โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ครม.มีมติเห็นชอบเกี่ยวข้องกับงานพระบรมศพ

Posted: 26 Sep 2017 11:28 AM PDT

ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ ถึง  27 ต.ค.นี้ เก็บผ้าระบายป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. ขอความร่วมมือสถานบันเทิงและสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ งดหรือลดกิจกรรมบันเทิงในเดือน ต.ค.ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

แฟ้มภาพ

26 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลระบุว่า วันนี้ (26 ก.ย.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดย ครม.มีมติเห็นชอบเรื่องเกี่ยวข้องกับงานพระบรมศพ ตามที่คณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ในคราวประชุม เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 60 เสนอ ดังนี้

1. ให้วันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2560 เป็นวันหยุดราชการเพียงวันเดียว เนื่องจากใน วันพุธที่ 25 ต.ค. ซึ่งเป็นวันออกพระเมรุมาศก่อนวันถวายพระเพลิง และวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันต่อเนื่อง คณะกรรมการฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร คณะกรรมการจัดขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และคณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการ ได้วางแผนรองรับครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ปฏิบัตินั้น เนื่องจากการปฏิบัติงานในพิธีช่วงก่อน และหลังวันที่ 26 ตุลาคม เป็นการปฏิบัติราชการ จึงให้หน่วยงานเจ้าสังกัดพิจารณาผ่อนผัน หากจะต้องใช้เวลาราชการเพื่อการเดินทาง และเตรียมการตามสมควร

 2. ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเดิมเคยมีประกาศกำหนดระยะเวลา 1 ปี โดยขยายจากวันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค.2560 จนไปถึงวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2560 อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิ รวมเวลา 15 วัน

3. ให้สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานที่ทำการของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศ ลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2560 ถึงวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2560 รวมเวลา 15 วัน

4. ให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ออกทุกข์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป

5. ให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. 2560

6. ให้ประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือและซักซ้อมทำความเข้าใจสถานบันเทิง และสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ งดหรือลดกิจกรรมบันเทิงในเดือนตุลาคมตามช่วงเวลาที่เหมาะสม

7. ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจ งานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งประชาชนทั่วไปได้สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วนั้น โดยที่ยังมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนเข้าใจว่าผู้มีคุณสมบัติที่สามารถสมัครจิตอาสาดังกล่าวจำกัดเฉพาะประชาชนทั่วไป จึงสมควรให้หัวหน้าส่วนราชการขอความร่วมมือข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มิได้รับมอบหมายภารกิจหน้าที่ให้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เข้าร่วมสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาฯ สนามเสือป่า หรือในต่างจังหวัด ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรรคขวาจัดเยอรมนีระส่ำระส่ายในหนึ่งวันหลังคว้าคะแนนเลือกตั้งได้เป็นประวัติการณ์

Posted: 26 Sep 2017 11:13 AM PDT

ถึงแม้ว่าพรรคขวาจัดซึ่งทำคะแนนในการเลือกตั้งเยอรมนีล่าสุดได้ดีมากจนมีสัดส่วนที่นั่งในสภามากเป็นอันดับที่ 3 แต่ในการประชุมแถลงข่าวหลังจากนั้นหนึ่งวันกลายเป็นการประท้วงเดินออกจากห้องประชุมของประธานพรรคผู้ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่ามีรอยร้าวในพรรคขวาจัด และตัวเธอต้องการให้พรรคของพวกเขามีนโยบายเป็นกลางมากขึ้นเพื่อให้ถูกรวมเป็นพรรคแนวร่วมรัฐบาลได้

26 ก.ย. 2560 ในการเลือกตั้งเยอรมนีครั้งล่าสุดพรรคเอเอฟดี ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของเยอรมนีทำคะแนนได้ดีเป็นประวัติการณ์จนเป็นพรรคที่มีที่นั่งในสภามากเป็นอันดับที่ 3 รองจากสองพรรคใหญ่ อย่างไรก็ตามในการจัดแถลงข่าวล่าสุดของพรรคที่กรุงเบอร์ลินที่น่าจะเป็นการประกาศความสำเร็จของพรรค แต่ประธานพรรคเฟราเก พีทรี กลับวอล์กเอาท์ออกจากห้องประชุมโดยให้เหตุผลว่าเธอจะไม่ยอมนั่งในรัฐสภาร่วมกับพรรคตัวเองและบอกว่าควรมีการพูดถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรค

ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของเยอรมนีถึงแม้ว่าพรรคซีดียูซึ่งเป็นพรรคขวากลาง นำโดยแองเกลา แมร์เคิล จะยังคงชนะคะแนนและมีที่นั่งในสภามากที่สุด ตามมาด้วยพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยหรือเอสพีดีซึ่งเป็นพรรคซ้ายกลาง พรรคขวาจัดอย่างเอเอฟดีซึ่งไม่เคยลงเลือกตั้งมาก่อนกลับได้ที่นั่งในสภามากเป็นอันดับ 3 ซึ่งผลโพลออกมาว่าพวกเขาได้คะแนนเสียงจำนวนมากมาจากฝั่งเยอรมนีตะวันออก

ถึงแม้ว่าเอเอฟดีจะประสบความสำเร็จในการทำให้พรรคขวาจัดเข้าสู่สภาบุนเดสถากได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2494 ทว่ากลับมีความขัดแย้งภายในพรรคเอง พีทรี ซึ่งเป็นคนที่เอียงไปทางสายกลางในพรรคโต้เถียงว่าถ้าหากเอเอฟดีต้องการจะเป็นเปลี่ยนตัวเองจากฝ่ายค้านเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนตัวเองจากฝ่ายขวาจัดให้เป็นกลางมากขึ้น

ก่อนหน้านี้พีทรีเคยพ่ายให้กับการต่อสู้ภายในพรรคจากการพยายามขับไล่ผู้นำระดับท้องถิ่นของเอเอฟดีผู้กล่าวต่อต้านอนุสรณ์สถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การประท้วงด้วยการเดินออกจากห้องประชุมของเธอชวนให้ผู้ลงคะแนนสงสัยว่าใครเป็นผู้นำที่เป็นตัวแทนของพรรคนี้กันแน่

ทั้งนี้สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นยังนำเสนอแผนภาพจำนวนที่นั่งในสภาหลังจากนับรวมทั้งการเลือกตั้งรอบแรกและการเลือกตั้งกำหนดสัดส่วนปาร์ตีลิสต์แล้วพบว่าพรรคใหญ่ทั้งสองพรรคอย่างซีดียู และเอสพีดี ได้ที่นั่งลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2556 ขณะที่พรรคเล็กอื่นๆ อย่างพรรคฝ่ายซ้ายจัดกับพรรคกรีนได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีที่เข้ามาใหม่คือพรรคเอเอฟดีและเอฟดีพีซึ่งเป็นพรรคสายสนับสนุนกลุ่มธุรกิจเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทีนั่งในสภา โดยที่ก่อนหน้านี้ในปี 2556 พรรคเอเอฟดีได้รับจำนวนที่นั่งไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 5

ซีเอ็นเอ็น ระบุอีกว่าผลในครั้งนี้อาจจะทำให้เกิดการรวมกลุ่มพรรคแนวร่วมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลในแบบใหม่จากเดิมที่พรรคใหญ่สองพรรคมักจะเป็นแนวร่วมรัฐบาล โดยที่มีคนประเมินว่าแมร์เคิลอาจจะตั้งพรรคแนวร่วมกับเอฟดีพีและพรรคกรีนซึ่งจะทำให้กลายเป็นแนวร่วมรัฐบาลที่ดู "อ่อนแอ" กว่าพรรคแนวร่วมใหญ่แบบเดิม

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ยังไม่มีการจัดตั้งแนวร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการโดยที่แมร์เคิลให้สัญญาว่าจะมีการจัดตั้งแนวร่วมรัฐบาลภายในก่อนปลายปีนี้ แต่นักวิเคราะห์ก็วิจารณ์การที่แมร์เคิลยืดเวลาการจัดตั้งรัฐบาลออกไปจากที่ก่อนหน้านี้เยอรมนีมักจะจัดตั้งแนวร่วมรัฐบาลได้ภายใน 8 สัปดาห์

เรียบเรียงจาก

CNN, Far-right party AfD in disarray a day after historic German election result, September 25, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.เห็นชอบ ขยายเวลารถเมล์-รถไฟฟรีอีก 1 เดือน

Posted: 26 Sep 2017 11:10 AM PDT

รองรับบัตรสวัสดิการ-ร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พร้อมอนุมัติแผนตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชน 3.5 พันล้าน อนุมัติการขอรับเงินหนุนจัดเดินรถเชื่อมต่อตามโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะเข้า 3 สถานีขนส่ง

26 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (26 ก.ย.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีประเด้นหนึ่งคือ ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ต.ค.นี้

ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบขยายเวลาโครงการรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ออกไปอีก 1 เดือน เนื่องจากช่วงเดือนตุลาคมจะมีประชาชนจากทุกภาคเดินทางเข้ามาร่วมงานพระบรมศพฯ จำนวนมาก อีกทั้งการผลิตบัตรสวัสดิการของผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงจะเริ่มแจกวันที่ 17 ต.ค. จึงต้องขยายเวลาโครงการทั้งรถเมล์ รถไฟ ออกไปให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ทั้ง 2 ด้าน รวมทั้ง ครม.เห็นชอบให้กรมชลประทานลงทุนระบบชลประทานรองรับระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) วงเงินลงทุน 785 ล้านบาท จำนวน 8 โครงการ ทั้งการปรับปรุงคลองชลประทาน ระบบสูบน้ำ ขุดอ่างเก็บน้ำเพิ่มรองรับความต้องการใช้น้ำของบริษัทเอกชน โรงงาน ชุมชน ซึ่งต้องการใช้น้ำมากขึ้นในอนาคต 

ณัฐพร กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแผนจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจชุมชน วงเงิน 3,500 ล้านบาท ด้วยการจัดสรรงบประมาณเข้ากองทุนในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2561-2563 เพื่อใช้ดูแลพัฒนาชุมชน การประกอบอาชีพของชุมชน เช่น การรวมกลุ่มเกษตรแปรรูป เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนหมุนเวียน การช่วยพัฒนาบริหารจัดการ เทคโนโลยี การตลาด การรับรองคุณภาพสินค้าในชุมชน โดยมีการประเมินผลด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ส่วนราชการ หน่วยงานงานต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 
 
นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 24.773 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดรถรับส่งผู้โดยสารกรณีการจัดเดินรถเชื่อมต่อตามโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารธารณะ (บขส.) เข้าใช้สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ 3 สถานี [ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ (ปิ่นเกล้า) สถานีจตุจักรและสถานีเอกมัย] ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. 59 ถึงวันที่ 31 ก.ค. 2560 โดยเบิกจ่ายในงบอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อาเบะ' สั่งยุบสภา ประกาศเลือกตั้งเร่งด่วน บอกต้องการ 'อาณัติจากประชาชน'

Posted: 26 Sep 2017 11:03 AM PDT

ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีจากพรรคแอลดีพีประกาศยุบสภาล่างภายในวันพฤหัสฯ นี้ และประกาศเลือกตั้งด่วนโดยอ้างว่าต้องการอาณัติจากประชาชนในการขึ้นภาษีการบริโภคเพื่อรับกับการใช้หนี้และจะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปหนุนการศึกษาและการดูแลเด็ก ท่ามกลางคำวิจารณ์ว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงอภิปรายเรื่องการใช้อิทธิพลรัฐบาลเอื้อประโยชน์ตัวเองหรือไม่

ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่น (ที่มา: วิกิพีเดีย)

ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศยุบสภาและประกาศจัดการเลือกตั้งอย่างทันด่วนในเดือน ต.ค. ที่จะถึงนี้ โดยจะมีการยุบสภาล่างของญี่ปุ่นภายในวันที่ 28 ก.ย.

อาเบะบอกว่าเขาต้องการอาณัติจากประชาชนในการดำเนินการตามวาระของเขา หนึ่งในนั้นคือการปรับการใช้จ่ายหลังจากที่จะมีการปรับขึ้นภาษีการบริโภค (consumption tax) "ในเมื่อผมต้องการจะเปลี่ยนแปลงสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และนี่ก็เป็นการตัดสินใจสำคัญที่จะกระทบต่อชีวิตของพวกเขา ผมจึงตัดสินใจว่าผมต้องขออาณัติจากพวกเขา" อาเบะกล่าว

ญี่ปุ่นมีกำหนดจะขึ้นภาษีการบริโภคภายในเดือน ต.ค. 2562 หลังจากที่มีการเลื่อนขึ้นภาษีมานาน รายได้ส่วนมากจะเป็นการเอาไปโปะหนี้ของญี่ปุ่นที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อาเบะบอกอีกว่าเขาต้องการนำรายได้อีกส่วนหนึ่งไปเป็นงบประมาณด้านการดูแลเด็กและการศึกษา

การประกาศยุบสภาจัดเลือกตั้งด่วนในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังมีความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือหลังจากที่เกิดเหตุการณ์เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปสองลูกในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีบางคนเสนอว่าควรจะหลีกเลี่ยงการทำให้การเมืองญี่ปุ่นขาดเสถียรภาพในช่วงนี้ แต่อาเบะก็บอกว่าช่วงเวลาแบบนี้ต่างหากที่เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเลือกตั้ง

"การเลือกตั้งเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย และภัยจากเกาหลีเหนือไม่ควรจะกลายมาเป็นผลกระทบในเรื่องนี้ ในทางตรงกันข้าม ผมคิดว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมในการจัดเลือกตั้งและแสวงหาอาณัติจากประชาชนในเรื่องที่ว่าผมควรจะทำอย่างไรกับประเด็นเกาหลีเหนือ"

อาเบะเคยกล่าวไว้ว่าเขาจะกดดันเกาหลีเหนืออย่างเต็มที่จนกว่าเกาหลีเหนือจะยอมยกเลิกโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ ในแบบที่มีการตรวจสอบได้และไม่ทำให้พวกเขากลับไปใช้อาวุธเหล่านั้นอีก

อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์บอกว่าอาเบะแค่กำลังอ้างใช้การเลือกตั้งแบบทันด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวที่เขาอ้างใช้อิทธิพลของรัฐบาลในการหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ส่วนอาเบะกล่าวโต้ตอบการวิจารณ์เหล่านี้ว่าการเลือกตั้งเป็นพื้นที่อภิปรายที่ดีที่สุด โดยอ้างว่ามันจะเป็นการวัดว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นในตัวเขา ในตัวพรรครัฐบาล และในตัวผู้แทนนิติบัญญัติทุกคนหรือไม่

อาเบะกล่าวอีกว่าแผนการที่เขาวางไว้ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้คือการให้พรรคแอลดีพีซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่นสร้างแนวร่วมกับพรรคโคเมเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก

เรียบเรียงจาก

NHK, Abe announces snap election, September 25, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.ไฟเขียวร่างกฎกระทรวง ขออนุญาตใช้ที่ดิน สปก. หลัง คสช.สั่งเปิดช่องให้ประโยชน์อื่น

Posted: 26 Sep 2017 10:55 AM PDT

ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงเรื่องการขออนุญาตใช้ที่ดินสปก. หลัง คำสั่ง หัวหน้า คสช. เปิดช่องให้ใช้ประโยชน์ในกิจการด้านพลังงาน กิจการด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 

26 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลระบุว่า วันนี้ (26 ก.ย.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุม โดยมีประเด็นหนึ่งคือ ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใน การขอและการยินยอม หรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน

โดยให้แก้ไขเรื่องการเยียวยาหรือชดเชยเกษตรกรมิให้เกินอำนาจตามคำสั่งฯ และ รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้  และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

พล.ท.สรรเสริญ ระบุว่า การเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 31/2560 สั่ง ณ วันที่ 23 มิ.ย. 2560

