โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

รบ.ยันคุมตัวพระมหาอภิชาติตามความผิดที่ปรากฏ ชี้เข้าข่ายสร้างความแตกแยก

Posted: 22 Sep 2017 09:01 AM PDT

พล.อ.สรรเสริญ แจงรัฐบาลยืนยันควบคุมตัวพระมหาอภิชาติตามความผิดที่ปรากฏ ชี้เข้าข่ายสร้างความแตกแยก วอนสังคมเข้าใจเจตนาและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แนะใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ

ที่มาภาพ : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 

22 ก.ย.2560 จากกรณีข่าว พระมหาอภิชาต ปุณณจนโท ถูกเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่ง ได้นิมนต์ ออกจากวัดแห่งหนึ่งที่ อ.ระโนด จ. สงขลา ในเวลากลางวัน โดยนำตัวพระมหาอภิชาต ไปยังค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2560  จากนั้นมีข่าวว่าได้พาตัวมายังกองบังคับการกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนต่อมาถูกนำตัวมายังวัดเบญจมบพิตร เพื่อบังคับให้ลาสิกขา ในช่วงเย็นของวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้  (22 ก.ย.60) เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการควบคุมตัวพระมหาอภิชาติว่า การดำเนินการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายปกติ เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพระมหาอภิชาติเข้าข่ายการดูหมิ่นให้ร้ายเสียดสีศาสนาอื่นตามที่ปรากฏอยู่ในสื่อโซเชียลมีเดียและคลิปต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองได้ เพราะเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
 
"การกระทำของพระมหาอภิชาติได้รับการตักเตือนจากมหาเถรสมาคมและหน่วยงานด้านความมั่นคงมาโดยตลอด เพราะมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงในเชิงปลุกระดม แต่ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างศาสนา รัฐบาลจึงอยากให้พี่น้องประชาชนและคณะสงฆ์บางส่วนเข้าใจในเจตนาและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ยึดหลักกฎหมายและประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ โดยไม่ได้ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมวินัยแต่อย่างใด" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว
 
พล.ท สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้รับรายงานว่าพระมหาอภิชาติได้ลาสิกขาบทแล้ว โดยเป็นความต้องการและความสมัครใจของท่านเอง และนับจากนี้ไปทุกอย่างจะเข้าสู่ขั้นตอนตามกฎหมาย โดยขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ไม่หลงเชื่อหรือตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือความคิดเห็นทางศาสนาที่แตกต่างกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ขอ สนช.คุ้มครอง ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน อยู่ครบวาระ ย้ำงานมีลักษณะพิเศษ

Posted: 22 Sep 2017 08:52 AM PDT

ประธาน ป.ป.ช. ต้องการให้มีการคุ้มครองให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันอยู่ครบวาระ ชี้งานของ ป.ป.ช.มีลักษณะพิเศษ ที่ต้องอาศัยคนมีความรู้ มีความชำนาญ รธน.ก่อนหน้าจึงออกแบบให้ดำรงตำแหน่ง 9 ปี

แฟ้มภาพ

22 ก.ย.2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง การพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะกำหนดให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการเรื่องที่มีการร้องเรียนให้แล้วเสร็จ ภายใน 2 ปี ว่า เป็นไปตามกรอบที่ ป.ป.ช.ได้เสนอต่อ กรธ. แต่ต้องมีข้อยกเว้นในบางกรณีให้ขยายเวลาได้ ต้องดูเนื้อหาพยานหลักฐาน   

"หากเคร่งครัดมาเกินไป อาจปฏิบัติได้ยาก เร่งรัดมากเกินไป อาจไม่มีคุณภาพ ส่งผลต่อคดีที่ทำ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาด้วย จึงต้องระมัดระวัง แต่ระยะเวลา 2 ปีก็อยู่ในวิสัยน่าจะดำเนินการได้เป็นส่วนใหญ่ มีส่วนน้อยมากที่ต้องขยายเวลา" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว    

พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวถึง การที่  สนช. จะต้องเป็นผู้พิจารณาให้เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะในประเด็นรีเซตกรรมการ ป.ป.ช. ว่า  ต้องการให้ สนช.เข้าใจว่า งานของ ป.ป.ช.มีลักษณะพิเศษ ที่ต้องอาศัยคนมีความรู้ มีความชำนาญ ประสบการณ์ในการทำหน้าที่ไต่สวน วินิจฉัยคดี เป็นเรื่องที่ต้องการความต่อเนื่อง จึงมีการออกแบบในรัฐธรรมนูญ ทั้ง ปี 50 และ 60 ให้ ป.ป.ช.ดำรงตำแหน่ง 9 ปี อีกทั้ง กรรมการทั้ง 9 คน รับตำแหน่งตามกฎหมายอย่างถูกต้องทุกอย่าง จึงน่าจะได้รับการพิจารณา    

"ขึ้นอยู่กับ สนช. ไม่ว่ากฎหมายออกมาอย่างไร ก็พร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่กังวลว่าต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ เพราะได้มีโอกาสทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าต้องพ้นจากตำแหน่งก็ต้องยินดีที่จะรับ แล้วไปทำอย่างอื่นในฐานะคนไทย  ทำคุณให้ชาติในบทบาทอื่น" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว

พล.ต.อ.วัชรพล ยอมรับว่า ต้องการให้มีการคุ้มครองให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันอยู่ครบวาระ ตามร่างกฎหมายลูกที่ ป.ป.ช.เสนอไปให้ กรธ. เพราะหากต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ปี 60 อาจ มี ป.ป.ช.ต้องพ้นจากตำแหน่งถึง 7 คน ก็ต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ว่า ให้พ้นเพราะอะไร เนื่องจากในรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ดังนั้นถ้าเป็นเหตุผลที่เหมาะสมก็รับฟัง

ที่มา : สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช. รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ล้มละลาย ลูกหนี้มีฟื้นฟูได้เร็วขึ้น มีกลไกติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ

Posted: 22 Sep 2017 08:42 AM PDT

22 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (22 ก.ย.60) การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานในการประชุม มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเห็นด้วย 177 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง จากผู้เข้าประชุม 181 คน พร้อมตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณา 21 คน มาจาก คณะรัฐมนตรี (ครม.) 4 คน สนช. 17 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงาน 60 วัน

สุวพันธุ์ ตันยุวรรณนะ รัฐมนตรี (รมต.) ว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องตรา พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า ด้วยกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามหมวด 3/1 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 มีบทบัญญัติบางประการที่ทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถขอฟื้นฟูกิจการได้ทันต่อสถานะทางด้านการเงินของลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ต้องเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเท่านั้น จึงจะขอฟื้นฟูกิจการได้ รวมทั้งการติดตาม การจัดการและการรวบรวมทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสฟื้นฟูกิจการได้เร็วขึ้นและจัดให้มีกลไกในการติดตาม จัดการ และรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการคุ้มครองเจ้าหนี้มีประกันอย่างเพียงพอ ซึ่งจะเป็นมาตรการหนึ่งที่เป็นการส่งเสริมและรองรับความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ขณะความเห็นของ สมาชิก สนช. เห็นด้วยกับหลักการของร่าง พ.ร.บ. แต่มีข้อสังเกตในหลายประเด็น อาทิ การกำหนดให้บุคคลผู้เป็นหนี้ ลูกหนี้ หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลหนี้ หรือทรัพย์สินให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทราบ และกำหนดโทษหากไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งในประเด็นนี้มีปัญหามาในเชิงปฏิบัติ และจากการรับฟังความเห็นประชาชนได้ท้วงติงในเรื่องนี้อย่างมาก จึงควรนำความเห็นที่รับฟังจากประชาชนมาประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาในกฎหมายฉบับนี้ด้วย รวมถึงควรเพิ่มเรื่องของการปฏิรูปการล้มละลาย เช่น ลูกหนี้ที่ล้มละลายโดยไม่เจตนา จะได้รับการฟื้นฟูได้อย่างไร พิจารณาเรื่องค่าตอบแทนของหน่วยงานผู้พิทักษ์ทรัพย์ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่มีผู้ชำนาญการให้เกิดความเหมาะสม ศึกษาประเด็นสิทธิในทรัพย์สินและการสืบมรดกอย่างรอบครอบและปรับปรุง และควรเร่งรัดประเด็นการล้มละลายข้ามชาติ ที่อยู่ในความสนใจของภาครัฐและเอกชนให้เป็นจริง แต่ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพันธสัญญา การค้าขาย และการร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ

ที่มา : เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลยกฟ้องคดีบุกรุกป่าสงวนฯ กรณีชาวบ้านสร้างโฮมสเตย์ดอยอ่างขางตามนโยบายหนุนท่องเที่ยว

Posted: 22 Sep 2017 07:31 AM PDT

ศาลจังหวัดฝางยกฟ้อง ชี้จำเลยไม่มีความผิด ในข้อหาบุกรุกป่าฯ สร้างโฮมสเตย์ดอยอ่างขางตามนโยบายหนุนท่องเที่ยว 'ผสานวัฒนธรรม' ชี้เป็นคดีที่ 2 ผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องมาจากคำสั่ง คสช. ตามนโยบายทวงคืนผืนป่า

22 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจาก มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560 ศาลจังหวัดฝางมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ สว.19/2559 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดฝาง โจทก์ กับ อารยา แซ่จาง จำเลย ในข้อหาบุกรุก ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่าหรือทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวน ว่าบุกรุกป่าสงวนฯ พื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่บ้านนอแล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางได้ให้การส่งเสริมการทำเกษตรและส่งเสริมอาชีพต่างๆ โดยจัดแบ่งพื้นที่ป่าและพื้นที่ของชุมชนแยกจากกัน เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกป่าอีก เมื่อเหตุเกิดในพื้นที่ซึ่งกลายเป็นชุมชน ไม่มีสภาพความเป็นป่าสงวนแล้ว จำเลยจึงไม่อาจทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพความเป็นป่าสงวนไปมากกว่านั้นได้อีก การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 

โดยศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ จำเลยไม่มีความผิด
 
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดฝางได้มีคำพิพากษาคดีลักษณะเดียวกันกับคดีนี้  ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ สว. 8,9/2559 โดยได้พิพากษายกฟ้องโจทก์เช่นเดียวกัน
 
จำเลยในคดีนี้เป็นชาวบ้าน บ้านนอแล ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เป็นผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องมาจากคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 ตามนโยบายทวงคืนผืนป่า ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์คำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 21 ต.ค. นี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรณีเวียดนาม: การพัฒนาจากจีนไม่ได้มีราคาถูก-แต่ยังมีราคาอีกแพงที่ต้องจ่าย

Posted: 22 Sep 2017 06:59 AM PDT

รายงานในนิกเคอิเอเชียนรีวิว ชี้ว่าโครงการพัฒนาในเวียดนามที่มีจีนร่วมทุน ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟ ระบบท่อประปา หรือสนามบิน มักจะดูเหมือนเป็นโครงการราคาถูก แต่จริงๆ แล้วมีราคาที่ต้องจ่ายสูงกว่านั้นหลังพบความไร้ประสิทธิภาพต่างๆ รวมถึงความล่าช้า ไม่ตรงตามสัญญา ทำให้นักเศรษฐศาสตร์เตือนไว้ว่าควรนำมาเป็นบทเรียน

โครงการก่อสร้างรถไฟสาย Cat Linh-Ha Dong ที่กรุงฮานอยเมืองหลวงของเวียดนาม โดยมีระยะทาง 13 กม. รถไฟใช้ความเร็วสูงสุด 80 ม. ต่อชั่วโมงก่อสร้างโดยบริษัทสำนักวิศวกรรถไฟจีนที่ 6 ภาพนี้ถ่ายเดือนเมษายน 2560 (ที่มา: Xinhua)

21 ก.ย. 2560 สื่อนิกเคอิเอเชียนรีวิวรายงานถึงเรื่องนี้โดยยกตัวอย่าง การยกเลิกทดสอบเส้นทางโครงการทางรถไฟในฮานอย ประเทศเวียดนาม จากที่ก่อนหน้านี้มีกำหนดการจะทดสอบในเดือน ก.ย. นี้ โดยที่ไม่มีข้อเสนอทางเลือกอื่นจากผู้สร้างทางรถไฟจากจีน

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.) ทางการเวียดนามให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่าพวกเขาไม่สามารถดำเนินโครงการต่อได้จนกว่าทางการจีนจะเบิกจ่ายงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ในโครงการความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการเพื่อการพัฒนา (ODA) ตามที่จีนเคยให้สัญญาไว้ในปีที่แล้ว

โครงการสร้างทางรถไฟในเมืองของเวียดนามเป็นแผนการที่วางไว้ว่าจะสร้างตั้งแต่ปี 2551-2556 ด้วยราคา 552 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้รับเงินกู้ยืมจากจีน 419 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการจริงจังจนถึงปี 2554 ราคาของโครงการนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 868 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2559 โดยที่ผู้ให้กู้ยืมจากจีนให้เงินเพิ่ม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็มีการเบิกจ่ายล่าช้าเพราะกระบวนการที่ซับซ้อนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (ไชนาเอ็กซิมแบงก์) ก็ทำให้การเบิกจ่ายล่าช้า

ไม่เพียงดำเนินการล่าช้าออกไปจากกำหนดเดิมเท่านั้น โครงการนี้ยังสร้างปัญหาความไร้ประสิทธิภาพอย่างอุบัติเหตุ สร้างความเสียหายต่อผู้สัญจรไปมาทั้งบาดเจ็บและมีกรณีที่เสียชีวิต นิกเคอิเอเชียนรีวิวระบุว่าการใช้วัสดุมาตรฐานต่ำ การติดตั้งแบบผิดๆ และคนงานที่ไม่ได้รับการฝึกฝีมือ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัย และสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน โดยที่ทางการเวียดนามพยายามสื่อเรื่องนี้กับสถานทูตจีนเพื่อขอให้มีการปรับปรุง

โครงการรถไฟในฮานอยกลายเป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ใช้เป็นตัวอย่างสำคัญเวลาพูดถึงปัญหาโครงการที่มีจีนหนุนหลัง โครงการของจีนมักจะมีการประกวดราคาต่ำ ราคาตกลงในการลงทุนดูเหมือนจะถูก แต่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเวียดนามฟามจีลัน บอกว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่มีราคาแพงมากในระยะยาว ราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จากผลลัพธ์คุณภาพต่ำ

ความผิดพลาด งานที่ไร้คุณภาพ เครื่องจักรที่ล้าสมัยไปแล้ว และอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทำให้ผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นในโครงการที่จีนเกื้อหนุน ทำให้ในเวียดนามมีหลายกรณีที่ดำเนินการประมูลโครงการใหม่หลายกรณี เช่น กรณีของโครงการท่อประปาในฮานอยมีการยกเลิกสัญญากับบริษัทของจีนในปีที่แล้วหลังจากเกิดเหตุท่อประปาแตก 17 แห่ง และโครงการที่ดำเนินการโดยบริษัทจีนที่ทำสำเร็จเพียงร้อยละ 10 จากสัญญา อีกกรณีหนึ่งคือโครงการทางหลวงที่จังหวัดกว๋างนิญ พื้นที่ทางเหนือที่ติดกับชายแดนจีนก็มีการยกเลิกสินเชื่อของ ODA ของจีน 300 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อพบว่าผู้รับเหมาภายในเวียดนามทำได้ดีกว่า

กระนั้นก็ตามยังมีนักลงทุนภายในประเทศเวียดนามบางส่วนที่ไม่สนใจเสียงไม่พอใจของประชาชนพวกเขากระหายทุนจีนจนนำจีนมาเป็นผู้ร่วมลงทุนต่อไปในหลายโครงการรวมถึงโครงการสนามบินนานาชาติที่โฮจิมินซิตี้ที่แม้จะมีข้อเสนอที่ถูกมากแต่ก็มีการถกเถียงกันในเรื่องนี้อย่างหนัก โดยนักเศรษฐศาสตร์ โงตรีหลง บอกว่าเวียดนามควรจะต้องเรียนรู้โดยปราศจากอคติจากกรณีที่ให้จีนร่วมลงทุนก่อนหน้านี้

