โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'เพื่อนเพื่อมนุษยธรรม' เปิดวาทะเตือนสติ - ช่องทางหนุนช่วยผู้อพยพลี้ภัยโรฮิงญา

Posted: 21 Sep 2017 10:53 AM PDT

กลุ่มเพื่อนเพื่อมนุษยธรรม เปิดข้อความเตือนสติ พร้อมช่องทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพลี้ภัยชาวโรฮิงญา ย้ำในพุทธศาสนา "การไม่ฆ่า" คือ ศีลข้อแรก ที่แสดงให้เห็นถึงจุดยืนทางมนุษยธรรมในการไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการกับปัญหา

21 ก.ย. 2560 จากเหตุการณ์ความรุนแรงภายในรัฐยะไข่ ประเทศพม่า โดยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวนมากได้หลบหนีเข้าสู่ประเทศบังคลาเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าที่มีต่อกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา

ล่าสุดวานนี้ (20 ก.ย.60) กลุ่มเพื่อนเพื่อมนุษยธรรม ประกอบด้วย พระไพศาล วิสาโล ธรรมนันทาภิกษุณี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อัญชลี คุรุธัช สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ สมบูรณ์ จึงเปรมปรีดิ์ วิจักขณ์ พานิช พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ อวยพร เขื่อนแก้ว กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล สนิทสุดา เอกชัย อภิญญา เวชยชัย งามศุกร์ รัตนเสถียร มุทิตา เชื้อชั่ง กษิดิศ อนันทนาธร ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา สุรพศ ทวีศักดิ์ และคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ออกจดหมายจากกลุ่มเพื่อนผู้สนับสนุนการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพลี้ภัยชาวโรฮิงญา

จดหมายดังกล่าว ระบุว่าในพุทธศาสนา "การไม่ฆ่า" คือ ศีลข้อแรก ที่แสดงให้เห็นถึงจุดยืนทางมนุษยธรรมในการไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการกับปัญหา ในกรณีชาวโรฮิงญา การพยายามหาเหตุผลให้กับการเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยอคติทางชาติพันธุ์หรือศาสนา จึงเป็นสิ่งที่สังคมพุทธไม่ควรเพิกเฉยหรือยอมรับ

กลุ่มดังกล่าว ได้เชิญชวนผู้สนใจร่วมกันส่งข้อความแห่งความรักความกรุณา ส่งความรู้ความเข้าใจเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ รวมทั้งส่งผ่านความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะทำได้ ผ่านทางองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์นานาชาติ (International Network of Engaged Buddhists: INEB) ซึ่งจะนำทรัพยากรดังกล่าวไปช่วยเหลือชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยอยู่ในชายแดนบังคลาเทศ โดย ช่องทางการส่งข้อความแห่งมนุษยธรรมและลงชื่อได้ที่ https://goo.gl/forms/M76mYdFktaQRogmv2 หรือแชร์/โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แล้วติดแฮ็ชแท็ก "#เพื่อนเพื่อมนุษยธรรม"

สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคเงินช่วยเหลือสามารถโอนเงินผ่านบัญชี "มูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป" ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเจริญนคร บัญชี ออมทรัพย์ เลขที่ 024-2-59705-9 แล้วแนบหลักฐานการโอนเงินมาที่ อีเมล์: thaihumanitarian@gmail.com

รวมข้อความจากกลุ่มเพื่อนเพื่อมนุษยธรรมต่อกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้น :

"พุทธศาสนานอกจากปฏิเสธความรุนแรงแล้ว ยังไม่สนับสนุนการแบ่งเขาแบ่งเรา จนเห็นคนอื่นเป็นศัตรูที่ต้องเกลียดชัง  ยิ่งการมองเห็นผู้คนเป็นตัวเลวร้ายเพียงเพราะเขามีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาต่างจากเรา ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะเราไม่พึงตัดสินคนโดยดูที่"สมมุติ" หรือ "ยี่ห้อ"ของเขาเท่านั้น  ถึงที่สุดแล้วทุกคนต่างเป็นมนุษย์และเพื่อนร่วมทุกข์กันทั้งนั้น จึงควรมีเมตตาต่อกัน (ดังเวลาแผ่เมตตา เราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ไม่เลือกว่าเป็นคนหรือสัตว์ด้วยซ้ำ จะกล่าวไปไยถึงการแบ่งแยกว่าเป็นพุทธ มุสลิม คริสต์ ไทย  พม่า หรือโรฮิงญา) ดังนั้นเมื่อเห็นใครประสบทุกข์ เราจึงควรช่วยเหลือตามกำลัง โดยไม่เลือกว่าเป็นคนชาติใดศาสนาใด เพราะแท้จริงแล้วเรากำลังช่วยเพื่อนมนุษย์  มิใช่ใครอื่น"

พระไพศาล วิสาโล, วัดป่าสุคโต

======================

ก่อนที่จะเป็นโรฮินจา เขาก็เป็นมนุษย์ที่มีชีวิต มีความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตที่สงบสุข เหมือนกับเรา  ขอสนับสนุนให้เขาได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์เพื่อนร่วมโลก เช่นเดียวกันกับเรา

ธัมมนันทาภิกษุณี, วัตรทรงธรรมกัลยาณี

======================

"โรฮิงญาเป็นคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่าในพม่า ในอินเดีย ในบังคลาเทศ พวกเขาเป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ถือพุทธ เราต้องมองว่าทั้งหมดเนี่ย คือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราจึงควรมีเมตตากรุณาต่อคนโรฮิงญา ต้องช่วยเป็นปากเป็นเสียงแทนเขา เค้าถูกรังแก ก็ควรช่วยอุดหนุนเกื้อกูลเขา ถ้าเขาขอร้องให้ช่วยอะไรก็ควรช่วยเขา แม้เขาไม่ขอร้องก็น่าจะหาทางช่วยเหลือเขาเท่าที่เราจะทำได้ ตามหนทางของชาวพุทธ

พุทธะแปลว่าตื่น ชาวพุทธจะต้องไม่ติดในชาตินิยม ไม่ติดในการรังเกียจ... บางทีไปรังเกียจเขาว่าเป็นมุสลิมบ้างอะไรบ้าง ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ชาวพุทธจะต้องมีความรักเป็นเจ้าเรือน ตระหนักถึงความทุกข์ของคนที่เขาเดือดร้อน พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกขสัจจ์นั้นสำคัญมาก ความทุกข์ไม่ใช่ของเราคนเดียว ...เพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะคนกลุ่มน้อยที่ถูกข่มเหง เราจะต้องช่วยกันออกมาเป็นปากเป็นเสียง ช่วยเหลือเกื้อกูลเขา เรียนรู้จากเขา"

ส. ศิวรักษ์, ปัญญาชนสยาม

=======================

"ชาวโรฮิงญานับพันถูกฆ่าและถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม พวกเขานับแสนต้องอพยพหนีออกจากเมียนมาร์ หมู่บ้านนับร้อยถูกเผาทำลายด้วยกองกำลังทหารติดอาวุธ  เช่นเดียวกับที่คนยิวและคนเขมรนับล้านที่ถูกฆ่าโดยนาซีและเขมรแดงในอดีต เช่นเดียวกับชาวธิเบตที่ถูกฆ่าถูกกักขังทรมาน เช่นเดียวกับชาวพุทธบังกลาเทศที่ถูกฆ่าและขับไล่

เราจะเลือกมีส่วนร่วมกับความทุกข์มหันต์นี้อย่างไร ด้วยการเติมเชื้อเพลิงแห่งความเกลียดชังและความรุนแรง ด้วยการเพิกเฉยเบือนหน้าหนี ด้วยการเปิดใจรับรู้ หรือด้วยการก้าวเข้าร่วมแก้ไข

ณ ตอนนี้เราเห็นใจและให้ความช่วยเหลือใครอยู่บ้าง ในหัวใจของเรา มีความอ่อนโยนและรับรู้ความทุกข์ของใคร - เด็กกำพร้าขาดความรักความอบอุ่น, ขอทานพิการไร้ที่ซุกหัวนอน, สุนัขจรจัดโหยหิว, ผู้ป่วยใกล้ตายขาดญาติมิตร, ทหารที่พิการจากการปฏิบัติหน้าที่, ผู้ถูกข่มขืน, ผู้ถูกทำร้ายทรมาน, ศิลปินอดอยาก, เด็กเรียนดีไม่มีอนาคต, ผู้ประสบภัยพิบัติจากแผ่นดินไหว จากน้ำท่วม จากความแห้งแล้ง จากสงคราม ฯลฯ

หากหัวใจเรามีพื้นที่ให้กับความเมตตากรุณาแม้กับใครสักคนแล้ว เราลองสมมุติตัวเองเป็นชาวโรฮิงญาตอนนี้ เราจะมองเห็นความทุกข์อันใหญ่หลวงของคนที่ถูกฆ่าถูกตามล่า คนที่สูญเสียครอบครัวและทุกสิ่ง หากเราเจอชะตากรรมเช่นเดียวกัน เราจะเป็นอย่างไรหากโลกไม่ไยดี แล้วเราจะเห็นได้ว่าพวกเขาคือเพื่อนมนุษย์ของเรา"

อัญชลี คุรุธัช, ผู้ช่วยเหลือด้านภาษาให้แก่บ้านพักฉุกเฉินชาวเอเชียในซานฟรานซิสโก (Asian Women Shelter) กรรมการที่ปรึกษาองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์นานาชาติ (INEB)

==========================

"หากมองด้วยแว่นการเมือง เราอาจพบว่าประเด็น 'โรฮิงญา' นั้นมีความซับซ้อนหลากหลายแง่มุม แต่ถ้าลองถอดแว่นการเมืองออก แล้วมองชาวโรฮิงญาในฐานะเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันนี้ เราอาจพบว่านี่คือโจทย์ที่จำเป็นต้องร่วมทำความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และเปิดพื้นที่ให้ความเมตตากรุณาซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าเราไม่สามารถตัดสินได้หรอกว่าแต่ละฝ่ายควรจัดการปัญหานี้อย่างไร แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนของมนุษย์อีกหลายคน สิ่งที่พอจะทำได้คือให้ความช่วยเหลือตามวิธีและความสามารถของแต่ละคน โดยมองข้ามเส้นแบ่งของชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา หรือสิ่งต่างๆ ที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน ในฐานะพี่น้องร่วมโลก เราสามารถช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อนได้เสมอ ซึ่งการช่วยเหลือนั้นย่อมทำให้หัวใจของเราเปิดออก โอบรับความต่าง และรู้สึกรู้สากับความทุกข์ของผู้อื่น เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นย่อมเป็นแบบฝึกหัดทดสอบจิตใจของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี"

สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม), นักเขียน

==============================

"ผมเห็นว่าเราต้องหลงเหลือความเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม หรืออื่นๆ ให้น้อยที่สุด แต่มีความเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด ซึ่งความเป็นมนุษย์สำคัญมากและเป็นพื้นฐานของศาสนาต่างๆ ด้วย พวกเราจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์ยาก โดยเฉพาะพี่น้องชาวโรฮิงยาที่กำลังลำบากอยู่ ณ ตอนนี้ซึ่งมีจำนวนหลายแสนคนที่ต้องอพยพ และอีกหลายแสนต้องเผชิญกับอันตรายอยู่เราจำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เพื่อแก้ปัญหานี้มากกว่า เชื้อชาติ ศาสนา หรือแม้แต่กรอบอันคับแคบของประเทศชาติ และเราจำเป็นต้องช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในเรื่องปัจจัยพื้นฐานของพี่น้องชาวโรฮิงยาเหล่านี้ และช่วยในระยะยาวอีกด้วย"

สมบูรณ์ จึงเปรมปรีดิ์, องค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์นานาชาติ; INEB (International Network of Engaged Buddhist)

======================          

 "เมื่อวันก่อน ผมได้พบกับชาวโรฮิงญาคนหนึ่งที่มาใช้ชีวิตอยู่ในไทย พูดไทยได้ เขาสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป 3 คนและญาติมิตรอีกนับไม่ถ้วน ความรู้สึกโศกเศร้าของเขานั้นเอ่อล้น แต่ยังคงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะสื่อสารกับชาวโลก เพื่อขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและความเห็นอกเห็นใจต่อความโหดร้ายทารุณที่พวกเขาประสบอยู่    

คำว่า "ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม"  ไม่ใช่การเข้าข้าง หรือไม่ใช่การให้การสนับสนุนที่ซับซ้อนอะไร แต่มันคือการให้ความช่วยเหลือพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงกระทำต่อมนุษย์อีกคนหนึ่งในสถานการณ์ลดทอนความเป็นมนุษย์อย่างเลวร้าย การเห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะทำได้  เพื่อที่ผู้คนชาวโรฮิงญามีน้ำดื่ม อาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิง ยารักษาโรค เพียงพอต่อการมีชีวิตรอดผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากนี้ไปได้ เป็นสิ่งที่เราควรกระทำ เพราะนอกจากจะช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่ชาวโรฮิงญาแล้ว ยังจะช่วยปลดปล่อยหัวใจของเราออกจากกำแพงอคติและการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและศาสนาอีกด้วย"

วิจักขณ์ พานิช, สถาบันวัชรสิทธา

===============================

ไม่กี่วันก่อน ท่านทะไลลามะบอกสื่อว่า "ถ้าพระพุทธองค์ยังอยู่ พระองค์ต้องช่วยเหลือชาวมุสลิมที่น่าสงสารเหล่านี้แน่นอน" และบอกต่อว่า "ท่านรู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก" เพราะในช่วงแค่สองสัปดาห์เราเห็นเกือบหนึ่งในสามของชาวโรฮิงญาต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน อพยพหลบหนี เป็นจำนวนมากกว่าผู้อพยพที่เดินทางจากแอฟริกาไปยุโรปทั้งปี (2559) บางคนถูกยิงด้วยกระสุน บางคนบาดเจ็บเพราะกับระเบิดของทหารพม่า หลายสิบคนจมน้ำตาย ระหว่างข้ามแม่น้ำในช่วงฤดูมรสุม แม้คนที่ข้ามมาได้แล้วก็อยู่กันอย่างอนาถา ฝนตก น้ำท่วม เต็มไปด้วยดินโคลน คนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากรร้าย เป็นเพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เป็นแค่ "เหยื่อ" ของสงคราม เป็นเหยื่อของความคิดชาตินิยมสุดโต่ง สิ่งที่โดดเด่นของเราชาวพุทธ คือการไม่แยกชนชั้นวรรณะและศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าให้ช่วยเหลือมีเมตตาต่อพุทธด้วยกันเอง แต่ให้คำนึงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราจะนิ่งดูดายได้อย่างไร

พิภพ อุดมอิทธิพงศ์, นักแปลและนักวิชาการอิสระ

============================

ความทุกข์สาหัสของชาวโรฮิงยากว่าสามแสนคนที่ถูกผลักออกจากประเทศพม่าในช่วงที่ผ่านมาเรียกร้องให้เราเปิดหัวใจเพื่อให้ความเมตตา ความกรุณาความเห็นใจ และมนุษยธรรมของเราหลั่งไหลออกมา เพราะพวกเขาคือเพื่อนมนุษย์ที่สูญเสียบ้านเกิด หลายคนสูญเสียสมาชิกครอบครัว คนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ มีคนที่ยังหลบซ่อนตัวเพราะกลัวถูกทำร้าย และแม้จะมีที่พักพิงในบังกลาเทศแต่ก็ขาดอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่มและอนาคตของชีวิตที่ปลอดภัย

อวยพร เขื่อนแก้ว, ผู้อำนวยการศูนย์ผู้หญิงบ้านดินเพื่อสันติภาพและความเป็นธรรมคะ

============================

ในขณะที่พวกเรามีชีวิตที่อยู่ดีมีสุขและมีเวลาภาวนา ชาวโรฮิงญา เพื่อนบ้านของเรากำลังประสบชะตากรรมอย่างหนัก พวกเขาไม่มีแม้ความหวังสำหรับอนาคต การช่วยเหลือพวกเขาจึงสำคัญและจำเป็นไม่เพียงด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของชาวพุทธทุกคนที่ได้รับการสอนให้รักและกรุณาต่อทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาใด ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นมนุษย์หรือไม่

กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล, มูลนิธิพันดารา

===========================

"หัวใจที่ด้านชาต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่น ไม่ใช่หัวใจของผู้ที่ยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้า"

สนิทสุดา เอกชัย, คอลัมนิสต์ Bangkok Post

============================

ชาวโรฮิงญาคือคนที่มีเลือดเนื้อจิตวิญญาณ มีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่แตกต่างจากเรา ความต่างเชื้อชาติ ศาสนา ไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์ของคนโรฮิงญาด้อยค่ากว่าเรา ตรงกันข้ามการที่ชาวโรฮิงญาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความเกลียดชังของโลก  อดทนต่อความเมินเฉยเย็นชา การเหยียดหยามตีตราจากอคติของผู้คนในทุกแห่งหน และทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องลูกหลานของตนเอง พวกเขาคือชาติพันธุ์กล้าหาญและมีศรัทธาต่อการมีชีวิต

การมองเห็นชาวโรฮิงญาและลูกหลานของเขาในฐานะมนุษย์ คือการที่บอกว่าเราต่างมีภาระหน้าที่ทางมนุษยธรรมต่อกัน ความเอื้ออาทรและความเห็นอกเห็นใจชาวโรฮิงญาแม้อาจไม่ได้ช่วยเขาให้พ้นทุกข์อย่างเต็มที่ แต่ก็บอกให้เรารู้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกนี้ยังคงมีมนุษยธรรมหลงเหลืออยู่

อภิญญา เวชยชัย, นายกสภาวิชาชีพสังคมสงเคราห์
===========================

"ข้าพเจ้าได้คุยกับเพื่อนถึงเหตุผลในการช่วยเหลือโรฮิงญา เขาบอกว่า เราในฐานะชาวพุทธ ควรจะมีความเมตตาต่อคนเหล่านี้ในฐานะ "เพื่อนร่วมทุกข์" ซึ่งในบทสวดแผ่เมตตาพระพุทธเจ้าก็สอนให้เราทุกคน มีจิตใจเมตตาต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์ที่รู้จัก หรือไม่รู้จักก็ตาม ข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นด้วยกับเหตุผลดังกล่าว นอกจากนั้นยังคิดว่า แม้ว่า เขา/เธอจะมีความแตกต่างกับเราเช่นไร แต่ในวันที่พวกเขากำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าสังหารจนถึงแก่ชีวิต การทรมานและทำร้ายร่างกายพลเรือนผู้บริสุทธิ์จนทำให้เขา/เธอเหล่านี้ ต้องอพยพหนีออกจากบ้านเกิดอันเป็นที่รัก ในสภาพการณ์เช่นนี้เราในฐานะ "เพื่อนร่วมทุกข์" จะเพิกเฉยอยู่ได้อย่างไร อย่างน้อยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ น่าจะเป็นก้าวแรกที่จะพาเราเดินไปรับฟังเสียงความทุกข์ของเขา/เธอ ที่อยู่อีกฟากฟ้าหนึ่ง จากประสบการณ์ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า การได้ยินเสียงและสัมผัสความรู้สึกของกันและกัน อาจจะทำให้เรารู้สึกอยากจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเขา/เธอเหล่านั้น"

งามศุกร์ รัตนเสถียร, สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา (มหาวิทยาลัยมหิดล)

================================

"อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนในบทความ 'คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน' ตอนหนึ่งว่า

"เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ ๆ อย่างบ้า ๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ..."

และเน้นย้ำอยู่เสมอว่า สังคมที่พึงปรารถนานั้น  นอกจากจะต้องมีสมรรถภาพ มีเสรีภาพ และมีความยุติธรรมในสังคมแล้ว  ยังจำเป็นที่จะต้องมีความเมตตากรุณาด้วย

ก็ชาวโรฮิงญานั้นเป็นคนเหมือนเรา ควรหรือที่เขาจะต้องตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้า ๆ   ถ้าเรามีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์บ้าง ก็น่าที่จะเห็นใจและช่วยเหลือเขาตามสมควร"

กษิดิศ อนันทนาธร, ผู้จัดการโครงการ 100 ปีชาตกาล ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

==========================

เรื่องของชาวโรฮิงญานั้นน่าเศร้ามานมนาน เป็นชายขอบในทุกที่ โศกนาฏกรรมที่เกิดเร็วๆ นี้ยิ่งน่าหดหู่ใจ แต่ที่หดหู่ใจยิ่งกว่าคือ สังคมของเราก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ความเพิกเฉย ซ้ำเติมเข้าไปอีกผ่านกำแพงศาสนา ชาติพันธุ์ และเราไม่รู้จะหยุดยั้งความโหดร้ายนั้นอย่างไร หยุดยั้งความไม่เข้าใจนั้นอย่างไร เรื่องราวความโหดร้ายก็ไม่ได้มีพยานรู้เห็น ไม่มีภาพรันทดหดหู่แพร่กระจายในโลกโซเชียล

แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จินตนาการถึงได้ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน และเมื่อรู้สึก เราอาจทลายกำแพงความเพิกเฉย พอทำอะไรได้ก็จะทำ โดยไม่ต้องอ้างอิงหลักศาสนาไหนๆ เลยก็ได้

มุทิตา เชื้อชั่ง, นักข่าวสิทธิมนุษยชน รางวัล AFP

=================================
ทำไมมนุษยธรรมจึงหายไปจากความรู้สึกหรือ "สามัญสำนึก" ของพวกเรา หากคณะสงฆ์ มหาวิทยาลัยสงฆ์ และองค์กรชาวพุทธต่างๆ ในไทยร่วมกันส่งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าและชาวพุทธพม่าแก้ปัญหาชาวโรฮิงญาอย่างมีมนุษยธรรมและเคารพหลักสิทธิมนุษยชน แม้ถึงที่สุดแล้วอาจเปลี่ยนแปลงความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้รู้ว่าตัวตนของ "ความเป็นชาวพุทธ" ของเรายังมีอยู่ ยังอยู่ที่นี่ และยังเปล่งเสียงมนุษยธรรมออกมาได้