ร่างกฎกระทรวงมีหลักการสำคัญให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) มีอำนาจยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินสำหรับกิจการที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายของรัฐบาลหรือมติ ครม. ได้แก่ กิจการด้านพลังงาน กิจการด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจหาได้จากแหล่งอื่นนอกจากที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า การขอใช้ที่ดินสปก.ต้องไม่เป็นที่ที่ได้รับพระราชทานหรือได้รับบริจาคเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือเป็นที่ดินที่อยู่ในโครงการพระราชดำริ และในการขอใช้ที่ดินเพื่อทำปิโตรเลียม พลังงานหมุนเวียนและเหมืองแร่ ให้ยื่นคำขอต่อสปก.จังหวัดที่ประสงค์จะใช้ที่ดิน และการยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินที่มีขนาดเนื้อที่เกิน 500 ไร่ หรือระยะเวลา การขอใช้เกิน 30 ปี หรือที่ดินที่รัฐได้ปรับปรุงพัฒนาเพื่อการปฏิรูปที่ดินสำหรับจัดให้แก่สถาบันเกษตรกรไว้แล้ว จะต้องขออนุมัติต่อครม.ก่อนให้ความยินยอมหรืออนุญาต โดยผู้ยื่นคำขอจะได้รับความยินยอม หรืออนุญาตได้ต่อเมื่อเกษตรกรผู้จะได้รับผลกระทบในพื้นที่นั้นได้รับการเยียวยา หรือชดเชยตามข้อตกลงหรือตามเงื่อนไขที่กำหนด และที่ผ่านมา หากมีการใช้ที่ดิน สปก. ในการทำประโยชน์ ด้านปิโตรเลียม พลังงานหมุนเวียนและเหมืองแร่ อยู่ก่อนแล้ว ให้ติดต่อยื่นคำขอ สปก.ภายใน 60 วัน ที่กฎกระทรวงบังคับใช้

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล สรุปไว้ดังนี้

1. กำหนดนิยาม "ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน" "สำรวจปิโตรเลียมขั้นต้น" และ "การเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียม" "กิจการระบบโครงข่ายพลังงาน" "พลังงานหมุนเวียน" "ทรัพยากรธรรมชาติ" เป็นต้น

2. กำหนดให้กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับแก่กิจการด้านพลังงาน กิจการด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศที่มีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อให้             เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ

3. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่ยื่นขออนุญาตให้ใช้ประโยชน์เพื่อดำเนินกิจการตามกฎกระทรวงฯ ต้องไม่เป็นที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน  เพื่อเกษตรกรรมได้รับพระราชทานหรือรับการบริจาคเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือเป็นที่ดินที่อยู่ในโครงการพระราชดำริหรือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

4. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลผู้ประสงค์จะขอความยินยอม หรืออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ให้ยื่นคำขอต่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดท้องที่ที่ประสงค์จะใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อดำเนินกิจการตามคำขอนั้นตามแบบที่ ส.ป.ก. กำหนด

5. กำหนดให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดหรือ ส.ป.ก. ที่ได้รับคำขอตามข้อ 4. ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำขอและเอกสารประกอบคำขอ หากไม่ถูกต้องครบถ้วนให้แจ้งผู้ขอใช้ประโยชน์ที่ดินดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด

6. กำหนดให้มีการเยียวยาหรือชดเชยกรณีสูญเสียโอกาสจากการใช้ที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดิน ทั้งนี้ การเยียวยาหรือชดเชยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กำหนดในกฎกระทรวง

7. กำหนดให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีอำนาจพิจารณาและมีมติให้เกษตรกรผู้ได้รับการจัดที่ดินรายที่ถึงแก่ความตายหรือโอนการทำประโยชน์ในที่ดินไปยังบุคคลอื่น สิ้นสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน

8. กำหนดให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติก่อนพิจารณายินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินที่มีขนาดเนื้อที่เกิน 500 ไร่ หรือมีระยะเวลาการขอใช้เกิน 30 ปี หรือที่ดิน ตามคำขอเป็นที่ดินที่หน่วยงานของรัฐได้ปรับปรุงและพัฒนาแปลงเกษตรกรรมหรือโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปที่ดินสำหรับจัดให้แก่สถาบันเกษตรกรไว้แล้ว เพื่อกิจการด้านพลังงาน ประเภทการเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียม กิจการไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน กิจการด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทการทำเหมือง และกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ประเภทกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายในระบบโทรคมนาคม กิจการภายใต้นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ

9. กำหนดให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดิน ตามประเภทและวัตถุประสงค์ของกิจการตามข้อ 2. โดยให้พิจารณายินยอมหรืออนุญาตตามเนื้อที่และระยะเวลาที่มีความจำเป็นและเหมาะสมแก่การใช้พื้นที่เพื่อวัตถุประสงค์และโครงการที่เสนอตามคำขอ ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงฯ

10. กำหนดให้เลขาธิการ ส.ป.ก. หรือผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้มีอำนาจลงนามในหนังสือยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน

11. กำหนดให้การโอนหนังสือยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในระเบียบ

12. กำหนดให้มติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและหนังสือการให้ความยินยอมใช้ที่ดินชั่วคราวหรือหนังสือสละสิทธิในที่ดินหรือมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเป็นอันสิ้นผล ในกรณีที่ผู้ได้รับความยินยอมหรืออนุญาตไม่เยียวยาหรือชดเชยเกษตรกร หรือไม่ส่งมอบหลักประกันและรับมอบหนังสือยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด และให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดท้องที่ที่เกี่ยวข้องเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพื่อจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ยื่นหนังสือสละสิทธิในที่ดินหรือเพิกถอนมติ และพิจารณาจัดที่ดินแปลงเดิมให้แก่เกษตรกรนั้นตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต่อไป

13. กำหนดบทเฉพาะกาลดังนี้

13.1 ให้บุคคลตามที่กำหนดในกฎกระทรวงมีหน้าที่ยื่นคำขอเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินใน เขตปฏิรูปที่ดินต่อ ส.ป.ก. ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ

13.2 ให้ผู้ได้รับความยินยอมหรืออนุญาตอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับมีหน้าที่ส่งมอบหลักประกันและรับมอบหนังสือยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินกับ ส.ป.ก. ตามที่ระเบียบกำหนดภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งมติคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

14. ถ้าบุคคลตาม 13.1 ไม่ยื่นคำขอหรือไม่ส่งมอบหลักประกัน และรับมอบหนังสือยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ ส.ป.ก. แจ้งเตือนให้ดำเนินการภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดนั้น เมื่อล่วงเลยระยะเวลาดังกล่าว ให้ ส.ป.ก. เสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมพิจารณาสั่งให้ความยินยอมหรือไม่ยินยอม อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของบุคคลที่มีอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงใช้บังคับนั้นเป็นอันสิ้นผล 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นอนรอกดหวย: นโยบายที่ขายฝันที่เป็นไปไม่ได้ของรัฐบาล

Posted: 26 Sep 2017 10:39 AM PDT

 

รัฐบาลนี้ภูมิใจที่สุด คือ การควบคุมราคาหวยให้ไม่เกิน 80 บาท แต่เเท้จริงแล้วปัจจุบันบางแห่งขายถึง 120 บาท (นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม) แต่การที่ต้องให้ผู้ค้ามารอกดตรงตู้ เพื่อลดคนกลาง แท้จริงแล้วมันกลับสร้างปัญหาหลายประการ คือ

1. จะซื้อต้องลงทะเบียน และมีเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อล่วงหน้า ซึ่งนั้นหมายถึงรายเล็กรายน้อย แทบไม่มีโอกาสเข้าถึง สุดท้ายก็ต้องรอนายทุนที่มีเงิน จ้างคนลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้รายเล็ก ๆ อื่น ๆ อยู่ดี

2. การที่ผู้ซื้อได้แค่ 5 เล่ม ที่ได้ทั้งเลขที่ดีและไม่ดี เช่น เลขที่ออกไปแล้ว เลขซ้ำ 2-4 ตัวขายไม่ได้ ตกเป็นภาระของคนขาย เพราะคนซื้อไม่นิยมซื้อ เลขแบบนี้จะต้องเป็นรายใหญ่ ๆ เท่านั้น ทำเป็นหวยชุด ซึ่งผู้ค้า 5 เล่ม ไม่สามารถทำได้

 

รูปที่ 1 คนรอกดหวยหน้าธนาคารกรุงไทยสาขาถนนห้วยแก้ว เชียงใหม่

3. จากการที่กำหนดให้แค่คนละ 5 เล่ม/งวด ทำให้ไม่พอขาย (1 เล่ม มี 100 ใบ) มีรายได้ถ้าขายหมด 5-7 บาทต่อใบ ราว ๆ 2,500-3,500 บาท/ปักษ์ แน่นอนว่าไม่พอรับประทาน ท้ายสุดก็เกิดการ "วนหวย" จนเกิดกรณีถูกเป็น 70-80 ล้านบาท หรือหวยชุด ก็เกิดจากยี่ปั๊ว ซาปั๊ว อยู่ดี ไม่สามารถตัดวงจรนี้ได้ เพราะรายเล็กไม่มีทุน และไม่มีศักยภาพรวมหวยชุดได้

4. การคิดตัดวงจรคนเล่นหวยจึงไม่หมด เกิดการระบาดของหวยใต้ดิน เพราะทั้งลด แลก แจก แถม และสามารถซื้อ 20-30-40 ไม่ต้องถึง 80 บาท ได้เลขหลายตัว โดยที่ไม่มีดอกผลอะไรเข้ารัฐเลย แถมยังก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพลอย่างถ้วนทั่ว

5. หวยไม่ใช่ปัจจัย 4 ที่รัฐต้องมาเอาจริงเอาจัง จนถือเป็นนโยบายเชิดหน้าชูตา แต่พอเข้าใจได้ เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีอะไรจะเด่นแล้ว ทั้งนี้หวยเป็นของฟุ่มเฟือย เกินจำเป็น หรือการพนันชนิดหนึ่ง ต่อให้ใบละ 1,000 เอาแบบสุด ๆ ถ้าคนซื้อยินดีจะซื้อก็เป็นเรื่องของเขา การที่หวยแพงคนไม่ซื้อยิ่งเป็นการดี เพราะเป็นการลดการพนันเสี่ยงโชคในหมู่ประชาชน แต่ถ้ามองว่าหวยคือรายได้ที่ขูดรีดคนจน ธำรงอิทธิพลรัฐ การที่รัฐส่งเสริมจึงชอบธรรมภายใต้หน้ากากของคนดี

 


รูปที่ 2 คนขายหวยรายย่อยบริเวณโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ท้ายสุดหวยสัมพันธ์กับผู้คนหลายส่วน เราจะเห็นว่ามาตรการหวยของรัฐบาลชุดนี้ ได้ทำลายกลุ่มพ่อค้าหวยแม่ค้าหวยเมืองเลย จนเขาเหล่านั้นไม่มีอาชีพ เปลี่ยนอาชีพ รัฐบาลนี้จะรู้บางไหม หรือว่าประชาชนเหล่านั้นคือสายลมแสงแดดของรัฐประชาธิปไตย 99.99%

อาจกล่าวได้ว่าการคืนความสุขของนายกฯ ประยุทธ์ ไม่ได้ทำให้คนเล็กคนน้อยมีความสุข แต่บางนโยบายกับสร้างความทุกข์อย่างแสนสาหัสตัดช่องทางทำมาหากินของผู้คนนับพันนับหมื่นคน ไม่นับว่าใช้อำนาจดิบเถื่อนในการเปิดเหมือง คุกคามคนเล็กคนน้อย หรือกรณีชายฉกรรจ์นับร้อยเข้าไปคุกคามชาวบ้านผมไม่เห็นนายกฯ ประยุทธ์ลงมาดูแล ทั้งที่เป็นอำนาจดิบเถื่อน ผิดกฎหมาย ส่วนเรื่องหวยรัฐบาลนี้ก็ดูหมกมุ่นแปลก ๆ ผมว่าราคามันจะเพิ่มเป็น 150 หรือ 200 หรือ 1000 บาทต่อใบ ถ้าคนซื้อและคนขายพึงพอใจกับราคานี้ก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะหวยไม่ใช่เศรษฐกิจเรื่องปากท้องเป็น "ความสุข" จากการเสี่ยงโชค ซึ่งไม่พอใจเขาก็ไม่ซื้อแค่นั้นจริง ๆ ส่วนราคาหวยจะขึ้นจะลงเท่าไหร่ก็ไม่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง ไม่น่าเกี่ยวกับเงินเฟ้อ GDP ที่รัฐบาลต้องมาใส่ใจขนาดนี้ หาเวลาไปทำเรื่องอื่นดีกว่า ดีกว่ามาหมกมุ่นแต่เรื่องนี้[1]

จากแฟนพันธุ์แท้หวยเถื่อนที่แดกกรูทุกงวด

 

 

เชิงอรรถ

[1] ชัยพงษ์  สำเนียง.  (2558ข).  เรื่องเล่าชีวิตคนขายหวย.  SIU.  [สืบค้นวันที่ 20 ส.ค.2560].  http://www.siamintelligence.com/lottery-dealer/ 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวลุ่มน้ำชี ร้อง รมว.เกษตรฯ น้ำท่วมซ้ำซาก รัฐแก้ปัญหาไม่คืบ

Posted: 26 Sep 2017 09:12 AM PDT

กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างฝายร้อยเอ็ด ฝายยโสธร-ฝายพนมไพร และฝายธาตุน้อย ร้อง รมว.เกษตรฯ ผ่านผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ดเปิดประชุม กก.แก้ไขปัญหาฯ อย่างเร่งด่วน  ผลการพูดคุย จะให้ชลประทานเปิดประชุมอนุ กก.แก้ไขปัญหา ภายใน 15 วัน

26 ก.ย. 2560 รายงานข่าวจาก ศูนย์พิทักษ์สิทธิการจัดการทรัพยากรชุมชนลุ่มน้ำชี ตอนล่าง แจ้งว่า วันนี้ (26 ก.ย.60) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลากลาง จ.ร้อยเอ็ด กลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างฝายร้อยเอ็ด ฝายยโสธร-ฝายพนมไพร และฝายธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี จ.ร้อยเอ็ด เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผ่านผู้ว่าราชการ จ.ร้อยเอ็ด ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการสร้างฝายร้อยเอ็ด ฝายยโสธร-ฝายพนมไพร และฝายธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี เพื่อให้มีการเปิดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาฯ อย่างเร่งด่วน ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 35/2558 ลงวันที่ 6 ก.พ.58 เรื่องแต่งตั้งกรรมการแก้ไขปัญหาการสร้างฝายร้อยเอ็ด ฝายยโสธร-ฝายพนมไพร และฝายธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี

รายงานข่าวระบุว่า กลุ่มดังกล่าวประกาศด้วยว่า ถ้าไม่มีการดำเนินการกลุ่มชาวบ้านจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเยี่ยมรัฐมนตรีที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในเร็ววันนี้ หลังจากนั้นนายเฉลิมพล มั่งคั่ง รองผู้ว่าราชการ จ.ร้อยเอ็ด ได้มารับหนังสือกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมเปิดห้องประชุมเพื่อให้ตัวแทนชาวบ้านทั้งหมดขึ้นไปนำเสนอข้อมูลแลกเปลี่ยนสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น

อมรรัตน์ วิเศษหวาน ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี กล่าวว่า วันนี้ได้รวมตัวชาวบ้านลุ่มน้ำชี จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนได้รวมกันมายื่นหนังสือที่ศาลากลางจังหวัดเนื่องจากอยากให้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานให้ดำเนินการเร่งรัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร เขื่อนธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 38/2558 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558 เรื่องแต่งตั้งกรรมการแก้ไขปัญหาการสร้างฝายร้อยเอ็ด ฝายยโสธร-ฝายพนมไพร และฝายธาตุน้อย เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหากรณีมีกลุ่มราษฎรร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างดังกล่าวนั้น ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในกลุ่มได้รับผลกระทบจาการสร้างเขื่อนก็ได้ติดตามการแก้ไขปัญหาตลอดก็ไม่มีความคืบหน้า ดังนั้นจึงรวมตัวกันมายื่นหนังสือในวันนี้

จันทา จันทราทอง ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี บ้านดอนแก้ว ต.บึงงาม อ.ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบริหารจัดการน้ำล้มเหลว ทำให้น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรมานานกว่า 2 เดือนแล้ว การเรียกร้องของชาวบ้านก็ทำตามโครงสร้างที่มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาอยู่แล้วที่นายกฯ ประยุทธ์ แต่งตั้งมาตั้งแต่ปี 58 แต่โครงสร้างที่ว่ากลับไม่ทำงาน ตัวแทนชาวบ้านจึงรวมตัวกันมายื่นหนังสือและทวงสัญญาถึงรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก

ขณะที่ สิริศักดิ์ สะดวก ที่ปรึกษากลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี กล่าวว่า การออกมาเรียกร้องของชาวบ้านเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาก็เป็นสิทธิของชาวบ้านเพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานแล้วที่ชาวบ้านเรียกร้อง ซึ่งตนมองว่าปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 38/2558 ลงวันที่ 6 ก.พ.58 และมีการดำเนินการประชุมครั้งที่ 1/2558เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 ซึ่งในที่ประชุมยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาขึ้นมาอีก 4 ชุด   ตามที่ชาวบ้านได้ร้องเรียนไป ซึ่งทางกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ลุ่มน้ำชี จ.ร้อยเอ็ด มองว่ารัฐจะต้องมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพราะเวลาได้ล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว ประกอบกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำชี โดยเฉพาะ จ.ร้อยเอ็ดและ จ.ยโสธรเจอสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ทำการเกษตรนานกว่า 2 เดือนแล้ว ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นก็เกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดของรัฐ          

