โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'ลอรีอัล' ยกเลิกสัญญานางแบบหญิงข้ามเพศหลังพบข้อความเธอวิจารณ์คนขาวผ่านเฟซบุ๊ก

Posted: 02 Sep 2017 11:41 AM PDT

บริษัทเครื่องสำอางค์ลอรีอัลสาขาอังกฤษยกเลิกสัญญากับนางแบบหญิงข้ามเพศ มุนโร เบิร์กดอร์ฟ หลังจากที่พบว่าเธอโพสต์วิพากษ์วิจารณ์คนขาวในเฟซบุ๊ก โดยที่ลอรีอัลทำสัญญาให้เบิร์กดอร์ฟเป็นตัวแทนในโครงการรณรงค์เรื่องความหลากหลาย

 
3 ก.ย. 2560 มุนโร เบิร์กดอร์ฟ นางแบบหญิงข้ามเพศเคยเขียนวิจารณ์คนขาวไว้ในเฟซบุ๊กช่วงที่กลุ่มเหยียดผิวสุดโต่งกำลังชุมนุมและใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ชาร์ล็อตต์สวิลล์ว่า คนขาวทั้งหลายควรจะยอมรับว่ากลุ่มเชื้อชาติของพวกเขาเป็น" พวกที่หัวรุนแรงที่สุดและเป็นพลังธรรมชาติที่กดขี่มากที่สุดในโลก"
 
ข้อความดังกล่าวถูกลบไปแล้วแต่ก่อนหน้านี้มันก็ถูกนำมาเผยแพร่โดยสื่อแท็บลอยด์เดลีเมลล์ นอกจากข้อความดังกล่าวแล้วเบิร์กดอร์ฟยังระบุอีกว่า "เพราะพวกคุณส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักหรือไม่ก็ปฏิเสธที่จะยอมรับว่า การมีอยู่ของพวกคุณ อภิสิทธิ์ของพวกคุณ และความสำเร็จของพวกคุณ สร้างอยู่บนแผ่นหลัง บนเลือดเนื้อ และความตายของคนผิวสี การมีอยู่ของพวกคุณชุ่มโชกอยู่ในการเหยียดเชื้อชาติ ตั้งแต่การบั่นทอนจิตใจทีละน้อย (micro-aggression) ไปจนถึงการก่อการร้าย พวกคุณทำให้เกิดโครงสร้างห่วยแตกนี้ขึ้นมา"
 
หลังจากที่มีการเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปผู้ใช้โซเชียลมีเดียก็แสดงความไม่พอใจที่ลอรีอัลสาขาอังกฤษจ้างงานเบิร์กดอร์ฟ โดยกล่าวหาว่าเบิร์กดอร์ฟ "เหยียด" คนขาว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นแค่การพูดเหมารวม ไม่นับเป็นการเหยียดในระดับโครงสร้างอำนาจ (Institutional racism) เพราะคนขาวอยู่ในโครงสร้างอำนาจเหนือกว่า กลุ่มคนที่ไม่พอใจยังขู่จะบอยคอตต์ลอรีอัลจนกว่าจะยกเลิกสัญญากับเบิร์กดอร์ฟ
 
ลอรีอัลให้คำตอบต่อสื่อฮอลลีวูดรีพอร์ตเตอร์ในเรื่องที่ปลดเบิร์กดอร์ฟออกโดยอ้างว่าคำกล่าวถึงเบิร์กดอร์ฟในเฟซบุ๊กมีลักษณะไม่ตรงกับการ "ส่งเสริมความหลากหลาย" ของพวกเขา
 
แต่หลังจากที่ลอรีอัลถอนเบิร์กดอร์ฟจากการเป็นตัวแทนในโครงการรณรงค์เรื่องความหลากหลาย พวกเขาก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทวิตเตอร์จากอีกมุมหนึ่งว่า "พวกคุณอ้างตัวเองว่าเป็นผู้คุ้มครองเรื่องความหลากหลายได้อย่างไรเมื่อพวกคุณยกเลิกสัญญาเธอ (เบิร์กดอร์ฟ) เพราะเธอพูดต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติในเชิงโครงสร้าง"
 
ตัวเบิร์กดอร์ฟเองก็โต้ตอบสื่อแท็บลอยด์เดลีเมลล์ที่นำข้อความของเธอไปเผยแพร่แบบไม่มีบริบท โดยชี้แจงเพิ่มเติมว่าเธอต้องการพูดถึงสังคมที่คนผิวขาวกว่ามักจะมีอภิสิทธิ์ทางสังคมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าถึงที่พักอาศัย บริการสุขภาพ การจ้างงาน หรือเครดิต คนที่ขาวกว่ามักจะได้รับการปฏิบัติดีกว่าโดยรวมๆ
 
เบิร์กดอร์ฟยังเรียกร้องให้ลอรีอัลรับผิดชอบในเรื่องที่พวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้ว่ามี "การเหยียดเชื้อชาติภายในวงการ" และเรียกร้องให้มีการบอยคอตต์ลอรีอัล โดยบอกว่าเครื่องสำอางกระแสหลักไม่ได้มีเมคอัพที่เหมาะสมสำหรับหญิงคนดำและเชื้อชาติคนกลุ่มน้อยมากพอ พวกเขาเสียโอกาสที่จะขายเครื่องสำอางเหล่านี้ให้กับหญิงเชื้อชาติสีผิวอื่นๆ ได้ 
 
เรียบเรียงจาก
 
, September 1, 2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทนายคนดำเปิดใจ-รู้สึกอย่างไรที่ต้องว่าความให้พวกเหยียดผิว

Posted: 02 Sep 2017 09:35 AM PDT

อาบรี คอนเนอร์ เป็นทนายความจากองค์กรสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้ความสำคัญเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนอเมริกัน ขณะเดียวกันเธอก็เป็นคนดำที่เคยต้องทำหน้าที่เป็นทนายความให้กับคนขาวที่เป็นพวกเหยียดผิวแบบสุดโต่ง ในการอ้างเสรีภาพในการแสดงออกให้กับคนเหล่านี้ คนที่พร้อมจะกดขี่ ทำร้าย หรือไล่เธอออกจากประเทศ เธอจะจัดการกับความรู้สึกย้อนแย้งในตัวเองนี้อย่างไร

2 ก.ย. 2560 บทความในนิตยสาร Yes! โดย อาบรี คอนเนอร์ หญิงคนดำที่ทำงานเป็นทนายความจากองค์กรสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ระบุถึงเรื่องที่เธอต้องเผชิญกับความรู้สึกชัดแย้งในตัวเองระหว่างหลักการสองอย่างและความรู้สึกของเธอเอง กับการที่เธอต้องทำหน้าที่ว่าความแก้ต่างให้กับ ผู้ที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง ชักจูงผู้คนให้ต่อต้านการมีอยู่ของคนดำ และโหยหาอดีตอันหอมหวานที่พวกเขาทำให้คนดำอยู่ต่ำกว่ามนุษย์คนขาวอย่างถูกกฎหมาย

คอนเนอร์เท้าความว่าองค์กรสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองมีประวัติเคยเคลื่อนไหวในหลายๆ ด้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเชื้อชาติสีผิวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกับสมาคมเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสีแห่งชาติสหรัฐฯ (NAACP) ต่อสู้เพื่อโรงเรียนที่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติสีผิวตั้งแต่สมัย 60-70 ปีที่แล้ว เคยช่วยผลักดันยกเลิกกฎหมายยืนยันตัวตนที่เข้มงวดสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรัฐเพนซิลเวเนียและอาร์แคนซอ

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจของ ACLU สาขาเวอร์จิเนียที่ให้มีการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของกลุ่มเหยียดผิวแบบสุดโต่งที่ก่อความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมานั้น ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากประชาชนภายนอกและจากภายในองค์กรเอง

แน่นอนว่า ACLU เองมีจุดยืนว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นภัยต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะเป็นสิ่งที่สกัดกั้นสิทธิของกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ได้ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ ACLU มีจุดยืนคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้กับแม้แต่กลุ่มเหยียดผิวหัวรุนแรงอย่างคูคลักซ์แคลนและกลุ่มสร้างความเกลียดชังอื่นๆ ในอดีตและจะยังคงจุดยืนนี้ต่อไป แม้กระทั่งในช่วงที่ผ่านมาในเหตุการณ์ที่ชาร์ล็อตตส์วิลล์และอีกหลายๆ ที่ของสหรัฐฯ

คอนเนอร์ เปิดใจว่าในฐานะที่เธอเป็นทนายความพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เธอสนับสนุนบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ที่ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเห็นด้วยว่าควรมีการสนับสนุนให้อดกลั้นต่อความคิดที่แตกต่าง สร้างพื้นที่ให้กับความแตกต่าง แต่ในขณะเดียวกันการทำเช่นนี้ก็สร้างความขัดแย้งภายในตัวเองเพราะบางส่วนหนึ่งในกลุ่มเหยียดผิวเหล่านี้เป็นที่คนส่งเสริมการไม่อดกลั้นต่อความต่าง และเป็นคนที่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของตัวเธอ

นั่นทำให้คอนเนอร์ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าการเป็นคนดำที่คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้นควรเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อความคิดเห็นบางส่วนเหล่านี้กลายเป็นการคุกคามการมีตัวตนอยู่ของคนดำอย่างเธอและของคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนขาว

อย่างไรก็ตามช่วงที่เพิ่งมีเหตุการณ์ชาร์ล็อตต์สวิลล์ไม่นาน ACLU ก็มีการปรับนโยบายเข้มงวดกับการรับคดีจากกลุ่มเหยียดผิวสุดโต่งมากขึ้นเป็นรายเคสไป รวมถึงมีกฎเพิ่มเติมว่าจะไม่ว่าความให้กับกลุ่มสร้างความเกลียดชังที่มีอาวุธ ซึ่งคอนเนอร์ชื่นชมการเปลี่ยนแปลงนี้

แต่ถึงที่สุดแล้วคอนเนอร์ก็ไม่เชื่อว่าการปล่อยให้มีวาจาแบ่งแยกสร้างความเกลียดชังจากพวกเหยียดผิวจะทำให้ชีวิตของคนดำอย่างเธอดีขึ้น พวกผู้นำขบวนการคนขาวเหยียดผิวเองก็ยอมรับตรงๆ พวกเขาอ้างใช้ "เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" แบบผิดๆ เพื่อทดสอบว่าจะทำอะไรรุนแรงมากขึ้นโดยไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายได้หรือไม่