สุรพศ ทวีศักดิ์, นักวิชาการด้านพุทธศาสนา

===========================

"เมื่อเรามองมนุษย์ในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม ไม่แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น วรรณะ, ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เว้นแต่ว่าเราจะมองชาวโรฮิงญาอย่างไม่เท่าเทียมในความเป็นมนุษย์, การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมต่อพวกเขาจึงเป็นการแสดงออกว่าเราเองนั่นแหละคือมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อเราถือตนนักหนาว่าเป็นเมืองพุทธ เราก็ควรมีความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไม่ลำเอียง เหตุการณ์ที่พระสงฆ์ออกมาปลุกระดมให้เกิดความชิงชังชาวโรฮิงญาในพม่า เป็นตัวอย่างเราควรสลดใจ เรื่องนี้ควรตระหนักอย่างไม่จำเป็นต้องคิดจากมุมมองศีลธรรมของศาสนา แต่ตระหนักได้ด้วยจริยธรรมของมนุษย์พื้นฐาน ต่อเหตุการณ์นี้เอง มันกลับเป็นการพิสูจน์ถึงความเป็นมนุษย์ของตัวเรา"

ศุภโชค ชุมสาย ณ อยุธยา, อาจารย์มหาวิทยาลัย, แอดมินเพจ zen smile, zen wisdom

==============================

"หัวใจของพุทธศาสนาคือคำสอนเรื่องความกรุณาที่ไม่มีประมาณ ไม่แบ่งแยกเรา-เขา ไม่ว่าจะด้วยลัทธิศาสนาความเชื่อหรือชาติพันธุ์ แต่มองเห็นความเป็น"เพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น" และพุทธศาสนาไม่มีแนวคิดเรื่องอาฆาตแก้แค้น แค่นี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่เราควรเห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยทางมนุษยธรรมกับชาวโรฮิงญา"

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง, อาจารย์มหาวิทยาลัย, ภาคปรัชญา มหาวิทยาลัยศิลปากร

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ชี้ รบ.ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างนักรบไซเบอร์ 1,000 คน เฝ้าระวัง

Posted: 21 Sep 2017 09:42 AM PDT

ประยุทธ์ เปิดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 เผยรัฐบาลขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลให้คนไทยได้ประโยชน์ สร้างนักรบโลกไซเบอร์ 1,000 คน เฝ้าระวังแก้ปัญหาโครงข่ายทางไซเบอร์ ย้ำรัฐใส่ใจดูแลประชาชนด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วประเทศ

ภาพจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

21 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า วันนี้ (21 ก.ย.60) เวลา 09.30 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ภายใต้แนวคิด Digital Transformation Thailand พร้อมปาฐกถาพิเศษ "ดิจิทัลกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย 4.0" ที่จัดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ปลัดกระทรวง ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนภาคเอกชน และสื่อมวลชน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ดิจิทัลกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย 4.0 สรุปสาระสำคัญว่า ในเรื่องการขับเคลื่อนดิจิทัล จะต้องมีการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความมั่นคง ปลอดภัย เชื่อมั่น เดินหน้าไปสู่การใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในวันนี้และอนาคต เมื่อโลกเปลี่ยน คนก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ไปสู่วิสัยทัศน์ของชาติคือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้ได้ โดยการเจริญเติบโตของดิจิทัล รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะดิจิทัลจะเป็นตัวเร่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยตามนโยบายไทยแลนด์  4.0 ที่จะนำพาขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและคน ไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งรัฐบาลพยายามจะผลักดันประเทศให้เดินหน้าด้วยวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม ข้อมูล ทุนมนุษย์ และทรัพยากรอื่น ๆ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนต่าง ๆ ให้ มั่นคง แข็งแรง ยั่งยืน เปลี่ยนโฉมหน้าประเทศให้เป็นผู้นำในยุค Digital Transformation และวันนี้เรากำลังเดินหน้าประเทศด้วยการปฏิรูป จึงต้องใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้เป็นรูปธรรม เพื่อต้องการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสของประชาชนอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ   
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในการสร้างนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อปรับฐานเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อการเชื่อมโยงประเทศไทยสู่โลก รัฐบาลได้เน้นความสำคัญใน 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 คนไทยทุกคนต้องพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลไปด้วยกัน โดยรัฐบาลจะต้องจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ เพื่อจะกระจายความเจริญและสร้างโอกาสให้กับชุมชนไปทั่วทุกภูมิภาค ให้ประชาชนเข้าถึงการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึง  พลิกโฉมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศด้วยโครงการเน็ตประชารัฐ เพื่อขยายปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสงไปยังหมู่บ้าน เชื่อมกับโรงเรียน โรงพยาบาล เทศบาลตำบลทั้งหมด รวมถึงมีจุดกระจายสัญญาณ Free Wi-Fi หมู่บ้านละ 1 จุด เพื่อให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเน็ตประชารัฐจะทำให้ประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสงครอบคลุมทั่วประเทศทั้งหมด 74,965 หมู่บ้านภายในปี 2561
 
"ถือว่าเราได้ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เรื่องการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ ก็เพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกคนในประเทศ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีคุณภาพสูง มีความท้องถิ่น ซึ่งผมได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยบริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด สำนักงานส่งเสริมE – Commerce สำหรับสินค้าและบริการจากชุมชน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนสามารถส่งสินค้า และบริการ ขึ้นมาขายบนระบบออนไลน์ผ่านระบบออนไลน์ตรง หรือผ่านร้านค้าประชารัฐ ร้านค้า SMEs, OTOP และร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ในชุมชนที่มีระบบ Point-of-Sale หมู่บ้านละ 1 จุดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นระยะแรก ที่ในระยะสั้น ภายในปี 2561 จะมีร้านค้าเหล่านี้ถึง 10,000 แห่งทั่วประเทศ จะมีสินค้าและบริการจากชุมชนรวมกันทั่วประเทศประมาณ 50,000 รายการ และจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่หมู่บ้าน หมู่บ้านละประมาณ 300,000 บาทต่อปี ระยะกลางภายในปี 2564 จะขยายไปครบ 74,965 หมู่บ้าน ระยะยาวจะขยายไปถึงการนำสินค้าและบริการจากชุมชนไปขายยังทั่วโลก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีโครงการพัฒนา Smart Farmers ให้ผู้ประกอบการเกษตรคนรุ่นใหม่เป็นเกษตรกรดิจิทัล โดยเริ่มพัฒนา 30,000 รายในปีนี้ และ 200,000 รายในปี 2564  ซึ่งต่อไปจะสามารถขยายผลมาช่วยคนไทยกว่า 17 ล้านคนที่ทำอาชีพการเกษตร และจะมีการขยายผลไปในระดับประเทศแบบเดียวกับโครงการ "เน็ตประชารัฐ" ซึ่งจะสามารถขจัดความยากจนให้หมดจากประเทศไทยได้  ขณะที่ในเรื่องของสาธารณสุข จะต้องมีการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ และสาธารณสุข โดยเฉพาะด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ผ่านกระบวนการศึกษาทางไกลระหว่างแพทย์ประจำโรงพยาบาลกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์แพทยศาสตร์ชั้นคลินิกในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หรือ e Health Strategy โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาทุนมนุษย์ด้าน e Health และเทคโนโลยีสารสนเทศการจัดการความรู้ด้านการแพทย์ และสุขภาพสำหรับประชาชน เพื่อจะเป็นแนวทาง เป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาทรัพยากรบุคคลสาธารณสุขด้าน Health IT
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงด้านที่ 2 ว่า รัฐบาลจะมุ่งเน้นการพัฒนาและขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ปรับฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านโครงการ Digital Park Thailand ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกำลังออกแบบอยู่ใกล้จะแล้วเสร็จ จะสร้างบนพื้นที่ 600 กว่าไร่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการลงทุน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านดิจิทัลในภูมิภาค ตามนโยบายโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่จะมุ่งเน้นการดึงดูดนักลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านกลไกส่งเสริมการลงทุน นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่น เช่น การยกเว้นภาษี 300% สำหรับการวิจัยและการพัฒนาดิจิทัลในภาคเอกชน การยกเว้นภาษี 200% สำหรับ SMEs ของไทยที่ลงทุนด้านดิจิทัลและการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเพิ่มเติม ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งสถาบันไอโอที (Internet of Things: IoT) ให้เป็นศูนย์ขับเคลื่อนการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีไอโอที และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  โดยจะต้องสร้างความร่วมมือกับบริษัทเอกชนมากกว่า 300 ราย และหน่วยงานวิจัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศและทั่วโลก สร้างเครือข่ายความเป็นเลิศด้านไอโอที พัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็น ให้ความรู้และคำปรึกษาด้านเทคโนโลยีแก่ภาคอุตสาหกรรม และจะจับคู่ธุรกิจผู้ประกอบการดิจิทัลของไทยเข้ากับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ เกษตรและอาหาร การแพทย์ เป็นต้น จำนวนอย่างน้อย 1,000 ราย ภายในปี 2564 ทำให้การลงทุนและใช้จ่ายด้านดิจิทัลที่เป็นรูปธรรมจะได้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
 
สำหรับด้านที่ 3 รัฐบาลมุ่งเน้นการเชื่อมโยงประเทศไทยไปสู่โลก โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการบูรณาการเชื่อมโยงความร่วมมือกับต่างประเทศทุกประเทศ ทั้งทางกายภาพและแนวปฏิบัติ ซึ่งมีความก้าวหน้ามากมาย ตั้งแต่การเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำลังเร่งขยายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศผ่านทั้งระบบเคเบิลใต้น้ำเพื่อนบ้าน ที่CLMV ไทยกับอาเซียน ไทยกับโครงการ One–Belt-One-Road ของประเทศจีน ซึ่งมี 20 กว่าประเทศที่มีส่วนร่วมอยู่ในโครงการเหล่านี้ เพราะตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของไทยจะทำให้ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตที่สำคัญของเอเชีย หรือ World Connectivity แห่งใหม่ในเอเชียได้ไม่ยากนัก
 
พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงประเด็นที่สำคัญมากในยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลคือ การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เนื่องจากภัยคุกคามเหล่านี้ไม่มีพรมแดน ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ มีเครือข่ายด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์กับต่างประเทศที่เข้มแข็ง และ 1,000 คนในปีหน้า เพื่อจะดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัย เฝ้าระวัง แก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด
 