ด้าน เฉลิมพล มั่งคั่ง รองผู้ว่าราชการ จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่าจากการพูดคุยเจรจากันในวันนี้มีข้อสรุป 2 ประเด็นที่ จังหวัดจะต้องดำเนินการ คือ 1.จะส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  2.จะให้ชลประทานเปิดประชุมอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจากการสร้างฝายร้อยเอ็ด ฝายยโสธร-พนมไพร และฝายธาตุน้อย ภายใน 15 วัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมสื่ออินเดียเรียกร้องอธิบดีกรมตำรวจสอบเหตุนักข่าวถูกตำรวจทำร้าย

Posted: 26 Sep 2017 08:56 AM PDT

นักข่าวอาวุโสในอินเดียถูกทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล โดยมีผู้ต้องสงสัยเป็นถึงสารวัตรตำรวจ โดยปมเหตุน่าจะมาจากการที่นักข่าวผู้นี้กำลังตามข่าวเรื่องการลักพาตัวผู้หญิง 2 ราย ซึ่งตำรวจรายงานเรื่องนี้ในเชิงลำเอียงและเข้าข้างผู้ถูกกล่าวหา ด้านสมาคมสื่ออินเดียเรียกร้องอธิบดีกรมตำรวจตรวจสอบ

ซาจีฟ โกพาลัน ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ถูกทำร้ายโดยผู้ต้องสงสัยเป็นถึงสารวัตรตำรวจ (ที่มา: Twitter/ANI)

25 ก.ย. 2560 ซาจีฟ โกพาลัน นักข่าวชาวอินเดียผู้กำลังทำข่าวเรื่องเกี่ยวกับการลักพาตัวผู้หญิงสองรายถูกส่งเข้าโรงพยาบาลที่เมืองวารกาลา รัฐเกรละ ทางตอนใต้ของอินเดีย เมื่อช่วงคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 ก.ย.) หลังจากถูกทำร้ายโดยมีผู้ต้องสงสัยก่อเหตุเป็นตำรวจ รวมถึงนายตำรวจระดับสารวัตรตำรวจด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐเกรละ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย โดยเอเซียนนิวส์อินเตอร์เนชันแนลและไทม์ออฟอินเดียรายงานเรื่องที่โกพาลันจากสื่อกาลาเกามุดีถูกทำร้ายจนเข้าโรงพยาบาลในช่วงที่เขากำลังติดตามหาข่าวกรณีหญิงสองคนถูกลักพาตัว โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกรายงานในเชิงเข้าข้างผู้ถูกกล่าวหา

โกพาลันถูกผลักอย่างแรงและถูกทุบตีที่ศรีษะ ใบหน้า และดวงตา เหตุเกิดเมื่อเวลา 4 ทุ่มครึ่งหน้าบ้านของเขาเองในเมืองวาร์กาลา มีภรรยาและลูกของเขาอยู่นที่เกิดเหตุเห็นเหตุการณ์ที่เขาถูกทำร้ายด้วย

ด้านสมาคมสื่อของอินเดียมีการร้องเรียนกรณีนี้ต่อทางการ รวมถึงอธิบดีกรมตำรวจด้วย

เรียบเรียงจาก

Kerala: Journalist hospitalised after being allegedly assaulted by policemen, Scroll.in, 25 ก.ย. 2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินฟรีจากภาษีประชาชน?

Posted: 26 Sep 2017 08:11 AM PDT

วงเสวนา "ทำไมต้อง(มี)ศิลปินแห่งชาติ" ชี้ เน้นให้รางวัลกับคนดัง เกณฑ์คัดเลือกผูกโยงกับคณะกรรมการ มีอุดมการณ์แบบชาตินิยมสอดคล้องกับรัฐ ไม่เน้นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน ขณะที่ได้รับเงินเดือนและสิทธิพิเศษจากภาษีประชาชน พร้อมยกตัวอย่างเปรียบเทียบศิลปินระดับโลก ปีกัสโซ่ มาเลวิช และไอ้ เว่ยเว่ย ทำศิลปะต่อต้านรัฐ

หลังจากเกิดเหตุ "กวีหู" โดยไพฑูรย์ ธัญญา นามปากกาของ ธัญญา สังขพันธานนท์ นักเขียนรางวัลซีไรต์จากเรื่องก่อกองทราย เมื่อ ปี 2534 และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์เมื่อปี 2559 เขียนบทกลอนลงในเฟสบุ๊กโจมตียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในลักษณะที่หลายฝ่ายมองว่าเหยียดเพศ หลังจากที่อ้างว่าน้ำในหูไม่เท่ากันและไม่ได้มาฟังคำตัดสินพิจารณาคดีจำนำข้าว

หรือล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมาสืบเนื่องจากกรณีรับน้องคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ปี 2554 ได้กล่าวในงานไหว้ครูขู่ว่าจะทำร้ายนักศึกษาด้วยถ้อยคำหยาบคาย (อ่านต่อได้ที่นี่)

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.กลุ่มกวีราษฎร์, คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ และพรรคใต้เตียง มธ. ได้ร่วมกันจัดงาน "ทำไมต้อง(มี)ศิลปินแห่งชาติ" ตั้งคำถามว่า ศิลปินแห่งชาติคืออะไร และความมีอยู่ มีเป็น รวมถึงการแสดงความคิดว่าจริงแล้วสังคมไทยควรมีศิลปินแห่งชาติหรือไม่ ศิลปินกับการเมืองควรไปในทิศทางแบบใด โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ เพ็ญสุภา สุขคตะ กำพล จำปาพันธุ์ เพียงคำ ประดับ ชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ และภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ ดำเนินรายการโดย ณัฎฐา มหัทธนา

จากซ้ายไปขวา เพียงคำ ประดับความ, ชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ, ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์, กำพล จำปาพันธุ์, เพ็ญสุภา สุขคตะ

ประชาไทได้ถอดความและเรียบเรียงงานเสวนาใหม่ ดังนี้

แนวคิดว่าด้วยงานเขียน ศิลปิน และศิลปินแห่งชาติ

เมื่อย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มมีการตัดสินรางวัลวรรณกรรม มีการก่อตั้งวรรณคดีสโมสร มีการคัดเลือกหนังสือ "ดี" มาจัดพิมพ์ ระบุในพระราชกฤษฎีกา ว่า "หนังสือดีเป็นเรื่องที่สมควรที่สาธารณชนจะอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์ ไม่เป็นเรื่องทุภาษิต หรือเป็นเรื่องที่ชักจูงผู้อ่านไปในทางอันไม่เป็นแก่นสาร ซึ่งจะชวนให้คิดวุ่นวายไปในทางการเมืองอันจะเป็นเครื่องรำคาญแก่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

ขณะที่จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายของไทย เคยกล่าวถึงงานเขียนที่ดีว่า งานเขียนที่ดีเหมือนโคมไฟที่ส่องนำให้ประชาชนมองเห็นทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ทั้งต้องเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่จุดขึ้นกลางใจประชาชนเพื่อให้เขาฟื้นตื่นขึ้นด้วยสำนึกที่จะเปลี่ยนโลกและชีวิตให้ดำเนินไปสู่ความผาสุกและความดีงาม ศิลปินมีภารกิจขั้นพื้นฐานในการสร้างสถานที่ในประวัติศาสตร์แห่งศิลปะให้แก่ประชาชน ศิลปะที่มุ่งความงามเพียงอย่างเดียวหรือศิลปะเพื่อศิลปะกลายเป็นหอคอยงาช้างที่พวกศิลปินปิดขังตัวเองไว้ภายในและห่างขาดจากเรื่องราวอันเป็นไปได้จริงต่างๆ โดยสิ้นเชิง ชนชั้นกลางได้ยึดเอาศิลปะเพื่อศิลปะเป็นศิลปะของชนชั้นตน พวกเขาเน้นหนักกับสภาวะอันสูงส่งในฝันของศิลปะ และที่สถานะอันเลอศักดิ์เหนือการเมืองของศิลปิน คตินี้ได้ปิดขังศิลปินไว้ภายในกรงทอง

สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ปี 2554 เคยเปิดประเด็นเรื่องศิลปินแห่งชาติไว้เมื่อปี 2559 เขากล่าวว่า จำได้ว่าผมเคยเสนอเมื่อครั้งระดมความเห็นเพื่อก่อตั้งโครงการศิลปินแห่งชาติว่า ต้องมีความชัดเจนในคำว่าศิลปินคือใคร และจะใช้มาตรฐานแบบใด เช่น ถ้าเป็นข้าราชการอยู่แล้ว มีเงินบำเหน็จบำนาญอยู่แล้วจะพิจารณาหรือไม่ หรือใครแสดงเก่ง ป็อบปูลาร์ มีข่าว well-known  ชี้มือชี้ไม้เก่งหรือทำอะไรเข้าตาถือว่าใช้ได้

แต่ในทางกลับกันทั่วไปทางสากลแล้ว ผมคิดว่าเขาจะพิจารณาที่ความสำคัญเชิงหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ (Milestone) และลำดับก่อนหลังทางเวลา (Priority) ไม่ใช่ใช้วิธีคนของใครคนของมัน เช่น เป็นข้าราชการ หรือเป็นเด็กฝาก และหรือแล้วแต่บัญชีหางว่าวที่เอามาออกความเห็นลงคะแนนเสียงมาก คะแนนเสียงน้อย ทำอย่างกับเป็นการตัดสินประกวดเรียงความเฉลิมพระเกียรติ

เกณฑ์การคัดเลือก

เพ็ญสุภา สุขคตะ กวีและนักวิชาการอิสระ อธิบายถึงประเภทของศิลปินแห่งชาติว่า แบ่งเป็น 4 สาขา ได้แก่ ทัศนศิลป์ ศิลปะสถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ และศิลปะการแสดง สาขาที่ได้รับรางวัลนี้มากคือสาขาทัศนศิลป์และศิลปะการแสดง ส่วนวรรณศิลป์ก็จะล้อไปกับรางวัลซีไรต์ สาขาสถาปัตยกรรมนั้นมีจำนวนน้อย

ที่น่าสนใจคือสาขาศิลปะการแสดง ซึ่งเป็นสาขาที่หลายหลาย และหลุดออกมาจากราชสำนัก ทำลายศูนย์อำนาจ และวัดที่ความสามารถ เช่น ให้รางวัลกับชาวไทยใหญ่ ที่ประดิษฐ์เครื่องดนตรีพื้นบ้าน หรือ ละครเวที นาฏศิลป์ เชิดหนังตะลุง เพลงฉ่อย รำตัด ฯลฯ

วิธีการคัดเลือกคือตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองที่มีทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ บางครั้งก็มีชาติวุฒิ ตัวศิลปินส่วนใหญ่ต้องมีการศึกษาดี ได้รับรางวัลต่างๆ มาต่อเนื่อง เช่น ในสายทัศนศิลป์ยากมากที่จะไม่ผ่านรางวัลเหรียญเงิน เหรียญทอง ศิลปินรุ่นเยาว์ ศิลปินบัวหลวง ต้องมีพอร์ตโฟลิโอหนาเตอะ เคยไปแสดงงานนานาชาติ หรือสายวรรณศิลป์ได้ซีไรต์ก็เหมือนกึ่งๆ นอนมา ต้องเป็นบิ๊กเนม จะโนเนมไม่ได้ จะมีแค่สาขาศิลปะการแสดงที่จะมีศิลปินโนเนมบ้าง

บางครั้งก็มาจากการทำทำเนียบในแต่ละจังหวัด ซึ่งมาจากตำบลคัดเลือกให้อำเภอ อำเภอคัดเลือกให้จังหวัด และจังหวัดเป็นคนเสนอชื่อศิลปินขึ้นไป

เกณฑ์เหมือนจะดีเพราะไม่ได้ถูกเสนอมาจากส่วนกลาง แต่ศิลปินเร่ร่อนที่โผล่จังหวัดนู้นทีจังหวัดนี้ที ไม่มีภูมิลำเนาเป็นหลักแหล่ง ไม่ได้อิงกับหน่วยงานวัฒนธรรมของราชการก็มีสิทธิตกหล่น หรือแม้จะมีความรู้ความสามารถแต่ยากที่จังหวัด 77 จังหวัดจะเสนอใครขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น อ.ศักดิ์ รัตนชัย แห่งลำปาง เป็นปราชญ์ใหญ่ เขียนทั้งเพลง กวี ตอนนี้อายุ 90 กว่า แต่ก็กลายเป็นรัฐบอกว่าไม่รู้จะให้ในสาขาอะไร ปราชญ์ ประวัติศาสตร์ หรือวรรณศิลป์ คือเก่งเกินไปนั่นเอง

สิทธิประโยชน์ของศิลปินแห่งชาติ ที่มาของ 'ศิลปินฟรีจากภาษีประชาชน'

เพ็ญสุภากล่าวว่า เป็นประเด็นที่คุยกันมาก ว่าทำไม่เราถึงต้องเป็นเดือดเป็นแค้นออกมาเรียกร้อง เพราะศิลปินแห่งชาติได้รับเงินภาษีจากประชาชน โดยได้รับสิทธิพิเศษ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนี้

· เงินตอบแทนรายเดือนตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 20,000-25,000 บาทต่อเดือน

· สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลเฉพาะตัวตามระเบียบราชการ ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี

· เงินช่วยเหลือประสบสาธารณภัยเท่าที่เสียหายจริง ไม่เกิน 50,000 บาทต่อครั้ง

· ค่าของเยี่ยมผู้ป่วย (เฉพาะผู้ป่วยที่เป็นศิลปินแห่งชาติ) หรือในโอกาสสำคัญเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 3,000 บาทต่อครั้ง

· เงินช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิตเพื่อร่วมบำเพ็ญกุศลศพ 20,000 บาท

· ค่าเครื่องเคารพศพตามประเพณีที่เหมาะสมเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 3,000 บาท

· เงินช่วยเหลือค่าจัดทำหนังสือเผยแพร่ผลงานเมื่อเสียชีวิตเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 150,000 บาท

นอกจากนี้ 2-3 ปีมานี้ ศิลปินแห่งชาติจะได้ขึ้นเครื่องบินฟรีบางสายการบิน 4 เที่ยวต่อเดือน

เพียงคำ ประดับความ กวีและนักเขียน กล่าวว่า คำถามว่า "ทำไมต้องมีศิลปินแห่งชาติ" คือคำถามที่ประชาชนลุกขึ้นมาตั้งกัน จริงๆ แล้วเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ หรือที่เรียกว่า ปฏิปุจฉา เพราะเขาตอบเองแล้ว

ขณะที่โครงการ 30 บาทฯ รัฐบอกว่าสิ้นเปลือง เป็นภาระ กินภาษีประเทศชาติ แต่คนกลุ่มนี้ได้สิทธิพิเศษ ได้เงินจากภาษีประชาชน แต่มีสักกี่คนที่ประชาชนรู้จัก เพราะศิลปินแห่งชาติขโมยคำว่า "ชาติ" มาต่อท้ายโดยที่ไม่เคยถามเราเลยว่าเรายอมรับและยินดีให้เขาเป็นตัวแทนเรารึเปล่า ศิลปินแห่งชาติของไทยจึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มเดียวเลือกกันเอง

เพียงคำกล่าวว่าในอินเทอร์เน็ตมีการเสนอให้ยกเลิกศิลปินแห่งชาติ เพราะศิลปินก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ เป็นการทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง ถ้าผลงานขายได้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เป็นสาธารณะประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปอุดหนุนเพิ่มอีก โดยเฉพาะเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่แทบไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ จากรัฐเลย

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ นักเขียนและคอลัมนิสต์เกี่ยวกับศิลปะหลายแขนง ให้ความเห็นในมุมที่ต่างออกไปว่า ผมคิดว่าคำว่า "ชาติ" ในศิลปินแห่งชาติ เป็นประดิษฐกรรมกลางเก่ากลางใหม่ เกิดขึ้นเมื่อไม่นาน

การเป็นศิลปินแห่งชาติมีคำถามว่าทำไมไม่ยึดโยงกับประชาชน เพราะว่าเป็นศิลปินแห่งชาติ ไม่ใช่ศิลปินแห่งประชาชน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องอะไรกับประชาชน แม้กระทั่งการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติเองก็ไม่ถูกโหวตโดยประชาชน ถูกโหวตโดยภาครัฐ การมีอยู่ของศิลปินแห่งชาติก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของรัฐชาตินิยม

ภาณุอธิบายว่า แค่สัดส่วนของคนที่ได้รางวัลระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดก็ประมาณ 4:1 และสัดส่วนความเป็นท้องถิ่นนั้นก็มีไว้เพื่อสนับสนุนส่วนกลางเท่านั้นเอง ความเป็นท้องถิ่นของศิลปินเป็นเพียงเครื่องมือที่รัฐนำมาใช้ในการสร้างความชอบธรรม

คัดเลือกแล้วประกาศคุณความดี แต่ไม่เคยพูดถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตย

เพ็ญสุภาอธิบายว่า รัฐจะประกาศว่า "ศิลปินที่ถูกคัดเลือกมีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ จินตนาการ สร้างสรรค์ ในการพัฒนาศิลปะแขนงนั้นๆ จนเกิดอัจฉริยะภาพและอัตลักษณ์เฉพาะ" แต่เขาไม่ได้พูดเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ไม่ได้พูดว่าต้องเป็นตัวแทนของคนทุกข์คนยาก ความอยุติธรรมในสังคม ไม่ได้บอกว่าศิลปินจะต้องมีอุดมคติอุดมการณ์ทางการเมืองต่อระบอบประชาธิปไตย มาตรฐานที่คัดเลือกศิลปินแห่งชาติตั้งแต่ระดับภูมิภาค ระดับชาติ สู่นานาชาติ เขามุ่งเน้นแต่ความสามารถของศิลปินแห่งชาติคนนั้นๆ

ตอนนี้พวกเรากำลังจะเรียกร้องสิ่งที่เขาไม่ได้เขียนไว้ในศิลปินแห่งชาติ เราต้องมาดีเบตกัน เรากำลังถามหาจิตสำนึกของศิลปินแต่ละคนว่าคุณมีความรับผิดชอบต่อการเมืองอย่างไร แต่กลายเป็นว่าหลังจากคุณได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ ได้รับเกียรติยศแล้ว ไม่มีอะไรไปการันตีอีกเลย อาจจะมีการร่วมงาน ร่ายกวี เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของจังหวัดบ้างแค่นั้น

ในขณะที่เพียงคำให้ความเห็นว่า การตัดสินเชิดชูเกียรติวรรณกรรมทั้งหลายที่ทำกันอยู่ในประเทศไทย ไม่เฉพาะศิลปินแห่งชาติ กระทำบนพื้นฐาน คือ หนึ่ง เกณฑ์ใครเกณฑ์มัน สอง พวกใครพวกมัน คือเป็นการตัดสินกันตามอำเภอใจซึ่งสร้างปัญหา

เพราะการตัดสินเหล่านี้ถูกยึดกุมโดยคนกลุ่มเดียวมายาวนานแล้ว เราต้องดูว่าคนกลุ่มนี้ที่เขายึดกุมมีความคิดแบบไหน มีรสนิยมแบบไหน ทัศนะทางการเมืองแบบไหน งานที่เขาตัดสินให้ได้รางวัลก็ต้องสอดคล้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองของกรรมการ

อุดมการณ์เบื้องหลัง นัยทางการเมืองของศิลปินแห่งชาติ

สอดคล้องกับที่ กำพล จำปาพันธ์ กล่าวว่า ผมอยากประเมินศิลปินแห่งชาติในฐานะนักการเมือง เราจะเห็นว่าทหารก็การเมือง ตุลาการก็การเมือง อาจารย์มหาวิทยาลัยก็การเมือง ศิลปินก็การเมืองด้วยรึเปล่า?

ความเป็นนักการเมืองไม่จำเป็นต้องรับใช้ประชาชน รับใช้ผู้มีอำนาจก็เป็นนักการเมือง รางวัลศิลปินแห่งชาติของไทยเป็นการบอกว่าถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ อยากได้รับการยกย่อง ยอมรับ คุณต้องซับพอร์ทรัฐ

รางวัลนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความดีเลิศทางศิลปะ มันเกี่ยวกับสถานะของบุคคล เครือข่าย โครงสร้างที่ต้องอุปถัมภ์กัน ผลงานศิลปินถูกนำมารับใช้การเมืองเต็มที่

อุดมการณ์เบื้องหลัง มีด้วยกันสองเรื่องใหญ่ คือ ชาตินิยม และท้องถิ่นนิยม นอกจากชื่อที่มี "แห่งชาติ" แล้ว เนื้อหาสาระการเลือกให้ใครเป็นไม่เป็นก็สะท้อนเรื่องนี้

โดยสรุปเป็นผลิตผลหนึ่งของลัทธิชาตินิยมไทย จากงานของอ.เบน แอนเดอร์สัน อ.ธงชัย วินิจจกุล อ.สายชล สัตยานุรักษ์ ที่สรุปตรงกันว่าคือพวกคลั่งชาติ อีโก้สูง ไม่เห็นหัวประชาชน ดูได้จากสังคมการเมืองไทยในปัจจุบัน เป็นค่านิยมที่ไม่สนว่าประชาชนจะเป็นยังไง สนับสนุนชนชั้นนำและผู้มีอำนาจเป็นหลัก

กำพลวิจารณ์ว่า เมื่อสิ่งนี้มากำกับอยู่เบื้องหลังศิลปินแห่งชาติ ดังนั้นศิลปินแห่งชาติจึงต้องเป็นแบบนี้เพื่อซับพอร์ตแนวคิดนี้ ไม่ยอมให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจเรื่องศิลปะและผลงานของตัวเอง ทำให้ลดทอนคุณค่าศิลปะและศิลปินแทนที่จะเป็นพวกที่ทำประโยชน์ทำคุณให้กับคนทั่วไป คนทั่วโลก ก็กลายเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะ

ส่วน อุดมการณ์ท้องถิ่นนิยม กำพลเห็นว่า มีความเหลื่อมซ้อนแนบสนิทกันระหว่างความเป็นชาติและความเป็นท้องถิ่น ผมคิดว่ามันเป็นอิทธิพลอย่างหนึ่งของงานประวัติศาสตร์นิยม ตลอดเวลาที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไม่ได้ไปไกลกว่าชาติ มันไม่ได้แอนตี้ลัทธิชาตินิยม ดังนั้นข้ออ้างที่ว่า "เป็นท้องถิ่น" ก็คล้ายกับสิ่งที่ชาตินิยมมี

เราจะเห็นได้จากตัวอย่างที่พังงา (กรณีเด็กสาวอายุ 15 ปีถูกข่มขืนจากคนในหมู่บ้านกว่า 40 คน แต่คนในหมู่บ้านด้วยกันเองกลับปกป้องคนผิดเพราะกลัวเสียชื่อหมู่บ้าน) การเอาหมู่บ้าน ท้องถิ่น สถาบัน องค์กรมาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบังความผิด ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

ด้วยแนวคิดว่าเราต้องเห็นแก่ชื่อเสียงองค์กร หมู่บ้าน หรือแม้แต่วงศ์ตระกูล ก็คือการอ้างแบบเดียวกับชาติ ละเลยเรื่องมโนธรรมบางอย่างไป กลบสภาพความรู้สึกผิด ชอบ ชั่ว ดี จริง เท็จ ซึ่งอันตรายมาก มันทำให้ความสามารถในการใช้เหตุผล สติปัญญาของคนในสังคมนี้มีปัญหา อย่างที่เราเห็นกันทุกเมื่อเชื่อวัน

กำพลกล่าวเสริมต่อว่า ผมเห็นด้วยว่าท้องถิ่นตอนนี้อาจแตกสลาย ไม่มีชาวบ้าน มีแต่ผู้ประกอบการและชนชั้นกลาง การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น โครงสร้างพื้นฐานในชนบท ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ท้องถิ่นกับชาติโดยสรุปจึงเหมือนกัน เจ้าพ่ออิทธิพลท้องถิ่นก็ขยับเข้ามาเล่นการเมืองระดับชาติ หนุนหลังทหารก็ตั้งเยอะ แง่หนึ่งการครอบงำวิถีการผลิตการบริโภคทำให้ชนบทไม่ต่างจากเมือง ความสัมพันธ์ภายในท้องถิ่นก็จำลองแบบหรือเป็นหน่วยย่อยขององค์ประกอบของรัฐชาติ

เมื่อรัฐชาติปกครองโดยทหารเอาปืนมายึด เอาอำนาจมาปกครองในนามชาติได้ แล้วทำไมท้องถิ่นจะข่มขืนหรือตบทรัพย์ใครในนามของหมู่บ้านตัวเองไม่ได้ ผมคิดว่าอันนี้แหละเมื่อรวมกันแล้วจึงตอบได้ว่าทำไมเราถึงได้ศิลปินพื้นๆ แบบนี้ มันไม่เคยไปไกลกว่าศิลปินฟรีจากภาษีประชาชน

"เราเห็นศิลปินอย่างคุณอภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รางวัลจากทั่วโลก แต่หนังบางเรื่องฉายในเมืองไทยไม่ได้ ทำไมเราไม่นึกถึงคนแบบนี้ เขาเข้าเกณฑ์ทุกอย่างเลยนะ ทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ" กำพลตั้งคำถาม

มองศิลปินในฟิลิปปินส์กับบทบาทเรียกร้องเอกราชเชิดชูท้องถิ่น

กำพลอธิบายว่า ในมุมประวัติศาสตร์การที่จะเข้าใจคนเหล่านี้ได้ ต้องเข้าใจว่าเขามีมุมมองและสัมพันธ์อย่างไรต่อส่วนกลางหรือผู้มีอำนาจกำพลได้ยกตัวอย่างประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีศิลปินด้านวรรณศิลป์ที่มีบทบาทสูงอย่าง โฮเซ่ ริซัล ในการเรียกร้องเอกราชคืนจากสเปนที่เป็นเจ้าอาณานิคม ขบวนการกู้เอกราชของศิลปินนำมาสู่การให้ความสำคัญของภาษาตากาล็อกซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น ในขณะที่ศิลปินแห่งชาติของไทยคือพวกที่ใช้ภาษาส่วนกลาง

วิเคราะห์แนวทางการตัดสินของรางวัลพานแว่นฟ้า

คณะกรรมการตัดสินศิลปินแห่งชาตินั้นไม่ปรากฏรายชื่อในการค้นหา เพียงคำ ประดับความ จึงยกตัวอย่างรางวัลพานแว่นฟ้า ซึ่งเป็นการประกวดรางวัลวรรณกรรมทางการเมือง ก่อตั้งในปี 2545 จัดโดยรัฐสภาและสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ซึ่งมี เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา

เพียงคำได้ศึกษาบทกวีรางวัลพานแว่นฟ้า ตั้งแต่ปี 2546-2555 ผลการศึกษาออกมาพบ 5 ประเด็นใหญ่ๆ ได้แก่

1. บทกวีพานแว่นฟ้านำเสนอภาพประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยแบบราชาชาตินิยม หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นชาดกหรือคอลเลกชั่นหนึ่งของประชาธิปไตยแบบราชาชาตินิยม เขาจะพูดว่าคนรุ่นก่อนต่อสู้เสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เขาเล่าประวัติความเป็นชาติเขาก็เล่าว่ามีวีรบุรุษ วีรสตรีมากมายที่ต่อสู้เสียสละเพื่อชาติ แต่อยู่ภายใต้การนำของวีรกษัตริย์ เขาเอาเรื่องของประชาธิปไตยไปคลุกรวมกับเรื่องของชาติ เอาเรื่อง 6 ตุลา 14 ตุลา ไปรวมกับการเลิกทาสสมัยร.5 ทำให้การเลิกทาสเป็นเรื่องเดียวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

2. อธิบายความหมายของประชาธิปไตยว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของความเป็นไทย เป็นสมบัติที่วางอยู่ข้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นสมบัติเดียวกับที่คนรุ่นก่อนสร้างไว้ให้เราเป็นมรดกตกทอดมาถึงรุ่นลูกหลาน

3. มองว่าปัญหาของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง การเลือกตั้งเป็นพิษนำมาสู่ประชาธิปไตยที่ไม่สำเร็จ ต้นเหตุมาจาก นักการเมืองเลวและประชาชนโง่

4. วิธีแก้ปัญหาประชาธิปไตยเป็นพิษ ไม่ประสบความสำเร็จ เปิดทางให้รัฐประหาร มองว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล นักการเมืองเลว วิธีแก้คือนำคุณธรรมจริยธรรมเข้ามา

5. ยอมรับหลักการประชาธิปไตยต่างๆ สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม แต่ไม่ยอมรับหลักการที่เป็นของปลอม เขามองว่าประชาธิปไตยที่เรามีอยู่เป็นของปลอม ประชาธิปไตยแบบนี้ต้องการความสามัคคี ภายใต้ข้ออ้างของความมั่นคงและความเป็นชาติ

ปี 2554 เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนขั้วการเมืองอีกครั้ง ในปี 2556 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ทำให้ชุดเก่าที่ยึดครองอำนาจมานานยกขบวนลาออก กรรมการชุดใหม่ถูกกล่าวหาว่าถูกการเมืองแทรกแซง ส่วนใหญ่มาจากซีกเสื้อแดง มีผลให้บทกวีพานแว่นฟ้า 2556 (เบี้ย)

ผลการศึกษาออกมาตรงข้ามกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ คือ ความหมายของประชาธิปไตยนั้นยืนยันเรื่องหลักสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ยืนยันว่าประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง ยืนยันว่าต้องมีนักการเมือง นักการเมืองเป็นอาชีพหนึ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่จำเป็นต้องมีนักการเมือง และประชาชนไม่ใช่เพียงเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานที่เดินตามผู้บงการ แต่คือคนที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตัวของตัวเอง เพื่อประชาธิปไตย

วิพากษ์ 'ศิลปินที่มองไม่ไกล ไปไม่สุด' ขณะที่คนไปสุดก็โดน 112

ชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ นักเขียนและนักกิจกรรมทางการเมือง เล่าถึงบรรยากาศหลังโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในปี 2535 ว่าบรรยากาศในยุคนั้นเต็มไปด้วยสิทธิเสรีภาพและการเรียกร้องเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของประชาชนอย่างสูง ช่วงระยะเวลานั้นศิลปะมาจากการทำลายสิ่งเก่า สิ่งที่เป็นปรปักษ์กับเสรีภาพของประชาชน ศิลปินมักจะมีความโดดเด่นในเรื่องการใช้ภาษาและวิธีการอธิบายสังคมด้วยงานศิลปะไม่ว่าวรรณกรรม วรรณศิลป์ บทดนตรี บทกวี ให้หลบหลีกผู้มีอำนาจได้

ชัยนรินทร์วิจารณ์ว่า แม้ในงาน25 ปี 14 ตุลา คนทำงานศิลปะออกมามากมาย เช่น เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สุรชัย จันทิมาธร พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ และวสันต์ สิทธิเขตต์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์โลกาภิวัตน์ ทุนนิยม นักการเมือง และทหาร เมื่อดูพื้นเพจะพบว่าหลายคนเติบโตมาจากงานพุทธศิลป์ ยกย่องชุมขน เศรษฐกิจพอเพียง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าความคิดพวกเขาไม่ได้ก้าวไปไกลกว่านั้น

ทั้งที่ชนชั้นอมาตยาธิปไตยหรือชนชั้นศักดินา นายทุน มีพัฒนาการเติบโตให้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมทุนนิยมมาโดยตลอด แล้วกลายเป็นทุนนิยมเอง เป็นนายทุนเอง แต่ไม่เคยเห็นศิลปินเหล่านี้มาวิพากษ์วิจารณ์ แสดงว่าคุณไม่ได้เข้าใจโลกาภิวัตน์และทุนนิยมจริงๆ คุณไม่เข้าใจว่ามันเกิดมาเป็นผลผลิตของสังคม ขณะที่ประชาชนมีอารมณ์ร่วมกับการเมืองมากกว่าศิลปินเหล่านี้ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันฝ่ายประชาธิปไตยก็มีความขัดแย้งกันของศิลปิน ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เริ่มต้น ศิลปิน "เพลงไพร่" ปราศรัยในปี 2552-2553 ในเรื่องของความเป็นไพร่ แต่ไม่ใช่ในมิติของประชาธิปไตย แต่เป็นในมิติของประชาชนที่จงรักภักดีคนหนึ่งแต่ไม่อยู่ในสายตา เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ขณะที่บางส่วนพยายามไปให้สุดก็จะโดนมาตรา 112 หรือถูกหมายหัว เช่น ไม้หนึ่ง ก.กุนที กลุ่มประกายไฟการละครกับละครเรื่อง "เจ้าสาวหมาป่า" นักกวี "รุ่งศิลา" กลุ่มแสงสำนึก คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112  (ครก. 112) กวีราษฎร์ ศิลปินเหล่านี้คือกลุ่มที่ทำลายสิ่งที่เป็นปรปักษ์ต่อเสรีภาพของเขา

