โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เหตุระเบิดบนรถไฟใต้ดิน ลอนดอน เจ็บอย่างน้อย 22 คน - คนร้ายใช้มีดทำร้ายทหาร กลางกรุงปารีส

Posted: 15 Sep 2017 09:05 AM PDT

เกิดเหตุรเบิดบนรถไฟใต้ดิน ลอนดอน เจ็บอย่างน้อย 22 คน แนะคนไทยในกรุงลอนดอนระมัดระวัง-เลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ขณะที่สถานทูตไทยในฝรั่งเศสแจ้งคนไทยเลี่ยงสถานีรถไฟใต้ดินกลางปารีส หลังคนร้ายพร้อมอาวุธมีดเข้าทำร้ายทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนอยู่ในบริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน กลางกรุงปารีส

15 ก.ย. 2560 บีบีซีไทย รายงานว่า เกิดเหตุระเบิดเกิดขึ้นในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ผู้คนจำนวนมากกำลังเดินทางไปทำงาน ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย หน่วยรถพยาบาลลอนดอน ระบุว่า ได้ส่งทีมปฏิบัติการในพื้นที่อันตรายไปยังจุดเกิดเหตุ หลังได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลา 08.20 น. วันนี้ (15 ก.ย.60) ล่าสุดได้นำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว 22 คน ส่วนใหญ่มีบาดแผลไฟไหม้ แต่ไม่มีผู้ใดมีอาการสาหัส

โดมินิค คาชิอานี ผู้สื่อข่าวสายมหาดไทยของบีบีซี บอกว่า นี่เป็นเหตุก่อการร้ายครั้งที่ 5 ของอังกฤษในปีนี้ และตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อหาบุคคลที่ถือถุงพลาสติกบรรจุถังสีขาวที่ใส่วัตถุระเบิดไว้ภายใน เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุต่อไป

สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า มาฆวดี สุมิตรเหมาะ รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุก่อการร้ายระเบิดรถไฟใต้ดินที่กรุงลอนดอนว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ว่าขณะนี้กำลังตรวจสอบว่ามีคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่

ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน ได้ประกาศข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยให้พี่น้องชาวไทยในกรุงลอนดอน ขอให้ใช้ความระมัดระวัง ในช่วงนี้ ที่มีข่าวระเบิดต่างๆ หากจะเดินทางไปที่ใด ขอให้ระวังตัว และช่วงนี้ผู้ที่ใช้รถไฟใต้ดินสีเขียว (District Line) ควรตรวจสอบเส้นทางก่อน เพราะทางการอังกฤษยังคงปิดสถานี Parsons Green และพื้นที่โดยรอบ (Edgware Rode ถึง Wimbledon) จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว โดยสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://twitter.com/metpoliceuk

ขณะที่วันเดียวกัน เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แจ้งว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์คนร้ายพร้อมอาวุธมีดได้เข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารของหน่วย Sentinelle ที่ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนอยู่ในบริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน Châtelet กลางกรุงปารีส เมื่อเวลาประมาณ 06.30 น.ของเช้าวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาของฝรั่งเศส โดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น  สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ขอแจ้งให้คนไทยที่พำนักอยู่หรือที่จะเดินทางมาในกรุงปารีสและบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งหลีกเลี่ยงบริเวณดังกล่าว เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางสัญจรในพื้นที่สาธารณะ รวมถึงติดตามข่าวทางการและสื่อมวลชนของฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด  หากจำเป็น สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ได้ตามข้อมูลติดต่อที่เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ www.thaiembassy.fr.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองทัพบกแจงปิดฉากเรือเหาะ แต่ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศยังคงอยู่ 80%

Posted: 15 Sep 2017 08:23 AM PDT

โฆษกกองทัพบก แจงเรือเหาะที่กองทัพบกหยุดใช้งานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะและอากาศยาน โดยระบบหลัก 80% ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ใช้งานได้

15 ก.ย. 2560 จากกรณีวานนี้ (14 ก.ย.60) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่ นั้น

ล่าวสุดวันนี้ (15 ก.ย.60) สำนักข่าวไทย รายงาน คำแถลงของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ถึงกรณีดังกล่าวเพิ่มเติม โดย โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ที่ผ่านมาตัวเรือเหาะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะ และอากาศยาน ถือเป็นยุทโธปกรณ์เครื่องมือพิเศษ นำมาเสริมประสิทธิภาพให้กับเจ้าหน้าที่ในระบบเฝ้าตรวจของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์ในช่วงนั้นเพื่อลดการสูญเสียกำลังพล เพิ่มขีดความสามารถในเรื่องการมองเห็น มีคุณสมบัติในทางยุทธวิธี แตกต่างจากเครื่องบิน หรือ ยูเอวี คือ มีความเงียบในการเคลื่อนที่ สามารถบินช้าและลอยตัวได้นาน ลักษณะการจัดหามาใช้งานเป็นระบบที่มีองค์ประกอบหลักของโครงการนี้ 2 รายการ ซึ่งใช้วงเงินรวม ประมาณ 340 ล้านบาท

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า รายการ ที่ 1 คือ ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยเรือเหาะ ใช้วงเงิน 209 ล้านบาท มีองค์ประกอบอยู่ 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คือ ส่วนตัวเรือเหาะ ใช้วงเงินจัดหา 66.8 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าร้อยละ 19 ส่วนที่ 2 คือระบบกล้องตรวจการณ์คุณภาพสูง 2 ชุด พร้อมระบบควบคุมและส่งสัญญาณ วงเงิน 87 ล้านบาท ส่วนที่ 3 คือ ระบบสถานีรับสัญญาณ แบบสถานีประจำที่ และสถานีเคลื่อนที่ด้วยรถหุ้มเกราะ วงเงิน 40 ล้านบาท และส่วนที่ 4 คือ โรงเก็บเรือเหาะและอุปกรณ์บริภัณฑ์ภาคพื้น วงเงิน 9 ล้านบาท

โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า สำหรับรายการที่ 2 คือ ระบบเฝ้าตรวจทางอากาศด้วยอากาศยาน ใช้วงเงิน 131 ล้านบาท มีระบบกล้องตรวจการณ์คุณภาพสูง 3 ชุด พร้อมระบบควบคุมและส่งสัญญาณ 3 ชุด เพื่อใช้ติดตั้งกับอากาศยานที่มีอยู่แล้วในอัตราปกติของกองทัพบก โดยที่ผ่านมาภาพรวมของระบบมีเพียงตัวเรือเหาะที่มีปัญหาติดขัดบ้างในระยะแรก ๆ รวมถึงเคยมีการชำรุดหนัก เนื่องจากการลงจอดฉุกเฉินรุนแรงด้วยสภาพอากาศแปรปรวน เมื่อช่วงปลายปี 2554 แต่กองทัพบกได้ดำเนินการจนเรือเหาะสามารถกลับใช้งานได้ แต่ด้วยวัสดุตัวเรือเหาะมีลักษณะเป็นผ้าใบ จึงอาจมีข้อจำกัดบ้างในเรื่องของอายุการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อเจอสภาพอากาศร้อนชื้น ซึ่งในอนาคตกรณีมีการหยุดใช้เรือเหาะในภารกิจของระบบตรวจการณ์และติดตามเป้าหมายแล้ว  ตัวระบบหลักที่เหลือมีสัดส่วนอีกร้อยละ 80  ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ใช้งานได้ โดยอาจเน้นไปใช้ระบบตรวจการณ์และติดตามเป้าหมายโดยทางอากาศยานเป็นหลัก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ขอ จนท.ทำงานเชิงบวก หลังข่าว กทม.-ทหาร อ้างความมั่นคง สั่งจับคนเร่ร่อนตรอกสาเก

