ประชาไท | Prachatai3.info |
- ศาลไต่สวนนัดแรกคดีทหารวิสามัญ 'ชัยภูมิ ป่าแส' ทนายมั่นใจภาพวงจรปิดไขข้อสงสัย
- กัมพูชาเรียกภาษีย้อนหลัง 6.3 ล้านเหรียญ-The Cambodia Daily ปิดตัวหลังดำเนินงาน 24 ปี
- เสาหลักของแผ่นดิน! 3 สมาคมจุฬาฯ หนุนฝ่ายบริหารจัดระเบียบนิสิตหลังปม 'เนติวิทย์'
- เปิดคำพูด-สะท้อนความคิด 28 'ผู้คุมยุทธศาสตร์ชาติ' (คณะกรรมการโดยตำแหน่ง)
- กกต.จัดใหญ่ ประชุม ผอ.จังหวัดทั่วประเทศเตรียมพร้อมเลือก ส.ส.-ส.ว.
- กสม. เปิดศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน ห้องสมุดเฉพาะด้านสิทธิฯ แห่งแรกของไทย
- หลายองค์กรประณามกรณีกัมพูชาจับกุมฝ่ายค้านกลางดึก 'ล้าหลังอย่างวิบัติ'
- ไหมทอชีวิต: ภูมิปัญญาผ้าไหมทอบ้านสวาย จ.สุรินทร์
- แกนนำ นปช. ยื่นอุทธรณ์คดี ตร.เป็นพยานเท็จ ให้การคดีล้มประชุมอาเซียน พัทยา ปี 52
- บรรยง พงษ์พานิช: แผนยุทธศาสตร์ชาติ 1 คบไฟนำทางหรือโซ่ตรวนล่ามชาติ
- กวีประชาไท: เลือกข้าง
- ศรีสุวรรณ ร้อง ป.ป.ช. ปม ตร.ปล่อยคดี 'บอส กระทิงแดง' หมดอายุความ
- คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณิตศาสตร์ว่าด้วยการสืบทอดอำนาจของ คสช.
ศาลไต่สวนนัดแรกคดีทหารวิสามัญ 'ชัยภูมิ ป่าแส' ทนายมั่นใจภาพวงจรปิดไขข้อสงสัย Posted: 04 Sep 2017 12:47 PM PDT ศาลจังหวัดเชียงใหม่เริ่มไต่สวนคดีการตายของ ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวชาติพันธุ์ลาหู่ นัดแรก หลังถูกทหารใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ทนายมั่นใจภาพวงจรปิดไขข้อสงสัย ขณะที่คดี 'อาเบ แซ่หมู่' นัดสืบพยานแล้วเช่นกัน รถยนต์คันเกิดเหตุวิสามัญฯ ชัยภูมิ 4 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจาก มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า วันนี้ (4 ก.ย.60) ที่ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ห้องพิจารณาคดีที่ 10 ได้มีการไต่สวนพยานฝ่ายอัยการผู้ สำหรับ ชัยภูมิ เป็นเยาวชนนักกิจกรรมทางสังคม และอยู่ระหว่างศึกษาเล่าเรียนที่ ข่าวสดออนไลน์ รายงายด้วยว่า สุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวว่า การไต่สวนครั้งแรกวันนี้ พนักงานอัยการผู้ร้องนำเสนอ ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร พนักงานสอบสวน แพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ และ ฝ่ายปกครอง ให้ศาลได้ไต่สวนถึงลักษณะและสาเหตุการเสียชีวิตว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมตามกฎหมายหรือกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ในส่วนของตนได้เตรียมบัญชีพยานไว้เพิ่มเติม หากพยานส่วนใดที่พนักงานอัยการไม่ได้นำเสนอ ก็จะใช้สิทธิยื่นต่อศาลขอให้นำเข้ามาสู่การไต่สวน โดยบัญชีที่เตรียมไว้เพิ่มเติมคือชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่มีน้ำหนัก รวมทั้งมารดาและญาติของนายชัยภูมิที่ไปยังจุดเกิดเหตุในวันเกิดเหตุ สุมิตรชัย กล่าวต่อว่า ส่วนความกังวลใจในการไต่สวนเป็นเรื่องของภาพจากกล้องวงจรปิด โดยไม่ทราบว่าพนักงานอัยการจะได้รับจากฝ่ายทหารและได้นำเสนอเป็นหนึ่งในพยาน หลักฐานให้ศาลไต่สวนหรือไม่ หากไม่ได้มาก็จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเรียกเข้ามาเพิ่มเติม เพราะภาพจากกล้องวงจรปิดถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะไขข้อสงสัยในสาเหตุการตาย ขณะที่ นาปอย ป่าแส มารดา ชัยภูมิ กล่าวว่า ขอเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกชาย ยืนยันว่าลูกชายเป็นคนดี ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาช่วยเหลือและดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มทหารที่กระทำเกินกว่าเหตุ ขณะที่อีกคดีของ อาเบ แซ่หมู่ ชาติพันธุ์ลีซู คดีหมายเลขดำที่ ช.18/2560 ณ ห้องพิจารณาดคีที่ 1 ในวันนี้ได้นัดไต่ โดย คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2560 พื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำอยู่ที่ รายงานข่าวจาก มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุอีกว่า ในวันนี้คดีไต่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กัมพูชาเรียกภาษีย้อนหลัง 6.3 ล้านเหรียญ-The Cambodia Daily ปิดตัวหลังดำเนินงาน 24 ปี Posted: 04 Sep 2017 11:50 AM PDT The Cambodia Daily นสพ.กัมพูชาที่ดำเนินงานมา 24 ปี นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมือง-ประกาศปิดตัว หลังรัฐบาลฮุนเซ็นเรียกภาษีย้อนหลัง 6.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คนทำสื่อโวย-รัฐบาลตั้งวงเงินมาลอยๆ ไม่มีแม้แต่ผู้ตรวจสอบบัญชี ด้าน SEAPA เรียกร้องยุติคุกคามสื่อ - ทั้งนี้นับเป็นมาตรการกำจัดฝ่ายค้านและสื่อมวลชนของฮุนเซ็น กรุยทางก่อนการเลือกตั้งทั่วไปปีหน้า หนังสือพิมพ์เดอะแคมโบเดียเดลี ฉบับทิ้งท้าย 4 กันยายน 2560 ลงข่าวผู้นำพรรคฝ่ายค้าน กึม สุขขา ถูกจับกุมตัว (ที่มา: เพจ The Cambodia Daily) ผู้สื่อข่าวเดอะแคมโบเดียเดลี และป้ายรณรงค์ #Savethedaily Cambodia ภาพเผยแพร่เมื่อ 24 สิงหาคม 2560 (ที่มา: เพจ The Cambodia Daily) Issac แมวประจำสำนักงานเดอะแคมโบเดียเดลีกับป้ายรณรงค์ #Savethedaily Cambodia ภาพเมื่อ 25 สิงหาคม 2560 (ที่มา: เพจ The Cambodia Daily) 4 ก.ย. 2560 หลังจากที่ถูกกดดันจากรัฐบาลกัมพูชาด้วยข้ออ้างเรื่องภาษีแบบไม่เป็นธรรม หนังสือพิมพ์เดอะแคมโบเดียเดลีของกัมพูชาก็ประกาศปิดตัวลงในที่สุดหลังจากดำเนินการมาได้ถึง 24 ปี และอีก 15 วัน พวกเขาระบุในแถลงการณ์ปิดตัวว่ารัฐบาลกัมพูชาใช้ข้ออ้างเรื่องภาษีเป็นอำนาจในการทำลายสื่อที่เสรีอย่างพวกเขา นอกจากนี้การอ้างการกระทำของเจ้าของเก่าของเดอะแคมโบเดียเดลีในการลงโทษเจ้าของคนใหม่ยังทำให้เดอะแคมโบเดียเดลีไม่สามารถดำเนินการต่อได้ และจะต้องปิดตัวลง โดยฉบับสุดท้ายของเดอะแคมโบเดียเดลี คือฉบับวันที่ 4 กันยายน 2560 ทิ้งทวนด้วยการตีพิมพ์ข่าวกึม สุขขา ผู้นำฝ่ายค้านพรรคสงเคราะห์ชาติถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชาจับกุมตัวพร้อมตั้งข้อหาทรยศชาติ ทั้งนี้รัฐบาลกัมพูชาเรียกเก็บภาษี 10 ปีย้อนหลังเป็นเงินกว่า 6.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเรียกหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า "หัวหน้าโจร" และถ้าหนังสือพิมพ์ไม่ยอมจ่ายภาษีก็ให้แพ็คกระเป๋ากลับบ้าน หนังสือพิมพ์เดอะแคมโบเดียเดลีระบุว่ามีผลประกอบการขาดทุนมาตั้งแต่ปี 2551 โดยพวกเขาเห็นว่าจำนวนเงินที่รัฐบาลเรียกเก็บภาษีย้อนหลังนั้นเกินเลยไปมาก พวกเขาระบุว่าเจ้าหน้าที่สรรพากรกัมพูชาเข้ามาพร้อมระบุจำนวนเงิน โดยที่ไม่มีวิธีการตรวจนับหรือมีผู้ตรวจสอบบัญชีเลย นอกจากนี้หนังสือพิมพ์เดอะแคมโบเดียเดลีเองก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได เดอะแคมโบเดียเดลีระบุถึงกรณีข้อพิพาทเรื่องภาษีกับรัฐบาลอีกว่า ถ้าทำตามกระบวนการปกติทั่วไป การจัดการกับข้อพิพาทควรกระทำการหลังมีการตรวจสอบบัญชีและมีการเจรจาตกลงกันเป็นการส่วนตัวแล้ว แต่รัฐบาลกัมพูชากลับอ้างแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างสื่อที่เอียงข้างรัฐบาลชัดเจนในการโจมตีว่าเดอะแคมโบเดียเดลีมีภาษีที่ไม่ได้จ่ายจำนวนสูงมาก ตัวเลขสูงอย่างผิดวิสัย ซึ่งดูเป็นข้อมูลในเชิงให้ร้ายโดยไม่มีการตรวจสอบบัญชีและไม่มีกระบวนการทางกฎหมายใดๆ เลย เดอะแคมโบเดียเดลีระบุอีกว่าหลักฐานที่จะแก้ข้อกล่าวหาพวกเขามีอยู่ในบันทึกของทุกกระทรวงและทุกสถานทูตในพนมเปญเองจากการที่สื่อของพวกเขาจ่ายภาษีมาโดยตลอด ข้อกล่าวหาในเรื่องนี้จึงไม่เป็นความจริงและถือเป็นการหมิ่นประมาทสื่อพวกเขา อย่างไรก็ตามผลจากการถูกเล่นงานจนทำการต่อไม่ได้ก็ทำให้เดอะแคมโบเดียเดลีประกาศว่าจะยุติการให้บริการในกัมพูชา และกล่าวขอบคุณผู้ซื้อโฆษณาและผู้สมัครสมาชิกที่ให้การสนับสนุนสื่อเสรีของพวกเขามายาวนาน รวมถึงขอบคุณพนักงานของพวกเขาท่ต่อสู้อย่างดุดันและกล้าหาญเพื่อที่จะรายงาน "ข่าวทุกอย่างโดยไม่เกรงกลัวหรือเข้าข้างใคร" ตามคำขวัญของเดอะแคมโบเดียเดลี แถลงการณ์ SEAPA เรียกร้องหยุดคุกคามสื่อ ทั้งนี้ ในวันจันทร์ (4 ก.