ไม่เพียงแค่ความเสี่ยงที่เกิดจากความไร้ประสิทธิภาพเท่านั้น เรื่องนี้ยังมีโอกาสกระทบความมั่นคงด้วย จากที่กระทรวงกลาโหมเวียดนามแสดงความกังวลกรณีที่สนามบินสองแห่งรวมถึงเว็บไซต์เวียดนามแอร์ไลน์ถูกแฮ็กโดยเชื่อว่ามาจากแฮ็กเกอร์ในจีน นอกจากนี้ยุทธวิธีแบบบีบบังคับในประเด็นข้อพิพาททะเลจีนใต้ก็ดำเนินไปได้ไม่ดีนัก

เรียบเรียงจาก

China's projects in Vietnam earn reputation for poor quality, delays, Nikkei Asian Review, 20-09-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ปฏิเสธงานวิจัยของรัฐบาลตัวเองที่ว่าผู้ลี้ภัยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น

Posted: 22 Sep 2017 06:17 AM PDT

งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษยชนของสหรัฐอเมริกา (HHS) ระบุว่าในช่วงสิบปีมานี้ผู้ลี้ภัยส่งผลดีต่อสหรัฐฯ สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลทุกระดับกว่า 2.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลดีต่อการคลัง 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ กลับปฏิเสธไม่ยอมรับงานศึกษาวิจัยในครั้งนี้

แฟ้มภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อ 20 มกราคม 2017 (ที่มา: The White House/Facebook)

22 ก.ย. 2560 กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษยชนของสหรัฐฯ วิจัยในเรื่องนี้ระหว่างปี 2548 ถึง 2557 ผลการวิจัยระบุว่าผู้ลี้ภัยสร้างรายได้ให้กับทุกระดับของรัฐบาลรวมแล้วราว 2.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จากการจ่ายภาษีซึ่งมากกว่าสิ่งที่ประเทศต้องจ่ายเพื่อรองรับผู้ลี้ภัย ผลการวิจัยยังสรุปอีกว่าในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมาผู้ลี้ภัยส่งผลดีต่อการคลังโดยรวม 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับรายจ่ายแล้ว

งานวิจัยชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้วแต่ก็ไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับผลการวิจัยนี้โดยอ้างว่าผลของมัน "ขาดความชอบธรรม" และ "มีแรงจูงใจทางการเมือง" อีกทั้งหน่วยงานรัฐก็ไม่รับรองผลการวิจัยโดยยืนกรานว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวในการดูแลผู้ลี้ภัยสูงกว่าดูแลชาวสหรัฐฯ

ในรายงานฉบับหลังสุดอ้างว่ารายจ่ายต่อหัวที่ต้องใช้ไปกับผู้ลี้ภัยในโครงการสาธารณสุขและบริการมนุษยชนคิดเป็นเงิน 3,300 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับรายจ่ายต่อหัวที่ใช้ดูแลชาวสหรัฐฯ ในโครงการสาธารณสุขและบริการมนุษยชนอยู่ที่ 2,500 เหรียญสหรัฐฯ

ราช ชาห์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่าร่างรายงานฉบับดั้งเดิมที่ "รั่วไหลออกมา" มาจาก "คนที่มีวาระทางอุดมการณ์" ไม่ได้มาจาก "คนที่มองหาข้อมูลเชิงประจักษ์"

อย่างไรก็ตามสื่อ Vox ระบุว่าอาจจะเป็นรัฐบาลทรัมป์เองต่างหากที่มีวาระทางการเมือง จากที่งานวิจัยเบื้องต้นนำเสนอข้อมูลตัวเลขที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ทรัมป์เคยอ้างไว้ในช่วงหาเสียงที่เขาอ้างว่าผู้ลี้ภัยเป็นภาระทางเศรษฐกิจ ในวันที่สื่อนิวยอร์กไทม์นำเสนอผลการวิจัยเรื่องนี้ ทรัมป์ก็พูดในที่ประชุมสหประชาชาติยืนยันว่าผู้อพยพเป็นภาระกับประชาชนรายได้น้อย ถึงแม้ว่าข้ออ้างในเรื่องนี้จะถูกตีตกไปทั้งจากข้อมูลของ HHS และงานวิจัยเกี่ยวกับผู้อพยพส่วนใหญ่ก็ตาม

Vox ระบุอีกว่ารัฐบาลทรัมป์มีนิสัยชอบปฏิเสธงานวิจัยที่ขัดแย้งกับแนวทางนโยบายของพวกเขาเอง เช่น ก่อนหน้านี้มีกรณีสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) แสดงความกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์ไม่ยอมให้มีการเผยแพร่ผลการค้นคว้าเรื่องโลกร้อน 13 ชิ้นของหน่วยงานรัฐบาลกลาง โดยที่รัฐบาลทรัมป์แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนถึงขั้นสั่งแบนการใช้คำบางคำในหน่วยงานของรัฐบาลกลาง

นอกจากนี้นักวิจัยของ HHS เองก็ถูกแทรกแซงจาก สตีเฟน มิลเลอร์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านนโยบายที่กีดกันแม้กระทั่งผู้อพยพที่ถูกกฎหมาย มิลเลอร์เข้าไปแทรกแซงการหารือเรื่องการกำหนดโควต้าผู้ลี้ภัยโดยทำให้เกิดการหารือกันแต่เรื่องค่าใช้จ่ายเท่านั้น ไม่ยอมให้มีการพูดถึงผลดีทางการเงินถ้าหากมีโครงการรับผู้ลี้ภัย

เรียบเรียงจาก

Trump administration officials reject report on refugees: report, The Hill, 19-09-2017

The Trump administration rejects its own study finding refugees help the economy, Vox, 19-09-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ข้อกังขา iPhone X ปลดล็อกแบบแสกนใบหน้า-กับการคุ้มครองข้อมูลตาม รธน.สหรัฐฯ

Posted: 22 Sep 2017 05:14 AM PDT

หลังจากมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ของแอปเปิลหลายรุ่น สร้างความคึกคักให้กับผู้สนใจเทคโนโลยีมือถือ อย่างไรก็ตามมีเรื่องชวนให้กังขาอย่างหนึ่งกับฟีเจอร์ใหม่ของสมาร์ทโฟนรุ่น iPhone X ที่สื่อในสหรัฐฯ พากันตั้งคำถามคือเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและใช้ใบหน้าเพื่อปลดล็อก-เปิดโทรศัพท์นั้นไปกันได้กับการคุ้มครองประชาชนตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ หรือไม่

ที่มาของภาพประกอบ Apple.com

สหรัฐฯ มีบทบัญญัติเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิประชาชนในหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 5 ว่าด้วยการที่พลเมืองสหรัฐฯ สิทธิที่จะไม่พูดหรือให้การ รวมถึงเปิดเผยข้อมูลใดๆ ที่จะถูกอ้างเอาผิดตัวเอง นั่นรวมถึงสิทธิในการที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลรหัสผ่านโทรศัพท์มือถือด้วย แต่ทว่าฟีเจอร์ที่เป็นที่พูดถึงกันมากอย่างการปลดล็อกด้วยใบหน้าผู้ใช้จะได้รับการคุ้มครองภายใต้หลักการรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วยหรือไม่

เว็บไซต์ข่าววิทยาศาสตร์ป็อบปูลาร์ไซเอนซ์ (Popsci) ระบุว่าวิธีการจดจำใบหน้าของผู้ใช้ไม่ได้มีอยู่แค่ใน iPhone X เท่านั้น ในระบบวินโดว์เฮลโลซึ่งหลักๆ แล้วใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อปและแทบเล็ต กับซัมซุงกาแล็กซี S8 ก็มีระบบล็อกอินด้วยการจดจำใบหน้าเช่นกัน แม้ว่า S8 จะเป็นระบบสแกนเรตินาของดวงตามากกว่าตรวจรูปแบบใบหน้าทั้งหมด

จากที่ก่อนหน้านี้แอปเปิลนำเสนอระบบความปลอดภัยของตนเป็นจุดขาย แต่ระบบการจดจำใบหน้าเช่นนี้ก็ทำให้มีการตั้งคำถามว่าจะทำให้ความปลอดภัยของผู้ใช้ลดลงหรือไม่ในทางกฎหมาย เนื่องจากว่าการคุ้มครองของมาตรา 5 ของสหรัฐฯ ระบุการคุ้มครองผู้ใช้งานต้องไม่ให้ตำรวจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้แม้ว่าจะมีหมายค้นก็ตาม แต่ทว่ารูปแบบของการคุ้มครองนั้นเป็นการคุ้มครองเมื่อมีการใส่รหัสผ่านรูปแบบตัวอักษรหรือตัวเลขเท่านั้น แต่ไม่ได้คุ้มครองการใส่ระบบป้องกันด้วยชีวมิติ (biometric) อย่างรอยนิ้วมือหรือการจดจำใบหน้า popsci ระบุว่ามันเป็นเรื่องการตีความของกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในหัวของคุณอย่างรหัสผ่านกับสิ่งที่เป็นร่างกายคุณ