Posted: 15 Sep 2017 07:41 AM PDT

นักสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิอิสรชน เผย กทม.-ทหาร อ้างความมั่นคง สั่งกรมพัฒนาสังคมฯ นำรถมาจอดตรอกสาเก ใกล้สนามหลวง หากพบคนเร่ร่อนจับส่งสถานสงเคราะห์ ขอทำงานเชิงบวกและเคาระสิทธิฯ ภายใต้ พ.ร.บ.การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง อย่างที่เคยทำมา

15 ก.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ก.ย.60) เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. อัจฉรา สรวารี นักสังคมสงเคราะห์ ของมูลนิธิอิสรชน ซึ่งทำงานกับคนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะว่า รายงานในพื้นที่ตรอก สาเก (เขต พระนคร กรุงเทพฯ) ทหารร่วมกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยอ้างความมั่นคง สั่งให้กรมพัฒนาสังคมฯ นำรถมาจอดหน้าตรอกสาเก หากพบคนเร่ร่อนจับขึ้นรถไปลงบันทึกประจำวันส่งสถานสงเคราะห์ กรมพัฒนาสังคมฯ ก็ต้องทำกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ทำงานเชิงบวกกันมาแต่ต้งมาเจอแบบนี้ คนเร่ร่อนทำไรผิดถึงอ้างความมั่นคง คนเร่ร่อนก็คนเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวประชาไท สอบถาม อัจฉรา เพิ่มเติมถึงกรณีดังกล่าว เธอเปิดเผยว่า ความจริงแล้ว บริเวณดังกล่าวมีการจัดระเบียบมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างพระเมรุมาศในพื้นที่ท้องสนามหลวง โดย กทม. เรียกประชุมหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งในตอนแรกเรียกองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าร่วม ช่วงที่มีเรื่องว่ามีคนมารับของบริจาคและนำไปขายจำนวนมาก แต่ช่วงหลังไม่มีการชวนองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าร่วมประชุม เป็นเพียงการประชุมภายในของหน่วยงานภาครัฐ
 
อัจฉรา กล่าวว่า ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะทำงานเชิงบวกกับคนไร้ที่พึ่งหรือคนเร่ร่อน เนื่องจากมี พ.ร.บ.การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง อยู่ จึงมีการทำงานร่วมกันภายใต้กรอบของ พ.ร.บ. มีการวางระบบ วางแผนงาน ไม่ได้เน้นจับ แต่เน้นการคุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิ หากเขาไม่พร้อมไปสถานคุ้มครอง เราก็ไม่สามารถไปจับเขาได้ เพราะมีกฎหมายตัวนี้ดูแลอยู่
 
นักสังคมสงเคราะห์ ของมูลนิธิอิสรชน กล่าวว่า ล่าสุดตนทราบมาจากเจ้าหน้าที่ที่ร่วมประชุมด้วย ว่า กทม. อยากจัดระเบียบให้ครอบคลุม ซึ่งตนไม่ทราบในรายละเอียดเนื่องจากตนไม่ได้เข้าร่วม แต่ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมแจ้งกับตนว่ามีคำสั่งออกมาให้กรมพัฒนาสังคมฯ นำรถไปจอดไว้ที่ตรอกสาเก ตนมองว่าเหมือนเป็นการขู่คนเร่ร่อน เป็นการย้อนยุคกลับไปเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่หากพบคนเร่ร่อน จับขึ้นเอาไปสถานีตำรวจ ลงบันทึกประจำวัน จากนั้นส่งไปสถานคุ้มครอง 
 
อัจฉรา กล่าวต่อว่า คนที่มาเคารพพระศพหรือคนที่อยู่แถวนั้น จะแยกออกได้อย่างไรว่าเป็นคนเร่ร่อนหรือไม่ และหากคนเร่ร่อนไม่ได้ดื่มสุรา หรือก่อเหตุอะไร แต่เป็นประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมแล้วสังสรรค์ อาจเกิดเหตุขึ้น แต่จะโยนความผิดให้กับคนเร่ร่อนหรือ อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนเหล่านั้นที่ก่อปัญหาเป็นคนเร่ร่อน 
 
อัจฉรา กล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่ที่ร่วมประชุมเปิดเผยกับตนว่า กทม. และทหาร อ้างในเรื่องของความมั่นคง ตนก็มีคำถามคือคนเร่ร่อนเกี่ยวอะไรกับเรื่องความมั่นคง
 
อัจฉรา ต้องคำถามด้วยว่า ทำไม่ไปทำงานเชิงข่มขู่คุกคาม ละเมิดสิทธิ ทำไมไม่ทำงานในเชิงบวก เช่น อาจะประกาศว่าพื้นที่ตรงนี้อยู่ในช่วงที่มีพระราชพิธี หากไม่ใช่บุคคลที่มาเกี่ยวข้องหรือเคารพพระศพ อย่าเข้ามาทำการค้าขายหรือก่อกวน หรือมาทำพื้นที่ไม่สะอาด ก็สามารถนำกฎหมายเกี่ยวกับความสะอาดเข้ามาใช้ได้ แต่จากแนวทางข่มขู่ที่กล่าวมานั้น เหมือนเป็นการเอารถไปตั้งการ์ดเลยว่าใครเป็นคนเร่ร่อน แล้วก็เตรียมจับขึ้น ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิ ทั้งที่คนเร่ร่อนก็เป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกัน และคนเร่ร่อนไม่ใช่ทั้งหมดที่จะก่อกวนหรือทำพื้นที่ไม่สะอาด และในบางครั้งประชาชนที่มาร่วมงานกลับเป็นผู้สร้างขยะเสียเอง คนเร่ร่อนกลับเป็นผู้ไปเก็บขยะเก็บขวดมาขายก็มี
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อภิสิทธิ์ แจงเหตุอนุมัติจัดซื้อเรือเหาะ เพราะฝ่ายความมั่นคงเสนอมา

Posted: 15 Sep 2017 04:03 AM PDT

แฟ้มภาพ

15 ก.ย. 2560 จากกรณีวานนี้ (14 ก.ย.60) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่ นั้น

ล่าสุด (15 ก.ย.60) สำนักข่าวไทย รายงานว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ที่อนุมัติจัดซื้อเรือเหาะดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ถึงการปลดประจำการเรือเหาะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณว่า การจัดซื้อเรือเหาะตรวจการณ์ เป็นเรื่องนโยบายที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอมา ว่ามีความจำเป็น และเหมาะสมกับสถานการณ์ ที่จะช่วยเหลือกำลังพลในการสอดส่องพื้นที่ 

"ส่วนรายละเอียดการปฏิบัติ ขอให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจงเอง และขณะที่การจัดซื้อ  ไม่มีใครทราบล่วงหน้า ว่ามีปัญหาในการใช้งาน แต่ในภาพรวมของนโยบาย การมีอุปกรณ์ติดตามสอดส่องพื้นที่ น่าจะเป็นวิธีที่ดี เพื่อช่วยเหลือกำลังพลในพื้นที่" อภิสิทธิ์ กล่าว  

ต่อกรณีที่มีเสียงคัดค้านในขณะนั้นว่า เรือเหาะตรวจการณ์ไม่เหมาะกับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นั้น อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทางฝ่ายความมั่นคงมีความเชื่อว่า สามารถใช้งานได้ และเป็นประโยชน์ในเรื่องของความมั่นคง ส่วนการหาผู้รับผิดชอบ จะต้องเริ่มต้นจากการได้ข้อเท็จจริงสาเหตุการปลดประจำการเรือเหาะตรวจการณ์ รวมถึง การเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าปรับ จะต้องดูสัญญาการจัดซื้อและข้อกำหนด ซึ่งผู้ปฏิบัติจะทราบรายละเอียด ว่าสามารถทำได้หรือไม่

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจง ว่ามีปัญหาในการปฏิบัติ แล้วจะแก้ไขอย่างไร พร้อมทั้งนำมาเป็นบทเรียนการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพื่อไทยยันไม่เอา 'รัฐบาลแห่งชาติ-นายกฯ คนนอก' ไล่ทหารกลับกรมกองหลังเลือกตั้ง

