โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

"อภิสิทธิ์" แถลงผลงาน 2 ปีรัฐบาล

Posted: 24 Dec 2010 10:21 AM PST

(24 ธ.ค.53) เมื่อเวลา 17.15 น. นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานรัฐบาล ครบ 2 ปี ว่า ในช่วงก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งที่เป็นเงื่อนไขภายในและจากภายนอก โดยที่เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ภาวะวิกฤตที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบศตวรรษ ความขัดแย้งในสังคมที่เกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมเป็นธรรม ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาการว่างงานที่คาดว่าจะมีความรุนแรง ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดินให้เดินหน้าก้าวไปสู่ความมั่นคงและมั่งคั่ง

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน พร้อมทั้งวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อแก้ไขสถานการณ์และปัญหาดังกล่าวให้ได้โดยเร็วและต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในแง่การปฏิบัติงานได้ตั้งกฎเหล็ก 9 ข้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนทั่วประเทศได้มั่นใจว่ารัฐบาลเข้ามาบริหาร ประเทศด้วยความจริงใจและปฏิบัติงานจริงจัง เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว และพัฒนาประเทศก้าวสู่สังคมที่เป็นสุขและมีความมั่นคงในชีวิต

ขณะที่การบริหารราชการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลมุ่งมั่นและอาสาเข้าแก้ไขปัญหาให้การพัฒนาเกิดความเท่าเทียม ลดความเลื่อมล้ำในสังคม ใช้หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ บรรเทา เศรษฐกิจฟื้นตัว และสังคมมีความสุข ส่งผลบวกในทุกมิติของการพัฒนาประเทศ โดยจะเห็นได้จาก อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 7.9 ในปี 2553 จากที่เคยชะลอตัวลงอย่างรุนแรงติดลบที่ร้อยละ 2.33 ในช่วงเดียวกันก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ, อัตราของคนว่างงานลดลงเหลือเพียง 343,000 คน (0.9 %) ในปี 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนรัฐบาลเข้าบริหารประเทศในช่วงเดียวกันที่มีการคาด การณ์กันไว้ว่าอาจสูงถึง 2 ล้านคน, มูลค่าการส่งออกเทียบ พฤศจิกายน 2551 กับ พฤศจิกายน 2553 เพิ่มสูงขึ้นถึง 17,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าที่เคยส่งออก 11,800 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ, จำนวนท่องเที่ยวเดือน เทียบปี 2551 กับ 2553 จะเห็นว่าสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 15.2 ล้านคน ในปี 2553 เมื่อเทียบกับปี 2551 อยู่ที่เพียง 14.6 ล้านคนเท่านั้น และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวสูงกว่าเป้า, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูง ขึ้นในรอบ 2 ปีที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ โดยเพิ่มขึ้นสูงถึง 1,002.90 จุด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศที่อยู่เพียง 449.96 จุด

ส่วนราคาสินค้าเกษตรนั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการได้ส่งผลถึงเกษตรกรรายย่อย ที่ประกอบอาชีพหลักของประเทศได้อย่างทั่วถึงทุกภาค จะเห็นได้จาก ราคาข้าว เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13, 645 บาท/ตัน จากเดิมอยู่ที่ 12,755 บาท/ตัน เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ, ราคาข้าวโพด เพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.67 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 6.51 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ, ราคามันสำปะหลัง เพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.25 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 1.16 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ, ราคายาง เพิ่มสูงขึ้นเป็น117 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 34 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ, ปาล์มน้ำมัน เพิ่มสูงขึ้นเป็น 6.67 บาท/กก. จากเดิมอยู่ที่ 3.31 บาท/กก. เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ

ซึ่งผลการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นมาตรการที่รัฐบาลต้องการวางฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในระยะยาว แม้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่ครบวาระแต่ประเทศชาติต้องเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างความปรองดองของชาติอย่างบูรณาการอย่างไม่เลือกชนชั้น ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเพื่อประชาชนร่วมแก้ไขปัญหา อาทิ ลดภาระค่าใช้จ่าย ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เป็นการช่วยลดค่าครองชีพและมีรายได้จับจ่ายใช้สอยในครัวเรือนให้เป็นสุขมากขึ้น, เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 5.7 ล้านคน เป็นสวัสดิการรัฐต้องการสร้างชีวิตให้คนในสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น, หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน เป็นสวัสดิการรัฐที่ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงคนไทยทั้งประเทศ, ค่าตอบแทน อสม. 976,343 คน เป็นสวัสดิการที่รัฐต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการท้องถิ่นได้ ปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพ, ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท เป็นมาตรการรัฐที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยให้มีรายได้อย่างเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แล้วเสร็จกว่า 6 แสนราย เข้าโครงการแล้ว 1 ล้านราย เป็นมาตรการที่รัฐได้ให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใจถึงกิจกรรมที่สร้างรายได้ลดรายจ่ายอยู่อย่างพอเพียง, โฉนดชุมชน อนุมัติแล้ว 35 แปลง เป็นมาตรการรัฐที่ต้องการช่วยเหลือให้ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยเฉพาะผู้ไร้ที่ดินทำกินเพื่อเกษตรกรรม, ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย กว่า 3 ล้านกิโลเมตร เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องการช่วยเสริมโครงสร้างพื้นเศรษฐกิจและ สังคมให้สามารถรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว, แก้ปัญหามาบตาพุด ตั้งกรรมการแก้ปัญหาและติดตามผล ครม.เห็นชอบเก็บภาษีจาก ผู้ผลิตมลพิษ ภาครัฐตระหนักถึงภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาที่ผ่านมา และเร่งแก้ไขปัญหาโดยยึดการมีส่วนร่วมของประชาชนมาร่วมดำเนินการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว, ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาทแล้วกว่า 6แสนครอบครัวเป็นเงิน กว่า 3 พันล้าน เป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่รัฐได้เร่งเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก อุทกภัยเท่านั้น แต่ภาครัฐยังมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก เช่น การให้ความช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย เป็นต้น

ขณะที่โครงการในอนาคตเพื่อสร้างความสุขให้สังคมไทย รัฐบาลก็เตรียมที่จะจัดตั้งธนาคารที่ดิน จัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมในสังคม, เตรียมพัฒนาระบบราง 180,000 ล้านบาท, พัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูงร่วมกับจีน รถไฟฟ้า 5 สายรองรับ 3.3 ล้านคน เพื่อวางรากฐานรองรับการพัฒนาประเทศเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต, ระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงราคาถูก ถึงประชาชน 40 ล้านคน ในปี 2558 เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้และความเท่าเทียมให้กับสังคมไทยได้ก้าวทัน สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว, เตรียมประกาศแผนปฏิรูปประเทศไทย เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน 1 มกราคม 2554 เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม การเมืองและกระบวนการยุติธรรม และการศึกษา เพื่อสร้างความปรองดองให้กับคนไทยทั้งชาติ

ขณะที่บทบาทในระหว่างประเทศต่างชาติก็ให้การยอมรับความสัมพันธ์เพื่อนบ้านก็คลี่คลายในทางที่ดี เราปกป้องประโยชน์ของชาติทุกเรื่อง ส่วนกรณีเขตแดนไทย - กัมพูชานั้น เราได้คัดค้านแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ถึง 2 ครั้ง และยืนยันไม่มีการสูญเสียดินแดนเป็นอันขาด ในทางกลับกันได้ย้ายชุมชนชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาทได้แล้วส่วนหนึ่ง ในส่วนของกองทัพก็ช่วยในการรักษาสันติภาพ และปราบปรามโจรสลัดในต่างแดน

ส่วนปัญหาด้านความมั่นคง 3 จว.ชายแดนใต้นั้น รัฐบาลได้ใช้แนวทางภายใต้พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งกำลังส่งผลชัดเจน โดยมีแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบให้ความร่วมมือกับภาครัฐมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้วในจ.สงขลา ทั้ง 4 อำเภอ และในปีใหม่นี้ก็จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 1 อำเภอ นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสะท้อนคลี่คลายปัญหานี้

ด้านปัญหายาเสพติดได้มีการจับกุมรายใหญ่เพิ่มขึ้น ตนได้เข้มงวดมากขึ้น ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสจนทำให้มีการจับกุมได้มากขึ้น ส่วนการทุจริตคอรัปชั่น ยืนยันว่าต่างชาติมองว่าเราทำได้ดีขึ้นแต่ยังไม่น่าพอใจจะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น ขอขอบคุณเอกชนที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ตนยืนยันไม่ละเลยให้มีการสอบสวน 2 ปีที่ผ่านมามีหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่า ความรับผิดชอบทางกฏหมาย ขณะที่ความขัดแย้งในสังคม ถ้าจะให้คนคิดต่างคิดเหมือนกันคงยาก แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ ตนตั้งใจจะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจซึ่งกันและกันได้ คือต้องรักษาหลักการบ้านเมือง ให้ความเป้นธรรม ให้การเอาใจใส่สิทธิของกันและกัน เชื่อว่าทุกฝ่ายจะให้การสนับสนุน ถ้าทุกคนร่วมกันยุติความรุนแรงก็สามารถหลุดพ้นจากความขัดแย้งได้ เชื่อว่าปีหน้ากระบวนการยุติธรรมจะสามารถให้คำตอบเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งได้ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า