"ผมขอย้ำว่ารัฐบาลจะใส่ใจดูแลประชาชนทุกคน ด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วประเทศ เพื่อจะสร้างรายได้ให้ประชาชน E-Commerce และยกระดับคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ การเรียนรู้ การเข้าถึงบริการของรัฐ การทำการเกษตรยุคใหม่ เพื่อให้คนไทยมีรายได้ที่สูงขึ้นและลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ซึ่งในหลักการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานไว้แล้ว ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามห่วงสองเงื่อนไข ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีภายใต้ความรู้และคุณธรรม เหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้เราไม่พลาดพลั้งในการลงทุน ในการประกอบอาชีพ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว  
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำด้วยว่า รัฐบาลได้เร่งดำเนินการปรับฐานเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมดิจิทัลผ่านโครงการ Digital Park Thailand โดยต้องการให้ไทยเป็นผู้นำด้านการค้าการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาค นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ และองค์กรนานาชาติก็เห็นความสำคัญตรงนี้ และเสนอที่จะมาร่วมงานด้วยมากทั้งภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จะต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนให้ได้ ซึ่งรัฐบาลจะทำโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการต่าง ๆ รองรับ ซึ่งระยะแรกอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะเรากำลังพลิกฟื้น กำลังเดินหน้าประเทศ  โดยนายกรัฐมนตรีก็อยากเห็นประเทศไทยมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน รวมถึงพี่น้องคนไทยทุกคนมีความอยู่ดีกินดี
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'กก.กระจายอำนาจ' รับข้อเสนอเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ไม่ใช่ราชการ แต่ชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง

Posted: 21 Sep 2017 08:41 AM PDT

21 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า วันนี้ (21 ก.ย.60) เมื่อเวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 5/2560 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสำคัญดังนี้

ที่ประชุมได้รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการจัดทำประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเรื่อง ผลการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดีปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เสนอ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ก.ถ. เพื่อพิจารณาลงนามในประกาศ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการโอนเงินรางวัลให้กับ อปท. ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในงบปีประมาณ พ.ศ. 2560 ต่อไป ทั้งนี้ ได้กำหนดให้จัดพิธีมอบรางวัล อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในวันพุธที่ 27 ก.ย. 60 ณ หอประชุมรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ถนนราชสีมา กรุงเทพมหานคร 

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการสัมมนาวิชาการ ''บริบทใหม่ของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น'' เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร ในรูปแบบการอภิปรายโดยกลุ่มเป้าหมายประกอยด้วยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะอนุกรรมการฯ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้ผลสรุปของการสัมมนาว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าได้ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm) ใหม่ไม่ใช่ส่วนราชการเป็นตัวตั้ง ต้องใช้ภาคชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง ซึ่งจะโยงไปถึงการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติให้ใช้ชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้งแทน โดยต้องพัฒนาภาคประชาสังคม องค์กรภาคประชาชน และภาครัฐต้องประกันรายได้โดยออกกฎหมายร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนให้การพัฒนาประสิทธิภาพและพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น 

ทั้งนี้ รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้แสดงฝีมือ เช่น เทศพาณิชย์ กฎหมายร่วมทุนและกฎหมานอื่น ๆ ที่เปิดช่องให้ อปท. ดำเนินการได้และรัฐบาลควรเข้มงวดในการตรวจสอบท้องถิ่น โดยส่วนราชการควรลงมาสำรวจการดำเนินงานต่าง ๆ ของ อปท. และการประเมินการกระจายอำนาจควรประเมินทั้งท้องถิ่น ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคที่ถ่ายโอนเงินต่อไป พร้อมทั้งทิศทางใหม่ของการกระจายอำนาจซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาประเทศในบริบทใหม่ ไทยแลนด์ 4.0 หรือสังคมนวัตกรรมโดยปรับเปลี่ยนบทบาทอปท. ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ในระยะ 20 ปี ข้างหน้าด้วย

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างพระระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... โดยได้มอบหมายคณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดำเนินการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อประกอบพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เสร็จเรียบร้อยและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุกรรมการจัดซื้อยาฯ ยันจัดซื้อยารวมปี 61 ตามกำหนด ผู้ป่วยได้รับยาต่อเนื่อง

Posted: 21 Sep 2017 04:37 AM PDT

อนุกรรมการจัดซื้อยาฯ เผย จัดซื้อยารวมระดับประเทศ ปี 61 คืบหน้าตามระยะเวลาอนุกรรมการฯ กำหนด เน้นผู้ป่วยได้รับยาต่อเนื่อง/รพ.มียาดูแลผู้ป่วย ไม่กระทบ

 นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561

21 ก.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561 ซึ่งมี นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน กล่าวว่า ขณะนี้อนุกรรมการฯ ได้เดินหน้าจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง มีความคืบหน้าการดำเนินการเป็นไปตามระยะเวลาที่ทางอนุกรรมการฯ ได้กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ตุลาคม นี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในการต่อรองราคาในรายการยาเพิ่มเติม

ทั้งนี้การดำเนินการจัดซื้อยาโดยอนุกรรมการฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งกระทรวงสาธารณสุข สปสช. และ อภ. เป็นการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการจัดซื้อยา โดยมอบให้โรงพยาบาลราชวิถีทำหน้าที่เป็นหน่วยงานซื้อยาเพื่อกระจายยาไปยังหน่วยบริการให้ผู้ป่วยได้รับยาต่อเนื่องและโรงพยาบาลมียาตามรายการจัดซื้อเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย ทั้งนี้เป็นไปตามมติบอร์ด สปสช.ก่อนหน้านี้  ไม่เพียงแต่เป็นการดูแลผู้ป่วยรายเก่าที่อยู่ในระบบเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการดูแลผู้ป่วยรายใหม่ ทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องใช้ยารักษามุ่งเป้า นอกจากนี้ยังรวมถึงยารายการใหม่ที่ได้มีการเพิ่มเติมในบัญชียาหลักแห่งชาติและบรรจุภายใต้สิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาทิ ยารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

"การดำเนินการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมระดับประเทศ ขอให้ผู้ป่วยและประชาชนอย่าได้กังวล แม้ว่าขณะนี้อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านการทำงาน แต่คณะกรรมการจัดซื้อยาชุดใหม่ได้ดำเนินการโดยคำนึงถึงผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นสำคัญ ตามที่ท่านรัฐมนตรีสั่งการว่าต้องไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ป่วย โดยเฉพาะกรณีการขาดยาตามที่มีความกังวล ซึ่งขณะนี้กระบวนการต่างๆ ในการจัดซื้อได้เดินหน้าตามกำหนดการอนุกรรมการได้กำหนดอยู่แล้ว" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว   

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยกคำร้องขยายฎีกา คดีถึงที่สุด 13 แกนนำพันธมิตรฯ จ่าย 522 ล้าน ทอท.

Posted: 21 Sep 2017 03:39 AM PDT

เหตุผลฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกายกคำร้องขอขยายเวลาฎีกาของ 13 แกนนำพันธมิตร คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาอุทธรณ์ให้ชดใช้ ค่าเสียหายกว่า 522 ล้านบาท แก่ท่าอากาศยานไทย จากกรณีปิดสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ปี 51

21 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (21 ก.ย.60) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, สนธิ ลิ้มทองกุล และพวกรวม 13 คน ซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา ในคดีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ พล.ต.จำลอง, สนธิ, พิภพ ธงไชย, สุริยะใส กตะศิลา, สมศักดิ์ โกศัยสุข, ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, อมร อมรรัตนานนท์, นรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, สำราญ รอดเพชร, ศิริชัย ไม้งาม, มาลีรัตน์ แก้วก่า และ เทิดภูมิ ใจดี แกนนำพธม. ทั้ง 13 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ธ.ค. 51 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จากกรณีร่วมกันปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551

ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในเวลา 14.45 น. พิจารณา โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีที่จำเลยอ้างว่าไม่สามารถยื่นฎีกาได้ทัน เพราะไม่ทราบว่าศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษา ทำให้ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา เหตุผลฟังไม่ขึ้น รวมทั้งกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็เป็นไปตามกระบวนการพิจารณา จึงให้ยกคำร้อง

รายงานข่าวระบุว่า ขั้นตอนต่อไป คดีต้องเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ชดใช้เงิน กว่า 522 ล้านบาท แก่  ทอท.

ขณะที่วันนี้ สมเกียรติ แกนนำ พธม. จำเลยที่ 7 , ไชยวัฒน์ แนวร่วม พธม. จำเลยที่ 6 และ อมร แนวร่วม พธม. จำเลยร่วมอีกคนมาฟังคำพิพากษาด้วย

ทั้งนี้คดีแพ่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ 13 แกนนำ พธม.ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายกว่า 522 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่จะยื่นฎีกาปรากฏว่าทนายความฝ่ายแกนนำ พธม. ดำเนินการไม่ทันเวลา 30 วัน โดยเมื่อทนายความ พยายามยื่นคำร้องขอขยายเวลาฎีกาซึ่งอ้างเหตุสุดวิสัยการปิดหมายแจ้งคดี ต่อศาลแพ่ง ที่เป็นศาลชั้นต้นปรากฏว่าศาลยกคำร้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 59 เช่นเดียวกันเห็นว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีร่วมกันปิดสนามบินโดยชอบแล้ว เมื่อศาลฎีกายกคำร้องขอขยายเวลาฎีกาของจำเลยแล้วผลแห่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ชดใช้

รายงานข่าวระบุเพิ่มเติมด้วยว่า คดีอาญาปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ที่อัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง, สนธิ และแกนนำ พธม. กับผู้ชุมนุม รวม 98 รายต่อศาลอาญานั้น คดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โดยรอสืบพยานอีกครั้งเดือน  มี.ค. 2561

ที่มา ข่าวสดออนไลน์ มติชนออนไลน์ และช่อง 7

https://www.khaosod.co.th/politics/news_521058

https://www.matichon.co.th/news/671792

http://news.ch7.com/detail/248944

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คป.ตร ย้ำแยกงานสอบสวนออกจากตำรวจ ถือเป็นหัวใจของการปฏิรูปตำรวจ

Posted: 21 Sep 2017 02:26 AM PDT

เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ ออกแถลงขอให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วยการแยกงานสอบสวนเป็นอิสระจากตำรวจ ย้ำแยกงานสอบสวน ถือเป็นหัวใจของการปฏิรูปตำรวจ 