ย. 2560) สมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) ได้ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ลิดรอนเสรีภาพสื่อนกัมพูชาโดยมีการปิดสื่อวิทยุอินระหลายสถานีไม่ว่าจะเป็น วิทยุมหาโนคอร์, วอยซ์ออฟเดโมเครซี, วอยซ์ออฟอเมริกา, เรดิโอฟรีเอเชีย โดยข้อมูลของศูนย์สื่ออิสระกัมพูชา (CCIM) ระบุว่าในช่วงวันที่ 22-23 ส.ค. ที่ผ่านมามีการสั่งระงับการออกอากาศของสถานีวิทยุหลายแห่ง พบว่ามีการปิดกั้นการกระจายเสียงโดยคำสั่งของกระทรวงข้อมูลข่าวสารอย่างน้อย 31 แห่งจากกรุงพนมเปญและ 19 แห่งจากต่างจังหวัด ทางการกัมพูชาอ้างว่าสื่อเหล่านี้ไม่มีข้อมูลรายงานมากพอในเรื่องการขายเวลาสื่อสารออกอากาศ ส่วนในกรณีของเรดิโอฟรีเอเชียและวอยซ์ออฟอเมริกาสาขากัมพูชานั้นถูกขู่จะสั่งปิดโดยอ้างเรื่องเกี่ยวกับภาษีคล้ายกับที่เกิดขึ้นกับกรณีเดอะแคมโบเดียเดลี แถลงการณ์ของ SEAPA ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกเครือข่ายของ SEAPA หลายองค์กร ทั้งในประเทศกัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสมาคมผู้สื่อข่าวไทย SEAPA ระบุว่าการอ้างปิดสื่อเหล่านี้เป็นความพยายามปิดปากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้าการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2561 SEAPA มองว่าเสรีภาพสื่อเป็นพื้นฐานสำคัญไม่ว่าจะกับประชาธิปไตยแบบใดก็ตามจึงควรมีการรักษาเสรีภาพสื่อไว้เพื่อให้การเลือกตั้งในปีถัดไปเป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรม SEAPA ยังเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาหยุดการคุกคามสื่ออิสระโดยทันที เลิกปิดกั้นสัญญาณให้สื่ออิสระกลับมาออกอากาศได้อีกครั้ง และยกเลิกการปิดสื่อเดอะแคมโบเดียเดลีเพื่อให้ประชาชนชาวกัมพูชามีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสร้างบรรยากาศของสื่อที่หลากหลาย ทั้งนี้หนังสือพิมพ์เดอะแคมโบเดียเดลี ก่อตั้งในปี 2536 โดยเบอร์นาร์ด คริชเชอร์ (Bernard Krisher) ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของนิวส์วีคซึ่งเป็นเพื่อนของอดีตกษัตริย์นโรดมสีหนุ เรียบเรียงจาก THE CAMBODIA DAILY TO CLOSE AFTER 24 YEARS, The Cambodia Daily, 4 September 2017 [Cambodia] SEAPA statement: Media closures muzzle critical voices, SEAPA, 04-09-2017 The Cambodia Daily to Close (After Chasing One Last Big Story), By RICHARD C. PADDOCKSEPT, The New Yorks Times, 3 September, 2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เสาหลักของแผ่นดิน! 3 สมาคมจุฬาฯ หนุนฝ่ายบริหารจัดระเบียบนิสิตหลังปม 'เนติวิทย์' Posted: 04 Sep 2017 09:55 AM PDT สมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และครุศาสตร์สัมพันธ์ จุฬาฯ หนุนดำเนินงานของฝ่ายบริหาร สอบสวนนิสิต ทั้ง 8 รายกรณีเหตุความไม่เรียบร้อยในพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณตนของนิสิต ชั้นปีที่ 1 เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา 4 ก.ย.2560 จากกรณีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีคำสั่ง ให้ปลด เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ประธานสภานิสิตจุฬาฯ และเพื่อนอีก 4 คน ที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิส ล่าสุดวันนี้ (4 ก.ย.60) สมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ได้ยื่นเรื่องขอสนับสนุนการดำเนินการของฝ่ายบริหารจุฬาฯ ที่ปลดเนติวิทย์พร้อมพวก โดยระบุเหตุผลว่าเพื่อรักษาชื่อเสียง ขนบธรรมเนียมประเพณี และระเบียบวินัยของจุฬาฯ ขณะที่เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา เนชั่นรายงานว่า สมาคมศิษย์เก่าวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ออกแถลงการณ์ เป็นกำลังใจและให้การสนับสนุนการดำเนินงานของฝ่ายบริหารดำเนินการสอบสวนนิสิตกรณีดังกล่าว สรัญ รังคสิริ นายกสมาคมศิษย์เก่าวิศวกรรมศาสตร์ ระบุในแถลงการณ์ของสมาคมฯ ว่า การออกมาสนับสนุนการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย เพื่อรักษาชื่อเสียง ขนบธรรมเนียมประเพณี และระเบียบวินัยของมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมต่อไป ด้าน ชัยธวัชว์ ไทยง นายกสมาคมครุศาสตร์สัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ เนชั่นทีวี ในทำนองเดียวกันว่า ในวันจันทร์ ที่ 4 ก.ยน สมาคมฯ จะออกหนังสือถึง อธิการบดีมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนการทำงานเพื่อต้องการให้มหาวิทยาลัย จัดระเบียบ วินัย รักษากฎระเบียบ และรักษาภาพลักษณ์ ที่ดีของมหาวิทยาลัย เนื่องจากที่ผ่าน จุฬาลงกรณ์ ได้เสียชื่อเสียง ไปพอสมควรแล้วเนื่องจากพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณตนของนิสิต ไม่ได้บังคับว่าทุกคนต้องเข้าร่วมและยังเชื่อว่าอีกหลายสมาคมศิษย์เก่า จะทำหนังสือ หรือออกแถลงการณ์สนับสนุน อีกหลายสมาคมตามมา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดคำพูด-สะท้อนความคิด 28 'ผู้คุมยุทธศาสตร์ชาติ' (คณะกรรมการโดยตำแหน่ง) Posted: 04 Sep 2017 06:19 AM PDT รวม 28 โควตเด็ดจาก 28 บุคคลกับหัวโขนใหม่ภายใต้ชื่อว่า 'คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ' ผู้กุมทิศทางการการพัฒนาประเทศชาติ และแนวทางทางการปฏิรูป 20 ปี พวกเขาเคยพูดอะไร คิดอะไร และจะนำพาประเทศของเราไปทางไหน อาจจะไม่ต้องสาธยายอะไรกันให้มากความถึงเรื่องราวโครงสร้าง และที่มาของ "คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ" เพราะเกรงว่าจะเป็นการ "สอนหนังสือสังฆราช" เสียมากกว่า เข้าใจว่าผู้อ่านหลายท่านที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็คงทราบกันอยู่แล้วว่านับเวลาต่อจากนี้ไปอีก 20 ปีเป็นอย่างน้อย ประเทศไทยจะมีคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการจัดวางยุทธศาสตร์ชาติ ควบคุม ดูแล และจัดการกรณีที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือหน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ เบาที่สุดคือการตักเตือนในเบื้องต้น ร้ายที่สุดคือการให้ ส.ว. แต่งตั้ง 250 เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการกระทำของรัฐบาล หากมีมูลความผิด ก็สามารถส่งเรื่่องต่อให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งหมายความว่าอาจจะร้ายเกินกว่าจะคาดเดา พูดกันให้ง่าย หลายคนมองว่านี่คือซุปเปอร์ชาติ หรือมากยิ่่งไปกว่านั้นนี่อาจเป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับ "โปลิตบูโร" คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองของประเทศคอมมิวนิสต์ ต่างกันเพียงเส้นแบ่งลางๆ ระหว่างฝ่ายขวา และฝ่ายซ้าย แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ก็อาจมองได้ว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีคือกรอบแนวทางการพัฒนาที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อนและถึงเวลาจำเป็นต้องมี เพื่อไม่ให้การพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างสะเปสะปะ ไร้ทิศทาง และไร้การกำกับดูแล ซึ่งหากมองอย่างที่ว่านั่นก็อดคิดไม่ได้ว่า การเลือกตั้งทั่วไปต่อจากนี้ พรรคการเมืองจะมีอิสระในการคัดสรรนโยบายมาหาเสียงมาน้อยแค่ไหน และความสำคัญของการเลือกตั้งเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศผ่านการเลือกรัฐบาล และนโยบาย จะเพิ่มขึ้นหรือลงลดสักเพียงใด ดูเหมือนไม่ยากที่จะคาดเดาอนาคต แต่ยากพอสมควรกับการพูดมันออกมาตรงๆ ว่าเรากำลังจะเดินไปทางไหนกัน สิ่งเดียวที่พอจะมองเห็นอนาคตลางๆ ได้อยู่บ้างก็คือ การอ่านความคิด จากคำพูดของบุคคลที่ได้มีโอกาสเข้ามารับชาติ เข้ามาเสียสละในช่วงเวลาที่เขาเชื่อว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด "ผู้คุมอนาคต" พูดอะไร คิดอะไร และจะนำพาเราไปทางไหน อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง:
