ประชาไท | Prachatai3.info |
- ศาลยกคำร้องถอนประกัน "จตุพร" ระบุไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง"
- ครม. ผ่านมติตั้งธนาคารคนจนปล่อยกู้ก.พ.ปีหน้า
- กวีประชาไท ปราโมทย์ แสนสวาสดิ์: อย่ากังวลไปเลย..พ่อ
- รายงานนักข่าวพลเมือง: ทำนาสู้โรงถลุงเหล็ก ปี 3
- ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ถูกจับกุมตัวที่กรุงลอนดอน โฆษกเว็บแถลงจะไม่หยุดแพร่ข้อมูล
- โสภณ พรโชคชัย: สวัสดิการที่ดีเกินไปคือคอร์รัปชั่น ขาด CSR
- สมานฉันท์แรงงานไทยแถลงจี้คณะกรรมการค่าจ้างหยุดล็อคเลขขึ้นค่าจ้าง 10 บาท
- ศอฉ.ปัดทหารเผาห้าง แจงภาพเก่าว่อนเว็บ
- อัยการเลื่อนสั่งคดีพันธมิตรยึด 'ทำเนียบ-สนามบิน' ไปต้นปีหน้า
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 29 พ.ย. - 5 ธ.ค. 2553
- กานดา นาคน้อย: ต้นทุนการค้าและส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ
- คนเสื้อแดงร่วมทอล์คโชว์ “วอน นอน คุก” ล้อปัญหาการเมืองไทย
- "ฮุนเซน" เผยสัมพันธ์ "ไทย-เขมร" คืนปกติหลังคุย "อภิสิทธิ์" 4ครั้ง
ศาลยกคำร้องถอนประกัน "จตุพร" ระบุไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง" Posted: 07 Dec 2010 10:05 AM PST ธาริตยอมรับคำสั่งศาล หลังมีคำสั่งยกคำร้องถอนประกันตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่ยังคงจับตาเล็งยื่นคัดค้านประกันอีกหากพบเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือกระทำการที่มี ลักษณะยั่วยุเพื่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก เวลาประมาณ 15.45 น. วันที่ 7 ธ.ค. ศาลอาญามีคำสั่งให้ยกคำร้องของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งยื่นคำร้องให้ศาลหมายเรียกนายจตุพร เข้าสู่กระบวนพิจารณาเนื่องจากปิดสมัยประชุมรัฐสภา และคัดค้านการประกันตัว โดยศาลพิเคราะห์คำร้องของดีเอสไอ ประกอบเอกสารท้ายคำร้องแล้ว เห็นว่ากรณียังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม คดีจึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องอีก จึงให้ยกคำร้อง ภายหลังจากศาลมีคำสั่ง นายธาริตกล่าวยอมรับว่า ต้องเคารพการตัดสินใจของศาล อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอจะติดตามพฤติกรรมของนายจตุพรต่อไป หากพบว่ายังมีพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือกระทำการที่มี ลักษณะยั่วยุเพื่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก ก็จะทำเรื่องเพื่อขอยื่นคัดค้านการประกันต่อนายจตุพรต่อศาลอีก เรียบเรียงจาก มติชนออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ครม. ผ่านมติตั้งธนาคารคนจนปล่อยกู้ก.พ.ปีหน้า Posted: 07 Dec 2010 06:57 AM PST ครม.ลงมติตั้งธนาคารไปรษณีย์ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เน้นปล่อยกู้รายย่อยไม่เกิน 1 หมื่นบาท คาดดำเนินการได้เดือน ก.พ.54 นำร่อง 10-12 สาขา คิดดอกเบี้ยรวมไม่เกิน 28% เว็บไซต์คมชัดลึกรายงาน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติตั้งธนาคารไปรษณีย์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ให้เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยหลังจากนี้จะมีการคัดเลือกคณะกรรมการ ผู้บริหาร เพื่อวางแนวทางการให้บริการทางการเงินต่อไป สำหรับการปล่อยกู้จะเน้นให้ประชาชนรายย่อยเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ยังมีผู้ที่ไม่สามารถขอกู้กับธนาคารพาณิชย์ได้จำนวนมาก และยังเปิดทางให้ธนาคารไปรษณีย์หาผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ร่วมทุน ทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการระดมเงินฝาก "ยืนยันว่าการให้บริการทางการเงินของธนาคารคนจนที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยนี้จะคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำ และมีการทวงหนี้แบบเป็นธรรม โดยดอกเบี้ยบวกค่าบริการจะไม่เกิน 28% ตามที่กฎหมายกำหนด" นายกรณ์กล่าว "ช่วงแรกจะเปิดให้บริการในจังหวัดขนาดใหญ่ หรือจังหวัดที่มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนก่อน ส่วนทุนที่ใช้ดำเนินการช่วงแรกจะมาจากบริษัทไปรษณีย์ไทย จากนั้นค่อยขอกู้จากสถาบันการเงินอื่นๆ ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ธนาคารออมสิน เป็นต้น" นายจุติกล่าว ที่มา: http://www.komchadluek.net สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
กวีประชาไท ปราโมทย์ แสนสวาสดิ์: อย่ากังวลไปเลย..พ่อ Posted: 07 Dec 2010 06:26 AM PST พ่อเขาตายเมื่อเดือนพฤษภา เขาบอกว่าพ่อเขาโดนทหารฆ่า เขาบอกว่าพ่อเขามาจากบ้านนอก เขาบอกว่าเพื่อนพ่ออีกหลายคน เขาบอกว่าคนสั่งฆ่ายังเป็นใหญ่ เขาบอกว่าฉากหลังการเข่นฆ่า เขาบอกว่า..ศพพ่อร่างพ่อจะเก็บไว้ อย่ากังวลไปเลยพ่อ… จากนี้ไป..แผ่นดินลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
รายงานนักข่าวพลเมือง: ทำนาสู้โรงถลุงเหล็ก ปี 3 Posted: 07 Dec 2010 06:13 AM PST เช้าวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมา กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง นำโดยนายวิฑูรย์ บัวโรย ประธานกลุ่มฯ ได้ร่วมกับชาวบ้านลงแขกเกี่ยวข้าวในนาที่ทำเพื่อเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงคนในการเคลื่อนไหวต่อต้าน คัดค้านการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กในเครือสหวิริยา “ปีนี้เป็นการทำนากลุ่มปีที่ 3 ซึ่งผมมองว่าการทำนาเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเราต้องกินข้าว และในขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง มีจุดประสงค์หลักคือคัดค้านการก่อสร้างโรงถลุงเหล็กในเครือสหวิริยาที่มีโครงการจะดำเนินการที่นี่ ข้าวที่ได้มาทั้งหมดผมก็ให้กลุ่มฯเก็บไว้เป็นเสบียง เพราะเมื่อเรามีข้าว กับข้าวหาได้ไม่ยาก ในป่าพรุ มีปลา มีผัก ผักสวนครัวบางชนิดเราก็ปลูกกันเอง พี่น้องที่เป็นชาวประมงหาปลาหาหมึกมาให้ นี่คือความสามัคคีที่พวกเราร่วมกันปกป้องทรัพยากร และวิถีชีวิตตามแนวทางของพ่อหลวงคือ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เราจะไม่ยอมให้ใครมาทุบหม้อข้าวของชาวบางสะพานแน่นอน” นายวิฑูรย์ กล่าว เมียด ร่วมดี ชาวบ้าน ต.กำเนิดนพคุณที่เป็นสมาชิกของกลุ่มฯมาแต่แรกเริ่มกล่าวว่า “ นาปีนี้ ได้ผลผลิตดี แม้ว่าท่าจะเป็นที่ดอน และในตัวจังหวัดเท่าที่รู้ก็ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ แต่นาของกลุ่มฯเรากลับมีฝนโปรยปรายมาอย่างต่อเนื่องทำให้ได้ผลผลิตดี ข้าวรวงสวย เมล็ดใหญ่ ฟ้าคงเอาใจช่วยให้พวกเรามีเสบียงไว้สู้กับนายทุน ช่วยกันดูแลธรรมชาติเป็นการตอบแทน ปัจจุบันโครงการโรงถลุงเหล็กในเครือสหวิริยายังมิได้ดำเนินการใดๆ เนื่องจาก อีไอเอ (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะผู้ชำนาญการ ส่วนเรื่องที่ดิน 52 แปลง ของเครือสหวิริยาที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง และมีคำสั่งเพิกถอนจากกรมที่ดินตั้งแต่ วันที่ 5 ม.ค.53 กำลังอยู่ในการบังคับใช้มาตรา 25 (ขับไล่รื้อถอน) ของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ถูกจับกุมตัวที่กรุงลอนดอน โฆษกเว็บแถลงจะไม่หยุดแพร่ข้อมูล Posted: 07 Dec 2010 05:59 AM PST ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ถูกจับกุมในลอนดอนตามหมายจับของสหภาพยุโรปด้วยข้อหาล่วงละเมิดทางเพศสตรี 2 รายในสวีเดน พร้อมทั้งอาจโดนอายัดเงินฝากในธนาคารในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โฆษกเว็บดังระบุถือเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อ ยันเว็บไม่หยุดแพร่ข้อมูล เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานโดยอ้างสำนักข่าวบีบีซีว่า นายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ได้ถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้ นายแอสเซนจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี ได้เคยปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศสตรี 2 ราย ในประเทศสวีเดน เจ้าหน้าที่ตำรวจสก๊อตแลนด์ยาร์ดระบุว่า นายแอสเซนจ์ถูกจับกุมตัวด้วยหมายจับของสหภาพยุโรป หลังจากได้นัดพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ สถานีตำรวจในกรุงลอนดอน เมื่อเวลา 9.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของอังกฤษ หรือ 16.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์จะต้องขึ้นให้การในศาลแขวงเขตเวสต์มินสเตอร์ ต่อไป และคาดว่าศาลอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน ในการพิจารณาว่าจะส่งตัวนายแอสเซนจ์ไปยังประเทศสวีเดนหรือไม่ ทั้งนี้ นายแอสเซนจ์ ถูกกล่าวโทษจากทางการสวีเดนว่า เขาเคยบีบบังคับสตรีให้ร่วมเพศอย่างผิดกฎหมาย 1 ครั้ง ทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อสตรี 2 ครั้ง และทำการข่มขืนสตรีอีก 1 ครั้ง โดยการกล่าวหาทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ภายหลังจากนายจูเลียน แอสเซนจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ นายคริสติน ฮราฟน์สสัน โฆษกของเว็บไซต์ดังกล่าว ได้แสดงความเห็นว่า การจับกุมตัวนายแอสเซนจ์ถือเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อ แต่เว็บไซต์ของพวกตนจะไม่ยอมหยุดเผยแพร่ข้อมูลลับที่มีอยู่ในมือเป็นอันขาด ขณะเดียวกัน ธนาคารโพสต์ไฟแนนซ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ของธนาคารว่า นายแอสเซนจ์ได้แจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับแหล่งพำนักของตนเองแก่ธนาคาร ในระหว่างขั้นตอนการขอเปิดบัญชี และจากกรณีดังกล่าว เว็บไซต์วิกิลีกส์ระบุว่า ทางเว็บไซต์และนายแอสเซนจ์จะสูญเสียเงินฝากจำนวน 100,000 ยูโร ที่มา: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