นายกรัฐมนตรี เผยก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ในการบริหารงานของรัฐบาลจะเริ่มต้นด้วยกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างและปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเพาะอย่างยิ่งจะมีมาตรการ 4 ด้าน คือ ระบบเศรษฐกิจ ระบบสวัสดิการ กระบวนการยุติธรรม และกระบวนการการศึกษา

"ผมขอยืนยันว่านับจากการขึ้นปีที่ 3 เป็นต้นไป ไม่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือจัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ตาม แต่การเดินหน้าทำงานจะไม่หยุด สิ่งที่เราได้กำหนดเป็นแนวทางในการวางอนาคตเพื่อคนไทยคนไทย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ในส่วนของระบบเศรษฐกิจ จะเร่งรัดปฏิบัติการเพื่อคนไทยลดภาระค่าครองชีพ โดยหลังปีใหม่จะประกาศรายละเอียดทั้งหมด เรื่องค่าไฟ ก๊าซหุงต้ม น้ำมัน อาหาร สินค้าอย่างเช่น ไข่ไก่ หมู ไก่ จะมีคำตอบ มีแผนที่ชัดเจน โดยใช้งบประมาณน้อยมากหรือไม่ใช้เลย แก้โครงสร้างในกลไกของเราให้คนยากจน ที่บ่นว่าของแพงมีคำตอบในระยะยาวมากขึ้น และความไม่เป็นธรรมในโครงสร้างเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สิน

ระบบสวัสดิการ การขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคม จะมีการแก้ไขกฎหมายให้ครอบคลุมคู่สมรส บุตรให้มากขึ้น หลังจากไปสำรวจพบว่ายังมีกลุ่มที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือ เช่นแม่และเด็กเล็ก และที่จะต้องดำเนินการต่อ คือด้านโภชนาการ พัฒนาการสมอง ขยายศูนย์เด็กเล็กให้ครบทุกตำบล และกองทุนเงินออมแห่งชาติ เพื่อปูทางไปสู่การที่คนธรรมดาจะมีบำเน็จบำนาญ

กระบวนการยุติธรรม จะเดินหน้าให้ประชาชนจำนวนมากที่มีปัญหาการรับบริการทางกฎหมายมุ่งสร้าง ยุติธรรมชุมชน เข้าสู่ชุมชนต่างๆ จะปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมต้นทาง คือ ตำรวจ ปกิรูปตำรวจให้ทำงานใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น มีการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ให้ความสำคัญกับกระบวนการสอบสวนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะผลักดันต่อไป

ด้านการศึกษา จะช่วยเด็กด้อยโอกาสอีกมาก เด็กชนบท เด็กพิการ เด็กที่ต้องออกจากโรงเรียน จะมีโครงการรพิเศษให้ครอบคลุมกลุ่มคนเหล่านี้ ขณะเดียวกันจะมีโครงการคืนครูให้นักเรียน ส่งเสริมครูสอนดี ให้รางวัล และจะพยายามปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

"ผมทำงานมา 2 ปี แม้หลายเรื่องที่เล่าให้ฟังจะผลักดันให้สำเร็จ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่พี่น้องยังไม่พอใจ ยกตัวอย่าง ยาเสพติดอบายมุข, ทุจริตคอรัปชั่นและ ความขัดแย้งในสังคม" นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งทางสังคม โดยเชื่อว่าในปีหน้าจะมีความคืบหน้าในกระบวนที่เกี่ยวข้องกับคดีการละเมิด และการกระทำผิดทางกฎหมาย ยืนยันว่าจะพยายามลดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมไม่ว่าจะมีควาเมห็นที่แตกต่าง กันอย่างไรก็จะต้องอยู่ร่วมกันได้ในสังคม

"ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ แต่จะให้ความเป็นธรรมดูแลเอาใจใส่ของแต่ละบุคคลที่พึงจะได้รับความเป็น ธรรม...ของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลจะให้คือเราจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนและ คืนความสงบสุขให้คนไทย" นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

ที่มา: โพสต์ทูเดย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตำรวจรวบมือวางบึ้ม 4 จุดสันกำแพง

Posted: 24 Dec 2010 09:59 AM PST

ตำรวจเชียงใหม่จับมือระเบิดป่วนเมืองเชียงใหม่ เตรียมขยายผลผู้ร่วมขบวนการ สารภาพทำเพราะความคึกคะนองและต้องการระบายความเครียด

(24 ธันวาคม 53) พล.ต.ท.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ผู้บัชญการตำรวจภูธรภาค 5 นำตัว นายธีรศักดิ์ สุวรรณ์ ชาวบ้านอ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มาสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ภายหลังจากถูกตำรวจสันกำแพงจับกุมได้ขณะที่ผู้ต้องหาได้ออกปาระเบิดในเขตอ.สันกำแพง รวมทั้งหมด 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 19-22 ธ.ค.ที่ผ่านมา

โดยเฉพาะระเบิดภายห้องน้ำที่ ว่าการอำเภอสันกำแพง และห้องน้ำภายในวัดแช่ช้าง จนได้รับความเสียหาย เบื้องต้นพบอุปกรณ์ที่ใช้ประดิษฐ์ระเบิดจำนวนมาก

ทั้งนี้ตำรวจจับกุมนายธีรศักดิ์ได้หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ ก่อนที่จะมีการขยายผลการจับกุม ซึ่งจะขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าที่ทำไปเพราะความคึกคะนองและต้องการระบายความเครียด

ส่วนความคืบหน้าคดีสังหารดีเจแดง คชสาร หลังจากพบรถตุ๊กตุ๊กของผู้ตายแล้ว ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบหาหลักฐานอยู่ ซึ่งคดีนี้ถือว่าละเอียดอ่อนมาก ทางตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ยังไม่ตั้งประเด็นการสังหารว่าเป็นประเด็นใด เพราะหากตั้งประเด็นก็อาจทำให้สังคมสงสัยหรือไม่เข้าใจได้ จึงต้องรอความชัดเจน ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้เร่งรัดคดี โดยจะมีการรายงานผลทางคดีทุกๆ 3 วัน และจะมีการลงพื้นที่หาข่าวทุกวันอยู่แล้ว

ด้านเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ระหว่างการสอบถามของผู้สื่อข่าว นายธีรศักดิ์ได้กล่าวถึงสาเหตุการก่อเหตุระเบิดห้องน้ำบริเวณใกล้ที่ว่าการ อำเภอสันกำแพงว่า เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวเพราะต้องการจะระเบิดรถของกลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับสถานีตำรวจภูธรสันกำแพง แต่ว่าไม่พบรถของกลางในพื้นที่ จึงเปลี่ยนใจก่อเหตุระเบิดในห้องน้ำแทนเพราะเห็นว่าเป็นที่ปลอดคน

นอกจากนี้ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ยังระบุว่ามีรายงานว่า พื้นที่ที่เกิดเหตุนั้น นายธีรศักดิ์อาศัยอยู่กับภรรยาในปัจจุบัน โดยตัวนายธีรศักดิ์และภรรยา ซึ่งมีภาพปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมนั้น เคยเข้าร่วมกิจกรรมของคนเสื้อแดงมาแล้วหลายครั้ง

 

ที่มา: โพสต์ทูเดย์ และเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลยกคำร้องขอเบิกตัวแกนนำ นปช. มาศาล จันทร์นี้

Posted: 24 Dec 2010 09:44 AM PST

ศาลอาญา ยกคำร้อง การขอเบิกตัว แกนนำ นปช. จำเลยในคดีก่อการร้ายมาฟังการตรวจสอบพยาน ในวันจันทร์ที่ 27 ธ.ค.นี้ ขณะที่ทนาย นปช. เตรียมยื่นจำหน่ายคดีดังกล่าว เหตุการไต่สวนที่ผ่านมาเป็นไปโดยมิชอบ

 
นายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม นี้ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีก่อการร้าย ทีมทนายได้ยื่นคำร้องขอเบิกตัวจำเลยมาฟังการพิจารณาคดี เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง จำเลยจึงควรมีสิทธิ์ออกมาฟังกระบวนการพิจารณาคดีในประเด็นที่ยังไม่มีความ ชัดเจน พร้อมจะขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนห้องพิจารณาคดี ให้สามารถรองรับผู้ที่จะเข้าฟังการพิจารณาคดีได้อย่างทั่วถึง
 
อย่างไรก็ตาม ศาลได้ยกคำร้อง การขอเบิกตัว แกนนำ นปช.มาฟังการพิจารณาคดี เนื่องจากการตรวจสอบพยานไม่จำเป็นต้องทำต่อหน้าจำเลย และหากแกนนำ ไม่เดินทางมายังศาล ก็จะทำให้มีผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีจำนวนไม่มาก จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบังลังค์การพิจารณา
 
หลังฟังคำตัดสิน นายคารม ทนาย นปช.เปิดเผยว่า ในวันจันทร์นี้ ตนจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้จำหน่ายคดีดังกล่าวออกไปก่อนเนื่องจากเห็นว่า มีการไต่สวนที่ผ่านมาเป็นไปโดยมิชอบ
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แกนนำและแนวร่วม นปช. รวม 19 คน ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
 
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการช่วยเหลือการประกันตัวแกนนำ นปช.และกลุ่มคนเสื้อแดง ภายหลังท่าที่ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง  และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความขัดแย้งกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เป็นการแบ่งบทกันเล่นแบบตีสองหน้า ดังนั้น รัฐบาลจึงควรผลักดันการประกันตัว นปช. ทั้งหมด เพื่อเริ่มต้นกระบวนการปรองดอง
 
