ประชาไท | Prachatai3.info |
- 'เฟซบุ๊ก' เปิดรายงานคำขอข้อมูลผู้ใช้จากรัฐทั่วโลก ครั้งแรก
- iLaw: 'เสรีภาพสื่อ' ซีรีส์ดัง 'ฮอร์โมน' กับร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ กสทช.
- ผู้ต้องขัง112ร่วมองค์กรประชาธิปไตยยื่น จม.ถึงยิ่งลักษณ์ เสนอรายชื่อนักวิชาการ กวี เข้าร่วมสภาปฏิรูปฯ
- เปิดวงถก 'สิทธิประกันตัว' ผ่านมุม คณิต ณ นคร-ศาล-ตำรวจ-กรมคุ้มครองสิทธิ
- 'โอบามา' สั่งเผยแพร่หลักฐานการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย ก่อนโจมตีทางทหาร
- รมว.ยุติธรรมสั่งศึกษาเรื่องใบกระท่อม หวังใช้ทดแทนสารเสพย์ติดรุนแรง
- ศาลฎีกายกฟ้องหมอศิริราช คดีไฟใต้
- 'กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์' ค้านการก่อสร้างขนานใหญ่ในสวนโมกข์
- 'ชัชชาติ' เล็งยกปรับสุขารถไฟจากแบบธรรมชาติเป็นระบบปิดมีถังเก็บ
- กันตนาเตรียมเปิดโรงภาพยนตร์ชุมชนพันแห่งทั่วประเทศ เก็บค่าชม 30 บาท
- มติ ครม.พักหนี้เกษตรรายย่อย ผู้มีรายได้น้อย เห็นชอบความร่วมมืออาเซียน–สหรัฐฯ
- สปสช.ยันประกันสังคม ข้าราชการ ใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ตามปกติ แม้ยังไม่ได้เงินคืนจากการสำรองจ่าย
- รถไฟสายใต้หยุด 5 ขบวน ตำรวจเมืองคอนฯ เล็งยื่นศาลขอผู้ชุมนุมยางพาราเปิดทางจราจร
- ป.ป.ช. เผยบัญชีทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 'พงศ์เทพ เทพกาญจนา' มากสุด 3 พันล้าน
- สุภิญญา กลางณรงค์
'เฟซบุ๊ก' เปิดรายงานคำขอข้อมูลผู้ใช้จากรัฐทั่วโลก ครั้งแรก Posted: 27 Aug 2013 12:26 PM PDT เฟซบุ๊ก โซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยม เผยแพร่รายงานความโปร่งใสเป็นครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (27 ส.ค.) โดยรายงานดังกล่าว ประกอบด้วยจำนวนครั้งที่รัฐบาลทั่วโลกขอข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กและจำนวนครั้งที่เฟซบุ๊กยอมให้ข้อมูลตามคำร้องขอ รายงานดังกล่าว ครอบคลุมระยะเวลาหกเดือนแรกของปี 2013 จนถึง 30 มิ.ย. โดยพบว่ามีการร้องขอข้อมูลผู้ใช้จำนวน 37,954 - 38,954 ราย จากรัฐบาล 71 ประเทศทั่วโลก โดยสาเหตุที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขที่แน่นอนได้ เพราะเฟซบุ๊กไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยจำนวนครั้งที่ขอและจำนวนบัญชีผู้ใช้ (แอคเคาท์) ที่ให้ตามการร้องขอจากรัฐบาลสหรัฐฯ คอลิน สเตรทช์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของเฟซบุ๊ก อธิบายว่า บริษัทได้รายงานตัวเลขของการร้องขอที่เกี่ยวกับอาชญากรรมและความมั่นคงของชาติมากที่สุดเท่าที่กฎหมายจะอนุญาตให้เปิดเผยได้ พร้อมระบุด้วยว่า บริษัทจะพยายามผลักดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสมากขึ้น โดยจะรวมถึงจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจงและประเภทของคำขอที่เกี่ยวกับความมั่นคงภายในด้วย ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊กเคยเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการร้องขอข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโครงการ PRISM ซึ่งเป็นการสอดส่องประชาชนของสภาความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทอินเทอร์เน็ตต่างๆ อย่างกูเกิล เฟซบุ๊ก ไมโครซอฟท์และแอปเปิล โดยนี่เป็นครั้งแรกที่เฟซบุ๊กเปิดเผยรายงานฉบับเต็ม ขณะที่กูเกิลทำมาก่อนแล้วหลายปี ตามด้วยทวิตเตอร์และไมโครซอฟท์ ตามลำดับ ทั้งนี้ มีรายงานว่า บริษัทไอทีเหล่านี้ต่างก็ขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้เปิดเผยตัวเลขที่แท้จริงของคำร้องขอที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่พวกเขาได้รับ จากรายงานดังกล่าว สหรัฐฯ มีการร้องขอข้อมูลผู้ใช้มากที่สุด คือ คำขอราว 11,000-12,000 ครั้ง ต่อผู้ใช้ราว 20,000-21,000 ราย ตามด้วย อินเดีย มีการร้องขอ 3,245 ครั้งต่อผู้ใช้ 4,144 ราย และสหราชอาณาจักร มีคำขอ 1,975 ครั้งต่อผู้ใช้ 2,337 ราย โดยเฟซบุ๊กให้ข้อมูลตามคำขอของสหรัฐฯ คิดเป็น 79% อินเดีย 50% และสหราชอาณาจักร 68% ของคำขอทั้งหมด สำหรับประเทศไทยนั้น เฟซบุ๊กระบุว่ามีคำขอ 2 ครั้ง ต่อผู้ใช้ 5 ราย โดยเฟซบุ๊กไม่เคยเปิดเผยข้อมูลต่อรัฐบาลไทย ด้าน เควิน แบงสตัน อัยการประจำศูนย์ประชาธิปไตยและเทคโนโลยี (Center for Democracy and Technology) แสดงความพอใจกับรายงานดังกล่าว โดยบอกว่า แสงอาทิตย์เป็นยาฆ่าเชื้อที่ดีที่สุด และตัวเลขเบื้องต้นเกี่ยวกับขอบเขตการสอดส่องผู้ใช้เฟซบุ๊กนี้จะเป็นการแจ้งเตือนล่วงหน้าถึงการตรวจสอบที่ไม่ถูกต้องหรือมากเกินไปของทางการในการขอข้อมูลผู้ใช้ ทั้งนี้ เฟซบุ๊กระบุด้วยว่าจะมีรายงานออกมาอีกอย่างสม่ำเสมอในอนาคต ดูรายงานความโปร่งใสที่ https://www.facebook.com/about/government_requests
เรียบเรียงจาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
iLaw: 'เสรีภาพสื่อ' ซีรีส์ดัง 'ฮอร์โมน' กับร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ กสทช. Posted: 27 Aug 2013 12:00 PM PDT เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 56 เวลา 13.00 น. คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดงานเสวนาเรื่อง สิทธิเสรีภาพสื่อกับพ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์: เสรีภาพสื่อในวันที่ไร้ฮอร์โมนส์ เพื่อวิพากษ์ถึงปัญหาในร่างประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ....(ร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ) และจัดทำข้อเสนอเพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข อ.กุลนารี อธิบายก่อนว่า ร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ ขยายความความกำกวมของมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 โดยร่างนี้ประกอบด้วยสามหมวด หมวดแรกว่าด้วยการนิยามเนื้อหาที่ต้องห้ามออกอากาศ หมวดที่สองว่าด้วยแนวทางของเนื้อหาที่กสทช.จะเข้ามาควบคุมรายการข่าว หมวดสุดท้ายเป็นเรื่องมาตรการการกำกับดูแลที่อ้างอิงมาตรา 37 และ 38 ที่จะให้ผู้รับใบอนุญาตคุมเนื้อหา และกสทช.