Posted: 15 Sep 2017 03:52 AM PDT

พรรคเพื่อไทยยันไม่เอา รัฐบาลแห่งชาติ หรือ นายกฯ คนนอก ไล่ทหารกลับกรมกองหลังเลือกตั้ง 'สุเทพ' ย้ำส่วนตัวไม่เห็นด้วย  ขณะที่ 'อภิสิทธิ์' ถาม 'สุเทพ' หนุน 'ประยุทธ์' ตั้งพรรคหรือไม่ รับกังวลแย่งฐานเสียงเดียวกัน

15 ก.ย. 2560 จากกรณีที่ พิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนวคิดให้พรรคการเมืองใหญ่จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นั้น

ล่าสุดวันนี้ (15 ก.ย.60) ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อเสนอดังกล่าวว่า ขณะนี้มีหลายคำพูดเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรีคนนอก พรรคเพื่อไทยยืนยันชัดเจนเชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิปไตย คนไทยต้องมีส่วนร่วมในความคิด ส่วนกระบวนการไม่ผ่านประชาธิปไตยทางพรรคไม่สนับสนุน  และไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก

"รัฐบาลแห่งชาติเสนอมาในขณะนี้ ซึ่งพิชัย รัตตกุลก็ได้พูดมานานแล้ว แต่ถ้าปล่อยให้ทหารเข้ามามีอำนาจจะทำให้ประเทศไทยเกิดพันธนาการ และการหาทางออกจะยากลำบาก ดังนั้น เรื่องนี้ต้องตัดสินใจอีกระยะยาว  การพูดถึงรัฐบาลแห่งชาติในช่วงที่กำลังเข้าสู่โรดแม็ปคืนอำนาจให้ประชาชนได้ถูกเสนอเร็วเกินไป เป็นการเสนอให้กลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันมีอำนาจหรือไม่ ดังนั้น ต้องคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว" ภูมิธรรม กล่าว

รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง วันนี้หมดภารกิจหน้าที่ก็กลับเข้ากรมกองแล้วปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ต้องตัดสินใจก่อนว่าอยากเห็นพรรคการเมืองและนักการเมืองคนไหนเข้ามาทำหน้าที่ ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาเป็นอย่างไร กระบวนการประชาธิปไตยมีทางออกเสมอ แต่หากถึงเวลาจะต้องมีการจัดรัฐบาลแห่งชาติ พรรคก็จะบอกประชาชนให้ตัดสินใจเอง

ขณะที่วานนี้ (14 ก.ย.60) อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแนวคิดดังกล่าวด้วยว่า ว่า ประชาชนจับตาดูอยู่ จะมีการจุดประเด็นรัฐบาลแห่งชาติ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปหรือไม่ วันนี้ไม่มีใครรู้ว่าปี2561 จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหรือไม่และมองไกลไปถึงปี 62 ก็อาจจะยังไม่มีการเลือกตั้ง วันนี้คือความไม่แน่นอน เนื้อเพลง เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นานนั้น อาจเป็นแค่สัญญาที่ว่างเปล่า 

อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า วันนี้จะมีเลือกตั้งตามโรดแม็พหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ประชาชนคือผู้เสียโอกาสจากการไม่มีการเลือกตั้ง  ประชาชนควรได้รับสิทธิในการตัดสินใจกำหนดอนาคตประเทศ ผ่านการเลือกตัวแทนของตนด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลและคสช.ควรเร่งประกาศท่าทีที่จะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งให้ชัดเจน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา

แฟ้มภาพ

ด้าน สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ( มปท.) และแกนนำกปปส. กล่าวถึงกรณีนี้เช่นกันว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วย ถ้ารัฐบาลแห่งชาตินี้หมายถึงทุกพรรคการเมืองที่ส่งคนลงสมัคร จะร่วมกันเป็นรัฐบาลนั้น เพราะหลังการเลือกตั้งจะต้องมีพรรคการเมืองที่แพ้ และชนะ จะต้องมีพรรคที่ทำหน้าที่รัฐบาล และฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานรัฐบาล หากทุกพรรคเป็นรัฐบาลหมด แล้วประชาชนจะหวังพึ่งใครมาทำหน้าที่ในการตรวจสอบ

ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้กล่าวผ่านรายการ 101 องศาข่าว ว่า ยังไม่ได้คุยกับพิชัย เกี่ยวกับข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติ แต่ในวันเสาร์ที่ 16 ก.ย. นี้ ตั้งใจจะไปกราบท่านเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ทั้งนี้ พิชัยเคยเสนอเกี่ยวกับการแก้ความขัดแย้งหลายครั้ง โดยให้พรรคการเมืองจัดมือกัน แต่ล่าสุดดูเหมือนจะบวกทหารเข้าไปด้วย

ต่อกรณีคำถามว่ามีความกังวลในท่าทีของ กปปส. ที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่นั้น อภิสิทธิ์ กล่าวว่า คนกังวลคือผู้สนับสนุนเพราะหลายคนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และเคลื่อนไหวอยู่กับกปปส. เมื่อมีข่าวเรื่องการตั้งพรรคย่อมต้องกังวล ไม่สบายใจเป็นธรรมดา
 
ส่วนกรณีฐานเสียงเดียวกันเกรงว่าจะเลือกกันไม่ถูกหรือไม่และโอกาสในการตั้งพรรคมีมากหรือน้อยนั้น อภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า ที่กังวลก็จะเป็นแบบนั้น แต่เป็นเรื่องการตัดสินใจของแต่ละบุคคล แต่ละกลุ่ม ส่วนโอกาสตั้งพรรคใหม่ ถามผมไม่ได้การที่ สุเทพ แสดงท่าทีว่าประสงค์จะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังเลือกตั้งนั้นอยู่ที่ว่าสุเทพจะพิจารณาและมองว่าการตั้งพรรคเป็นวิธีการที่เหมาะสมหรือไม่ วันนี้เราจะยึดตามกรอบโรดแมป ตามกฎหมายกำหนดไว้ ผู้ที่มีหน้าที่เดินตามนี้ อย่าบิดพริ้ว ขณะเดียวกันก็ทำงานเพื่อให้มีการเลือกตั้ง เมื่อคำนวณแล้วจะเกิดขึ้นช่วงปีหน้า ปลายปีหน้า มันให้คำตอบกับสังคมที่ดีที่สุด
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กก.สุขภาพแห่งชาติ หนุนลงทุนด้านสุขภาพ-เน้นพื้นที่รายได้ต่ำ- แดนใต้

Posted: 15 Sep 2017 02:51 AM PDT

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ส่งเสริมการลงทุนด้านสุขภาพ เน้น 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้และในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
 
15 ก.ย. 2560 รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) แจ้งว่าวันนี้ (15 ก.ย.60) มีการประชุคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 โดยมี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
         
รายงานข่าวระบุว่า พล.ร.อ.ณรงค์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ รับทราบและชื่นชมการทำงานร่วมกันของ สช. สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้พัฒนาข้อเสนอต่อมาตรการสนับสนุนการลงทุนเพื่อส่งเสริมการบริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นโจทย์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ โดยการทำงานร่วมกันนี้ ได้นำหลักการด้านการเงินการคลังด้านสุขภาพของ ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2559 ที่กำหนดว่า "การลงทุนด้านสุขภาพต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพในภาพรวม ทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงความมั่นคงด้านสุขภาพและประสิทธิภาพของการลงทุน" เป็นหลักสำคัญ และนำ การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการพัฒนาข้อเสนอที่มีข้อมูลทางวิชาการรองรับ  เพื่อให้การลงทุนด้านบริการสุขภาพเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ทำให้คนไทยโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล รายได้ต่ำ สามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ รวมถึงก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า หนุนเสริมและไม่ซ้ำซ้อนกับการลงทุนที่มีอยู่แล้วของภาครัฐ
 