"นี่เป็นวิธีการดูแลไม่ให้ค 15 มีนาคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณี ส.ว. สรรหา 250 คน https://thaipublica.org/ - - - - - "การเดินหน้าไปสู่ประชาธิไต 29 มกราคม 2558 พรเพชร แถลงข่าวตอบโต้ กรณี เดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทร https://www.youtube.com/ - - - - - "ไม่เชื่อยังไงละ ก็นี่ก็ทำให้ดูดีทุกอย่าง คนส่วนใหญ่เขาโอเคว่า ตรงนี้มันดีอยู่แล้ว มันสงบอยู่แล้ว ก็ขอเวลา ไม่ได้บอกว่าจะยึดไปอย่างนี 26 พฤษภาคม 2558 พล.อ.ประวิตร ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีขบว https://www.youtube.com/ - - - - - "ขอย้ำเรียนว่า กิจกรรมนี้ไม่ใช่การซื้อต้น 30 ธันวาคม 2558 พลเอกชาญชัย กล่าวตอนหนึ่งในการแถลง ผลตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีโครงการก่อสร้างอุทยานร https://www.isranews.org/ - - - - - "ขอให้มีความมั่นใจว่าการจั 26 เมยายน 2560 พลเอกสุรพงษ์ กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อเรือ http:// - - - - - "ถ้าพูดถึงปฏิวัติถามถึงเหต 3 ตุลาคม 2559 พลเอกเฉลิมชัย ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หลังประชุมผู้บังคับหน่วยระ https:// - - - - - "เรือดำน้ำยังเป็นยุทโธปกรณ 1 ตุลาคม 2558 พลเรือเอกณะ กล่าวในพิธีรายงานตนเองของน https:// 5 พฤษภคม 2560 เสนาธิการทหารเรือเดินทางไป https:// - - - - -
"กองทัพอากาศไม่เลือกข้าง ไม่ว่าฝ่ายใดเราก็ไม่ให้จัด 24 เมษยน 2560 พลอากาศเอกจอม กล่าวถึงกรณียกเลิกสัญญาเช่ https:// - - - - -
"ผมไม่รู้ว่าคนที่หมิ่นสถาบ 26 ตุลาคม 2559 พลตำรวจเอกจักรทิพย์ กล่าวถึงกรณีที่มีผู้แสดงคว https://prachatai.com/ - - - - -
"ภาพรวมการฝึกซ้อมการระดมสร 15 มิ.ย. 2560 พลเอกวัลลภ กล่าวขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม http://thainews.prd.go.th/ - - - - -
"ผมไม่อยากให้ผู้สูงอายุเมื่อเกษียณอายุแล้วต้องท้อถอยหมดแรง และนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ เพราะจะทำให้ความจำเสื่อมลง ความรู้ต่าง ๆ ก็จะหายไป" พารณ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศราในวาระรับตำแหน่ง ผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2557 ปัจจุบันพารณมีอายุ 90 ปี https://www.isranews.org/thaireform/thaireform-talk-interview/thaireform-talk-social/28529-paron.html - - - - - "วันนี้พร้อมแล้ว ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะสั่งให้ดำเนินการอย่างไรพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ที่สำคัญก็พร้อมที่จะกลับเข้ามานั่งในตำแหน่งประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เป็นวาระที่ 2 จะมีแผนปฏิบัติการดำเนินการต่อเนื่องทันที" 11 พฤษภาคม 2559 ประพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจ ทั้งนี้เขาได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "ไอ้ก้านยาว" จากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 14 ตุลาคม 2516 http://www.thansettakij.com/content/50981 - - - - - "ความร่วมมือที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือความร่วมมือกับภาครัฐ ซึ่งจะดำเนินการต่อเนื่องจากคณะกรรมการชุดก่อนตามแนวทางประชารัฐ" 22 มีนาคม 2560 กลินท์ กล่าวในประชุมใหญ่สามัญสมาชิกหอการค้า ในวาระได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่ 24 ปัจุบันเขายังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยด้วย http://www.thansettakij.com/content/136323 - - - - - "ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงผลออกมาเป็นที่เรียบร้อยการเจรจาการค้าก็สามารถเดินต่อไปได้ก็จะสร้างความเชื่อมั่นทั้งผู้ลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเราเข้าใจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องการสร้างความมั่นใจว่า ทุกอย่างจะเดินตามโรดแมพ และแผนนโยบายระยะยาว 20 ปีของรัฐบาลได้" 3 มกราคม 2560 เจน ให้สัมภาษณ์กับ Nation ทั้งนี้หลังการรัฐประหาร 2557 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการหลายชุค ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ทั้งยังเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย http://www.nationtv.tv/main/content/social/378529635/ - - - - - "นักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ ส่วนหนึ่งยังคงมีความกังวล หากว่าเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติแล้วทางรัฐบาลก็ควรจะยกเลิกไป(กฎอัยการศึก) ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อประเทศไทยก็จะเพิ่มมากขึ้น และการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศก็จะเพิ่มจำนวนมากตามไปด้วย ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเห็นสมควร และตัดสินใจ" 11 ตุลาคม 2557 อิทธิฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์ ผู้จัดการออนไลน์ ต่อมา คสช.ยกเลิกการประกาศใหช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศในวันที่ 1 เมษายน 2558 จากนั้นได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 แทน http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000117119 - - - - - "เชื่อมั่นในกลไกการทำงานของภาครัฐ และภาคเอกชนว่า จะช่วยผลักดันตัวเลขเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว แม้อาจมีปัญหาคาดไม่ถึงเกิดขึ้นระหว่างปีก็ตาม" 13 กันยายน 2559 ปรีดี ให้สัมภาษณ์กับ กรุงเทพธุรกิจ เขาเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย หลังรัฐประหาร 2557 เขาไดรับตั้งแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเป็นคณะกรรมการอีกหลายชุดที่แต่งตั้งโดย คสช. http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/717060 - - - - - โปรดรอติดตาม...วาทะเด็ดจาก 12 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กกต.จัดใหญ่ ประชุม ผอ.จังหวัดทั่วประเทศเตรียมพร้อมเลือก ส.ส.-ส.ว. Posted: 04 Sep 2017 01:37 AM PDT กกต.จัดประชุมผู้อำนวยการการเลือกตั้งทั้ง 77 จังหวัดเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 4 ก.ย.2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (4 ก.ย.60) ศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานพิธีเปิด การประชุมเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งทั้ง 77 จังหวัด จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยได้จัดทำคู่มือการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.จำนวน 15 ฉบับ เพื่อตรียมความพร้อมก่อนที่กฎหมายจะประกาศใช้ ประธาน กกต. กล่าวถึงแนวคิดกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่กำหนดรูปแบบเลือกตั้งส.ส.ใหม่จากพรรคเดียวเบอร์เดียว เป็นแยกเบอร์รายเขตว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ได้จำลองการเลือกตั้งเพื่อสะท้อนถึงปัญหาไปแล้วว่าจะมีความยุ่งยากอย่างไร แต่กกต.คงไม่ส่งความเห็นเพิ่มเติมไปยังกรธ. เว้นแต่จะเห็นว่าจำเป็นจริง ๆ เพราะกกต.เป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ว่ากฎหมายจะออกมาอย่างไร จะต้องปฏิบัติให้ได้และปฏิบัติให้ดี "ส่วนร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยกกต.ที่รอการประกาศใช้นั้น เมื่อประกาศใช้แล้วคงจะนำไปสู่ที่ประชุม กกต.