21 ก.ย. 2560 จากกรณีวานนี้ (20 ก.ย.60) พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร อนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบการสอบสวนคดีอาญา ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) แถลงข่าวล่าสุดว่า คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจได้มีมติให้คงงานสอบสวนไว้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่จะออกแบบให้มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อมิให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจสามารถสั่งการหรือแทรกแซงการสอบสวนได้ และกล่าวว่าอนุกรรมการที่ตนรับผิดชอบเห็นว่าการสืบสวนและสอบสวนจะแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะจะเป็นการรื้อโครงสร้างตำรวจที่มากเกินไปนั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ล่าสุดวันนี้ (21 ก.ย.60) เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร) Police Watch ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 6 เรื่อง ขอให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วยการแยกงานสอบสวนเป็นอิสระจากตำรวจ โดยระบุว่า การแถลงของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ดังกล่าว ได้สร้างความสับสน และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดอย่างมากว่าการเรียกร้องของคป.ตร.ที่ต้องการให้แยกฝ่ายงานสอบสวนออกมาเป็นอิสระจากสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นจะทำให้การทำงานสืบสวนสอบสวนตัดขาดออกจากกัน  ขอยืนยันว่า การให้งานสอบสวนแยกออกมาเป็นอิสระหรือให้อัยการควบคุมตรวจสอบสำนวนคดีสำคัญตั้งแต่เกิดเหตุนั้น ไม่ได้ทำให้ความร่วมมือของฝ่ายสอบสวนแยกจากงานสืบสวนแต่อย่างใด  ซึ่งปัจจุบันคดีที่เกิดขึ้นกว่าร้อยละ 99 พนักงานสอบสวนก็สืบสวนกันเองกันทั้งสิ้น และหากคดีใดจำเป็นก็สามารถจัดชุดสืบสวนพิเศษเข้าช่วยได้เป็นครั้งคราวได้ ส่วนงานสืบสวนเพื่อป้องกันอาชญากรรมของสถานีตำรวจในลักษณะเดียวกับตำรวจสายตรวจก็ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิม  แต่เป็นการเรียกร้องให้การสอบสวนมีความเป็นอิสระภายใต้โครงสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้มีการแทรกแซง สั่งบิดเบือนสำนวนคดี หรือทำสำนวนให้สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องได้ตามอำนาจและอิทธิพลต่างๆดังที่เป็นปัญหามาโดยตลอดระยะเวลาหลายสิบปี

คป.ตร ระบุด้วยว่า ในการปฏิรูปตำรวจจะต้องดำเนินการรื้อโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การคอร์รัปชั่น และต้องเป็นการปฏิรูปที่มีผลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์สามารถแก้ไขปัญหาให้คนทั้งชาติอย่างเป็นมรรคเป็นผล ตามเจตนารมณ์ที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 258 (ง) จึงจะเรียกว่าการปฏิรูป ซึ่งกำหนดให้เป็นภาระหน้าที่ที่กรรมการปฏิรูปตำรวจทั้ง 36 คนต้องปฏิบัติตามอย่างตรงไปตรงมา ไม่ควรหาเหตุหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปฏิรูปอีกต่อไป

หากยังให้งานสอบสวนยังอยู่กับตำรวจเหมือนเดิม ไม่มีหลักประกันเรื่องความเป็นอิสระ และยังพยายามเปลี่ยนแปลงเนื้อหาให้ทุกอย่างไม่ต่างไปจากเดิม รวมทั้งไม่มีวิธีปฏิบัติในการป้องกันการถูกแทรกแซงการสอบสวนคดีจากผู้บังคับบัญชาที่มีชั้นยศแบบตำรวจเท่ากับประเทศไทยไม่ต้องการการพัฒนา เปลี่ยนแปลง ไม่มีการปฏิรูปเกิดขึ้น ตามที่นายกรัฐมนตรีรับปากไว้ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ และของรัฐบาลชุดนี้ที่เข้ามาใช้อำนาจปกครองประเทศยาวนานถึงเกือบสี่ปี

เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ ย้ำด้วยว่า การแยกงานสอบสวนออกจากตำรวจ ถือเป็นหัวใจของการปฏิรูปตำรวจ ซึ่งได้ปรากฎอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายถึงเสียงเรียกร้องของประชาชนในเรื่องนี้ ได้รับการเห็นชอบจนถูกบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ จึงขอให้คณะกรรมการปฏิรูปและนายกรัฐมนตรีดำเนินการปฏิรูประบบงานสอบสวนให้เป็นไปตามหลักสากลและเสียงเรียกร้องของประชาชนอย่างแท้จริงเพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจว่าถูกคณะกรรมการ 36 คนหลอกลวง ตบตา และเสียเวลาแสดงความคิดเห็น แต่ไม่มีการรับฟัง  ซึ่ง คป.ตร.จะทำการประเมินการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจรอบ 3 เดือนแรกในวันที่ 1 ต.ค. นี้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

#WordsHurtCampaignTH นี่ฉันต้องเจ็บปวดรวดร้าวหรอ?

Posted: 21 Sep 2017 02:05 AM PDT

ผมเห็นวิดิโอการรณรงค์ของเหล่าดาราคนดังในวงการบันเทิงว่าด้วยเรื่องการใช้คำหยาบคายรุนแรงทำร้ายจิตใจคนฟังในการรณรงค์เรื่อง WordHurtCampaignTH เมื่อสักช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา และคิดว่าท่านผู้อ่านก็คงได้เห็นผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยๆท่านผู้อ่านก็คงจะคุ้นเคยอยู่บ้างกับเรื่องพวกนี้ผ่านกระแสเรื่อง Political Correctness ที่เป็นการดีเบตถกเถียงอย่างกว้างขวางบนพื้นที่โลกออนไลน์ของบรรดาปัญญาชนทั้งหลาย

อันที่จริงเรื่องการใช้คำพูดล้อเลียนหรือการเหยียดอะไรตั่งต่าง นี่เป็นประเด็นที่เห็นกันมานานสักระยะหนึ่ง ผมจะไม่ขอพูดถึงเรื่องที่ดาราคนหนึ่งซึ่งร่วมรณรงค์ในแคมเปญนี้มีพฤติกรรมที่ขัดกับการรณรงค์ คือไม่ใช่ว่ามันไม่มีประเด็น แต่ผมเห็นว่ามันออกจะยิบย่อยไปหน่อย ประเด็นที่ผมต้องการจะนำเสนอคือจุดบอดของแคมเปญดังกล่าวและความไม่เข้าใจต่อเรื่องการเหยียด บทความชิ้นนี้ผมพยายามใช้ทฤษฎีและกรอบการมองแบบมาร์กซิสต์สำนักโครงสร้างนิยมเพื่อจะวิเคราะห์และอธิบายรวมทั้งอภิปรายถึงกรณีดังกล่าว

คำด่าและการเหยียดมาจากไหน?

ประการแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือเรื่องนี้ ชาว Political Correctness มักเสนอว่ามันคือเรื่องโครงสร้างทางภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อกดทับและแบ่งแยกคนในสังคมเป็นความรุนแรงทางจิตใจ ขณะที่คนทั่วๆไปหรือผู้สนับสนุนแคมเปญ WordHurtCampaignTH มีแนวโน้มจะเข้าใจว่าคำด่าหรือการเหยียดนั้นเป็นเพียงคำพูดหยาบคายในทำนองที่ผู้พูดนั้นพูดแบบไม่ได้คิดหรือพูดไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนฟัง แน่นอนว่าทั้งสองคำอธิบายนั้นไม่ผิดเลย แต่คำอธิบายทั้งสองนั้นหลงลืมการอธิบายสะท้อนไปถึงเรื่องชนชั้นและสังคมชนชั้น

ภาษาหรือโครงสร้างทางภาษานั้นไม่ได้ถือกำเนิดมาโดยเอกเทศ หรือตัดขาดจากสังคม ดังนั้นโครงสร้างทางภาษาหรือระดับทางภาษาย่อมสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางชนชั้นของผู้คนในสังคม คำพูดโจมตีหรือเหยียดหยามคนผิวสีในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นด้วยสังคมชนชั้นของระบบทุนนิยมที่เคยใช้แรงงานทาส มันดำรงอยู่เพื่อกดทับให้คนผิวสีมีสถานะที่ต่ำกว่าคนผิวขาว หรือในไทยเองการมีคำสรรพนามแทนตัวเองที่หลากหลายสำหรับเลือกใช้กับบุคคลในระดับต่างๆก็สะท้อนความเป็นสังคมชนชั้นอย่างชัดเจน การเหยียดหรือการด่าทอจึงไม่ได้เป็นแค่การพูดหยาบคายของคนจิตใจหยาบช้าสันดานเลว แต่มันสะท้อนการดำรงอยู่ของระบบชนชั้นในสังคม

จนกระทั่งเมื่อก้าวเข้าสู่สังคมทุนนิยม คำด่าในหลายคำนั้นถูกให้คุณค่าในทางลบมากขึ้นก็ด้วยผลพวงของระบบทุนนิยม เช่น ทำไมเราจึงต้องเจ็บปวดเมื่อถูกเรียกว่าอีอ้วน ไอ้อ้วน อีดำ ไอ้ดำ ไอ้หัวล้าน อีฟันเหยิน ฯลฯ นั่นก็เพราะระบบทุนนิยมได้สร้างมาตรฐานบางอย่างขึ้นมาให้มนุษย์ มันเป็นมาตรฐานความงามขั้นพื้นฐานในแต่ละสังคมเพื่อเบียดขับคนกลุ่มหนึ่งออกไป คำถามคือทุนนิยมทำอะไรต่อหลังจากเชิดชูมายาคติความงามแบบหนึ่งขึ้นมา? คำตอบก็คือระบบทุนนิยมจะผลิตสินค้าและบริการขึ้นมาเพื่อตอบสนองให้คนซื้อมันและเข้าสู่การเป็นผู้มีความงามตามมาตรฐาน เช่น คุณอ้วนหรอ ถ้าอยากผอมก็ซื้อบริการฟิตเนสสิ หรือจะเข้าคอร์สลดน้ำหนัก ซื้ออาหารคลีนกิน หรือยาลดน้ำหนักก็ได้ คุณนมเล็กหรอ ทุนนิยมศัลยกรรมให้คุณได้ ฯลฯ

ดังนี้แล้วจะเห็นว่าคำด่าหรือคำเหยียดนั้นไม่ได้ลอยตัวอยู่โดยเอกเทศแต่มันสัมพันธ์กับความสัมพันธ์ทางชนชั้น และความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลกับโครงสร้างในระบบทุนนิยมด้วย

เราจะแก้ไขปัญหาของการใช้ถ้อยคำด่า/ล้อเลียนอย่างไร?

ผมไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าการใช้ถ้อยคำล้อเลียนนั้นไม่ได้ก่อปัญหาใดๆเลย แน่นอนว่าตัวผมอาจจะ "ยักไหล่" ให้กับคำด่าทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาหาตัวผมได้ แต่ในความเป็นจริงเงื่อนไขต่างๆอาจจะทำให้ใครหลายคนในสังคมไม่อาจจะยักไหล่ได้เหมือนกับผม ประเด็นก็คือเมื่อเรามองว่ามันเป็นปัญหาแล้วอะไรที่เป็นใจกลางของปัญหา?