ควบคุมเนื้อหาอีกชั้นหนึ่ง รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ กล่าวว่า วันนี้คนที่อยู่ในสังคมไทยน่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าความพยายามจะสร้างกติกาไม่ว่าจะเรื่องอะไรเป็นเรื่องที่ลำบากสุดๆ กติกาในที่นี้หมายถึงว่าเราจะทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง มันยากเพราะคนมีความเห็นต่างกันไม่เห็นพ้องต้องกันในทุกเรื่อง และคนที่ไม่เห็นพ้องต้องกัน ก็มีทั้งพื้นที่และเครื่องมือในการแสดงความไม่เห็นพ้องต้องกันที่ว่านี้ด้วย ปฏิวัติ วสิกชาติ กรรมการสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยปฏิวัติประกาศว่า ในนามของสี่สมาคมวิชาชีพสื่อ ยืนยันแล้วว่าเราจะทำสงครามต่อร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯฉบับนี้ ร่างนี้สาหัสและโหดเหี้ยมมาก หากร่างนี้ประกาศใช้ คณะนิเทศศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์ จะต้องฉีกตำราทิ้งได้เลย และเอาร่างนี้มาเรียนกันแทนหากใครทำตามได้รายการก็ได้ออกอากาศ นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ ผู้สื่อข่าวเนชั่นแชนแนลนภพัฒน์จักษ์ กล่าวว่า ในฐานะคนทำงาน ร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ ฉบับนี้ก็เป็นกฎที่ดี แต่การทำงานข่าวมีความท้าทายคือต้องแข่งกับเวลาเพราะต้องออกอากาศ 24 ชั่วโมง กฎนี้่เหมือนกฎที่วางไว้ให้นักศึกษาปริญญาตรีที่มีเวลาทำสัก 4 เดือน ซึ่งต้องครบถ้วนมากในทุกๆ อย่าง "ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรมากมายเพราะถ้ามันได้ผลจริงๆ Bluesky ที่ออกอากาศ 24 ชั่่วโมงแล้วก็สนับสนุนให้มีการชุมนุมที่สวนลุมฯเยอะแยะ ถ้าหากได้ผลจริงคนคงจะไปเป็นหมื่นแล้ว แต่ผมไปทำข่าวก็ไม่มีคน หรือในทางกลับกันที่บอกว่า Asia update น่ากลัวมากเพราะแท็กซี่ฟังกันเยอะ แต่เวลาเราขึ้นแท็กซี่ก็ไม่ได้ว่าจะแดงมากหรือเกลียดอภิสิทธิ์มาก เค้าก็เลือกสื่อที่จะอ่านเหมือนกันเราก็ต้องให้เกียรติเค้าเหมือนกัน ไม่ใช่ไปกลัวอะไรมากมาย ถ้าช่องเหล่านี้มันออกอากาศมากๆ เป็นการดีเสียอีกที่เราจะได้รู้จักการเมืองและนักการเมืองมากขึ้นว่าเค้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่" ผู้สื่อข่าวเนชั่นกล่าว วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยโครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม หรือ NBTC Policy Watch และอาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์อ.วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยโครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม หรือ NBTC Policy Watch กล่าวว่า มีข้อวิจารณ์ว่า กสทช.ทำตัวเป็นกบว. ตัวร่างกำกับดูแลเนื้อหาฯ สร้างความคลุมเครือและไม่ทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นจากมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ออกแบบโดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพที่รับรองไว้ในมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ และไม่ส่งเสริมการกำกับดูแลกันเองตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 39 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ ขณะนี้กสทช. กำลังเปิดให้ ผู้ประกอบกิจการ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคประชาชน หน่วยงานเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ (ร่าง)ประกาศกำกับดูแลเนื้อหาฯ ดังกล่าว ระยะเวลาการรับฟังความคิดเห็น 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2556 - วันที่ 22 กันยายน 2556 ดังกล่าว โดยผู้สนใจสามารถมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นโดยตรง ผ่านช่องทางของกสทช. 1. ทางอีเมล์ regulation.content@gmail.com โดยตั้งชื่อเรื่อง "แสดงความคิดเห็นต่อ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ..." 2. นำส่งด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ ที่ สำนักงาน กสทช. เลขที่ 87 ถนนพหลโยธิน ซอย 8 (สายลม) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 3. ทางโทรสารหมายเลข 02-2718-4426 ดูรายละเอียดและวิธีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของกสทช. คลิกที่นี่
ที่มา: http://ilaw.or.th/node/2910 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ผู้ต้องขัง112ร่วมองค์กรประชาธิปไตยยื่น จม.ถึงยิ่งลักษณ์ เสนอรายชื่อนักวิชาการ กวี เข้าร่วมสภาปฏิรูปฯ Posted: 27 Aug 2013 11:56 AM PDT สมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม24มิถุนา และองค์กรประชาธิปไตย ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเสนอตัวอย่างการบริหารจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน เสนอ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ,ปิยบุตร แสงกนกกุล , สมศักดิ์ เจียมฯ , สุดา รังกุพันธุ์ ,วัฒน์ วรรลยางกูรและพวงทอง ภวัครพันธุ์ เข้าร่วมสภาปฏิรูป 27สิงหาคม 2556 เวลาประมาณ 11.00น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นาย ทรงชัย วิมลภัตรานนท์ กลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตย นายพรส เฉลิมแสน กลุ่มคณะราษฎร 2555 นายทรงรัก นิตยาชิด เครือข่าย แดง กทม. 50 เขต และ นางสาวเยาวภา ดอนเส ตัวแทนองค์การแรงงานเพื่อประชาธิปไตย พร้อมคณะประมาณ 20คนได้เข้ายื่นจดหมายถึง นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยกิจกรรมouhได้มี พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ออกมารับจดหมาย ในจดหมายเนื้อหาให้นายกรัฐมนตรี นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เชิญผู้นำประเทศที่ประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศเข้าสู่ครรลองประชาธิปไตย เคารพในสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนได้แก่ ประธานาธิบดี เต็ง เส่ง (Thein Sein)และนางอองซาน ซูจี (Aung San Suu Kyi) จากประเทศพม่า นายฮุนเซน (Hun Sen) นายกรัฐมนตรีจากประเทศกัมพูชา และบาทหลวง เดสมอนด์ ตูตู (Desmond Tutu) ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการค้นหาความจริง และการปรองดองในปี 1994 จากแอฟริกาใต้ มาบรรยายถ่ายทอดประสบการณ์ให้คณะกรรมการปฏิรูปฯ ใน จม. ยังได้เสนอให้ แต่งตั้ง อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล จากคณะนิติราษฎร์ , อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์,อ.สุดา รังกุพันธ์ จากกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล และอาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ,นายวัฒน์ วรรลยางกูร ศิลปินอาวุโส และนักเขียน , อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬา เข้าร่วมในสภาการปฏิรูปการเมือง และได้ทิ้งท้ายโดยเรียกร้องให้มีการปลดปล่อยนักโทษการเมืองที่เกิดจากการชุมนุม และความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เปิดวงถก 'สิทธิประกันตัว' ผ่านมุม คณิต ณ นคร-ศาล-ตำรวจ-กรมคุ้มครองสิทธิ Posted: 27 Aug 2013 10:54 AM PDT