ประธาน สช. ระบุว่า สช. บีโอไอ และกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันจัดทำข้อมูลทางวิชาการ โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีการเจ็บป่วย มีความจำเป็นด้านสุขภาพสูง มีอัตราการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษานอกเขตพื้นที่สูง พื้นที่ที่อยู่ห่างไกล และพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาล พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ พิจารณาข้อมูลจำแนกรายเขตสุขภาพ โดยข้อเสนอฯ นี้ ได้ถูกนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้ว สาระสำคัญของข้อเสนอต่อมาตรการสนับสนุนหรือส่งเสริมการบริการสาธารณสุขในระดับศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง (Excellence center) มีเงื่อนไขคือ ควรพิจารณาให้การสนับสนุนใน (1) เขตบริการสาธารณสุขที่ไม่มีแผนการลงทุนด้านสุขภาพในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ของกระทรวงสาธารณสุขหรือภาคเอกชน หรือ (2) เขตบริการสาธารณสุขที่มีแผนการลงทุนฯ อยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพแล้ว แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล หรือ (3) เขตบริการสาธารณสุขที่มีการส่งต่อผู้ป่วยในเรื่องนั้นๆออกนอกพื้นที่ หรือ (4) เขตพื้นที่เฉพาะพิเศษ/เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยต้องคำนึงถึงความพร้อมของบุคลากรที่จะไปปฏิบัติงาน และสถานบริการที่ได้รับการส่งเสริมต้องให้บริการประชาชนในระบบประกันสุขภาพภาครัฐโดยไม่เลือกปฏิบัติ
 
ต่อมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาและออกประกาศ เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านการบริการทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ใน 4 กิจการ ได้แก่ 1. กิจการบริการสาธารณสุขด้านแพทย์แผนไทย  2. กิจการศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง 3. กิจการสถานพยาบาล ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เฉพาะเพื่อกระจายการให้บริการอย่างทั่วถึงสำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้และในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 4. กิจการบริการขนส่งผู้ป่วย แพทย์ หรืออุปกรณ์การแพทย์ ทั้งทางอากาศ ทางบก เรือ เงื่อนไขการสนับสนุนประเภทกิจการ "ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง" ได้นำข้อเสนอจากการทำงานร่วมกันของ สช. บีโอไอ กระทรวงสาธารณสุข ไปปรับใช้ โดยให้ ส่งเสริมการลงทุนเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน ได้แก่ ด้านหัวใจ (โรคหลอดเลือดหัวใจ ผ่าตัดหัวใจ และหัวใจล้มเหลว) ด้านมะเร็ง (เคมีบำบัด รังสีวิทยา) และด้านไต (ศูนย์ไตเทียม) โดยระบุเงื่อนไขว่า ต้องมีแผนการจัดหาบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม มีเครื่องมือและอุปกรณ์ตามที่คณะกรรมการกำหนด ต้องได้รับอนุญาตและปฏิบัติตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข มาตรฐานการประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องพิจารณาถึงการกระจายการให้บริการและการเข้าถึงของประชาชน ส่วนการส่งเสริม กิจการสถานพยาบาล นั้น ระบุเงื่อนไขพื้นที่ที่จะขอรับการส่งเสริมตามข้อเสนอ คือ พื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา-เฉพาะ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย เทพา) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
 
"การดำเนินการในกรณีนี้ เป็นรูปธรรมความสำเร็จของการนำ ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ และหลักการของ การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ ไปปรับใช้ประโยชน์ให้เกิดระบบสุขภาพพึงประสงค์ที่ทุกฝ่ายยอมรับ ให้รัฐและเอกชนมีบทบาทเกื้อหนุนกันในการบริการสุขภาพ ไม่มุ่งแต่ภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังเอื้อต่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยด้วย" ประธาน สช. กล่าว
 
พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังรับทราบความคืบหน้าการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 เรื่อง "การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก" ที่กรมอนามัยอยู่ระหว่างเตรียมจัดทำแนวทางและมาตรการขับเคลื่อน พระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อประกาศแนวทางตามกฎหมายฯ ในช่วงเดือนตุลาคม 2560 และคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2561 รวมถึงจะมีการรณรงค์ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้มีการจัดการสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป
 
นอกจากนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ยังรับทราบความคืบหน้าการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 8 เรื่อง "วิกฤติการณ์เชื้อแบคทีเรียดื้อยาและการจัดการปัญหาแบบบูรณาการ" โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ระหว่างเตรียมการจัดงานเปิดตัวแผนปฏิบัติงานการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย พ.ศ.2560-2564 และเตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันเดินหน้าแผนปฏิบัติงาน วันที่ 23 พ.ย.นี้ ทำให้เรื่องนี้ขับเคลื่อนในวงกว้างอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกาหลีเหนือยิงจรวดผ่านญี่ปุ่น(อีกแล้ว) คาดจะมีบ่อยขึ้น แนวโน้มโลกแห่พัฒนานิวเคลียร์

Posted: 15 Sep 2017 02:21 AM PDT

ขีปนาวุธพิสัยกลางหนึ่งลูกยิงผ่านเกาะฮอกไกโดเช้านี้ โสมขาวซ้อมยิงขีปนาวุธ 2 ลูกโต้ตอบ พบ จรวดบิน 3,700 ก.ม. ไกลสุดเท่าที่เกาหลีเหนือเคยยิง ผู้เชี่ยวชาญคาด จะมีทดลองจรวดมากขึ้น โสมแดงมุ่งพัฒนานิวเคลียร์ไว้ป้องกันตัวเอง การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์คืออะไร ครั้งนี้เวิร์คแค่ไหน และแนวโน้มอาวุธนิวเคลียร์ลดปริมาณแต่เพิ่มคุณภาพ

การซ้อมยิงขีปนาวุธโดยหน่วยทหารปืนใหญ่ฮวาซ็อง กองทัพเกาหลีเหนือ (ที่มา: www.uriminzokkiri.com)

15 ก.ย. 2560 สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ รายงานว่าเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง (IRBM) ข้ามเขตแดนของประเทศญี่ปุ่นเมื่อเวลา 6.57 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโซล เกาหลีใต้

คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้รายงานว่า จรวดถูกยิงจากกรุงเปียงยาง เกาหลีเหนือก่อนที่จะเดินทางเป็นระยะทางทั้งสิ้นราว 3,700 ก.ม. ไกลกว่าการยิงครั้งที่แล้วเมื่อ 29 ส.ค. ที่ผ่านมาถึง 1,000 ก.ม. ไต่ระดับความสูงได้สูงสุด 770 ก.ม. ข้ามประเทศญี่ปุ่นไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ถือเป็นขีปนาวุธที่เดินทางได้ไกลที่สุดเท่าที่เกาหลีเหนือเคยยิงมาหากไม่นับจรวดที่ทางเกาหลีเหนืออ้างว่าเป็นยานอวกาศ

สื่อในญี่ปุ่นรายงานว่าจรวดบินผ่านพื้นที่ตอนเหนือของเกาะฮอกไกโด โดย 17 วันที่แล้ว เกาหลีเหนือก็มีการยิงขีปนาวุธข้ามประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว โดยเป็นขีปนาวุธพิสัยกลางฮวาซอง-12 ซึ่งเดินทางเป็นระยะทาง 2,700 ก.ม. แต่มีรายงานว่าระยะทางสูงสุดของจรวดดังกล่าวอยู่ที่ 4,000-5,000 ก.ม.