เนธ คาร์โดโซ เจ้าหน้าที่ทนายความอาวุโสขององค์กรส่งเสริมเสรีภาพสื่อดิจิทัลอิเล็กโทรนิคฟรีดอมฟาวด์เดชัน (EFF) บอกว่าขณะที่ระบบป้องกันด้วยรหัสผ่านกฎหมายอเมริกันจะวางเอาไว้แล้วว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถสั่งให้เปิดได้ แต่ระบบคุ้มกันด้วยใบหน้าทางกฎหมายยังไม่คุ้มครองชัดเจนเนื่องด้วยกฎหมายสหรัฐฯ ระบุคุ้มครองไม่ให้เจ้าหน้าที่สามารถใข้ "เนื้อหาจากความคิดอ่าน" ของตัวบุคคลได้แม้จะมีหมายจับหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ทางกฎหมายสหรัฐฯ อนุญาตให้สำรวจจากร่างกายเช่นการขอตรวจเลือดหรือพิมพ์ลายนิ้วมือได้

อย่างไรก็ตามในสหรัฐฯ เคยมีคดีเมื่อปี 2557 ที่ศาลสูงตัดสินว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำการจับกุมไม่สามารถสั่งให้ใช้ใบหน้าหรือลายนิ้วมือเปิดโทรศัพท์มือถือของผู้ถูกจับกุมได้โดยทันที แต่จะต้องผ่านกระบวนการให้ศาลพิจารณาออกคำสั่งก่อนว่ามีเหตุเหมาะสมให้กระทำการได้หรือไม่

นอกจาก EFF แล้ว องค์กรอย่างสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ก็แสดงความกังวลเช่นกันว่าเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะอ้างใช้การปลดล็อคโทรศัพท์ด้วยวิธีการใช้ใบหน้าหรือการแตะลายนิ้วมือหรือไม่ ยังไม่นับว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทแคโรไลนายังเคยใช้วิธีการอื่นๆ ในการปลดล็อคโทรศัพท์ที่ติดตั้งระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าได้ด้วย

ทั้งนี้ทางแอปเปิลเองได้วางระบบรักษาความปลอดภัยโทรศัพท์ไว้เพิ่มเติม 2 ชั้นในระบบปฏิบัติการ iOS 11 เพื่อป้องกันไม่ให้โจรหรือเจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลได้ ระบบความปลอดภัยแรกเรียกว่า "SOS mode" ที่ให้ผู้ใช้ยกเลิกการปลดล็อคโทรศัพท์ด้วยการจดจำใบหน้าหรือการสัมผัสได้โดยการกดปุ่มเปิดปิด 5 ครั้ง ระบบความปลอดภัยที่สองคือการให้ผู้ใช้งานต้องใส่รหัสกับการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ทำให้สามารถปลดล็อคเข้าถึงข้อมูลได้ยากขึ้น

เรียบเรียงจาก

The iPhone X's face unlock and the fifth amendment don't mix, Popular Science, 16-09-2017

With FaceID, Apple's iPhone X wades into Fifth Amendment gray area, PBS, 15-09-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ย้อนดูสถิติรัฐประหารทั่วโลกในรอบ 11 ปี พบยังมีความพยามยึดอำนาจอยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ

Posted: 22 Sep 2017 04:15 AM PDT

ดูสถิติความพยายามทำรัฐประหารทั่วโลกย้อนหลัง 11 ปี พบมีรัฐประหารทั้งหมด 10 ครั้ง ไทยควบสอง ขณะที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศทวีปแอฟริกา มีความพยามทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ 30 ครั้ง และมีการวางแผนเตรียมการ 29 ครั้ง ภาพรวมหลังสงครามเย็นการรัฐประหารประสบผลสำเร็จน้อยลงเรื่อยๆ

19 กันยายน 2549 คือวันที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)  เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทักษิณ ซินวัตร หลังจากที่มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งมีแกนนำคนสำคัญอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล, จำลอง ศรีเมือง, สมศักดิ์ โกศัยสุข, พิภพ ธงไชย, สมเกีรยติ พงษ์ไพบูลย์ และสุริยะ กตะศิลา

แม้สถานการณ์ทางการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ผนวกกับการปฏิรูปสถาบันทางการเมืองผ่านรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จะทำให้เชื่อว่าทหารได้กลับเข้ากรมกอง และคงไม่มีผู้นำเหล่าทัพใครใดกล้านำรถถัง และกำลังพลออกมารัฐประหารอีก แต่ความเชื่อดังกล่าวก็ถูกลบล้างไปในปี 2549 และตอกย้ำอีกครั้งว่า รัฐประหาร ยังวนเวียนอยู่ในการเมืองไทยในปี 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

หากดูจากทั่วโลก Adam Taylor ได้เขียนงานที่ชื่อว่า Map: The world of coups since 1950 ตีพิมพ์ลงใน The Washington Post เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 เป็นการสำรวจความพยายามในการทำรัฐประหาร และการทำรัฐประหารที่ประสบผลสำเร็จ เขาพบว่าหากนับตั้งแต่ปี 2493 (ค.ศ.1950) – 2559 (ค.ศ.2016) มีความพยายามทำรัฐประหารในประเทศต่างๆ ทั่วโลกทั้งหมด 475 ครั้ง และมีการรัฐประหารที่ประผลสำเร็จ 236 ครั้ง และหากนับเฉพาะช่วงหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นในปี 2537 (ค.ศ.1994) ถึงปี 2559 (ค.ศ.2016) พบว่าการความพยายามในการทำรัฐประหารลดลงเหลือเพียง 91 ครั้ง โดยมีเพียง 39 ครั้งเท่านั้นที่ประสบผลสำเร็จ

แน่นอนว่าการทำรัฐประหารไม่ได้มีเกิดขึ้นเพียงในประเทศไทย แต่ว่ามีความพยายามทำรัฐประหาร และมีการทำรัฐประหารสำเร็จเกิดขึ้นอยู่ในทุกปี ทว่าสัดส่วนความสำเร็จในการทำรัฐประหารสำเร็จนั้นน้อยลงเรื่อยๆ

The Center for Systemic Peace  (SCP) ได้รวบรวมข้อมูลการทำรัฐประหารทั่วทั้งโลกไว้ตั้งแต่ปี 2489 (ค.ศ.1946) จนถึงปี 2559 (ค.ศ.2016) โดยได้แบ่งประเภทออกเป็นทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกันคือ การรัฐประหารที่ประสบผลสำเร็จ , มีความพยายามก่อการรัฐบประหารแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ , มีการวางแผนเตรียมก่อการรัฐประหาร และประเภทสุดท้ายคือ มีการถูกกล่าวหาว่าวางแผนก่อการรัฐประหาร โดย SCP ให้ความหมายของการรัฐประหารว่า เป็นการยึดอำนาจการบริหารประเทศ จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล หรือฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง โดยการทำรัฐประหารไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทุกครั้งไป ส่วนการปฏิวัติทางสังคม ชัยชนะทางการเมืองในระหว่างช่วงสงครามกลางเมือง การลุกฮือของฝ่ายประชาชนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง ไม่ถือเป็นการรัฐประหาร รวมทั้งการถ่ายโอนอำนาจโดยความสมัครใจ หรือการเปลี่ยนแปลงผู้ทรงอำนาจหลังความตายของผู้นำในบางประเทศ

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ประชาไท รวบรวมข้อมูลการรัฐประหาร ความพยายามก่อการรัฐประหารแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และข้อมูลการวางแผนเพื่อการรัฐประหาร นับตั้งแต่ปี 2549 (ค.ศ.2006) จนถึงปี 2559 (ค.ศ.2016) พบว่าทั่วทั้งโลกมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารทั้งหมด 69 ครั้ง แบ่งเป็นการรัฐประหารที่ประสบผลสำเร็จ 10 ครั้ง(ประเทศไทย สองครั้งในปี 2549 และปี 2557) , มีความพยายามก่อการรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ 30 ครั้ง และมีการวางเพื่อก่อการรัฐประหาร 29 ครั้ง (อ่านข้อมูลจาก SCP โดยละเอียดในตารางด้านล่าง)