โสภณ พรโชคชัย: สวัสดิการที่ดีเกินไปคือคอร์รัปชั่น ขาด CSR Posted: 07 Dec 2010 05:10 AM PST บางท่านอาจจะงงว่าสวัสดิการที่ดีเกินไปเกี่ยวอะไรกับ CSR (Corporate Social Responsibility หรือความรับผิดชอบต่อสังคมของวิสาหกิจ) เพราะนึกว่า CSR คือการอาสาทำดีกับสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง ประเด็นหลักของ CSR ก็คือ การมีวินัยไม่ข้องแวะกับการคอร์รัปชั่นหรือการโกงกิน สวัสดิการที่ดีเกินไปย่อมเป็นต้นทุนที่สูง ส่งผลเสียโดยตรงต่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ถือหุ้นทั้งหลายโดยเฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยในกรณีบริษัทมหาชน ตลอดจนผู้บริโภคเพราะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นนั่นเอง เราคงเคยได้ยินว่าสายการบินบางประเทศ ให้สิทธิอดีตแอร์โฮสเตสที่ลาออกไปแล้ว ขึ้นเครื่องบินข้ามทวีปเกือบ 20 ชั่วโมงโดยเสียค่าธรรมเนียมเพียง 500 บาท จากค่าโดยสารที่เก็บตามอัตราปกติราว 50,000 บาท โดยแจ้งล่วงหน้าเพียงวันเดียวก็ได้ที่นั่งแล้ว ถ้าหากเป็นอดีตกัปตันที่ลาออกแล้ว ก็เสียค่าธรรมเนียมไม่เกิน 1,000 บาท แถมได้นั่งชั้นธุรกิจราคา 130,000 บาท กรณีอย่างนี้ เมื่อมีผู้ไปใช้ (อภิ) สิทธิ์กันมาก ๆ รวมทั้งสมาชิกครอบครัวอีกต่างหาก อาจคิดเป็นเงินไม่รู้กี่สิบล้านบาทที่สูญเสียไปในแต่ละปี เงินเหล่านี้ควรเอามาแบ่งให้ผู้ถือหุ้นเป็นเงินปันผล แบ่งให้พนักงานทั่วไปเป็นโบนัส แบ่งให้ผู้บริโภคเป็นส่วนลด หรือแบ่งให้สังคมเป็นการคืนกำไร จะดีกว่าไม่น้อย นอกจากนี้เรายังคงเคยได้ยินวิสาหกิจขนาดใหญ่ในบางประเทศให้พนักงานใช้สาธารณูปโภคที่ตนเองเป็นผู้ผลิตขึ้นในราคาถูกหรือฟรีกันแทบไม่ต้องยั้ง อย่างนี้ผู้ถือหุ้น และผู้บริโภคเดือดร้อน เพราะต้องแบกรับภาระมากมาย สุดท้ายพนักงานเหล่านี้กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่กีดขวางการพัฒนาประเทศ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น แต่ตนเองขาดอภิสิทธิ์ จะสังเกตได้ว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีกำไรงาม ๆ ในบางประเทศ มักจะแบ่งผลประโยชน์มาให้พนักงานได้ ‘เสพสุข’ กันอย่างเต็มอิ่ม ในแง่หนึ่งเป็นการ ‘ปิดปาก’ ไม่ให้พนักงานก่อหวอดในเรื่องที่กระทบต่อการโกงกินในระดับสูง ถือเป็นการโกงกินแบบ ‘บุปเฟต์’ หรือแบบทั่วถึง ‘ตามลำดับขั้น’ วิสาหกิจขนาดใหญ่ในบางประเทศ อาจสร้างที่จอดรถใหญ่โตไว้ให้พนักงานจอดรถ คงกลัวสีรถพนักงานเสียหาย แต่สำหรับลูกค้าผู้มีอุปการคุณกลับให้จอดกลางแดด สู้เทสโก้โลตัสไม่ได้ที่เขาทำที่จอดรถให้ลูกค้าอย่างเพียงพอและยังทำตะแกรงหลังคาให้ลูกค้าอีกด้วย นอกจากนี้วิสาหกิจขนาดใหญ่หลายต่อหลายแห่งยังปรนเปรอผู้บริหารระดับสูงด้วยงบประมาณ ‘เลี้ยงดูปูเสื้อ’ กันอย่าง ‘อิ่มหมีพีมัน’ แม้แต่เงินติดกันเทศน์ยังมีงบประมาณจัดหาให้หรือเบิกได้! การโกงกันจนเป็นปกติวิสัยก็เห็นได้จากการที่ข้าราชการระดับสูงในบางประเทศ ได้รับสิทธิ์ไปนั่งในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ บางคนถ่างนั่งหลายเก้าอี้ ซึ่งแค่นั้นก็ไม่รู้จะ ‘อู้ฟู่’ จากเบี้ยประชุมและอภิสิทธิ์อื่น ๆ กันขนาดไหนแล้ว รัฐวิสาหกิจบางแห่งกำหนดกรรมการได้ใช้บริการของรัฐวิสาหกิจไปตลอดชั่วชีวิตแม้จะพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ตาม อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือเรื่องรถประจำตำแหน่ง จะเห็นได้ว่า กรรมการและผู้บริหารของหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทมหาชนใหญ่โตบางประเทศ ได้งบซื้อรถประจำตำแหน่งราคาหลายล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมค่าซ่อม ค่าน้ำมันที่ ‘ซด’ กันมหาศาลต่างน้ำ นอกจากนี้ในเวลาเดินทาง บิ๊ก ๆ ทั้งหลายยังได้ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ และโรงแรมชั้นหนึ่ง กลายเป็นอภิสิทธิ์ชน จะสังเกตได้ว่าผู้บริหารรัฐวิสาหกิจบางประเทศ บินไปไหนต่อไหนบ่อยจนเสมือนการทำงานที่รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นงานอดิเรก ทุกวันนี้คงหาใครได้ยากที่จะใจแข็งถอนตัวจากอภิสิทธิ์มหาศาลเหล่านี้ เพราะต่างถือหลัก ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’ หรือ ‘T Who T It’ (ทีใครทีมัน) บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมวิสาหกิจขนาดใหญ่จึง ‘ปรนเปรอ’ พนักงานได้อย่าง ‘น่าอิจฉา’ ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ โบนัสและอื่น ๆ ที่สูงกว่าวิสาหกิจทั่วไป เรื่องนี้คงไม่ใช่เพราะผู้บริหารของวิสาหกิจเหล่านั้นมีความเก่งกล้าสามารถเหนือมนุษย์ที่ตรงไหน แต่เป็นเพราะวิสาหกิจเหล่านั้นเป็นวิสาหกิจ (กึ่ง) ผูกขาด เช่น สาธารณูปโภค สถาบันการเงิน หรือเป็นวิสาหกิจที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ เป็นต้น วิสาหกิจเหล่านี้อาศัยต้นทุนที่ต่ำจากสถานะ (กึ่ง) ผูกขาดหรือจากการขุดทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ทำให้ได้กำไรงาม จึง ‘โยน’ ผลประโยชน์มาให้พนักงาน อย่างไรก็ตามจะสังเกตได้ว่าพนักงานของวิสาหกิจเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยการผลิตหลักเลย ปัจจัยการผลิตหลักกลับเป็นอสังหาริมทรัพย์ เครื่องจักร หรือกระทั่งใบอนุญาตหรือสัมปทานต่างหาก พนักงานอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้จึงเป็นแค่ ‘เบี้ย’ เท่านั้น อาจสรุปได้ว่าการกระทำในทำนองโกงเช่นนี้ นอกจากไม่อาจสร้างแบรนด์ให้กับวิสาหกิจแล้ว ยังเป็นการกัดกร่อนทำลายแบรนด์ของตนเอง สังคมสูญเสียความเชื่อมั่น ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับความเสียหาย เงินปันผลก็อาจไม่ได้รับ หรือได้รับไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญผู้บริโภคก็ต้องแบกรับภาระมากขึ้น เป็นต้น ดังนั้นต่อให้วิสาหกิจเหล่านี้ทำกิจกรรม CSR ประเภทอาสาทำดี ช่วยเหลือสังคม ปลูกป่า บริจาคกันเป็นบ้าเป็นหลังอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น นอกจากเป็นเพียงการ ‘แก้ผ้าเอาหน้ารอด’ ‘ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ’ หรือกระทั่ง ‘ลูบหน้าปะจมูก’ หรือกลายเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้บริหารวิสาหกิจนั้น ๆ ได้สร้างชื่อเสียงเพื่อปูทางสู่การเมือง หรือสู่การมีสถานะชั้นสูงในสังคม วิสาหกิจทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในทุกประเทศที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนและมี CSR จึงต้องแก้ไขปัญหาการโกงในมิติของการให้สวัสดิการที่เกินพอดีนั่นเอง
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สมานฉันท์แรงงานไทยแถลงจี้คณะกรรมการค่าจ้างหยุดล็อคเลขขึ้นค่าจ้าง 10 บาท Posted: 07 Dec 2010 04:20 AM PST ชี้ไม่สอดคล้องต่อสภาพเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน เผยผลสำรวจแรงงานหญิงร้อยละ 50 มีบุตรคนเดียว เพราะค่าจ้างที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการที่จะเลี้ยงดูบุตร 7 ธ.ค. 53 - เว็บไซต์นักสื่อสารแรงงานรายงานว่านางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) และผู้นำแรงงานจากสหพันธ์แรงงาน ร่วมกันแถลงข่าว “คัดค้านเลขล็อคค่าจ้างขั้นต่ำ ยืนยันค่าจ้างต้องเป็นธรรม” ณ ห้องปะชุมศุภชัย ศรีสติ มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย กรุงเทพฯ นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย กล่าวถึงการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อประกาศจุดยืนการปรับค่าจ้างของคณะกรรมการค่าจ้างต้องสอดคล้องกับความ เป็นจริง และความต้องการของผู้ใช้แรงงานที่ได้มีการทำผลสำรวจจากหลายสำนักก็ยังคงเห็น ด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 421 บาท ทั้งนี้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยจึงขอยืนบนหลักการเดิมเสนอต่อคณะ กรรมการค่าจ้างที่จะประชุมปรับค่าจ้างขั้นต่ำในวันที่ 9 ธันวาคม 2553 นั้น การที่จะล็อคปรับค่าจ้างเพียง 10 บาท ตอนนี้ไม่สอดคล้องต่อสภาวะเศรษฐกิจความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงานในปัจจุบัน แล้ว ขอให้พิจารณาเสียใหม่ให้เกิดความสอดคล้องต่อความต้องการของผู้ใช้แรงงานด้วย และต่อประเด็นของท่านนายกก็อยากให้รักษาจุดยืนที่เสนอไว้ ที่ 250 บาทต่อวัน เพราะหลักการดังกล่าวนี้แรงงานส่วนใหญ่พอรับได้ ดีกล่าวการกลับคำพูดเสนอปรับเพียง 10-11 บาท นางสาววิไลวรรณ กล่าวอีกว่า จากการทำผลสำรวจแรงงานหญิงในโรงงาน 300 คน ในโรงงาน 3 แห่ง แถบจังหวัดสมุทรสาคร นครปฐม พบว่าการทำงานหนัก การทำงานล่วงเวลา เนื่องจากค่าจ้างต่ำ และต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวในการส่งเงินกลับต่างจังหวัดของแรงงานหญิง ส่งผลแรงงานหญิงที่ทำงานในโรงงานอายุ 40 ปีขึ้นไปจำนวน 20%ไม่ยอมแต่งงาน มีแรงงานหญิงที่แต่งงานจำนวนเพียง 50% จะมีบุตรเพียงคนเดียว เหตุเพราะไม่สามารถที่จะดูแลบุตร และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีต่อครอบครัวได้ และบางครอบครัวต้องแตกแยกเลี้ยงลูกเพียงคนเดียว อยากต่อการดูแลบุตรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ส่งกลับต่างจังหวัดให้พ่อแม่เลี้ยงแทน และเพียง 30% ที่มีการแต่งงานแล้วมีลูก 2 คน แต่ส่วนใหญ่ก็ส่งกลับบ้านต่างจังหวัดให้พ่อแม่เลี้ยงเช่นกัน ทำให้คุณภาพชีวิตเด็กต้องขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ ที่อาจเห็นหน้ากันปีละครั้งเท่านั้น เหตุผลที่มีลูกน้อยเพราะผู้ใช้แรงงานต้องทำงานหนักไม่มีเวลาที่จะสร้างครอบ ครัวที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ฉะนั้น ค่าจ้างที่มีความสำคัญต่อชีวิตของทุกคนที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งอาหารที่ดี มีที่อยู่อาศัย เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเดินทาง ค่าการศึกษา สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ แต่แรงงานปัจจุบันมีค่าจ้างที่สูงสุด 206 บาทต่อวัน กรุงเทพ สมุทรปราการ และค่าจ้างสุดต่ำ 151 บาทต่อวันที่จังหวัดพิจิตร และแพร่ มีความแตกต่างกันทางรายได้มากถึง 55 บาทต่อวัน ระหว่างกรุงเทพ กับต่างจังหวัด การปรับค่าจ้างที่ผ่านมาไม่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงาน และรัฐบาลยังไม่เคยเห็นคุณค่าของแรงงาน นางสาววิไลวรรณ กล่าว มาตรฐานค่าจ้างในภูมิภาคเอเชีย ความสำคัญในการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ นัยยะสำคัญในการกำหนดค่าตอบแทนเพื่อยังชีพ เมื่อปี ค.ศ. 1944 ในแถลงการณ์ฟิลาเดเฟียซึ่งมีนโยบายเรื่องข้อเรียกร้องเกี่ยวกับแรงงานที่ได้ กล่าวถึง “ค่าแรงขั้นต่ำเพื่อการยังชีพ” เป้าหมายคือการนิยามความหมาย เพื่อบรรลุถึงระดับค่าแรงที่เพียงพอในการเลี้ยงชีพของคนงาน และส่วนแบ่งที่เป็นธรรมเมื่อเทียบกับมูลค่าที่พวกเขาผลิตได้ เพื่อสร้างมาตรฐานเรียกค่าจ้างที่เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานรายได้ที่ต้องการสำหรับคนงานหนึ่งคนเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ที่มีสมาชิกไม่เกิน 4 คน (ผู้ใหญ่ 2 คน และเด็ก 2 คน) โดยใช้เวลาทำงาน 48 ชั้วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนนางสุจิน รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานศูนย์แรงงานนอกระบบ กทม.ได้แสดงความเห็นต่อมุมมองรัฐในการพยายามลดความเหลื่อมล่ำว่าในส่วนของ แรงงานนอกระบบที่มีจำนวน 24 ล้านคนประกอบด้วยผู้ประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย รับงานไปทำที่บ้าน คนขับรถแท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้างเกษตรพันธสัญญา ฯลฯ ท่าทีที่รัฐบาลพูดถึงการสร้างหลักประกันทางสังคม ทั้งรายได้ และระบบประกันสังคม นั้นตนเห็นด้วย แต่หลักการไม่ควรต่างจากแรงงานในระบบ การประกันสังคมที่จะขยายในส่วนของมาตรา 40 เพื่อให้เกิดความคุ้มครองตามความต้องการของแรงงานคือต้องขยายสิทธิประโยชน์ 5 กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย และชราภาพจากเดิมมีเพียง 3 กรณี คือ ทุพพลภาพ คลอดบุตร เสียชีวิตรัฐ ควรส่งเงินสมทบในส่วนของรัฐด้วย เพราะปัจจุบันเหมือนว่าจะให้แรงงานนอกระบบเป็นผู้ซื้อประกันจากรัฐ โดยจ่ายน้อยสิทธิประโยชน์ก็น้อยไปด้วย ซึ่งไม่เป็นธรรม และไม่เท่าเทียมกับแรงงานในระบบ ทำให้ไม่สามารถลดความเหลื่อมล่ำได้ ส่วนกรณีการส่งเงินสมทบนั้นก็ต้องสอดคล้องกับรายได้ จึงสนับสนุนให้รัฐปรับค่าจ้างอย่างเป็นธรรมตามข้อเสนอของขบวนการแรงงาน เพื่อให้ค่าจ้างส่วนของแรงงานนอกระบบได้ถูกปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ที่มาข่าว: คสรท.แถลงคณะกรรมการค่าจ้างหยุดล็อคเลขปรับขึ้นค่าจ้าง 10 บาท (นักสื่อสารแรงงาน, 7-12-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ศอฉ.