ศูนย์บัญชาการสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นแปซิฟิก (PACOM) ได้ยืนยันว่าจรวดดังกล่าวเป็นจรวดพิสัยกลาง และระบุว่าจรวดจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเกาะกวม อันเป็นพื้นที่ฐานทัพของสหรัฐฯ ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ทั้งศูนย์บัญชาการการป้องกันทางอากาศอเมริกาเหนือ (NORAD) ก็สรุปว่าจรวดดังกล่าวจะยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาคอเมริกาเหนือเลย

อย่างไรก็ดี ระยะเดินทางของจรวดนั้นสะท้อนถึงสมรรถนะของเกาหลีเหนือในการยิงจรวดใส่เกาะกวม เพราะระยะทางระหว่างเกาะกวมและกรุงเปียงยางห่างกันราว 3,400 ก.ม.

ผู้เชี่ยวชาญคาด จะมีทดลองจรวดมากขึ้น โสมแดงมุ่งพัฒนานิวเคลียร์ไว้ป้องกันตัวเอง หนุนคว่ำบาตรให้หนักกว่านี้

แฮรี่ เจ คาเซียนิส ผู้อำนวยการความมั่นคงศึกษาจากศูนย์ผลประโยชน์แห่งชาติที่กรุงวอชิงดัน ดี.ซี. สหรัฐฯ ให้ความเห็นกับสำนักข่าวยอนฮัป ต่อการทดลองขีปนาวุธที่มีบ่อยขี้น โดยเห็นว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrent)

"เปียงยางจะยังคงดำเนินการทดลองขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ทุกประเภทเพื่อสร้างสมรรถนะการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์…เราจึงควรคาดว่าจะมีการทดลองอีกหลายครั้ง"

แฮรี่ยังได้เสนอให้ใช้มาตรการคว่ำบาตรกับเกาหลีเหนือมากขึ้นด้วยการไม่รับแรงงานของเกาหลีเหนือ โดยแรงงานที่ถูกขนานนามว่าเป็นแรงงานทาสเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของรายได้ รวมถึงลงโทษธนาคารจีนที่ช่วยเหลือเกาหลีเหนือจากการถูกคว่ำบาตร

การยิงจรวดครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการทดสอบยิงจรวดผ่านเขตแดนญี่ปุ่นเมื่อ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามมาด้วยรายงานการทดลองระเบิดไฮโดรเจนในเกาหลีเหนือที่อ้างว่าทดลองสำเร็จ และตามมาด้วยมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ตัดสินใจดำเนินมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือด้วยการตัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน

ทั้งนี้ เกาหลีใต้ได้มีการตอบโต้การยิงขีปนาวุธด้วยการซ้อมยิงขีปนาวุธ โดยกองทัพได้ยิงจรวดฮยุนมู-2 ไปสองลูกและหนึ่งลูกนั้นตกสู่เป้าหมายที่ห่างออกไป 250 ก.ม. ในทะเลตะวันออกอย่างแม่นยำ ส่วนอีกลูกนั้นตกลงไปในน้ำในช่วงออกตัว การยิงขีปนาวุธของเกาหลีใต้ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเกาหลีเหนือยิงจรวดพิสัยกลางเพียง 6 นาทีเท่านั้น

การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์คืออะไร ครั้งนี้เวิร์คแค่ไหน และแนวโน้มอาวุธนิวเคลียร์ลดปริมาณแต่เพิ่มคุณภาพ

เว็บไซต์ politics.co.uk ให้นิยามของการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ว่า เป็นหลักการทางยุทธศาสตร์ว่าด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันการเกิดสงคราม การครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จึงสามารถมองได้ว่าเป็นเครื่องมือต่อรองทางการทูตในเวทีนานาชาติและส่งให้ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มีเสียงที่ดังกว่าและมีแต้มต่อมากกว่าประเทศอื่น

ก่อนหน้าการยิงจรวดของเกาหลีเหนือครั้งนี้ ทางการเกาหลีเหนือก็ออกมาข่มขู่สหรัฐฯ ว่าจะส่งจรวดฮวาซอง-12 จำนวน 4 ลูกไปถล่มเกาะกวมอันเป็นฐานที่มั่นทางทหารของสหรัฐฯ แต่ตัดสินใจยั้งเอาไว้ก่อนเพื่อที่จะดูท่าทีของทางรัฐบาลกรุงวอชิงตันอีกสักนิด

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ของสหรัฐฯ รายงานว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ กล่าวหลังจากเดินทางไปเยือนอินเดียว่า "เราจำเป็นที่จะต้องทำให้เกาหลีเหนือตระหนักว่าพวกเขาจะไม่มีอนาคตที่สดใส ถ้ายังคงเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้"

ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่เคยออกมาแถลงการณ์โต้ตอบท่าทียั่วยุของเกาหลีเหนืออย่างเผ็ดร้อนก็ยังคงหัวเสียกับมติการคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เขาเห็นว่าสามารถทำได้มากกว่าการตัดจำนวนการนำเข้าน้ำมันและเชื้อเพลิง ข้อเสนอที่ตกไปจากมติการคว่ำบาตรในครั้งนี้ได้แก่การอนุญาตให้ใช้กำลังทหารได้ถ้ามีความจำเป็น และการอนุญาตให้ตรวจค้นเรือสัญชาติเกาหลีเหนือในน่านน้ำสากลเพื่อตรวจสอบว่ามีอาวุธและสิ่งของต้องห้ามตามระเบียบขององค์การสหประชาชาติ มติของสหประชาชาติและข้อเสนอที่ตกไปที่ทำให้รัฐบาลกรุงเปียงยางเอาตัวรอดจากผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดบนความเป็นไปได้ อาจจะเป็นคำตอบต่อคำถามเรื่องประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์การป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ได้ไม่มากก็น้อย

ข้อมูลเมื่อ 3 ก.ค. 2560 จากสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่า ปัจจุบันมี 9 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ได้แก่สหรัฐฯ รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอลและเกาหลีเหนือ และ 5 ประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองกันทั้งนั้น (จีน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร รัสเซียและสหรัฐฯ) 9 ประเทศมีหัวรบนิวเคลียร์รวมกันราว 14,935 ลูก ร้อยละ 93 ของอาวุธนิวเคลียร์อยู่ที่สหรัฐฯ และรัสเซีย

Pie chart showing global share of nuclear weapons in January 2017

สัดส่วนการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เมื่อเดือน ม.ค. 2560 (ที่มา:sipri.org)

ข้อมูลยังระบุว่า ที่ผ่านมาหัวรบมีจำนวนลดลงเนื่องจากข้อตกลงการลดอาวุธระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย อย่างไรเสีย จำนวนการลงทุนไปกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้มีความทันสมัยนั้นกลับเพิ่มขึ้น โดยสหรัฐฯ มีแผนที่จะใช้เงินจำนวน 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อรักษาและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในปี 2560-2570 ส่วนประเทศอื่นที่มีนิวเคลียร์ต่างก็เริ่มสร้างระบบจัดส่งอาวุธนิวเคลียร์กันแล้ว เช่นจีน อินเดีย ปากีสถาน รวมไปถึงเกาหลีเหนือ ที่ทาง SIPRI ได้คาดคะเนจำนวนหัวรบจากทรัพยากรที่เกาหลีเหนือมี ซึ่งได้คาดเอาไว้ว่ามีจำนวน 10-20 ลูก โดยในปี 2559 เกาหลีเหนือได้ทดลองยิงขีปนาวุธหลายครั้ง และผลที่ได้ก็มีความแปรผันผสมปนเปกันไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลตัดสินแรงงานพม่าชนะคดีฟาร์มไก่ จ.ลพบุรี ไม่จ่ายค่าจ้าง

Posted: 15 Sep 2017 02:04 AM PDT

ศาลยืนตามคำสั่งของ สนง.สวัสดิการฯ สั่งให้ฟาร์มไก่ จ.ลพบุรี อดีต 1 ในผู้ส่งไก่ให้กับบริษัทเบทาโกร ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 1.7 ล้านบาทให้แก่อดีตคนงานพม่าทั้ง 14 คน กรณีไม่จ่ายค่าจ้าง