อีกครั้งว่ามีส่วนใดที่เป็นปัญหา ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ แต่เรื่องที่จะเป็นประเด็นขัดกันของผลประโยชน์ จะไม่ดำเนินการใด ๆ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลานับถอยหลังการทำงานของกกต.ชุดปัจจุบัน เนื่องจากถูกเซ็ตซีโร่ แต่จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว โดยจะไม่วางยาใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้กกต.ชุดใหม่ปฏิบัตงานได้ทันทีโดยไม่มีอุปสรรค" ศุภชัย กล่าว รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ในที่ประชุมได้นำเสนอปฏิทินการเตรียมการให้ได้มาซึ่ง ส.ว.และการเลือกตั้ง ส.ส. โดยการได้มาซึ่งส.ว.คาดการณ์ว่าในเดือนธันวาคม กรธ.จะเสนอร่างดังกล่าวต่อที่ประชุมสนช. และต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 กฎหมายดังกล่าวน่าจะมีผลใช้บังคับ จากนั้นกกต.จะเริ่มกระบวนการสรรหาประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2561 และสามารถเลือกผู้สมัครระดับประเทศและประกาศผลการเลือกตั้งส.ว. 200 คน ได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2561 จากนั้น จึงส่งให้คสช.คัดเลือกให้เหลือ 50 คน ก่อนนำไปรวมกับส.ว.ในสัดส่วนที่คสช.เป็นผู้คัดเลือกอีก 200 คน รวมเป็น 250 คนโดยคสช.จะต้องประกาศผลการคัดเลือกก่อนการเลือกตั้งส.ส. 15 วัน ส่วนการเลือกตั้งส.ส.คาดการณ์ว่ากรธ.จะส่งร่างให้สนช.พิจารณาต้นเดือนธันวาคมเช่นเดียวกัน และกฎหมายดังกล่าวน่าจะมีผลใช้บังคับประมาณมีนาคม 2561 จากนั้นจะเริ่มกระบวนการเลือกตั้งโดยช่วงที่จะประกาศพระราชกฤษฎีกาให้จัดการเลือกตั้งประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2561 และมีการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม 2561 ที่มา เว็บไซต์ กกต. และสำนักข่าวไทย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กสม. เปิดศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน ห้องสมุดเฉพาะด้านสิทธิฯ แห่งแรกของไทย Posted: 04 Sep 2017 01:21 AM PDT กสม. เปิดให้บริการ "ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน" แห่งแรกของประเทศไทย หวังส่งเสริมประชาชนเรียนรู้สิทธิมนุษยชนด้วยตนเอง 4 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุ วัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ กสม. จึงได้ดำเนินการจัดตั้ง "ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน" เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้ "ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน จัดตั้งขึ้นภายใต้แนวคิด 'สานสร้าง' หรือ 'Sync.Space' (Synchronizing Space) สานความรู้ สานเครือข่าย สร้างคน สร้างสิทธิมนุษยชน พูดง่าย ๆ คือศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุ ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ในศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชนนี้ กสม. ได้รับความร่วมมือจากองค์ ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน จึงเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ "ภายในศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุ ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน เปิดให้บริการตามวั "เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศูนย์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หลายองค์กรประณามกรณีกัมพูชาจับกุมฝ่ายค้านกลางดึก 'ล้าหลังอย่างวิบัติ' Posted: 04 Sep 2017 01:00 AM PDT องค์กรสิทธิมนุษยชนประณามกรณีรัฐบาลกัมพูชาจับกุมหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอ้างข้อหา "ทรยศชาติ" ว่าเป็น "ความล้าหลังอย่างวิบัติ" และชี้ว่าการอ้างใช้กฎหมายในกัมพูชาไม่น่าเชื่อถือมานานแล้วจากการนำมาใช้คุกคามภาคประชาสังคมและฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองซ้ำๆ กึม สุขขา ผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา ภาพจาก wikipedia เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2560 ในกัมพูชาเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทางการบุกเข้าจับกุม กึม สุขขา ผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชาในยามดึกประมาณเที่ยงคืนโดยไม่มีหมายจับ รวมถึงรื้อค้นบ้านโดยไม่มี หมายค้นใดๆ และต่อมาก็ตั้งข้อหา "ทรยศชาติ" โดยที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามการจับกุมผู้นำฝ่ายค้านในครั้งนี้แทบจะทันทีหลังการปฏิบัติการของรัฐบาล โดยวิจารณ์ว่าเป็น "ความล้าหลังอย่างวิบัติ" นอกจากข่าวการจับกุมกึม สุขขา แล้วยังมีข่าวเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชาพยายามจับกุมตัวหิง สกสัน ประธานยุวชนของพรรคซีเอ็นอาร์พี แต่สกสันหนีตำรวจไปได้ขณะที่มีตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าไปกวาดล้างบ้านเขา แต่ไม่มีการยืนยันว่าทางการต้องการจับกุมตัวหรือไม่ มู โสเจือ รองหัวหน้าพรรคซีเอ็นอาร์พีกล่าวในที่ประชุมพรรคว่า "พรรคการเมืองใดๆ ก็ตามที่สร้างความเสียหายต่อการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ขอให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบและเผชิญหน้ากับประชาคมโลกด้วยตนเอง" ส.ส. ในพรรคให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวก่อนการประชุมพรรคว่าหัวหน้าพรรคของพวกเขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับ "การปฏิวัติสี" หรือไม่เคยพูดถึงแผนการอะไรที่จะเป็นการโค่นล้มรัฐบาลเลย ชาร์ลส์ ซานติอาโก ประธานรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าวประณามรัฐบาลกัมพูชาว่าการจับกุมตัวกึม สุขขา เป็นเรื่อง "น่าตระหนก" และมองว่าเป็นความพยายามบดขยี้และทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในกัมพูชา ช่วงที่กำลังใกล้จะมีการเลือกตั้งระดับประเทศ ยิ่งใกล้เข้ามาพวกเขาก็ยิ่งเห็นว่ามีการยกระดับการบีบเค้นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ สื่อที่เป็นปากกระบอกเสียงให้รัฐบาลกัมพูชาเคยกล่าวหากึม "สมคบคิดกับต่างชาติเพื่อบ่อนทำลายกัมพูชา" ซึ่งในกฎหมายอาญามาตรา 443 ของกัมพูชาระบุว่าใครก็ตามที่มีข้อตกลงลับๆ กับรัฐต่างชาติหรือตัวแทนของรัฐต่างชาติเพื่อปลุกปั่นความเป็นปฏิปักษ์หรือการรุกรานกัมพูชาจะต้องโทษจำคุก 15-30 ปี นสพ.แคมโบเดียเดลี ฉบับสุดท้าย วันที่ 4 กันยายน 2560 ลงข่าวจับกุมกึม สุขขา โดยหนังสือพิมพ์ดังกล่าวตีพิมพ์เป็นวันสุดท้ายและต้องปิดตัวลงหลังดำเนินการมากว่า 24 ปี โดยรัฐบาลอ้างว่าค้างชำระภาษี 6.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มาของภาพ: Facebook/The Cambodia Daily) ในช่วงที่ผ่านมากัมพูชาพยายามบีบคั้นหรือปราบปรามฝ่ายที่พวกเขาคิดว่าเป็นปฏิปักษ์ รวมถึงสื่ออย่างเรดิโอฟรีเอเชียหรือวอยซ์ออฟอเมริกา โดยที่กัมพูชากำลังจะมีการเลือกตั้งในอีก 10 เดือนข้างหน้า ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยกำจัดฝ่ายค้านคือพรรคของสม รังษี มาก่อน และในตอนนี้กำลังพยายามจัดการกับพรรคสงเคราะห์ชาติ หรือซีเอ็นอาร์พี ถ้าหากหัวหน้าพรรคซีเอ็นอาร์พีถูกตัดสินให้มีความผิดพรรคการเมืองนี้ก็จะถูกยุบพรรคไปด้วยภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองที่ออกมาในช่วงต้นปีนี้ ทางพรรคซีเอ็นอาร์พีแถลงการณ์ช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3 ก.