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ มองว่า หากรัฐบาลยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนกรณีการประกันตัว นปช. จะสะท้อนให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์กลายเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองเสียเอง เนื่องจากการคุมขังกลุ่มนปช. จะถูกนำไปเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งของคนในชาติ
 
 
ที่มา: voicetv
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อนุสรณ์ อุณโณ: เพราะศาลมันเอียง

Posted: 24 Dec 2010 09:07 AM PST

ศาลอยู่คู่กับคนไทยมานมนานแล้ว ในสมัยก่อนแทบทุกบ้านมีศาลพระภูมิ และปัจจุบันบ้านหลายหลังก็ยังมีศาลพระภูมิอยู่ริมถนนโดยเฉพาะบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ทางโค้ง และจุดเกิดอุบัติเหตุมักมีศาลเพียงตา บริเวณดอนปู่ตาในภาคอีสานก็มักมีศาลปู่ตาตั้งอยู่ ชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของคนไทยจึงดูจะขาดศาลไม่ได้

ศาลเหล่านี้มักถูกหมายความให้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติที่ตกทอดมาแต่อดีตและดำรงอยู่เคียงคู่กับพุทธศาสนาซึ่งแพร่เข้ามาภายหลัง ทำหน้าที่คล้ายกับกลไกควบคุมทางสังคม เช่น ดอนปู่ตาซึ่งศาลปู่ตาตั้งอยู่มักเป็นบริเวณป่าริมป่าช้า ข้อห้ามการทำบาปหรือการทำผิดศีลธรรมต่างๆ ในบริเวณดอนปู่ตาจึงมีส่วนช่วยควบคุมการตัดไม้ทำลายป่าในบริเวณดังกล่าว เพราะความที่คนกลัวในอิทธิฤทธิ์ของผีปู่ตา ในทำนองเดียวกัน ศาลพ่อตาหินช้างที่จังหวัดชุมพรมีส่วนช่วยควบคุมพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนน (ไม่จำเป็นต้องจำกัดเฉพาะการเคารพกฎจราจร) เพราะความที่คนเกรงกลัวในความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อตาหินช้าง ต้นไม้บริเวณดอนปู่ตาคงจะถูกตัดทำลายมากกว่าที่เป็นอยู่หากไม่มีศาลปู่ตากำกับดูแล ผู้คนคงจะขับรถผ่านบริเวณเชิงเขาด้วยความสำรวมลดลงหากไม่มีศาลพ่อตาหินช้างจับตาอยู่ ศาลจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและกฎระเบียบโดยตรง

อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าคุณลักษณะของอำนาจและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับศาลเหล่านี้ยังไม่ได้รับการขยายความมากนัก นักวิชาการจำนวนหนึ่งหมายความความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติใน สังคมไทยว่าเป็นสัญลักษณ์ของอุดมการณ์อำนาจ แต่ไม่ได้สำรวจต่อว่าอำนาจดังกล่าวนี้มีลักษณะจำเพาะอย่างไร ผมคิดว่าความน่าสนใจของอำนาจที่อยู่ในรูปกฎระเบียบเหล่านี้มีอย่างน้อยสอง ประการ ประการแรก กฎระเบียบของศาลศักดิ์สิทธิ์ไม่แบ่งช่วงระหว่างการบัญญัติ การบังคับใช้ และขั้นตอนอื่นๆ โดยทั่วไปเรามักจะคุ้นเคยกับการจำแนกกฎระเบียบออกเป็นช่วงๆ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมาย ตำรวจบังคับใช้กฎหมาย ผู้พิพากษาประเมินว่าผลการบังคับใช้กฎหมายควรเป็นเท่าไหร่อย่างไร โดยมีการลงทัณฑ์แปลผลการประเมินของผู้พิพากษาเป็นปฏิบัติการ แต่ศาลศักดิ์สิทธิ์ทั้งบัญญัติและบังคับใช้กฎระเบียบ รวมทั้งประเมินผลการบังคับใช้กฎระเบียบและแปลผลดังกล่าวเป็นปฏิบัติการใน คราวเดียวกัน จึงไม่มีขั้นตอนหรือช่วงเวลาต่างๆ ของกฎระเบียบอีกต่อไป

ประการที่สอง กฎระเบียบเหล่านี้ไม่ได้ใช้บังคับในมิติเดียวกันกับที่ถูกบัญญัติขึ้น ข้อห้ามในศาลปู่ตาไม่ได้ใช้บังคับภูตผีวิญญาณซึ่งอยู่ในภพเดียวกับผีปู่ตา เท่าๆ กับใช้บังคับมนุษย์ซึ่งอยู่ต่างภพ เรื่องเล่าเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ของผีปู่ตาไม่ได้เป็นเรื่องว่าผีปู่ตาไปปราบภูตผีตนใดเสียราบคาบ เท่าๆ กับเป็นเรื่องว่าผีปู่ตาได้ลงโทษมนุษย์ที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบที่วางไว้อย่างไร ซึ่งส่งผลให้กฎระเบียบของผีปู่ตามีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ชวนให้ไม่อยากละเมิดมากขึ้น ซึ่งการบังคับใช้กฎระเบียบในลักษณะข้ามภพข้ามมิติเช่นนี้ต่างจากการบังคับ ใช้กฎระเบียบตามกฎหมาย เช่น กฎหมายมักเขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายไหนมีอำนาจหน้าที่ อะไร ความผิดอะไรที่เจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายไหนสามารถบังคับใช้กฎหมายฉบับไหนได้ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ไม่มีอำนาจหน้าที่ไล่จับหาบเร่แผงลอยฉันใด เทศกิจก็ไม่มีอำนาจหน้าที่เข้าทลายแหล่งผลิตยาเสพติดฉันนั้น ฉะนั้น การที่ใครมีสิทธิอำนาจบังคับใช้กฎระเบียบอะไรจึงขึ้นอยู่กับตำแหน่งหน้าที่ ภายใต้กฎหมายเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าคนไทยจำนวนมากไม่ได้วางอำนาจศักดิ์สิทธิ์กับอำนาจตามกฎหมายไว้คนละขั้วอย่างนั้น แต่มีแนวโน้มที่จะทำให้อำนาจทั้งสองประเภทนี้เหลื่อมซ้อนกันอยู่ตลอดเวลา เช่น คนที่เข้ารับราชการโดยเฉพาะในหน่วยงานที่มีอำนาจจำพวกทหารตำรวจ นอกจากคาดหวังว่าจะเข้าไปบังคับใช้กฎหมายภายใต้ตำแหน่งหน้าที่แล้ว พวกเขาจำนวนมากยังต้องการอาศัยตำแหน่งหน้าที่ไปสร้างและบังคับใช้กติกาที่อยู่นอกกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบบ่อนการพนัน หรือการวางกฎเกณฑ์คิวรถโดยสาร ขณะเดียวกันพวกเขาก็คาดหวังว่าตำแหน่งหน้าที่เหล่านี้จะทำให้พวกเขามี “เส้น” ที่สามารถให้บริการกับผู้ต้องการก้าวข้ามหรือลัดระเบียบขั้นตอนปกติ ซึ่งความคาดหวังในอำนาจตามกฎหมายเช่นนี้คล้ายคลึงกับความคาดหวังที่เรามีต่อ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ คนไทยจำนวนมากบนบานศาลกล่าว (หรืออีกนัยหนึ่งคือติดสินบน) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยเครื่องเซ่นนานาชนิดเพื่อให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือแคล้วคลาดจากภยันตราย เพราะเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีพลังอำนาจที่สามารถแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในโลกปกติได้

ขณะเดียวกันคนไทยจำนวนไม่น้อยต้องการให้รวบระเบียบขั้นตอนตามกฎหมายให้เหลือเพียงห้วงเวลาเดียวเหมือนเช่นปฏิบัติการของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เช่น ในการเผชิญกับการระบาดของยาเสพติด หลายคนกลัวและสิ้นหวังจนกระทั่งเพิกเฉยหรือว่าให้ท้ายการใช้วิธีนอกกฎหมาย จัดการกับผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด เพราะเห็นว่ามีประสิทธิภาพกว่าการอาศัยระเบียบขั้นตอนตามกฎหมายที่ต้องผ่าน ทั้งตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ ในทำนองเดียวกัน ในการเผชิญกับวิกฤตการเมือง คนไทยจำนวนมากหันหลังให้กับการเมืองแบบตัวแทนและไปหวังพึ่งการเมืองแบบแต่งตั้ง เพราะเชื่อว่าสามารถปกครองบ้านเมืองได้ดีกว่าหรือมีคุณธรรมกว่าการเมืองแบบ ตัวแทนที่กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ เปิดโอกาสให้กับการฉ้อฉล พวกเขาเชื่อว่าด้วยการอาศัยผู้มีบุญญาบารมีที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นศาลศักดิ์สิทธิ์ก้าวข้ามขั้นตอนของกฎระเบียบโดยทั่วไป จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถฟันฝ่าวิกฤติต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ได้