มองทั่วโลก ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับการเมืองในประวัติศาสตร์

ปาโบล ปีกัสโซ่ (Pablo Picasso) กับ Guernica

Guernica

ภาณุอธิบายว่า งานชิ้นนี้มีความเป็นมาสเตอร์พีชทางศิลปะและการเมืองด้วย ในปี 1937 รัฐบาลสเปนจ้างปีกัสโซ่ซึ่งลี้ภัยการเมืองให้วาดภาพฝาผนัง ในช่วงที่ทำงาน ปีกัสโซ่ได้บังเอิญไปอ่านข่าวโศกนาฎกรรมที่เมืองหนึ่งชื่อ เกอร์นิก้า เป็นหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ในแคว้นปัส ของสเปน เมืองนี้ถูกรัฐบาลเผด็จการของนายพลฟรันซิสโก ฟรังโก้ใช้กองกำลังนาซีและฟาสต์ซิสโจมตีและทิ้งระเบิดปราบปรามผู้ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ เมืองถูกถล่มจนย่อยยับ คนบริสุทธิ์ล้มตายจำนวนมาก

ปิกัสโซ่อ่านข่าวนี้แล้วเขาจึงเปลี่ยนใจไม่รับจ้างวาดภาพของรัฐบาลสเปน แต่วาดภาพนี้ขึ้นแทน เป็นภาพขนาดใหญ่มาก เป็นรูปแบบงานศิลปะที่ปิกัสโซ่คิดค้นขึ้นใหม่คือแนว คิวบิซึ่ม (Cubism) เขาบอกว่าสงครามครั้งนี้ของสเปนคือการต่อสู้ของรัฐบาลฝ่ายขวาจัดที่ต่อต้านประชาชน ต่อต้านเสรีภาพ

ปิกัสโซ่กล่าวว่า "ชีวิตการเป็นศิลปินของผมต่อมานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการต่อสู้ต่อเนื่องยาวนานกับรัฐบาลฝ่ายขวาจัดและความตายของศิลปะ ดังนั้นแล้วจะมีใครหน้าไหนคิดว่าผมมีความเห็นพ้องกับฝ่ายขวาจัดได้อีก ในภาพที่ผมกำลังวาดอยู่นี้ซึ่งผมจะเรียกมันว่า ผมได้แสดงออกถึงความชิงชังเผด็จการทหารที่ทำให้สเปนจมดิ่งใต้ทะเลแห่งความเจ็บปวดและความตายที่มันเป็นอยู่"

ปิกัสโซ่ใช่เวลาวาดภาพนี้ 35 วัน สังเกตว่าเป็นภาพที่แสดงถึงความเจ็บปวด ความบิดเบี้ยว สงคราม ความตาย พอวาดเสร็จปิกัสโซ่ก็นำภาพไปแสดงที่กรุงปารีส และประสบความสำเร็จอย่างมาก ประเด็นที่สำคัญคือปิกัสโซทำพินัยกรรมว่าภาพนี้จะไม่กลับสู่สเปนอีก ตราบใดที่สเปนไม่คืนสู่ประชาธิปไตย ปี 1975 นายพลฟรังโก้ เสียชีวิต หลังจากนั้นสเปนก็กลับคืนสู่ประชาธิปไตย ภาพจึงถูกคืนไปที่สเปนในที่สุด

ภาพนี้ถูกใช้ต่อภาพต่อต้านสงครามตลอดเวลา

ภาณุตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าปีกัสโซ่ยอมอยู่ในรัฐบาลเผด็จการของสเปน ปีกัสโซ่อาจจะได้ลาภยศ สรรเสริญ เป็นศิลปินแห่งชาติอยู่อย่างสุขสบาย แต่ผมคิดว่าจิตวิญญาณของศิลปิน มีคำถามว่าศิลปิน ศิลปะจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือเปล่า ผมว่าไม่จำเป็น แต่ในฐานะที่ศิลปินเป็นมนุษย์ คุณจะนิ่งเฉยต่อชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติที่โดยกดขี่ ทำร้าย ฆ่า คุณจะรู้สึกกับมันไหม และศิลปินเหล่านี้ไม่นิ่งเฉย

คาซิมีร์ มาเลวิช (Kashmir Malevich) กับ Black Square

Black Square

มาเลวิช เป็นศิลปินรัสเซีย ในยุคที่รัสเซียมีแนวคิดแบบ Constructivism ทำงานศิลปะเพื่อตอบสนองอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ของรัสเซีย มาเลวิชแทนที่จะรับเอาแนวคิดนี้ของรัฐบาลเข้ามา เขาไม่เห็นด้วยและทำงานศิลปะชิ้นนี้เพื่อเป็นการแสดงเจตจำนงค์ในการต่อต้านอุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ซึ่งกำลังเป็นมหาอำนาจในยุคนั้น

เขาบอกว่างานศิลปะไม่จำเป็นต้องรับใช้สังคม ศาสนา รัฐ ไม่จำเป็นต้องบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องแสดงภาพของคน วัตถุ หรือสิ่งของอะไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ในโลก ไม่มีความหมายในตัวเอง ความรู้สึกของคนเราต่างหากที่มีความหมาย เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่วาดรูปอะไรออกมาเลยนอกจากสี่เหลี่ยมสีดำบนแคนวาสสีขาว

หลายคนอาจบอกว่าไม่มีอะไรเลย เพราะศิลปะของรัสเซียในยุคนั้นต้องเป็นความเหมือนจริง เชิดชูทหาร และชนชั้นกรรมาชีพ วาดภาพแบบนี้ออกมาเป็นการท้าทายรัฐมาก ท้าทายสังคมมาก ผลงานชิ้นนี้บอกเราว่า จริงๆ แล้วศิลปะคือเสรีภาพ คุณดูงานชิ้นนี้แล้วจะคิดถึงอะไรก็ได้ จินตนาการถึงอะไรก็ได้โดยที่ศิลปินไม่จำกัดความคิดของคุณ

น่ากลัวคือหลังจากเขาทำงานชิ้นนี้ ผู้นำเผด็จการโจเซฟ สตาลินก้าวขึ้นสู่อำนาจ พรรคคอมมิวนิสต์ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน แม้กระทั่งการทำงานศิลปะ กำหนดให้ศิลปินในยุคนั้นทำงานแนวสัจนิยม วาดภาพเหมือนจริง แนวสังคมนิยมที่เป็นภาพโฆษณาชวนเชื่อ ทหารคอยช่วยเหลือประชาชน ทำไร่ ทำนา มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม ร่างกายล่ำสัน

สตาลินไม่ต้องการให้คนคิด แต่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนตาม แต่งานศิลปะนามธรรมชิ้นนี้เปิดโอกาสให้คนใช้ความคิดอย่างเสรี สนับสนุนความแตกต่างหลากหลาย จึงเป็นที่เกลียดชังของสตาลิน

มาเลวิชถูกจับไปปรับทัศนคติ จนกระทั่งสุดท้ายแล้วมาเลวิชก็ต้องวาดภาพเหมือนในแบบที่รัฐต้องการ แต่สิ่งที่น่าสนุกคือทุกภาพเหมือนที่เขาวาด เขาจะใส่รูปสี่เหลี่ยมสี่ดำลงไปตรงริมภาพเล็กๆ ให้รู้ว่าถึงแม้ฉันจะทำตามอุดมการณ์ของรัฐเพื่อความอยู่รอด แต่จิตวิญญาณแห่งเสรีภาพของฉันยังคงอยู่และไม่ได้หายไปไหน จนกระทั่งเสียชีวิตเขาก็ยังไม่ได้กลับไปทำงานแบบนามธรรม

ไอ้ เว่ยเว่ย (Ai Weiwei)

ศิลปินชาวจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ มีชื่อเสียงในต่างประเทศ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เขาย้ายจากอเมริกากลับมาอยู่เมืองจีนถาวรเพราะเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ก่อนหน้านั้นไอ้เว่ยเว่ยคือศิลปินที่จีนรักมาก เป็นที่ปรึกษาในการสร้างสนามกีฬารังนกในโอลิมปิคปี 2008

แต่เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลไล่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบสนามกีฬาออก และทุบบ้านทิ้ง เขาโกรธมากและประกาศไม่เข้าร่วมพิธีเปิดโอลิมปิคในครั้งนั้น รวมถึงทำผลงานออกมาชิ้นหนึ่งชื่อ Fuck You, Motherland เป็นภาพชูนิ้วกลางให้จัตุรัสเทียนอันเหมิน หลักจากนั้นไอ้ เว่ยเว่ย ก็กลายจากศิลปินเป็นแอคทิวิสต์

มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เสฉวน คนตายไปประมาณ 70,000 คน คนที่ตายจำนวน 40,000 คน เป็นเด็กที่อยู่ในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งสร้างโดยรัฐโดยใช้วัสดุคุณภาพต่ำ มีการคอรัปชั่นกัน เป็นโครงสร้างที่เปราะมาก รัฐบาบจีนกินเหล็ก กินอิฐ กินปูน ที่แย่กว่านั้น รัฐบาลจีนทำการปิดข่าวไม่บอกชื่อคนตาย เพราะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยชื่อ

ไอ้ เว่ยเว่ย จึงลงพื้นที่ทำการสำรวจชื่อของเด็กที่ตายทุกคน สอบถามสัมภาษณ์ชาวบ้าน และลิสต์รายชื่อ และนำรายชื่อของเด็ก 40,000 คนไปแปะบนกำแพง ซึ่งการทำแบบนี้ก็โดนคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐตลอดเวลา และโดนเจ้าหน้าที่รัฐซ้อม และทำงานชื่อ Remembering เป็นกระเป๋าเป้จำลองของเด็กอนุบาลที่เสียชีวิตมาติดบนอาคารเขียนเป็นอักษรจีน "เธอเคยอยู่อย่างมีความสุขเป็นเวลา 7 ปีบนโลกใบนี้" ซึ่งเป็นคำพูดของหนึ่งในพ่อแม่เด็กที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้

เขาตั้งคำถามกับรัฐบาลในโลกออนไลน์และถูกรัฐบาลจีนเล่นงาน จับตา เอากล้องวงจรปิดติดหน้าบ้าน สอดส่องการทำงาน สุดท้ายถูกจับไปขังคุกประมาณ 80 วัน แต่รัฐบาลจะทำอะไรกระโตกกระตากไม่ได้ เพราะเป็นศิลปินชื่อดังระดับโลก

เขาเล่าว่าถูกขังในห้องที่ปิดกระดาษทั้งหมด ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตลอดเวลาแม้แต่เวลากินข้าว เข้าห้องน้ำ ถูกสอบปากคำตลอดเวลา หลังจากเขาถูกปล่อยตัว เขาทำงานจำลองเหตุการณ์ระหว่างที่เขาติดคุกอย่างละเอียด โดยตุ๊กตาเรซิ่น และแสดงงานศิลปะนี้ในเทศกาลศิลปะเวนิซเบเนเล่ (venice biennale) เทศกาลศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี

มีคนถามว่า ลุกขึ้นมาแข็งข้อกับรัฐบาลจีนอย่างนี้ไม่หวาดกลัวหรอ เขาบอกว่า จริงๆเขากลัวมาก แต่นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เขาทำในสิ่งที่กล้าหาญมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าความกลัวมีพลังมาก ถ้าเขาไม่ลงมีทำอะไรเลยความกลัวจะยิ่งเข้มแข็งและเติบโตมากขึ้น เขาในฐานะที่เป็นศิลปินระดับโลก เขาพูดแล้วเสียงดังกว่าคนอื่น เขาทำสิ่งเหล่านี้เขาสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

ศิลปะแบบเซอร์เรียลลิสต์

เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยุโรปอยู่นสงครามโลกครั้งที่ 1 สังคมยุโรปอดอยากยากจนข้นแค้น จึงมีแนวคิดการทำงานศิลปะที่ปฏิเสธความเป็นเหตุเป็นผล วิทยาศาสตร์ ค่านิยม ตรรกะ ต่อต้านชาตินิยม ลัทธิอาณานิคม เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดสงคราม งานศิลปะจึงละทิ้งเหตุผลแต่ใช้สัญชาตญาณ สำรวจเส้นทางใหม่ๆ เขาเชื่อว่าความฝันคือเครื่องมือปลดปล่อยคนออกจากกรงขัง ฝันไม่ต้องมีเหตุผล สุดท้ายศิลปะแบบเซอร์เรียลลิสต์ก็ให้แรงบันดาลใจคนยุคหลังๆ อีกมากมาย

ภาณุกล่าวสรุปว่า

เรามีศิลปินแห่งชาติทำไม ศิลปินแห่งชาติยึดโยงอะไรกับประชาชน ความเห็นใจต่อประชาชนเพื่อนร่วมชาติ ประชาชนที่ทุกข์ยาก ถูกกดขี่ ไม่ใช่คุณสมบัติของศิลปินอย่างเดียวแต่เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ที่ควรอยู่ในสามัญสำนึก เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามว่าคุณเป็นศิลปินทำไม แต่ถามว่าคุณมีสามัญสำนึกที่อยากทำอะไรในฐานะที่คุณเป็นกระบอกเสียงหนึ่ง เป็นคนที่ถูกสังคมจับจ้องและพูดออกมาแล้วเสียงดังกว่าคนอื่น คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยคนเหล่านั้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่ถึงเดือน ครม. คืนตำแหน่งให้ พ.ต.ท.พงศ์พร กลับมาเป็น ผอ.พศ. เหมือนเดิม

Posted: 26 Sep 2017 08:10 AM PDT

ที่ประชุมครม.มีมติให้พ.ต.ท.พงศ์พรกลับมาดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.ตามเดิม หลังเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ พบไม่มีความผิด พล.อ.ประยุทธ์ ระบุย้ายออกเนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดระเบียบ เมื่อมีความเรียบร้อย ก็ให้กลับมาดำรงตำแหน่งเดิม

26 ก.ย. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 220/2560 เรื่อง ให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 ส.ค. อนุมัติรับโอน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นั้น

ล่าสุดวันนี้ (26 ก.ย.60) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมครม.ทบทวนมติครม.เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ ออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอให้ พ.ต.ท.พงศ์พร กลับมาดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. ตามเดิม หลังจากมีคำสั่งให้โอนย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ มานัศ ทารัตน์ใจ กลับไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศาสนาเช่นเดิม 

"คำสั่งครั้งนั้นยังอยู่ระหว่างกระบวนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ และเมื่อได้แก้ไขปัญหาระหว่างสำนักงาน พศ. กับหน่วยงานต่าง ๆ ได้เป็นที่พึงพอใจแล้ว และพ.ต.ท.พงศ์พรไม่ได้มีความผิด รวมถึงได้ปรับและกำหนดแนวทางการทำงาน จึงเห็นควรให้พ.ต.ท.พงศ์พรกลับมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการพศ.เช่นเดิม รวมทั้งให้สำนักงานพศ.อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงวัฒนธรรม" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เดิมที่ให้ พ.ต.ท.พงษ์พร ย้ายออกจาก พศ. เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดระเบียบ พศ. เมื่อมีความเรียบร้อย ก็ให้กลับมาดำรงตำแหน่งเดิม เพราะ พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นคนดี และแม้ พ.ต.ท.พงศ์พร จะไม่อยู่ในช่วงหนึ่ง คดีการทุจริตเงินทอนวัดก็เดินหน้า เพราะเรื่องเข้าสู่กระบวนการแล้ว ที่ผ่านมาบางเรื่องคณะสงฆ์ไม่เข้าใจ เพราะมีความไว้เนื้อเชื่อใจ จึงต้องมีการสอบสวน เวลานี้ หลายเรื่องดำเนินการแล้วเสร็จ เราก็ต้องเอาเขากลับมาทำหน้าที่เดิม และคณะสงฆ์ก็พร้อมให้ความร่วมมือ ผิดถูกดำเนินการตามกฎหมาย เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Human ร้าย, Human Wrong #1 เมื่อศิลปะพูดถึงเรื่องที่ยังไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา

Posted: 26 Sep 2017 07:08 AM PDT

การแสดงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดนิทรรศการศิลปะ "Human ร้าย, Human Wrong"