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'โอบามา' สั่งเผยแพร่หลักฐานการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย ก่อนโจมตีทางทหาร Posted: 27 Aug 2013 10:53 AM PDT หลังจากการประชุมของทางการสหรัฐฯ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน.โอบามา สั่งให้เผยแพร่หลักฐานการใช้อาวุธเคมีโดยทางการซีเรีย เพื่อให้ความชอบธรรมในการโจมตีซีเรียด้วยกำลังทหาร หวังทำลายแหล่งอาวุธเคมี ด้าน จอห์น เคอร์รี่ รมต.ต่างประเทศ ส่งสัญญาณไปในทางเดียวกัน
โอบามายังได้สั่งการให้มีการเผยแพร่รายงานวิเคราะห์หลักฐานต่อสาธารณชนก่อนที่จะมีการดำเนินการโจมตีทางทหาร ซึ่งจะมีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังจากนี้ โดยในที่ประชุมวันเสาร์ไม่มีการโต้แย้งใดๆ ในเรื่องการใช้กำลังทหาร โดยประธานาธิบดีโอบามากล่าวให้ความชอบธรรมในการใช้กำลังทหารของสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงเหตุการณ์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา โดยความชอบธรรมที่อ้างถึงคือการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา และอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี ทางด้านจอห์น เคอร์รี่ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกล่าวถึงกรณีนี้เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ว่าหลักฐานต่างๆ ชี้ให้เห็นชัดว่ามีการใช้อาวุธเคมีในซีเรียและกล่าวว่าโอบามาได้พูดส่งสัญญาณเรื่องการใช้กำลังทหารกับรัฐบาลอัสซาด "สิ่งที่พวกเราเห็นในซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วควรจะทำให้คนทั่วโลกรู้สึกสะเทือนใจ" เคอร์รี่กล่าว เขาบอกอีกว่า การสังหารคนบริสุทธิ์รวมถึงผู้หญิงและเด็กด้วยอาวุธเคมีเป็นการละเมิดหลักการทางศ๊ลธรรมร้ายแรงและเป็นเรื่องไม่อาจให้อภัย แม้ผู้กระทำจะมีข้ออ้างใดๆ ก็ตาม "ประธานาธิบดีโอบามาเชื่อว่าต้องมีผู้รับผิดชอบจากการใช้อาวุธร้ายแรงต่อประชาชนที่อยู่ภายใต้ความเสี่ยงสูงที่สุดในโลก" เคอร์รี่กล่าว CBS ระบุว่ามีเรือรบของสหรัฐฯ 4 ลำเตรียมประจำการอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งพร้อมจะยิงจรวดมิสไซล์ หากได้รับคำสั่งจากโอบามา นอกจากนี้ยังมีเรือดำน้ำของอังกฤษเตรียมประจำการอยู่ด้วย CBS กล่าวว่าทางการสหรัฐฯ น่าจะเริ่มโจมตีในช่วงกลางคืนที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ตามท้องถนน ซึ่งการโจมตีด้วยจรวดมิสไซล์ที่มีจำกัดนี้อาจไม่หนักขนาดช่วงปฏิบัติการ "โจมตีกระทันหันเพื่อสร้างความตื่นกลัว" (Shock and Awe) ในสงครามอิรัก แต่ทางการสหรัฐฯ เชื่อว่าจะสร้างความเสียหายต่อกองทัพซีเรียมากพอจนทำให้ไม่สามารถจู่โจมด้วยอาวุธเคมีได้อีก สงครามกลางเมืองของซีเรียดำเนินมาเป็นเวลายาวนานนับตั้งแต่หลังการลุกฮือของประชาชนในช่วงต้นปี 2011 มีขบวนการกบฏต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของบาชาร์ อัล-อัสซาด เกิดขึ้นหลายขบวนการ แต่บางกลุ่มก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มอัล-เคด้า ขณะที่บางกลุ่มได้รับความช่วยเหลือจากชาติตะวันตก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวจากการโจมตีด้วยอาวุธเคมีล่าสุดซึ่งมีการกล่าวอ้างจำนวนผู้เสียชีวิตแตกต่างกันไป
เรียบเรียงจาก Obama orders release of report justifying Syria strike, CBS, 26-08-2013 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
รมว.ยุติธรรมสั่งศึกษาเรื่องใบกระท่อม หวังใช้ทดแทนสารเสพย์ติดรุนแรง Posted: 27 Aug 2013 07:59 AM PDT รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ศึกษาวิจัย และนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายยกเลิกใบกระท่อมเป็นยาเสพย์ติด หวังลดจำนวนผู้เสพย์ยาบ้า ขณะที่ กมธ.วุฒิสภาปี 2546 เคยทำรายงานเสนอให้เลิกใบกระท่อมจากการเป็นพืชเสพย์ติด เพราะสหประชาชาติก็ไม่เคยกำหนดให้เป็นพืชเสพย์ติด เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่า นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้ พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และพล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ไปเร่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับใบกระท่อมซึ่งมีงานวิจัยว่าไม่น่าจะเป็นยาเสพติด ไม่ออกฤทธิ์รุนแรงเพราะเป็นพืชท้องถิ่น ดังนั้นจึงต้องการให้ทั้ง 2 สถาบันนี้ลองนำไปศึกษาข้อมูล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันสังคมไทยมีปัญหายาเสพติดและแนวโน้มจำนวนผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากปัญหาครอบครัว ดังนั้นหากมีตัวเลือกอื่นที่สามารถเบี่ยงเบนจากการยาบ้าหรือยาเสพติดที่รุนแรงกว่าได้ บางครั้งครอบครัวและสังคมอาจยอมรับได้ดีกว่า เช่น บางคนที่เครียดแล้วมาดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือในอดีตที่กินหมากแต่เมื่อยกเลิกก็ค่อยๆหายไป เหลือแต่หมากฝรั่ง หรือเช่นประเทศเนเธอแลนด์ที่อนุญาตให้สูบกัญชาได้ในร้านกาแฟได้ นายชัยเกษม กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะดูแลผู้เสพยาเป็นผู้ป่วย เน้นการบำบัด หากมีใบกระท่อมมาทดแทนการเสพยาเสพติดที่รุนแรงกว่า ก็เชื่อว่าจะผ่อนคลายปัญหาลงและแก้ปัญหาคนล้นคุกและที่สำคัญน่าจะเป็นการแยกผู้เสพออกมาบำบัดดูแลในลักษณะผู้ป่วยได้ดีขึ้น อย่างตนโตมาก็เห็นใช้ใบกระท่อมแล้ว ที่เป็นพืชท้องถิ่น เชื่อว่าสากลไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดแต่ขึ้นอยู่กับการกระแสยอมรับของสังคมว่าจะเห็นด้วยอย่างไร "ปัจจุบันมีการระบุให้ใบกระท่อมเป็นยาเสพติด ทำให้มีราคาสูงถึงใบละ 3-5 บาท ซึ่งก็ยังมีการปลูกมากในพื้นที่ภาคใต้ เช่น จ.สงขลา รวมทั้งพื้นที่กทม. เขตมีนบุรี หนองจอก หากยกเลิกไม่ให้กระท่อมเป็นยาเสพติดอาจช่วยลดจำนวนผู้ที่จะเสพยาบ้าได้" รมว.