ฉะนั้น อำนาจของศาลจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความยุติธรรม เพราะคนไทยจำนวนมากไม่ได้คาดหวังให้ศาลใช้อำนาจในการประยุกต์กฎระเบียบเข้ากับความผิดอย่างเสมอกัน แต่ต้องการให้มีลักษณะเป็นอาญาสิทธิ์ที่สามารถร้องขอหรือติดสินบนให้ก้าวก่ายหรือแทรกแซงกฎระเบียบในโลกปกติได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพิสมัยของศาลด้วย ขณะเดียวกันคนไทยจำนวนมากก็ไม่ได้คาดหวังให้อำนาจศาลอยู่ในขั้นตอนหนึ่ง ของกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบ แต่ต้องการให้เป็นอำนาจชนิดที่สามารถก้าวข้ามหรือรวบรัดขั้นตอนของกฎระเบียบ ให้เหลือเพียงคราวเดียวเพื่อคลี่คลายปัญหาที่อำนาจในขั้นตอนธรรมดาไม่สามารถทำได้ การที่รัฐประหาร 19 กันยายน ได้รับการตอบรับจากคนจำนวนมาก ก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นการใช้อาญาสิทธิ์ที่สามารถเอาผิดกับอดีตนายกฯ ทักษิณซึ่งอำนาจตามขั้นตอนปกติไม่สามารถทำได้ ในทำนองเดียวกัน การที่คนจำนวนมากไม่ตั้งคำถามกับความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการและคำตัดสินของศาลที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมืองต่างๆ ก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นวิธีการที่สามารถชำระล้างความสกปรกของการเมืองไทย ซึ่งไม่อาจคาดหวังจากระเบียบขั้นตอนที่มีอยู่ได้

เพราะเหตุนี้ การที่พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีแม้จะละเมิดกฎระเบียบชุดเดียวกันกับพรรคการเมืองอื่นโดยที่คนไทยจำนวนมากไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะนอกจากจะเป็นเพราะคำวินิจฉัยตรงกับจริตของบุคคลเหล่านี้แล้ว ยังเป็นเพราะศาลเองก็พร้อมให้ใครต่อใครได้ติดสินบนจนเอียงกระเท่เร่มา ตั้งแต่ต้น


หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกใน คอลัมน์ คิดอย่างคน หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ มหาประชาชน ปีที่ 1 ฉบับ 16 ประจำวันที่ 17-23 ธันวาคม 2553

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บอร์ด ก.พ. ไฟเขียว กม.ตั้ง "สหภาพข้าราชการ"

Posted: 24 Dec 2010 09:02 AM PST

เว็บมติชนออนไลน์รายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการรวมกลุ่มข้าราชการพลเรือน พ.ศ.... มีเนื้อหารวม 48 มาตรา จะมีการเสนอร่างเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

สาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการเปิดทางให้ข้าราชการสามารถรวมกลุ่มกันได้ในลักษณะสหภาพ แบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ 1.สหภาพข้าราชการพลเรือน 2.สหภาพข้าราชการระดับกระทรวง 3.สหภาพข้าราชการระดับกรม และ 4.สหภาพข้าราชการระดับจังหวัด

ที่มา: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ธาริต” จวก “จตุพร” ปั้นพยานเท็จ เตรียมยื่นศาลถอนประกัน 27 ธ.ค.นี้

Posted: 24 Dec 2010 08:33 AM PST

“ธาริต” โต้ “จตุพร” แฉทหารฆ่าประชาชน ชี้สร้างพยานเท็จ เล็งยื่นขอถอนประกันตัวต่อศาล 27 ธ.ค.นี้ หลังเข้ามายุ่งกับพยานหลักฐานทางคดี-ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ 

 
กรุงเทพธุรกิจ รายงานวันนี้ (24 ธ.ค.53) ว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า กรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชน ซึ่งถือเป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชนนั้น ตนขอปฏิเสธว่าที่ผ่านมาดีเอสไอไม่เคยสรุปว่าทหารเป็นผู้ทำร้ายประชาชน อีกทั้งยังไม่มีหน่วยงานใดสอบสวนจนได้ข้อยุติในเรื่องดังกล่าว
 
การแถลงข้อมูลของนายจตุพรถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ดีเอสไอดำเนินการ โดยตนขอถามในทางกลับกันไปยังนายจตุพรว่าหากไม่มีกำลังฝ่ายทหารเข้าระงับเหตุร้ายในช่วงวิกฤติ สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ จะสามารถกลับสู่ภาวะปกติและการเผาบ้านเผาเมืองจะก่อให้เกิดมิคสัญญีหรือไม่ ที่ผ่านมาดีเอสไอไม่เคยยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดถึง มีเพียงการให้ข้อมูลของอีกฝ่ายเท่านั้น
 
อย่างไรก็ตาม การที่นายจตุพรอ้างกับสื่อมวลชนว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยไม่ใช่ข้อมูลที่มาจากการสอบสวนของดีเอสไอ แต่มาจากการจัดทำขึ้นเอง สิ่งที่นายจตุพรทำจึงถือเป็นการทำผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา 179 กรณีที่ทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานเชื่อว่ามีความผิดเกิดหรือเชื่อว่าความผิดร้ายแรงเกินความเป็นจริง มีโทษจำคุก 2 ปี
 
จากความผิดดังกล่าวตนจึงเตรียมดำเนินคดีนายจตุพรเพิ่มเติมอีกหนึ่งข้อหา และหากนายจตุพรจะกล่าวอ้างทีหลังว่าเป็นเอกสารที่ไม่ได้ทำขึ้นเองแต่มาจากสำนวนของดีเอสไอนั้นก็อาจมีความผิดอีกฐานหนึ่งคือการได้มาซึ่งข้อความหรือเอกสารอันปกปิดเป็นความลับ
 
“ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่นายจตุพรออกมาเปิดเผยนั้นยอมรับเองว่าเป็นผู้จัดทำขึ้น เพราะฉะนั้นความผิดตามมาตรา 179 จึงมีความชัดเจน” นายธาริต กล่าว
 
นายธาริต กล่าวอีกว่า จากการออกมาแถลงข่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงของคดี ตลอดจนการให้ร้ายดีเอสไอว่าจะมีการจ้างพยานวันละ 1,000 บาท เพื่อให้การใส่ร้าย และพฤติกรรมที่ปรากฏชัดอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นควรยื่นถอนประกันตัวนายจตุพรอีกครั้ง เพราะถือว่าจตุพรได้กระทำผิดต่อเงื่อนไขสำคัญในการได้รับการประกันตัวคือการห้ามไม่ให้ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อีกทั้งมีการให้ร้ายพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายจะเดินทางไปยื่นขอถอนการประกันตัวนายจตุพรด้วยตัวเอง ในวันจันทร์ที่ 27 ธ.ค. เวลา 10.00 น.
 
“ดีเอสไอถือว่ามีความจำเป็น และไม่ได้เป็นความต้องการตอบโต้นายจตุพรรายวัน แต่สิ่งที่นายจตุพรพยายามทำด้วยการรวบรัดขั้นตอนตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกฎหมายกำหนดว่าต้องมีขั้นตอนอย่างต่อเนื่องทั้งชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล ด้วยการรวบรัดตัดตอนและพยายามชี้นำว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกระทำความผิด เป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง และเป็นการบิดเบือนทำให้เกิดความจงเกลียดจงชังคนบางกลุ่ม และเกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง”
 
นายธาริต ยังกล่าวถึงการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่น ว่าการพิจารณาในขั้นตอนนี้อยู่ในชั้นการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดังนั้น ตนไม่ต้องการก้าวล่วงการทำงานของหน่วยงานอื่น และควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ได้ทำงานอย่างเต็มที่
  
 
“สุเทพ” โต้ “จตุพร” ปูดข่าวเท็จผลสอบสวนดีเอสไอ
 
วันเดียวกัน เนชั่นทันข่าว รายงาน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวนายธาริต เพ็งเดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุในสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอชี้ชัดว่าการตายของคนเสื้อแดงเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า เท่าดูข่าวตนคิดว่าสื่อมวลชนจดข่าวผิดมาอีกแล้ว เมื่อเช้าที่ผ่านมาตนได้ดูข่าวในสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ซึ่งนายธาริตไม่ได้พูดยอ่างที่ผู้สื่อข่าวบอก แต่ผู้สื่อข่าวพูดเหมือนที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. พูด และเท่าที่ตนสอบถามกับนายธาริตแล้ว ทราบว่าเป็นเรื่องที่นายจตุพรสร้างเรื่องขึ้นมาเอง นายธาริตไม่ได้พูดไม่ได้ยืนยันเรื่องคนเสียชีวิตว่าแป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ อย่างที่พยายามจะให้เป็นข่าวและและในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้นายธาริตจะแถลง ชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง 
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธาริตจะชี้แจงชัดเจนเลยหรือไม่ว่าสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนที่เข้าไป เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะขณะนี้รัฐบาลและดีเอสไอตกเป็นจำเลยของสังคมอยู่ นายสุเทพ กล่าวปฏิเสธว่า ตนและดีเอสไอยังตกไม่ได้เป็นจำเลยด้วย แต่เราเป็นคนทำหน้าที่ของเรา ยืนยันว่าเราจะพยายามทำให้ทุกอย่างชัดเจนและรัฐบาลไม่ได้ลงลึกไปในรายละ เอียดเมื่อแป็นข่าวของนายธาริตก็ต้องเป็นคนชี้แจง ส่วนที่มีข่าวว่านายธาริตจ้างกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับการประกันตัวออกมาแล้วให้ใส่ร้ายเสื้อแดงวันละ 1,000 บาทนั้น ตนเชื่อว่าข่าวนี้เท็จ 100% ตนกล้าฟันธง 100 % เพราะนายธาริตไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปจ้างคนเสื้แดงให้มาพูดจาหรือให้การอย่างนั้นอย่างนี้ นอกจากนั้นนายจธาริตและคนเสื้อแดงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันที่ต้องมาเชื่อถือเชื่อฟังกัน 
 