ภาพกลุ่มคนงานดังกล่าวเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 ก.ค.59

15 ก.ย. 2560 จากเมื่อเดือน ก.ย. 2559 แรงงานข้ามชาติชาวพม่า 14 คน เข้าสู่กระบวนยื่นคำร้องต่อสำนักสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ว่ามีการใช้แรงงานบังคับ และการละเมิดสิทธิแรงงงาน ในฟาร์มไก่ ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานของบริษัทเบทาโกร ได้ยื่นฟ้อง บริษัทเบทาโกร เจ้าของฟาร์มไก่ จ.ลพบุรี และเจ้าหน้าที่รัฐ ให้จ่ายค่าชดเชยความเสียหาย รวม 46 ล้านบาท ที่ศาลแรงงานภาค 1 จ.สระบุรี นั้น

ล่าสุดวันนี้ (15 ก.ย.60) Voice TV รายงานว่า ศาลมีคำพิพากษาให้ฟาร์มไก่ธรรมเกษตรใน จ.ลพบุรี ซึ่งเคยทำสัญญาส่งไก่ให้แก่บริษัทเบทาโกร จ่ายเงินชดเชยแก่อดีตคนงานพม่า 14 คน จำนวน 1,700,000 บาท โดย คำตัดสินของศาลถือเป็นการตัดสินตามคำสั่งของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.ลพบุรี ที่ก่อนหน้านี้มีคำสั่งให้เจ้าของฟาร์มธรรมเกษตรชดเชยเงินให้แก่กลุ่มแรงงาน และถือเป็นการยกคำร้องอุทธรณ์ของเจ้าของฟาร์มธรรมเกษตร ที่ต้องการให้ศาลพิจารณายกเลิกไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยโดยอัตโนมัติ

Voice TV รายงานเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าวกลายเป็นที่สนใจของสื่อทั่วโลกตั้งแต่กลางปี 2559 เนื่องจากแรงงานชาวพม่า 14 คนเปิดเผยกับสื่อต่างชาติและองค์กรด้านสิทธิแรงงานหลายแห่งว่า ต้องทำงานกว่า 20 ชั่วโมงต่อวัน ถูกบังคับให้ทำงานล่วงเวลา ถูกยึดเอกสารประจำตัวทั้งหมด และถูกหักเงินเดือนอย่างไม่ยุติธรรมระหว่างที่ทำงานในฟาร์มไก่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลพบุรี ได้ตัดสินว่าไม่มีการยึดพาสปอร์ต แต่มีการกระทำผิดเรื่องค่าจ้าง จึงสั่งให้เจ้าของฟาร์มชดเชยค่าเสียหายแก่แรงงานเป็นจำนวน 1,700,000 บาท ครอบคลุมระยะเวลา 2 ปี แต่ก่อนหน้านี้ กลุ่มแรงงานเรียกร้องค่าชดเชยจำนวน 44 ล้านบาท ครอบคลุมระยะการทำงานเวลา 3 -4 ปี ทำให้เดือนตุลาคมที่ผ่านมา คนงานทั้ง 14 คนยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ให้พิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว ซึ่ง กสม.ได้มีความเห็นตามสำนักงานสวัสดิการฯ ว่าคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวข้องกับการละเมิดด้านค่าจ้างแรงงาน แต่ไม่ได้เป็นคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาส  

คำตัดสินดังกล่าวของศาลสูงสุดมีขึ้น ท่ามกลางการจับตามองของทั่วโลก โดยก่อนหน้านี้ ภาคประชาสังคมต่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงองค์กรต่างประเทศอย่างคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) และสมาคมผู้ค้ายุโรป (FTA) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยสมาคมผู้ค้ายุโรป ได้แนะนำให้พูดคุยกันนอกกระบวนการศาล เพื่อไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้

ด้านเจ้าของฟาร์มธรรมเกษตร ก่อนหน้านี้ ได้ยื่นฟ้องคนงานทั้งหมด 14 คนฐานลักขโมย โดยระบุว่าคนงานพม่าลักลอบบัตรลงเวลา เพื่อนำไปเป็นหลักฐานเรื่องการทำงานล่วงเวลาให้แก่กรมสวัสดิการฯ อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปตามคำสั่งของสำนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี ขณะเดียวกัน ฟาร์มไก่ธรรมเกษตรได้ยื่นฟ้องศาลอาญากรุงเทพใต้ฐานหมิ่นประมาทและนำเข้าข้อมูลผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แก่ อานดี้ ฮอลล์ นักสิทธิมนุษยชนชาวอังกฤษ อดีตที่ปรึกษาเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) ซึ่งเป็นองค์กรที่ผลักดันคดีดังกล่าว ทำให้ฮอลล์ต้องออกจากประเทศไทยไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยชี้แจงว่าปัญหาคดีต่อเขาหลายๆ คดี สร้างอุปสรรคในการทำงานเพื่อพัฒนาสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้ฯ เปิดภาพ-พยาน ชี้กองกำลังเมียนมา 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์' ชาวโรฮิงญา

Posted: 15 Sep 2017 01:01 AM PDT

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุกองกำลังเมียนมา "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ชาวโรฮิงญา พบหลักฐานเผาบ้านเรือนมากกว่า 3,300 ตารางกิโลเมตร ตลอดจนปล้นสะดมและกราดยิงอย่างเป็นขบวนการ

15 ก.ย. 2560 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานว่า แอมเนสตี้ฯ เชื่อว่าการคุกคามและเข่นฆ่าชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ของเมียนมาเข้าข่าย "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" อย่างชัดเจน หลังพบหลักฐานเพิ่มเติมที่ทำให้เชื่อได้ว่ากองกำลังฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาเผาบ้านเรือนและโจมตีชาวโรฮิงญาด้วยวิธีต่างๆ อย่างเป็นขบวนการ โดยเฉพาะในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

แอมเนสตี้ ระบุว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายอื่นๆ วิดีโอจากในพื้นที่ และการสัมภาษณ์พยานหลายสิบคนทั้งในเมียนมาและที่หนีข้ามชายแดนมายังบังกลาเทศ  พบว่ามีบ้านเรือนในรัฐยะไข่ถูกเผามากกว่า 80 จุด กินพื้นที่ราว 3,300 ตารางกิโลเมตร มีการไล่ทำร้าย ปล้นสะดม และยิงใส่ชาวโรฮิงญา จนถึงตอนนี้ มีชาวโรฮิงญาต้องหลบหนีไปยังบังกลาเทศแล้วอย่างน้อย 370,000 คน ซึ่งไม่รวมประชาชนอีกประมาณ 87,000 คนที่หลบหนีออกมาก่อนหน้านี้แล้วในการคุกคามครั้งก่อนช่วงปลายปี 2559 และต้นปี 2560

นอกจากนี้ แอมเนสตี้ฯ คาดว่าขอบเขตความเสียหายอาจกินวงกว้างกว่านี้มาก เนื่องจากมีเมฆหมอกปกคลุมช่วงฤดูมรสุม ทำให้ดาวเทียมไม่สามารถจับภาพเหตุเพลิงไหม้ได้ทั้งหมด และเซ็นเซอร์ของดาวเทียมสำรวจสิ่งแวดล้อมที่แอมเนสตี้ใช้ยังจับภาพได้เฉพาะเหตุเพลิงไหม้ขนาดใหญ่เท่านั้น

ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา ภาพจาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล 

แอมเนสตี้ฯ ระบุอีกว่า หนึ่งในพยานที่แอมเนสตี้ฯ ได้สัมภาษณ์คือชายวัย 27 ปีจากอินดิน เขาเล่าว่ากองทัพเมียนมาและประชาชนจำนวนหนึ่งได้เข้ามาล้อมหมู่บ้านของเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนจะบุกเข้ามากราดยิงชาวโรฮิงญาที่กำลังหลบหนี เขาบอกว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ๆ และมองเห็นทหารยึดหมู่บ้านอยู่สามวัน มีการปล้นสะดม และเผาบ้านเรือน