สำหรับประเทศที่มีการรัฐประหารประสบผลสำเร็จในช่วงปี 2549 – 2559 ได้แก่ ไทย(2549) , ฟีจี(2549), บังคลาเทศ(2550),  มอริเตเนีย(2551), กินี(2551), ไนเจอร์(2553), มาลี(2555), กินี-บิสเซา(2555), อียิปต์(2556) และ ไทย(2557)

สำหรับประเทศไทยมีรัฐประหารทั้งหมด 18 ครั้ง ถือว่าจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกเท่ากับ กีนี-บิสเซา รองจาก อันดับ1 ซูดาน 31 ครั้ง อันดับ 2 อิรัก 24 ครั้ง อันดับ 3 โบลิเวีย 19 ครั้ง และในคิดในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไทยมีการรัฐประหารมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1

ข้อมูลการรัฐประหาร(1) ความพยายามรัฐประแต่ไม่สำเร็จ(2) และการวางแผนเตรียมรัฐประหาร(3) ทั่วโลกในรอบ 11 ปี

ประเทศ

เดือน

วัน

ปี

ประเภท

ผู้ก่อการ

Philippines

2

24

2006

3

Gregorio Honasan

Burundi

3

6

2006

3

unspecified

Chad

3

15

2006

3

unspecified

Gambia

3

21

2006

3

Col. Ndure Cham, Abdulaye Kujaby, Tamsir Jassy, Alieu Jobe

Guinea

4

4

2006

2

Prime Minister Cellon Dalein Diallo

Chad

4

13

2006

2

rebel forces

Mauritania

6

9

2006

3

Col. Abderramane Ould Lekour, Sid Mohammed Ould Faida, Mohammed Ould Aly

Thailand

9

19

2006

1

Gen. Sonthi Boonyaratglin

Fiji

12

5

2006

1

Commodore Frank Bainimarama

Bangladesh

1

11

2007

1

Chief of Army Staff Lt-Gen. Moeen U. Ahmed; Chief Adviser Fakhruddin Ahmed; Maj-Gen. M.A. Matin

Laos

6

4

2007

3

Gen. Vang Pao (arrested in USA)

Sudan

7

14

2007

3

Mubarak al-Fadhil al-Mahdi; Maj-Gen (retd) Ma'sh Muhammed Ali Hamid; Abd-al-Jalil al-Basha

Fiji

11

3

2007

3

Ratu Inoke Takiveikata; Col. Metuisela Mua; Barbadoes Mills

Philippines

11

29

2007

2

Antonio Trillanes; Brig-Gen. Danilo Lim

Chad

2

2

2008

2

Mahamat Nouri (UFDD); Timane Erdini (RFC); Abdelwahid Aboud Mackaye

East Timor

2

11

2008

2

Maj. Alfredo Reinado; Gastao Salsinha

Sudan

5

10

2008

2

Justice and Equality Movement (JEM)

Malawi

5

13

2008

3

Gen. Joseph Chimbayo; Joseph Aironi; John Chikakwiya; Kennedy Makwangwala

Mauritania

8

6

2008

1

Gen. Mohamed Ould Abdel Aziz

Guinea-Bissau

8

8

2008

2

Rear Adm. Jose Americo Bubo Na Tchute

Guinea-Bissau

11

23

2008

2

Alexandre Tchama Yala

Guinea

12

23

2008

1

Capt. Moussa Dadis Camara

Equatorial Guinea

2

11

2009

2

Jose Abeso Nsue; Manuel Ndong Anseme; Alipio Ndong Asumu; Jacinto Micha Obiang

Togo

4

12

2009

3

Kpatche Gnassingbe

Bolivia

4

16

2009

3

Sanchez de Lozada, Carlos Sanchez Barzain, Jorge Berindoague Alcocer

Lesotho

4

23

2009

2

unspecified; South African and Mozambiquan mercenaries

Guinea

4

24

2009

3

Lt-Col. Aboubacar Sidiki Camara; Adml. Aly Daffe; Capt. Saa Alphonse Toure; Capt. Abdoulaye Keita

Ethiopia

4

25

2009

3

Brig-Gen. Asamnew Tsige; Berhanu Nega, Ginbot 7 Movement

Georgia

5

5

2009

2

Maj. Ghvaladze; Mukhrovani Tank Battalion

Guinea-Bissau

6

4

2009

2

Helder Proenca, Baciro Dabo

Gambia

11

21

2009

3

ex-army chief Lang Tombong Tamba and seven others

Burundi

1

29

2010

3

unspecified (13 soldiers arrested)

Niger

2

18

2010

1

Supreme Council for the Restoration of Democracy (CSRD); Maj. Salou Djibo

Gambia

3

18

2010

3

Gen. Yankuba Drammeh; Rear Adm. Sarjo Fofona; Ensa Badjie

Guinea-Bissau

4

1

2010

2

Gen.Antonio Indjai

Cameroon

7

17

2010

3

unspecified

Ecuador

9

30

2010

2

Disgruntled police officers

Niger

10

14

2010

3

Col. Abdoulaye Badie; Col. Abdou Sidikou; 2 others

Madagascar

11

17

2010

2

Gen. Noel Rakotonandrasana; Col. Charles Andrianasoavavna; Raymond Ranjeva

D. R. Congo (Zaire)

2

27

2011

2

unspecified

Niger

7

12

2011

3

unspecified

Guinea

7

19

2011

2

Former senior army officers

Guinea-Bissau

12

26

2011

2

Rear Adm. Jose Americo Bubo Na Tchute

Bangladesh

1

19

2012

3

Maj. Ziaul Haq; Lt.Col. Ehsan Yusuf; Maj. Rakir; Hizbut-Tahrir

Papua New Guinea

1

26

2012

2

Michael Somare

Mali

3

21

2012

1

Capt. Amadou Haya Sanogo

Malawi

4

5

2012

3

Peter Mutharika; Bright Msaka; Goodall Gondwe; and other government officials

Guinea-Bissau

4

12

2012

1

Gen. Antonio Indjai

Mali

4

30

2012

2

"Red Beret" presidential guard troops

Cote d'Ivoire

6

8

2012

3

exiled military

Guinea-Bissau

10

21

2012

2

Capt. Pansau N'Tchama

Sudan-North

11

22

2012

3

Lt.Gen. Salah Abdallah Gosh

South Africa

12

18

2012

3

four white supremacists

Eritrea

1

21

2013

2

c200 mutinous soldiers

Benin

2

22

2013

3

Col. Pamphile Zamahoun; Johannes Dagnon

Comoros

4

22

2013

3

Mahmoud Ahmed Abdallah, Patrick Klein

Chad

5

1

2013

3

Gen. Weiddig Assi Assoue; Gen. Ngomine Beadmadji David; Mahamat Malloum; Saleh Makki

Egypt

7

3

2013

1

Gen. Abdul-Fattah el-Sisi

South Sudan

12

15

2013

2

Riek Machar

Central African Rep.