ปัดทหารเผาห้าง แจงภาพเก่าว่อนเว็บ Posted: 07 Dec 2010 03:12 AM PST "สรรเสริญ แก้วกำเนิด" แจงรูปคนคล้้ายทหารในห้างเซ็นทรัลฯ ไม่ใช่รูปใหม่ แต่เป็นภาพถ่ายจากมุมหนึ่ง ที่ผ่านมาเคยชี้แจงแล้วว่าเจ้าหน้าที่อยู่ตรงไหน จะไม่ไปตรวจสอบอะไร ยันการโพสต์รูปดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย แจงไม่มีภาพไหนแสดงว่าเจ้าหน้าที่ไล่ยิงคนในห้าง แต่รับทหารถือปืนระหว่างปฏิบัติภารกิจ 7 ธ.ค.53 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทางเว็บไซต์มีการเผยแพร่ภาพบุคคลคล้ายเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุเผาห้างเซ็นทรัล เวิร์ลดฺ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า คงไม่ต้องชี้แจงอะไร เพราะรูปที่ปรากฏในเว็บไซต์ไม่ใช่รูปใหม่ แต่อาจมีการนำเสนอภาพที่ถ่ายจากอีกมุมหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเสนอภาพลักษณะนี้หลายครั้งแล้ว และศอฉ.เคยมีการชี้แจงการทำงานเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่ทำอะไร อยู่ที่ไหน ใช้อาวุธในลักษณะอย่างไร ซึ่งจากนี้คงไม่ต้องตรวจสอบอะไร และการโพสต์รูปดังกล่าวคงไม่ถือว่า เป็นการผิดกฎหมายแต่อย่างใด ทั้งนี้เชื่อว่าภาพที่ปรากฏผ่านทางเว็บไซต์จะไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ศอฉ. ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า มีภาพเจ้าหน้าที่ศอฉ.ไล่ยิงคนภายในห้างจนบาดเจ็บนั้น เท่าที่ตนดูจากภาพไม่พบว่า ภาพไหนชี้ให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่มีการไล่ยิงคนภายในห้างอย่างที่เป็นข่าว มีเพียงเจ้าหน้าที่ยืนถือปืนเท่านั้น ส่วนภาพที่ปรากฎเจ้าหน้าที่ถืออาวุธนั้น ทางศอฉ.ไม่ปฏิเสธ เพราะในการปฏิบัติงานในช่วงนั้น ทหารมีการถือปืนเพื่อปฏิบัติภารกิจอยู่แล้ว เมื่อถามถึงความเหมาะสมกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงวันอาทิตย์ของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด เตรียมจัดกิจกรรมติดนกแดงบริเวณถนนราชดำเนินในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ แต่ขอให้จัดกิจกรรมอยู่ในกรอบกฎหมาย เนื่องจากในพื้นที่ยังมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่ ทั้งนี้กลุ่มใดก็ตามที่มีความเคลื่อนไหว เป็นหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) ที่จะประสานคุยแกนนำเพื่อทำความเข้าใจว่า สิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ ส่วนจะมีการหารือเพื่อให้ยกเลิกการจัดกิจกรรมดังกล่าวหรือไม่นั้น คงเป็นหน้าที่ของบชน.ประสานหารือกับแกนนำผู้ชุมนุม ซึ่งหากชุมนุมเคลื่อนไหว โดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญคงไปห้ามไม่ได้ แต่ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก เมื่อถามถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อาจมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนปีใหม่นั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ศอฉ.ยังไม่ได้หารือกัน แต่จะยกเลิกหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี เพราะศอฉ.เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมา เพื่อรวบรวมข้อมูลและเสนอขึ้นไปว่า สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไร ควรจะมีหรือไม่มีพ.ร.ก.ต่อไป เพื่อนำเสนอเป็นมติศอฉ ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาต่อไป
ที่มา: เรียบเรียงจาก เว็บไซต์คมชัดลึก สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
อัยการเลื่อนสั่งคดีพันธมิตรยึด 'ทำเนียบ-สนามบิน' ไปต้นปีหน้า Posted: 06 Dec 2010 11:46 PM PST อัยการเลื่อนนัดฟังการสั่งคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึด 'ทำเนียบ-สนามบิน' ไปเป็นต้นปีหน้า หลังพนักงานสอบสวนยังสอบปากคำพยานที่สั่งให้ไปสอบเพิ่มเติมไม่เสร็จสิ้น 7 ธ.ค. 53 - สำนักข่าวไทยรายงานว่านายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่าวันนี้พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 5 ได้เลื่อนการสั่งคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 ที่พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ยื่นฟ้อง ไปเป็นวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 เนื่องจากสำนวนการสอบสวนยังไม่เรียบร้อย หลังพนักงานอัยการมีความเห็น ให้สอบพยานเพิ่ม แต่พนักงานสอบสวนยังสอบปากคำพยานไม่เสร็จสิ้น ก่อนหน้านี้ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับพวกรวม 13 คน ในข้อหาละเมิด กรณีนำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกสนามบินทั้งสองแห่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยเรียกค่าเสียหายกว่า 250 ล้านบาท ในวันที่ 25 มีนาคม 2554 ด้านสำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่าอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 5 เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับพวกรวม 9 คน เป็นผู้ต้องหาในคดีมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง กรณีบุกรุกเข้าไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลาถึง 193 วัน เมื่อปี 51 ออกไปอีกครั้งเป็นวันที่ 9 ก.พ.54 เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังสอบปากคำพยานที่สั่งให้ไปสอบเพิ่มเติมไม่เสร็จ สิ้น ด้วยเช่นกัน ที่มาข่าว: อัยการเลื่อนนัดสั่งคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบปี 51 เป็น 9 ก.พ.54 (อินโฟเควสท์, 7-12-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 29 พ.ย. - 5 ธ.ค. 2553 Posted: 06 Dec 2010 09:22 PM PST ชี้ปลายปีแรงงานไทยเตรียมอดโบนัส 29 พ.ย. 53 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 53 พบว่าการจ้างงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.8% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสในการทำงานและสร้างรายได้ดีขึ้น ขณะที่อัตราว่างงานเฉลี่ยลดลง 0.9% โดยมีผู้ว่างงาน 341,000 คน โดยลดลงจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีอัตราว่างงาน 1.2% สอดคล้องกับจำนวนผู้ประกันตนที่ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานที่ลดลงเหลือ 124,037 คน นางสุวรรณี กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามต้องจับตาผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน ในระยะสั้นคือผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อรายได้แรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นส่วนประกอบหลัก ที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ใช้แรงงานสูง ทั้งอุตสาหกรรมสิ่งทอ รองเท้า อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องหนัง อุตสาหกรรมการเกษตร อาหารสำเร็จรูปและสินค้าเกษตร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่อง ต่อรายได้ของแรงงานจากการลดโบนัส หรือไม่ปรับขึ้นเงินเดือนในช่วงปลายปี เนื่องจากผลตอบแทนจากการประกอบการที่ลดลง ขณะเดียวกันการแข็งค่าของเงินบาทยังทำให้รายได้ในรูปเงินบาทของแรงงานไทย ที่ส่งกลับจากต่างประเทศลดลง 1,161 ล้านบาท นางสุวรรณี กล่าวด้วยว่า จากจำนวนผู้สมัครงานที่ลดลง 21.6% เร็วกว่าตำแหน่งว่างงานที่ลดลง 2.9% ในไตรมาสที่ 3 ทำให้ตลาดแรงงานตึงตัวอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งจากการสำรวจของความต้องการแรงงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีสัดส่วนต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีประมาณ 616,194 ล้านบาท หรือ 20% ในอีก 5 ปี (54-58) พบว่ายังมีความต้องการแรงงานมากถึง 248,862 คน โดยต้องการมากในแรงงานระดับ ม.3-ม.6 จำนวน 131,628 คน ระดับปวช. 37,829 คน ปวส. 51,813 คน และปริญญาตรี 27,591 คน. (เดลินิวส์, 29-11-2553) ตั้งศูนย์กวาดล้างต่างด้าวผิดกฎหมาย เน้น 2 กลุ่มเสี่ยงกว่า 5 แสนคน กำชับยึดหลักสิทธิมนุษยชน 29 พ.ย. 53 - นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวระหว่างเป็นประธานในการประชุมและมอบนโยบายแนวทางปฏิบัติงานคณะทำงาน ตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีแรงงานต่างด้าว ว่า แนวทางการปฏิบัติงานจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างจัดหางานจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กรมการปกครอง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และสำนักงานสืบสวนคดีพิเศษ ภายใต้ชื่อว่า "ศูนย์ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงาน และกระบวนการค้ามนุษย์" (ศป.รต.) โดยมี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะแบ่งการทำงานออกเป็น 5 เขต ได้แก่ เขตกรุงเทพและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยให้ตัวแทนจัดหางานจังหวัดในแต่ละเขต ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ ซึ่งคณะทำงานจะต้องแจ้งผลการปฏิบัติงานทุกๆ 15 วัน ต่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน "ศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ตรวจจับ แรงงานต่างด้าวที่อยู่อย่างผิดกฎหมายใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไปขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง แต่ไม่มาขอใบอนุญาตทำงาน และกลุ่มที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ แต่ไม่มาต่อใบอนุญาต จำนวนรวมทั้งสิ้น 509,864 คน นอกจากนี้ ยังมอบให้ศูนย์ฯ กวดขัน จับกุมขยายผลไปยังนายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ ทั้งที่นำแรงงานต่างด้าวเข้ามา และที่นำคนไทยไปทำงานต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การทำงานดังกล่าวจะคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด อย่าให้ภาพปรากฏออกมาในลักษณะของการใช้ความรุนแรง เนื่องจากอาจกระทบกระเทือนกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้"นายจีรศักดิ์ กล่าว ขณะที่นายเดชา พฤกษ์รัตนรักษ์ จัดหางานจังหวัดนครปฐม หัวหน้าชุดปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานและกระบวนการค้ามนุษย์ เขต 2 (ภาคกลาง) กล่าวว่า การทำงานในรูปแบบใหม่น่าจะเป็นระบบและคล่องตัวมากขึ้น (แนวหน้า, 29-11-2553) บ.แม็กซิสประกาศเครื่องจักรเสียสั่งหยุดงาน 7 วันระหว่างเจรจา สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2553 สหภาพแรงงาน แม็กซิส ประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกจำนวนกว่า 1,600 คน(หญิงประมาณ 400 คน )ได้ยื่นข้อเรียกต่อบริษัท แม็กซิส อินเตอร์เนชั่นแนล(ไทยแลนด์)จำกัด โดยมีข้อเรียกร้องทั้งหมดจำนวน 20 ข้อโดยมีข้อเรียกร้องสำคัญๆ ดังนี้ 1.