ด้านพยานวัย 48 ปีจากตอนเหนือของหม่องดอว์เล่าถึงเหตุทหารและตำรวจบุกเข้าไปในหมู่บ้านของเขาเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ว่า "ตอนที่ทหารบุกเข้ามา พวกเขาเริ่มไล่ยิงคนที่กำลังตกใจและจะวิ่งหนี ผมเห็นทหารยิงใส่คนจำนวนมาก และสังหารเด็กผู้ชายไปสองคน พวกเขาใช้อาวุธสงครามเผาบ้านเรือนพวกเรา เดิมทีหมู่บ้านเรามีกันอยู่ 900 หลัง ตอนนี้เหลือแค่ 80 หลังที่ไม่โดนเผา แต่ไม่มีชาวบ้านเหลืออยู่แล้ว และไม่มีใครทำหน้าที่ฝังศพคนตาย"
 
ชายชาวโรฮิงญาซึ่งหลบหนีจากบ้านของเขาที่เมียวทูจีเล่าคล้ายๆ กันว่า "กองทัพเริ่มโจมตีตอน 11 โมงเช้า พวกเขายิงเข้าไปในบ้านและยิงใส่ชาวบ้าน การกราดยิงเกิดขึ้นนานประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น ผมเห็นเพื่อนตายอยู่บนถนน ต่อมาตอนประมาณสี่โมงเย็น ทหารเริ่มกราดยิงอีกครั้งหนึ่ง พอชาวบ้านพยายามหนี พวกเขาก็ใช้ระเบิดชวดโจมตีเพื่อเผาบ้านเรือน การเผาบ้านเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอย่างนั้นสามวัน ตอนนี้ไม่มีบ้านเหลืออยู่แล้ว บ้านทุกหลังถูกเผาหมด"
 
ด้านทางการเมียนมาได้ออกมาปฏิเสธว่ากองกำลังฝ่ายความมั่นคงไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุวางเพลิงเหล่านี้ และอ้างว่าชาวโรฮิงญาเป็นผู้จุดไฟเผาบ้านตนเองโดยปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี้ได้รับรายงานว่ากลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาได้เผาไหม้บ้านเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในรัฐยะไข่ด้วยเช่นกัน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐาน
 
แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องให้ทางการเมียนมายุติปฏิบัติโจมตีและเลือกปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาทันที และเริ่มสอบสวนเหตุร้ายต่างๆ เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ประชาคมโลกต้องกดดันออง ซาน ซูจี และผู้นำกองทัพเมียนมามากขึ้น โดยเฉพาะคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่จะมีการพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ดังกล่าวเร็วๆ นี้ 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'จิรายุ' ร้อง สตง. สอบจัดซื้อ 'เรือเหาะ-GT200' - ด้าน สตง. จ่อประสานสายตรวจกลาโหมเก็บข้อมูล

Posted: 15 Sep 2017 12:15 AM PDT

'จิรายุ' ร้อง สตง. สอบการจัดซื้อ 'เรือเหาะ-GT200' ด้าน สตง. จ่อประสานสายตรวจกลาโหม เก็บข้อมูลเรือเหาะ คุ้มหรือไม่ 'อนุพงษ์' หนุนสอบ แต่จะสอบเฉพาะสมัยตนไม่ได้ ขณะที่ 'ประยุทธ์' ไม่ตอบ

15 ก.ย. 2560 จากกรณีวานนี้ (14 ก.ย.60) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่ นั้น

จิรายุ ร้อง สตง. สอบการจัดซื้อ 'เรือเหาะ-GT200' 

วันนี้ Voice TV รายงานว่า จิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการยกเลิกการใช้ เรือเหาะดังกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการใช้เงินงบประมาณอันมาจากภาษีประชาชนจึงควรจะมีหน่วยงานที่เป็นองค์กรอิสระทำความจริงให้ปรากฏและเป็นตัวแทนของประชาชนได้  

รายงานข่าวระบุด้วยว่า รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เรียกร้องให้สตง.ช่วยทำความจริงให้ปรากฏ และสรุปผลออกมาเพื่อเป็นบทเรียนของประเทศ และจะได้ใช้เป็นบรรทัดฐานในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ว่ามีความจำเป็นหรือเหมาะสมกับสภาพการใช้งานของภารกิจนั้นหรือไม่  ที่สำคัญประเทศชาติจะได้รับประโยชน์จากการใช้เงินงบประมาณ ที่เก็บภาษีมาจากประชาชนได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น

จิรายุ กล่าวอีกว่ากรณีจัดซื้อ เครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ที่ศาลอาญากลาง กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตัดสินเอาผิดในข้อหาฉ้อโกงกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือดังกล่าว และให้ประเทศที่รับซื้อแจ้งยอดความเสียหายไป เพื่อเรียกรับค่าชดเชยสินค้า แต่ปรากฎว่าประเทศไทยกลับ ไม่แจ้งยอดตัวเลขความเสียหายกลับไปใช่หรือไม่ เรื่องแบบนี้ประชาชนหวังให้สตง.เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่จะทำให้ประเทศชาติมีบรรทัดฐานในการใช้ภาษีของพี่น้องประชาชนได้

สตง. จ่อประสานสายตรวจกลาโหม เก็บข้อมูลเรือเหาะ คุ้มหรือไม่ 

ขณะที่ ครอบครัวข่าว รายงานว่า พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯ สตง.ระบุว่าเรือเหาะที่ปลดประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่ากองทัพบก จะให้เหตุผลว่าหมดอายุการใช้งานแล้ว แต่ด้วยหน้าที่ของ สตง. ยังคงต้องตรวจสอบว่าการใช้งานเป็นอย่างไร มีความคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน โดยสตง.จะประสานข้อมูลจากสายตรวจประจำกระทรวงกลาโหม และนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับการอนุมัติจัดซื้อตั้งแต่ต้น ทั้งนี้ การดำเนินการไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้องเข้ามาเพราะ สตง.สามารถติดตามตรวจสอบได้ทันที หากพบว่าการใช้งานไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป สตง.จะต้องจำแนกตามช่วงการใช้งานจริง และดำเนินการตรวจสอบแยกภายหลัง

อนุพงษ์ หนุนสอบ แต่จะสอบเฉพาะสมัยตนไม่ได้ ประยุทธ์ไม่ตอบ

สำนักข่าวไทย รายงานท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะอดีต ผบ.ทบ. ที่เสนอจัดซื้อเรือเหาะดังกล่าวในปี 52 โดย พล.อ.อนุพงษ์ ชี้แจงกรณีนี้ที่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงงบประมาณจัดซื้อที่สูง และประสิทธิภาพการใช้งานที่ไม่คุ้มค่า ว่า ไม่ทราบใครเป็นผู้ประเมินประสิทธิภาพของเรือเหาะ 

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า มูลค่าจัดซื้อเรือเหาะตรวจการณ์ รวม 350 ล้านบาท แบ่งเป็นตัวกล้อง จำนวน  5 ตัว  ราคา 250 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ตัวกล้องยังสามารถใช้การได้ดี โดยติดไว้กับแท่น ฮ 3 ลำ ส่วนอีก 2 ตัวติดอยู่ที่เรือเหาะ ซึ่งยังใช้การได้ ขณะที่ ตัวเรือเหาะและโรงเก็บ ราคาอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งการประมินคุณภาพใช้การได้หรือไม่ อยู่ที่กองทัพบก รวมถึง อาจมีการพิจารณาเรื่องการทุจริต ซึ่งเป็นอีกเรื่อง หากมีการร้องเรียน