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า การดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงนั้นมีเอกสารพยานหลักฐานทั้งภาพและเสียง และตัวบุคคลเพียงพอ และศาลก็รับฟ้องไปแล้ว ดังนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปเที่ยวจ้างใคร ใครที่ปล่อยข่าวอย่างนี้ เป็นคนที่มีเจตนาร้าย และเชื่อว่าเป็นเท็จ เมื่อถามว่า กล้ายืนยันหรือไม่ว่าเมื่อผลสอบสุดท้ายออกมาแล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับ กับการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง ท่านพร้อมที่จะรับผิดชอบในฐานะเป็น ผอ.ศอฉ. หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ความรับผิดชอบของตนในฐานะ ผอ.ศอฉ.ต้องทำอยู่แล้ว แต่จะมาคาดคั้นอย่างนั้นคงไม่ได้ ตนจะว่าไงปตามกฎเกณฑ์กติกาและกฎหมาย
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกฯ เผยเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดเว็บ ใช้ พ.ร.บ.คอมฯ ดูแล

Posted: 24 Dec 2010 08:27 AM PST

http://thaigov.go.th รายงานว่า วานนี้ (23 ธ.ค.53) ตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวซึ่งถามถึงกรณีการปิดเว็บไซต์ตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า หลังยกเลิกกฎหมายแล้วเว็บไซต์ต่างๆ จะสามารถกลับมาเปิดได้ตามปกติหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ต้องไปใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายคอมพิวเตอร์ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากรณีเว็บประชาไทที่ยอมยกเลิกเว็บบอร์ดไปก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
 

 

ที่มา: กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ห้ามเเท้ง ห้ามท้อง: สิทธิทางเพศกับนโยบายลักลั่นของไทย

Posted: 24 Dec 2010 07:46 AM PST

"แค่เรื่องมีลูก เราไม่รู้ว่าปีหนึ่งๆ มีแรงงานต่างด้าวในไทยคลอดลูกปีละกี่คน รู้แต่ว่ามีจำนวนมาก บางประเทศมีการออกมาตรการเข้ม หากแรงงานข้ามชาติท้อง เขาส่งตัวกลับทันที เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการคุมกำเนิด ถ้าไม่คุมก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แต่โดยหลักมนุษยธรรม เราต้องดูแลพวกเขาอยู่แล้ว แต่ผมเห็นว่าควรให้คุมกำเนิด" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
เอเอสทีวี ผู้จัดการ "รมว.แรงงานเสนอคุมต่างด้าวห้ามท้อง"

"ที่สำคัญเมื่อเด็กตั้งครรภ์แล้ว จะต้องไม่ประณามผู้หญิง เพราะเขาเป็นเพียงเหยื่อของสังคมเท่านั้น ดังนั้นจึงมีการนำประเด็นดังกล่าวเข้าไปหารือในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะร่วมกันหาทางออกและเสนอแนวทางต่อรัฐบาลต่อไป"
นายเเพทย์อำพล จินดาวัฒนะ

"พม.เตรียมชงทางแก้ปัญหาทำแท้งเข้าครม.อังคารนี้"
เว็บบล็อกสุทธิชัย หยุ่น

ท่าทีต่อการท้องของผู้หญิงต่างสถานะและต่างชนชั้น อย่างหญิงไทยที่ท้องและไม่ต้องการเก็บเด็กไว้ ได้รับการตอบรับจากทัศนะสังคมกระแสหลัก ในการสร้างกลไกป้องกันมิให้ผู้หญิงท้องก่อนวัยอันควร แม้ว่าสถิติของหญิงที่ทำแท้งที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี กับกลุ่มที่เป็นวัยเกิน 20 ปีสูสีกัน และกลไกเพื่อสนับสนุนให้ผู้ที่ท้องไม่ทำแท้งในรูปแบบการแทรกเเซงทางกฎหมาย สังคมสงเคราะห์ ศีลธรรม หรือเเม้กระทั่งการกรรโชกด้วยความเชื่อเเละพิธีกรรมต่างๆ ทั้งเเบบศาสนาเเละศาสนาเจือพาณิชย์

เมื่อเเรงงานข้ามชาติหญิงท้อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเเรงงานมีท่าทีขึงขัง เเละมีแนวโน้มว่าจะออก "มาตรการเข้ม" ถ้าท้องส่งกลับ โดยอ้างว่าเป็นมาตรการที่ประเทศที่เจริญแล้วก็ทำกัน หลังจากแนวคิดนี้ ถูกพับไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมการบริหารเเรงงานต่างด้าวเเละได้รับเสียงโต้เเย้งจากองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนเเละเเรงงานข้ามชาติจำนวนมาก

แรงงานข้ามชาติหญิงเองก็ได้รับแรงกดดันเป็นนัยจากนายจ้างอยู่เเล้ว เช่น หากตั้งท้องก็จะถูกให้ออกหรือไล่ออก เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองเเรงงาน ที่ให้แรงงานหญิงที่ตั้งท้องสามารถทำงานเเละลาคลอดโดยมีค่าจ้างได้ การกดดันแรงงานข้ามชาติหญิงให้ออกจากงานไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ทำให้แรงงานบางคนที่ไม่ต้องการออกจากงาน หรือกลัวคำขู่ว่าจะส่งกลับถ้าตั้งครรภ์ เลือกทำเเท้งด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัยกว่าที่หญิงไทยเลือกทำ เพราะการทำเเท้งในคลินิค หรือการซื้อยาสอดเพื่อทำเเท้งนั้นมีราคาสูงเมื่อเทียบกับค่าจ้างของเเรงงานข้ามชาติ

งานวิจัยด้านอนามัยเจริญพันธุ์บ่งชี้ว่า แรงงานข้ามชาติทั้งชายและหญิงขาดความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่มั่นใจ หรือมีความเชื่อที่ทำให้ไม่คุมกำเนิด หรือไม่สามารถเข้าถึงบริการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพเเละสอดคล้องกับชีวิต ความเป็นอยู่ เมื่อมีปัจจัยด้านภาษาเเละวัฒนธรรม การสื่อสารเรื่องการคุมกำเนิดเเละมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย จึงเป็นไปได้ยาก แม้ว่าจะมีความพยายามดำเนินการจากองค์กรเอกชน ทว่าด้วยจำนวนแรงงานข้ามชาติที่มีมากเเละมีการย้ายที่ทำงานเสมอๆ อาจเป็นอุปสรรคต่อการให้ความรู้และบริการที่เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์อย่างเหมาะสม

ปัญหาการท้องเเล้วทำแท้งทั้งในกรณีหญิงไทยเเละหญิงเเรงงานข้ามชาติ จึงเป็นปัญหาที่สะท้อนเชิงนโยบายที่ตั้งรับเเละกล่าวโทษจนถึงกรรโชกผู้หญิงให้เป็นผู้รับผิดชอบเพียงลำพังต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึง ประสงค์ โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่ออนามัยเจริญพันธุ์โดยภาพรวม

นอกจากนั้นยังมีความลักลั่นเเละเหลื่อมล้ำของนโยบายของรัฐต่อเรื่องเดียวกัน นั่นคือการพยายามจัดการปัญหาการทำเเท้งของหญิงไทย โดยการกรรโชกทางศีลธรรมอย่างรุนเเรงเพื่อให้ผู้หญิงที่ท้อง ไม่ทำเเท้งเเละรักษาเด็กที่เป็นพลเมืองอันมีค่าของรัฐ ส่วนกรณีหญิงเเรงงานข้ามชาติเพียงเเค่ข่าวว่าจะส่งกลับแรงงานหญิงที่ท้อง ก็ทำให้แรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์อาจตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ เพียงเพื่อจะได้ทำงานหาเลี้ยงชีวิตตนเองเเละครอบครัวต่อไป ผลสะท้อนจากการประกาศว่าอาจมีนโยบายเช่นนี้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดกรณีการทำเเท้งจำนวนมาก เช่นเดียวกับที่กรณีวัดไผ่เงินที่เป็นกระเเสสังคมอย่างกว้างขวาง หากเเต่เรื่องของศพเด็กทารกต่างชาติ (ถ้าเเยกเเยะได้) คงเป็นเรื่องที่สังคมที่หวาดระเเวงเรื่องความมั่นคงมองไม่เห็นการพยายามลดทอนความเป็นมนุษย์ของเเรงงานข้ามชาติ ให้เหลือเป็นเพียงเเค่เเรงงานในการผลิต ไม่ต่างจากเครื่องจักร เพื่อสร้างผลิตผลหล่อเลี้ยงประเทศไทย โดยนโยบาย "ห้ามท้อง" นี้ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาชีวิตที่มีอยู่กับชีวิตที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลก โดยมิพักต้องกล่าวถึงความยากลำบากผู้ที่ตั้งครรภ์แล้วต้องหลบๆซ่อนๆ เพื่อมิให้ถูกส่งกลับ เพื่อหาเลี้ยงชีวิตตนเองเเละทารกในครรภ์ไว้ เเต่ก็อาจทำให้เเรงงานข้ามชาติไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลเพื่อเด็กในครรภ์ได้อย่างเต็มที่

หากมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเเรงงานหญิงข้ามชาติเพียงลำพัง มิได้เกี่ยวข้องกับเเรงงานหญิงไทย ซึ่งน่าจะได้รับสวัสดิการเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าเเรงงานข้ามชาติ อาจต้องทบทวนอีกครั้ง เมื่อมีเเนวนโยบายควบคุมการตั้งครรภ์ของเเรงงานข้ามชาติ เท่ากับว่าแรงงานข้ามชาติต่อให้ได้ค่าเเรงเท่ากับเเรงงานไทย เเต่จะไม่มีโอกาสใช้สวัสดิการลาคลอดเเละดูเเลบุตร เพราะนโยบายบังคับกลายๆ ว่า "ห้ามท้อง" หากนำมาใช้จริง อาจทำให้นายจ้างที่เห็นเเรงงานมนุษย์เป็นเครื่องจักรในการผลิตหันไปจ้างเเรงงานข้ามชาติ เพราะแรงงานถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่มีโอกาสลาคลอดเเละลาเลี้ยงดูบุตร ทำให้นายจ้างประหยัดเเละได้เเรงงานที่มีเวลาทำงานกว่าจ้างเเรงงานไทย ดังนั้นช่องว่างระหว่างสวัสดิการของเเรงงานไทยกับเเรงงานข้ามชาติ มิได้เป็นผลเสียต่อเเรงงานข้ามชาติเท่านั้น เเต่ส่งผลกระทบต่อทั้งแรงงานไทยเเละเเรงงานข้ามชาติ

ท่ามกลางกระเเสสังคมที่เศร้าสลดกับการสูญเสียทารกที่ยังไม่เกิดกว่า 2,000 ศพ นโยบายการส่งเสริมการวางแผนครอบครัวโดยสมัครใจ เเละการให้ความรู้เชิงรุกด้านอนามัยเจริญพันธุ์ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีในการให้ทางเลือกเเละโอกาสการเข้าถึงสุขภาวะที่ดีกว่าของแรงงานข้ามชาติ การส่งเสริมการวางเเผนครอบครัว ควรดำเนินการโดยเคารพสิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์ การดำเนินการโดยไม่เลือกปฏิบัติ เเละส่งเสริมการคุ้มครองเเรงงานข้ามชาติหญิง ให้สามารถทำงานเมื่อตั้งครรภ์เเละลาคลอดได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องถูกบีบบังคับให้เลือกระหว่าง "ลาออก" หรือยุติการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ เเละก้าวเข้าสู่วงจร "ท้อง-แท้ง" เพราะไม่มีทางเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่า

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักวิชาการชี้ 50 ปี คุ้มครองสัตว์ป่าไทยยังไร้อิสระ

Posted: 24 Dec 2010 06:43 AM PST

นักวิชาการชี้การอนุรักษ์สัตว์ป่าไทยอิงกระแสโลกจนขาดอิสรภาพในการริเริ่มอนุรักษ์อย่างแท้จริง แนะก้าวต่อไป การคุ้มครองสัตว์ป่าควรส่งเสริมการอนุรักษ์จากปัญหาภายในประเทศควบคู่ไปกับแนวทางสากล ระบุ “นักอนุรักษ์” มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพน้อยลง เสนอภาครัฐ ใจกว้าง “เปิดพื้นที่อนุรักษ์พิเศษ” เพื่อให้เกิดการบูรณาการและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายอย่างแท้จริง พร้อมเร่งสร้างคน -องค์ความรู้ด้านสัตว์ป่า ให้ทันกับสถานการณ์การอนุรักษ์สัตว์ป่าที่เปลี่ยนแปลงไป

วันที่ 26 ธันวาคมนี้ จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ของการออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ได้มีการประกาศใช้มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2503 และประเทศไทยได้ถือเอาวันที่ 26 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ” เพื่อกระตุ้นเตือนประชาชนให้มีจิตสำนึกรัก หวงแหน และช่วยกันปกป้องทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ทั้งนี้ในส่วนของนักวิชาการไทย รศ.ดร.สมโภชน์ ศรีโกสามาตร ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. ผู้คร่ำหวอดในวงการวิจัยด้านสัตว์ป่าเป็นเวลากว่า 30 ปี ได้ออกมาให้มุมมองและข้อเสนอแนะถึงทิศทางการอนุรักษ์และคุ้มครองสัตว์ป่าว่า หากย้อนไปในอดีต ในช่วง 30 ปีแรกของการอนุรักษ์ ประเทศไทยมีประวัติการอนุรักษ์ที่ดีมาก แต่ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าแม้เราจะมีเขตอนุรักษ์จำนวนมาก แต่การอนุรักษ์ หรือ ระบบการจัดการเพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่าในประเทศไทยเองก็ยังคงมีปัญหาอยู่มาก

“ที่ผ่านมาการจัดการดูแล อนุรักษ์สัตว์ป่าและเขตอนุรักษ์ ยังต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ รวมถึงการรณรงค์ส่วนใหญ่ที่มักจะอิงการรณรงค์ตามกระแสโลก ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ประเทศไทยได้รับเงินทุนจากนานาชาติเพื่อนำมาใช้ช่วยเหลือสัตว์ป่า แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็ขาดความเป็นอิสระในการริเริ่ม ส่งเสริม ให้มีการดำเนินโครงการ กิจกรรม การรณรงค์ หรือบทบาทเฉพาะด้านการอนุรักษ์จากประเด็นโจทย์ปัญหาภายในของเราเองไปพร้อมๆ กัน เช่นเดียวกับการช่วยเหลือ คุ้มครองสัตว์ป่า ก็ควรมีการขยายไปยังกลุ่มสัตว์ชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง และ เสือ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะสถานการณ์สัตว์ป่าในปัจจุบันนั้นมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์มากขึ้นเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น วัวแดง ชะนีมือขาวสายพันธุ์คาร์เพนเตอร์ทางภาคเหนือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก ปลา สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด เช่น แมลงปอ หิ่งห้อย และปูน้ำจืดหลายชนิด เป็นต้น

อีกทั้งภาครัฐควรให้ความสนใจการอนุรักษ์สัตว์ป่ามากขึ้น รวมทั้งมีการกระจายการสนับสนุนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตอนุรักษ์ขนาดเล็กที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ให้สามารถดึงจุดเด่นของตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น หรืออาจจะใช้แนวทางการส่งเสริมให้มีการเปิดเป็นพื้นที่พิเศษ ให้ชุมชนท้องถิ่น และผู้ที่มีความรู้ความสนใจจากหลายๆ ภาคส่วน เข้าไปมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู เพื่อให้มีการพัฒนาพื้นที่ได้อย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ ในส่วนของการศึกษาการวิจัยสัตว์ป่านั้น รศ.ดร.สมโภชน์ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าที่จะผันตัวมาทำงานด้านการอนุรักษ์อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นอาชีพที่ทำงานลำบาก อีกทั้งเส้นทางอาชีพยังไม่เปิดกว้าง รวมทั้งเส้นทางความก้าวหน้าก็ไม่ชัดเจน และเป็นที่น่าเสียดายว่า การขยายตัวขององค์ความรู้ทางด้านสัตว์ป่าในปัจจุบันยังไม่สามารถตามทันปัญหาที่เปลี่ยนแปลงได้

“ปัจจุบันคนที่มาทำเรื่องสัตว์ป่ามีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพน้อยลง ทั้งที่ประเทศไทยต่อสู้เรื่องนี้มานาน น่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนอื่นๆ ที่มีความรู้ มีความสนใจจะเข้าไปช่วย ก็ยังติดตัวบทกฎหมายบางประการที่ยังไม่เอื้อมากนัก ซึ่งหากภาครัฐปรับเปลี่ยนและเปิดกว้างให้หลายฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วมมากกว่านี้ ก็อาจจะช่วยได้พอสมควร” รศ.ดร.สมโภชน์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ดี แม้การดำเนินงานคุ้มครองสัตว์ป่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ประสบผลความสำเร็จเป็นสัดส่วนกับเวลาที่ดำเนินการมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นที่น่ายินดีคือในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่าคนไทยนั้นมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลางที่มีการขยายตัวในเรื่องของการอนุรักษ์สูงมาก แต่เป้าหมายและช่องทางที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าไปมีส่วนร่วมยังไม่ชัดเจน

ดังนั้นโดยส่วนตัวคิดว่าหากภาครัฐเปิดพื้นที่การอนุรักษ์พิเศษบางพื้นที่ เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นและคนที่ต้องการเข้าสู่วงการอนุรักษ์อย่างจริงจัง มีพื้นที่ในการริเริ่มดำเนินงานด้านการอนุรักษ์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ มากกว่าการทำกิจกรรมเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก็จะช่วยให้กลุ่มคนที่มีจิตอาสาในการอนุรักษ์สัตว์ป่าเหล่านี้กลายเป็นพลังสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดกระแสการอนุรักษ์และคุ้มครองสัตว์ป่าที่เกิดขึ้นจากการริเริ่มของประเทศไทยเองโดยธรรมชาติ ที่มีประสิทธิผลมากกว่าที่เป็นอยู่

“อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าส่งเสริมเรื่องการอนุรักษ์ให้เกิดขึ้นในอนาคตอีกประการ คือ ขณะนี้เราพบว่าพื้นที่เกษตรกรรม ที่เคยเป็นต้นเหตุปัญหาการรุกรานพื้นที่ป่าไม้และสัตว์ป่าลดลงนั้น เริ่มมีสัตว์ป่าหลายชนิดเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น เช่น เสือปลา กระทิง ช้าง นกไอ้งั่ว ตะกอง หรือแม้แต่โลมาอิรวดีในพื้นที่ประมง เป็นต้น ซึ่งต่อไปหากมีการส่งเสริม เช่น อาจชูธงว่าพื้นที่เกษตรกรรมหรือเขตประมงในบริเวณนั้นๆ มีศักยภาพในการอนุรักษ์สัตว์ป่าบางชนิด ก็อาจจะดึงความสนใจ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ของชาวบ้านหรือคนในพื้นที่โดยรอบได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีการศึกษาถึงแนวทางการอยู่ร่วมกันของชาวบ้านและสัตว์ป่าได้อย่างยั่งยืน” นักชีววิทยาด้านสัตว์ป่า กล่าวทิ้งท้าย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลรับฟ้อง ‘วัชรี เผ่าเหลืองทอง’ หมิ่นประมาทโรงไฟฟ้าบางคล้า ยกฟ้อง ‘จอมขวัญ’

Posted: 24 Dec 2010 06:22 AM PST

 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญามีการนัดฟังคำสั่งศาลว่าจะรับฟ้องหรือไม่ ในคดีหมายเลขดำที่ 5508/2552 ซึ่งบริษัทสยาม เอ็นเนอจี่ จำกัด โดยนายบุญชีย เจียมจิตจรุง ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทย์ฟ้อง นางสาววัชรี เผ่าเหลืองทอง เอ็นจีโอด้านพลังงานจากโครงการจับตานิวเคลียร์ (จำเลยที่1) และนางสาวจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ผู้ดำเนินรายงานคมชัดลึก ทางเนชั่นชาแนล (จำเลยที่ 2)ในความผิดฐานหมิ่นประมาท จากการออกรายการคมชัดลึก เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.52 ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านจากอ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ได้ปิดถนนประท้วงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางคล้า ทั้งนี้ โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลในวันที่ 24 ก.ย.52
 
วันที่ 16 ธ.ค.53 ศาลวินิจฉัยให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 คงเหลือจำเลยที่ 1 และนัดสอบคำให้การจำเลย ตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 31 ม.ค.54 คำสั่งศาลระบุเหตุผลว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการคมชัดลึก ของสถานีโทรทัศน์เนชั่นชาแนล เป็นการจัดรายการสดเกี่ยวกับกาชุมนุมคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางคล้า โดยมีจำเลยที่ 1 ชาวบ้านในพื้นที่ นักวิชาการ ร่วมรายการ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการ การตั้งคำถามของจำเลยที่ 2 สืบเนื่องจากการประท้วงซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน ตามที่เป็นข่าวทั่วไป เมื่อจำเลยที่ 1 ตอบคำถาม จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อความที่จำเลยที่ 1 ตอบคำถาม จากนั้นจึงเป็นการตั้งคำถามต่อเนื่องไปยังผู้ร่วมรายการอื่น มิได้เป็นเพียงการสนทนาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ประเด็นคำถามต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบทั้งที่เกิดกับประชาชนในพื้นที่หากมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้ร่วมรายการ และความโปร่งใสในการประมูล จึงเป็นการทำหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ในฐานะสื่อมวลชน เพื่อนำเสนอรายละเอียดต่อสาธารณชน จึงไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง อาศัยเหตุดังที่วินิจฉัยแล้ว จึงยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และให้หมายเรียกจำเลยที่ 1 มาให้การในวันเดียวกับวันนัดตรวจพยานหลักฐาน นัดพร้อมเพื่อประชุมคดี สอบคำให้การจำเลย ตรวจสอบพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 31 ม.ค. 2554 เวลา 9.00 น.
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สัมภาษณ์ ‘ธิดา ถาวรเศรษฐ’: แม่ทัพหญิงคนใหม่กับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ ‘นปช.’

Posted: 24 Dec 2010 02:20 AM PST

 
ายหลังการชุมนุมครั้งใหญ่ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถูกสลายโดยรัฐ หัวขบวนเกือบทั้งหมดถูกคุมขังไว้ที่เรือนจำ เหลือเพียงนายจตุพร พรหมพันธ์ ที่ใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. คุ้มครอง และคอยให้ข่าวสารข้อมูลจากฝั่งและมุมของคนเสื้อแดงภายใต้ภาพของนักการเมืองฝ่ายบู๊ การเคลื่อนไหวของ ‘คนเสื้อแดง’ หลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นไปเอง จนยากจะคาดเดาถึงทิศทางการเคลื่อนไหว และแนวทางอันชัดเจน แต่พลันที่ ‘ธิดา ถาวรเศรษฐ’ ภรรยาของ น.พ.เหวง โตจิราการ ออกสู่เบื้องหน้า ประกาศตัวอย่างเป็นทางการในการทำหน้าที่ รักษาการประธาน นปช. ทุกคำถาม ทั้งเรื่องค้างเก่าและความสงสัยใหม่ๆ ต่างก็พุ่งไปที่แม่ทัพคนใหม่ ซึ่งมีประวัติเคี่ยวข้นในการต่อสู้ทางการเมือง  และต่อไปนี้คือการสนทนาถึงบางประเด็นกับรักษาการประธาน นปช.คนนี้ 
00000
การต่อสู้ช่วงเดือนมี.ค.ถึงพ.ค.ที่ผ่านมา อาจมองได้ว่าเป็นช่วงจุดสูงสุดของการต่อสู้ของคนเสื้อแดง มีคนมาเป็นเรือนแสน ขณะเดียวกันหลังการสลายการชุมนุมทำให้มีแกนนำถูกจับ แล้วผู้เข้าร่วมชุมนุมเสียชีวิต แกนนำต่างจังหวัดต้องหลบหนี สถานีวิทยุของคนเสื้อแดงถูกปิด ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดการสูญเสีย หรือทำให้ขบวนการของคนเสื้อแดงต้องยุติ
อันนี้เป็นคำถามที่ดี และดิฉันเคยปราศรัยกับคนเป็นจำนวนมาก ภาพที่คนมองจะมองว่านี่คือความพ่ายแพ้ แต่อยากให้กลับมามองว่าขบวนการของเราเป็นขบวนการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่ขบวนการต่อสู้ทางการทหาร ดังนั้น ถ้าพูดในมิติการทหาร เช่น การใช้อาวุธมาโจมตี เราก็อาจบอกได้ว่า พ่ายแพ้ แต่เนื่องจากเราไม่ได้มาต่อสู้ทางการทหาร ดังนั้น สิ่งที่รัฐทำนั้น เป็นการกระทำทางการทหาร คุณอภิสิทธิ์เลือกใช้การทหาร ในขณะที่อ้างว่าเจรจาแล้วเราไม่เอา แต่ดูตารางแล้วเป็นปฏิบัติการทางทหาร วัน เวลา อะไรต่างๆ ถูกวางไว้หมด แล้วไม่ได้เลื่อนเลย เป็นไปตามนั้นแม้มีใครมาเจรจาก็ตาม หน้าฉากด้านหนึ่งก็เจรจา อีกด้านหนึ่งในความเป็นจริง ทางการทหารได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อยกระดับพัฒนา เช่น มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว มีหน่วยสไนเปอร์ แม้กระทั่งวันที่ 10 เมษา กระบวนการจัดทัพมาล้อมปราบก็เปลี่ยน แปลว่าเขาได้ใช้การทหารนำหน้าการเมือง
 
ดังนั้น ประเด็นนี้ ถ้าเราประเมินในมิติการทหาร เราก็ต้องยอมรับว่าคุณชนะ แต่ถามว่ามันมีเกียรติยศอะไร เราไม่ได้มาต่อสู้ทางการทหาร มีพลุ มีตะไล มีไม้ไผ่ ซึ่งตัวอาจารย์เองขำมากเลยเวลาขับรถเข้าออก เพราะมันยังกับย้อนไปยุคบางระจัน ยังนึกในใจว่าถ้าเป็นตากล้องเราคงจะได้ภาพชีวิตงามๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้มากมาย แน่นอน อาจมีคนบางคนบ้าบิ่นแถมอะไรบ้างนิดหน่อย แต่บอกได้เลยว่าในม็อบของเราคนเดินกันควั่ก ทหาร ตำรวจ สันติบาล ผู้สื่อข่าว กอ.รมน. เดินกันเต็มไปหมด ถ้ามีอาวุธมันไม่พ้นสายตาคนเหล่านี้หรอก
 
ถ้ามิติทางการทหาร ถ้าเขาจะบอกว่าชนะ หรือคนเสื้อแดงแพ้ ก็ใช่ แต่ในทัศนะของตัวเองมองว่า เรามาต่อสู้ทางการเมือง คุณชนะเราทางการทหาร แต่ทางการเมืองเราถือว่าเราชนะ จะยกตัวอย่างเมื่อปี 52 ที่สะพานชมัยมยุรเชฐ หรือก่อนหน้านั้นที่หน้าบ้านป๋า [พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์] ทุกครั้งที่มีการปราบปรามเข่นฆ่าแล้วทุกคนจะบอกว่าพ่ายแพ้ รอบนั้นเราถูกประณามหาว่าแพ้ แต่ความคิดตัวอาจารย์เองเห็นว่า ในมิติความรุนแรงทางการทหาร เราแพ้ แต่มิติทางการเมือง ผลเกิดขึ้นคืออะไร เสื้อแดงเติบใหญ่ขึ้น มีจำนวนมาก และคุณภาพก็สูงขึ้น และเราสามารถก่อตั้ง นปช. เป็นองค์กรแนวร่วมที่มีรูปการ มีพันธกิจ มีเป้าหมาย และมีแนวทางนโยบาย มียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มีการเปิดโรงเรียน นปช. มีการจัดตั้งกลุ่มต่างๆ มากมาย ถามว่าอย่างนี้ชนะหรือแพ้ ทั้งๆ ที่เมษา 52 บอกว่าเราแพ้
 