แน่นอนว่าการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามหลักการก็เป็นประโยชน์สำหรับคำดำเอง คอนเนอร์เล่าว่าเธอก็เคยว่าความคุ้มครองเสรีภาพในการที่เด็กนักเรียคนหนึ่งจะนำเสนอเรื่องราวของ Black Lives Matter ลงในสมุดพกของตน ซึ่ง Black Lives Matter เป็นขบวนการเรียกร้องให้เคารพชีวิตคนดำหลักจากที่มีเหตุการณ์ตำรวจสังหารหรือใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุกับคนดำ รวมถึงคุ้มครองสิทธิในการที่จะจัดแสดงภาพวาดเดือนประวัติศาสตร์คนดำได้แม้ว่าจะมีบางคนไม่ชอบ

"มันรู้สึกดีเมื่อฉันได้ใช้มาตรา 1 เป็นเครื่องมือในการทำให้เกิดความเท่าเทียมกันสำหรับประชาชนคนผิวสี" คอนเนอร์กล่าว

คอนเนอร์เล่าว่าตัวเธอเองก็เคยมีประสบการณ์ที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงกลายเป็นสมาชิกกลุ่มสร้างความเกลียดชัง เคยเห็นพวกคูคลักซ์แคลนเดินขบวนแทรกผ่านขบวนพาเหรดรำลึกถึงมาร์ติน ลูเทอร์ คิง (นักสู้เพื่อสิทธิพลเมืองและสิทธิคนผิวสี) การที่มีกระแสปกป้องธงสมาพันธรัฐผุดขึ้นมาอีกครั้งในสหรัฐฯ ทำให้เธอรู้สึกหนักอกและเหนื่อยใจที่ต้องแทรกผ่านพื้นที่ของผู้คนเหล่านี้เพราะสัญลักษณ์ของธงสมาพันธรัฐนั้นในประวัติศาสตร์เป็นสัญลักษณ์ของการลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนดำ

เรื่องนี้ทำให้คอนเนอร์ต้องพูดคุยเปิดอกกับคนในสำนักงานเธอเองกับการให้ทนายความคนดำว่าความให้พวกคนขาวเหยียดผิวแบบสุดโต่ง เธอบอกอีกว่าทางสำนักงาน ACLU ก็เปิด "พื้นที่ปลอดภัย" (Safe space) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ปิดที่คนผู้เสียเปรียบทางสังคมจะแสดงความคิดเห็นของตนเองได้โดยไม่ถูกตัดสินล่วงหน้า ให้เธอได้แสดงความรู้สึกที่ต้องทำงานแบบนี้รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับความรู้สึกร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนดำคนอื่นๆ ด้วย

เรียบเรียงจาก

Inside the ACLU: Defending White Supremacists as a Black Attorney, Yes! Magazine, 24-08-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สสส.ห่วงภาษีเหล้าใหม่ ทำคนไทยกลับไปดื่ม 'เหล้าขาว'

Posted: 02 Sep 2017 05:22 AM PDT

ก.คลัง เตรียมออกกฎกระทรวงวอัตราภาษีสุราและยาสูบใหม่ 16 ก.ย. 2560 นี้ สสส.หวั่นภาษีเหล้าใหม่ทำราคา 'เบียร์' ราคาพุ่ง ส่งผลให้ประชาชนหันกลับไปดื่ม 'เหล้าขาว' แทน

 
2 ก.ย. 2560 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่านายสุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมออกกฎกระทรวงว่าด้วยภาษีสรรพสามิต เพื่อกำหนดอัตราภาษีสุราและยาสูบ ที่จะมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2560 นี้ว่า เรื่องนี้เริ่มจากการที่กระทรวงคลังได้แก้ไขกฎหมายใหม่ของกรมสรรพสามิต เปลี่ยนจากการคำนวณภาษีจากราคาต้นทุนไปเป็นอัตราขายปลีก ซึ่งอัตราขายปลีกจะทำให้จัดเก็บภาษีได้สูงกว่า และจะสะท้อนการขายจริง ซึ่งวัตถุประสงค์ก็คงเพื่อจะปรับอะไรบางอย่างที่ไม่เสมอภาคกันของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิด 
 
ส่วนกรณีที่มีการกำหนดเพดานภาษีของสุราหรือเหล้าที่ต่ำกว่าเบียร์นั้น นายสุปรีดา กล่าวว่า คงกล่าวไม่ได้ว่าเก็บอะไรสูงกว่ากัน เพราะเป็นการคำนวณจากเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์หรือดีกรีที่ต่างกัน โดยที่ผ่านมาเบียร์มักจะถูกเก็บตามราคาขาย เหล้ามักจะเก็บตามอัตราแอลกอฮอล์ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เพดานภาษีใหม่จะส่งผลต่อราคาขายของเหล้าและเบียร์ที่อาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก และจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค เช่น สุราพื้นบ้านทหรือเหล้าขาวเก็บต่ำกว่าเบียร์ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน หรือเมื่อเทียบดีกรีแล้ว ผู้ดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจจะหันไปบริโภคสุราหรือเหล้าขาวมากกว่าเบียร์ที่มีดีกรีน้อยกว่า
 
"ระยะหลังจำนวนผู้ดื่มสุรายังมีฐานเท่าเดิมอยู่ แต่ก็มีบางส่วนที่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากเหล้าขาวมาเป็นเบียร์มากขึ้น แต่การกำหนดอัตราภาษีใหม่ ที่เบียร์จะถูกจัดเก็บภาษีมากกว่าเหล้าขาว ทำให้ราคาต่อดีกรีจะต่างกันมาก จนอาจมีส่วนจูงใจให้กลับมาบริโภคเหล้าขาวมากขึ้น" นายสุปรีดา กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์สอนเนื้อแท้วิถีประชาธิปไตย คือทุกคนมีเหตุผล-รับฟังความเห็นต่าง

Posted: 02 Sep 2017 01:33 AM PDT

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบฯ

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ถึงแนวคิดเรื่อง ศาสตร์พระราชา และ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ว่าสำหรับ ศาสตร์พระราชา ในเรื่องต่าง ๆ นั้น เราควรค้นหาแก่นแท้หรือความหมายที่แท้จริงให้พบ เพื่อจะนำไปปฏิบัติ หรือสั่งสอนลูกหลานได้อย่างถูกต้อง ตนเคยพูดกับพี่น้องประชาชน และพี่น้องข้าราชการ อยู่เสมอ ๆ ว่า พวกเราอาจจะรู้ว่าโดยหลักการแล้ว หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร แต่เราจะเข้าใจหรือไม่ ก็ต้องดูว่า ใครสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือการประกอบอาชีพและได้ผลเป็นเช่นไร และก็เหมือนกับที่ตนเพียรบอกพี่น้องกับสื่อมวลชนว่า การนำเสนอข่าวของรัฐบาลนั้น ไม่ควรเสนอข่าวในลักษณะประชาสัมพันธ์ด้วยการออกอากาศภาพปราศรัย ตัดริบบิ้น กดปุ่ม หรือ ถ่ายรูปหมู่แต่เพียงอย่งเดียว ซึ่งอาจจะเป็นเพียง กระพี้ หรือเป็นเพียง เปลือกนอก แต่อยากขอให้นำเสนอ สาระ แก่นสารของงานดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นสาธารณะประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น หลักการและเหตุผล แนวคิด และวิธีการในการปฏิบัติเหล่านั้น

"ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การเข้าแถว ที่คนส่วนใหญ่ มักจะพูดถึงความสำคัญ จำเป็น ในแง่ของความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือความมีวินัย แต่ในความเป็นจริงแล้วการเข้าแถว สอนอะไรอีกหลายอย่าง เช่น การรู้จักรอคอย ไม่ใจร้อน ไม่แก่งแย่ง หรือหาทางเอาเปรียบผู้อื่น หรือถืออภิสิทธิ์ ทุกคนเท่าเทียมกัน การไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ซึ่งเป็นการรักษาสิทธิส่วนบุคคลด้วย การเคารพกติกาสังคม ที่จะนำไปสู่การเคร่งครัดปฏิบัติตนในกรอบของกฎหมาย รวมทั้งไม่ยอมให้ใครละเมิดกฎหมายด้วยถือว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย เป็นต้น ที่กล่าวมานั้น ผมอยากจะสรุปว่าการเข้าแถวเป็นพื้นฐานหนึ่ง ที่สำคัญมากนะครับ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหากเราต้องการให้ดอกไม้แห่งประชาธิปไตยของเราเบ่งบาน งดงาม ในอนาคต เราต้องปลูกฝัง จิตสำนึกเหล่านี้ ด้วยการให้เหตุและผล อย่างลึกซึ้งแก่ลูกหลานไทย ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน แล้วเยาวชนของชาติ ทุกคน ก็จะเป็นผู้ที่มีเหตุผล และพร้อมที่จะรับฟังความเห็นต่าง หรือเหตุผลของผู้อื่น อันเป็นวิถีทางของประชาธิปไตย โดยเนื้อแท้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยผลสำรวจคน กทม. 52% คิดว่า 'ยิ่งลักษณ์' จะขอลี้ภัยในต่างประเทศ

Posted: 02 Sep 2017 12:48 AM PDT

บ้านสมเด็จโพลล์เผยผลสำรวจคน กทม. 1,222 คน พบ 52% คิดว่า 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' จะขอลี้ภัยในต่างประเทศ 57.9% อยากให้กลับมาฟังคำพิพากษา และ 59.1 ชี้เจ้าหน้าที่รัฐบกพร่องที่ปล่อยให้หนีไปได้

 
 