นักศึกษาและเยาวชนที่ร่วมอบรมเวิร์คชอปศิลปะและนำเสนอผลงานผ่านนิทรรศการศิลปะ "Human ร้าย, Human Wrong"

ในช่วงสัปดาห์นี้ที่หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ "Human ร้าย, Human Wrong" ผลงานของนักศึกษาและเยาวชน 18 คน ที่ร่วมอบรมเวิร์คชอปศิลปะมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยผลงานของพวกเขานำเสนอตั้งแต่ปัญหาสังคม จนถึงเรื่องใกล้ตัวที่ผู้คนมองข้าม

โดยในวันเปิดนิทรรศการเมื่อ 23 กันยายนที่ผ่านมา มีการแนะนำโครงการโดยนักศึกษาที่ร่วมนำเสนอผลงาน นอกจากนี้ยังมีบุคคลจากหลายหลายวงการร่วมแสดงความยินดีกับศิลปินผู้นำเสนอผลงาน หนึ่งในนั้นคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งได้กล่าวว่า เขารู้สึกแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่คนเราออกไปประท้วงอะไรก็แล้วแต่ เช่นในปี 2552 ปี 2553 หรือ 14 ตุลา ฟังดูแล้วเหมือนเราออกไปด้วยเหตุผล จริงๆ ไม่ใช่ จริงๆ เราไปเพราะเรารู้สึกว่าต้องออกไป

"ทีนี้น่าประหลาดใจที่ว่าในการที่ทุกวันนี้เราเผชิญหน้ากับการกดขี่เสรีภาพ เราพยายามสื่อสารกันด้วยเหตุผล ไม่ค่อยมีคนสื่อสารด้วยความรู้สึก และที่ผมมาดูนิทรรศการวันนี้ผมรู้สึกแปลกใจว่าผมถูกสื่อสารทางความรู้สึก และผมคิดว่ามันสะเทือนอารมณ์ยิ่งกว่าฟังเลคเชอร์ที่เป็นเหตุเป็นผล คือถ้าเราไม่มีความรู้สึก เราก็ไม่มีวันขึ้นไปต่อสู้กับทรราชได้"

 

ส่วนหนึ่งของ Human ร้าย, Human Wrong

"กุญแจความดี (Thainess Lock)" ผลงานของ พิสุทธิ์ศักดิ์ วัฒนาชัยกูล ซึ่งตั้งคำถามกับหลักปฏิบัติของความดีงามหรือจริยธรรมแบบไทยๆ ที่ถูกผลิตซ้ำในสังคมอย่างขาดการตั้งคำถาม

"ฉันเท่าเทียม (I – Equal)" ผลงานของ ธัญลักษณ์ มีชำนะ แถวของหน้ากากสีขาวรูปใบหน้ามนุษย์นิ่งเรียบ 43 รูป และใบหน้าซึ่งถูกประทับไว้ด้วยบทกลอนที่นำมาจาก "สุภาษิตสอนหญิง" ของสุนทรภู่ สะท้อนการกดสถานะของผู้หญิง

"Bed Kingdom" ผลงานของศราวุฒิ ดอกจำปา ที่ชี้ว่า แม้ว่าแนวคิดเรื่อง sexual consent หรือการให้ความยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคม ทว่าแนวคิดดังกล่าวกลับเป็นแนวคิดที่น้อยคนนักในสังคมจะให้ความสำคัญ ทั้งที่การขาดความเข้าใจและความตระหนักในเรื่องนี้คือบันไดขั้นแรกที่นำมาสู่วัฒนธรรมการข่มขืนและการล่วงละเมิดทางเพศโดยเฉพาะอย่างยิ่งนำมาสู่การยัดเยียดความผิดให้ผู้ถูกกระทำ

ส่วนหนึ่งของผลงาน "Look at You" โดย กรรษกร พรมคง สะท้อนถึงการถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพบนโลกออนไลน์ ทั้งโดยที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว

"นวัตกรรมศักดิ์สิทธิ์พิชิตเป้า (The Victory of Sacred Innovations)" ผลงานของ กอบพงษ์ ขันธพันธ์ สร้างสรรค์ผลงานจากวัสดุที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน อย่างแท่งคอนกรีตสำหรับตั้งศาลพระภูมิ เชื่อมติดกับปืนของเล่น พร้อมเทคนิคพ่นสีสเปรย์ ตั้งคำถามชวนขบคิดถึงการสถาปนาความศักดิ์สิทธิ์ การควบคุมผู้คนด้วยความกลัว ความรุนแรง และความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่มีอำนาจใดสามารถจำกัดเสรีภาพทางความคิดและจินตนาการของผู้คน

 

การแสดงและศิลปะชวนขบคิดเรื่องที่ไม่ถูกพูดถึง

การแสดงประกอบผลงานศิลปะ "ฉันเท่าเทียม (I – Equal)" ของ ธัญลักษณ์ มีชำนะ

นอกจากนี้ยังมีการแสดงแนว Performance เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดงาน หนึ่งในนั้นคือการแสดงชุด "ฉันเท่าเทียม (I – Equal)" ผลงานของ ธัญลักษณ์ มีชำนะ ซึ่งมีการแสดงประกอบผลงานศิลปะด้วยการขีดสีแดงบนผ้าสีขาว รวมทั้งบนร่างกายของผู้แสดงจนใบหน้าและร่างกายถูกขีดด้วยเส้นสีแดง

สำหรับผลงาน "ฉันเท่าเทียม (I – Equal)" เป็นแถวของหน้ากากสีขาวรูปใบหน้ามนุษย์ 43 รูป ติดอยู่ข้างผนัง แต่บนใบหน้านิ่งเรียบนั้นกลับถูกติดสลากไว้ด้วย "สุภาษิตสอนหญิง" ที่มีนัยกดทับสถานะของผู้หญิง

โดยผลงานศิลปะชุดนี้มุ่งสะท้อนความไม่เท่าเทียมบนความเท่าเทียมของเพศชายและเพศหญิงในสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังภายใต้ค่านิยมความเชื่อที่ทำให้ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าและสร้างกรอบที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงที่ไม่ปฏิบัติตามค่านิยมความเชื่อนั้น โดยผลงานชิ้นนี้ต้องการสะท้อนการถูกพันธนาการเรือนร่างของผู้หญิงด้วยคำสอนและสุภาษิตสอนหญิงต่างๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในสังคมไทย

การแสดงและผลงานชุด "Cyber Bullying" ของชินดนัย ปวงคำ มุ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเลวร้ายของการกลั่นแกล้งและสร้างความเกลียดชังในโลกอินเทอร์เน็ต

คลิปการแสดงชุด "Cyber Bullying" ของชินดนัย ปวนคำ

การแสดงอีกชุดก็คือ "Cyber Bullying" ผลงานของ ชินดนัย ปวนคำ ซึ่งการแสดงของเขาตรึงความสนใจของผู้เข้าชมนิทรรศการ โดยในขณะที่เขานั่งอยู่ในกระบะที่มีน้ำขัง เหนือขึ้นไปมีก็อกน้ำรูปยกนิ้วโป้งเสมือนการ "กดไลค์" เปิดปล่อยน้ำไหลรดศีรษะ เขากล่าวถ้อยคำซ้ำไปมาว่า "ไอ้สัตว์ ไอ้สัตว์ ไอ้สัตว์ ..." พร้อมตบปากตัวเองทุกครั้งที่ได้กล่าวถ้อยคำ

ด้านหลังของชินดนัย คือดินเผาปั้นคล้ายรูปกะโหลกศีรษะมนุษย์วางเรียงกันนับพันลูก โดยคำอธิบายประกอบผลงานของเขาก็คือ "แก้ไขความรุนแรงด้วยสันดาน… ในโลกออนไลน์ เป็นพื้นที่อิสระในการใช้คำแสดงสันดาน ใช้ตัดสิน ตัดสิทธิ์ เฉกเช่นตัวอักษรออนไลน์ ถึงแม้จะบางเบาไร้ตัวตน แต่กระนั้นก็ยังสามารถปลิดชีวิตคนได้

ผลงานชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นความเลวร้ายของการกลั่นแกล้งและสร้างความเกลียดชังในโลกอินเทอร์เน็ต และกระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักว่าการใช้ถ้อยคำทำร้ายกันเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น"

ไอเฟล และผลงาน "Bed Kingdom" ชวนขบคิดถึงหลักความยินยอมทางเพศและปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ

อีกผลงานหนึ่งซึ่งถูกพูดถึงก็คือ "Bed Kingdom" ผลงานของ ศราวุฒิ ดอกจำปา หรือ "ไอเฟล" นักศึกษาประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลงานศิลปะของเขาสะท้อนพูดถึงเรื่องที่ถูกละเลยอย่างเรื่องความยินยอมทางเพศและการล่วงละเมิดทางเพศ โดยเตียงขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่กลางสถานที่จัดนิทรรศการ คลุมด้วยผ้าปูเตียงที่เย็บต่อกันจากเสื้อผ้าของผู้หญิง ที่ปักตัวอักษรเป็นประโยคข้อความที่สะท้อนความไม่เข้าใจต่อหลักความยินยอมทางเพศ

"ไอเฟล" กล่าวถึงเหตุที่ทำให้เธอร่วมเวิร์คชอบศิลปะนี้ว่า มีความชอบงานศิลปะมาก่อน แต่ที่ผ่านมาไม่เคยได้ทำ การเข้าร่วมเวิร์คชอปครั้งนี้จึงได้นำความรู้ที่ได้เรียนมาประยุกต์กับงานศิลปะ ถือว่าได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ระหว่างกระบวนการเวิร์คชอปก็ได้เจอเพื่อนหลากหลายแขนง ทั้งคนที่สนใจด้านศิลปะจัดวาง (Installation) และคนที่ชำนาญเรื่องศิลปะเสียง

สำหรับผลงาน "Bed Kingdom" ต้องการสื่อสารเรื่อง Sexual consent โดยผลงานนี้ทำให้เตียงใหญ่กว่ามาตรฐาน เพราะต้องการทำให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องการให้คนตระหนักถึงเรื่อง Consent และมีการเย็บเสื้อผ้าต่อๆ กัน และปักข้อความเป็นคำพูด ที่สะท้อนการให้เหตุผลในสังคมแบบมโนไปเองของผู้ชาย เพื่อตั้งคำถามว่าภายใต้การเปิดเสื้อผ้าเหล่านี้ ได้รับการยินยอมจริงๆ ใช่ไหม ใช้การปักมือเป็นคำพูด เพราะอยากวิพากษ์สังคมที่ให้สิทธิผู้ชายในการสั่งสอนผู้หญิง โดยไม่ได้มองตัวเองเลยว่าสาเหตุอาจจะเกิดขึ้นจากทัศนคติของผู้ชายก็ได้

000

"Human ร้าย, Human Wrong" เป็นโครงการฝึกปฏิบัติการทำงานศิลปะแนวใหม่ ที่ใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสร้างสรรค์แสดงออกและสื่อสารเรื่องใกล้ตัวที่ถูกทำให้ไกลเราจนยากที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ผ่านกิจกรรมฝึกปฏิบัติระยะยาวว่าด้วยศิลปะและการพูดคุยเชิงวิพากษ์สนุกๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงศักยภาพทางศิลปะ บ่มเพาะแรงบันดาลใจ จุดประกายให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เรียนรู้และตั้งคำถามกับเรื่อง "สิทธิ์" ที่เราพึงมีในชีวิตประจำวัน แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะในรูปแบบที่เสรีเพื่อสื่อสารกับสาธารณะ

"Human ร้าย, Human Wrong" จะจัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนนิมมานเหมินทร์ จนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook แฟนเพจ "Human ร้าย, Human Wrong"

หมายเหตุ: โปรดติดตามตอนหน้า พูดคุยกับเยาวชนผู้ร่วมแสดงผลงานและภัณฑารักษ์นิทรรศการ ถึงกระบวนการเวิร์คชอปและผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงหลังจัดแสดงผลงาน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จรูญพร ปรปักษ์ประลัย: วิกฤตซีไรต์ 2560

Posted: 26 Sep 2017 06:19 AM PDT

คิดจะเขียนเรื่องนี้นานแล้ว แต่ลังเลอยู่นานว่าควรจะเขียนไหม แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาเถอะ คนในนี้ก็เป็นคนรักหนังสือด้วยกันแทบทั้งนั้น

1. ซีไรต์เป็นรางวัลที่เกิดจากสองสมาคม คือสมาคมนักเขียนฯ กับ สมาคมภาษาและหนังสือฯ

2. โรงแรมโอเรียนเต็ล เป็นเจ้าภาพสำคัญ ทั้งดำเนินการในส่วนต่างๆ อำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ เชิญแขก แจกเงิน และอื่นๆ

3. โอเรียนเต็ล ไม่ได้เป็นผู้ลงเงินทั้งหมด แต่ได้มีการขอสปอนเซอร์จากองค์กรต่างๆ เช่น การบินไทย ธนาคารกรุงเทพฯ เป็นต้น

4. ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนื่องจากสปอนเซอร์ลดลง เงินที่เข้ามาไม่เท่าเดิม หลายปีที่ผ่านมาโอเรียนเต็ลเห็นว่า ซีไรต์เป็นภารกิจที่ต้องแบกภาระ ทั้งๆ ที่โรงแรมก็ไม่ได้อะไรจากงานนี้มากนัก โดยเฉพาะในมุมมองของผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มาแทนคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งเข้าใจความสำคัญของรางวัลนี้

5. ผลที่ตามมาคือ การลดระดับความสำคัญของงานนี้ พร้อมเสียงแว่วติดต่อกันมาหลายปี ว่าโอเรียนเต็ลไม่อยากแบกรางวัลนี้ไว้อีกต่อไปแล้ว

6. ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เคยเป็นความลับ คือการตัดงบค่ากรรมการ น้อยจนน่าตกใจสำหรับรางวัลระดับนี้

7. เงินรางวัลที่เคยเพิ่มขึ้น ปีนี้ปรับลดลงด้วยเหตุผลที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง คือการไม่มีพิธีมอบรางวัลในปีที่ผ่านมา (นครคนนอก) ทำให้ไม่สามารถเก็บเงินจากสปอนเซอร์ได้ แล้วก็ไม่สามารถเก็บย้อนหลังได้ด้วย เนื่องจากเป็นงบประมาณของปีที่แล้ว

8. การจัดงานมอบรางวัลแบบ 2 ปีควบ จึงเท่ากับเป็นการใช้เงินก้อนเดียวของปีเดียวคือปีนี้ มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรางวัล 2 ปี

9. เมื่อเงินมีน้อย ก็ลำบากจนเล่นเอามึน ว่าจะเอายังไงกันดี เพราะสปอนเซอร์ก็คงไม่เบิ้ลเงินให้ ส่วนโอเรียนเต็ลก็ไม่อยากควักเนื้อ (แต่คงไม่มีทางเลือก)

10. ท่าทีของโอเรียลเต็ลและปัญหาที่สะสมมานาน สร้างแรงกระทบให้สมาคมที่เกี่ยวข้องต้องคิดทบทวน ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับซีไรต์ แว่วๆ อีกครั้งว่าปีหน้าเราอาจได้ยินความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันแบบเต็มๆ

ผ่านมากว่าสามสิบปี ถ้าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงไม่แปลก อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในยุคอ่อนโรยของหนังสือ

คงต้องจับตาดูกันต่อไปครับ

 

ที่มา: เฟสบุ๊ค Charoonporn Parapakpralai

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เนติวิทย์' ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินจุฬาฯ ชี้ ใช้คะแนนเลื่อยขาเก้าอี้สภาฯ

Posted: 26 Sep 2017 05:56 AM PDT

ร้องคำสั่งตัดคะแนนความประพฤติขัด พ.ร.บ. ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ จ.ศ. 1235 ยกเลิกหมอบคลาน ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฏหมาย ไม่ได้สัดส่วนกับความผิด ไม่เคารพประโยชน์ที่กฏหมายรับรองและคุ้มครองผู้อุทธรณ์ อำพรางเจตนาต้องการปลดผู้อุทธรณ์ออกจากสมาชิกสภานิสิต ขอเพิกถอน ทุเลาคำสั่ง

26 ก.ย. 2560 ตามที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีคำสั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ 4928/2560 เรื่อง ลงโทษตัดคะแนนความประพฤตินิสิต ฉบับลงวันที่ 30 ส.ค. 2560 เอกสารที่อ้างถึง (1) ลงโทษตัดคะแนนความประพฤติของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ประธานสภานิสิต สมาชิกสภานิสิตและนิสิตอีกทั้งสิ้น 7 คน รวมเป็น 8 คน และคำสั่งเรื่องให้สมาชิกสภานิสิตสามัญพ้นจากตำแหน่ง ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Netiwit Chotiphatphaisal โพสท์หนังสืออุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งทางปกครองในกรณีที่มีการออกคำสั่งสองฉบับ โดยขอให้ทางมหาวิทยาลัยเพิกถอน และทุเลาการบังคับตามคำสั่งทั้งสอง

อ่าน จุฬาฯ ตัดคะแนนเนติวิทย์และพวก ส่งผลพ้นตำแหน่งประธานสภานิสิต

อ่าน จี้ผู้บริหารพิจารณาพฤติกรรมอาจารย์ล็อคคอนิสิตจุฬาฯ กลางพิธีถวายสัตย์

ถึงแม้นว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจักทราบดีว่า การลงโทษตัดคะแนนความประพฤติของผู้อุทธรณ์ด้วยความผิดฐาน "นำไปสู่เหตุการณ์ความไม่เรียบร้อย ส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียต่อมหาวิทยาลัย" (เอกสารที่อ้างถึง (1) หน้า 2 บรรทัดที่ 19 ถึง 20) อันสอดคล้องกับความผิดที่ระบุไว้ในข้อกำหนดตามเอกสารที่ส่งมาด้วย (1) ได้วางบรรทัดฐานการลงโทษตามความผิดฐานก่อกวนความสงบเรียบร้อย คือ ตัดคะแนนความประพฤติตั้งแต่ 5 คะแนน ถึง 20 คะแนน แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยลุแก่อำนาจออกคำสั่งตามเอกสารที่อ้างถึง (1) ตัดคะแนนความประพฤติของผู้อุทธรณ์คนละ 25 คะแนนในคราวเดียว ทั้ง ๆ ที่ทราบดีกว่าเป็นการออกคำสั่งลงโทษที่เกิดจากการใช้ดุลพินิจลงโทษทางวินัยที่ไม่เหมาะสมกับความผิดทางวินัย ตามรายละเอียดปรากฏในอุทธรณ์ข้อ 2.2.2 แล้วนั้น การที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝืนใช้อำนาจตามอำเภอใจด้วยการตัดคะแนนความประพฤติ 25 คะแนนเช่นนี้ ก็เพื่อให้ผู้อุทธรณ์ปรากฏรายนามดังกล่าว "เคยถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติสะสมตั้งแต่ยี่สิบคะแนนขึ้นไป" ตามนัยข้อ 35.3 แห่งระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2529...