ยุติธรรม กล่าว รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตนต้องการให้สื่อเสนอความเห็นนี้เพื่อรับฟังเสียงตอบรับจากสังคมด้วย หากได้รับการยอมรับจากสังคมและมีผลวิจัยสนับสนุนว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าตนก็จะเสนอให้รัฐบาลผลักดันต่อไป ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ในเดือนพฤศจิกายนปี 2546 "คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลดีและผลเสียของการบริโภคพืชกระท่อม เพื่อเป็นแนวทางในการเสนอว่าควรยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือไม่" ของวุฒิสภา ได้เผยแพร่รายงานผลการศึกษาพืชกระท่อม โดยระบุว่า "จากการศึกษาหางานทางวิชาการ การเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพืชกระท่อมมาชี้แจง แสดงความคิดเห็นและตอบข้อซักถามของคณะกรรมาธิการวิสามัญ การตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ปรากฏว่าทางองค์การสหประชาชาติและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ได้กำหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติด และจากการศึกษาข้อเท็จจริงและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งที่บริโภคและไม่บริโภคใบกระท่อม เจ้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ แพทย์พื้นบ้าน แพทย์แผนปัจจุบัน และอื่น ๆ สรุปโดยภาพรวมไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงของประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมือง และด้านกฎหมายแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า "ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับผลดีตอบแทนที่คุ้มค่ายิ่งจากการนำพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์" "มีข้อสังเกตบางประการของคณะกรรมาธิการฯ พบว่าตั้งแต่ได้พิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าว ไม่พบว่ามีสื่อมวลชนแขนงใดวิพากษ์วิจารณ์ นอกจากนี้ฝ่ายปกครองก็ต้องการให้ยกเลิกพืชกระท่อมออกจากกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษเช่นกัน เนื่องจากมิอาจทวนกระแสข้อเท็จจริงในสังคมได้" "ดังนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะประโยชน์ในการที่จะทำการศึกษา วิจัย และพัฒนาให้ใช้เป็นยารักษาโรคทั้งแผนโบราณ และแผนปัจจุบัน ผลการวิจัยใช้เป็นประโยชน์เพื่อการประกอบอาชีพ คณะกรรมาธิการฯ จึงเห็นสมควรที่จะให้ยกเลิก "พืชกระท่อม" ออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ โดยเสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ในมาตรา 7 (5) มาตรา 75 วรรค 2 มาตรา 76 วรรค 2 มาตรา 76/1 วรรค 3 และวรรค 4 และมาตรา 92 วรรค 2 และแก้ไขบัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ" (อ่านเพิ่มเติมที่นี่)
ที่มาของภาพประกอบ: กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานอาหารและยา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ศาลฎีกายกฟ้องหมอศิริราช คดีไฟใต้ Posted: 27 Aug 2013 07:45 AM PDT ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องนายแพทย์โรงพยาบาลศิริราช คดีไฟใต้ข้อหาฆ่าชาวบ้านในตัวเมืองยะลาตาย 1 เจ็บ 1 เหตุเกิดปี 2549 ถูกจับขณะเป็นนักศึกษาแพทย์มหิดล 27 ส.ค.56 เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 4 ศาลจังหวัดปัตตานี ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ นพ.สุกรี กาเดร์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลศิริราช ตกเป็นจำเลยข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า และอีกหลายข้อหา ซึ่งเป็นคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คำพิพากษาเลขที่ 3573/2556 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2556 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง คำพิพากษาฎีกาสรุปว่า คดีนี้ นพ.สุกรีถูก พล.ต.ต.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.จ.)ยะลา สั่งการให้เข้าจับกุมนายสุกรี กาเดร์ อยู่บ้านเลขที่ 97 หมู่ 2 ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ตามหมายจับของศาลจังหวัดยะลาที่ จส.464/2549 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 สืบเนื่องจากเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายชัยกร อุดหนุน ได้รับบาดเจ็บและนายธนากร ขันดำ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดหน้าร้านขายของชำ ซ.วิฑูรอุทิศ 10 ตลาดเก่า ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2549 โดยนายสุกรี ถูกจับกุมข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจับกุมได้ที่โรงอาหารกลางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี คำพิพากษาศาลฎีการะบุสรุปว่า ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มั่นคงพอที่จะรับฟังว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย "แม้จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธติดตัวในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกันฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย" "คำฎีกาของจำเลยฟังขึ้น จึงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ให้ยกฟ้อง" คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต โดยขณะถูกจับกุม นายสุกรีเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงอ่านคำพิพากษา มีเพียงแม่และพี่ชายของนายแพทย์สุกรีที่มาร่วมฟังเท่านั้น ต่อมาเวลา 19.00 น. ญาติได้ไปรอรับตัวนายแพทย์สุกรี ที่เรือนจำกลางปัตตานี โดยมีเพื่อนๆ กลุ่มแพทย์มารอรับจำนวนหนึ่งด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์' ค้านการก่อสร้างขนานใหญ่ในสวนโมกข์ Posted: 27 Aug 2013 07:44 AM PDT กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์เขียนจดหมายเปิดผนึกแสดงความห่วงใยที่มีการก่อสร้างขนานใหญ่ในสวนโมกข์ และยังถูกดูดกลับเข้าสู่มหาเถระสมาคม ไม่ใช่สังฆะอิสระอย่างที่เคยเป็น พร้อมเชิญชวนสาธารณะร่วมกันยับยั้งการเปลี่ยนแปลง 'อย่างเอิกเริก' ที่เกิดกับสวนโมกข์ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ในเพจ Tilopahouse ได้มีการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึก "จากเพื่อนสวนโมกข์ถึงเพื่อนสวนโมกข์" แสดงความห่วงใยที่เกิดขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสวนโมกขพลาราม พร้อมเชิญชวนให้มีการคัดค้านการนำเนินการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้ 000 จากเพื่อนสวนโมกข์ถึงเพื่อนสวนโมกข์ จดหมายถึงเพื่อนสวนโมกข์ฉบับนี้ เขียนถึงกัลยาณมิตรของสวนโมกขพลาราม เพื่อแจ้งข่าวให้ทราบถึงทิศทางของสวนโมกข์ที่กำลังเดินออกไปจากสิ่งที่ท่านพุทธทาสได้วางไว้ในอดีต.... สถานการณ์ภายในวัดสวนโมกข์ทุกวันนี้ไม่สู้ดีนัก สงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มจากการตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่มาแทนเจ้าอาวาสคนเก่า แม้ท่านสุชาติ เจ้าอาวาสคนใหม่ จะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพนับถือของคนจำนวนไม่น้อย แต่เนื่องจากท่านออกจากวัดไปเป็นเวลานาน อีกทั้งยังไม่มีทักษะความเป็นผู้นำและความสามารถในการเข้ามาบริหารจัดการวัด หลังจากท่านเข้ามารับตำแหน่งแทน อ.