พล.อ.อนุพงษ์  เห็นด้วย หากมีการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบทุจริต เพราะจะได้ไม่นำมาวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีข้อมูล แม้การจัดซื้อเรือเหาะจะเกิดขึ้นในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่เมื่อตรวจสอบ ก็ต้องไปดูว่า ใครเกี่ยวข้องบ้าง ทั้งการรับของ การทำสัญญา รวมถึง ผู้ใช้งาน  

"ผมพ้นจากตำแหน่งนานแล้ว จึงบอกไม่ได้ว่า หากมีการปรับเปลี่ยนสภาพการใช้งานของเรือเหาะตรวจการณ์ จะทำได้ในรูปแบบใดบ้าง เพราะช่วงของการจัดซื้อ ผมไม่ได้เป็นผู้พิจารณาโดยตรง  ดังนั้น จะต้องตรวจหาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด จะตรวจสอบเฉพาะเกิดในสมัยผมอย่างเดียวไม่ได้" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีต ผบ.ทบ. และรับผิดชอบในการอนุมัติงบประมาณซ่อมบำรุงเรือเหาะตรวจการณ์ 50 ล้านบาท ก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเช่นเดียวกัน

ขณะที่เมื่อย้อนไปเมื่อ 9 มี.ค. 2553 ผู้จัดการออนไลน์รายงาน คำให้สัมภาษณ์ถึงการจัดซื้อเรือเหาะตรวจการณ์ที่ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสดังกล่าว โดย พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งเป็นผบ.ทบ.ขณะนั้นให้สัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ ว่า ตนอยากจัดให้สื่อมวลชนลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อจะได้ซักถามเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อเรือเหาะของกองทัพบกให้ชัดเจน เรือเหาะดังกล่าวจัดซื้อในวงเงิน 300 กว่าล้านบาท กล้อง 5 ตัว ก็ 200 กว่าล้านบาทแล้ว ที่เหลือเป็นตัวเรือเหาะ ระบบรับ-ส่งภาพ โรงเก็บ รถรับ-ส่งสัญญาณ 100 กว่าล้านบาท แต่มีการนำไปพูดจนเกิดความเข้าใจผิด

"ความจริงสำนักงานเลขานุการกองทัพบกเสนอเรื่องมาแล้ว ให้ผมนำสื่อมวลชนลงไปในพื้นที่ เพื่อจะได้สอบถามได้เต็มที่ แต่เห็นว่าขณะนี้สถานการณ์ในกรุงเทพฯ ยังวุ่นอยู่ จึงขอให้เสร็จเรื่องตรงนี้ไปก่อน แต่ก่อนที่จะไปเรียนรู้การปฏิบัติจะต้องเรียนรู้รายละเอียดก่อน หากชี้แจงแล้วไม่เคลียร์ก็ไปบอกให้ สตง.มาตรวจสอบได้เลย แล้วจะลงจิกอีกก็ได้ ผมไม่กลัว ตรงไหนโกง ไม่ต้องลงข่าวให้เสียเวลา ไปบอก สตง. ป.ป.ช.ได้เลย ผมเข้าคุกทันที" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวในสมัยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.
       
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เรือเหาะดังกล่าวบินได้ไม่สูงตามมาตรฐาน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวในสมัยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ว่า "ไม่ต้องถามว่าบินขึ้นหรือไม่ เพราะบินที่อู่ตะเภา จนนักบินบินได้ทุกคนแล้ว ไม่ต้องห่วง ที่เขาห่วงคือ การส่งสัญญาณ ซึ่งขณะนี้ก็เรียบร้อยหมดแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่พอใจเรื่องการบิน จึงยังไม่ยอมตรวจรับ เพราะผมยืนยันไปแล้วว่า ใครลงนามตรวจรับก็ต้องรับผิดชอบ ผมสั่งการอะไรไม่ได้" 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สมานฉันท์แรงงาน' ร้องรัฐบาลถอนร่าง ก.ม.กำกับรัฐวิสาหกิจ อัดเปิดทางแปรรูป

Posted: 14 Sep 2017 10:40 PM PDT

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ออกแถลงการณ์ ร้องรัฐบาล ถอน ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.... ชี้จะเป็นการเปิดทางนำไปสู่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในที่สุด YPD ล้อแบ่งเค้ก กินรวบ รัฐวิสาหกิจ

การแสดงแบ่งเค้ก กินรวบ รัฐวิสาหกิจ โดย ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD) หน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา (ภาพจากเพจ YPD - Young People for Social-Democracy Movement, Thailand)

14 ก.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (14 ก.ย.60) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ออกแถลงการณ์ ถึงสมาชิก เครือข่ายแรงงาน และประชาชนผู้รักและหวงแหนสมบัติชาติ เรียกร้อง ขอให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ........ออกจากการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

แถลงการณ์ ระบุว่า คสรท. สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส) และเครือข่ายแรงงานพร้อมให้การสนับสนุนการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนคนยากคนจน แต่ที่ผ่านมารัฐกลับไม่มีการเปิดโอกาสให้องค์กรรัฐวิสาหกิจ และสหภาพแรงงาน รวมทั้งภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของกิจการรัฐวิสาหกิจเลย การที่รัฐบาลได้พยายามผลักดัน พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ... ให้จัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเข้ามาบริหารรัฐวิสาหกิจทั้งในตลาดหลักทรัพย์ บริษัท จำกัด (มหาชน) และบริษัทจำกัดรวม 11 แห่ง รวมทั้งรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะตามไปในภายหลังเพราะร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้เขียนหมกเม็ดไว้ ชัดเจนว่าความพยายามในเรื่องนี้ก็เพียงเพื่อให้บรรษัทวิสาหกิจเข้ามาถือครองหุ้นในรัฐวิสาหกิจก่อนแล้วจากนั้นก็จะขายให้กลุ่มทุนนักธุรกิจ นักลงทุนในภายหลังโดยผ่านการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จึงชี้ชัดว่าเป็นความพยายามในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลนี้

คสรท. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ…ออกจากการพิจารณาของ สนช. เป็นกรณีเร่งด่วนและเปิดให้ผู้แทน คสรท. สรส และเครือข่ายแรงงาน และองค์กรภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติสืบไป  พร้อมขอให้สมาชิกทุกองค์กรออกมาร่วมแถลงการณ์และคัดค้านการผ่านร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ……….. ทุกรูปแบบ
 
"ด้วยภารกิจและเจตนารมณ์ของรัฐวิสาหกิจมุ่งเน้นให้บริการแก่ประชาชนเป็นหลักจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องรักษาไว้ไม่ให้กิจการของรัฐวิสาหกิจต้องตกไปอยู่ในมือของนักธุรกิจเอกชนเพื่อค้ากำไร สุดท้ายจะเป็นการผลักภาระให้กับประชาชน" แถลงการณ์ของ คสรท. ระบุ

ทั้งนี้ แถลงการณ์ของ คสรท. ระบุด้วยว่า ตามที่รัฐบาลโดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้รับหลักการร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ...และได้ส่งให้ สนช. พิจารณา ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีสาระสำคัญ 2 ส่วนคือส่วนที่ว่าด้วยการกำกับดูแลกับส่วนที่จะให้มีการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ (โฮลดิ้ง) ขึ้นมาเพื่อถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทแทนกระทรวงการคลังฉบับนี้อนุมัติบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ (โฮลดิ้ง) ทั้งที่เป็นบริษัท จำกัด (มหาชน)อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทจำกัดนอกตลาดหลักทรัพย์ รวม 11 แห่ง  

คสรท. และ สรส มีข้อกังวลต่อร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวหลายแห่งที่อาจนำไปสู่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จึงได้ออกมาแสดงจุดยืนในการคัดค้านการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ตั้งแต่วาระแรก ที่รัฐสภา คสรท. และ สรส ได้พิจารณาเนื้อหากฎหมายฉบับนี้แล้วหากปล่อยให้ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ สนช. ก็จะเป็นการเปิดทางนำไปสู่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในที่สุด
 
 
  
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น