2 ก.ย. 2560 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการหลบหนีไม่ฟังคำพิพากษาศาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่ อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,222 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 29 - 31 สิงหาคม 2560 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คน ต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่าผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อเหตุการณ์การหลบหนีไม่ฟังคำพิพากษาศาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากทนายความ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีโครงการรับจำนำข้าว ได้ยื่นเรื่องต่อศาลว่า จำเลยไม่สามารถเดินทางมาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ โดยอ้างเหตุผลว่า ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการหลบหนีไม่ฟังคำพิพากษาศาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีออกไปจากประเทศไทย ร้อยละ 59.8 รองลงคือ ไม่ ร้อยละ 20.6 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 19.6 และคิดว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบกพร่องในกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีออกไปจากประเทศไทย ร้อยละ 59.1 รองลงคือ ไม่ ร้อยละ 20.8 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 20.1
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการหลบหนีไม่ฟังคำพิพากษาศาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้คำแนะนำ ร้อยละ 57.4 รองลงคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 23.6 และ ไม่ ร้อยละ 19.0 และคิดว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะขอลี้ภัยในต่างประเทศ ร้อยละ 52.0 รองลงคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 30.3 และ ไม่ ร้อยละ 17.7
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงว่าทำไมหลบหนีไม่ฟังคำพิพากษาศาล ร้อยละ 63.0 รองลงคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 19.4 และ ไม่ ร้อยละ 17.6 และอยากให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเพื่อรับฟังคำพิพากษาศาล ร้อยละ 57.9 รองลงคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 21.4 และ ไม่ ร้อยละ 20.7
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 27 ส.ค.-2 ก.ย. 2560

Posted: 02 Sep 2017 12:27 AM PDT

ก.แรงงานเตือนแรงงานลาวรีบต่อบัตรสีชมพู

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการตรวจสอบข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน พบว่า แรงงานลาวที่ถือบัตรชมพูมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งบัตรจะหมดอายุในวันที่ 1 พ.ย.2560 และกลุ่มแรงงานทั่วไป บัตรหมดอายุวันที่ 31 มี.ค. 2561

นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า แรงงานลาวทั้ง 2 กลุ่มนี้จะต้องเข้ารับการปรับสถานภาพเพื่อรับเอกสารรับรองบุคคล และ Work Permit Card ของทางการลาวให้แล้วเสร็จ ก่อนบัตรหมดอายุ

โดยทางการลาวกำหนดเดินทางมาปรับสถานภาพแรงงานในประเทศไทยที่ศูนย์การค้าไอทีสแควร์ หลักสี่ กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2560 ถึงวันที่ 15 มี.ค.2561

โดยจะหยุดให้บริการวันอาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ตามราชการไทยและวันชาติลาว ในวันที่ 2 ธ.ค.2560 เท่านั้น จึงขอให้แรงงานลาว โดยเฉพาะกลุ่มประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำ รีบไปดำเนินการปรับสถานภาพให้แล้วเสร็จก่อนบัตรหมดอายุคือวันที่ 1 พ.ย.560

นายวรานนท์ ได้ย้ำว่า ศูนย์ปรับสถานภาพแรงงานลาวที่จัดตั้งในครั้งนี้ให้บริการเฉพาะกลุ่มที่ถือบัตรสีชมพู 2 กลุ่มเท่านั้นคือกลุ่มประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำกับกลุ่มแรงงานทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องมาดำเนินการปรับสถานภาพตามวันเวลาที่กำหนดหากไม่ได้ดำเนินการใดๆ จะต้องกลับประเทศ และกลับมาทำงานใหม่ในรูปแบบ MOU สอบถามรายละเอียดและติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทรศัพท์ไปที่ สายด่วน 1694

ที่มา: TNN, 27/8/2560

กลุ่มแอร์ขาดแรงงานฝีมือ กระทบส่งออก 1.8 แสนล้าน

นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การส่งออกเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นในปี 2560 ตั้งเป้าขยายตัวอยู่ที่ 5-7% มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 180,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนการทำตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 85-90% ขณะที่ตลาดภายในประเทศอยู่ที่ 10% ทั้งนี้ การส่งออกในปี 2561 ตั้งเป้าหมายเทียบเท่าปีนี้ โดยตลาดสำคัญอยู่ที่สหภาพยุโรป (อียู) ตะวันออกกลาง และ CLMV

"ตลาดส่งออกเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นมีการแข่งขันรุนแรง เรามีคู่แข่งสำคัญ คือ จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 รองลงมาคือ ไทย โดยจีนเน้นตลาดสินค้าราคาถูก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่กังวลมาก เรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญต่อการนำเข้า ส่งออก รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้า มีผลต่อการนำเข้าสินค้า เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้พึ่งพิงการส่งออกถึง 90%"

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานฝีมือในกลุ่ม ช่างเครื่องปรับอากาศ ที่ยังขาดมาตรฐานที่ดี และส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกจึงได้หารือร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานจัดทำร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับช่างเครื่องปรับอากาศ ขึ้น คาดว่าจะประกาศใช้ได้กลางปี 2562 ทั้งนี้ หากมีการบังคับใช้เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมนี้มีมาตรฐานแรงงานที่ดีขึ้น แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือได้ นอกจากนี้ ได้ร่วมกับกรมโรงงานฯ กระทรวงอุตสาหกรรม ในการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพ โดยการใช้นวัตกรรมใหม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับลดลงของสารบางตัวใน การทำความเย็นที่ทำลายสิ่งแวดล้อม การให้ความสำคัญด้านโอโซน เป็นต้น

นายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในภาพรวมปี 2560 ตั้งเป้าที่ 3% มูลค่า 22,735 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ ฯ ทั้งนี้ สินค้าไทยมีจุดแข็งเรื่องคุณภาพ แต่มีข้อกังวลคือการแข่งขันที่รุนแรงด้านราคา และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในระหว่างวันที่ 7-10 กันยายน 2560 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับ ส.อ.ท. กรมโรงงานอุตสาหกรรมจัดงาน Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 ขึ้นที่ไบเทค บางนา โชว์นวัตกรรมสินค้าเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำความเย็น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสิ่งแวดล้อม

ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล 4.0 คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน 10,000 ราย มีผู้ร่วมแสดงสินค้า 330 บริษัท คาดว่าจะเกิดมูลค่าการค้า2,400 ล้านบาท

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 28/8/2560

ห่วง พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวฯกระทบแรงงานในบ้าน

พบว่าถึงแม้จะมี กม.คุ้มครองแรงงาน แต่พวกเธอเหล่านี้ยังคงพบการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมต่อแรงงานต่างด้าว รวมไปถึงการทำงานที่ไม่มีระยะเวลาที่จำกัด และการไม่สามารถขอลาออกจากนายจ้างได้

"ลูกจ้างทำงานบ้าน" ตามนิยามของ สัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หมายถึง หญิงหรือชายที่ทำงานในบ้านหรือรอบๆบ้านตามที่ได้รับมอบหมาย โดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทนปัจจุบันลูกจ้างทำงานบ้านทุกคนในประเทศไทยจะได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น ตามกฎหมายกระทรวงแรงงาน ฉบับที่ 14 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2555

เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ให้ความเห็นว่า แม้ว่ารัฐบาลจะมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างชาติพุทธศักราช 2560 เพื่อจัดการการทำงานของคนต่างด้าวแล้วก็ตามแต่ พรก.ฉบับดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นการควบคุมมากกว่าการเพิ่มสิทธิของแรงงานต่างด้าว

ปัจจุบันการดำเนินการอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารแสดงตน อยู่ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้างและลูกจ้างโดยมีระยะเวลาจนถึงวันที่ 6 กันยายน 2560 นี้

ทั้งนี้ หลังจากลูกจ้างได้จดทะเบียนขึ้นเป็นรายงานถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ในกรณีของลูกจ้าง ที่ทำงานบ้าน มีสิทธิ์ในการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน กรณีนายจ้างฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 14 พุทธศักราช 2555 เกี่ยวกับสิทธิที่เป็นตัวเงิน เช่นการไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าการทำงานในวันหยุดเป็นต้น ซึ่งหากนายจ้างฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ก็จะมีโทษตั้งแต่ ปรับไม่เกิน 5000 บาท ถึงจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: TNN, 28/8/2560

ขสมก. จ่อปลดกระเป๋า 2 พันคนในปี'62 จ้างออกคนละ 1 ล้าน

นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมเกี่ยวกับแผนการจัดการบริหารหนี้สินขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ว่า ขสมก. ได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่ง ณ เดือนม.ค. 2560 มียอดรวมทั้งสิ้น 103,598.543 ล้านบาท

ทั้งนี้ ขสมก. นำเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหานี้ออกเป็น3แนวทาง ประกอบด้วย 1. ให้รัฐรับภาระหนี้สิ้นทั้งหมด 103,598.543 ล้านบาท 2. ให้รัฐรับภาระเฉพาะหนี้สินที่เกิดมาจากนโยบายภาครัฐ วงเงินรวมทั้งสิ้น 84,898.651 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็นงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (PSO) หรือเงินที่เกิดจากการตรึงราคาค่าโดยสารอัตราที่ต่ำกว่าต้นทุนตามนโยบายของรัฐบาล เฉลี่ยคันละ3,000 บาท/ วัน และบริการรถเมล์ฟรี เฉลี่ยคันละ 10,000 บาท/วัน ซึ่งมีจำนวน800 คัน/ปี และส่วนที่เหลืออีก 18,699.892 ล้านบาท ขสมก.จะรับภาระเอง 3. ให้รัฐรับภาระPSO ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันขสมก. มีต้นทุนสูงกว่ารายได้ โดยรัฐจะต้องรับภาระรวม 55,798.089 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 47,800.453 ล้านบาท ขสมก. จะเป็นผู้รับภาระ

นายพิชิตกล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นว่าแผนฟื้นฟูที่ ขสมก. นำเสนอยังขาดความชัดเจนเรื่องแนวทางแก้ปัญหาการขาดทุนที่ชัดเจน จึงขอให้ขสมก.กลับไปจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้ครบถ้วนก่อน ที่จะนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ รวมทั้งให้ไปหาข้อสรุปเรื่องตัวเลขต้นทุนการเดินรถมาตรฐานให้ชัดเจนก่อน เนื่องจากขสมก.จะต้องนำต้นทุนดังกล่าวมาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวนวงเงินอุดหนุนที่จะนำไปใช้ในแผนไขปันหาหนี้สินขสมก.ในอนาคต นอกจากนี้ ยังขอให้ขสมก. ปรับแก้แผนฟื้นฟูให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ภายในองค์กรซึ่งจะต้องมีการรวมแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นภายในองค์กรเข้าไปด้วย