ให้บริษัทจ่ายโบนัส110*250+20,000 (เงินบวกให้สำหรับสมาชิก) 2. ให้บริษัทปรับเงินขึ้น 8%+อายุงานปีละ 300ค่ากะ 55/วัน 3. ขอให้ช่วยจ่ายค่าบ้าน 900/เดือน ค่าข้าว 35/25 เบี้ยขยันขั้นบันได 700-800-900 ให้จัดวันละพักร้อนเพิ่มจากเดิม 1-3=6,3-6=8,6 ปีขึ้นไป 10วัน และสามารถสะสมวันลาได้ไม่เกิน 12 วัน 5. ขอให้บริษัทจัดค่ารถ 900/ เดือน และจัดให้มีวันกิจกรรม 1วัน/ปี โดยเช้าจัดกีฬาเย็นกินเลี้ยง และบริษัทสนับสนุนรถรับส่ง งบประมาณขอวันเสาร์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ รวมทั้ง 6. ขอให้บริษัท ฯ ทำประกันอุบัติเหตุให้กับพนักงาน และจ่ายค่าชดเชยให้สำหรับพนักงานที่เสียชีวิตทุกกรณีคนละ 50,000 บาท 7. ให้บริษัทปรับพนักงานผ่านการทดลองงาน 119 วันปรับค่าจ้างให้เป็นรายเดือน และขอให้บริษัท ฯจ่ายค่าเทคนิคให้กับพนักงานที่ไม่ได้รับเบี้ยการผลิต 1ปี=500, 2=1000, 3=1,500, 4=2,000 ต่อเดือน 8. ขอให้บริษัทช่วยจัดที่ทำการสหภาพแรงงาน 1 ห้อง พร้อมทั้งให้มีกรรมการอยู่ประจำห้องโดยไม่หักค่าแรงและโอทีขอให้กรรมการลา สัมมนากับองค์กรภายนอกโดยบริษัทไม่หักค่าแรงและสวัสดิการใดๆ เป็นการช่วยเหลือให้ปรึกษาสมาชิก พนักงานทุกคนที่ต้องการ และเพื่อความสะดวกต่อการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทกับทางสหภาพแรงงานในการ ประสานงานติดตามความร่วมมือเพื่อการพัฒนาความเจริญขององค์กร 9. ให้เพิ่มของขวัญให้กับพนักงานดีเด่นประจำปี1=2,000, 2=3,000, 4=5,000,5ปีขึ้นไป 6,000 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพนักงานที่มุ่งหมั่นทุ่มเททำงานให้กับบริษัท และขอให้บริษัทหักค่าบำรุงสมาชิกสหภาพแรงงานฯหักณ.ที่จ่ายโดยผ่านบัญชีสหภาพ แรงงานเพิ่มวันหยุดประจำปีให้กับพนักงานอย่างละ 2 วัน(ปีใหม่+สงกรานต์) โดยมีการนัดเจราครั้งแรกในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา 08.30 น. เช้าตรู่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 เวลาประมาณ 05.00 น.หลังจากพนักงานกะดึกเลิกงานตามเวลาปกติบริษัทได้ปิดประตูรั้วโรงงานและ ประกาศห้ามพนักงานทุกคนเข้าทำงาน อ้างเหตุเครื่องจักรเสียหายต้อง ซ่อมบำรุงจึงประกาศปิดงานเป็นเวลา 7 วัน พนักงานกะดึกรายหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคืนเราก็ทำงานปกติ เหมือนที่เคยทำงานทุกวัน แต่เวลาเลิกงานตอนตีห้าบริษัทก็ประกาศว่าจะหยุดงาน 7 วัน โดยอ้างเหตุเครื่องจักรเสีย พนักงานทุกคนก็งงเครื่องจักรเสียได้อย่างไรเมื่อเรายังทำงานกันได้ดีๆอยู่ เลย” พนักงานกะเช้ารายหนึ่งกล่าวเสริมว่า “ผมก็เดินทางมาทำงานปกติมาถึงโรงงานตอนเช้า(เวลา 07.00 น.) ก็แปลกใจทำไมเพื่อนมานั่งอยู่หน้าโรงงาน พอไปถามเพื่อนจึงรู้ว่าบริษัทประกาศปิดงาน โดยอ้างว่าเครื่องเสีย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เครื่องจักรจะเสียจนต้องให้พนักงานหยุดงานยาวขนาดนี้ด้วยหรือ อีกทั้งบริษัทเอาใครก็ไม่รู้สวมเครื่องแบบสีดำมายื่นเฝ้าหน้าประตู ทั้งที่ไม่ใช่พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของบริษัท” ที่บริเวณหน้าบริษัทในช่วงเช้าเต็ม ไปด้วยความโกลาหล สับสนของพนักงานทั้งหมด จนคณะกรรมการสหภาพแรงงานเดินทางมาถึงจึงได้มีการชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น พร้อมทั้งให้พนักงานทุกคนอยู่ในความสงบเรียบร้อย และจะมีการเจราข้อเรียกร้องตามปกติ ในวันเดียวกัน (25 พ.ย.) ขณะที่ตัวแทนลูกจ้างกำลังเจราจาตัวแทนบริษัท บริษัท แม็กซิส อินเตอร์เนชั่นแนล(ไทยแลนด์) จำกัด ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงาน แม็กซิส ประเทศไทย โดยมีข้อเรียกร้องทั้งหมดจำนวน 3 ข้อดังนี้ 1. เปลี่ยนแปลงการทำงาน จาก 2กะเป็น 3 กะ 2. เปลี่ยนแปลงระบบการจ่ายเบี้ยการผลิต โดยยกเลิกมาเป็นรูปแบบมาตรฐานการทำงาน ตามวิธีการมาตรฐานทั่วไป 3. ขอให้ข้อตกลงในการเจรจาในปี 2553 นี้ มีผล 36 เดือน ในขณะที่ตัวแทนการเจรจากำลังเจรจาอยู่นั้น พนักงานทั้งหมดต่างเฝ้ารอผลการเจรจาอย่างใจจดใจจ่อ โดยหวังว่าผลการเจรจาจะเป็นไปด้วยดี เวลาประมาณ 14.00 น. ตัวแทนเจรจาได้ออกมาชี้แจงต่อตอนหนึ่งว่า “ขณะนี้บริษัทได้ทำการยื่นข้อเรียกร้องขอสวัสดิการคืนจากสหภาพแรงงาน พร้อมกับประกาศให้หยุดงานอีก 7 วันโดยบอกว่าเครื่องจักรเสียต้องซ้อมแซม และยังไม่พร้อมเจรจากับสหภาพแรงาน หากไม่มีการเจรจาข้อเรียกร้องของบริษัทที่ยื่นต่อสหภาพแรงงานก่อน ซึ่งมีทั้งหมด 3 ข้อ คือเปลี่ยนแปลงการทำงานจากเดิม 2 กะ เพิ่มเป็น 3 กะ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงระบบการจ่ายเบี้ยการผลิต ยกเลิกรูปแบบมาตรฐานการทำงาน และให้ทำข้อตกลง 36 เดือน หากถามว่าสหภาพแรงงานต้องมีอะไรคืนให้นายจ้างคงไม่มี เพราะสวัสดิการเดิมก็ไม่มีอะไรมากพอที่จะคืนให้กับบริษัทฯ จากความทุ่มเททำงานเพื่อให้บริษัทมีผลกำไรจำนวนมาก แต่บริษัทกลับมายื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างนั้นไม่ชอบธรรม อย่างแน่นอน” หนึ่งให้กรรมการสหภาพแรงงานยังกล่าว อีกว่า “ถ้าบริษัทให้สวัสดิการและค่าจ้างที่ดีคงไม่มีพนักงานคนใดที่จะมาเรียกร้อง ขอปรับ หรือเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างอีก การชุมนุมครั้งนี้เป็นเพราะบริษัทประกาศปิดโรงงาน และพนักงานไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเช้ามาก็จะมีรถรับส่งไปรับมาทำงานแต่ วันนี้ไม่มีรถ แต่ทุกคนก็มาที่บริษัทเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีใครออกมานั่งข้างโรงงานที่ร้อนก็ร้อนหิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อยอย่างนี้หากไม่มีความจำเป็น” บริษัท แม็กซิส อินเตอร์เนชั่นแนล(ไทยแลนด์)จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม อีสต์เทิร์น ซีบอร์ด ต.ปลวกแดง อ.ปลวกแดง จ.ระยอง บนเนื้อที่กว่า 600 ไร่ มีพนักงานกว่า 2,700 คน (พนักงานเหมาค่าแรงประมาณ 300 คน พนักงานชาวกัมพูชาประมาณ 300 คน) ผลิตยางรถยนต์ ยี่ห้อ MAXXIS ส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีกำลังการผลิตกว่า 30,000 เส้นต่อวัน (นักสื่อสารแรงงาน, 29-11-2553) นักวิชาการแนะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มคุณภาพแรงงาน 29 พ.ย. 53 – นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการสัมมนาทางวิชาการประจำปี 2553 ในหัวข้อ “การจัดหาทรัพยากรทางการเงินรองรับระบบสวัสดิการ” ว่า ทิศทางในการปรับปรุงระบบสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อดูแลประชาชนได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงนั้น ควรต้องทำการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ด้วยการทบทวนสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนเพราะปัจจุบันมีการสูญเสีย รายได้ผ่านบีโอไอนับแสนล้านบาท นายสมชัย กล่าวว่า ควรมีการปรับอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้นมากกว่าปัจจุบัน เนื่องจากไทยมีภาษีมูลเพิ่มในระดับต่ำและเหลือเพียง 2-3 ประเทศในโลกเท่านั้น และเห็นว่าระดับปัจจุบันยังควรปรับเพิ่มได้อีก นอกจากนี้ยังควรปรับระบบการจัดเก็บภาษีทางด้านทรัพย์สินให้ขยายฐานมากขึ้น เพราะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการ อยู่นั้น มองว่าไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอแต่เป็นเพียงการเพิ่มฐานรายได้ให้กับ รัฐบาลเท่านั้น จึงต้องมียุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการ มีโอกาสที่เท่าเทียมกันในสังคม โดยเห็นว่าโครงสร้างภาษีรายได้ของรัฐบาลมีความเปราะบาง จึงเห็นว่าสัดส่วนรายได้ควรเพิ่มจากร้อยละ 17-18 มาเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) นายดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า หลังวิกฤติเศรษฐกิจ รายได้ของแรงงานทุกกลุ่มลดลง และยังเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นไปอีก โดยในปี 2552 ค่าจ้างแรงงานของกลุ่มมหาวิทยาลัยสูงกว่าในปี 2529 ประมาณร้อยละ 123 สูงกว่าค่าจ้างในระดับประถมการศึกษาร้อยละ 113 ทำให้ความเหลื่อมล้ำของกลุ่มมหาวิทยาลัยและกลุ่มมัธยมปลายน่าเป็นห่วงมาก ขึ้น ขณะที่ความต้องการแรงงานสูงขึ้นสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อ เนื่องหลายปี ดังนั้นเพื่อให้แรงงานมีค่าจ้างสูงขึ้นต้องพัฒนาคุณภาพแรงงานให้ตรงกับความ ต้องการของตลาด ด้วยการอุดหนุนค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยให้เป็นแบบถ้วนหน้า เพราะความต้องการแรงงานระดับอุดมศึกษามีมากขึ้น (สำนักข่าวไทย, 29-11-2553) สมัชชาสหภาพแรงงานซัด "นายกฯ" เบี้ยวเพิ่มค่าข้างขั้นต่ำเข้าทางเพื่อไทยลั่นเพิ่มให้เป็น 300 บาท ตัวแทนสมัชชาสหภาพแรงงาน นำโดยนายจีรวัฒน์ โพนเวียง ผู้ประสานงานสมัชชาสหภาพแรงงาน เข้ายื่นหนังสือต่อนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลังนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อขอให้ดำเนินการช่วยเหลือการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงาน ที่พรรคเพื่อไทย วันที่ 30 พฤศจิกายน นายจีรวัฒน์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 ว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำทั้งระบบเท่ากันทั่วประเทศเป็น 250 บาทต่อวัน แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับผิดชอบต่อมติอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองค่าจ้างเคาะปรับค่า จ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 11 บาทต่อวันหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 โดยกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ในอัตรา 215 บาทต่อวันแสดงว่ารัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา และตามที่สมัชชาผู้ใช้แรงงานได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมใน 3 ประเด็น คือ 1.ขอให้รัฐบาลเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ เป็น 250 บาทตามสัญญา 2.เพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคมเงินสงเคราะห์บุตรจากเดิม 6 ปีเป็น 12 ปี ให้มีการคลอดบุตรฟรีและเงินช่วยเหลือขณะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเหมาจ่ายเป็น เงิน 12,000 บาท และ3.ให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานยกเลิกการจ้างงานเหมาค่าแรงเพราะก่อ ให้เกิดปัญหาเลือกปฏิบัติ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงขอให้พรรคเพี่อไทยผลักดันช่วยเหลือ "อยากให้นายกรัฐมนตรีคำนึงถึง จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อคำพูด อย่าลืมว่าก่อนพูดเราเป็นนาย แต่เมื่อพูดออกไปแล้วคำพูดเป็นนายเรา สิ่งที่ผู้ใช้แรงงานเรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญา นายกรัฐมนตรียังมีเวลาถึงวันที่ 1 มกราคม 2554 ไปแก้ไขค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ 250 บาทต่อวันตามที่สัญญาไว้ ถ้าทำไม่ได้ พรรคเพื่อไทยพร้อมดำเนินการแทนและจะเพิ่มให้เป็น 300 บาทต่อวันแต่วิธีการยังไม่เปิดเผยเพราะกลัวถูกลอก" (มติชน, 30-11-2553) ชี้จัดเก็บเงินเข้ากองทุนส่งคนต่างด้าวกลับฯ ตามระยะทางยังทำไม่ได้ 30 พ.ย.- นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าว กลับออกไปนอกราชอาณาจักรว่า การประชุมวันนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ และรับมือการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าว ที่จะหมดอายุลง ในช่วงเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จำนวนกว่า 600,000 คน โดยได้มีการเตรียมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในจัดเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าวทั้ง 3 สัญชาติ ซึ่งมีอัตราการจัดเก็บต่างกัน คือกัมพูชา จำนวน 2,100 บาท พม่า และลาว จำนวน 2,400 บาท คาดว่าในปี 2554 จะสามารถเก็บเงินเข้ากองทุนได้มากกว่า 1,200 ล้านบาท ส่วนกรณีที่ทางสภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอให้จัดเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ตามระยะทางนั้น ขณะนี้คงยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากได้ประกาศเป็นกฎกระทรวงไปแล้ว จึงต้องดำเนินการตามระเบียบนี้ไปก่อน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมวันนี้ได้รับทราบผลการปฏิบัติงานของทุกหน่วยในการตรวจจับ และผลักดันแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายกลับประเทศ โดยเฉพาะกองทัพไทยที่สกัดกั้นไม่ให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศได้กว่า ร้อยละ 22 ของการหลบหนีเข้าเมืองในปีที่ผ่านมา จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 20 (สำนักข่าวไทย, 30-11-2553) "มาร์ค" บอกรอ 9 ธ.