ย.) หลังจากจับกุมกึม สุขขา พวกเขาประณามว่าการจับกุมในช่วงกลางดึกในครั้งนี้มีแงจูงใจทางการเมืองและเป็นการละเมิดหลักการรัฐธรรมนูญ รวมถึงบอกอีกว่ากึม สุขขา ยังควรได้รับสิทธิคุ้มครองที่จะไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาอยู่ ทางซีเอ็นอาร์พียังเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวหัวหน้าพรรคของพวกเขาทันทีและเรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยเหลือให้มีการปล่อยตัว จอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์สาขาเอเชียกล่าวถึงการจับกุมกึม สุขขาว่าเป็นความล้าหลังอย่างวิบัติสำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกัมพูชา นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าข้อกล่าวหาของรัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือจากการที่ระบบกฎหมายของพวกเขาถูกนำมาอ้างใช้ในทางที่ผิดอย่างการปิดปากหรือการคุกคามผู้วิพากษ์วิจารณ์กับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง "เป็นเวลา 33 ปี ที่ฮุนเซนได้ใช้ความรุนแรง การคุกคาม การคอร์รัปชัน และการฟ้องร้องทางกฎหมายแบบปาหี่ในการทำให้ตัวเองอยู่ในอำนาจ และในปีที่แล้วพวกเขาก็ทำกาโจมตีกลุ่มภาคประชาสังคมและฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเข้มข้นขึ้น ซิฟตันเรียกร้องให้พันธมิตรของกัมพูชาและผู้บริจาคให้กัมพูชาเรียกจัวทูตกัมพูชามาอธิบายในการกระทำของรัฐบาลที่ถือเป็นกาโจมตีประชาธิปไตยและกดดันฮุนเซนว่าถ้าไม่เบนอเข็มออกจากการคุกคามฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้จะไม่นับว่าการเลือกตั้งในปีต่อไปเป็นการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม เรียบเรียงจาก Latest Updates: CNRP Leader Kem Sokha Arrested for 'Treason', The Cambodia Daily, 03-09-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ไหมทอชีวิต: ภูมิปัญญาผ้าไหมทอบ้านสวาย จ.สุรินทร์ Posted: 04 Sep 2017 12:37 AM PDT ผ้าทอหนึ่งผืน บอกอะไรเรามากกว่าเครื่องนุ่งห่มเพื่อซ่อนเร้นความโป๊เปือย และมากกว่าความสวยงามของลวดลาย คือเรื่องราวอันยาวนานที่ถูกเล่าขานผ่านด้ายทอ บ้านสวาย คือหนึ่งในชุมชนทอผ้าที่มีดีมากกว่าผ้าทอ ย้อนกลับไปในสมัยปลายยุคหินหรือยุคโลหะประมาณ 6000 ปีก่อน จากการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง และบ้านนาคี อ.หนองหาน จ.อุดรธานี พบเศษผ้าที่ติดกับสัมภาระเครื่องมือเครื่องใช้ พร้อมอุปกรณ์ทอผ้าชนิดต่างๆ อันเป็นสิ่งยืนยันทางประวัติศาสตร์ ถึงวัฒนธรรมการทอผ้าซึ่งมีมายาวนานมากกว่าสิบช่วงอายุคน วัฒนธรรมการทอผ้าได้แพร่หลายไปตามดินแดนอุษาคเนย์ เครื่องนุ่งห่มแต่ละท้องถิ่น มีกระบวนการและลวดลายแตกต่างกันไป สำหรับตำบลสวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ คือชุมชนทอไหมที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เพราะมากกว่าลวดลายที่หลากหลาย และสีย้อมที่รังสรรค์จากจินตนาการ คือภูมิปัญญาทอไหมอย่างภาคภูมิ ส่งต่อและสืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งจนเกิดความชำนาญ อีกทั้งเชี่ยวชาญพลิกแพลงวิธีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ การเลี้ยงไหมมีความละเอียดละอ่อนและซับซ้อนอย่างมาก กว่าตัวไหมโตเต็มวัย ความสะอาดของพื้นที่ สภาพอากาศที่ต้องถ่ายเท คือข้อคำนึงถึง เพราะอากาศที่ร้อนจัดในหน้าร้อน หนาวเหน็บในหน้าหนาว ชาวอีสานต้องเผชิญกับโรคภัยของตัวไหม บ่อยครั้งที่สภาพอากาศเป็นสาเหตุต้นๆ ที่ทำให้หนอนไหมตาย เกือบทุกครัวเรือนของที่แห่งนี้ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ด้วยความไม่แน่นอนของกลไกตลาดข้าว เม็ดเงินจากผลผลิตที่มีอาจไม่เพียงพอต่อคนในครอบครัว กลุ่มสตรีทอไหมจึงรวมตัวกัน อาศัยต้นทุนจากเครื่องมือทอผ้า สร้างมูลค่าให้กับผ้าทอของกิจวัตรประจำวัน ส่งออกสู่ตลาดผ้าไหมไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้ ซื้อใช้ ตามปกติ ชาวอีสานจะเริ่มปลูกข้าว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3 – 4 เดือนจึงเก็บเกี่ยว เวลาว่างตรงนี้เอง ผู้หญิงจะเริ่มทอผ้าฝ้ายสำหรับสิ่งของเครื่องใช้ในปัจจัยสี่ เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าปู เป็นต้น แต่นอกจากทอฝ้ายเพื่อข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนแล้ว การทอไหมก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วยเช่นกัน เพราะต้องใช้ความประณีต ระยะเวลา และความอดทนเป็นอย่างมาก ทุกกระบวนการคือความใส่ใจ และเป็นเครื่องแสดงความสามารถของหญิงอีสานอีกด้วย ทุกครัวเรือนต้องมีกี่ทอผ้า และกี่ทอผ้าจะเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้หญิงในบ้าน หากเดินลัดเลาะไปตามบ้าน เราเห็น 'กี่ทอผ้า' ทุกครัวเรือน ในแง่หนึ่งคือ สถานที่แห่งนี้เป็นชุมชนทอผ้าใต้ถุนเรือนที่เกิดจากการอนุรักษ์วัฒนธรรมทอผ้าของชุมชนไว้ จนเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่นๆ ของจังหวัดสุรินทร์และแถบอีสานใต้ แต่อีกแง่หนึ่งคือกุศโลบายของคนเฒ่าคนแก่ เพราะนอกจากเป็นสินสอดในพิธีแต่งงานแล้ว ยังกลายเป็นเครื่องมือทำกินทำใช้ของครัวเรือนโดยไม่ต้องซื้อหาให้สิ้นเปลือง ประเพณีการแต่งงานของบ้านสวายตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ฝ่ายชายจะเริ่มประดิษฐ์กี่ทอ สลักลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อเป็นเครื่องสมาอย่างหนึ่งที่มอบให้หญิงยอดรักในพิธีแต่งงาน ขณะเดียวกัน ฝ่ายหญิงจะเริ่มทอผ้าเป็นเครื่องนุ่งห่มทั้งผ้าฝ้าย และผ้าไหม โดยใช้กี่ทอผ้าของแม่ เพื่อมอบให้กับฝ่ายชายอันเป็นเครื่องผูกมัดความรักของทั้งสอง ลายที่หลากหลายกับความซับซ้อนของผ้าทอ คือเครื่องการันตีความเก่งกาจ และเหมาะสมแก่ชายคู่ครอง ด้วยเหตุนี้เอง ทุกบ้านจึงมีเครื่องทอเป็นสมบัติประจำบ้าน นอกจากปัจจัยขั้นพื้นฐาน และเครื่องแสดงความพร้อมของผู้หญิง ผ้าเองก็มีบทบาทหน้าที่อย่างมากในพิธีกรรมซึ่งผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ฤดูร้อน – เซ่นปู่ตาเปิดป่า-เปิดดง บุญข้าวจี่ บุญพะเวส สงกรานต์ และบุญผ้าป่า, ฤดูฝน – เข้าพรรษา เทศการแห่เทียน การแต่งงาน, ฤดูหนาว – บุญกฐิน ลอยกระทง บุญข้าวเปลือก บุญข้าวจี่ เป็นต้น รวมไปถึงพิธีการเกิด พิธีบวช และพิธีศพ ซึ่งจะขาดผ้าเพื่อประกอบพิธีกรรมไม่ได้เลย ความแนบชิดระหว่างชีวิตกับผ้าทอ แทบจะแยกกันไม่ออก สำหรับผู้หญิงในชุมชนบ้านสวาย สืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าด้วยวิธีครูพักลักจำ ด้วยบริบทและต้นทุนที่พร้อม เด็กหญิงของทุกบ้านจะทอผ้าใช้เองเป็น และเริ่มลวดลายยากๆ ตามความชำนาญที่สั่งสมมา ไม่เพียงแค่เด็กหญิงเท่านั้น ทุกวันนี้เด็กชายที่มีความสนใจก็สามารถฝึกหัดได้เช่นกัน การทอผ้า จึงไม่ใช่เรื่องของหญิงเพียงฝ่ายเดียวสำหรับที่แห่งนี้ ปัจจุบันบ้านสวายได้กลายเป็นชุมชนทอผ้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุรินทร์ ด้วยการอนุรักษ์วิถีทอผ้าใต้ถุนเรือน ประกอบกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้เข้ามาช่วยส่งเสริม และแก้ไขปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามมาตราฐาน จัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ตลาดคนซื้อ จึงกลายเป็นชุมชนเข้มแข็งที่ยืนด้วยความภูมิใจในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องในชุมชน ทุนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของคนในชุมชนนี้ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสินค้า เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าของทางวัฒนธรรมจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมไป ในแง่หนึ่งก็ลดทอนความเป็นตัวตนของชุมชนลง แต่สำหรับบ้านสวาย จ.สุรินทร์ ได้สร้างสรรค์คุณค่าจากสิ่งที่มีทุกครัวเรือน เรียงร้อยจนเกิดเป็นลวดลายที่มีเรื่องเล่าให้ขับขานไม่รู้จบ ไม่ใช่เพราะผ้าทอกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เป็นทุกส่วนของชีวิตพวกเขาต่างหาก สำหรับคนในชุมชนสวาย มองว่าผ้าหนึ่งผืน ไม่ได้บอกราคาตีมูลค่า หรือดีเด่ไปกว่าความงามจากสวมใส่ แต่หากมีความหมายมากกว่า 'ชีวิต' ที่คนในบ้านสวายร่วมกันถักทอ เกิดเป็นลวดลายที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แกนนำ นปช. ยื่นอุทธรณ์คดี ตร.