวิต 1 ราย คือ อส.ทพ.อภิศักดิ์ ยันตะศิริ ต่อมาเมื่อเวลา15.00 น. เกิดเหตุระเบิดชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยครู หน่วยเฉพาะที่ 32 ขณะปฏิบัติหน้าที่ที่บ้านกำปงปีแซ หมู่ที่ 3 ต.ลูโบะบือซา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ เวลา 18.00 น.เกิดระเบิดชุดปฏิบัติการกองร้อยทหารราบที่ 4022 หน่วยเฉพาะกิจที่ 32 ขณะปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยครู เหตุเกิดที่บ้านตะโละสะโต หมู่ที่ 6 ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลาไม่มีทหารได้รับบาดเจ็บ
หลังฮารีรายอปะทะเดือด วันที่ 9 สิงหาคม ฉก.นราธิวาส 30 สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายในพื้นที่พงยือติ ต.ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้เกิดปะทะกับกลุ่มก่อเหตุ ทำให้ฝ่ายก่อการเสียชีวิต 2 ราย คือ นายมูฮำหมัดซาแปอิง แวกาจิ และนายอุสมาน แวกาจิ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดรถจักรยานยนตร์ที่๔กโจรกรรมจำนวน 3 คัน พร้อมกับอาวุธยุธโทปกรณ์และสิ่งของหลายรายการ
ฮัสซัน ตอยิบ สัมภาษณ์ออกอากาศวิทยุร่วมด้วย ระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน มีเดียสลาตัน ได้เปิดคลิปเสียงสัมภาษณ์ อุสตาซ ฮัสซัน ตอยิบ ตัวแทนของ BRN ในการพูดคุยสันติภาพ โดยทีมงานได้เดินทางไปสัมภาษณ์ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งให้สัมภาษณ์ด้วยภาษามลายูโดยพูดคุยในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้ ข้อคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ เกี่ยวกับเป้าหมายการโจมตีของฝ่าย BRN รูปแบบการปกครอง สถานการณ์ในเดือนรอมฎอนปีนี้ รูปแบบการปกครอง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนรอมฎอิน การควบคุมของกำลังในสนาม การพูดคุยรอบต่อไป ความรวมมือกับขบวนการอื่น ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความรวมมือจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้งบทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร ในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ (http://www.deepsouthwatch.org/node/4600) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ตั้งเป้าลดภาวะตาบอดจากต้อกระจกปีงบ 57 Posted: 10 Aug 2013 11:08 PM PDT สปสช.ลดภาวะตาบอดจากต้อกระจก ปีงบประมาณ 57 เน้นตรวจคัดกรองเพิ่มชดเชยให้ รพ.ผ่าตัดผู้ป่วยตามัวมองไม่เห็น 11 ส.ค. 56 - นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีผู้สูงอายุป่วยด้วยโรคตาต้อกระจกรายใหม่ 60,000 คน ขณะที่มีผู้ป่วยสะสมรอรับการผ่าตัดกว่า 100,000 คน ซึ่งหากยังปล่อยให้สภาวะดำเนินไปเช่นนี้ จะส่งผลให้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้สูงอายุและครอบครัว สปสช.จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขใช้แนวทางการบริหารจัดการโรคเฉพาะ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้มากขึ้น ลดจำนวนผู้ป่วยสะสม เริ่มตั้งแต่ปี 2549เป็นต้นมา และให้บริการด้วยคุณภาพและมาตรฐานตามที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์กำหนด มีการกำหนดแนวทางการชดเชยที่เหมาะสม ชัดเจนแก่โรงพยาบาลที่รักษา ทำให้ผู้ป่วยตาต้อกระจกเข้าถึงบริการมากขึ้น ลดการรอคิว ลดจำนวนผู้ป่วยสะสม และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนไทย ผลการดำเนินงาน มีผู้ได้รับการผ่าตัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยปีละ 100,000 ราย โดยล่าสุดในปี 2555 มีผู้ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกและการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม 141,574 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 142 จากเป้าหมาย 100,000 ครั้ง "สำหรับแนวทางการบริหารจัดการโรคตาต้อกระจกในปีงบประมาณ 2557 นั้น ตั้งเป้าหมายผ่าตัดแก่ผู้ป่วยต้อกระจกอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 120,000 ราย โดยจะลดอัตราผู้ป่วยที่ตาบอดจากต้อกระจก ดังนั้นจึงต้องเพิ่มการผ่าตัดตาต้อกระจกในผู้ป่วยตาต้อกระจกที่มีภาวะตามัวมากจนมองไม่เห็น (blinding cataract) ให้เข้าถึงบริการมากขึ้น ตั้งเป้าหมายว่าในแต่ละเขต มีจำนวนผู้ป่วยตามัวจนมองไม่เห็นได้รับการผ่าตัดตาต้อกระจกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 จากเดิมที่แต่ละเขตมีผู้ป่วยกลุ่มนี้เข้ารับการรักษาเฉลี่ยร้อยละ 13 ซึ่งจะต้องเน้นไปที่การบริการตรวจคัดกรองที่ต้องครอบคลุมผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพื่อให้ได้รับการผ่าตัดและลดภาวะการตาบอดจากต้อกระจกลงได้ และเพิ่มอัตราการจ่ายให้สถานพยาบาลที่ผ่าตัดตาต้อกระจกในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะตามัวมากจนมองไม่เห็น (blinding cataract) ให้ได้รับค่าชดเชย 9,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่เท่ากับการผ่าตัดในกลุ่มซับซ้อน เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของกลุ่มเป้าหมายหลักนั่นเอง" นพ.วินัย กล่าวว่า ขณะเดียวกัน เพื่อให้ผู้ป่วยในพื้นที่ที่เข้าถึงการรักษายาก เช่น พื้นที่ทุรกันดาร และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน เข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น ได้ปรับวิธีการให้สามารถเบิกจ่ายโดยใช้งบผู้ป่วยในของแต่ละเขตได้ ในกรณีที่แต่ละเขตมีการทำการผ่าตัดเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ วิธีนี้จะทำให้ไม่ต้องกังวลกับงบประมาณว่าจะมีให้หรือไม่ เนื่องจากสามารถใช้งบผู้ป่วยในได้ ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนั้น ผู้ป่วยไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด มีเพียงจ่ายค่าธรรมเนียม 30บาทต่อครั้งเท่านั้น หากไม่ประสงค์จ่ายก็สามารถทำได้ แต่การปรับวิธีการนี้จะทำให้สถานพยาบาลทำงานได้สะดวกและคล่องตัวมากขึ้นเพื่อให้การผ่าตัดตาต้อกระจกครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และลดจำนวนผู้ป่วยสะสมนั่นเอง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เอฟทีเอ ว็อทช์จี้เจรจาเอฟต้า ต้องไม่ยอมรับทริปส์พลัสด้านยา Posted: 10 Aug 2013 10:57 PM PDT เอฟทีเอ ว็อทช์ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เจรจาการค้ากับเอฟต้า ต้องไม่ยอมรับทริปส์พลัสด้านยาและทรัพยากรชีวภาพ และห้ามนักลงทุนต่างชาติ ฟ้องนโยบายสาธารณะ (กรุงเทพฯ/ 10 ส.ค.56) ตามที่คณะรัฐมนตรีจะรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างไทย กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) ซึ่งประกอบด้วยประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และ ไอซ์แลนด์ โดยจะพิจารณาร่างกรอบเจรจาในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารที่ 13สิงหาคมนี้ เอฟทีเอ ว็อทช์และภาคประชาสังคมที่ติดตามผลกระทบจากการเจรจาการค้าเสรีได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ระบุผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเข้าไม่ถึงยา การผูกขาดทรัพยากรชีวภาพ และบั่นทอนการกำหนดนโยบายสาธารณะของรัฐบาล นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเอฟต้าใกล้เคียงกับข้อเจรจาที่ไทยเคยถูกเรียกร้องจากประเทศสหรัฐอเมริกา และกับท่าทีของสหภาพยุโรป กล่าวคือ เป็นข้อตกลงที่ครอบคลุมการเปิดเสรีทุกด้านที่เรียกว่า Comprehensive packageได้แก่ การเปิดตลาดสินค้า การเปิดเสรีการค้าบริการ การเปิดเสรีการลงทุน การคุ้มครองการลงทุน และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะมีผลต่ออำนาจอธิปไตยในการกำหนดทิศทางการพัฒนา และมีแนวโน้มจะสร้างผลกระทบเลวร้ายต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพอย่างรุนแรง และกว้างขวาง "มีการเจรจาหัวข้อสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของคนไทยในการเข้าถึงยา ซึ่งข้อเรียกร้องของเอฟต้า ได้แก่ การขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาจาก 20 ปีเป็น 25 ปี และการคุ้มครองความลับทางการค้า (Data Exclusivity) เป็นเวลา 5 ปี ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตทุกประเภทที่จะเอื้อให้บรรษัทข้ามชาติเข้ามาผูกขาดพันธุกรรม นอกจากนี้ ข้อกังวลประการสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเปิดเสรีการบริการ การลงทุน และการคุ้มครองการลงทุน หมายถึงการให้การปฏิบัติอย่างเสรีเท่าเทียมกับคนในชาติ ที่เรียกว่าการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ และการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง ประเทศคู่เจรจาต้องยอมให้มีการถ่ายโอนเงินเข้าและออกจากประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลกำไร ดอกเบี้ย เงินปันผล และรายได้อื่น ได้อย่างเสรีโดยไม่ชักช้า ข้อที่น่าห่วงใยที่สุด คือ การคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติให้มากขึ้นเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุน โดยการจำกัด (ลด)อำนาจของรัฐในการควบคุมบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ลงไป และยังมีความสุ่มเสี่ยงที่นโยบายสาธารณะของรัฐบาลจะถูกนักลงทุนนำไปฟ้องร้องผ่านอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เพื่อล้มนโยบายต่างๆที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนแต่อาจไปเข้มงวดกับการประกอบกิจการของนักลงทุน" ผู้ประสานงาน เอฟทีเอ ว็อทช์ มองว่า ประเทศในกลุ่มเอฟต้ามีความได้เปรียบในความสามารถในการลงทุนค่อนข้างสูงโดยเฉพาะประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนมากที่สุด เนื่องจากเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติจำนวนมาก ทั้งกิจการการเงินการธนาคาร ประกันภัย ยาและเวชภัณฑ์ อาหาร โทรคมนาคม ดังนั้น ร่างกรอบเจรจาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชัดเจนเพื่อให้การเจรจาได้ประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง "เรามีข้อเรียกร้องและข้อเสนอต่อรัฐบาลไทย ในการกำหนดจุดยืนและท่าทีในการเจรจาเขตการเสรีกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ดังนี้ 1. ต้องไม่ยอมรับเนื้อหาการเจรจาที่เกินไปกว่าข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาของ WTO(ไม่ยอมรับ ทริปส์พลัส) โดยเฉพาะในประเด็น การขยายเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตร, การผูกขาดข้อมูลทางยา, การบังคับใช้กฎหมาย, มาตรการ ณ จุดผ่านแดน และไม่ยอมรับการแก้ไขกฎหมายระบบการคุ้มครองพันธุ์พืชที่ประเทศไทยใช้บังคับอยู่ ซึ่งเป็นไปตามความตกลงทริปส์และสอดคล้องกับอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว 2. การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนในบทว่าด้วยการลงทุน ที่ให้ทางเลือกเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ต้องยกเว้น ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการลงทุนสาธารณะ, การออกนโยบายหรือมาตรการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ, การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม, ด้านสาธารณสุข, สาธารณูปโภคพื้นฐาน และความมั่นคง 3. ไม่เปิดเสรีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ การทำนา ทำสวน ทำไร่ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การปลูกป่า การเพาะและขยายพันธุ์พืช ตลอดจนการลงทุนที่สร้างผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร 4. ถอนสินค้าเหล้า บุหรี่ ออกจากการเจรจาสินค้า 5. ให้มีการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางของภาคประชาชนตั้งแต่การกำหนดกรอบการเจรจาและการเจรจา ทั้งในระดับการร่วมรับรู้ข้อมูล การร่วมแสดงความคิดเห็น และระดับการร่วมตัดสินใจ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อคณะผู้เจรจาของไทย ทำให้ได้รับข้อมูล ข้อเสนอแนะเพื่อการเจรจาอย่างครบถ้วนรอบด้าน และยังเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองเจรจาได้อีกทางหนึ่ง" ทั้งนี้ ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการเจรจาของฝ่ายไทยต้องอาศัยข้อมูลความรู้และงานวิจัยอย่างมาก เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับทีมเจรจา อย่าปล่อยให้ถูกดูถูกเรื่องความรู้ความสามารถดังที่อดีตฑูตสหรัฐฯ นายราล์ฟ บอยซ์ เคยเขียนวิจารณ์ในเคเบิ้ลที่ส่งถึงกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น