ค. สรุปตัวเลขขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1 ธ.ค. 53 - ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสมัชชาสหภาพแรงงาน แสดงความไม่พอใจที่นายกรัฐมนตรี ไม่ทำตามสัญญาว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศให้เป็น 250 บาทต่อวัน เพราะกลับให้คณะกรรมการค่าจ้างปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอัตรา 215 บาทต่อวัน ว่า ที่ผ่านมา เราพยายามให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุดในเรื่องของค่าแรง แต่เนื่องจากเป็นระบบไตรภาคี ซึ่งมีหลักคือเรามอบนโยบายให้ผู้แทนฝ่ายรัฐบาลให้มีการปรับเพิ่มในลักษณะที่ เหมาะสม ซึ่งตนบอกแล้วว่าที่ผ่านมามีการเพิ่มค่าแรงค่อนข้างน้อย ประมาณ 2-3 บาทต่อวัน ดังนั้นปีนี้จึงควรเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจว่าขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติทั้งหมด ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 9 ธ.ค.นี้ เมื่อถามว่าสมัชชาดังกล่าวไม่พอใจ ที่จะมีการขึ้นค่าแรงแค่ 11 บาทต่อวัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มันมีการพิจารณาหลายด้าน และนอกจากเรื่องของการขึ้นค่าแรงแล้ว ยังมีเรื่องของสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคม อีกทั้งจะมีการหารืออย่างต่อเนื่องต่อไป (ข่าวสด, 1-12-2553) หอการค้าไม่ห่วงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1 ธ.ค. 53 - นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวถึง กรณีที่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะมีการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ อีก 10-11บาททั่วประเทศ ในต้นปี 2554 ว่า ภาคเอกชนไม่เป็นห่วงการปรับขึ้นค่าแรงงานดังกล่าว หากมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้นควบคุมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า และเชื่อว่าคณะกรรมการไตรภาคี คงมีการศึกษาผลดีและผลเสีย จากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งในส่วนของภาคธุรกิจ พร้อมดำเนินการตาม ทั้งนี้ มองว่าการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการปรับขึ้นราคาสินค้า ขณะที่ทางด้าน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และเงินเดือนข้าราชการในปีหน้า จะไม่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศ โดยเชื่อว่า รัฐบาลจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้อ อยู่ในกรอบร้อยละ 3 ได้ (ไอเอ็นเอ็น, 1-12-2553) เร่งตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพิ่มค่าจ้าง 10% นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเรื่อง "ทิศทางคุณวุฒิวิชาชีพแรงงานไทยสู่สากล" พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "นโยบายรัฐบาลกับทิศทางคุณวุฒิวิชาชีพแรงงานไทย" โดยกล่าวว่า รัฐบาลจับมือกับคณะกรรมการร่วมสถาบันภาคเอกชน 3 สถาบัน คือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ผลักดันการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากที่ผ่านมาแรงงานไทยประสบกับปัญหาการถูกกีดกันการเข้าทำงานจาก มาตรการที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษีในตลาดต่างประเทศ อีกทั้งไทยประสบกับปัญหาการว่างงาน การขาดแคลนแรงงาน ควบคู่กับปัญหาการขาดการเชื่อมโยงตลาดภาคแรงงานกับการศึกษาในประเทศ ซึ่งรัฐบาลเห็นควรต้องเร่งรัดการพัฒนาแรงงานที่มีคุณภาพแทนการใช้แรงงานราคา ถูก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรม โดยขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นางสาวนริศ รา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพจะเป็นองค์กรมหาชนในการการันตีคุณภาพของแรงงานสาย วิชาชีพ โดยนำร่องในการรับรองแรงงานสาขากลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ ช่างซ่อม แม่พิมพ์ ยานยนต์และไฟฟ้า เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมในกลุ่มเหล่านี้ ขาดแรงงานสายวิชาชีพรวม 2 แสนคน ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยนักศึกษาสายวิชาชีพ จะต้องผ่านการรับรองของสถาบันนี้ ซึ่งจะมีหลักสูตรอบรมทักษะ ความรู้ควบคู่ ตั้งเป้าเพิ่มค่าจ้างให้แรงงานในสายวิชาชีพอีก 10 เปอร์เซ็นต์ คาดว่า จะเริ่มดำเนินการได้ต้นปีหน้า ด้านตัวแทนภาคเอกชน 3 สถาบัน ก็ขานรับการจัดตั้งสถาบันนี้ แม้ว่าจะต้องมีการปรับขึ้นค่าจ้าง แต่เชื่อว่าจะส่งผลต่อผลผลิตทางอุตสาหกรรมให้มากขึ้น และจะลดต้นทุนได้ในที่สุด พร้อมกับเห็นด้วยกับแนวทางการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอีก 10-11 บาททั่วประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา เพราะเชื่อว่าจะเป็นแรงจูงใจให้แรงงานที่มีฝีมือเข้ามาทำงานมากขึ้น เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งขณะนี้มีแรงงานในส่วนของธุรกิจนำ เที่ยวทั้งสิ้น 5 แสนคน แต่มีแรงงานสายวิชาชีพไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะตำแหน่งรับจองตั๋ว และการบริการ โดยขณะนี้ขาดแรงงานสายวิชาชีพไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนคน หรือครึ่งหนึ่งของแรงงานในกลุ่มทั้งหมด (ครอบครัวข่าว, 1-12-2553) "บ.กู๊ดเยียร์-สหภาพ" บรรลุข้อตกลง เปิดงาน 2 ธ.ค. นี้ บริษัท กู๊ดเยียร์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่าตามที่ บริษัท กู๊ดเยียร์ฯได้เจรจาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้าง กับสหภาพแรงงานคนทำยางแห่งประเทศไทย และสหภาพแรงงานผู้บังคับบัญชาพนักงานกู๊ดเยียร์ประเทศไทย จนเกิดการนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานทั้งสองแห่งและการใช้สิทธิปิดงานของ บริษัท นั้น บริษัทและสหภาพแรงงานทั้งสองแห่ง สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างได้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 โดยมีการตกลงในประเด็นต่างๆ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างค่าตอบแทนของพนักงานรายชั่งโมง การขยายชั่วโมงร่วมกิจกรรมของอนุกรรมการสหภาพแรงงาน การปรับปรุงชุดพนักงาน การให้เงินสมนาคุณการให้ค่ารักษาพยาบาล การให้เงินเกษียณอายุ การแยกข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานออกจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นอกจากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลง สภาพการจ้างดังกล่าว บริษัทและสหภาพแรงงานทั้งสองแห่ง ได้ตกลงกันในเรื่องอื่นๆ เช่น การให้อุปกรณ์สำนักงานเพื่อใช้ในการฝึกอบรม การให้เงินสนับสนุนกิจกรรมของสหภาพแรงงานและการให้เงินกู้ฉุกเฉิน ข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม2553 จากการประเมินของบริษัท โดยภาพรวมแล้วข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ เงินเดือนและสวัสดิการเพิ่มขึ้นประมาณ 3% โดยบริษัทจะสามารถดำเนินงานการผลิตได้ตามปกติในวันที่ 2 ธันวาคม 2553 (ประชาชาติธุรกิจ, 1-12-2553) ลูกจ้างและนายจ้างเห็นด้วยปรับค่าแรงตามคุณวุฒิและคุณภาพแรงงาน 1 ธ.ค. 53 - นายสมพงศ์ นครศรี ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา “ทิศทางคุณวุฒิวิชีพแรงงานไทย” ว่า องค์ประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมคือ สินค้าต้องมีคุณภาพ ราคาสินค้าเหมาะสม และต้องส่งมอบสินค้าให้ทันตามกำหนด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของผู้ประกอบการ นายสมพงศ์ กล่าวว่า แรงงานที่ร่วมอยู่ในขนวนการดังกล่าวต้องทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด เป็นแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน การมีคุณวุฒิทางวิชาชีพจึงมีความสำคัญ จึงอยากให้การกำหนดคุณวุฒิวิชาชีพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการกำหนดและคิดค่า จ้างให้กับแรงงานแต่ละประเภท แต่ยอมรับว่าปัจจุบัน หากผู้ประกอบการไม่ยอมปรับเพิ่มค่าแรงให้เหมาะสม กรณีเป็นงานประเภทเดียวกัน แรงงานก็จะหนีไปทำงานกับผู้ประกอบการรายอื่น จึงไม่สามารถกดขี่แรงงานได้เหมือนเดิมแล้ว อีกทั้งเห็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้เริ่มมีปัญหาขาดแคลนแรงงานนับแสนคน ขณะที่กลุ่มอาชีวะผลิตนักศึกษาจบใหม่ได้เพียง 50,000 คน จึงยังต้องการแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยายนต์และชิ้นส่วน กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มแม่พิมพ์ เห็นว่าแรงงานที่มีคุณภาพจะมีความต้องการมากในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมขณะนี้ ส่วนการปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการเสนอให้ปรับ เพิ่มจาก 206 บาทต่อวัน เพิ่มเป็น 216 บาทต่อวันนั้น ต้องมีการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีวันที่ 9 ธันวาคมนี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวยอมรับว่า มีโรงงานอีกจำนวนมาก แม้แรงงานจะทำงานกับบริษัทมานาน 5-8 ปี ก็ยังคิดค่าแรงขั้นต่ำไม่ยอมปรับเพิ่มค่าแรงให้ เพราะมองว่ามีแรงงานจบใหม่แล้วเข้าไปทำงาน มีประสบการณ์ มีความรู้ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพสินค้าและการทำงาน จึงเสนอให้ผู้ประกอบการผูกติดการคิดค่าแรงกับคุณภาพฝีมือแรงงานให้สอดคล้อง กัน หากดำเนินการให้คู่ขนานกันไปก็จะไม่มีการเรียกร้องปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ กันทุกปี และเห็นด้วยกับการเสนอตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อให้เป็นองค์กรออกใบรับรองมาตรฐานแรงงาน ช่วยในการพัฒนาคุณภาพแรงานให้มีคุณภาพโดยภาคเอกชนดำเนินการ (สำนักข่าวไทย, 1-12-2553) ผู้บริหารให้สหภาพกู๊ดเยียร์ กลับเข้าทำงานแล้ว 2 ธ.ค. 53 - ที่โรงงานบริษัทกู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย)จำกัด มหาชน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นาย ธานินทร์ ใจสมุทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มาร่วมกับนาย ริชาร์ด เฟลมมิ่ง กรรมการผู้จัดการบริษัทกู๊ดเยียร์ภาคพื้นอาเชียน และนาง เวนดี้ แรดกี้ ผู้อำนวนการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ได้ร่วมกันทำข้อตกลงในการลดปัญหาข้อพิพาทขัดแย้งปัญหาแรงงานระหว่างนายจ้าง กับลูกจ้าง ซึ่งได้เกิดปัญหาการหยุดงานมาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย.53 ซึ่งได้มีการยื่นข้อเสนอเรียกร้องสวัสดิการในการทำงาน ซึ่งในการเจรจาได้ตกลงกันได้โดยให้สหภาพแรงงานกลับเข้าทำงานตามปกติได้ ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.53 เป็นต้นไป นาย ธานินทร์ ใจสมุทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวต่อว่า เนื่องจากในระหว่างเดือนพ.