เป็นพยานเท็จ ให้การคดีล้มประชุมอาเซียน พัทยา ปี 52 Posted: 04 Sep 2017 12:36 AM PDT นิสิต พร้อมพวกจ่อร้องรื้อฟื้นคดีพัทยาปี 52 ใหม่ ระบุตำรวจแจ้งเท็จรับสารภาพถูกสั่งให้เบิกความใส่ร้ายจนติดคุก 4 ปี ลั่นไม่ยุติธรรม ร้องอัยการพัทยายื่นอุทธรณ์ให้ศาลสั่งลงโทษตำรวจแจ้งเท็จอย่างเหมาะสมกับพฤติกรรม 4 ก.ย.2560 PEACE NEWS รายงานว่า นิสิต สินธุไพร แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อม สำเริง ประจำเรือ เข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีอัยการศาลสูงภาค 2 ขอให้อุทธรณ์คดีที่ พ.ต.อ.สมพล รัตนการ ฟ้อง พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย เป็นจำเลยข้อหาแจ้งความเท็จ เป็นพยานเท็จ และ เบิกความต่อศาลเท็จใส่ร้าย นปช. ในคดีล้มประชุมผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 รายงานข่าวระบุด้วยว่า นิสิต กล่าวภายหลังการยื่นหนังสือว่า หลังจากศาลพิจารณาโทษ พ.ต.ท.ศราวุธ ในคดีแจ้งความเท็จลงโทษ 2 ปี คดีเบิกความเท็จต่อศาล 3 ปี และศาลลดโทษเหลือ 2 ปี 6 เดือน ปรับ 12,000 บาท ซึ่งคดีดังกล่าว และตำรวจคนนี้เป็นพยานปากสำคัญซัดทอดใส่ร้ายจำเลยหลายคนในคดีพัทยา ปี 2552 "พวกผมจำเลยทั้ง 13 คนถูกลงโทษจากศาลชั้นต้น และอุทธรณ์สั่งจำคุก 4 ปี จากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐทำให้เกิดความเสียหายต่อจำเลย จึงต้องมายื่นต่ออธิบดีอัยการศาลสูงภาค 2 ขอให้อุทธรณ์ต่อศาลเพื่อให้พิจารณาโทษให้เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เบิกความเท็จและแจ้งความเท็จ" นิสิต กล่าว พร้อมระบุด้วยว่า นอกจากนี้ ทางจำเลยทั้ง 13 คนจะได้ยื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อพิจารณาโทษต่อ พ.ต.ท.ศราวุธ และจะฟ้องดำเนินคดีกับตำรวจที่แจ้งความเท็จนี้อีกอีกด้วย นิสิต กล่าวย้ำอีกว่า เมื่อศาลลงโทษ 5 ปี ลดเหลือ 2 ปี 6 เดือน และรอลงอาญานั้น แต่พวกตนต้องติดคุก 4 ปี พวกตนเชื่อว่า คนแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จ ควรได้รับโทษที่เหมาะสมกับการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอำนวยความยุติธรรมต่อปชช.ทั่วไป โดยเฉพาะศาลเอาคำเบิกความของ พ.ต.ท.ศราวุธ มาลงโทษจำเลยประมาณ 8 คนให้ติดคุกด้วย ต่อกรณีคำถามว่า คดีของ พ.ต.ท.ศราวุธ แจ้งความเท็จ กับคดีล้มประชุมผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 เป็นกรณีเดียวกันหรือไม่ นั้น สำเริง กล่าวว่า เป็นคดีเดียวกัน และยังให้การเท็จต่อจำเลยทั้ง 8 คน และตนเองก็เป็นจำเลยในจำนวนนั้นด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐให้การเท็จแล้ว ทำให้วงการตำรวจไม่น่าเชื่อถือ "พ.ต.ท.ศราวุธ เป็นตัวแทนตำรวจพัทยาในช่วงนั้น และให้การเท็จต่อคดีการประชุมพัทยาจริงๆ ยิ่งเขารับสารภาพ แล้วยังมาขอโทษผม บอกที่ต้องทำเพราะ จุด..จุด..จุด...ไม่อาจบอกได้ในที่นี้ คนที่ใส่ร้ายผมสารภาพผิด แล้วเดินออกศาลอย่างสง่าผ่าเผย แต่ตัวผมเอง ซึ่งถูกใส่ร้ายกลับต้องเดินเข้าคุก แล้วความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน เราคงต้องร้องรื้อฟื้นคดีกันใหม่" สำเริง กล่าว สำหรับคดีล้มประชุมผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 นั้น เมื่อ 21 มี.ค. ที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์โดยตัดสินพิพากษายืน จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กับแกนนำกลุ่ม นปช.พัทยา อีกจำนวน 12 คน (จำเลยที่ 2-13) เป็นแกนนำ คดีดังกล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
บรรยง พงษ์พานิช: แผนยุทธศาสตร์ชาติ 1 คบไฟนำทางหรือโซ่ตรวนล่ามชาติ Posted: 03 Sep 2017 11:37 PM PDT
ในรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับที่มีมากถึง 279 มาตรา และได้รับความเห็นชอบตามประชามติอย่างล้นหลาม (ซึ่งผมกล้าพนันว่า ไม่ถึง 1%ของผู้ที่เห็นชอบ ได้อ่านร่างครบทุกมาตรา ...และผมที่ไม่ได้เห็นชอบ ก็เต็มใจที่จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้) มีมาตราสำคัญอยู่สองมาตรา คือ ในหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 65 ที่กำหนดให้จัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ และหมวด16 การปฏิรูปประเทศในมาตรา 259 ที่กำหนดให้มีกฎหมายและแผนขั้นตอนในการปฏิรูปประเทศ ตามที่รัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงไว้อย่างยืดยาวพิสดารยาวกว่า 100 บรรทัด ในมาตรา 258 (ผมเดาว่าน่าจะเป็นมาตราที่ยาวที่สุด และท่านก็ได้เริ่มไว้ด้วยคำว่า "อย่างน้อย" เสียอีก) จากรัฐธรรมนูญสองมาตรานี้ จึงมีการออกกฎหมายมาอีก 2 ฉบับ ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 นี้ คือ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งผมเห็นว่าทั้งสอง พ.ร.บ.นี้และการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ทั้งสอง มีความสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยในระยะยาวนานถึงยี่สิบปี แต่เท่าที่สังเกต ดูเหมือนสังคมจะยังมีความตระหนักไม่มากนัก คงเป็นเพราะ สนช.ท่านมีผลงานมากมายกว่าสองร้อย พ.ร.บ. (ท่านภูมิใจว่าออกกฎหมายได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในขณะที่กระแสทั่วโลก เขาพยายามลดกฎหมาย ลดอำนาจรัฐ แต่ยุคนี้ในไทย เรียกว่าหน่วยราชการไหนอยากได้กฎได้อำนาจอะไร ก็ได้หมด) ประชาชนเลยแยกแยะไม่ค่อยออกว่าอะไรสำคัญแค่ไหน ใน พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับนั้น มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันอย่างมาก ต้องดำเนินการควบคู่กันไป และมีลักษณะที่เร่งด่วนอย่างมาก สรุปได้เลยว่า มีเวลาแค่หนึ่งร้อยยี่สิบวันหรือสี่เดือนเท่านั้น ที่เราจะต้องรวบรวมเอาปัญหา ประเด็น รวมทั้งข้อเสนอทางแก้ ที่เคยมีกรรมการหลายสิบคณะเคยศึกษารวบรวมมาตลอดนับสิบปี มากลั่นกรองให้ได้แผนที่จะต้องเป็นหลักชี้นำทางที่ทุกภาคส่วนต้องผูกพันปฏิบัติไปอีกยี่สิบปี ...(แค่นึกถึงประเด็นนี้ ผมก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้วครับ) ข้อดีของพ.ร.บ.ทั้งสอง(ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ) ก็คือ"การมีส่วนร่วม" เพราะได้กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั้งในระยะเตรียมการจัดร่าง และเมื่อร่างเสร็จก่อนการประกาศใช้ ...ซึ่งด้วยเหตุนี้แหละครับ ที่ผมเลยตั้งใจจะแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ตั้งแต่บัดนี้ ตั้งแต่กระบวนการจัดทำ รวมไปถึงหลักการที่ผมเห็นว่าผู้ร่างผู้จัดทำควรจะต้องคำนึงถึงตั้งแต่เริ่มคิดเริ่มร่าง ก็อย่างที่บอกแหละครับ ผมคิดว่าการทำแผนยุทธศาสตร์ชาติครั้งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าท่านทำได้ดีประเทศอาจจะเจริญรุดหน้าได้ดีดั่งหวัง แต่ถ้าทำได้ไม่ดีชาติอาจจะถูกฉุดให้หยุดการพัฒนาได้เลย ประชาชนทั้งประเทศโดยเฉพาะเยาวชนอาจจะต้องเจอกับ Lost Generation คือการพัฒนาต่างๆหยุดชะงักไปหลายสิบปีได้เลย (ถึงตอนนี้ผมไพล่นึกไปถึงแผนยุทธศาสตร์ "Burmese Way to Socialist" ของจอมพลเนวิน ที่ปฏิวัติพม่าในปี2505 แล้ววางแผนยุทธศาสตร์ที่(อ้างว่า)ใช้ สังคมนิยม ชาตินิยม และพุทธศาสนาเป็นหลัก แต่จริงๆแล้วเป็นการจรรโลงระบอบ"ทหารนิยม" ครองอำนาจยาวนาน จนสี่สิบปีให้หลัง จากประเทศมั่งคั่ง พม่ากลายเป็นประเทศที่ยากจนอันดับสองของเอเชีย จากเคยรวยกว่าเรามาเหลือรายได้ต่อคนแค่หนึ่งในหกของไทย และก็เลยไพล่ไปนึกถึงแผนยุทธศาสตร์"Bolivarian Mission"ของประธานาธิบดีชาเวซแห่งเวเนซูเอล่า ที่ตอนแรกได้รับความชื่นชมจากประชาชนอย่างท้วมท้น แต่อีกไม่ถึงยี่สิบปีให้หลัง ประเทศที่มั่งคั่งทรัพยากรที่สุดก็เละเสียยิ่งกว่าเละอย่างไม่น่าเชื่อ) หลายคนอาจจะเห็นว่า การมาวิพากษ์วิจารณ์ก่อนที่จะเห็นแผน เห็นรูปร่างหน้าตาของแผน อาจจะเป็น เรื่อง"ตีตนไปก่อนไข้" หรือ "ติเรือทั้งโกลน ติโขนที่ยังไม่ทรงเครื่อง" แต่ผมเกรงว่า ถ้าจะรอให้เห็นแผนมันจะช้าและสายเกินไป เนื่องจากเขากำหนดเวลาให้สั้นมาก และถึงเวลานั้นก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากไม่ได้ คนร่างคนทำก็คงมีทั้งทิฎฐิ และอทิฎฐิมานะเต็มไปหมด จนการปรับปรุงแก้ไขคงยากมาก ยิ่งเห็นสภาสนช.