"ขสมก. จะต้องกลับไปทบทวนแผนฟื้นฟูใหม่ให้ชัดเจน เพราะแผนเดิมมีแค่หลักการ ยังไม่มีแผนปฏิบัติการหรือแอกชั่นแพลนที่ชัดเจน และต้องไปปรับให้แผน ฟื้นฟูเชื่อมโยงกับ แผนยุทธศาสตร์ภายในด้วย เพราะที่ประชุมต้องการเห็นความชัดเจนเรื่องของรายได้ในอนาคตของขสมก. ที่จะต้องแข่งขันกับเอกชนเต็มตัวหลังจากที่ปรับบทบาทใหม่ ต้องมีแผนแก้ไขปัญหาขาดทุนว่าจะทำอย่างไรบ้าง จะจัดการกับหนี้ 1.03 หมื่นล้านบาทอย่างไร โดยจะต้องนำผลสรุปเสนอที่ประชุมอีกครั้งภายใน2 เดือน โดยขสมก. จะต้องเลือกเลยว่า อยากได้แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ แบบไหน ตามแนวทางที่ 1, 2 หรือ 3 ซึ่งบอร์ด ขสมก. จะต้องเป็นคนเลือก จากนั้นกระทรวงจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะเห็นชอบตามนั้นหรือไม่"

นายพิชิตกล่าวถึงภาระหนี้ภาพรวมของขสมก. 103,598.543 ล้านบาท ว่า ปัจจุบันขสมก. มีภาระขาดทุนเฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านบาท ซึ่งตามแผนฟื้นฟูที่ขสมก. นำเสนอตั้งเป้าที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายใน 2 ส่วนคือ ลดภาระค่ามใช้จ่ายหนี้ดอกเบี้ยจ่าย 3,000 ล้านบาท ลดภาระค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงและเชื้อเพลิง 2,000 ล้านบาท โดยระบุว่าหากสามารถลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงและเชื้อเพลิงลงได้ จะลดภาระขาดทุนได้มาก และหากลดต้นทุนด้านบุคคลกรได้เพิ่มเติมอีกจะทำให้ ขสมก. เริ่มมีกระแสเงินสดที่เป็นบวก

นายยุกต์ จารุภูมิ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหาร รักษาการในตำแหน่งผอ. ขสมก.กล่าวถึงแนวทางการ ลดต้นทุนด้านบุคคลกรว่า ปัจจุบัน ขสมก.มีบุคคลกร รวม 12,900 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร ซึ่งปัจจุบัน มีสัดส่วนพนักงานเก็บค่าโดยสาร 4.8 คน/คัน ถือว่าสูงมาก จะต้องปรับลดให้เหลือ 2.4 คน/คัน

ซึ่งตามแผนฟื้นฟูตั้งเป้าที่จะต้องปรับลดพนักงานเก็บค่าโดยสารรวม 2000 คัน ในปี 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับระบบตั๋ว โดย ขสมก. เตรียมที่จะเสนขอจัดสรรงบประมาณปี 2561 วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเออร์รี่พนักงานเก็บค่าโดยสารจำนวน 2,000 คน หรือเฉลี่ยคนละ 1 ล้านบาทแล้ว เบื้องต้นทราบว่ามีพนักงานจำนวนมากที่แสดงความสมัครใจพร้อมเข้าร่วมโครงการ

ที่มา: ข่าวสด, 28/8/2560

'แอร์การบินไทย' ร้องถูกเลิกจ้างเยียวยาไม่เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่กระทรวงแรงงาน นางสุธิดา สังขพงศ์ อดีตพนักงานต้อนรับสายการบินไทย (แอร์โฮสเตส) พร้อมทนายความส่วนตัว ได้เดินทางมาร้องเรียนนายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หลังปฏิบัติหน้าที่ให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องบินและเครื่องบินเกิดเกิดตกหลุมอากาศอย่างแรงทำให้กระดูกสันหลังหัก รักษา ตัว 8 เดือน ก่อนถูกเลิกจ้าง

นางสุธิดา กล่าวว่า เนื่องจากวันที่ 5 ต.ค. 2557 ตนเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทย เที่ยวบินจาก จ.ขอนแก่นมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลา 40 นาที ในช่วงที่เครื่องใกล้ลงซึ่งตามปกติทุกคนต้องประจำที่นั่งและรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย ตนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วแต่มองเห็นว่าพนักงานคนอื่น ซึ่งเป็นน้องใหม่ ประสบการณ์บินยังไม่มาก ยังทำหน้าที่ตัวเองไม่เสร็จ ยังเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ผู้โดยสายช่วงกลางเครื่อง ตนประเมินแล้วว่าไม่น่าจะเสร็จทันจึงเข้าไปช่วยทำ โดยรถเข็นน้ำเข้าไปยังจุดที่เก็บแล้วแต่เพียงระยะเวลาไม่นานเครื่องก็ตกหลุมอากาศอย่างแรงถึง 2 ครั้ง ทำให้ตนหลังกระแทก พนักงานคนอื่นๆ ต่างก็ล้มหมด เมื่อตรวจแล้วพบว่าตนกระดูกสันหลังหักต้องนอนรักษาตัวที่รพ.นาน 2 สัปดาห์ และกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีก 8 เดือน แพทย์สั่งห้ามยกของหนักเกิน 5 กิโลกรัม ขนาดลูกยังอุ้มไม่ได้ และแพทย์ยังบอกด้วยว่าอนาคตจะต้องมีปัญหาเรื่องกระดูกทับเส้นประสาทแน่นอน

นางสุธิดา กล่าวว่า หลังพักรักษาตัวแล้วกลับมาทำงาน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่กลับทำงานอยู่ 4 เดือน แม้ว่าจะเป็นสายการบินสั้นๆ ภายในประเทศตนก็มีความลำบากในการทำงาน จึงได้แจ้งขอเปลี่ยนมาทำงานที่เหมาะสมแต่ปัญหาคือไม่สามารถนั่งได้นาน เมื่อกลับไปพบแพทย์อีกครั้งก็ได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนอาชีพ ขณะเดียวกันแพทย์จากสถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศก็ลงความเห็นว่าสภาพจิตใจไม่พร้อมปฏิบัติงานเพราะยังมีความกลัวเมื่อเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กัน ทั้งนี้ ต่อมาทางสายการบินก็ได้เลิกจ้างตนโดยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน เป็นเงิน 21,380 บาท ค่าชดเชยการเลิกจ้าง 10 เดือน เป็นเงิน 213,800 บาท และจ่ายเงินแทนการสูญเสียมรรถภาพร่างกาย 240,000 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในภายภาคหน้า

"การยกเลิกการทำงานโดยอ้างเหตุความไม่สมบูรณ์ของร่างกายของดิฉัน ซึ่งก็มาจากการทุ่มเททำงานให้กับสายการบิน เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับเพื่อนร่วมงานและผู้โดยสาร แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายให้ตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง" นางสุธิดา กล่าว และว่า ทางสายการบินไม่ได้มีการทำประกันอุบัติเหตุให้กับลูกเรือเลย ในขณะที่ทำประกันอุบัติเหตุให้กับนักบิน ซึ่งเรื่องนี้ก็อยากให้เห็นความสำคัญด้วยเพราะเราทำงานในพื้นที่เดียวกัน อยู่ในสภาพงานแบบเดียวกัน มีความเสี่ยงแบบเดียวกัน

ด้านทนายความส่วนตัวนางสุธิดา กล่าวว่า การคำนวณเงินต่างๆ ใช้เพียงฐานเงินเดือน 20,000 บาทเท่านั้น ไม่ได้คิดตามรายได้จริงที่ควรได้รับ ซึ่งจะอยู่ที่เดือนละ 70,000 บาท รวมเป็นเงินที่ไม่เพียงพอต่อการทำอาชีพอื่น ในขณะที่สภาพร่างกายก็ไม่สามารถทำอาชีพได้อีก ซึ่งจากการคำนวณโดยใช้รายได้ปัจจุบันคูณกับระยะเวลาการทำงานที่เหลือก่อนเกษียณอีก 19 ปีถือว่าเป็นจำนวนมากอยู่

ด้านนายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่าตนจะมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย เชิญสายการบินมาหารือถึงเรื่องดังกล่าวและพิจารณาและเร่งรัดการพิจารณาให้ โดยเฉพาะเรื่องของการทำประกันอุบัติเหตุที่ควรจะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตัวเลขผู้ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานในภาพรวมนั้นถือว่าลดลงไปมาก แต่มีบางอาชีพที่น่าห่วงเพราะยอดเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตสูงคือก่อสร้าง โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้า เป็นต้น

ที่มา: เดลินิวส์, 28/8/2560

3 รพ.เอกชน ออกจากระบบประกันสังคม เตรียมย้ายผู้ประกันตนกว่า 3 แสนคน

นายแพทย์สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยกรณี 3 สถานพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลยันฮี กรุงเทพฯ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี และโรงพยาบาลศรีระยอง จังหวัดระยอง ขอออกจากการเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการในระบบประกันสังคม ในปีหน้า 2561 แต่ผู้ประกันตน ยังไปใช้บริการรักษาพยาบาลตามสิทธิได้ ถึงปลายปีนื้

ทางประกันสังคม ให้เหตุผลการที่โรงพยาบาลออกจากระบบไม่ใช่เพราะขาดสภาพคล่อง แต่เป็นแผนธุรกิจ ของแต่ละโรงพยาบาล เช่น ต้องการเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง หรือมีโรงพยาบาลในเครือรองรับไว้อยู่แล้ว

สำหรับทั้ง 3 โรงพยาบาลมีผู้ประกันตนรวมกว่า 3 แสนคน โดยสำนักงานประกันสังคม มีมาตรการรองรับ จัดสถานพยาบาล ทดแทนให้กับผู้ประกันตน โดยเปิดให้ผู้ประกันตนเลือกโรงพยาบาลได้ใหม่ ภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ หากไม่เลือกภายในกำหนด สำนักงานประกันสังคมจะจัดสถานพยาบาลให้ อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเดิม หรือ เป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สถานที่ทำงานมากที่สุด

ส่วนปัญหาโรงพยาบาลออกนอกระบบประกันสังคม ยอมรับว่าต้องเร่งพูดคุยกันมากขึ้น เพราะมีโรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง ไม่เห็นด้วยกับอัตราการจ่ายเงินรายหัวของสำนักงานประกันสังคม แต่ยืนยันว่าถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมแล้ว และมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งผู้ประกันตนและสถานพยาบาล