12

26

2013

2

Christian "anti-Balaka" militias

D. R. Congo (Zaire)

12

30

2013

2

Pastor Joseph Mukungubila Mutombo

Thailand

5

22

2014

1

General Prayuth Chan-ocha

Lesotho

8

30

2014

2

Lt. Gen. Tlali Kamoli

Gambia

12

30

2014

2

Lamin Sanneh; Cherno Njie

Burundi

5

13

2015

2

Maj. Gen. Godefroid Niyombare

Burkina Faso

9

16

2015

2

Gen. Gilbert Diendéré;Presidential Security Regiment

Niger

12

18

2015

3

senior military officers

Turkey

7

15

2016

2

Gulenists

Montenegro

10

16

2016

3

twenty ethnic-Serbs

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ.แจงเลิกใช้เรือเหาะ เทียบซื้อของตามห้าง บางอย่างคิดว่าดี แต่เมื่อใช้จริงอาจไม่ 100%

Posted: 22 Sep 2017 03:04 AM PDT

พล.อ.เฉลิมชัย แจงกรณีเลิกใช้เรือเหาะ ยันคุ้มค่า พร้อมให้ สตง.ตรวจสอบ เทียบซื้อของตามห้าง บางสิ่งบางอย่าง เราคิดว่าดีแล้ว แต่เมื่อมาใช้จริง รายละเอียดการใช้อาจไม่ 100% วอนเห็นใจทหารภาคใต้

 

22 ก.ย. 2560 หลังจากเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่นั้น จนต่อมาเกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์ พร้อมร้องเรียนให้มีการตรวจสอบการจัดซื้อเรือเหาะดังกล่าวตั้งแต่สมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น

ล่าสุด วันนี้ (22 ก.ย.60) รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.เฉลิมชัย ชี้แจงการยุติการใช้เรือเหาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ตั้งแต่ปี 2547 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2551-2552 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ออกปฏิบัติการจนทำให้มีเจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะก่อเกิดเหตุในพื้นที่ขอบเมืองและตัวเมือง กองทัพบกจึงพยายามหามาตรการที่จะดูแลความปลอดภัย จึงได้มีการจัดหาเรือเหาะ ความมุ่งหมายหลัก คือ ดูแล ตรวจการณ์พื้นที่ 3 ตัวเมืองหลัก สนับสนุนปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ซึ่งการจัดหาเกิดขึ้นในปี 2552 มีการตั้งคณะกรรมการหลายชุดมาพิจารณา แต่หลังจากใช้มาได้ระยะหนึ่ง ก็มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบโครงการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบและสรุปว่าขั้นตอนการดำเนินการจัดหาเรือเหาะ รวมถึงราคา ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งนี้เรือเหาะเริ่มใช้งานปี 2553 ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ที่กองทัพ และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนไม่เคยใช้งานมาก่อน

"ด้วยความเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ ในช่วงแรกอาจจะขลุกขลักอยู่บ้าง ต่อมาก็ใช้งานต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2556 ได้ประสบอุบัติเหตุจากสภาพอากาศ ทำให้ลงฉุกเฉินจนชำรุด แล้วก็ซ่อมจนใช้งานต่อไปได้ในระยะหนึ่ง ในช่วงผมเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ก็ได้ลงไปตรวจสอบการใช้งาน เนื่องจากเห็นว่าสถิติการใช้งานลดลงมาก ก็เลยให้มีการตรวจสอบรายละเอียด ซึ่งพบว่าเกิดปัญหา จึงให้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาความคุ้มค่าหากมีการส่งซ่อม ทางคณะกรรมการเห็นว่าตัวผ้าใบบอลลูนชำรุดตามห้วงเวลา ไม่คุ้มค่าต่อการส่งซ่อม จึงดำเนินการจำหน่ายตามขั้นตอน โดยเฉพาะตัวเรือเหาะมีมูลค่า 66 ล้านบาท จากมูลค่าทั้งหมด 340 ล้านบาท โดยผมได้อนุมัติให้จำหน่ายตัวเรือเหาะไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2560" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ในความคิดของตน ถือว่าเรือเหาะมีความคุ้มค่ากับงบประมาณ เพราะหลังจากนำมาใช้ สถิติเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามลดลงเรื่อย ๆ เรือเหาะเป็นยุทโธปกรณ์ด้านการป้องปราม ซึ่งต้องสรุปอีกครั้ง แต่ในส่วนของตนยินดีและพร้อมชี้แจง

ต่อกรณีคำถามถึงเมื่อเกิดปัญหากับเรือเหาะ จะถูกโยงไปถึงเครื่องตรวจหาสารเสพติดและสารระเบิด หรือ จีที 200 ซึ่งถือเป็นตราบาปของกองทัพบก ดังนั้นกองทัพได้บทเรียนอะไรจากการซื้อ 2 โครงการนี้หรือไม่ นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า คิดว่ากองทัพได้ประสบการณ์ แต่จีที 200 ตนไม่ทัน ไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด

"การซื้อยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนซื้อของตามห้าง บางสิ่งบางอย่าง เราคิดว่าดีแล้ว แต่เมื่อมาใช้จริง รายละเอียดการใช้อาจไม่ 100% แต่ก็สามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง จึงขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ และควรมองในหลายมุม อย่ามองเพียงด้านเดียว" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ไม่ได้พูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในเรื่องนี้เป็นพิเศษ และถือเป็นเรื่องของกองทัพ ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ติดใจเรื่องนี้ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ถาม แต่ได้อธิบายที่มาของโครงการนี้แก่ตน ทั้งนี้กองทัพพร้อมให้สำนักงานตรวจงานแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ และพร้อมชี้แจงถึงกระบวนการจัดซื้อและใช้งานเรือเหาะ

"ขอยืนยันว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ต้องมาจากความต้องการของหน่วย และกองทัพบกก็จะพิจารณาในรายละเอียดตามความจำเป็นและความเหมาะสม สอดคล้องกับแผนงาน ไม่เกี่ยวข้องกับนัยทางการเมือง เช่น การจัดซื้อรถถังจากจีน เพราะรถถังยูเครนประสบปัญหาล่าช้าในการส่งมอบ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น รถถังจีนก็มีประสิทธิภาพ ราคาเหมาะสม เป็นไปตามที่กองทัพบกำหนด" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ที่มา : สำนักข่าวไทย และไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยันบัตรทอง รพ.รัฐ-เอกชน มาตรฐานเดียวกัน

Posted: 22 Sep 2017 02:35 AM PDT

สปสช.ยืนยัน รพ.รัฐและเอกชน ใช้มาตรฐานและอัตราการจ่ายเดียวกัน ด้านประกันสังคมย้ำขึ้นค่าเหมาจ่ายดูแลผู้ประกันตนให้ 'รพ.เอกชน' สูงสุดเมื่อเทียบกองทุนสุขภาพอื่น

22 ก.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงข้อเรียกร้องของ รพ.เอกชนที่เข้าร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า สปสช.เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ผ่านมาก็ทำงานด้วยดีมาโดยตลอด โดย รพ.เอกชนเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นและได้บริการที่มีคุณภาพ หากมีปัญหาอะไรก็ยินดีรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ รพ.เอกชน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุดต่อไป

"สปสช.ขอยืนยันว่า โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนใช้มาตรฐานเดียวกันและอัตราการจ่ายเงินเดียวกัน อย่างไรก็ตามทราบว่า รพ.เอกชนหลายแห่งได้มีการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพของตัวเองให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งดี และอาจจะมีผลต่อต้นทุน ทาง สปสช.ก็จะได้เชิญทาง รพ.เอกชนมาหารือต่อไป" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว

ขณะที่ มติชนนออนไลน์ รายงานด้วยว่า นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงกรณีข้อเรียกร้องของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนในการเข้าร่วมนโยบายด้านสุขภาพของรัฐ และยังกล่าวถึงงบเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ต่ำกว่าทุน ว่า สปส. ได้กำหนดให้สถานพยาบาลคู่สัญญาทุกแห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชนดูแลผู้ประกันตนที่เลือกสถานพยาบาลให้เป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ ตั้งแต่การให้การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ดูแลรักษาพยาบาลในระยะเริ่มแรกของการเจ็บป่วยจนสิ้นสุดการรักษา ตลอดจนต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ

นพ.สุรเดช กล่าวอีกว่า มติของคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 ได้ปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาไปแล้ว คือ 1. ค่าเหมาจ่ายรายหัว 1,500 บาท/คน/ปี 2. ค่าภาระเสี่ยงสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังเป็น 447 บาท/คน/ปี 3. ค่ารักษาผู้ป่วยในสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงฯ 640 บาท/คน/ปี 4. ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในที่มีค่าใช้จ่ายสูงเกินหนึ่งล้านบาท 15 บาท/คน/ปี ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 โดยสำนักงานประกันสังคมจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนในอัตราที่เท่ากันและเสมอภาคกัน