โพธิ์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สวนโมกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยท่านทองสุข ธมมวโร พระมหาเถระซึ่งมีบทบาทในการสร้างงานหลายๆ ชิ้นของสวนโมกข์ในอดีต หลังจากที่ไม่มีส่วนร่วมกับวัดเป็นเวลานานกว่า ๒๐ ปี ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสวนโมกข์ ในฐานะเจ้าอาวาสเงาผู้อยู่เบื้องหลังท่านสุชาติ งานแรกของสวนโมกข์ในยุคของเจ้าอาวาสคนใหม่ คือ การเข้ามาควบคุมจัดการเรื่องเงิน โดยต้องการแยกบัญชีวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ มีการตั้งข้อกล่าวหาว่าคุณเมตตา พานิช ซึ่งดูแลเงินวัดในนามประธานธรรมทานมูลนิธิมาตั้งแต่สมัยท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ นำเงินวัดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว การบริหารเงินของธรรมทานมูลนิธิโดยมีคุณเมตตาเป็นผู้ดูแลหลักอยู่เพียงคนเดียวถูกมองว่าไม่โปร่งใส ระบบการเงินของสวนโมกข์ถูกเซ็ตขึ้นใหม่ โดยสวนโมกข์ขอกลับไปสู่ความเป็น "วัดธารน้ำไหล" ภายใต้มหาเถรสมาคม วัดมีบัญชีแยกจากธรรมทานมูลนิธิ และพระสามารถบริหารเงินและนำเงินมาใช้ได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากธรรมทานมูลนิธิ ต่อมาท่านจ้อย พระประจำเคาน์เตอร์รับบริจาคเงิน ถูกบีบให้ออกจากการทำหน้าที่ดังกล่าว โดยมีการส่งหนังสือทางการแจ้งปลดท่านจ้อยอย่างสายฟ้าแลบ พร้อมทั้งยังปลดท่านออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วย ต่อมาเป็นคิวของท่านสิงห์ทอง พระอุปัฏฐากย์ ผู้อยู่ใกล้ชิดกับอ.พุทธทาสเป็นเวลาเกือบ ๒๐ปี เช่นเดียวกัน มีความพยายามจะปลดท่านสิงห์ทองออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถึงขนาดจะจับท่านสึก โดยตั้งข้อหาซุกซ่อนเงินบริจาคตั้งแต่สมัยพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ จนท่านสิงห์ทองต้องลี้ภัยออกจากสวนโมกข์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพระรุ่นเก่าๆ ที่เคยมีบทบาทในยุคเจ้าอาวาสคนก่อนถูกขับออกไป สวนโมกข์ก็มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานตรงเคาน์เตอร์รับเงินบริจาคใหม่ โดยมีการให้พระพรรษาน้อยๆ เข้ามาทำหน้าที่แทน มีการติดกล้องวงจรปิด ๒ ตัวตรงจุดรับเงินบริจาค มีการเชื่อมความสัมพันธ์กับโครงสร้างคณะสงฆ์ภายนอกอย่างเจ้าคณะอำเภอ เพื่อให้ "วัดธารน้ำไหล" กลับสู่ระบบสงฆ์ของรัฐ ไม่ใช่ระบบลอยและเป็นสังฆะอิสระอย่างที่เคยเป็นมา และล่าสุดมีการริเริ่มโครงการ "ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาพุทธทอง" โดยท่านทองสุขเป็นผู้ควบคุมจัดการเบ็ดเสร็จโดยที่เจ้าอาวาสคนปัจจุบันและพระมหาเถระรูปอื่นๆ ภายในสวนโมกข์แทบไม่รู้เห็น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการขุดถมดิน ลงฐานรากคอนกรีตขนานใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลง "โบสถ์ธรรมชาติแบบสวนโมกข์" ให้ทันสมัย ดูดียิ่งขึ้น กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ในฐานะคนนอก และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสวนโมกขพลาราม นอกเสียจากนับตนเป็นกลุ่มบุคคลผู้ปรารถนาดีต่อสวนโมกขพลาราม รู้สึกห่วงใยและกังวลต่อสภาพการณ์ดังกล่าวบนยอดเขาพุทธทอง ด้านหนึ่งเรายังเชื่อมั่นในระบบสังฆะ และเห็นว่าเป็นเรื่องของสงฆ์เองที่ควร "คุยกัน" "ประชุมกัน" เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ทว่าในขณะที่ยังไม่พบทางออก ทางกลุ่มรู้สึกเป็นห่วงกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดซึ่งกำลังกระทบต่อจิตวิญญาณความเป็นสวนโมกข์อย่างยากที่จะนำกลับคืนมา ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนำไปสู่คำถามสำคัญว่า "ใครเป็นเจ้าของสวนโมกข์?" สวนโมกข์ที่เปรียบเสมือนห้องทดลองของพุทธทาส ซึ่งได้เปิดจินตนาการของผู้ที่ได้เข้าไปสัมผัส แน่นอนว่ามันคืออดีต หาใช่ปัจจุบันและอนาคตของสวนโมกข์ ทว่าใครกันเล่าคือผู้รับผิดชอบการสืบทอด รักษา และต่อยอดผลงานดังกล่าวที่อ.พุทธทาสได้ฝากไว้... ในทัศนะของกลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ พุทธทาสไม่ได้สร้างสวนโมกข์ขึ้นเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง สวนโมกข์นั้นไม่ใช่เป็นทรัพย์สินของวัดหรือของรัฐ ที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้หากมีอำนาจ งานแต่ละชิ้นที่พุทธทาสสร้างขึ้นมีความหมายและจิตวิญญาณในแบบของมัน และหลายอย่างคงไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีกแล้วหากถูกทำลายไป สวนโมกข์ควรรักษาในฐานะแบบอย่างของความเรียบง่าย ยืนยันความเป็นสังฆะทางสติปัญญาที่เป็นอิสระจากอำนาจคณะสงฆ์ของรัฐ หากจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นกับสวนโมกข์ โดยเฉพาะกับทิศทางการดำเนินงานที่ผิดไปจากแนวทางที่พุทธทาสได้วางไว้ เราขอเสนอว่า ควรเกิดขึ้นจากการประชุมทำความตกลงกันในหมู่สงฆ์และสื่อสารกับสาธารณชนในวงกว้างอย่างโปร่งใส มีการถกเถียง เสวนา แลกเปลี่ยนทัศนะที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ที่สำคัญพระประจำสวนโมกข์ทุกรูปควรรับรู้และรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นร่วมกัน โดยเฉพาะพระที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดท่านพุทธทาส การเปลี่ยนแปลงไม่ควรเกิดขึ้นโดยพลการจากเจ้าอาวาส หรือพระที่ถืออำนาจเพียงคนเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ดังนั้นการดำเนินงานเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และการก่อสร้างอย่างเอิกเริกบนยอดเขาพุทธทอง ณ ตอนนี้ เราเห็นว่าควรถูกยับยั้งโดยเร็วที่สุด หากพระในวัดไม่สามารถทัดทานการกระทำครั้งนี้ได้ สาธารณชนก็ควรออกมาช่วยกันแสดงความไม่เห็นด้วย ร่วมกันคัดค้านการดำเนินงานโดยพลการ และขอให้คณะสงฆ์ในสวนโมกข์คลี่คลายความขัดแย้งภายใน หันหน้าเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนและประชุมกัน เพื่อบรรลุมติที่เห็นชอบร่วมกันของหมู่คณะ ก่อนจะมีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อทิศทางของสวนโมกขพลารามในปัจจุบันและอนาคต ด้วยความนับถือ 000 โดยท้ายจดหมายยังมีความเห็นของบุคคลในวงการต่างๆ โดยจั่วหัวว่า "ความปรารถนาดีจากเพื่อนสวนโมกข์" โดยมีความเห็นต่างๆ ได้แก่
"อยากให้สวนโมกข์ยุคใหม่ ไม่ทิ้งแนวคิดเดิมของสวนโมกข์ยุคท่านอาจารย์พุทธทาส ที่เน้นความสำคัญของธรรมชาติในฐานะที่เป็นสิ่งแวดล้อมช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้สงบและเปิดใจให้เห็นธรรมะ แม้ท่านอาจารย์จะจากไปแล้ว แต่ก็ยังมีธรรมชาติที่สอนธรรมอันลึกซึ้งแทนท่านได้ ขณะเดียวกันสิ่งใหม่ที่ควรเพิ่ม (หรือที่จริงเป็นของเก่าที่ควรรื้อฟื้นกลับมา)ก็คือ ความเป็นหมู่สงฆ์ ที่ร่วมคิดร่วมทำ มิใช่เพื่อเสริมสร้างสามัคคีธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างผู้นำร่วม (collective leadership) ซึ่งจำเป็นสำหรับสวนโมกข์ยุคใหม่ที่ไร้ท่านอาจารย์พุทธทาส" พระไพศาล วิสาโล