ที่มา: ch7.com, 29/8/2560

เลขาฯ ประกันสังคมชี้ให้สิทธิ์ผู้ป่วยรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้ง 3 ระยะ ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ยันคนไข้ไม่ใช่หนูทดลองยา เป็นแนวทางมาตรฐานของประเทศ

วันที่ 28 ส.ค. นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ระยะ 3 ล่ารายชื่อผ่านโซเชียลเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในการเบิกจ่ายยารักษามะเร็งดังกล่าว เพราะกำหนดให้เบิกจ่ายในมะเร็งระยะแรกเท่านั้นว่า ในการเจ็บป่วยทุกครั้ง ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบจะได้รับการรักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจนสิ้นสุดการรักษา ยืนยันว่าผู้ป่วยรายดังกล่าวก็ไม่ต้องจ่ายเงินรักษาเพิ่มแต่อย่างใด ซึ่งเกณฑ์ในการจ่ายยาอิมาตินิบเพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะแรกเป็นแนวทางมาตรฐานของประเทศ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและโลหิตวิทยา ร่วมกับราชวิทยาลัยฯ ร่วมกันกำหนด ไม่ใช่ สปส.กำหนด ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสิทธิ์ใดทั้งประกันสังคม บัตรทอง หรือสวัสดิการข้าราชการ ก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันทั้งหมด

"ทั้งนี้ จากการประชุมของผู้เชี่ยวชาญในการทบทวนการรักษาหลายๆ โรค รวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบมัยอีลอยด์ เมื่อวันที่ 6 ส.ค. มีการยืนยันตามแนวทางเดิมว่ายาอิมาตินิบมีผลดีมากกว่าผลข้างเคียงกับผู้ป่วยระยะแรก แต่ในระยะที่สองและสาม พบว่าผลข้างเคียงมีมากกว่าผลดี เมื่อไม่ได้ผลยังมียาตัวอีก 2 ตัวที่สูงขึ้นไป และสิทธิประกันสังคมก็ครอบคลุมตลอดการรักษาคือ ยานิโลทินิบ และยาดาซาตินิบ ซึ่งอยู่ในบัญชียา จ.2 หากเป็นไปตามข้อบ่งชี้ในการใช้ แพทย์สามารถสั่งใช้ได้ ดังนั้นจึงเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของราคา เพราะยาอีก 2 ตัวมีราคาแพงกว่าตัวแรก ผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเช่นกัน" เลขาธิการ สปส.กล่าว

นพ.สุรเดชกล่าวว่า ข้อบ่งชี้ต่างๆ เพื่อไม่ให้คนไข้เป็นหนูลองยา โดยผู้ป่วยรายนี้ตรวจพบมะเร็งที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า จากนั้นจึงไปรักษากับโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม คือ รพ.สระแก้ว และส่งต่อมายัง รพ.รามาธิบดี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากพิจารณาการรักษาแล้วว่าระยะที่สมควรใช้ก็สั่งจ่ายยาอิมาตินิบได้ แต่ไม่เป็นตามข้อบ่งชี้ รพ.ต้นสังกัดจะไม่สามารถเบิกเงินกับทาง สปส.ได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วย แพทย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ ตนไม่ทราบว่าแพทย์ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยรายนี้อย่างไร ก่อนที่จะมีล่ารายชื่อทางโซเชียล สปส.เคยทำความเข้าใจมาแล้ว 2 ครั้ง

ที่มา: ไทยโพสต์, 29/8/2560

ระวังโดนหลอก! อย่าหลงเชื่อหางานทำต่างประเทศผ่านโซเชียลฯ 7 เดือน ถูกหลอก 317 คน

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันการไปทำงานต่างประเทศยังคงเป็นที่ต้องการของคนหางาน เพราะเชื่อว่าจะสร้างรายได้ดีให้กับคนหางาน ดังนั้นจึงเป็นช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ โดยอ้างว่ามีตำแหน่งงานดี รายได้ดีในต่างประเทศ และสามารถช่วยจัดส่งไปทำงานได้ เห็นได้จากเมื่อช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา กรมการจัดหางานได้รับเรื่องร้องทุกข์จากคนหางานกรณีถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวงถึงจำนวน 317 คน โดยจ่ายเงินให้ไปแล้วแต่ไม่ได้รับการจัดส่งไปทำงาน ซึ่งผู้ถูกหลอกลวงส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ และจากการตรวจสอบพบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผู้ร้องทุกข์ ถูกชักชวนให้ไปทำงานต่างประเทศผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ เป็นต้น โดยผู้ถูกหลอกลวงไม่เคยพบตัวตนที่แท้จริง ไม่ทราบชื่อและนามสกุลของผู้หลอกลวง แต่ยอมโอนเงินให้เพราะเชื่อว่าเป็นงานดี รายได้ดีกว่าทำงานอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จึงกล้าเสี่ยงจ่ายเงินให้ไป แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับการจัดส่งไปทำงานตามสัญญา ทั้งยังติดต่อผู้หลอกลวงไม่ได้อีกด้วย

นายวรานนท์ กล่าวอีกว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือนั้น ขณะนี้ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดตามพ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 195 คน โดยผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 3 ปีไปจนถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 บาทไปจนถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

"จึงขอเตือนคนหางานอย่าหลงเชื่อผู้ชักชวนไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะการสมัครผ่านทางเฟซบุ๊กและไลน์ โดยยอมจ่ายเงินให้ไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ เพราะการเปิดและปิดบัญชีกระทำได้โดยง่าย ซึ่งเมื่อคนหางานโอนเงินให้ไปแล้วก็จะปิดบัญชีหลบหนีไป เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงและเสี่ยงต่อการถูกจับกุมดำเนินคดี ขอให้ไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร.0 2245 6763 หรือสายด่วน 1694" นายวรานนท์ กล่าว

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 30/8/2560

พนักงานการท่าเรือฯ แจ้งความดำเนินคดี ดีเอสไส แถลงข่าวใส่ร้ายโกงค่าล่วงเวลา ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. เวลา 10.30 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความ พร้อม พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วม 80 ราย เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.หญิง วลัญชรัชฎ์ คำแก่น รอง สว. (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.อ.พินิจ ตั้งสกุล ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งแถลงข่าวว่า พนักงานการท่าเรือฯ โกงค่าล่วงเวลา (โอที) เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

นายกฤษฎา เปิดเผยว่า วันนี้มีพนักงานการท่าเรือที่เกษียณอายุและยังทำงานอยู่เดินทางมาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเพราะถูกกล่าวหาทุจริตค่าล่วงเวลา โดยพนักงานท่าเรือเคยได้นำหลักฐานไปฟ้องค่าล่วงเวลาศาลแรงงานกลางเนื่องจากการท่าเรือทำผิดกฎหมาย ซึ่งจริงแล้วตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ต้องเปลี่ยนค่าจ่ายล่วงเวลาจากเหมาจ่ายมาเป็นรายชั่วโมง

นายกฤษฎา กล่าวว่าพนักงานการท่าเรือที่เสียหายไปฟ้องศาลแรงงานกลางให้การท่าเรือจ่ายเงินตามกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งเมื่อปี 56 ศาลแรงงานกลางได้ให้การท่าเรือจ่ายเงินประมาณ 300 ล้านแก่พนักงานการท่าเรือราว 300 คนเพราะเชื่อว่ามีการทำงานจริง ทำให้พนักงานรายอื่นจึงฟ้องร้องเพราะต้องการได้เงินที่ทำงานแลกมากับหยาดเหงื่อ จากนั้น การท่าเรือกลับไปยื่นฟ้องต่อ ดีเอสไอ ว่าพนักงานการท่าเรือทำหลักฐานเท็จ จนกระทั่งส่งเรื่องไป คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

"ขณะนี้ยังมีสำนวนยื่นฟ้องอยู่ที่ศาลแรงงานกลางของพนักงานการท่าเรือฯอีกบางส่วน ซึ่งเป็นเอกสาร 420,000 หน้า นอกจากนี้ การท่าเรือยังจ้างที่ปรึกษาทนายความ วงเงิน 20 ล้านบาท เพื่อมาต่อสู้กับ พนักงานการท่าเรือฯ ซึ่งดูแล้วนำงบประมาณมาใช้ไม่สมเหตุสมผล" นายกฤษฎา กล่าว

นายระวัง อินทร์กล่อม อดีตพนักงานการท่าเรือฯ กล่าวว่า ตนต่อสู้คดีมาตั้งแต่ปี 45 ยื่นเรื่องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทั่งปี 53 ตนกับพวกรวม 29 คนได้เงินจากฟ้องร้องการท่าเรือ จำนวน 24 ล้านบาท ต่อมา พนักงานการท่าเรือรายอื่นฟ้องร้องบ้าง เมื่อปี 56 จึงทำให้ นายกัมปนาท อิ่มแสงจันทร์ พนักงานการท่าเรือมายื่นเรื่องที่ ดีเอสไอ ซึ่งเป็นการส่งหลักฐานเพียงฝั่งเดียว และพนักงานที่เสียหายไม่ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลจึงรู้สึกไม่เป็นธรรมเพราะตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 การท่าเรือฯไม่เคยทำตามกฎหมายฉบับนี้เลย นอกจากนี้ ยังมีการบีบบังคับให้พนักงานท่าเรือถอนฟ้องไปแล้วบางส่วนเนื่องจากกลัวโดนดำเนินคดีตามกฎหมาย

ที่มา: โพสต์ทูเดย์, 30/8/2560

สหภาพฯ ขสมก.ร้องบอร์ดขอเงินสมทบกองทุนฯเพิ่ม

นายวีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการบริหารกิจการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่าสหภาพฯได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาขสมก. และจัดสวัสดิการให้พนักงานเพิ่มเติมโดยเสนอให้จ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้พนักงานในอัตรา 12% สำหรับพนักงานที่มีอายุงานต่ำกว่า 20 ปี และในอัตรา 15% สำหรับพนักงานที่มีอายุงาน 20 ปีขึ้นไป, ขอให้เปิดโอกาสให้ พนักงานที่เจ็บป่วยจากการปฏิบัติหน้าที่เข้าโครงการเกษียณอายุ, แก้ไขปัญหาหนี้สินพนักงาน แก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในองค์กร รวมถึงให้สหภาพฯ เข้าไปมีส่วนร่วมกับการประชุมผู้บริหารขสมก