นพ.สุรเดช กล่าวต่อว่า รวมค่าบริการทางการแพทย์ทั้งหมดที่ สปส. จ่ายให้แก่สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ เท่ากับ 2,602 บาทต่อราย นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ตามสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์อื่นๆที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทั้งในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิหรือสถานพยาบาลอื่นๆตามความเหมาะสมของแต่ละสิทธิประโยชน์ที่มีการจ่ายเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกันตนหรือสถานพยาบาล เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่เป็นค่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ค่าอุปกรณ์สำหรับการบำบัดรักษาโรค ค่าปลูกถ่ายอวัยวะ ค่าบำบัดทดแทนไต ค่ายาสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ค่ายาราคาสูงสำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นเฉพาะ ค่าส่งเสริมสุขภาพเป็นการตรวจร่างกายประจำปี กรณีประสบอันตราย/ฉุกเฉิน ค่าบริการทันตกรรม คิดเป็นอัตราค่าบริการทางการแพทย์ทั้งสิ้น 797.69 บาทต่อราย ซึ่งเมื่อรวมค่าบริการทางการแพทย์ที่จ่ายให้แก่สถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิมียอดรวมทั้งสิ้น 3,399.69 บาท/คน/ปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงและเมื่อเทียบกันแล้วไม่น้อยกว่ากองทุนประกันสุขภาพอื่นๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พหุวัฒนธรรม ความหลากหลาย ทิศทางและข้อท้าทาย ล้านนาคดีศึกษาและวิชาการเพื่อสังคม

Posted: 22 Sep 2017 01:44 AM PDT

21 ก.ย. 2560 เวทีเสวนา "พหุวัฒนธรรม ความหลากหลาย ทิศทางและข้อท้าทายล้านนาคดีศึกษาและวิชาการเพื่อสังคม" โดย 1) ธเนศวร์ เจริญเมือง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2) นงเยาว์ เนาวรัตน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

3) ไชยันต์ รัชชกูล คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา 4) ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ คณะวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 5) สุริชัย หวันแก้ว สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการโดย อาวรณ์  โอภาสพัฒนกิจ รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โดยการเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนา "มานุษยวิทยา ล้านนาคดี และประวัติศาสตร์นิพนธ์ คนสามัญ อานันท์ 70 ปี" ในโอกาส 70 ปี อานันท์ กาญจนพันธุ์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดระหว่างวันที่ 20 - 21 เดือนกันยายน พ.ศ. 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเดย์สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ 10 - ปลุกทุกภาคส่วนแก้ 4 ประเด็นนโยบายสาธารณะ

Posted: 22 Sep 2017 01:38 AM PDT

ส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น การมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหายาเสพติด พัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา และจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

22 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) แจ้งว่า วานนี้ (วันที่ 21 ก.ย.60) มีการประชุมคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 4/2560 โดยนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นพ.พลเดช ปิ่นประทีปเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และกรรมการจากทุกภาคส่วน ณ ห้องทิพวัลย์ 2 โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทุบรี 

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ กล่าวว่า เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ถือเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 โดยปีนี้ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 พ.ศ.2560 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค. 2560 ณ อาคารอิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิดหลัก "10 ปี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ สู่สังคมสุขภาวะ" ที่จะมีภาคีภาครัฐ ภาควิชาการ วิชาชีพ ภาคประชาสังคม ชุมชนและท้องถิ่นเข้าร่วมกว่า 600 องค์กร 

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า คจ.สช. ได้เห็นชอบระเบียบวาระสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 พ.ศ.2560 จำนวน 4 ระเบียบวาระ เพื่อหาฉันทมติและพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพสำหรับขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาโดยทุกภาคส่วน ประกอบด้วย 1.การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น 2.การมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหายาเสพติด 3.การพัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา และ 4.การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

"การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติปีนี้ ถือว่าน่าสนใจทั้ง 4 ระเบียบวาระ แต่สิ่งที่ต้องเพิ่มเติม คือ สร้างการมีส่วนร่วมของภาคียุทธศาสตร์ให้มากที่สุด และเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปขับเคลื่อน รวมถึงการเชื่อมประสานกับคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางปฏิบัติอย่างแท้จริง และนอกจากนี้ จำเป็นต้องมีช่องทางในการสื่อสารกับสาธารณะให้เกิดความตื่นตัวในพื้นที่ต่อไป" นพ.ศุภกิจ กล่าว

นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า ระเบียบวาระสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ทั้ง 4 เรื่อง ถือว่ามีความสำคัญต่อการแก้ปัญหาสุขภาวะของคนไทย และในรอบ 10 ปีของการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการปฏิรูประบบสุขภาพที่ทุกภาคส่วนในสังคมมีความตื่นตัวอยู่ในขณะนี้ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติถือเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งที่ปัจจุบันมีมติแล้วรวม 73 มติ ซึ่งส่วนหนึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และพบว่ามติส่วนใหญ่นั้น หน่วยงานต่างๆ รวมถึงภาคประชาสังคม ได้นำไปขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่

"สิ่งสำคัญของมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ก็คือ กระบวนการทำงานอย่างครบวงจร หลอมรวมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสามารถขับเคลื่อนมติได้จริง โดยหลังจากมีฉันทมติใน 4 ประเด็นแล้ว ต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า ผู้ก่อการดีและพื้นที่รูปธรรม เพื่อให้เกิดเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ" นพ.พลเดช ระบุ

สำหรับงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 10 ในปีนี้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้รับประทานพระคติธรรมจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก พร้อมมีพิธีประกาศธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ โดย พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ การเปิดตัวหนังสือ "10 ปี สมัชชาสุขภาพไทย" ที่ศึกษาโดย WHO และ "สุขภาพทางปัญญา: จิตวิญญาณ ศาสนา และความเป็นมนุษย์" ที่ สช. สนับสนุนให้สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพทำการศึกษา การปาฐกถาพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงนิทรรศการ และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในพื้นที่และการพัฒนานโยบายสาธารณะในประเด็น อาทิ นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพนักมวยเด็ก, พื้นที่สาธารณะเพื่อสุขภาพ, การผลักดัน พ.ร.บ. เขตพื้นที่ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ยุทธศาสตร์ค่า(แกล้ง)โง่

Posted: 22 Sep 2017 12:50 AM PDT

ยุทธศาสตร์..ไม่ซับซ้อน
แบ่งเค้กก้อน..คำใหญ่กิน
หลากหลาย..สบายลิ้น
เปื้อนล้นปาก..สวาปาม

โลภหลง..ลงลึกราก
อำนาจมาก..ยิ่งมูมมาม
ตักตวง..ประโยชน์ตาม
ค่าส่วนต่าง..มันเตะตา

ปิดฉาก..เรือเหาะชั่ว
ปิดรอยรั่ว..ที่ขึ้นรา
เหาะค้าง..จอดตายคา
หยุดสาวไส้..ใครสั่งซื้อ

จีทีฯ..แพงกี่เท่า
ค่าโง่เอา..เขาหลอกอื้อ
คนสั่ง..นั่งไขสือ
เซ็นต์กับมือ..ดันแกล้งมึน

ค่าโง่..เต็มใจงาบ
เห็นรอยคราบ..เน่าอืดขึ้น
เหม็นไกล..ไปหลายกึ๋น
คนเซ็นต์ขี้..ว่ามีใคร

ยุทธศาสตร์..ตีหน้าเซ่อ
ชักกะเย่อ..งบก้อนใหญ่
ผิดเเล้ว..ไม่เป็นไร
โง่ใหม่ยัด..มีอีกเยอะ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการยังไม่ส่งฟ้องคดีชูป้าย ‘เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร’

Posted: 22 Sep 2017 12:42 AM PDT

อัยการศาลแขวงจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่มีคำสั่งฟ้อง หลังครบกำหนดผัดฟ้อง คดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 3/2558 กรณีชูป้ายเวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร ในงานประชุมวิชาการไทยศึกษาครั้งที่ 13 ระหว่างนี้นัดหมายให้ 5 ผู้ต้องหามารายงานตัวเดือนละครั้ง

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2560 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ทาง 5 ผู้ต้องหาในคดีไทยศึกษาได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่ออัยการศาลแขวงจังหวัดเชียงใหม่ตามการนัดหมายเพื่อผัดฟ้องเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นผัดสุดท้ายตามกฎหมายวิธีพิจารณาความในศาลแขวงฯ โดยอัยการยังอยู่ระหว่างการทำสำนวน และเปิดโอกาสให้คู่ความได้นำพยานมาให้การเพิ่มเติม จึงยังไม่มีคำสั่งฟ้องคดี และยังต้องส่งสำนวนให้อธิบดีอัยการภาค 5 มีความเห็นทางคดีต่อไปด้วย จึงนัดให้ผู้ต้องหามารายงานตัวอีกครั้งวันที่ 24 ต.ค.60

ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ได้แก่ ชัยยันต์ วรรธนะภูติ, ภัควดี วีระภาสพงษ์, นลธวัช มะชัย, ชัยพงษ์ สำเนียง และธีรมล บัวงาม ถูกกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 เรื่องการชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากกรณีการติดแผ่นป้ายมีข้อความว่า "เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร" ที่ฝาผนังห้องประชุมศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ขณะเข้าร่วมประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.60

ในวันนี้ ผู้ต้องหาทั้งห้าคนได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่ออัยการแขวงตามนัด พร้อมกับเซ็นรับทราบนัดรายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 24 ตุลาคม 2560 เวลา 13.30 น. โดยมีผู้สื่อข่าว นักวิชาการ และนักศึกษาเดินทางมาติดตามการเข้ารายงานตัวในวันนี้ราว 20 คน รวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้าติดตามถ่ายรูปในระหว่างการเข้ารายงานตัวด้วย

มนตรี นามขาน พนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ เปิดเผยหลังผู้ต้องหาเข้ารับทราบนัดแล้ว ว่าภายหลังจากอัยการได้มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบพยานนักวิชาการเพิ่มเติมตามคำร้องของผู้ต้องหา จำนวน 5 ท่าน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ขณะนี้ทางตำรวจสอบไปได้แล้วจำนวน 2 ท่าน และได้ครบระยะผัดฟ้อง 30 วัน ตามกฎหมายของศาลแขวงแล้ว ทำให้จากนี้การฟ้องคดีต้องได้รับการอนุญาตจากอธิบดีอัยการภาค 5 และเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญ ได้รับความสนใจจากประชาชน ทำให้ทางอัยการแขวงต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชา คืออธิบดีอัยการภาค 5 ตามระเบียบ ซึ่งจะใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ระหว่างนี้ก็จะมีการนัดผู้ต้องหามารายงานตัวประมาณเดือนละ 1 ครั้ง โดยการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องคดีหรือไม่ ขึ้นกับข้อเท็จจริงในคดี และคำสั่งสุดท้ายของทางอธิบดีอัยการภาค 5

มนตรียังเปิดเผยว่าในระหว่างนี้ฝ่ายผู้กล่าวหาและผู้ต้องหายังสามารถนำพยานหรือเอกสารต่างๆ มายื่นเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาในสำนวนคดีได้ โดยได้พูดคุยกับทางฝ่ายผู้กล่าวหา คือเจ้าหน้าที่ทหาร ก็มีการระบุว่าอาจจะมีการนำพยานที่เป็นนักวิชาการมาให้การเพิ่มเติมเทียบเคียงกันกับฝ่ายผู้ต้องหาด้วย แต่จนถึงขณะนี้ทางผู้กล่าวหายังไม่มีการยื่นขอให้สอบพยานเพิ่มเติมเข้ามาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 และมาตรา 9 ของพ.ร.บ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวงฯ กำหนดให้อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลภายใน 48 ชั่วโมง แต่อาจผัดฟ้องได้ 5 ครั้ง ครั้งละ 6 วัน รวมเป็น 30 วัน หากพ้นกำหนด 30 วันแล้ว ห้ามมิให้อัยการฟ้องคดี ยกเว้นได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการหรืออธิบดีภาค

คดีนี้มี ร.ท.เอกภณ แก้วศิริ อัยการผู้ช่วยศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ได้รับมอบอำนาจจาก พ.อ.สืบสกุล บัวระวงศ์ รองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์

ก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาทั้งห้าคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้ขอให้พนักงานสอบสอนได้สอบพยานนักวิชาการในสาขาต่างๆ เพิ่มเติมจำนวน 5 คน เพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้ของผู้ต้องหา ภายหลังพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการศาลแขวงเชียงใหม่โดยยังไม่ได้สอบพยานเพิ่มเติม ทางฝ่ายผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ทำให้ทางอัยการได้มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมได้ พนักงานสอบสวนจึงได้ทยอยเริ่มสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมแล้ว 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.สอบ ครม.อภิสิทธิ์ ซื้อเรือเหาะ ชี้อาจเข้าข่ายก่อความเสียหายต่อรัฐ

Posted: 22 Sep 2017 12:41 AM PDT

'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.สอบ ครม.อภิสิทธิ์ ซื้อเรือเหาะส่อขัดเกณฑ์ใช้งบกลาง ชี้ไม่ได้จำเป็นเร่งด่วน จึงอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ขณะที่ชาวบ้านม่วงสามสิบ อุบลฯ ยื่น สอบทำประชาคมโรงไฟฟ้าขยะชีวมวล ไม่โปร่งใส ส่อจนท.ทุจริต

22 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (22 ก.ย.60) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธาน ป.ป.ช. ผ่าน สุทธิ บุญมี ผู้อำนวยการสำนักการข่าวและกิจการพิเศษ ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบคณะรัฐมนตรีสมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กรณีที่ประชุมครม.ในขณะนั้นมีมติอนุมัติให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2552 งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์กลางวัน/กลางคืน วงเงิน 350 ล้านบาท เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่

เรืองไกร กล่าวว่า การที่ ครม.รัฐบาลอภิสิทธ์ ได้มีมติอนุมัติแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ในวันที่ 17 ก.พ.52 ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นกรณีที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการเท่านั้น ส่วนกรณีที่มีวงเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท ให้เสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติในหลักการก่อน รวมถึงได้ยกเลิกแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง จากมติ ครม.เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 51 ด้วย ซึ่งต่อมาในการประชุม ครม.ในวันที่ 10 มี.ค.52 ก็มีมติอนุมัติให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์ วงเงิน 350 ล้านบาท โดยอ้างมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2551 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติยกเลิกแนวทางดังกล่าวไปแล้ว 

ดังนั้นการที่ ครม. เมื่อวันที่ 10 มี.ค.มีมติอนุมัติให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์ วงเงิน 350 ล้านบาทจึงอาจจะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การใช้งบกลางหรือไม่ นอกจากนั้นการที่เรือเหาะใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์และมีการยกเลิกไปแล้วนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้จำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด จึงอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ

ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องเกี่ยวกับเรือเหาะ ป.ป.ช.ชุดที่ผ่านมาเคยวินิจฉัยกรณีถอดถอน สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไม่ควบคุมดูแลกองทัพบกในการใช้งบประมาณจัดซื้อเรือเหาะอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งได้ยกคำร้องไปแล้ว แต่ถ้า เรืองไกร มีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่ใช่ประเด็นเดิมที่ ป.ป.ช.เคยมีมติไปแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาพิจารณาได้หรือไม่ เพราะหากเป็นเรื่องเดียวกัน ตามกฎหมายไม่สามารถดำเนินการได้
 
สำหรับกรณีเรือเหาะตรวจการณ์กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่

วันเดียวกัน พัฒนา ส่งเสริม กำนันตำบลหนองช้างใหญ่ พร้อมชาวบ้าน อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ประมาณ 30 คน ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อร้องเรียนและให้ตรวจสอบการทำประชาคมไม่โปร่งใสของ อบต.หนองช้างใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ โดย สุทธิ  เป็นผู้รับหนังสือแทน

พัฒนา ระบุว่า ตามที่อบต.หนองช้างใหญ่และบริษัทเอกชน ได้จัดทำประชาคมกรณีบริษัทเอกชนดังกล่าวจะทำการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล(ขยะ) ในพื้นที่ต.หนองช้างใหญ่ แต่กลับมีการจัดหารถรับส่งชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุให้เข้าร่วมรับฟังคำชี้แจง ที่ล้วนแต่เป็นคำศัพท์ทางวิชาการ ก่อนจะให้รับฟังความคิดเห็นแล้วทำประชาคมว่ารับหรือไม่รับโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว ทั้งนี้ ปรากฎว่ามีการร่วมกันปลอมลายมือชื่อของชาวบ้านที่ไม่ได้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปเบิกจ่ายงบประมาณในการจัดทำประชาคมครั้งนั้นด้วย

 

ที่มา : โลกวันนี้ สำนักข่าวไทย และข่าวสดออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น