แคมเปญ WordHurtCampaignTH นั้นเสนอว่าคำหยาบและการพูดล้อเลียนเป็นใจกลางของปัญหา แต่อย่างที่ผมได้เสนอไปแล้วในตอนต้นว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกของปัญหา ใจกลางที่แท้จริงของปัญหานั้นคือระบบค่านิยมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างของระบบทุนนิยม เพราะเหตุนั้นเองต่อให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จสามารถยกเลิกคำด่าไปได้ทั้งหมด แต่ในอนาคตมันก็จะมีคำด่าใหม่ๆปรากฏออกมาอีกเสมอ เพราะระบบทุนนิยมจะยังคงสร้างคุณค่าบางอย่างขึ้นมาเชิดชูและกดคุณค่าอีกแบบลงไป

เพราะเหตุนั้นผมจึงไม่คิดว่าการใช้คำพูดล้อเลียนพวกนี้จะเป็นปัญหาหรืออย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ใช่ต้นตอของปัญหา [กรุณาอย่าสับสนกับย่อหน้าก่อนนี้ ที่ผมเสนอว่าการใช้คำล้อเลียนว่า "ก่อ" ปัญหา แน่นอนว่ามันก่อปัญหาในระดับหนึ่งแต่มันไม่ใช่ "ต้นตอ" ของปัญหา] หากเราสามารถทำลายค่านิยมร่วมซึ่งระบบทุนนิยมสร้างขึ้นมาลงได้ คำด่าพวกนี้ก็จะกลายเป็นเพียงคำพูดทั่วๆไป เหมือนคำหยาบคายอื่นๆที่ไม่ได้มีนัยยะของการเหยียด เช่น ไอ้เหี้ย ไอ้สัส ฯลฯ

อันที่จริงในความคิดของผม ผมไม่ได้อยากได้สังคมที่มันปราศจากการใช้คำหยาบคายหรือตลกล้อเลียนเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมามันคงเป็นโลกที่น่าเบื่อเอามากๆ ผมกลับคิดว่าผมต้องการสังคมที่คนทุกคนมันล้อเลียนกันได้อย่างเปิดเผย แต่ไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อกันมากกว่า

เราล้อเลียนกันได้เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกันผมปรารถนาสังคมแบบนั้นมากกว่าสังคมที่ไร้เสียงหัวเราะ.

 

อ้างอิง

อุดมการณ์และกลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ หลุยส์ อัลธูแซร์, กาญจนา แก้วเทพ แปล

ข่าวแคมเปญ WordsHurtCampaignTH

                http://abcgossip.com/?p=17363

                https://www.youtube.com/watch?v=Vlo6_Q91Aak

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูนิเซฟชี้มีเพียง 15 ประเทศ ที่มีนโยบายหนุนครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ไทยยังไม่ครบ

Posted: 21 Sep 2017 01:23 AM PDT

ยูนิเซฟระบุมีเพียง 15 ประเทศ ที่มี 3 นโยบายหลักช่วยให้พ่อแม่มีเวลาและทรัพยากรเพียงพอส่งเสริมพัฒนาสมองของลูก 32 ประเทศที่กลับไม่มีเลย ไทยแม่ที่เป็นลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดได้เพียง 3 เดือน ขณะที่พ่อไม่มีสิทธิและยังไม่มีนโยบายให้แม่หยุดพักระหว่างวันเพื่อบีบเก็บน้ำนมในช่วงหกเดือนแรก

ภาพ ถ่ายโดย เมธี เถื่อนทัพ: แม่กับลูกน้อยของเธอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ. อุบลราชธานี

21 ก.ย.2560 รายงานข่าวจาก องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ประเทศไทย แจ้งว่า การศึกษาของยูนิเซฟที่ชื่อว่า "ขวบปีแรกของชีวิตสำคัญยิ่งสำหรับเด็กทุกคน" หรือ Early Moments Matter for Every Child ระบุว่านโยบายหลัก 3 ประการ ได้แก่ นโยบายเรียนฟรีในช่วงปฐมวัย 2 ปี นโยบายหยุดพักระหว่างวันเพื่อบีบเก็บน้ำนม และนโยบายลาคลอด 6 เดือนสำหรับแม่ และ 4 สัปดาห์สำหรับพ่อ เป็นสิ่งจำเป็นในการวางรากฐานเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาสูงสุดในช่วงปฐมวัย เพราะจะเอื้อให้พ่อแม่สามารถดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องโภชนาการ การส่งเสริมการเรียนรู้ และการเล่นกับลูก โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกๆ ของชีวิตซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองเด็กพัฒนารวดเร็วที่สุด
 
สำหรับประเทศไทย แม้จะมีนโยบายเรียนฟรีในช่วงปฐมวัย แต่แม่ที่เป็นลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ในขณะที่พ่อไม่มีสิทธิลาเลยยกเว้นเป็นข้าราชการซึ่งลาได้เพียง 15 วัน นอกจากนี้ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายให้แม่หยุดพักระหว่างวันเพื่อบีบเก็บน้ำนมในช่วงหกเดือนแรก
 
ผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ ระบุว่า มีเด็กเพียงร้อยละ 23 ในประเทศไทยที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรก สาเหตุหนึ่งที่อัตรานี้อยู่ในระดับที่ต่ำ ก็คือการที่แม่ต้องกลับไปทำงานหลังลาคลอด 3 เดือน และยังขาดการสนับสนุนในที่ทำงาน เช่น ไม่มีห้องหรือมุมนมแม่ หรือไม่อนุญาตให้แม่หยุดพักเพื่อบีบเก็บน้ำนม
 
โธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการช่วยให้เด็กได้เริ่มต้นชีวิตอย่างดีที่สุด การขยายสิทธิในการลาคลอดจะส่งผลดีต่อตัวเด็กๆ และอนาคตของประเทศด้วย เพราะเป็นการช่วยให้แม่สามารถให้นมแม่ได้เต็มที่ตลอดหกเดือน อีกทั้งมีเวลาสร้างสายสัมพันธ์และกระตุ้นพัฒนาการของลูกอย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ ได้รับสารอาหารและการเลี้ยงดูที่ดีที่สุดในช่วงเริ่มต้นชีวิต
 
การศึกษาของยูนิเซฟชี้ให้เห็นว่า มีเพียงประเทศคิวบา ฝรั่งเศส โปรตุเกส รัสเซีย และสวีเดนเท่านั้นที่มีนโยบายหลักทั้งสามด้านนี้ ในขณะที่เด็กๆ อีก 85 ล้านคนอาศัยอยู่ใน 32 ประเทศที่กลับไม่มีนโยบายเหล่านั้นเลย ซึ่งในจำนวนนี้ เด็กร้อยละ 40 อาศัยอยู่ใน 2 ประเทศ คือ บังคลาเทศและสหรัฐอเมริกา
 
แอนโทนี่ เลค ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เด็กมีคือสมองนั่นเอง แต่ผู้ใหญ่มักไม่สนใจดูแลสมองเด็กเท่ากับดูแลร่างกายของพวกเขาโดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย ทั้งๆ ที่เป็นช่วงสำคัญในการวางรากฐานของการพัฒนาสมองและอนาคตของเด็ก ดังนั้น เราต้องช่วยสนับสนุนให้พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กเล็กให้สามารถดูแลลูกได้อย่างดีที่สุดในช่วงนี้
 
การศึกษาชิ้นนี้ยังระบุว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหลายล้านคนทั่วโลกกำลังเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและขาดการดูแลที่เหมาะสม โดยพบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีประมาณ 75 ล้านคนอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีสงครามความขัดแย้ง เสี่ยงต่อความเครียดรุนแรง ซึ่งอาจทำให้การเชื่อมต่อของเซลล์สมองต้องหยุดชะงักลง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 155 ล้านคนทั่วโลกมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดโภชนาการที่ดี การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือการต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ร่างกายและสมองของเด็กไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ในประเทศไทย เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีประมาณ 1 ใน 10 คน มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น ซึ่งอัตรานี้รุนแรงขึ้นในกลุ่มเด็กยากจน
 
เด็กอายุ 2-4 ปีประมาณ 1 ใน 4 คนใน 64 ประเทศขาดการทำกิจกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง เช่น การเล่น การอ่านหนังสือ หรือการร้องเพลง ในประเทศไทย เด็กเล็กเกินครึ่งมีหนังสือเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึง 3 เล่ม ในขณะที่พ่อเพียง 1 ใน 3 คนเท่านั้นทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้กับลูก เด็กประมาณ 300 คนทั่วโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อากาศเป็นพิษ ซึ่งการศึกษาหลายชิ้นระบุว่าอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาสมองของเด็ก
 
โดยเฉลี่ยแล้ว รัฐบาลทั่วโลกใช้งบประมาณเพียงร้อยละ 2 ของงบประมาณด้านการศึกษาทั้งหมดไปกับการลงทุนด้านเด็กปฐมวัย อย่างไรก็ตาม การศึกษาของยูนิเซฟระบุว่า การลงทุนในการพัฒนาเด็กปฐมวัยจะส่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจหลายเท่าในอนาคต โดยทุกๆ 1 ดอลล่าร์ที่ลงทุนด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะให้ผลตอบแทนถึง 35 เท่า และทุกๆ 1 ดอลล่าร์ที่ลงทุนในการดูแลและการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กที่ขาดโอกาสที่สุดจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 17 เท่า
 
"การมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัยถือเป็นการลงทุนที่จำเป็นต่อสมองของเด็กในวันนี้ ซึ่งก็คือประชากรและแรงงานของประเทศในอนาคต นั่นหมายความว่า มันคือการลงทุนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของโลกเรา" แอนโทนี่ เลค กล่าวย้ำ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน! ล่าชื่อหนุนใช้ 'แบบตรวจวัดความเสี่ยงการหลบหนี'

Posted: 21 Sep 2017 12:25 AM PDT

เครือข่ายปฎิรูปการประกันตัวเพื่อคนจนล่าชื่อถึง กก.ปฎิรูป ด้านกระบวนการยุติธรรม แนะใช้ 'แบบตรวจวัดความเสี่ยงการหลบหนี' ย้ำ 'เปลี่ยนระบบเงินประกัน ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน อีกต่อไป' ระบุในหนึ่งปีมีคนต้องติดคุกฟรี ถึง 60,000 คน

ลงชื่อได้ที่ เว็บไซต์รณรงค์ change.org 

21 ก.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเว็บไซต์รณรงค์ change.org เครือข่ายปฎิรูปการประกันตัวเพื่อคนจน ได้ตั้งการรณรงค์ล่ารายชื่อในชื่อว่า 'เปลี่ยนระบบเงินประกัน "ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน" อีกต่อไป' ร้องเรียนถึง คณะกรรมการปฎิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม

การรณรงค์นำเสนอด้วยวิดีโอ 'ท้าให้ทาย...คดีนี้ใครต้องติดคุก?' นำเสนอสถานการณ์จำลองเหตุการณ์ฆาตรกรรม พร้อมอธิบายว่าใครต้องติดคุก ปรากฎเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่ไม่มีเงินประกันตัวในระหว่างที่มีการฝากขัง แม้ท้ายที่สุดจะไม่มีความผิดก็ตาม ส่วนผู้ต้องสงสัยคนอื่นไม่ติดคุกเนื่องจากมีเงินประกันตัว

"เพียงแค่ไม่มีเงินก็ต้องเข้าไปรอในคุก ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม โดยในหนึ่งปี มีคนต้องติดคุกฟรีๆ แบบนี้ถึง 60,000 คน" ข้อความที่ระบุในวิดีโอรณรงค์ดังกล่าว