สำหรับกรณีที่ ขสมก.เตรียมขอจัดสรรงบประมาณ 2,000 ล้านบาท จากกระทรวงการคลังเพื่อใช้ในโครงการเกษียณก่อนกำหนดในส่วนของพนักงานเก็บค่าโดยสาร 2,000 คนนั้น สหภาพฯ มองว่ายังต้องใช้เวลาพิจารณา 1-2 ปี ถึงแม้ว่าจะนำระบบ E-Ticket เข้ามาใช้แต่ระยะแรกยังต้องมีพนักงานเก็บค่าโดยสารไว้เพื่ออำนวยความสะดวก อีกทั้งมองว่างบประมาณดังกล่าวมากเกินไปจึงขอให้ทบทวนอีกครั้ง

นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานกรรมการบริหารขสมก.กล่าวว่า โครงการการเกษียณก่อนกำหนดของพนักงานเก็บค่าโดยสารยังคงเป็นแค่เพียงแนวคิดและกรอบประมาณการ ที่ได้วางไว้เบื้องต้นยังต้องใช้เวลาในการกำหนดหลักเกณฑ์ทั้งหมดก่อน แต่จะเสนอเป็นกรอบงบประมาณให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังรับทราบ

ที่มา: แนวหน้า, 30/8/2560

สปส.แจ้งผู้ประกันตน 3 แสนรายในโรงพยาบาลที่ถอนตัวออกจากการให้บริการผู้ป่วยสิทธิประกันสังคม แจ้งเปลี่ยนย้ายโรงพยาบาลใหม่ภายใน 31ต.ค.นี้

ภายหลังจากหลังโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ทยอยถอนตัวออกจากการให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง และสิทธิประกันสังคม ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลถึงความแออัดที่จะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลของรัฐ และอาจกระทบกับประชาชนสิทธิบัตรทอง 250,000 คน และผู้ประกันตนประกันสังคมกว่า 300,000 คน

โดยเรื่องนี้ทางสำนักงานประกันสังคม (สปส.) แจ้งให้ผู้ประกันตนประมาณ 3 แสนคนที่ใช้สิทธิในโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์รัตนาธิเบศร์ , โรงพยาบาลยันฮี และโรงพยาบาลศรีระยอง ให้แจ้งเปลี่ยนโรงพยาบาลแห่งใหม่ภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้ โดยสถานพยาบาลคู่สัญญาสปส.ที่จะให้บริการผู้ประกันตนในปี 2561 มีจำนวน 236 แห่ง เป็นของรัฐ 158 แห่งของเอกชน 78 แห่ง ซึ่งในกรุงเทพมหานครมีของรัฐ 18 แห่ง ที่ยังใช้บริการได้ และสถานพยาบาลของเอกชน อีก 27 แห่ง ส่วนในต่างจังหวัดมีโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนให้บริการผู้ประกันตน รวม 191 แห่ง

ทั้งนี้ ข้อมูลของสำนักงานประกันสังคมในปี 2560 ระบุว่า โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการประกันสังคม มีการจำกัดจำนวนผู้ที่จะใช้สิทธิไว้ในแต่ละโรงพยาบาลบางแห่งมีผู้แจ้งขอใช้สิทธิเต็มจำนวนแล้ว อย่างโรงพยาบาลการุญเวช รัตนาธิเบศร์ , การุญเวช สุขาภิบาล 3 , เกษมราษฎร์ ฉะเชิงเทรา , วิภาราม , มิชชั่น , นวมินทร์ , กล้วยน้ำไท และหัวเฉียว

ส่วนที่มียอดใช้บริการเต็มแล้ว คือโรงพยาบาลแพทย์รังสิต , เปาโล โชคชัย 4 , เกษมราษฎร์ บางแค , นวมินทร์ 9 , ลาดพร้าว , เกษมราษฎร์ประชาชื่น และปทุมเวช

 

ที่มา: TNN24, 30/8/2560 http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=147364&t=news

สปส.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นขยายอายุเกษียณจาก55เป็น60ปี เพื่อนำข้อเสนอไปปรับปรุงให้เหมาะสม

การประชุมรับฟังความเห็นการปฏิรูประบบบำนาญประกันสังคม จัดโดยสำนักงานประกันสังคม เรื่องประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

โดยนายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์ว่า เห็นด้วยกับการขยายอายุเกษียณ จาก 55 เป็น 60 ปี แต่ควรปรับแก้กฎหมายให้ชัดเจน เนื่องจากมองว่าแรงงานปัจจุบันมีสุขภาพแข็งแรงและศักยภาพเพียงพอ ที่จะทำงานต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี ขณะเดียวกันเห็นด้วยกับการขยายเพดานเงินเดือนที่ใช้ในการคำนวนยอดสมทบบำนาญชราภาพ เพื่อให้เงินบำนาญของผู้ประกันตนมากขึ้นตามสัดส่วน เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในวัยหลังเกษียณในอนาคต

ด้านนางสาวอำพันธ์ ธุววิทย์ ผู้ตรวจราชการกรมสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า เวทีรับฟังความเห็นวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพียงพอในอนาคตโดยไม่เป็นภาระให้กับคนรุ่นหลัง ทั้งนี้ในเวทีจะมีการเสนอแนวทางการปฏิรูปการขยายอายุการเกิดสิทธิรับบำนาญชราภาพ 4 แนวทาง ให้ผู้ประกันตนได้รับทราบ รวมถึงแนวทางการปรับสูตรค่าจ้างเฉลี่ยในการคำนวณบำนาญชราภาพ

ทั้งนี้ การจัดเวทีรับฟังความเห็นในส่วนภูมิภาคจำนวน 10 ครั้ง และจัดเวทีครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นเวทีสุดท้าย ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ เพื่อนำความเห็น ของผู้ร่วมประชุมทั่วประเทศ เข้าเสนอคณะอนุกรรมการสิทธิประโยชน์และสำนักงานประกันสังคมจะนำมาสรุปวิเคราะห์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิรูประบบบำนาญชราภาพให้มีความเหมาะสมต่อไป

ที่มา: TNN24, 31/8/2560

อ้างชื่อกระทรวงแรงงาน หลอกเด็กสมัครเรียนทำงานเรือสำราญ

นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับเบาะแสว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพโพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook และ Line ชักชวนคนหางานและสมาชิกที่เป็นบุคลากรทางการศึกษาให้ส่งบุตรหลานที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 – ปริญญาตรี อายุระหว่าง 21-33 ปี เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการทำงานบริการบนเรือสำราญในต่างประเทศ เป็นเวลา 6 เดือนกับโรงเรียนเอกชนในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ เช่น ตรัง สงขลา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช นครราชสีมา กำแพงเพชร เป็นต้น โดยอ้างว่าอยู่ในความควบคุมของกระทรวงแรงงาน และเมื่อเรียนจบแล้วจะได้รับการบรรจุเข้าทำงานบนเรือสำราญ มีรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 34,000 - 70,000 บาทต่อเดือน ไม่รวมทิป ซึ่งจะเก็บค่าสมัครเบื้องต้น 1,000 บาท ค่าชุดยูนิฟอร์ม 8,000 บาท โดยก่อนเข้าอบรมต้องจ่าย 20,000 บาท ระหว่างเรียน 10,000 บาท และก่อนเรียนจบอีก 20,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 59,000 บาท โดยจะจัดหาที่พักให้ฟรีในระหว่างเรียน ซึ่งหากผู้ใดสนใจให้สมัครได้ตามสถานที่ต่างๆ ที่กำหนด

โรงเรียนที่ฝึกสอนหลักสูตรการทำงานบริการบนเรือสำราญในต่างประเทศดังกล่าวไม่ได้อยู่ในความควบคุมของกระทรวงแรงงานแต่อย่างใด และจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้เรียนต้องจ่ายลค่าที่พักเอง โดยโรงเรียนจะฝึกอบรมความรู้และทักษะการทำงานบนเรือสำราญให้เท่านั้น แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดส่งผู้เรียนไปทำงานบนเรือสำราญในต่างประเทศได้ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากผู้เรียนประสงค์จะทำงานต้องไปติดต่อหาสมัครงานเอง ซึ่งไม่มีใครรับรองว่าจะได้งานทำหรือไม่ ดังนั้นจึงขอฝากเตือนพี่น้องประชาชน ขอให้ตรวจสอบและพิจารณาให้รอบคอบว่าการฝึกอบรมดังกล่าวคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปหรือไม่เพียงใด สอบถามข้อมูลหรือแจ้งเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd หรือโทร. 0 2245 6763 หรือสายด่วน 1694

ที่มา: VoiceTV, 2/9/2560

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จิตร ภูมิศักดิ์ ในโลกของกลุ่มละคร Splashing Theater

Posted: 01 Sep 2017 11:21 PM PDT

Splashing Theater กลุ่มละครโรงเล็กวัยรุ่นเลือดใหม่ที่นำเอากลิ่นอายของไซไฟ อนิเมะญี่ปุ่น และสื่อวิดีโอมาใช้ได้อย่างกลมกลืน กับละครเรื่องล่าสุด Teenage Wasteland : Summer, Star and the (Lost) Chrysanthemum ละครที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก จิตร ภูมิศักดิ์

 

โปสเตอร์จากละครเรื่อง Teenage Wasteland : Summer, Star and the (Lost) Chrysanthemum

จิตร ภูมิศักดิ์

เขาคือใครนะ?

เราคงคุ้นกับภาพถ่ายขาวดำของชายใส่แว่นกรอบใหญ่หน้าตาจริงจัง เลาๆ ว่าเขาเขียนหนังสือเรื่อง 'โฉมหน้าศักดินาไทย' เขาเป็นคนแต่งเพลง 'แสงดาวแห่งศรัทธา' เขาเป็นนักคิด นักเขียน นักกวี นักภาษา นักปฏิวัติ กล้าคิดกล้าทำแหวกขนบสมัยนั้น และยึดมั่นในอุดมการณ์

เขาเคยถูกจับโยนบก เมื่อครั้งที่เขาเป็นสาราณียากร ให้กับหนังสือประจำปี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะลงบทความสะท้อนปัญหาสังคม ประณามผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคมซึ่งรวมถึงรัฐบาลด้วย รวมทั้งชี้ให้เห็นค่านิยมอันไม่ถูกต้องซึ่งผู้คนนับถือกันมานาน บทความเหล่านั้นมีทั้งที่จิตรเขียนเอง ร่วมแก้ไข หรือเพื่อน ๆ คนอื่นเขียน ผลก็คือระหว่างการพิมพ์หนังสือได้ถูกตำรวจสันติบาลอายัด และมีการ "สอบสวน" ที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย*

จิตรคือใคร?

คือเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ คือเด็กหนุ่มผู้เกลียดชังพ่อของตัวเอง ผู้แปลกแยกกับแม่และพี่สาว คือครูหนุ่มผู้มีอุดมการณ์ คือสหายร่วมรบที่เทือกเขาภูพาน คือคอมมิวนิสต์ คือคอลัมน์นิสต์ที่ใช้ชื่อ 'มูฟวี่แมน' คือกวีผู้เปราะบาง คือนักคิดที่ถูกประณามและจดจาร คือตำนานที่ถูกเหล่าขาน

เมื่อใครสักคนหนึ่งเป็นตำนาน นอกจากผลงานแล้ว เขาก็อยู่ไกลเกินไปสำหรับเรา

แต่ Splashing Theater กำลังพยายามพาเราไปรู้จัก ไม่ใช่เพียงแค่ผลงานหรือแนวคิดทางการเมือง แต่ลงลึกถึงบุคลิก ตัวตน อารมณ์ ความคิด ของจิตร ภูมิศักดิ์ ในรูปแบบไม่ธรรมดา แต่เป็นจิตร ภูมิศักดิ์ในแบบที่พวกเขารู้สึกและสัมผัสในแง่มุมละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากไปกว่าแค่การเป็นนักอุดมการณ์ผู้หนักแน่น

Splashing Theater

Splashing Theater เริ่มมาจาการรวมตัวกันในชุมนุมศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มละครโรงเล็กวัยรุ่นเลือดใหม่ที่นำเอากลิ่นอายของไซไฟ อนิเมะญี่ปุ่น และสื่อผสมอย่างวิดีโอมาใช้ได้อย่างกลมกลืน การันตีโดยรางวัลจำนวนไม่น้อย

พวกเขาเริ่มต้นด้วยละครเรื่อง Zone ในปี 2014 ตามด้วย Whaam! A Brief History of Unknown Astronaut ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของนักบินอวกาศผู้ไม่มีใครรู้จัก ในปี 2015 และ The Art of Being Right ในปีเดียวกัน The Disappearance of the Boy on a Sunday Afternoon การหายตัวไปของเด็กชายในบ่ายวันอาทิตย์ ในปี 2016 และในปีนี้ Thou Shalt Sing: A Secondary Killer's Guide to Pull the Trigger จงขับขาน: มือสังหารชั้นรองโปรดร้องก่อนลั่นไก ก่อนจะตามมาด้วยเรื่องล่าสุดที่กำลังทำการแสดง Teenage Wasteland : Summer, Star and the (Lost) Chrysanthemum ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย เฟิร์ส – ธนพนธ์ อัคควทัญญู และ แมค – ธงชัย พิมาพันธุ์ศรี

Splashing Theater ไม่ได้ทำละครที่เน้นการเล่าเรื่องอย่างสมจริง แต่เป็นการเล่าเชิงนามธรรม ความคิด ความรู้สึก โดยใช้รูปแบบการแสดงละครเวที ทั้งการแสดง การเคลื่อนไหวร่างกาย การเต้น การร้อง (ในบางครั้ง) ร่วมกับสื่อผสมอย่างวิดีโอ และเพลงประกอบ - เช่นในเรื่องนี้ ที่มีตั้งแต่เพลงประกอบอนิเมะญี่ปุ่น ไปจนถึงเพลง Lithium ของ Nirvana และเพลงที่แต่งใหม่เพื่อประกอบฉาก

Teenage Wasteland : Summer, Star and the (Lost) Chrysanthemum

จิตร ภูมิศักดิ์ ดูเป็นชื่อที่ห่างไกลจากวัยรุ่นสมัยนี้ - และแน่นอนด้วยวัยเกือบ 25 ปี เฟิร์ส หนึ่งในผู้กำกับและเขียนบทละครเรื่องนี้ก็ยังถือเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาเห็นด้วยที่คนสมัยนี้ดูจะไม่รู้จักจิตร

"อาจจะเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่าเขาทำอะไร จากการที่ได้คุยกับเพื่อนหลาย ๆ คน คนรอบตัวก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่" เฟิร์สบอก

เมื่อเราถามเฟิร์สว่าทำไมต้องเป็นจิตร ภูมิศักดิ์ เขาบอกว่า ที่จริงเป็นเหตุผลส่วนตัวระดับนึง เราอ่านเรื่องเขามาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้วเราประทับใจเขา เราชอบบทกวีเขา ชอบเพลงที่เขาแต่ง เราเริ่มเลือกเขาเป็น subject จากความประทับใจ มันเป็นเรื่องความประทับใจล้วน ๆ เลย เราอยากรู้ว่า ไอเดียหนึ่งอย่าง จะแตกแขนงไปได้ขนาดไหน คนแบบนี้อยู่ในบริบทนี้ จะเป็นยังไง รวมถึงตัวเราเองด้วย (ตัวตนของเฟิร์สเองก็อยู่ในละครนี้ด้วยเช่นกัน)

ใครจะนึกว่า จิตร ภูมิศักดิ์ ในโลกของ Splashing Theater จะทำเป็นละครไซไฟและโลกคู่ขนานที่เกี่ยวข้องกับ จักรวาล อวกาศ กันดั้ม โมบิลสูท ซิงกูลาริตี้ เกมส์สู้มังกร เวทย์มนตร์ที่ทำให้ลืม คืนฤดูร้อน ฐานทัพลับในวัยเด็ก ดอกเบญจมาศ ดอกไม้ไฟ สาวน้อยผู้ลืมว่าตัวเองตายอย่างไร นักศึกษาแหกคอกไม่ทำตาม 'แทรดิชั่น' ทำกิจกรรมทางการเมือง มูฟวี่แมนผู้หมกมุ่นอยู่ในอาณาจักรแห่งเงา โลกคู่ขนานที่ตัวละครเอกใส่แว่นตาและเกลียดพ่อของตัวเอง ฯลฯ

ละครของ Splashing Theater ไม่ใช่ละครที่เน้นเรื่องเล่า แต่คือละครของห้วงความคิด ระลอกแล้วระลอกเล่า ที่ซัดเข้าใส่คนดู เมื่อคุณคาดหวังจะเห็นเรื่องดำเนินไปแบบ 1 2 3 4 เรื่องนี้ไม่มีให้ เพราะมันจะถูกดำเนินเรื่องแบบ 1 A 2 ก B ข 3 หรือบางทีตัวละครจากแต่ละโลกก็มาคุยกันในฉากเดียว หรือเอาเข้าจริงแล้ว ถ้าเปรียบจิตรเป็นระเบิดบิ๊กแบง ทุกตัวละครก็อาจเสมือนดาวที่กำเนิดจากระเบิดนั้น เป็นเศษเสี้ยวของจิตรทั้งตัวตนและความทรงจำที่ฟื้นตื่นและมีชีวิตเป็นของตัวเองในโลกคู่ขนาน ที่เรื่องราวดำเนินไปตามองค์ประกอบและปัจจัยของโลกนั้น

ฟังดูยากจัง

แต่ถ้าคุณปล่อยใจให้เรื่องราวพาคุณไป เห็นตัวละครถกเถียง โต้ตอบ มีปฏิสัมพันธ์ เสมือนภาพจำลองความคิดของผู้คนในสังคมที่แตกต่างหลากหลาย มีความคิดที่ลงรอยกันบ้าง รักกันบ้าง ปฏิเสธกันบ้าง เกลียดกันบ้าง สามัคคีกันบ้าง ไม่ไว้ใจกันบ้าง มีมิตรภาพบ้าง และโดดเดี่ยวอีกบ้าง คุณยิ่งอาจจะมีคำถามในใจ

จิตร ภูมิศักดิ์คือใคร? ในละครเรื่องนี้

ละครเรื่องนี้กำลังพยายามประกอบสร้างจิตร ภูมิศักดิ์ขึ้นมาอีกครั้งในมุมมองของพวกเขาเอง และบางทีตัวตนของพวกเขาก็ปะปนไปกับตัวตนของจิตร จิตรในโลกคู่ขนาน ในแง่มุมที่เราไม่เคยรู้จัก

เขาฝันอยากเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต เขาชอบสูบบุหรี่ - โดยเฉพาะยี่ห้อ ลัคกี้ สไตรค์ มีความรักให้กับลูกศิษย์สาวผู้ต่อมาเป็นสหายเขาที่เทือกเขาภูพานและใช้ชีวิตค่ำคืนสุดท้ายด้วยกันที่นั่นก่อนเธอจะจากเขาไป หรือความจริงเขาอาจเป็นเพียงนักแสดงที่หน้าตาเหมือนจิตร ภูมิศักดิ์ และถูกนักศึกษาผู้หมกมุ่นกับกล้องและม้วนฟิล์มจ้างให้มาแสดงในสารคดีหรือหนังหรือละครเวที หรืออาจไม่ถูกทำเป็นอะไรเลย แต่อยู่ในอาณาจักรแห่งเงาของเขาเท่านั้น

เราไม่รู้ เราไม่รู้จริงๆ หรอกว่าจิตร ภูมิศักดิ์คือใคร มีชีวิตแบบไหน และคงไม่มีวันรู้

เมื่อไม่ได้อยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกับเขา เขาเป็นเพียงบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจแตะต้อง ตัวตนของเขาล่องลอยและโปร่งใสเกินกว่าใครจะมองเห็น เขาคือภาพถ่ายขาวดำใบเก่าภายใต้กรอบแว่นกลมโตนั่น คือภาพจำอย่างเดียวที่เรามี เราลืมเขาไปแล้วแสนนาน และมันไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นเรื่องปกติ 

"การลืมเป็นคำสาปของแม่มดร้าย การลืมเป็นสิ่งปกติสามัญในหมู่บ้านแห่งนี้ และการลืมคือการสะกดจิต" จิตรคนหนึ่งในละครกล่าวไว้แบบนี้