ย.ถึงเดือน ม.ค.ของปีถัดไป สถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์จะมีความเกี่ยวโยงกับเรื่องเงินโบนัสและการสิ้น สุดของข้อตกลงสภาพการจ้างเดิมเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในบางสถานประกอบการที่ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างมีความเห็นต่อการ ปรับเปลี่ยนข้อตกลงสภาพการจ้างไปในทิศทางต่างกันและขาดการสื่อสารที่ดีต่อ กัน อาจจะก่อให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้ง-ข้อพิพาทแรงงานได้ ดังนั้นทางกระทรวงแรงงานจึงขอประชา สัมพันธ์ให้สถานประกอบการ ลูกจ้าง รวมถึงเครือข่ายแรงงาน หากมีปัญหาข้อสงสัยเกี่ยวกับสวัสดิการและคุ้มครองแรนงงานในเรื่องต่างๆ กระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโทรสายด่วนได้แรงงาน 1546. (เนชั่นทันข่าว, 2-12-2553) สหภาพ ขสมก.เล็งชุมนุมจี้รัฐแก้ปัญหารถเมล์ไม่พอ 2 ธ.ค. 53 - นายวีระพงศ์ วงแหวน เลขาธิการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ[ขสมก.] เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ คณะกรรมการบริหารขสมก.จะประชุมด่วน เพื่อขอมติในการขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อชี้แจงให้สมาชิกและพนักงานขสมก.รับทราบเกี่ยวกับปัญหารถเมล์ที่มีให้ บริการไม่เพียงพอ ทำให้รายได้ของขสมก.ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับที่ผ่านมา ได้ขอเข้าพบนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟู ขสมก. แต่ปรากฏว่า ไม่เคยได้พบ และติดภารกิจเรื่อยมา ดังนั้น สหภาพขสมก.จะขอมติคณะกรรมการฯเพื่อ เปิดประชุมใหญ่และจะเคลื่อนไหวในการผลักดัน และเร่งรัดการแก้ไขปัญหารถเมล์ไม่เพียงพอด้วย (โพสต์ทูเดย์, 2-12-2553) สหภาพแรงงาน-บ.บีเอ็มดับเบิลยูประเทศไทย เจรจา 3 ครั้งไม่คืบ ยื่นพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ย 7 ธ.ค. เมื่อวันที 2 ธ.ค. 53 ที่ผ่านมา นายสมเจตน์ น้อยมณี ประธาน สหภาพแรงงาน บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับสมาชิกสหภาพแรงงานและพนักงาน บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ที่นิคมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ถึงการเจรจาข้อเรียกร้องปี พ.ศ. 2553 ไม่คืบหน้าหลังจากได้มีการเจรจากันมา 3 ครั้ง โดยการเจรจาครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 53 ครั้งที่สองในวันที่ 30 พ.ย. 53 และครั้งที่สามในวันที่ 1 ธ.ค. 53 โดยวันที่ 1 ธ.ค. 53 ที่ผ่านมานั้น ทางสหภาพแรงงานได้ตอบตกลงข้อเสนอของผู้บริหารบริษัทที่จะให้ยื่นหนังสือ พิพาท และในวันที่ 2 ธ.ค. 53 เวลา 9.00 น. เลขาธิการสหภาพได้นำหนังสือพิพาทแรงงานไปยื่นที่ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดระยอง โดยมีการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยในวันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานจังหวัดระยอง จากข้อมูลของสหภาพแรงงาน แจ้งว่าผลประกอบการของบริษัทมียอดขายมากกว่า ปี พ.ศ. 2552 (100 เปอร์เซ็นต์) และกำไรเพิ่มขึ้น สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และมากที่สุดในรอบ 10 ปี พนักงานให้ความร่วมมือผลิตอย่างเต็มที่ เปิด OT ตลอดรวมทั้งในวันเสาร์ เพื่อทำให้บริษัทมีสินค้าส่งลูกค้าได้ แต่บริษัทตอบว่าไม่มี (budget) เพียงพอสำหรับข้อเรียกร้อง นายกฯแจงแนวแก้ปัญหาแรงงานนอกระบบตั้งแต่วินมอเตอร์ไซค์ยันคนกลางคืน เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 3 ธ.ค.นายกรณ์ จาติวณิช รมว.คลัง นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะทำงานแรงงานนอกระบบและ เศรษฐกิจนอกระบบ เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาปากท้องระดับรากหญ้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำใน สังคม โดยใช้เวลาเข้าพบนานประมาณ 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ในส่วนการพิจารณาเรื่องค่าครองชีพนั้น ในวันที่ 7 ธ.ค. จะไปที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ ที่ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติการของคณะทำงาน ซึ่งการประชุมในวันนี้เป็นการเสนอข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งหมด “วันนี้คุยกันตั้งแต่ วินมอเตอร์ไซด์ แท็กซี่ หาบเร่-แผงลอยก็จะเพิ่มจุดผ่อนผัน คนทำงานกลางคืน คนที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม และในเรื่องค่าครองชีพก็คุยตั้งแต่เรื่องไข่ ไก่ หมู น้ำมัน LPG ค่าไฟฟ้า” นายกฯ กล่าว ส่วนวิธีการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้ จ่ายสำหรับวินมอเตอร์ไซและแทกซี่นั้น นายกฯ กล่าวว่า ยังมีรายละเอียดที่ต้องทำอีกเยอะ แต่ส่วนของวินมอเตอร์ไซต้องเริ่มต้นจากปัญหาในส่วนที่ยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ จดทะเบียนสามารถเข้ามาจดทะเบียนได้ ส่วนหาบเร่จะเพิ่มจุดผ่อนผันและปรับการทำงานให้ดี และเปิดทางเลือกเรื่องประกันสังคม ถ้าหากการสมทบเงินตามมาตรา 40 ของประกันสังคมที่ครอบคลุมสิทธิทั้งหมดราคาแพงเกินไป ก็ยากให้เปิดทางเลือกว่าให้สมทบเงินน้อยกว่านั้น แต่ไม่เอาสิทธิบางตัว เช่น เรื่องชราภาพ และให้ใชสิทธิชราภาพผ่านกองทุนเงินออม โดยในวันที่ 7 ธ.ค.จะไปเยี่ยม แต่จะปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 17 ธ.ค. นายกฯ ยังระบุเจาะจงถึงกลุ่มหาบเร่แผงลอยในเรื่องของจุดผ่อนผันว่า จุดผ่อนผันนั้นมีตัวเลขอยู่ กำลังไปไล่ดูอีกครั้ง ซึ่งน่าจะมีมากกว่า 2,000 จุดซึ่งกำลังตรวจสอบรายชื่อ แต่ที่ตนให้นโยบายเพิ่มคือเริ่มมีการศึกษาจากกทม. ก่อน แต่จะมีการศึกษาทั่วประเทศไม่ใช่แค่กทม. ทั้งนี้บางเรื่องหากได้ข้อสรุปในวันที่ 17 ธ.ค.ก็ทำได้เลย สำหรับ ไก่ ไข่ หมู จะได้เป็นครั้งแรกที่เราวิเคราะห์โครงสร้างของต้นทุนมาได้ ว่าปัญหาที่มีความรู้สึกว่ามันแพงมันอยู่ที่ไหน และมีอะไรที่เราทำได้บ้าง รวมถึงที่ผ่านมากลไกที่เรามีอยู่ ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เช่น กฎหมายแข่งขันทางการค้า เพราะฉะนั้นข้อเสนอตรงนี้จะเข้ามา และจะให้ไปดูเรื่องค่าครองชีพที่เป็นระบบ เพราะที่ผ่านมาเราจะมีมาตรการเฉพาะหน้าเท่านั้น นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้เสนอ หลักคิดว่า ต่อไปนี้ ก๊าซธรรมชาติเป็นของคนไทย ดังนั้นก๊าซครัวเรือนจะต้องขายคนไทยได้ในราคาที่เราเห็นว่าเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องอิงกับตลาด และข้อมูลที่เสนอมาก็ยังยืนยันอยู่ว่าถ้าเราบริหารให้ดี เราสามารถตรึงราคาก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือนได้ โดยสามารถลดการอุดหนุนจากรัฐได้ด้วย และจะนำประโยชน์จากการอุดหนุนดังกล่าวไปลดราคาน้ำมัน “เราจะแยกว่าก๊าซที่เรานำมาใช้ชาว บ้านใช้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และก๊าซที่ใช้ในทางการผลิตก็ให้จ่ายในราคาตลาด ถ้าทำอย่างนี้ก็จะสามารถได้ตามเป้าหมายคือก๊าซสำหรับประชาชนจะสามารถตรึง ราคาได้ โดยรัฐไม่ต้องเสียเงินภาษีอากรหรือเงินกองทุนน้ำมันเข้าไปอุดหนุนก็เข้าไปลด ราคาน้ำมันได้ ส่วนภาคขนส่งกำลังดูตัวเลขอยู่ แต่คิดว่าน่าจะอยู่ที่ภาคครัวเรือนได้ ที่จริงก๊าซ LPG เราตรึงอยู่ และที่ผ่านมาจะมีแรงกดดันจากหน่วยงานตลอดว่าจะต้องปล่อย แต่วันนี้เราได้ข้อสรุปคือมันไม่มีความจำเป็นเลย มันตรึงได้ และลดภาระของรัฐบาลและประชาชนที่ใช้น้ำมันได้ด้วย” นายกฯ กล่าว (คมชัดลึก, 3-12-2553) กระทรวงแรงงานเร่งตั้งศูนย์เศรษฐกิจการจ้างงาน 3 ธ.ค. 53 - นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมาการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากระทรวงแรง งาน ว่า ที่ประชุมได้เสนอให้กระทรวงแรงงานดำเนินการปรับบทบาทข้อมูลด้านแรงงานให้ ชัดเจนและหากลยุทธ์ใหม่ เพื่อพัฒนาแผนของกระทรวงให้ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการวางแผนงานที่ดี ภารกิจของกระทรวงเลยไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางในการเสนอเรื่องภาวะเศรษฐกิจด้านแรงงานงาน เพราะยังขาดบุคลากรที่จะมาวิเคราะห์ข้อมูล ดังนั้น ที่ประชุมมีความเห็นว่าควรตั้งสำนักงานเศรษฐกิจแรงงานขึ้นมา เพื่อช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น เนื่องจากแรงงานเป็นตัวแปรที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ
(แนวหน้า, 3-12-2553) กมธ.แรงงานนัดถกเหยื่อลิเบีย ถกนายหน้าฟ้อง 1 ล้านแลกถอนคดี 3 ธ.ค. 53 - ปัญหาความเดือดร้อนของแรงงานไทยที่ไปตกระกำลำบากในประเทศลิเบียโดยนายหน้า บริษัท จัดหางานเงินและทองพัฒนา จำกัด ส่งต่อไปทำงานก่อสร้างกับนายจ้าง บริษัทแรนฮิลล์ (RANHILL) กว่า1,400 ชีวิตยังไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ได้เดินทางกลับและได้รับเงินเดือนค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาตามสัญญา ขณะเดียวกัน บริษัทจัดหางานเงินและทองฯ ยังได้ฟ้องร้องแรงงานทั้งคดีแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายรายละ 1 ล้านบาท หลังร้องเรียนปัญหากรณีนี้กับคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 2 ธ.ค.53 นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า น่าสงสารแรงงานไทยที่ยากจนต่อสู้ชีวิตไปทำงานที่ลิเบียแต่กลับไปตกระกำลำบาก แล้วดิ้นรนต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ยอมให้บริษัทนายจ้างเอารัดเอาเปรียบและร้องทุกข์มายังกรรมาธิการแรงงาน แต่ถูกบริษัทจัดหางานเงินและทองฯฟ้องร้องแก้เกี้ยว ไม่อยากให้ออกมาเคลื่อนไหวโจมตีบริษัทในทางลบ "กรณีที่ฟ้องร้องแรงงานแล้วนำคำฟ้อง และประกาศไปติดที่ลิเบียข่มขู่แรงงานที่เข้าชื่อร้องทุกข์อีก 562 คน ให้ถอนชื่อจากการร้องทุกข์ ไม่เช่นนั้นจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาทนั้น ขอให้แรงงานกรณีนี้ได้นำเอกสารหลักฐานมายื่นให้ตนสอบสวนหรือไม่ขอให้มาพบคณะ กรรมาธิการแรงงานได้ โดยจะมีการประชุมกันวันพุธที่ 8 ธ.ค.นี้ เพื่อให้ปากคำข้อเท็จจริงและกรรมาธิการจะได้เรียกบริษัทจัดหางานเงินและทองฯ กับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน มาสอบสวนต่อไป" นายสถาพร กล่าว ประธานกรรมาธิการแรงงาน ระบุด้วยว่าตนรู้สึกเอือมระอากับพฤติกรรมของกระทรวงแรงงานว่า กรณีความเดือดร้อนของแรงงานไทยในลิเบียนั้น ทางกรรมาธิการแรงงานได้มีมติที่จะส่งทีมเฉพาะกิจร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมการ จัดหางาน กงสุลกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานไทยที่ลิเบียว่า ลำบากยากเข็ญ เงินเดือนค่าจ้างได้รับไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยและต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไร ทางราชการจึงจะเข้าไปช่วยเหลือได้ "กรรมาธิการแรงงานมีมติและให้เจ้า หน้าที่ติดต่อกระทรวงแรงงานไปเป็นเดือนแล้วป่านนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลยว่าตกลงจะจัดทีมเฉพาะกิจไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ลิเบียเมื่อไหร่ ทราบตอนแรกว่าจะมีโครงการจัดคณะไปดูแลทุกข์สุขของแรงงานไทยในประเทศแถบตะวัน ออกกลางเช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซีเรีย จึงได้พ่วงโปรมแกรมไปลิเบียด้วย แต่ปรากฏว่าอยู่ๆ ถูกยกเลิกไปเฉยแล้วเงียบหายไปเลยไม่รู้ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงานรับทราบหรือสนใจไยดีชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานในลิเบียหรือ เปล่า" นายสถาพรกล่าวว่า ขอตำหนิกระทรวงแรงงานที่ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่แรงงานไทย ซึ่งความจริงเมื่อได้รับการร้องเรียนต้องเดินทางไปดูข้อเท็จจริงกับตาตัวเอง โดยหากให้ดีนำสื่อมวลชน และแรงงานที่ร้องเรียนไปด้วยจะได้เห็นกันจะจะ ไม่ใช่ว่าทำเหมือนรู้เห็นเป็นใจรักษาผลประโยชน์ของบริษัทนายหน้าที่สูบเลือด สูบเนื้อแรงงานจนๆ จากค่าหัวคิวและเบี้ยวเงินเดือนค่าจ้างอีกต่างหาก (สยามรัฐ, 3-12-2553) แฉขาดแรงงานระดับกลางรุนแรง 3 ธ.