เครือข่ายปฎิรูปการประกันตัวเพื่อคนจน ระบุว่า ก่อนศาลจะตัดสินว่าใครผิด ผู้ต้องสงสัย ขอย้ำว่าแค่สงสัยยังไม่รู้ว่าทำผิดจริงหรือเปล่า ที่ถูกจับกุม ณ ที่เกิดเหตุ จะต้องถูกฝากขัง เพื่อไม่ให้หนีไปก่อนพิจารณาคดี แต่เขาสามารถวางเงินประกันเพื่อซื้ออิสรภาพช่วงรอได้ เมื่อมาฟังศาลตัดสิน ไม่ว่าผิดหรือถูก ก็จะได้เงินประกันคืนไป แต่ในทางกลับกัน คนจนที่ไม่มีเงินเอาไว้ประกันตัวเอง จะต้องติดคุกระหว่างรอการพิจารณา ซึ่งเฉลี่ยแล้วอาจกินเวลาในคุก 6 เดือน ถึง 1 ปี ทั้งที่ตัวเองอาจจะไม่ได้ผิดเลย
 
"ระบบนี้ทำลายชีวิตของคนจนกว่า 60,000 คนต่อปี บางคนถึงกับยอมรับสารภาพทั้งที่ไม่ผิด เพราะนั่นอาจหมายความว่าจะทำให้ติดคุกสั้นลง ส่วนคนรวยที่ผิดจริงบางราย ก็พร้อมจ่ายเงินประกันแล้วหนีอยู่ดี" เครือข่ายปฎิรูปการประกันตัวเพื่อคนจน ระบุ พร้อมอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ยิ่งกว่านั้นยังส่งผลเสียต่อประเทศ กว่า 8,500 ล้านต่อปี ต้นทุนของเรือนจำ เช่น ผู้คุม ​อาหาร ค่าใช้จ่ายต่างๆ กว่า 2,500 ล้านต่อปี คนที่ต้องเสียโอกาสในการทำงานสร้างรายได้ คำนวนแล้วเกือบ 6,000 ล้านต่อปี ต้นเหตุของเรื่องนี้ ก็เพราะเงินไม่ได้วัดว่าใคร เสี่ยงที่จะหนีหรือไม่หนี
 
เครือข่ายปฎิรูปการประกันตัวเพื่อคนจน เสนอให้นำแบบตรวจวัดความเสี่ยงการหลบหนี มาใช้อย่างเต็มที่ โดยระบุด้วยว่า ตอนนี้ไทยก็เริ่มรับโครงการนี้มาทดลองใช้แล้ว
 
สำหรับ แบบตรวจวัดความเสี่ยงการหลบหนี นั้น เครือข่ายปฎิรูปการประกันตัวเพื่อคนจน อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ได้นำระบบดังกล่าวมาใช้ ซึ่งได้ผลดีอย่างมาก โดยเมื่อมีคดีเข้ามา เจ้าหน้าที่ศาลจะดึงข้อมูลของผู้ต้องสงสัย จำนวน 15 หมวด เช่น ประวัติอาชญากรรม ประวัติยาเสพติด คดีที่ค้างพิจารณา ฐานรายได้ เป็นต้น มาคำนวนเป็นคะแนน ว่าคนนี้ มีความเสี่ยงที่จะหนีมากน้อยแค่ไหน ผู้พิพากษา สามารถจัดการตามคะแนนได้ เช่น เสี่ยงน้อยก็ให้สาบานแล้วนัดวันรายงานตัว เสี่ยงกลางก็สามารถให้รายงานตัวด้วยการ Scan ลายนิ้วมือผ่าน Application หรือใส่กำไลที่ข้อเท้า และถ้าเสี่ยงมากจริงๆ ว่าจะหนี ก็ยังสามารถขังได้เหมือนเดิม  ด้วยการตรวจวัดความเสี่ยงที่เป็นวิทยาศาสตร์ และกลไกการกำกับดูแลหลังปล่อย จึงทำให้ศาลมีทั้งข้อมูลและเครื่องมือที่ทำให้ไม่ต้องเรียกเงินในการประกันตัวอีกต่อไป
 
ข้อดีของระบบใหม่นี้ คือ ใช้หลักการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้คนทุกคนไม่ว่ารวยจน ก็จะเท่าเทียมกัน คนรวยมีทั้งที่เสี่ยงจะหนีและไม่หนี คนจนก็เช่นกัน ทุกคนจะถูกวัดด้วยเครื่องมือเดียวกัน ปลอดอคติ เป็นหลักสถิติ ที่ยิ่งใช้มาก ยิ่งเพิ่มฐานข้อมูล ก็จะยิ่งคาดการณ์ได้แม่นยำมากขึ้น  และลดความแออัดในเรือนจำ ตอนนี้คุกไทยมีผู้ต้องขังทั้งหมด 2.4 แสนคน แต่เป็นคนที่ถูกขังเพราะไม่มีเงินประกัน ถึงเกือบ 60,000 คน หรือ 1 ใน 5 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธเนศ วงศ์ยานนาวา: มิเชล ฟูโกต์ แฮมเบอร์เกอร์ อร่อยจริงหรือเปล่า

Posted: 21 Sep 2017 12:05 AM PDT

"มิเชล ฟูโกต์ แฮมเบอร์เกอร์ อร่อยจริงหรือเปล่า" ปาฐกถาเกี่ยวเนื่องกับแนวคิดเสรีนิยมใหม่ มุมมองของมิเชล ฟูโกต์ การปกครองชีวญาณ (Governmentality) ฯลฯ ธเนศ วงศ์ยานนาวา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยปาฐกถานี้เป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนา "มานุษยวิทยา ล้านนาคดี และประวัติศาสตร์นิพนธ์ คนสามัญ อานันท์ 70 ปี" ในโอกาส 70 ปี อานันท์ กาญจนพันธ์ นักวิชาการภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดระหว่างวันที่ 20 - 21 เดือนกันยายน พ.ศ. 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลตัดสินคดีคนงานสันกำแพง 3 คดีรวด ส่วนฝ่ายนายจ้างล่องหนเช่นเคย

Posted: 20 Sep 2017 11:47 PM PDT

ศาลแรงงานภาค 5 จ.เชียงใหม่ อ่านคำพิพากษา 3 คดี ข้อพิพาทระหว่างอดีตพนักงานและบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู อ.สันกำแพง ให้บริษัทฯ จ่ายเงินเดือนค้างจ่ายและโบนัสปี 2556 ตัวแทนนายจ้างยังล่องหนไม่มาศาล อดีตพนักงานได้เงินชดเชยคดีเดียวเพราะบริษัทฯ วางเงินไว้ที่ศาล

21 ก.ย. 2560 สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ ได้แจ้งข่าวว่าวานนี้ (20 ก.ย.) ศาลแรงงานภาค 5 จ.เชียงใหม่ ได้นัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งศาล 3 คดี ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างอดีตพนักงานและบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู อ.สันกำแพง โดยในคดีแรก บริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้บริษัทฯ จ่ายเงินค่าจ้างค้างจ่าย (เงินเดือน) แก่พนักงาน 43 คนเมื่อปี 2556 โดยศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ของบริษัท และมีคำสั่งให้บริษัทฯ จ่ายเงินค่าจ้างแก่พนักงานทั้ง 43 คน คดีที่สองศาลได้สั่งให้บริษัทฯ จ่ายค่าโบนัสปี 2556 ที่ค้างจ่ายให้กับพนักงาน ด้วยเช่นกัน

ส่วนคดีที่สามอดีตพนักงานได้ฟ้องให้มีการเพิกถอนนิติกรรมที่บริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินให้กับบริษัทน่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอันเป็นการฉ้อฉลและอดีตพนักงานมีความประสงค์ขอศาลให้มีหมายเรียกบริษัทน่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด มาไต่สวน ซึ่งในคดีนี้ศาลมีคำสั่งว่าการเพิกถอนการฉ้อฉลนั้น อดีตพนักงานจะต้องฟ้องคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่ทำนิติกรรมดังกล่าว ศาลจึงจะบังคับตามคำขอของอดีตพนักงานได้ เพราะผลของคำพิพากษาไม่อาจบังคับแก่บริษัทน่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีได้ ประกอบกับการเพิกถอนการฉ้อฉลมิใช่เรื่องการบังคับคดี แต่เป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ซึ่งจะต้องไปฟ้องเป็นอีกคดีต่างหาก

ในการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ตัวแทนบริษัทจอร์จี้ แอนด์ ลู ไม่ได้มารับฟังแต่อย่างใด และอดีตพนักงานก็ได้รับเงินชดเชยแค่เฉพาะคดีจ่ายเงินค่าจ้าง (เงินเดือน) ค้างจ่ายแก่พนักงาน 43 คนเมื่อปี 2556 เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้นำเงินมาวางศาลไว้เต็มจำนวน ส่วนคดีจ่ายค่าโบนัสปี 2556 นั้น อดีตพนักงานยังไม่ได้รับเงินเนื่องจากบริษัทฯ ไม่ได้นำเงินวางศาลไว้เต็มจำนวน นอกจากนี้ยังพบว่ากรรมการของบริษัทฯ คนหนึ่งถูกพิพากษาให้จำคุกในคดีอื่นอยู่ด้วย

เกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างพนักงานกับบริษัท จอร์จี้ แอนด์ลู จำกัด

ปัจจุบันบริษัท จอร์จี้ แอนด์ลู จำกัด ได้จดทะเบียนบริษัทใหม่ในนาม 'บริษัท สนุก การ์เม้นท์ จำกัด' ส่วนที่อยู่ของบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด ที่ อ.สันกำแพง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ 'บริษัท น่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด' (แฟ้มภาพประชาไท)

ปัจจุบันบริษัท จอร์จี้ แอนด์ลู จำกัด ซึ่งมีนายเซบาสเตียน ซาโรอิ เป็นเจ้าของได้ยุติการดำเนินกิจการ และจดทะเบียนบริษัทใหม่ในนาม "บริษัท สนุก การ์เม้นท์ จำกัด"  ในวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ซึ่งโรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ที่ อ.แม่สอด จ.ตากและผลิตสินค้าให้กับ Pure & Co Ltd.  (เจ้าของแบรนด์ Neon Buddha และ Pure Handknit มีสำนักงานและร้านจำหน่ายในประเทศแคนาดา) และหลังจากนั้นไม่กี่วันผู้จัดการทั่วไปของบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด ได้จดทะเบียนเปิดบริษัทใหม่โดยมีชื่อว่า "บริษัท น่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด"  ในวันที่ 5 มิถุนายน 2558 โดยบริษัทดังกล่าวใช้บ้านเลขที่เดียวกับบริษัทจอร์จี้แอนด์ลู จำกัด ที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