----------------------------------------------------

*ข้อมูลจากวิกิพีเดีย

Teenage Wasteland : Summer, Star and the (Lost) Chrysanthemum ทำการแสดงวันที่ 30 สิงหาคม – 3 กันยายน และ 6-10 กันยายน 2560 เวลา 19.30 น. สถานที่: Creative Industries ชั้น 2 โรงละคร M Theatre

-บัตรราคา 550 บาท

-นักเรียน นักศึกษา 350 บาท

-นักเรียน นักศึกษาที่มาเป็นหมู่คณะ จำนวน 10 คนขึ้นไป 300 บาท / ใบ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่: อีเว้นท์เพจ หรือ เพจ Splashing theatre company

วิธีการจอง
1. แจ้งการจองผ่านหน้า event ละคร, กล่องข้อความของเพจ https://web.facebook.com/Splashingtheatreหรือ โทรศัพท์ 086-830-7060
2. โอนเงิน และแสดงหลักฐานการจองผ่านช่องทางดังกล่าว 
3. แจ้งชื่อ, วันและเวลาที่โอน, รอบที่จอง 
4. เมื่อทีมงานยืนยันการจอง สามารถรับบัตรได้หน้างาน

 

รางวัลที่ได้รับ

Whaam! (A Brief History of Unknown Astronaut) (2015)

- การแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงชาย (Best Performance by a Male Artist) IATC THAILAND DANCE AND THEATRE REVIEW 2015 The Art of Being Right (2015)

- บทการแสดงยอดเยี่ยม (Best Script of a Play, Performance, Musical) Bangkok Theatre Festival Awards 2015 โดยชมรมวิจารณ์ศิลปะการแสดง (IATC)

The Disappearance of the Boy on a Sunday Afternoon (2016)

- ละครเวที (ละครพูด) ยอดเยี่ยม (Best Play)

- บทละครดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Original Script of Play/Performance) IATC THAILAND DANCE AND THEATRE REVIEW 2016

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สรรเสริญ' แจงชาวบ้านร้องเรียน จนท.ตัดน้ำตัดไฟหลังนายกฯ กลับจากตรวจราชการ เพราะเข้าใจคลาดเคลื่อน

Posted: 01 Sep 2017 11:03 PM PDT

'สรรเสริญ แก้วกำเนิด' โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนเจ้าหน้าที่รัฐตัดน้ำตัดไฟหลังนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับจากตรวจราชการ ย้ำเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมลงพื้นที่ชี้แจงข้อมูลวันนี้

 
2 ก.ย. 2560 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่าพลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอข่าวชาวบ้าน หมู่ 14 ตำบลหนองม่วง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนหน้าที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปมอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในเขตที่ของ ส.ป.ก. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560 นั้น ได้มีการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปา แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ เสาไฟฟ้าได้ถูกรื้อถอน และระบบประปาถูกตัดขาด ว่า "เรื่องดังกล่าวอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้ร้องเรียน ซึ่งไม่ถือว่าผิดหรือถูก แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องชี้แจงอธิบายความให้เกิดความกระจ่าง โดยทางจังหวัดสระแก้วได้รายงานว่า ขณะนี้พื้นที่จัดสรรที่ดิน ส.ป.ก. หมู่ 14 ตำบลหนองม่วง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ยังไม่มีการขยายเขตไฟฟ้าและประปาเข้าไปในพื้นที่แต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีประชาชนหรือเกษตรกรตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในบริเวณนั้น กรณีที่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในวันที่นายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอรัญประเทศได้ปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าชั่วคราว พร้อมทั้งนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปติดตั้งสำหรับการใช้งาน ส่วนระบบน้ำที่นำมาใช้เป็นเพียงการต่อท่อลงในแปลงเกษตร เพื่อสาธิตให้เห็นถึงต้นแบบการดำรงชีวิตของเกษตรกรที่เหมาะสมว่าควรเป็นเช่นไร โดยนำน้ำมาจากถังน้ำที่รถบรรทุกขนส่งน้ำไปเติมไว้ก่อนแล้ว ร่วมกับการใช้กระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสูบน้ำไปใช้ในพื้นที่ และเมื่อเสร็จภารกิจเจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนระบบกลับคืน"
 
สำหรับกรณีวัวประชารัฐขาดน้ำกินนั้น สำนักงานปศุสัตว์ จ.สระแก้ว ยืนยันว่า วัวประชารัฐทุกตัวได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งในเรื่องอาหารและน้ำ อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอรัญประเทศ นายอำเภอโคกสูง นายก อบต.หนองม่วง กำนัน ต.หนองม่วง ไปพบชาวบ้าน เกษตรกร และผู้สื่อข่าวในพื้นที่ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด ณ หอประชุมอำเภอโคกสูง พร้อมกับยืนยันว่าหากมีประชาชนปลูกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวและมีเลขที่บ้านแล้ว ก็สามารถยื่นความจำนงขอติดตั้งระบบไฟฟ้าและประปาถาวรได้ตามระเบียบของทางราชการ
 
ท้ายที่สุดต่อเรื่องดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจึงได้กำชับว่า ในโอกาสต่อไป ขอให้เจ้าหน้าที่เตรียมการเท่าที่จำเป็นและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระทบความรู้สึกของประชาชน ก็จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจด้วยความรัดกุม ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติงาน เพราะการทำงานจริงมีการบูรณาการ ของหลายหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นเดียวกันนี้อีก
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร้องหยุดพฤติกรรม 'ผักชีโรยหน้า' การลงพื้นที่สร้างภาพของนายกฯ

Posted: 01 Sep 2017 10:51 PM PDT

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยออกแถลงการณ์ "ขอเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรม 'ผักชีโรยหน้า' ในการลงพื้นที่สร้างภาพของนายกรัฐมนตรี" ระบุหลังนายกฯ กลับจากลงพื้นที่ สปก. เพียงข้ามคืน เสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าถูกรื้อกลับหมด น้ำประปาถูกตัดขาด ร้องหยุด ครม.สัญจรได้แล้วเพราะแต่ละครั้งใช้ทหาร-ตำรวจมาอารักษาถึง 2-3 พันคน สูญเสียงบประมาณ

 
 
 
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมามอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ สปก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2560  ที่มาภาพ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 
 
2 ก.ย. 2560 สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โดยนายศรีสุวรรณ  จรรยา เลขาธิการสมาคมฯ ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรม 'ผักชีโรยหน้า' ในการลงพื้นที่สร้างภาพของนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าตามที่ปรากฏว่ามีชาวบ้านหมู่ 14 ต.หนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ร้องเรียนว่าภายหลังพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมามอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ สปก. เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2560 (อ่านข่าวเพิ่มเติม: นายกรัฐมนตรี มอบหนังสืออนุญาตให้สถาบันเกษตรกรฯ แก้ปัญหาผู้ไร้ที่ดินทำกิน ในพื้นที่ยึดคืนตาม ม.44 จังหวัดสระแก้ว) ที่ผ่านมาโดยจัดสรรให้เกษตรผู้ยากไร้ รายละ 6 ไร่แยกเป็นแปลงที่อยู่อาศัย 1 ไร่ แปลงเกษตรกรรม จำนวน 5 ไร่ รวม 65 ราย ซึ่งมีการสร้างถนนทางเข้าหมู่บ้าน ทำระบบประปาโดยสูบน้ำบาดาลมาใช้ได้ในขณะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดน้ำจากวาล์วปิด-เปิดประปาให้น้ำไหลเข้าสู่แปลงเกษตรกรรมส่วนไฟฟ้าได้ติดตั้งเสาไฟฟ้าตลอดข้างทางเข้าไปในหมู่บ้านสามารถใช้กระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ แต่หลังนายกรัฐมนตรีกลับไปแล้วเพียงข้ามคืนเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าถูกรื้อกลับหมด น้ำประปาถูกตัดขาดชาวบ้านไม่มีน้ำรดต้นไม้และพืชผักที่ปลูกไว้ เริ่มเหี่ยวเฉา วัวโครงการโคบาลบูรพาที่เลี้ยงไม่มีน้ำให้กินกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมว่าการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มีลักษณะพฤติกรรม "ผักชีโรยหน้า" ของระบบราชการไทยนั้น
 
กรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นกรณีแรกของสังคมไทยที่เหล่าข้าราชการส่วนใหญ่จะใช้เป็นกลวิธีหลอกลวงสาธารณะเพื่อสร้างภาพให้ผู้บริหารประเทศหรือผู้บังคับบัญชาผิดหลงต่อความจริงว่านโยบายของตนสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้เกิดมรรคผลอันดีเลิศประเสริฐศรีแล้วและสามารถเอาไปคุยโม้โอ้อวดหลอกประชาชนได้เต็มที่แต่ในที่สุดความจริงก็คือความจริง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของระบบราชการไทยได้ชัดเจนที่สุดในยุคนี้ พ.ศ.นี้
 
นอกจากนี้พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการปกปิดข้อมูลข่าวสารสาธารณะอันเกี่ยวเนื่องจากการจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพถือได้ว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 59 ประกอบมาตรา 73 และเข้าข่ายความผิดอาญามาตรา 343 ประกอบมาตรา 341 และ 342(2) แห่งประมวลกฎหมายอาญาโดยชัดแจ้งที่ว่า "ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้งด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน" ซึ่งมีโทษทางอาญาค่อนข้างสูงด้วย
 
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมฯใคร่เรียกร้องมายัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้โปรดสั่งการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและเอาผิดลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการไปสร้างกิจกรรม "ผักชีโรยหน้า"สร้างภาพหลอกลวงประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวเสียโดยเร็วและขอเรียกร้องให้หยุดการจัดประชุม ครม.สัญจร ได้แล้วเพราะการลงพื้นที่ของ ครม.และหรือนายกรัฐมนตรีแต่ละครั้งจะต้องมีการใช้ทหารและตำรวจมาอารักษาถึง 2-3 พันคนต้องสูญเสียงบประมาณเบี้ยเลี้ยงและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เป็นภาษีของประชาชนจำนวนมากให้กับบุคลากรเหล่านี้เพียงเพื่อมาสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อไปวัน ๆ เท่านั้น
 
ทั้งนี้รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปทำเสแสร้งอยากใกล้ชิดประชาชน
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น