ผ่านกฎหมายทุกทีด้วยมติ 180-0 ยิ่งทำให้น่ากลัวใหญ่ (ไม่รู้จะต้องมีสมาชิกกินเงินเดือนไปทำไม มีแค่วิปก็พอ) ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตั้งใจจะใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและโรดแมปที่ยาวเกิน ไม่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญ ไม่เห็นด้วยที่เราจะต้องมีกฎหมายสองฉบับนี้ ไม่เห็นด้วยว่าควรมีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีที่บังคับใช้อย่างเข้มงวด ...แต่ในเมื่อยังไงๆมันก็ต้องมีเพราะมันถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญที่ได้รับประชามติเห็นชอบ และในเมื่อผมตัดสินใจจะใช้ชีวิตช่วงที่เหลือในประเทศนี้ ผมก็ต้องเคารพ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ทำให้แผนนี้เป็นแผนที่ถ่วงความเจริญหรือทำร้ายประเทศ ...และผมขอเชิญชวนผู้มีความรู้ทั้งหลาย ออกมาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากๆนะครับ อย่าเพิกเฉย เพราะถึงจะไม่ชอบระบอบ ไม่ชอบวิธีที่เป็นอยู่ ก็ต้องอดทนทำหน้าที่ไป อย่าเอาแต่รอหวังให้รัฐธรรมนูญถูกแก้ถูกฉีก อย่ายกแผ่นดินให้คนมีอำนาจแต่ฝ่ายเดียว เพราะเราไม่มีแผ่นดินไทยแผ่นที่สองให้เลือกอยู่ เกริ่นมาเสียยืดยาว ....วันนี้ผมจะขอเริ่มวิพากษ์วิจารณ์การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติในประเด็นที่ตั้งไว้เป็นประเด็นแรก คือประเด็นที่ว่า "มันจะออกมาเป็นคบไฟนำทาง หรือโซ่ตรวนล่ามชาติกันแน่?" ซึ่งก็ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการตั้งประเด็นเพื่อประชดหรือชี้นำอะไร เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับแผนที่จะออกมา ถ้าดีมีความยืดหยุ่นพอก็จะเป็นอย่างแรก แต่ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นอย่างที่สอง ซึ่งในความเห็นของผม เส้นแบ่งทั้งสองด้านมันเป็นเส้นบางๆที่ยากจะมองออกอย่างยิ่ง แถมยังเป็นเส้นที่ไม่อยู่นิ่งเสียอีก เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทางคาดเดาได้ ตามพลวัตทั้งของโลกของเรา ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง (ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีอัจฉริยะที่ไหนทำแผนยี่สิบปีนี้ได้ดี) ในประเด็นแรกที่จะถกนี้ ผมจะขอยกเรื่อง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติมาตั้งข้อสังเกต 4 ข้อ ดังนี้ 1. เรื่องระยะเวลา มาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ฯ ระบุชัดว่าต้องมีแผนระยะไม่น้อยกว่ายี่สิบปี ตรงนี้คงต้องตีความว่า ณ ขณะใดขณะหนึ่งแผนต้องยี่สิบปีหรือไม่ ซึ่งอาจต้องทำไว้สักยี่สิบห้าปีก็ได้ ไม่งั้นคงต้องเพิ่มแผนกันทุกเดือนถ้ากฎหมายให้ต้องมีอย่างน้อยยี่สิบปีตลอดเวลา ...ถามว่า ทำไมต้องยี่สิบปี ทำไมไม่ 5 10 15 ปี รัฐธรรมนูญมาตรา 65 ก็ไม่ได้กำหนดเวลา แต่มากำหนดในกฎหมายลูก (ตรงนี้ผมเอามาใส่ไว้เพื่อหวังว่าวันหน้าสามารถแก้ กม.ลูกให้เหลือแค่สามปีได้โดยไม่ขัด รธน.นะครับ) นี่ก็คงเป็นเพราะท่านพูดท่านคุยเรื่องยี่สิบปีนี่ไว้ ก็เลยต้องทำยี่สิบปีตามวิสัยทัศน์ท่านผู้นำ (นึกไม่ออกว่าใครจะคาดการณ์ภาวะล่วงหน้าได้นานขนาดนั้น ในเมื่อยี่สิบปีที่แล้วไอ้ iPad ที่ผมใช้พิมพ์บทความนี้มันยังไม่มีเลย) 2. เรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ซึ่งมีอยู่ 35 คน เป็นตามตำแหน่ง 18 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 17 คน ซึ่งในกรรมการตามตำแหน่งนั้นเป็นฝ่ายการเมืองและข้าราชการ 13 คน และเป็นประธานTrade Associations 5 คน คือ ประธานสภาเกษตรกร สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาธุรกิจท่องเที่ยว และสมาคมธนาคาร ตรงนี้ผมคิดว่ามีความคลาดเคลื่อนในความเข้าใจของสังคมไทยเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของTrade Associationsต่างๆอยู่ไม่น้อย เพราะ TA นั้น เป็นการรวมตัวกันของผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อประโยชน์ของมวลหมู่สมาชิก ซึ่งรวมไปถึงการต้องไปเรียกร้องต่อรองกับรัฐหรือภาคส่วนอื่นๆ (และรวมไปถึงการ lobby ที่ไม่ผิดกฎหมายด้วย) ซึ่งชัดเจนว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของสมาชิก ไม่ใช่เพื่อส่วนรวม ถ้าจะบอกว่าการให้เข้ามาก็เพื่อต่อรองถ่วงดุลก็จะเกิดปัญหาว่า แล้ว TA อื่นๆ เช่น สภาธุรกิจตลาดทุน ธุรกิจประกันภัยฯลฯ ล่ะทำไมถึงไม่ได้เข้ามา เพราะบ่อยครั้งผลประโยชน์ของ TA แต่ละแห่งขัดกับแห่งอื่นๆ 3. เรื่องความยืดหยุ่นในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ใครๆก็รู้ว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติยี่สิบปีต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางที่จะกำหนดแผนที่ดีล่วงหน้าได้นานขนาดนั้น ตาม พ.ร.บ.จะมีแผนอยู่สองระดับ ระดับบนสุดเรียกว่ายุทธศาสตร์ชาติเป็นแผนหลักใหญ่ กับยังมีแผนแม่บทด้านต่างๆที่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะแบ่งระดับกันตรงไหนระหว่างแผนใหญ่กับแผนรอง กับจะมีกรรมการอีกกี่คณะกี่ด้าน (อีกทั้งจะมีแผนปฏิรูปอีกอย่างน้อย 11 ด้านตาม พ.ร.บ.อีกฉบับ) แผนทั้งหมดถูกระบุว่าต้องสอดคล้องกัน ซึ่งรวมไปถึงนโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม งบประมาณ และแผนอื่นใดก็ต้องยึดยุทธศาสตร์ชาตินี้เป็นหลัก (ผมนึกถึงภาพการสอดคล้องนัวเนียเหมือนสายต่างๆ บนเสาไฟฟ้าเลยครับ 555) นัยว่า ยุทธศาสตร์ชาตินี้จะเป็นตัวประธานที่ทุกแผนต้องยึดปฏิบัติตาม เช่น สมมุติว่าไปกำหนดว่างบประมาณต้องเกินดุลในปี 2565 ก็ต้องทำให้เกินดุลให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไร เกิดวิกฤติอะไร นำ้ท่วมหรือแห้งแล้งสาหัสทั้งประเทศก็ต้องให้เกินดุล นอกจากจะแก้แผนเสียก่อน ทีนี้ การจะแก้แผนได้ก็มีสองระดับ ถ้าเปลี่ยนแผนแม่บทก็ทำได้โดยต้องผ่านทั้งกรรมการและ ครม. (ในกรรมการมีครม.แค่สองคนจากสามสิบห้า) แต่ถ้าอยากแก้ไขปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเป็นแผนประธาน จะทำได้ก็แต่ตามมาตรา11 คือทำโดยคณะกรรมการกับรัฐสภาเท่านั้น ครม.ไม่เกี่ยว ซึ่งก็หมายความว่ารัฐบาลแทบไม่มีอำนาจอะไรเลยในการบริหารประเทศในยี่สิบปีข้างหน้า(ต้องร้องไอ้หยา) ทุกอย่างต้องทำตามคณะกรรมการ (แล้วอย่างนี้ไม่ให้เรียกปูลิตบูโรจะให้เรียกอะไรครับ) ข้อกังวลในเรื่องนี้ ก็คือ ถ้ามีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงแผน(ซึ่งต้องมีแน่ๆ) มันจะทำได้ยากมากๆ ต้องใช้เวลาขั้นตอนมากมาย ซึ่งอาจไม่ทันการ แถมถ้ากรรมการเกิดไม่อยากให้แก้ก็แก้ไม่ได้ หรือกรรมการอยากแก้ รัฐสภาไม่ให้แก้ก็ไม่ได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่การคานแล้วครับ แต่เป็นการขัดจนทำอะไรไม่ได้ สุ่มเสี่ยงมากที่จะเกิดภาวะสุญญากาศในการบริหารประเทศ (ซึ่งเราเคยเกิดภาวะนี้หลายครั้งจนต้องเวลคัมรัฐประหารมันทุกครั้ง...เอ๊ะ ...หรือนี่เป็นเจตนาแท้จริงของพ.ร.บ.) 4. ที่น่ากังวลอีกเรื่องก็เป็นเรื่องของ "การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผล" ที่กำหนดไว้ในหมวด 3 มาตรา 23-27 ซึ่งให้อำนาจกับคณะกรรมการที่จะกล่าวโทษผู้ไม่ปฏิบัติตาม ให้เลือกเลยว่าจะยื่นเรื่องให้สภาผู้แทน หรือวุฒิสภา ที่จะส่งให้ปปช.พิจารณา ซึ่งแค่ชี้มูลก็ต้องพ้นตำแหน่ง ซึ่งก็แปลว่า ถ้าคณะกรรมการ วุฒิสภา และ ปปช. (ซึ่งทั้งหมดถูกแต่งตั้งโดยคนเดียวกัน) เห็นว่าใครต้องพ้นตำแหน่งก็จะปลดได้ ซึ่งผมไม่เห็นว่าเรื่องของการไม่ทำตาม หรือไม่สอดคล้องกับแผน จะไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องคอร์รัปชั่น แต่กลับเอาไปให้ ปปช.ซึ่งอาจไม่ได้มีทักษะใดๆกับเรื่องยุทธศาสตร์เป็นผู้ชี้มูล เอาแค่ 4 ข้อ ที่ผมยกมา ก็คงพอจะเห็นได้ว่า การทำแผนยุทธศาสตร์ชาตินี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นดาบสองคม ที่ผู้จัดทำต้องคำนึงถึงคมที่จะบาดตัวให้ดีตั้งแต่เริ่มต้น หาไม่แล้วแทนที่จะใช้ฟาดฟันอุปสรรคได้กลับจะทำร้ายประเทศให้สาหัสได้เลย แทนที่จะเป็นคบไฟนำทางให้ชาติ อาจกลายเป็นโซ่ตรวนล่ามชาติไปแทน อย่างที่บอกนะครับ ถึงผมจะไม่ชอบ ไม่คิดว่าเราควรจะมีแผนในลักษณะนี้ แต่ถึงวันนี้ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ระมัดระวัง ลดอัตตา ลดอคติ หรือแม้แต่อุดมคติใดๆ เพราะอนาคตชาติอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะเรื่องนี้ทีเดียว วันนี้ขอแค่ประเด็นนี้ก่อน จะมีประเด็นอื่นๆในเรื่องนี้ตามมาเรื่อยๆนะครับ ทั้งหมดนี่ผมถือเป็นความพยายามทำหน้าที่พลเมืองไทยนะครับ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 03 Sep 2017 11:26 PM PDT