นอกจากนี้สหภาพแรงงานฯ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยในการยักย้ายทรัพย์สินของบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลูให้กับบริษัทน่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด  เนื่องจากสหภาพแรงงานฯ ตรวจพบว่าบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด ได้ขายที่ดินที่เป็นที่ตั้งโรงงานให้กับบริษัทน่ารัก โฮลดิ้ง เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558  โดยทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเป็นบุคคลคนเดียวกันซึ่งเป็นทั้งตัวแทนบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทน่ารัก โฮลดิ้ง จำกัด ในการขายที่ดินของจอร์จี้ แอนด์ ลู ไม่มีความโปรงใสแสดงเจตนาให้เห็นว่าพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่จ่ายหนี้สินให้กับอดีตแรงงานของบริษัทฯ ที่มีคดีความค้างอยู่หลายคดี โดยสหภาพแรงงานฯ ระบุว่ารายการสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายที่นายเซบาสเตียน ซาโรอิ และ Pure & Co Ltd. ต้องจ่ายให้อดีตพนักงานมีดังนี้

1. ค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่ลูกจ้าง 51 คน จำนวน 3,924,114.75 บาท
2. เงินจากกองทุนชื่นชมให้แก่ลูกจ้าง 59 คน จำนวน 930,955.77 บาท
3. ค่าจ้างค้างจ่ายตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน ถึง 7 กันยายน 2558 จำนวนให้แก่ลูกจ้าง 37 คน 1,008,973 บาท
4. ค่าจ้างค้างจ่ายของพนักงานรายเดือนที่ยังจ่ายไม่ครบตามกฎหมายกำหนด จำนวน ให้แก่ลูกจ้าง 43 คน 333,850 บาท
5. โบนัสปี 2556 จำนวนให้แก่ลูกจ้าง 46 คน 425,896.88 บาท และในปี 2557 ให้แก่ลูกจ้าง 41 คนจำนวน 334,280 บาท
6. ค่าเสียหายจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมทั้งกลุ่มแกนนำ 10 คน จำนวน 460,260 บาท และกรรมการสหภาพแรงงาน 4 คน จำนวน 848,000 บาท
7. ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้กับกลุ่มคนลูกจ้าง 37 คนที่ถูกลอยแพ จำนวน  2,644,700 บาท
8. วันลาพักผ่อนประจำปีที่เหลือให้แก่ลูกจ้าง 27 คน 43,456 บาท

อ่านประเด็นระหว่างพนักงานและ บริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์:ชวนสังเกต 'ประชารัฐ' คติความสามัคคีกับวังวนรัฐประหาร

Posted: 20 Sep 2017 10:46 PM PDT

โครงสร้าง ก.ม. วิธีคิดไม่ใช่เปลี่ยนผ่านสู่ ปชต. ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา สังเกต 'ประชารัฐ' ไม่ใช่รัฐของประชาชน ไม่มีพื้นที่ให้นักการเมือง สมการ 0.01 เปอร์เซ็นต์ของ ปชต. ที่หายไป ความสามัคคีที่มาจากอะไรก็ได้ วอนคนไทยคิดให้ไกลกว่านั้น ไม่เช่นนั้นหนีรัฐประหารไม่พ้น

พิชญ์ พงษ์สวัสดื์

เมื่อ 19 ก.ย. 2560 มีการจัดงานรัฐศาสตร์เสวนา ชุดไทยศึกษากับการเมืองและสังคมไทยในหัวข้อ "อย่าให้เสียของ ประชาธิปไตย 99% และประชารัฐ ในระบอบรัฐประหาร 2557" มี ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ และ ศ.สุรชาติ บำรุงสุข ร่วมสนทนา ที่ห้อง 107 ตึก 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สมการ 0.01 เปอร์เซ็นต์ของ ปชต. ที่หายไป ความสามัคคีที่มาจากอะไรก็ได้ วอนคนไทยคิดให้ไกลกว่านั้น

คำว่าประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์มาจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาหลายครั้ง ที่พูดว่าประชาธิปไตยในไทยก็มีตั้ง 99.99 เปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่เคยห้ามใครวิพากษ์วิจารณ์แต่ห้ามต่อต้าน คำถามคือ ทำไม 0.01 เป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่าสมการอยู่ที่ความเชื่อที่ว่าเสรีภาพทำให้เกิดความไม่มั่นคง ไม่สามัคคี จากนั้นเกิดวิกฤติ อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เราแตกความสามัคคีคือความเลวร้าย ดังนั้น การกดเราด้วยกฎหมาย ด้วยปืน ด้วยศาลทหารต่างๆ จึงถูกนับว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างระเบียบ ความสงบและสันติภาพ ดังนั้นการรักษาความสงบคือการรักษาสันติภาพ ทหารจึงคิดว่าตนเองเป็นผู้รักษาสันติภาพ (Peace Keeper) ประเทศไทยจึงอยู่ที่ความรักสามัคคี ถ้าพูดแบบนี้ก็กลับไปที่ท่อนแรกของเพลงชาติที่ร้องว่า "ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" แล้วจึงกลับมาที่ "เป็นประชารัฐ" ถ้าคุณอ่านงานของอัลธูแซร์ อุดมการณ์มันเริ่มตั้งแต่คุณตีความ เริ่มกล่าวถึงมันซ้ำๆ ตราบใดที่คุณร้องเพลงชาติประโยคแรกเท่ากับคุณเปล่งเสียงถึงอุดมการณ์นี้ทุกวัน มันถูกย้อนกลับมาเป็นผลผลิตร้อยแปด เช่น การคืนความสุข

สิ่งที่่เกิดขึ้นคือการเปลี่ยนผ่านระบอบไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยเจอ ถ้าไม่คิดแบบนั้นคุณจะทุกข์กว่าถ้ามีวิธีคิดว่าเขามุ่งหน้าไปสู่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 6 ปีกว่า ซึ่งตอนนี้เขามองไป 20 ปีแล้ว คำถามคือว่า คณะรัฐประหารและพันธมิตรของเขาเรียนรู้บทเรียนของเขามามากแล้ว แล้วพวกเราเรียนรู้หรือเปล่า เราจะพัฒนาประชาธิปไตยในเชิงสถาบันอย่างไรให้มีความเข้มแข็งขึ้น หรือ/และพัฒนาอุดมการณ์อย่างไรให้มีบทสนทนาเกี่ยวกับความสามัคคีได้ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจว่าฐานรากของประเทศเรามีอะไรมากไปกว่าความสามัคคีแล้ว มันก็จะวนกับวิธีให้เหตุผลการทำรัฐประหารแบบเดิมๆ ได้อีกครั้ง

สังเกต 'ประชารัฐ' ไม่ใช่รัฐของประชาชน ไม่มีพื้นที่ให้นักการเมือง

รัฐประหารชุดนี้มีคำว่าประชารัฐและประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์ คำว่าประชารัฐที่แปลตรงๆ ว่า People State มันคืออะไร ผมคิดว่าในท่ามกลางการตั้งคำถามกับการทำรัฐประหาร 13 ครั้งในบ้านเรา ครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปฏิบัติการทางภาษา วาทกรรมและจิตวิทยามวลชน คือการหันกลับไป แก้ไขปรับปรุงแกนกลางของประชาธิปไตยมากกว่าจะเป็นระบบชั่วคราว เข้าไปแก้ไขหลักการของคำว่าประชาชนเยอะที่ออกมาในรูปแบบอย่างน้อยสองประการ หนึ่ง สร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจการเมืองใหม่ขึ้นมา ซึ่งต่างจากการรัฐประหารหลายครั้งในอดีต สอง พัฒนาอุดมการณ์ต่อต้านประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ

เคยคุยกับนายอำเภอคนหนึ่ง เขาเคยบอกว่าปัจจุบันประชารัฐได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกนโยบายของรัฐ เป็น signature สำคัญของรัฐบาลนี้ไปแล้ว ก็มีคำอธิบายว่า รัฐบาลตั้งใจทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นก็ต้องการความร่วมมือจากประชาชนและเจ้าหน้าที่และหน่วยงานรัฐแบบการสั่งการจากบนลงล่าง

ข้อสังเกตที่น่าสนใจในประชารัฐมีอยู่สามประการ หนึ่ง มีการเพิ่มงบประมาณให้ระบบราชการจำนวนมากในฐานะตัวขับเคลื่อนหลักโดยมีเอกชนเป็นพี่เลี้ยง สอง เปลี่ยนชื่อโครงการจากประชานิยมเป็นประชารัฐอยู่บ่อยๆ สาม ประชารัฐไม่ใช่ประชานิยมและไม่ใช่ประชาธิปไตย คำนี้สำคัญตรงที่ว่า ประชารัฐหมายถึงเอกภาพระหว่างรัฐกับประชาชน ไม่ใช่รัฐของประชาชน สิ่งนี้จะไปสอดคล้องกับค่านิยม 12 ประการกับสัญญาประชาคม 10 ข้อที่เพิ่งออก ประชารัฐคือการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนโดยรัฐและเอกชน อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในประชารัฐคือ ไม่มีพื้นที่ให้กับนักการเมืองและระบบการเลือกตั้ง เป็นกรอบความร่วมมือใหม่ในประเทศไทยอยู่ได้ด้วยรัฐ เอกชนและประชาชนอยู่ร่วมกัน

โครงสร้าง ก.ม. วิธีคิดไม่ใช่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา

พิชญ์กล่าวว่า รัฐประหาร 13 ครั้งในประเทศไทย ครั้งที่ยาวนานที่สุด ตั้งแต่วันแรกที่ทำรัฐประหารจนถึงวันที่มีการเลือกตั้ง พบว่าการรัฐประหารครั้งที่ 7 โดยจอมพลสฤฤษดิ์ธนะรัชต์ มีระยะเวลารวมในการครองอำนาจ 10 ปี 3 เดือน ครั้งปัจจุบันโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติกินระยะเวลานานเป็นอันดับสองด้วยระยะเวลา 3 ปี 4 เดือน แซงอันดับสาม คือการรัฐประหารโดยจอมพลถนอม กิตติขจร

สมัยก่อนมีปัจจัยที่นำไปสู่การออกไปของรัฐบาลทหารมีอยู่สามประการ หนึ่ง เผด็จการตายเอง สอง ประชาชนลุกฮือ สาม ทหารปฏิวัติตัวเองเพื่อให้มีอำนาจต่อไปอีก ไม่มีหนทางการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นจากรัฐประหารชุดนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย แต่เป็นการกลายสภาพไปสู่ระบอบใหม่ ไม่ใช่การกลับสู่ประชาธิปไตย โครงสร้างทางกฎหมายที่มีอยู่มันไม่ใช่การกลับไปสู่ประชาธิปไตย การแปรสภาพสู่ระบอบใหม่เริ่มตั้งแต่การทำรัฐประหารวันแรก การรัฐประหาร ชุดนี้พร้อมเนติบริกรของเขาอธิบายว่าอย่าทำให้เสียของ ซึ่งทำให้ตกใจว่า แล้วการทำรัฐประหารที่แล้วมาเสียของ หรือมีความประสงค์อะไร ซึ่งต้องทำความเข้าใจความต้องการในการทำรัฐประหารของสมัยก่อนที่อาจจะต่างไปจากยุคนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น