...ด้วยพฤติการณ์ดังกล่าวประจักษ์ชัดว่า การที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์ที่ ๑- ๕ พ้นจากสถานภาพสมาชิกสภานิสิตสามัญ เป็นมูลเหตุจูงใจในทางข้อเท็จจริงที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ดุลพินิจลงโทษทางวินัยที่รุนแรงเกินควร ไม่ได้สัดส่วนกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งการกระทำของผู้อุทธรณ์ มาบิดเบือนการใช้อำนาจออกคำสั่งลงโทษทางวินัยตามระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยนิสิต พ.ศ. ๒๕๒๗ เอกสารที่อ้างถึง (๖) ซึ่งมีวัตถุประสงค์รักษามารยาทอันดีของนิสิต เพื่อปกปิดอำพรางเจตนาที่แท้จริงที่ต้องการใช้อำนาจมาปลดผู้อุทธรณ์จำนวน ๕ รายดังกล่าว มิให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายในมหาวิทยาลัยอีกต่อไปเพราะขาดคุณสมบัติในการลงรับสมัครตำแหน่งในสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกภาคส่วนตลอดชีวิต เพราะ เป็นผู้ที่ "เคยถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤติสะสมตั้งแต่ยี่สิบคะแนนขึ้นไป" เทียบเท่าความผิดฐานลักทรัพย์หรือทำลายทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยซึ่งมีลักษณะที่เป็นความผิดวินัยรุนแรงและมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาร่วมอยู่ด้วยตามนัยแห่งข้อกำหนดตามเอกสารที่ส่งมาด้วย (๑) ด้วยกิจกรรมของผู้อุทธรณ์ทั้ง ๕ รายดังกล่าวนี้ เคยจัดกิจกรรมประชาพิจารณ์การแสวงหาประโยชน์ของมหาวิทยาลัยอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนเป็นภัยต่อประชาชน ซึ่งก่อให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางรายไม่พอใจในการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้เดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง

ข้อความส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ ระบุถึงเจตนาการตัดคะแนนของทางมหาวิทยาลัย

เนื้อความในเฟซบุ๊กระบุไว้ดังนี้ 

นี่คือ หนังสืออุทธรณ์ที่เรายื่นให้
ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์หรืออุทธรณ์ของนิสิต ในเมื่อวานนี้ครับ โดยเราขออุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งทางปกครอง จำนวน 2 ฉบับ
(ที่ยกมาตรงนี้เป็นบางส่วนบางหน้า อ่านเต็มๆในลิงค์ที่ให้ข้างล่าง)
คร่าวๆคือ พวกเรานิสิตทั้ง 8 คนจึงขออุทธรณ์เหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฏหมายของคำสั่งของมหาวิทยาลัยทั้งสองฉบับ ซึ่งได้แก่
  1.  รูปแบบหรือขั้นตอนในการออกคำสั่งไม่ชอบด้วยกฏหมาย
  2. เนื้อหาของคำสั่งขัดต่อหลักความชอบด้วยกฏหมาย 
  • มหาวิทยาลัยออกคำสั่งลงโทษวินัย โดยอาศัยปฏิบัติประเพณี (Pseudo customary practice) เป็นฐานอำนาจในการล้มล้างผลบังคับของ "กฏหมายลายลักษณ์อักษร" (Statutory law) นั่นก็คือ พระราชบัญญัติประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ จุลศักราช 1235
  • การใช้ดุลพินิจออกคำสั่งของมหาวิทยาลัย เรื่อง ลงโทษตัดคะแนนความประพฤตินิสิต เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด
  • มหาวิทยาลัยไม่เคารพต่อประโยชน์ที่กฏหมายรับรองและคุ้มครองให้ผู้อุทธรณ์
  • มหาวิทยาลัยลงโทษทางวินัยโดยมีมูลเหตุจูงใจบิดเบือนการใช้อำนาจตามระเบียบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยนิสิต พ.ศ.2527 เพื่อปกปิดอำพรางเจตนาที่แท้จริงที่ต้องการปลดผู้อุทธรณ์ออกจากสมาชิกสภานิสิต

      3.เหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฏหมายของคำสั่งให้สมาชิกสภานิสิตสามัญ 5 คนพ้นจากตำแหน่ง ฉบับลงวันที่ 30  สิงหาคม พ.ศ.2560

อาศัยเหตุผลที่ได้กล่าวมาทั้งหมด พวกเราจึงขอให้
  1. มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งทั้งสองฉบับ
  2. ขอให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งของมหาวิทยาลัย ไปพลางก่อน จนกว่าคณะกรรมการฯ จักมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์

เอกสารทั้งหมดและหลักฐานประกอบ

สามารถดาวน์โหลดหรือดูได้จาก

https://drive.google.com/open…

--------------------------------

ขอให้มหาวิทยาลัยให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย

เพื่อสร้างสังคมที่เคารพความหลากหลายและอยู่ร่วมกันอย่างสันติเข้าใจกันได้ในที่สุด

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาญณรงค์ บุญหนุน: ข้อพิจารณาว่าด้วยการต่อต้านการรุกรานทางศาสนาของชาวพุทธ

Posted: 26 Sep 2017 05:48 AM PDT

 

เมื่อนักข่าวถามว่าการลุกขึ้นต่อต้านศาสนาหรือการรุกรานของศาสนาอื่น ๆ ด้วยการถืออาวุธขึ้นสู้นั้นมีในพุทธศาสนาหรือไม่ ? คำถามนี้ไม่ได้เป็นประเด็นหลักในการนำเสนอในสื่อที่สัมภาษณ์สักเท่าใดเพราะมีประเด็นอื่นให้พูดคุยในพื้นที่เนื้อข่าวอันจำกัด หรือไม่ก็เนื่องจากผมเองก็ให้คำตอบได้ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากไม่ได้เจาะจงไปที่ประเด็นที่เป็นคำถามข้างต้นให้มากกว่าที่ให้สัมภาษณ์ไป กระนั้นก็มีฟีดแบคกลับมาในลักษณะเดิมจากชาวพุทธจำนวนหนึ่งคือปัดปัญหาไปให้ฝ่ายตรงข้าม หรือไม่ก็ยังพอใจที่จะตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันกันต่อไป ด้วยวิธีคิดทำนองนี้เอง ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจนักที่ชาวพุทธจำนวนมากจะยกอดีตพระมหาอภิชาติขึ้นเป็นวีรบุรุษผู้ปกป้องพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ ผมเลยคิดว่าด้วยคำถามเดียวกันนี้ และประเด็นเดียวกันนี้ จึงมีเรื่องต้องคิดวิเคราะห์และนำมาถกเถียงสนทนาอีกพอสมควร ข้อเขียนนี้ผมจงใจที่จะถกสนทนากับชาวพุทธเป็นการเฉพาะ

อะไรคือปัญหาของชาวมุสลิมในสายตาของชาวพุทธ ?

ผมคิดว่ามี 2 ลักษณะด้วยกัน

(1) ปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ว่ามีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งในพื้นที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต มีชาวพุทธจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการกีดกันชาวพุทธออกจากพื้นที่ที่ตนเคยอาศัยอยู่ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระสงฆ์และชาวพุทธถูกทำร้ายนั้นมีอยู่จริง แต่ก็ลืมตระหนักไปว่าชาวมุสลิมในพื้นที่ก็พบกับความเลวร้ายนี้ไม่แตกต่างกันนัก

(2) ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังอันเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ.2540 ที่อนุญาตให้ศาสนาต่าง ๆ ที่รัฐรับรองมีเสรีภาพมากในการดำเนินงานอันเกี่ยวเนื่องกับชุมชนศาสนาของตนมากขึ้น กฎหมายที่ออกมาเอื้อให้ชาวมุสลิมรวมตัวกันเรียกร้องผลประโยชน์จากรัฐตามตัวบทกฎหมายที่มีอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่ารัฐจะมีท่าทีสนับสนุนชาวมุสลิมอยู่เสมอ เช่น การผ่านกฎหมายหรือพระราชบัญญัติการก่อตั้งธนาคารอิสลาม การเดินทางไปทำพิธีฮัจจ์ รวมทั้งการอนุญาตให้ก่อสร้างมัสยิดในชุมชนอิสลามในพื้นที่ต่าง ๆ ได้โดยสะดวก ในขณะที่กฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเกี่ยวเนื่องกับการก่อตั้งธนาคารพุทธศาสนาและการเดินทางไปสักการะปูชนียสถานในอินเดียไม่เคยผ่านรัฐสภาเสียที มิหนำซ้ำยังมีข่าวไล่พระออกจากพื้นที่วัดในเขตป่าสงวนแห่งชาติอีกหลายที่

ในสายตาของชาวพุทธ เมื่อทั้งสองปัญหานี้ถูกผูกโยงเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นจึงถูกมองว่ามีกระบวนการระดับชาติวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อยึดครองแผ่นดินไทย วิธีที่ชาวมุสลิมทำอยู่ขณะปัจจุบันมีเป้าหมายสำคัญคือล้มพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศให้จงได้ ในมโนทัศน์ของชาวพุทธจำนวนมาก ความเป็นมุสลิมมาพร้อมกับความรุนแรงและการรุกรานพื้นที่ทั้งทางกายภาพและทางวัฒนธรรม การลุกขึ้นต่อต้านชาวมุสลิมของอดีตพระมหาอภิชาติเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นชีวิตของชาวพุทธในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะการที่พระภิกษุซึ่งชาวพุทธถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรจะถูกเบียดเบียนเป็นที่สุดถูกสังหารนั้นสร้างความกังวลใจอย่างยิ่งสำหรับพระสงฆ์ทั่วประเทศ ชาวพุทธคิดหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมพระจึงต้องถูกฆ่าด้วยทั้งที่พระไม่มีอาวุธ มุ่งหมายปฏิบัติและใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนใครตามอุดมคติทางศาสนา

ปัจจุบัน การต่อต้านมุสลิมเกิดขึ้นทั่วประเทศโดยชาวพุทธทั้งที่เป็นพระและฆราวาส แต่อดีตพระมหาอภิชาติเป็นพระรูปเดียวหรือชาวพุทธไทยคนเดียวก็ว่าได้ที่กล่าวอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะว่าชาวพุทธต้องต่อต้านกลับด้วยความรุนแรง "หนึ่งศพ หนึ่งมัสยิด" เป็นการเรียกร้องให้มีการต่อต้านปัญหาความรุนแรงที่ชาวพุทธได้รับจากกรณีสามจังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะ จุดมุ่งหมายหรือเจตนาสำคัญที่อดีตพระมหาอภิชาติออกมาป่าวประกาศเช่นนี้ ได้รับการเปิดเผยจากท่านเองในวงสานเสวนาระหว่างศาสนาเรื่องชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งหนึ่ง ท่านบอกว่าที่กล่าวรุนแรงเช่นนั้นก็เพราะต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องชาวพุทธและพระสงฆ์ในสามจังหวัดภาคใต้ให้มากกว่านี้ แต่เมื่อรัฐไม่สามารถปกป้องคุ้มครองชาวพุทธได้ ชาวพุทธย่อมมีสิทธิในการปกป้องตัวเอง สิ่งที่ท่านทำไม่ได้มุ่งหมายว่าชาวพุทธจะต้องลุกขึ้นเผามัสยิดจริง ๆ แต่ต้องการให้รัฐตระหนักรู้ถึงความเดือดร้อนของชาวพุทธและจัดการกับผู้ก่อการร้ายให้เด็ดขาดและนำความสงบคืนมาแก่ชาวพุทธในท้องถิ่น

กลับไปที่คำถามเดิมของนักข่าวของวอยซ์ทีวี คำตอบที่ผมให้ไปดูจะไม่ค่อยได้คิดถึงประเด็นการต่อต้านความรุนแรงในแบบชาวพุทธโดยตรง หากแต่เรื่องบางเรื่องที่ยกขึ้นมานั้นเป็นหลักการในการปกป้องพุทธศาสนาจากฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีพุทธศาสนาด้วยวาทะคำพูดเป็นหลัก คือหากมีผู้กล่าวโจมตีพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ สิ่งที่พระสงฆ์สาวกพึงทำคือ พิจารณาว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่เพียงใด หากมีข้อบกพร่องจริงก็ต้องปรับปรุงตนเอง หากไม่มีข้อบกพร่องดังที่กล่าวหาก็ให้แสดงเหตุผลออกไปเพื่อทำความเข้าใจและทำดีต่อไป นี่เป็นหลักการหนึ่งที่กล่าวไว้ในหลักคำสอนคือพระไตรปิฎก อีกหลักคำสอนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพระสงฆ์ถูกทำร้ายแต่พระพุทธเจ้าตรัสประกาศไว้แต่แรกในโอวาทปาติโมกข์ซึ่งคำสอนในท่อนแรกถูกถือว่าเป็นหัวใจทั้งหมดของพุทธศาสนา (คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การทำความดีให้สมบูรณ์ และการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์) พุทธโอวาทท่อนนี้เป็นที่ประทับในหัวของชาวพุทธและถูกย้ำเตือนเสมอเมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนาคือ วันมาฆบูชา

แต่พุทธโอวาทท่อนต่อไปซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อยุคสมัยที่มีการเผชิญหน้ากับการทำร้ายกันดังในบริบทของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมักจะถูกมองข้ามหรือมองแค่ผ่านๆ ไป นั่นคือบทที่ว่า

"ขันติคือความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมอันยอดเยี่ยม ผู้กำจัดสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย ผู้ทำให้สัตว์อื่นลำบากไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย การสำรวจในพระปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง  ธรรม 6 ประการนี้เป็นคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย"

เนื้อหาส่วนหนึ่งของโอวาทปาติโมกข์ข้างบนนี้มุ่งไปที่ขันติธรรมและการที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะโดยทางวาจาหรือทางกาย นอกนั้นเป็นการเสนอให้พระสงฆ์พยายามฝึกฝนตนเองตามครรลองของสมณะที่คาดหวัง เมื่อเราทาบคำสอนบทนี้ลงในบริบทของชาวพุทธ-มุสลิมในปัจจุบัน เราย่อมตระหนักได้ว่า การกล่าวร้าย การมุ่งทำร้ายผู้อื่น ไม่ใช่จุดมุ่งหมายในการดำรงชีวิตของสมณะตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา แต่ชาวพุทธในสถานการณ์อันยุ่งยากลำบากในไทยและพม่าดูจะละเลยคำสั่งสอนเรื่องนี้ไปสิ้น ผู้ที่กล่าวเตือนด้วยโอวาทดังกล่าวนี้ก็มักจะถูกกล่าวหาว่าโลกสวยหรือไม่ก็หงอชาวมุสลิมจนเกินเหตุ การนิ่งสงบถือว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้กับความชั่วร้ายที่เข้ามาเบียดเบียนสังคมตนเองและวิถีชีวิตวัฒนธรรมของตนเอง วิถีพุทธในการสู้กลับด้วยความรุนแรงทางกายภาพนั้นเกิดขึ้นในโลกพุทธศาสนาในลังกามาแล้ว เมื่อพุทธศาสนาถูกผูกโยงเข้ากับชาติพันธุ์และการเมืองของกษัตริย์เจ้านคร "คนชั่วเป็นมนุษย์แค่เพียงครึ่งเดียว การสังหารคนเหล่านั้นไม่ได้มีบาปมากมาย ยิ่งกระทำในนามของศาสนาก็ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ" นี่เป็นคำตอบที่ระบุว่าเป็นของพระอรหันต์ในศรีลังกาเมื่อนานมาแล้ว


วิธีจัดการกับความชั่วร้ายและความรุนแรงมีไหมในคำสอนดั้งเดิม ?