"ขอให้นึกถึงสวนโมกข์และอ.พุทธทาสนอกเหนือไปจากการคิดสั้นเพื่อสถาบันหลัก และขอให้นึกถึงความเป็นทาสของพระพุทธเจ้าเพื่อการหลุดพ้นต่อการครอบงำต่างๆ ให้สมกับชื่อของท่านและสวนแห่งนี้" สุลักษณ์ ศิวรักษ์
"สวนโมกขพลารามเป็นสถานที่อันวิเศษที่ให้ความชุ่มเย็นแก่จิตวิญญาณ ท่ามกลางความแห้งแล้งของโลกวัตถุนิยมที่กำลังแผ่ขยายตัวอยู่ทั่วโลก สวนโมกขพลารามเป็นเหมือนแหล่งชุ่มน้ำกลางทะเลทรายที่ผู้คนที่หิวกระหายได้และดื่มลิ้มชิมรสของสายน้ำอันเยือกเย็น เพื่อนำพาชีวิตให้เติบโตงอกงามจากความแห้งผากสู่ความชุ่มชื้นฉ่ำเย็น ข้าพเจ้าไม่เคยลืมหลวงพ่อพุทธทาส ท่านอาจารย์โพธิ์และพระสงฆ์รูปอื่นๆ ซึ่งช่วยโปรยละอองไปของสายน้ำที่ฉ่ำเย็นนั้น ขอให้สวนโมกขพลารามดำเนินไปอย่างมุ่งมั่นในวิถีทางของสายน้ำที่ฉ่ำเย็นชั่วอนันตกาล ขอให้มุ่งมั่นส่งเสริมความเติบโตทางจิตวิญญาณและแสดงอออกถึงความมุ่งมั่นนั้นด้วยการวางใจอยูเหนือความนิยมในวัตถุทั้งปวง" อ.ดร.โสรีย์ โพธิ์แก้ว
"โปรเจค "สวนโมกขพลาราม" จริงๆ แล้วเป็นโปรเจคที่เป็นคนละส่วนกับความเป็นวัดธารน้ำไหล สวนโมกข์คือจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าหาญในการทวนกระแสคณะสงฆ์ของรัฐสู่ความเรียบง่ายตามธรรมชาติ ความเป็นตัวของตัวเองของสวนโมกข์คือสิ่งที่ให้แรงบันดาลใจคนหนุ่มสาวมากมายที่ปรารถนาจะค้นหาคุณค่าพุทธธรรมซึ่งไปพ้นกรอบ สวนโมกขพลารามสัมพันธ์กันอยู่อย่างแนบแน่นกับธรรมทานมูลนิธิ เสมือนสายสัมพันธ์อันไว้วางใจกันระหว่างพุทธทาส-ธรรมทาส-และกัลยาณมิตรของสวนโมกข์ เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของสวนโมกข์โดยเฉพาะตรงเคาน์เตอร์วัดและบนยอดเขาพุทธทองในตอนนี้แล้วรู้สึกสะท้อนใจ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากรากฐานสำคัญที่ท่านพุทธทาสฝากไว้ถูกมองข้ามไปในคณะผู้บริหารของสวนโมกข์ยุคนี้" วิจักขณ์ พานิช ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'ชัชชาติ' เล็งยกปรับสุขารถไฟจากแบบธรรมชาติเป็นระบบปิดมีถังเก็บ Posted: 27 Aug 2013 06:55 AM PDT หลังได้รับร้องเรียนเรื่องการทิ้งสิ่งปฏิกูลลอดใต้สะพานรถไฟ ทำประชาชนด้านล่างกระเจิง รมว.คมนาคมรุดไปตรวจงานที่ราชบุรี พร้อมเสนอยกเลิกสุขาบนรถไฟระบบปล่อยสิ่งปฏิกูลลงตามราง เปลี่ยนมาเป็นระบบปิดมีถังเก็บ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เดินทางมาตรวจงานที่สะพานรถไฟ จ.ราชบุรี เพื่อตรวจผลกระทบจากระบบห้องสุขารถไฟที่เป็นระบบเปิด หรือการปล่อยสิ่งปฏิกูลจากการขับถ่ายลงสู่รางรถไฟ โดยโพสต์ข้อความในเฟซบุคว่า "เช้าวันนี้ ผมชวนผู้ว่าประภัสร์ มาราชบุรี เพื่อดูปัญหาที่มีเพื่อนเรา post มา กรณีรถไฟทิ้งสิ่งปฏิกูล ลอดสะพานรถไฟ ลงมาทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน ผู้สัญจร บนถนนด้านล่าง ปัญหาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ห้องน้ำบนรถไฟปัจจุบันเป็นระบบเปิด คือ ทิ้งสิ่งปฏิกูลตามทาง และให้ย่อยสลายโดยสายฝน สายลมและแสงแดด (ฟังดูโรแมนติกมาก) ซึ่งข้อดีคือห้องน้ำรถไฟไม่เคยเต็ม แต่ข้อเสียก็มีเยอะ โดยเฉพาะด้านสุขอนามัย และ ความเดือดร้อนของประชาชน เหมือนในกรณีนี้" นายชัชชาติ ระบุว่าได้แจ้งให้นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศว่า "ในเบื้องต้น คุยกับท่านประภัสร์แล้วต้องดำเนินการสองเรื่องครับ 1) ในสะพานที่ข้ามชุมชน ถนน ต้อง ทำระบบที่รองที่ถูกสุขลักษณะ ในทุกจุด 2) พิจารณาปรับปรุงห้องน้ำในรถไฟให้เป็นระบบปิด (มีถังเก็บและดูดไปจัดการ) โดยต้องคิดให้รอบคอบถึงการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นตามมา (ส้วมเต็ม ดูดไปจัดการไม่เหมาะสม) เหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่ครับ" รมว.คมนาคม กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
กันตนาเตรียมเปิดโรงภาพยนตร์ชุมชนพันแห่งทั่วประเทศ เก็บค่าชม 30 บาท Posted: 27 Aug 2013 04:17 AM PDT กันตนากรุ๊ปเปิดตัวโรงภาพยนตร์ชุมชน ตั้งเป้าหาผู้ลงทุนในระดับอำเภอ เพื่อเปิดโรงภาพยนตร์ขนาด 50 ที่นั่ง 1,000 แห่ง เก็บค่าชม 30 บาท และจะใช้ระบบจัดการเบ็ดเสร็จจากส่วนกลาง เพื่อให้ผู้ประกอบการฉายหนังแบบไม่เปลืองแรงงาน พร้อมเล็งขยายตลาดฉายหนังสู่อาเซียน เว็บไซต์ของบริษัทกันตนา กรุ๊ป รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่สตูดิโอ กันตนา เขตห้วยขวาง บริษัทกันตนา ได้เปิดตัวโรงภาพยนตร์ชุมชน "กันตนา ซีนีเพล็กซ์" (Kantana Cineplex) ครั้งแรกของประเทศไทย โดยมีนายจาฤก กัลย์จาฤก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของแนวคิด "โรงภาพยนตร์ชุมชน– One Frame, One Culture" เปิดเผยว่าได้จัดตั้งบริษัท เอเชีย ซีนีม่า เน็ตเวิร์ค จำกัด หรือ ACN สรรหาผู้ร่วมลงทุนในท้องถิ่นระดับอำเภอทั่วประเทศ ตั้งเป้าโรงภาพยนตร์ 1,000 แห่ง จากปัจจุบันที่มีโรงภาพยนตร์สนใจเข้าร่วมแล้ว 500 แห่ง ทั้งนี้นายจาฤก ระบุว่าโครงการโรงภาพยนตร์ชุมชนแรกของไทย "กันตนา ซีนีเพล็กซ์" จะเป็นโครงการโรงภาพยนตร์ชุมชน (Community Cinema) ครั้งแรกของประเทศไทย เข้าร่วมลงทุนกับเอกชนในท้องถิ่นต่างๆ สร้างโรงหนังขนาดเล็ก 50 ที่นั่ง ราคาตั๋วเพียง 30 บาท ให้เป็นศูนย์รวมของประชาชนในท้องถิ่นแบบ Community Center คาดหมายเชื่อมโยงวัฒนธรรมท้องถิ่นระดับอำเภอทั่วประเทศ และก้าวสู่ทั่ว AEC ในไม่ช้า นายจาฤก กล่าวด้วยว่า "แนวคิด โรงภาพยนตร์ชุมชน 'One Frame, One Culture' มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าภาพยนตร์หรือหนัง เป็นสื่อเร้าการรับรู้ของมนุษย์ที่มีอิทธิพลสูงมาก จึงสามารถทำหน้าที่เป็นสื่อสร้างเสริมการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่นต่างๆ ได้ดียิ่ง" โดยโครงการโรงภาพยนตร์ชุมชน กันตนา ซีนีเพล็กซ์ มีเป้าหมายการดำเนินการในเบื้องต้นที่การสรรหาผู้ร่วมลงทุนภาคท้องถิ่น เพื่อกระจายการก่อสร้างให้ได้ 1,000 แห่งทั่วประเทศ และคาดหมายเปิดดำเนินการพร้อมกันภายในต้นปี 2557 "เรามองว่าโรงภาพยนตร์ชุมชนเหล่านี้ จะช่วยกระจายความเจริญ ลดช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนในชุมชนชนบท เพราะนอกจากจะมอบโอกาสให้คนชนบทได้รับความบันเทิงในมาตรฐานคุณภาพที่ดีแล้ว ยังเป็นโครงการช่วยพัฒนาพื้นที่ให้เกิดเป็นศูนย์ชุมชนอย่างแท้จริง เพราะจะเป็นแหล่งให้ประชาชนในท้องถิ่นมาทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ เช่น นำสินค้าพื้นเมืองและผลผลิตต่างๆในชุมชนมาขาย หรือใช้เป็นสถานที่จัดงานจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ของท้องถิ่น ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่การประชุม