เป็นนักเขียน ศิลปินมันโคตรเท่ เขียนถึงความอยุติธรรมทำไมกัน ใช่เลือกฝ่ายเพราะหมายจะกำจัด ไม่เคียงข้างแถมมีบ้างที่เย้ยหยัน ใครกันแน่แบ่งข้างมาแต่ต้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศรีสุวรรณ ร้อง ป.ป.ช. ปม ตร.ปล่อยคดี 'บอส กระทิงแดง' หมดอายุความ Posted: 03 Sep 2017 10:42 PM PDT ศรีสุวรรณ ยื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช. เอาผิด บิ๊กตร.-อัยการ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้า ปมเกียร์ว่างคดีบอสกระทิงแดง ชน ตร.ทองหล่อเสียชีวิตเมื่อปี 55 ระบุล่าสุด 3 ก.ย. ที่ผ่านมา ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและไม่แจ้งเจ้าพนักงาน ได้หมดอายุความลงแล้ว 4 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (4 ก.ย.60) ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช. สอบสวนและเอาผิดกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ,พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , เศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ , สุพล ยุติธาดา อดีตอัยการอาวุโส และฤชา ไกรฤกษ์ อัยการเจ้าของสำนวนและพวก ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้ผู้ต้องหาในคดีอาญาหลบหนีออกนอกประเทศ อันเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ ศรีสุวรรณ ระบุวา ตามที่ปรากฎเป็นการทั่วไปว่าเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2555 ทายาทเครื่องดื่มกระทิงแดงได้ซิ่งรถหรู เฟอร์รารี่ ด้วยความเร็วสูง กว่า 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พุ่งชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสายตรวจ สน.ทองหล่อ จนเสียชีวิตคาเครื่องแบบ และยังลากร่างของผู้ตายไถลไปไกลหลายร้อยเมตรในเขตความรับผิดชอบพื้นที่ สน.ทองหล่อนั้น เหตุทายาทเจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดง ขับรถชนตำรวจตายกลางถนน เป็นคดีที่ไม่สลับซับซ้อนอะไร หากพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของสำนวนและอัยการจะเร่งรีบทำสำนวนส่งฟ้องคดีต่อศาล แต่กลับกลายเป็นการปล่อยให้ผู้ต้องหาหนีคดีจนเป็นกรณีอื้อฉาวระดับโลก และเป็นคดีรถชนที่ยืดเยื้อที่สุดในประวัติศาสตร์ อันเกิดจากกระบวนการไม่เร่งรีบหรือไม่ใส่ใจที่จะกระทำการนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้อย่างน้อย 4 ข้อหาหมดอายุความไปโดยผลของกฎหมาย ล่าสุดในวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและไม่แจ้งเจ้าพนักงาน ได้หมดอายุความลงแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์กันของสังคมจนเป็นกระแสที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า "คุกมีไว้ขังคนจน" ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยไม่อาจยอมรับได้ ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมฯจำต้องนำความไปยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้สอบสวนและดำเนินการเอาผิดกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้ผู้ต้องหาในคดีอาญาหลบหนีออกนอกประเทศ อันเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม และเพื่อไม่ให้เป็นกรณีเยี่ยงอย่างที่ไม่ถูกต้อง จนกลายเป็นความเคยชินในสังคมไทยได้ต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดเกียร์ว่าง อย่างไม่รับผิดชอบต่อไป ที่มา : เฟซบุ๊ก Srisuwan Janya และ ช่อง 7 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณิตศาสตร์ว่าด้วยการสืบทอดอำนาจของ คสช. Posted: 03 Sep 2017 10:37 PM PDT เห็นรายชื่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ สายผู้ทรงคุณวุฒิกันไปแล้วว่ามีใครบ้าง 'ประชาไท' ชวนนั่งคิดเลข ถอดสมการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านจำนวนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ หากนับคณะกรรมการสายผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คนตามที่ คสช. แต่งตั้ง ตัวเลขคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติภายหลังการเลือกตั้งจะมีทั้งสิ้น 29 คน เป็นคณะกรรมการโดยตำแหน่ง 17 คน เป็นฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง 3 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรี (ในกรณีที่ไม่ได้มาจากคนนอก) ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่นายกฯ มอบหมาย ทั้งนี้ไม่นับประธานวุฒิสภา 1 ตำแหน่ง เนื่องจากวุฒิสภาชุดต่อไปจะมาจากการแต่งตั้งของ คสช. ทั้งหมด ในคณะกรรมการโดยตำแหน่ง 17 คนนี้ยังมาจากฝ่ายกองทัพและความมั่นคง 7 คน จากภาคราชการที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจเอกชน และตัวแทนเกษตรกร อีก 6 คน มองโลกในแง่ดีว่า ตัวแทนส่วนนี้อย่างน้อย 5 คนไม่ใช่คนที่ คสช. สั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ตามใจชอบ ในอนาคต เป็นไปได้ว่า 5 คนนี้อาจจะยกมือสนับสนุนฝ่ายการเมือง ส่วนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งโดย คสช. อีก 12 คน ตามที่เห็นรายชื่อ ล้วนแต่เป็นคนของ คสช. ทั้งสิ้น บวกลบด้วยสมการคณิตศาสตร์ระดับประถม 29 เสียงในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ จะแบ่งเป็น -ภาคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง 3 คน -ภาคธุรกิจเอกชนและตัวแทนเกษตรกร 5 คน -คณะกรรมการส่วนที่เหลืออีก 21 คนคือคนของ คสช. 8 ต่อ 21 หมายความว่าในการโหวตทุกครั้ง ไม่มีทางเลยที่ฝ่ายการเมืองจะชนะ ทุกมติที่ออกมาจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติจะเป็นสิ่งที่ คสช. ในวันนี้ต้องการ หรือต่อให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดหน้าตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มอีก 5 คน ตามที่กฎหมายเปิดให้ตั้งได้ไม่เกิน 17 คน จำนวนเสียงก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี คงกล่าวได้ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะไม่มีสิทธิปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ แม้กฎหมายจะระบุให้ทำได้ หากไม่ได้รับความยินยอมจาก คสช. นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง พบว่า วุฒิสมาชิกมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ตำแหน่งผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไป แต่การกำหนดว่าใครจะขึ้นมาก็เป็นสิทธิขาดของกองทัพ (อาจจะยกเว้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 12 คน อยู่ในวาระ 5 ปี ขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีวาระเพียง 4 ปี เท่ากับว่าคนของ คสช. จะมีอำนาจกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ชาติและกำกับควบคุมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างน้อย 2 รัฐบาล ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น