มีเรื่องราวที่แสดงถึงการตอบโต้ความชั่วร้าย (การทำร้าย การเข่นฆ่า สังหารเอาชีวิต) ตามแบบแผนคำสอนของพุทธศาสนาในปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์ (พระไตรปิฎกเล่มที่ 15/756-763) เรื่องราวมีอยู่ว่า พระปุณณะต้องการจะเดินทางไปอาศัยที่สุนาปรันตปะชนบท ซึ่งผู้คนในท้องถิ่นดังกล่าวมีชื่อร่ำลือในเรื่องความโหดร้ายและการอาศัยอยู่ที่นั่นอาจเป็นภัยถึงชีวิต ต่อไปนี้คือบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระปุณณะ

ดูกรปุณณะ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทดุร้ายหยาบช้านัก ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษเธอ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยฝ่ามือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์มีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ

ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักให้การประหารเธอด้วยฝ่ามือ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยก้อนดิน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ

ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารเธอด้วยก้อนดิน เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดิน ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีหนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยท่อนไม้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ

ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารเธอด้วยท่อนไม้ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยศาตรา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้น อย่างนี้ ฯ

ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารเธอด้วยศาตรา เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยศาตรา ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ปลิดชีพเราเสียด้วยศาตราอันคม ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ

ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักปลิดชีพเธอเสียด้วยศาตราอันคม เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักปลิดชีพข้าพระองค์ด้วยศาสตราอันคม ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า มีเหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อึดอัดเกลียดชังร่างกายและชีวิต พากันแสวงหาศาตราสังหารชีพอยู่แล เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งดังนั้นเลย ก็ได้ศาตราสังหารชีพแล้วข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ

ดีละๆ ปุณณะ เธอประกอบด้วยทมะและอุปสมะดังนี้แล้วจักอาจเพื่อจะอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้แล ดูกรปุณณะ เธอจงสำคัญกาลที่ควรในบัดนี้เถิด ฯ

เราคงยากจะเห็นชาวพุทธไทยจำนวนมากยึดถือแบบแผนการเผชิญหน้าความเลวร้ายอันจะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันในลักษณะนี้ ท่าทีแบบพระปุณณะตามเรื่องเล่านี้ในปัจจุบันอาจจะถูกมองว่าเป็นท่าทีแห่งการยอมจำนน ยอมศิโรราบต่อคนชั่วและความชั่วร้าย ผลที่ตามมาก็คือการสูญสิ้นพุทธศาสนาไปจากแดนไทย อีกประการหนึ่ง พระปุณณะอาจสามารถมีท่าทีเช่นนี้ได้เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องสถาบันพุทธศาสนาโดยรวมอย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ของไทยปัจจุบัน หากชาวพุทธจะให้เหตุผลเพื่อการปกป้องพุทธศาสนาและชาวพุทธโดยรวมด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟันซึ่งหลุดไปจากคำสอนเรื่องนี้ ชาวพุทธจำเป็นต้องไตร่ตรองตนเองอีกครั้งถึงคุณธรรมอย่างน้อย 2 ประการคือเรื่องการยึดมั่นถือมั่น (ในตัวกู ของกู) และการมีขันติธรรมต่อแรงกดดันบีบคั้น เรื่องในอรรถกถาต่อไปนี้ดูจะทำให้เห็นว่าการปกป้องชีวิตของตนเองโดยการทำร้ายชีวิตหรือเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ตรงตามอุดมการณ์หลักของพุทธศาสนา

พระติสสเถระสนิทสนมกับครอบครัวนายช่างแก้วมณี ผู้มีชื่อเสียง เขาเลี้ยงนกแก้วตัวหนึ่งไว้ในบ้าน ด้วยความคุ้นเคยพระติสสะจึงมักเข้าไปฉันภัตตาหารที่บ้านนายช่างแก้วอยู่เสมอๆ คนที่จัดแจงถวายอาหารบิณฑบาตแก่ท่านก็คือนายช่างแก้วและภรรยานั่นเอง วันหนึ่ง ขณะที่น่าช่างแก้วลงมือทำเนื้อสดเพื่อปรุงเป็นอาหารถวายพระติสสเถระ ผู้รับใช้พระเจ้าปัสเสนทิโกศลก็นำแก้วมณีมายื่นให้เพื่อทำการเจียระไน เขารับแก้วมณีนั้นมาด้วยมือเปื้อนเลือดและวางไว้บนพื้นไม่ห่างจากตัวเองนัก แล้วทำอาหารต่อไป นกแก้วได้กลิ่นคาวเลือดจึงเดินไปจิกแก้วมณีกลืนลงคอไปต่อหน้าพระติสสะ นายช่างแก้วมองหาแก้วมณีไม่พบ จึงสอบถามพระเถระ พระติสสะรู้ว่าตนไม่อาจโกหกว่าไม่รู้ แต่ถ้าตนเองเอ่ยปากนกก็จะถูกฆ่าตาย ท่านจึงเลือกที่เงียบเสีย นายช่างแก้วคิดว่าพระเป็นคนขโมยจึงลงมือทรมานด้วยการเอาเชือกมามัดรอบร่างกายของท่านแล้วขันชะเนาะให้เชือกแน่นขึ้นเรื่อย ๆ พระติสสะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนักก็ไม่ปริปากพูด นายช่างขันเชือกแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนพระติสสะเลือดไหลออกทางปากทางจมูกและไหลลงบนพื้นบ้าน นกแก้วได้กลิ่นคาวเลือดจึงเดินเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อดื่มกินเลือด นายช่างโกรธมากจึงถีบนกแก้วอย่างแรงจนตายคาที่ พระติสสะขอให้นายช่างแก้วช่วยดูว่านกแก้วยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เมื่อทราบว่านกแก้วตายแล้ว พระติสสะจึงบอกนายช่างแก้วให้รู้ว่าแก้วมณีอยู่ในท้องของนกนั้น

พระติสสะเสียชีวิตเพราะอาการบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการถูกทรมานแสนสาหัส เรื่องนี้ถูกโจทย์ขานไปถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสสรรเสริญการกระทำของพระติสสะที่มีความอดกลั้นอย่างสูงพร้อมกับตรัสเล่า"ขันติวาทีชาดก" แก่พระภิกษุทั้งหลายซึ่งในทางพุทธศาสนา เรื่องขันติวาทีชาดกนี้ได้ถูกยกย่องในฐานะขันติบารมีขั้นสุดยอดของพระโพธสัตว์ (ปรมัตถบารมี) เมื่อภัยคุกคามถึงชีวิต พระติสสะยอมสละชีวิตตนเองเพียงเพื่อปกป้องสัตว์ตัวน้อยที่ดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญใด ๆ เมื่อเทียบกับชีวิตของตน ขณะเดียวกันก็ปกป้องศีลของตนเองด้วย แต่นี่คือแบบอย่างในอุดมคติของชาวพุทธมิใช่หรือ ?

คำถามคือ เรื่องของพระติสสะให้บทเรียนอะไรแก่ชาวพุทธหรือไม่ พระสงฆ์จำนวนมากที่ผ่านการศึกษาบาลีมาพอสมควรย่อมจะได้ศึกษาเรื่องนี้มาบ้างเพราะเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในตำราเรียนภาษาบาลีระดับต้นของคณะสงฆ์ ชาวพุทธที่ผ่านการศึกษาบาลีจากวงการสงฆ์ก็ย่อมจะผ่านเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยเพราะต้องเรียนแปลภาษาบาลี (มคธ) เป็นไทยและแปลภาษาไทยเป็นมคธ

คำถามคือ ในสถานการณ์ที่รู้สึกถึงภัยคุกคาม ทำไมชาวพุทธผู้ผ่านการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยมาจึงไม่ตระหนักในเรื่องราวดังกล่าวนี้และยึดถือเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติ คำตอบของชาวพุทธที่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีแบบนี้ก็อาจจะมีเหตุผลสำคัญคือ ในเมื่อเราต้องการปกป้องรักษาชีวิตชาวพุทธเอาไว้เราย่อมต้องหาวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องตนเอง วิธีแห่งความรุนแรงได้รับการเสนอเป็นทางเลือกอย่างน้อยก็โดยการยอมให้รับจัดการด้วยความรุนแรงเด็ดขาด

แต่ไม่ว่าจะค้นคว้าจากแหล่งไหน ก็ยากจะเห็นคำสอนของพระพุทธเจ้า (เน้นคำว่า พระพุทธเจ้า) ปรากฏในลักษณะที่ยกย่องสรรเสริญการปกป้องชีวิตและพวกพ้องของตนด้วยการยกอาวุธขึ้นต่อสู้ ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ อดีตพระมหาอภิชาติอาจไม่ได้รับยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษเหมือนดังที่กลุ่มชาวพุทธปัจจุบันจำนวนหนึ่งยกย่องกัน นี่คือความคิดของผม


ที่มาภาพ: 
pixabay.com/th

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ยันมีข้อมูล 'ยิ่งลักษณ์' หลบหนี อัยการคดีระบุศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังได้เลย

Posted: 26 Sep 2017 05:44 AM PDT

ประยุทธ์ เผย มีข้อมูลกรณี 'ยิ่งลักษณ์' หลบหนี แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ ให้รอหลัง 27 ก.ย.นี้ จะมีความชัดเจน ระบุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีเรื่องขอลี้ภัย อัยการคดีระบุพรุ่งนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังได้เลย ขณะที่ผบช.น.เตรียมพร้อมรักษาความปลอดภัย หน้าศาล

ภาพประชาชนเตรียมมาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ที่บริเวณหน้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา

26 ก.ย. 2560 จากกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ออกหมายจับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังให้เหตุผลว่าป่วย ไม่มาฟังคำพิพากษาของศาล คดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว และมีรายงานว่าหลบหนีออกนอกประเทศไทยแล้ว โดยได้ฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.60) อีกครั้งนั้น

วันนี้ (26 ก.ย.60) รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการอ่านคำพิพากษาคดีของ ยิ่งลักษณ์ ว่า ขอให้มองว่าเป็นวันตัดสินคดีปกติ ไม่ต้องให้ความสำคัญมากเกินไป และขออย่าเอาเรื่องการหลบหนีของ ยิ่งลักษณ์ มาโยงกับคำตัดสินคดี เพราะเป็นคนละเรื่อง 

ส่วนการหลบหนีของ ยิ่งลักษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีข้อมูลแล้ว ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่จะมีความชัดเจน หลังวันที่ 27 ก.ย. รวมถึง มาตรการต่างๆ ของตำรวจ ขอสื่อฯ อย่าเพิ่งสอบถามกับคนอื่น เพราะจะทำให้คนถูกถามอึดอัด และข้อมูลสับสน    

ต่อกรณีคำถามว่าประชาชนมีความสับสนว่า สรุปแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่พา ยิ่งลักษณ์ หลบหนี จะมีความผิดหรือไม่นั้น  พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ผิดหรือไม่ เวลานี้ยังไม่ทราบ แต่ขอให้แยกออกเป็น 2 เรื่อง คือ 1. มีการใช้รถผิดหรือไม่  เท่าที่ตรวจสอบ รถที่ใช้ผิด แต่กล้องวงจรปิดไม่ชัดเจน และไม่เห็นหน้า ดังนั้น หลักฐานจึงยังไม่สมบูรณ์ และว่า ที่พูดไม่ได้หมายความว่าจะช่วย แต่พูดตามหลักฐาน และ  2. ประเด็นพาออกนอกประเทศ ต้องไปดูว่าผิดตรงไหน พาออกไปจริง ออกไปเมื่อไร ศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่เรื่องนี้มีโทษทางวินัยด้วย นอกเหนือจากอาญา 

"ผมมีข้อมูลเหมือนกันว่า เขาเดินทางไปไหน แต่ยังพูดไม่ได้ ต้องรอหลังวันที่ 27 กันยายน ก่อน ขอให้ใจเย็นๆ ผมก็มีสายลับของผม ขณะนี้ อย่าเอาความรู้สึกมาตัดสิน ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ เอากฎหมายเป็นตัวตั้ง เพราะผมให้ความเป็นธรรมกับทุกคน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว  และกล่าวถึงการขอตัว ยิ่งลักษณ์ กลับมาหรือไม่นั้นว่า ต้องขึ้นอยู่กับประเทศที่ ยิ่งลักษณ์ ไปหลบซ่อนตัวอยู่ เพราะทุกประเทศมีสนธิสัญญาส่งข้ามแดน  อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลจนถึงขณะนี้ ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ขอลี้ภัย 

อัยการคดีระบุพรุ่งนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังได้เลย

ขณะที่ สุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน คณะทำงานคดีโครงการรับจำนำข้าว เปิดเผยว่า ในฐานะอัยการโจทก์ คณะทำงานอัยการในคดีดังกล่าว จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.) เวลา 09.00น. แน่นอน และคาดว่า องค์คณะจะทำคำวินิจฉัยกลางไว้เเล้ว พอถึงเวลานัดก็สามารถที่จะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาได้เลย อย่างช้าคงไม่เกิน เวลา 09.30 น.

"ครั้งนี้ศาลจะไม่ต้องรอตัวจำเลย ว่าจะมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ เพราะเคยออกหมายจับ และปรับนายประกันไปก่อนหน้านี้เเล้ว ถือว่าจำเลยหลบหนีประกันในชั้นศาล พอถึงเวลา ก็อ่านลับหลังได้เลย ตรงนี้เป็นข้อกฎหมาย" สุรศักดิ์ กล่าว 

ต่อข้อถามว่า หากศาลฎีกาฯ พิพากษายกฟ้อง เตรียมเรื่องการยื่นอุทธรณ์หรือไม่ สุรศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องดูว่าศาลมีคำพิพากษาอย่างไร  ให้เหตุผลอย่างไร   เเต่ที่ทีมอัยการยื่นฟ้อง เเสดงว่าเรามีหลักฐานพอ ที่เหลือเป็นดุลพินิจของศาล 

ผบช.น.เตรียมพร้อมรักษาความปลอดภัย 27 ก.ย.นี้

รายงานข่าวระบุว่าด้วยว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เดินทางมาพร้อมเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการรักษาความปลอดภัยในวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.) ที่ศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว
 
โดย พล.ต.ท.ศานิตย์ ยืนยันว่า ได้เตรียมความพร้อมรับในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีผู้มาให้กำลังใจจำนวนเท่าใด ซึ่งจะกันพื้นที่บริเวณด้านหน้าศาลฎีกาฯ เป็นเขตเซฟโซน เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอำนาจศาล อย่างไรก็ตาม ไม่ขอระบุว่าจะมีคนมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มากน้อยแค่ไหน แต่จากการประเมินเชื่อว่าจะยังคงมีมวลชนมาให้กำลังใจ
 
"ยืนยันใช้แผนรักษาความปลอดภัยเข้มเหมือน 25 สิงหาคมที่ผ่านมา เบื้องต้นการข่าวยังไม่มีอะไรน่ากังวลใจ แต่ก็ไม่ประมาท ทำเต็มรูปแบบ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลใจ ไม่ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ จะมาหรือไม่มา แต่ก็ได้เตรียมแผนรองรับไว้ทุกกรณีแล้ว" พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าว

 

ประมวลจากเว็บไซต์สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น