ไปจนถึงการรับชมการถ่ายทอดภาพงานกิจกรรมต่างๆ" นายจาฤกกล่าว นอกจากนี้ยังมองว่า "โครงการโรงภาพยนตร์ชุมชนนี้ จะช่วยขยายฐานอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการสร้างโอกาสให้คนในชนบทได้ชมภาพยนตร์ในโรงได้ง่ายและบ่อยครั้ง อันจะทำให้วัฒนธรรมแบบ "ยกพวก-ยกครอบครัวมาดูหนังร่วมกัน" กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคผลิตภัณฑ์ละเมิดลิขสิทธิ์ลดลงเป็นอย่างมาก เกิดเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ดีขึ้นด้วย" เว็บไซต์ของบริษัทกันตนา กรุ๊ป ระบุด้วยว่า โรงภาพยนตร์ชุมชน กันตนา ซีนีเพล็กซ์ จะมีรูปแบบเหมือนกันหมด คือเป็นโรงขนาดเล็ก 50 ที่นั่ง ราคาตั๋วเข้าชมเพียง 30 บาทต่อที่นั่ง เพราะมีต้นทุนต่ำ คือค่าการก่อสร้างเพียง 1.2 ล้านบาท และใช้เนื้อที่เพียง 200 ตารางวา และเพื่อให้เป็นโรงภาพยนตร์ที่มีคุณภาพเต็มรูปแบบแม้จะมีต้นทุนต่ำ กันตนาได้พัฒนาเทคโนโลยีระบบจัดการเบ็ดเสร็จ คือ "Kantana Intelligent One Touch" ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการดำเนินการฉายภาพยนตร์ได้อย่างง่ายดายไม่เปลืองแรงงาน ด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว ระบบการฉายภาพยนตร์จะเริ่มปฏิบัติการแบบอัตโนมัติไปตามขั้นตอนต่างๆ เช่น ไฟหรี่ลง ฉายภาพยนตร์ตัวอย่าง ฉายภาพยนตร์โฆษณา และดับไฟเข้าสู่การฉายภาพยนตร์หลัก เป็นต้นโดยการปฏิบัติการทั้งหมดจะเป็นการรับส่งสัญญาณจากส่วนกลางผ่านดาวเทียมไปสู่ทุกโรงภาพยนตร์เพื่อฉายภาพยนตร์ในระบบภาพดิจิตอลและระบบเสียง Surround 5.1 และ 7.1 ทั้งยังมีระบบ "Watermark" ช่วยตรวจสอบและป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์จากการลักลอบถ่ายภายในโรงได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ทั้งนี้ ในการเปิดตัวดังกล่าวยังมีการเชิญนายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมมาเป็นประธานในพิธีเปิด และมีนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน และประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีในโอกาสที่โครงการนี้เป็นการเชื่อมโยงวัฒนธรรมอาเซียนด้วย บริษัทกันตนา กรุ๊ป ระบุว่า เบื้องต้นมีผู้สนใจเข้าร่วมลงทุน 500 โรงทั่วประเทศ และได้รับการตอบรับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม พม่า เขมร และลาว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
มติ ครม.พักหนี้เกษตรรายย่อย ผู้มีรายได้น้อย เห็นชอบความร่วมมืออาเซียน–สหรัฐฯ Posted: 27 Aug 2013 04:10 AM PDT ครม.มีมติเห็นชอบโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท และเห็นชอบการดำเนินโครงการหุ้นส่วนอาเซียน–สหรัฐ ด้านธรรมาภิบาล การพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม และความมั่นคง 27 ส.ค.56 ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท ผ่านสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยวางงบประมาณระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2556-2558 จำนวน 3,684.714 ล้านบาท แยกเป็น งบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น ปี พ.ศ. 2556 จำนวน 1,966.960 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรที่พักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้สมาชิก จำนวน 1,445.821 ล้านบาท และจัดสรรให้สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรเป็นเงินอุดหนุนจ่ายขาดเพื่อฟื้นฟูอาชีพแก่สมาชิกจำนวน 521.139 ล้านบาท และงบประมาณในการจ่ายชดเชยดอกเบี้ย โดยให้กับสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรปีที่ 2 และปีที่ 3 ปีละ 858.877 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,717.754 ล้านบาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับสำนักงบประมาณ ในการขอตั้งงบประมาณ นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบในการดำเนินโครงการหุ้นส่วนอาเซียน–สหรัฐฯ ด้านธรรมาภิบาล การพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม และความมั่นคง (ASEAN-U.S. Partnership for Good Goverence, Equitable and Sustainable Development and Security : ASEAN-U.S. PROGRESS) และโครงการความเชื่อมโยงระหว่างกันของอาเซียนผ่านการค้าและการลงทุน (ASEAN Connectivity through Trade and Investment : ACTI) โดยเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อตอบรับข้อเสนอของสหรัฐอเมริกา โครงการหุ้นส่วนอาเซียน–สหรัฐฯ ด้านธรรมาภิบาลการพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม และความมั่นคง (ASEAN-U.S. PROGRESS) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะขององค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียนภายใต้แผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน อาทิ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล ความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ การรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็ก ความร่วมมือด้านแรงงาน การจัดการภัยพิบัติและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งความร่วมมือระหว่างสาขาที่มีความคาบเกี่ยวกัน ตลอดจนการส่งเสริมสมรรถนะของสำนักเลขาธิการอาเซียนในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนโครงการความเชื่อมโยงระหว่างกันของอาเซียนผ่านการค้าและการลงทุน (ACTI) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของการบูรณาการทางเศรษฐกิจ และการขับเคลื่อนความร่วมมือทางการค้าการลงทุนตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พร้อมทั้งเกื้อกูลความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน–สหรัฐฯ เช่น การพัฒนาสมรรถนะอาเซียนด้านระบบพิธีศุลกากร ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window) การอำนวยความสะดวกด้านการค้า การพัฒนาพลังงานสะอาด การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น โดยทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาจะจัดสรรงบประมาณภายใต้องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (United States Agency for International Development : USAID) เป็นระยะเวลา 5 ปี สำหรับการดำเนินโครงการ ASEAN-U.S. PROGRESS จำนวน 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการ ACTI จำนวน 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สปสช.ยันประกันสังคม ข้าราชการ ใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ตามปกติ แม้ยังไม่ได้เงินคืนจากการสำรองจ่าย Posted: 27 Aug 2013 03:15 AM PDT สปสช.