ค. 53 - ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดการประชุมเรื่อง "การพัฒนากรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ และวางแผนผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ" โดยนายถาวร ชลัษเฐียรรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปัจจุบันความต้องการแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ มีจำนวนมากเช่น ความต้องการแรงงานใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก มีจำนวนประมาณ 1.29 ล้านคนและในปี พ.ศ.2558 จะมีความต้องการแรงงานประมาณ 1.5 ล้านคน ซึ่งจะต้องมีการผลิตนักศึกษาในสายวิชาชีพออกมาให้เพียงพอ ในขณะเดียวกัน การผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาตรีควรจะต้องปรับลดลงเนื่องจากในปัจจุบันความ ต้องการแรงงานที่จบระดับปริญญาตรีในตลาดแรงงานมีรวมประมาณ 11% เท่านั้น ในขณะที่ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีมากมายกว่า 200 สถาบัน และล่าสุด ทางรัฐบาลก็ยังมีนโยบายที่จะจัดตั้ง 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งหากทิศทางการศึกษายังผลิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรีออกมามากเช่นนี้ สุดท้ายแล้วประเทศไทยจะได้อะไร เพราะทุกวันนี้บัณฑิตที่เรียนจบระดับปริญญาตรีเข้าไปทำงานในสถานประกอบการ หลายๆ แห่งจะต้องลดวุฒิการศึกษามาทำงานระดับวุฒิการศึกษาที่ต่ำกว่า เนื่องจากไม่มีทางเลือกเพราะงานที่เท่ากับวุฒิไม่มี อย่างไรก็ตาม ตนเสนอว่าในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีควรจะเน้นสายวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมากกว่าสายสังคมที่ผลิตกันออกมามากจนเกินไปแล้ว "โดยสภาพการณ์ทุกวันนี้ผู้ที่เรียน จบสายวิชาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ประมาณ 75% จะเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี และมีเพียง 25% จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน จึงทำให้เกิดสภาพความขาดแคลนแรงงานในระดับกลางรุนแรงมากนอกจากนี้ หลายสถานประกอบการยังต้องสูญเสียแรงงานฝีมือดีๆ ไปจำนวนมากด้วยเพราะคนเหล่านี้ต้องการออกไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรี" นายถาวรกล่าว ด้านนางศิริพรรณ ชุมนุม ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิใน สกศ. กล่าวว่า จากการทำวิจัยเรื่องการพัฒนากรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ (National Qualification Framework)และวางแผนผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อให้มีการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาตินั้น จะต้องกำหนดเป็นยุทธศาสตร์หลักๆ อาทิ การให้กรอบคุณวุฒิแห่งชาติเป็นข้อกำหนดแห่งชาติในการปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาความร่วมมือเชิงรุกกับกลุ่มอุตสาหกรรม ธุรกิจ และบริการกลุ่มวิชาชีพ การพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับขอบเขตความรู้ ทักษะ และการประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นต้น (มติชน, 4-12-2553) สหภาพ ขสมก.ขู่ชุมนุมหลัง 14 ธ.ค. จี้จัดหารถโดยสารเอ็นจีวีใหม่มาทดแทนรถโดยสารเก่า 4 ธ.ค. 53 - นายสนาน บุญงอก ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า จากการที่ขสมก.ได้ยื่นหนังสือไปยังรัฐบาล เรียกร้องให้จัดหารถโดยสารเอ็นจีวีใหม่มาทดแทนรถโดยสารเก่า 700 คันที่ปลดระวางและเสียหาย เนื่องจากขาดรายได้วันละ 3-3.5 ล้านบาท ทำให้ขสมก.มีภาระการขาดทุนมากขึ้น และกระทบต่อการให้บริการประชาชน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจนจากรัฐบาล ทั้งนี้ ในวันที่ 14 ธ.ค. คณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานขสมก. จะเข้าพบนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งรัดสรุปแนวทางแก้ไขปัญหา และหากยังไม่ได้รับความชัดเจน จะเตรียมรวบรวมสมาชิกสหภาพกว่า 5,000 คน เพื่อเคลื่อนไหวผลักดันให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาต่อไป
จับพี่น้องขนแรงงานเขมรลอบส่งเข้ามาทำงานที่ กทม. 4 ธ.ค.53 - พ.ต.อ.มานัด ศรีวงษา ผกก.ตม.สระแก้ว ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าจับกุม นายจรรณพร แสนกล้า อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 8 ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว และ น.ส.จำเนียร แสนกล้า อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 124 หมู่ 10 บ้านคลองแผง ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ผู้ต้องหาแอบลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ.ต.อ.มานัด เปิดเผยรายละเอียดว่า เจ้าหน้า ที่ตำรวจสืบทราบว่าบ้านของ น.ส.จำเนียร ใช้เป็นแหล่งพักพิงและซุกซ่อนแรงงานเถื่อนชาวเขมร เพื่อส่งไปขายแรงงานต่อใน กทม. จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รอง ผกก.ตม.สระแก้ว พ.ต.ท.สมศักดิ์ เจียมกรกต สว.ตม.วัชรสิทธิ์ ภัทรโยธินอมร และ ร.ต.อ.ไพเราะ พุ่มคำ รอง สว.ตม.สระแก้ว สนธิกำลังกับ จนท.ตร.สภ.ทัพไทย อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว บุกเข้าตรวจค้นและจับกุม ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบภายในบ้านพบมีนายจรรณพรเป็นคนดูต้นทาง โดยมีชาวกัมพูชา จำนวน 13 คน เป็นชาย 7 คน หญิง 6 คน พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าจำนวนหลายใบหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้าน จากการตรวจสอบไม่พบเอกสารการเดินทางแต่อย่างใด ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้นบ้านอยู่นั้นได้มี น.ส.จำเนียร ซึ่งเป็นพี่สาวของนายจรรณพรเดินเข้ามาภายในบ้าน และแสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน จนท.จึงควบคุมตัวคนทั้งหมดไว้ จากการสอบสวนเบื้องต้น น.ส.จำเนียร ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นพี่สาวของนายจรรณพร และได้ร่วมกันลักลอบนำแรงงานต่างด้าวชาวเขมรเข้ามาซุกซ่อนและพักพิงไว้ภายใน บ้านเพื่อรอให้นายทุนนำรถยนต์มารับแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ไปทำงานใน กทม.และปริมณฑล โดยจะได้เงินค่าตอบแทนหัวละ 1,200 บาท จากนั้นจะนำเงินที่ได้มาแบ่งกัน ซึ่งทำมาแล้วหลายครั้ง และจากการสอบสวนแรงงานชาวกัมพูชา ทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า กลุ่มของพวกตนได้เสียเงินค่าหัวคนละ 3,000-3,500 บาท ให้กับนายหน้าชาวเขมรเพื่อนำพวกตนเข้ามาทำงานในประเทศไทย จากนั้นนายหน้าชาวเขมรจะพาข้ามชายแดนมายังฝั่งไทย โดยให้พักที่บ้านหลังนี้เพื่อรอนายหน้าฝั่งไทยนำรถยนต์มารับไปทำงานใน กทม. และที่จังหวัดอื่นๆ ต่ออีกทอดหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป (บ้านเมือง, 5-12-2553) สังศิตแจงแรงงานนอกระบบเริ่มต้นจ่าย 100-280 บ.รับสวัสดิการ 5 ธ.ค. 53 - นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะทำงานแรงงานนอกระบบและเศรษฐกิจนอกระบบ ให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดของการจัดทำระบบสวัสดิการสังคมในส่วนของแรงงานนอก ระบบว่า สิ่งที่น่าสนใจคือส่วนของระบบประกันสังคมที่จะมีแรงงานนอกระบบได้ประโยชน์ จากการที่เขาจะได้เข้ามาใช้สิทธิประกันสังคมทั้งประเทศกว่า 24 ล้านคน โดยจะเป็นกลุ่มคนหลากหลายสาขาอาชีพอย่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่ามีทั้งวินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ พ่อค้า แม่ค้าหาบเร่แผงลอย คนเก็บขยะ รวมไปถึงอาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอนทั้งหลายก็จะสามารถเข้าระบบประกันสังคม ครั้งนี้ได้ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะมีการประกาศให้คนไทยทราบรายละเอียดในวันที่ 7 ธ.ค. นี้ “โดยอัตราการเก็บเงินเข้าประกัน สังคมของแรงงานนอกระบบก็จะเก็บในอัตราที่ต่ำ กว่าพนักงานบริษัทที่ต้องจ่าย 400 กว่าบาท แต่กลุ่มที่เรากำลังทำจะเริ่มต้นจ่ายเพียงเดือน 100-280 บาทเท่านั้น แต่สิทธิบางตัวก็จะหายไปเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามรายละเอียดทั้งหมดจะมีการแถลงในวันที่ 7 ธ.ค.นี้”นายสังศิต กล่าว เมื่อถามถึงกลุ่มประชาชนที่เคยอยู่ ในระบบประกันสังคมแต่ขาดส่งเงินเข้าระบบ ตามมาตรา 39 ของพรบ.ประกันสังคมที่มีกว่า 5 แสนคนทั่วประเทศที่ต้องไปใช้สิทธิของ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่อยากจะกลับเข้ามาในระบบจะครอบคลุมถึงด้วยหรือไม่ นายสังศิต กล่าวว่า ประเด็นนี้ยังไม่มีการพูดถึงกัน แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่คิดว่าน่าจะให้ครอบคลุมถึง เพราะถือว่าเป็นแรงงานนอกระบบเช่นเดียวกัน (เนชั่นทันข่าว, 5-12-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