แจงสำรองจ่ายเจ็บป่วยฉุกเฉินให้ประกันสังคมและข้าราชการ แม้ยังไม่ได้เงินคืนแต่ไม่กระทบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพ ประชาชนที่ใช้สิทธิประกันสังคมและข้าราชการใช้บริการของ รพ.ได้ตามปกติ 27 ส.ค.56 สืบเนื่องจากกรณีที่มีการรายงานข่าวว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ทำหน้าที่สำรองจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวให้กับสิทธิข้าราชการและสิทธิประกันสังคม แต่ทั้ง 2 กองทุนยังไม่มีการคืนเงินให้ สปสช.นั้น นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวนั้น รัฐบาลได้มอบให้สปสช.ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินและระบบข้อมูลต่างๆ (Clearing House) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2555 ที่ให้ สปสช.ทำหน้าที่ Clearing House ในการให้บริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินสำหรับประชาชนทุกสิทธิตามนโยบายรัฐบาล และการดำเนินการเป็นไปตามพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 เลขาธิการ สปสช. กล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการว่า เมื่อประชาชนเข้ารักษา รพ.ที่อยู่ใกล้ที่สุด ด้วยอาการเจ็บป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองจ่าย รพ.รักษาทันทีแล้วจึงบันทึกข้อมูลการให้บริการ ส่งมาที่หน่วยงานเบิกจ่ายกลางซึ่ง สปสช.รับหน้าที่นี้ หลังจากนั้น สปสช.จะประมวลผลและจ่ายชดเชยให้กับ รพ.ไปก่อน แล้วจึงส่งใบแจ้งหนี้ให้แต่ละกองทุนเพื่อจ่ายเงินคืน เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและให้ รพ.ที่รับการรักษาได้รับเงินภายใน 15 วัน ผลการดำเนินการ 1 ปี 4 เดือน จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 มีผู้ป่วยเข้าถึงบริการ 26,587 ราย หรือ 30,025 ครั้ง เป็นสิทธิข้าราชการสูงสุด 16,648 ครั้งหรือร้อยละ 55.4 สิทธิหลักประกันสุขภาพ 11,359 ครั้ง หรือร้อยละ 37.8 สิทธิประกันสังคม 1,955 รายหรือร้อยละ 6.5 นพ.วินัย กล่าวว่า สำหรับการเรียกเก็บเงินนั้น ทั้งสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และกรมบัญชีกลางยังคงติดขัดในเรื่องระเบียบของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งต้องมีการแก้ไขและดำเนินการก่อน จึงจะเบิกเงินคืนให้กับ สปสช.ได้ แต่ยืนยันว่า จำนวนเงินที่ สปสช.สำรองจ่ายไปก่อนนั้น จะได้รับเงินคืนอย่างแน่นอน และไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณในการให้บริการกับประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแต่อย่างใด รวมถึงประชาชนในสิทธิสวัสดิการข้าราชการและสิทธิประกันสังคม หากเกิดเหตุกรณีฉุกเฉินก็สามารถเข้ารับบริการตามขั้นตอนปกติ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
รถไฟสายใต้หยุด 5 ขบวน ตำรวจเมืองคอนฯ เล็งยื่นศาลขอผู้ชุมนุมยางพาราเปิดทางจราจร Posted: 27 Aug 2013 02:29 AM PDT รฟท. ประกาศหยุดเดินรถไฟสายใต้ 5 ขบวน หลังผู้ชุมนุมชาวสวนยางพาราปิดถนนและทางรถไฟที่ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเล็งยื่นคำร้องต่อศาลขอเปิดช่องทางจราจรหากยังเจรจาไม่สำเร็จ หลังจากผู้ชุมนุมเรียกร้องการขึ้นราคารับซื้อยางพาราชุมนุมปิดทางรถไฟสายใต้ ช่วงสถานีบ้านตูล และสถานีชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยมีการนำรถบรรทุก 18 ล้อ ปิดกั้นถนนและรางรถไฟ และมีการวางแผนกั้นนั้น ล่าสุดเว็บไซต์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รายงานวันนี้ (27 ส.ค.) ว่า "ฝ่ายการปกครองและผู้เกี่ยวข้องได้มีการประชุมหารือ ถึงสถานการณ์ดังกล่าวดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางสัญจรในเส้นทางรถไฟและทางถนนให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง การรถไฟฯ จึงจำเป็นต้องประกาศหยุดการเดินรถขบวนรถสายใต้จากกรุงเทพ อีกจำนวน 5 ขบวน เนื่องจากไม่มีขบวนรถหมุนเวียนกลับมาจากสายใต้ ดังนี้" 1. ขบวนรถเร็ว 171 กรุงเทพ-สุไหงโกลก ออกจากกรุงเทพ เวลา 13.00 น. รปท. ระบุด้วยว่า ยินดีคืนเงินค่าโดยสารให้เต็มราคา โดยติดต่อขอคืนเงินได้ที่สถานีรถไฟ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ นสพ.ข่าวสด รายงานคำให้สัมภาษณ์ พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งกล่าวว่า ทางจังหวัดได้มีการจัดทีมเจรจาเพื่อลงไปเจรจากับชาวสวนยาง และมีการนัดหมายเจรจากันที่บริเวณโรงเรียนบ้านควนเงิน ซึ่งเป็นจุดที่ปิดทางรถไฟและหากการเจรจาสำเร็จก็ถือว่าดีแต่หากการเจรจาไม่สำเร็จ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน ขอให้มีการรื้อถอนเปิดเส้นทางการจราจร หากยังไม่สำเร็จก็จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ป.ป.ช. เผยบัญชีทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 'พงศ์เทพ เทพกาญจนา' มากสุด 3 พันล้าน Posted: 26 Aug 2013 11:42 PM PDT ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่และผู้พ้นตำแหน่ง โดยนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากสุด 3 พันล้านบาท พ้อง ชีวานันท์ รมช.คมนาคม มีน้อยสุด 10 ล้านบาท สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้ (27 ส.ค.) ว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่และพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2556 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สิน รวม 601 ล้านบาท ส่วนบัญชีแสดงทรัพย์สินของผู้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ มีทรัพย์สิน 17.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากก่อนเข้ารับตำแหน่ง 2,789,631 บาท ทั้งนี้ การเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยบัญชีของผู้เข้ารับตำแหน่งใหม่ 18 คน 19 ตำแหน่ง และบัญชีของผู้พ้นจากตำแหน่ง 16 คน 17 ตำแหน่ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2556 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 26 Aug 2013 11:13 PM PDT "..ถ้าใช้ ม.37 พร่ำเพรื่อ ก็เหมือนใช้ยาพาราเซตามอลแบบติดต่อกันทุกวัน ในที่สุด ม.37 ก็จะไร้ความหมาย แต่กว่าจะถึงวันนั้น กสทช.คงโดนรุมจนเละ.." 26 ส.ค.56, หนึ่งใน กสทช. กล่าวถึงมติพิจารณาบทลงโทษ 'แกงค์การ์ตูน' กรณีฉาย 'เคนชิโร่ ภาค 2' ขัด พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและ กิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ม.37 ว่าด้วยเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดี |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น