กานดา นาคน้อย: ต้นทุนการค้าและส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ Posted: 06 Dec 2010 04:32 PM PST เดือน ตุลาคมที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจไม่อนุมัติให้พัฒนาภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่สองของไทย โดยให้เหตุผลว่านโยบายนี้อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าประเทศไทยเคยเป็น เมืองขึ้นของฝรั่งในอดีต[1] การตัดสินใจดังกล่าวชี้ชัดว่ากระทรวงศึกษาฯไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีและทักษะอาชีพที่มีผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโลกมาก ไปกว่าเรื่องอาณานิคมในอดีต ทำไมภาษาอังกฤษถึงสำคัญนัก? ภาษา อังกฤษคือภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการค้าสินค้า การค้าบริการ การค้าทรัพย์สินและธุรกรรมระหว่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ผลงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าอุปสรรคด้านภาษาทำให้ต้นทุนการค้า (Trade costs) ในตลาดสินค้าสูงขึ้นถึง 7% [2] ขนาดของผลกระทบของอุปสรรคด้านภาษาที่กล่าวมานี้เทียบได้กับครึ่งหนึ่งของผล กระทบต่อต้นทุนการค้าที่มาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่าง ประเทศหรือการใช้สกุลเงินต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการกำจัดอุปสรรคด้านภาษาจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของการใช้เงินสกุลเดียวกัน [อย่างเช่นในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร และในขณะนี้รัฐบาลไทยก็แสดงความสนับสนุนให้มีการใช้เงินหยวนเพื่อลดค่าธุรก รรมการค้าในภูมิภาคเอเชีย – ผู้แปล] แม้ว่าขนาดของอุปสรรคด้านภาษาใน ภาคบริการ งานด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และงานบริการเฉพาะทางอื่นๆ ยังไม่ได้รับการประเมินออกมาเป็นตัวเลขในงานวิชาการ อย่างไรก็ดี ในกรณีของไทย เราอาจคาดการณ์ตัวเลขได้จากอัตราค่าจ้างและต้นทุนด้านการศึกษาหลักสูตรภาษา อังกฤษแทน “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” มีราคาเท่าไร? โดย พื้นฐานแล้วเศรษฐกิจไทยสะท้อนความสำคัญของภาษาอังกฤษ อัตราค่าจ้างในไทยแสดงให้เห็นถึง “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” (English premium) ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งหมายถึงช่องว่างระหว่างอัตราค่าจ้างสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษได้และ อัตราค่าจ้างสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ในปี 2552 ความแตกต่างระหว่างเงินเดือนผู้บริหารกับพนักงานธุรการในไทยอยู่ที่ 1,140% ซึ่งติดอันดับ 4 จาก 56 ประเทศในกลุ่มสำรวจ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าความแตกต่างระหว่างอัตราค่าจ้างในไทยนั้นขึ้นอยู่กับ ทักษะด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก ส่วนในสิงคโปร์นั้นความแตกต่างของอัตราค่าจ้างอยู่ที่ 500%[3] ถ้าเราสมมติให้การกระจายทักษะอาชีพในกลุ่มประชากรเหมือนกันในทุกประเทศ (ยกเว้นทักษะด้านภาษา) “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” ในไทยจะอยู่ที่ 640% ตัว เลข “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” ของไทยนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก ซึ่งก็ตอบคำถามว่าทำไมคนไทยจึงนิยมเดินทางไปศึกษาในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ กันนัก ถึงแม้ว่าข้าราชการและรัฐบาลไทยจะยังคงลังเลไม่ยอมรับภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ สองก็ตาม นอกจากนี้ ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเสมือนเป็นบัตรผ่านไปสู่สังคมระดับสูง นักการเมืองที่พูดภาษาอังกฤษไม่คล่องแคล่วมักจะโดนสบประมาทโดยคู่แข่งทางการ เมืองและคนชั้นกลางในเมือง ดังนั้น “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” จึงกลายเป็นปัจจัยเบื้องหลังการเติบโตของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติและหลักสูตร ภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยไทย ถ้ากระทรวงศึกษาฯ อนุมัติให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่สอง การสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นหลักสูตรกระแสหลักซึ่งได้รับการสนับสนุน โดยงบประมาณรัฐ ดังนั้น นโยบายนี้จะลดความต้องการที่มีต่อโรงเรียนนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ ดำเนินงานโดยความสมัครใจ ด้วยเหตุนี้เองส่วนต่างระหว่างค่าเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษและค่าเรียนหลัก สูตรภาษาไทยจะกลายเป็นตัวเลขที่แสดง “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” ตัวอย่าง เช่น เราสามารถเปรียบเทียบค่าเทอมประจำปีของหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาตรี ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรภาษาอังกฤษที่คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ราคา 149,000 บาทต่อปี [4] ส่วนหลักสูตรภาษาไทยที่คณะเดียวกันราคา 29,000 บาทต่อปี [5] จากข้อมูลนี้ “ส่วนต่างจากภาษาอังกฤษ” คือ 149/29 หรือ 514% มองอนาคต ใน 20 ปีข้างหน้า ภาษาจีนอาจมีความสำคัญเทียบเท่ากับภาษาอังกฤษในด้านการค้าและการลงทุน ระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามภาษาอังกฤษจะยังคงมีความสำคัญอยู่เพราะประเทศอาหรับ ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ไม่มีท่าทีสนใจที่จะเปลี่ยนภาษาธุรกิจจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน นอกจากนี้ คงเป็นไปได้ยากที่ภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเปลี่ยนจากภาษาอังกฤษ เป็นภาษาจีนด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วการตัดสินใจของกระทรวงศึกษาฯ นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้วางนโยบายสาธารณะในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ สำหรับคนเอเชียที่ปรารถนาจะพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นตัวเลือกต้นทุนต่ำที่มีไว้ทดแทนการศึกษา ในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา หรือแคนาดา เพราะระยะทางที่ใกล้กับเอเชีย ผู้วางนโยบายสาธารณะในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จึงตระหนักดีถึงข้อได้เปรียบ นี้และยินดีต้อนรับจำนวนนักเรียนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจากทวีปเอเชีย การส่งออกบริการด้านการศึกษาไปสู่ประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยทำรายได้มูลค่า มหาศาลให้สถาบันการศึกษาจำนวนมากในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ดิฉันหวังว่ากระทรวงศึกษาธิการจะพิจารณานโยบายนี้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
คนเสื้อแดงร่วมทอล์คโชว์ “วอน นอน คุก” ล้อปัญหาการเมืองไทย Posted: 06 Dec 2010 03:00 PM PST บก.ลายจุดจัดทอล์คโชว์ “วอน นอน คุก” ล้อเลียนเรื่องการเมือง คนเสื้อเเดงร่วมงานล้นหลาม เผยเตรียมตั้งโรงเรียนเเกนนอน สอนประชาธิปไตย สร้างความเข้มแข็ง โดยไม่ต้องพึ่งแกนนำ
วานนี้ (6 ธ.ค.) ที่ชั้น 6 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ได้จัดการแสดงทอล์คโชว์ "วอน นอน คุก" ขึ้น หลังจากที่ได้เลื่อนการจัดงานจากวันที่ 5-6 ธ.ค.มาเป็นวันที่ 6 ธ.ค.เพียงวันเดียว โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาร่วมงานจำนวนมาก สำหรับเนื้อหาในการทอล์กโชว์นั้น มีการกล่าวพาดพิงถึงกลุ่มบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 การสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.- พ.ค.2553 และการสืบสวนข้อเท็จจริงที่อยู่ในการดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ รวมทั้งเรื่อง 2 มาตรฐานในสังคมไทย นอกจากนั้น นายสมบัติยังได้นำบทกลอนของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่เขียนผ่านกรงขัง ลงชื่อจาก "คนนอนคุก" มาอ่านบนเวทีเรียกเสียงปรบมือก้องห้องประชุม อีกทั้งยังมีการขับร้องเพลง ชื่อ "ศิษย์เก่าราชประสงค์" ที่แต่งโดยกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 8 เดือนราชประสงค์ โดยกลุ่มศิลปินลูกหลานคนเสื้อแดง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติ กล่าวภายหลังจบการแสดงรอบแรกว่า การเคลื่อนไหวต่อจากนี้ตนจะขอเป็นหลักในวันที่ 19 ธันวาคม จะมีกิจกรรมครบรอบ 8 เดือนราชประสงค์ เชิญชวนประชาชนทั่วประเทศพับนกกระดาษสีแดงจำนวน 1 ล้านตัว นำมาติดห้อยตามต้นไม้รอบๆ ราชประสงค์ เพื่อให้ระลึกถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่การจองจำ นายสมบัติ อธิบายว่า นกกระดาษสีแดงนี้จะเป็นสัญลักษณ์ให้ปล่อยหรือประกันตัวนักโทษการเมือง เพราะจากการที่ได้เดินทางไปเยี่ยมนักโทษการเมืองในหลายจังหวัด พบว่าเป็นการลงโทษไม่เหมาะสม เช่น เรื่องโทษวางเพลิงที่ออกหมายจับถึง 400 กว่าคนถือว่าโหดมาก ทั้งที่ผู้เกี่ยวข้องอาจมีไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ และแม้แต่แกนนำที่เข้ามอบตัวก็ควรได้รับการประกันตัว รัฐบาลต้องส่งสัญญาณให้ชัดเจนในเรื่องการประกันตัว นายสมบัติ กล่าวด้วยว่า ในปีหน้าจะลดบทบาทการเคลื่อนไหวกิจกรรมของกลุ่มอาทิตย์สีแดง และจะเน้นวางรากฐานทางความคิดในโรงเรียนประชาธิปไตยในรูปแบบแกนนอน คู่ขนานไปกับโรงเรียน นปช. ของนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ โดยวางว่าจะทำงานด้านความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้มาก และหลักสูตรของโรงเรียนจะเน้นใน 4 ประเด็น คือ 1.ประชาธิปไตยคืออะไร 2.ว่าด้วยเรื่องการสื่อสารประชาธิปไตยให้คนต่างสีเข้าใจ คนเสื้อแดงต้องเป็นนักอธิบายได้ 3.รวมกลุ่มหรือจัดตั้งองค์กรประชาธิปไตย และ 4.สามารถออกแบบกิจกรรมประชาธิปไตยได้เอง ทั้งนี้ เขาได้วางแผนที่จะก่อตั้งโรงเรียนแกนนอนให้ได้ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยหลังจากทอล์กโชว์ครั้งนี้ก็จะเริ่มทำการเวิร์คชอปในต้นเดือน ม.ค.2554 ทันที นาย สมบัติ กล่าวอีกว่า การตั้งโรงเรียนแกนนอนไม่ได้จุดประสงค์หรือโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องการที่จะสร้างประชาธิปไตยในระดับพื้นฐานให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งส่วนตัวสนใจในแกนนำระดับซอย เเละระดับหมู่บ้านที่จะทำให้คนเหล่านี้สามารถรวมกลุ่มแล้วเข้าใจประชาธิปไตย ที่ถูกต้องว่าคืออะไร ไม่สนใจแกนนำในระดับจังหวัด ซึ่งตั้งเป้าว่าจะสอนกลุ่มละ 15-30 คนขึ้นไป กระจายเป็นกลุ่มๆ เล็กๆ ทั่วประเทศ โดยหลักสูตรหนึ่งจะใช้เงินไม่เกิน 150 บาทต่อคน เมื่อกลุ่มเหล่านี้กระจายไปทั่วประเทศก็จะสามารถรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมได้ ด้วยตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง โดยไม่ต้องพึ่งแกนนำ ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว โดยตนไม่ต้องออกมาเป็นแกนนำตลอดไป จะมีคนเหล่านี้ขึ้นมาทำกิจกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งได้ทันทีและทั้งประเทศในเรื่องประชาธิปไตย เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจาก: มติชนออนไลน์ และ เนชั่นทันข่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
"ฮุนเซน" เผยสัมพันธ์ "ไทย-เขมร" คืนปกติหลังคุย "อภิสิทธิ์" 4ครั้ง Posted: 06 Dec 2010 02:54 PM PST ระบุปัญหาต่างๆ ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไข รวมถึงการปักปันเขตแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหาร และการเปิดด่านชายแดนระหว่างกันใหม่ สำนักข่าวเอพีรายงานวันที่ 6 ธันวาคม 2553 ว่า สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาที่เกิดปัญหาตึงเครียดกันบ่อยครั้งว่า ได้กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว โดยเป็นผลมาจากการที่ได้พบปะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีไทย นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ปรับดีขึ้น ระหว่างร่วมงานพิธีสำเร็จการศึกษาในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชาว่า หลังจากมีโอกาสพบปะพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึง 4 ครั้ง ปัญหาพิพาทตามแนวชายแดนที่ทำให้กองกำลังทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกันในบางครั้งนั้นได้ผ่อนคลายลง "สภาวะปกติได้กลืนสู่ความสัมพันธ์ของเรา" สมเด็จฯ ฮุน เซน กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาต่างๆ ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไข รวมถึงการปักปันเขตแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหาร และการเปิดด่านชายแดนระหว่างกันใหม่ สมเด็จฯ ฮุน เซน กล่าวอีกว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางเยือนกัมพูชาในวันที่ 19 ธันวาคม 2553 นี้ด้วย เพื่อร่วมงานฉลองวาระครบรอบ 60 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น