ถ้ามองภาพทั้งหมดแล้วใช้คำว่า "ล่มสลาย" หรือ "พ่ายแพ้" อาจารย์คิดว่าไม่ใช่ แต่ถ้าพูดว่าถูกยิงมาก แล้วคุณไม่มีปืนไปสู้เขา แน่นอน เหมือนคำพูดของเนลสัน แมนเดลล่า ว่าทางการทหารเราไม่อาจเอาชนะคุณได้ แต่ว่าคุณก็ไม่สามารถฆ่าคนของเราได้หมดเหมือนกัน นั่นคือกลุ่มของแมนเดลล่าที่บางส่วนมีมิติของการใช้กำลังอาวุธ เขาเลยถูกเอาไปขัง 27 ปี
 
แต่ของเราชัดเจน เพราะตัวเองรู้มาแต่ต้นว่า เราก้าวข้ามไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธและความรุนแรงไม่ได้ เราต้องสู้ในระบบ ขาอีกข้างของเราคือระบอบรัฐสภา อีกอย่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมันไม่ใช่การปฏิวัติ เป็นแค่การเปลี่ยนผ่านสังคม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ยังค้างเติ่งอยู่ที่ระบอบอำมาตยาธิปไตย มันไม่สามารถไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเหมือนอารยประเทศได้เสียที การค้างเติ่งอยู่ตรงนี้ ตามหลักการไม่มีความจำเป็นต้องเป็นขบวนปฏิวัติ ฉะนั้น ขบวนประชาชนที่สู้ในระบบพร้อมกับมีการต่อสู้ในเวทีรัฐสภาจึงก้าวข้ามพรมแดนนี้ไปสู่การใช้กำลังอาวุธไม่ได้ เพราะมันจะทำลายทั้งหมดเลย ทำลายการต่อสู้ในระบอบรัฐสภาและทำลายขบวนประชาชนที่เคลื่อนไหวอย่างถูกต้องชอบธรรม มันทำลายความชอบธรรมในสายตาสังคมไทยและสังคมโลก
 
เราจึงต้องการการชนะ ไม่ใช่ว่าไม่ชนะ แต่เราไม่ต้องการการสุ่มเสี่ยง เพราะเราไม่ต้องการสูญเสีย ดังนั้น จึงกลับมาที่คำถามเรื่องแพ้ ชนะ ถ้ามองมิติทางการเมือง เราเติบโตมาเป็นลำดับ เราถือว่าเราชนะ หรือแม้กระทั่งมาดูภาพปัจจุบัน ปี 52 มาถึงปี 53 คนเสื้อแดงเติบใหญ่มาก ใช้เวลาชั่วไม่กี่เดือน หลังปราบปรามเดือนเมษา ถูกจับถูกอะไร กว่าจะตั้งหลักได้ก็เดือนกว่าสองเดือน หลังจากนั้นเราก็เติบโตพรวดๆๆ ในขณะที่ตอนนั้นคนประณามว่าพวกคุณแพ้ ไม่รู้จักสรุปบทเรียน เราเติบโตใหญ่มากจนกระทั่งเราทำงานเป็นระบบ
 
เอาล่ะ มีปัญหาเกิดขึ้นดังที่รู้กัน ไม่ว่าจะเป็น 10 เมษา หรือ 19 พฤษภา เวลานี้ถูกจับกุมคุมขังไป 7 เดือน ในการทหารเรายอมรับว่า โอเค คุณจับคนของเราไปเพราะเรามอบตัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ประชาชนเห็นเลยว่า อำนาจรัฐเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ความจริงกำลังปรากฏออกมาเป็นลำดับ คุณกำลังจะมองเห็นคำสารภาพของทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐที่เข่นฆ่าประชาชน เทคโนโลยีมันจะฟ้อง ความจริงมันจะเกิด ถามว่าตรงนี้คุณฆ่าเราได้ แต่ใครชนะ ใครแพ้
 
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราหันมาดู ดูเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ก็ได้ ที่ราชประสงค์คนเท่าไหร่ นี่ยังไม่รวมคนต่างจังหวัดเลยนะ ฉะนั้น เราอาจพ่ายแพ้ทางการทหารในปริมณฑลที่เราไม่เคยคิดสู้ แต่เราชนะทางปริมณฑลการเมือง และไม่ใช่แค่ทำให้ประชาชนทั้งหมดมองเห็นความเป็นจริงของอำนาจรัฐที่ล้าหลัง กลไกรัฐที่มาปราบปราม แต่สังคมโลกกำลังเข้าใจมากขึ้นทุกที แล้วโลกกำลังล้อมประเทศไทย
 
ดังนั้น ในทัศนะของอาจารย์ เราไม่ได้พ่ายแพ้ทางการเมือง คนร่วมกลับจะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาชนคนชั้นกลางเริ่มเข้าใจ จากที่เขาเคยใช้แว่นที่เรียกว่า "เกลียดทักษิณ" มามองอย่างเดียว ตอนนี้แว่นเกลียดทักษิณก็เริ่มจางลงกลายเป็นแว่นธรรมดา เราไม่ต้องการให้เอาแว่น "รักทักษิณ" มาใส่นะ แค่เอาแว่นธรรมดามาใส่ก็เริ่มเห็นความจริงมากขึ้น เราจึงมีความหวังว่าชนชั้นกลางกับปัญญาชนจะสามารถเข้ามร่วมด้วยช่วยกันกับคนชั้นล่าง และนี่จะเป็นก้าวสำคัญ
 
อาจารย์มองว่าปี 54 ชนชั้นกลางและปัญญาชนจะมาร่วมด้วยช่วยกันกับไพร่รากนี่แหละ ซึ่งจะทำให้ขบวนเสื้อแดงเติบใหญ่
 
คุณอาจจะพ่ายแพ้ทางการทหาร ยกตัวอย่างเช่น คุณไปอยู่ที่มั่นนานเกินไป เขาก็ต้องล้อมปราบคุณ แต่ในที่สุดในชัยชนะมีความพ่ายแพ้ ในความพ่ายแพ้มีชัยชนะ เราต้องถือว่าเราชนะทางการเมือง และทำให้สังคมโลกมองเห็นความชอบธรรมของเรามากขึ้น ความยุติธรรมมีอยู่ไหม มันชัด ชัด ชัด จนกระทั่งคนที่ไม่เคยเข้าใจเราก็เข้าใจ แล้วความจริงที่ใครเป็นผู้ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนแล้วปฏิเสธหน้าตาเฉย มันก็จะชัดขึ้นๆ แล้วอย่าหวังว่าจะปิด ดูขนาด wikileaks ยังออกมาหมด นี่เป็นยุคสมัยที่เปลี่ยนไปแล้ว การปิดบังความจริงเป็นเรื่องพ้นสมัย และ "เรา" คนเสื้อแดงถือความจริงเป็นหลักการสำคัญที่สุด เราจึงไม่กลัว ไม่กลัวอะไรที่จะเกิดขึ้น เพราะเราอยู่กับความเป็นจริง แม้ถ้าเขาบอกว่าเราผิด ถ้ามันเป็นความจริงนะ ในส่วนไหน ในภาคไหน เราก็ไม่ว่า เปิดเผยมาเถอะขอให้เป็นความจริง แต่ด้านหลักคือด้านของพวกคุณอำนาจรัฐนั่นแหละ ขอให้เปิดเผยความจริงออกมา
 
อาจารย์อยากใช้คำว่า เมืองไทยไม่ควรมีโศกนาฏกรรมแบบนี้อีก ฉะนั้น วิธีที่จะไม่ให้เกิดอีกคือคุณต้องเปิดเผยความจริง อย่านิรโทษกรรมแบบเมื่อก่อน 14 ตุลาก็ผ่านมา 6 ตุลาก็ผ่านมา แล้วยังพฤษภา ถามว่ามีใครได้รับการลงโทษบ้าง ฉะนั้น อย่าให้เกิดขึ้นอีก มีวิธีเดียวคือต้องเปิดเผยความเป็นจริง ที่ผ่านมาทำแล้วทำอีก ทำได้เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครต้องรับผิด ฉะนั้นอย่าให้การตายของเขาเสียเปล่า
 
ดังนั้น การวิพากษ์ว่าการตัดสินใจเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ไม่ยอมปรองดองกับรัฐบาล จนมาสู่การล้อมปราบในวันที่ 19 พ.ค. อาจารย์ยังยืนยันว่าแนวทางการตัดสินใจของแกนนำในวันนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราพูดนั้นคือผลที่เกิดขึ้น กระบวนการในการตัดสินใจในวิกฤตแต่ละอันเป็นคนละเรื่องกัน เพราะนี่เป็นเรื่องการนำ เขาเรียกว่าภาวะการนำถูกต้องหรือเปล่า เพียงแต่เมื่อกี๊ที่เราพูดเราพูดถึงภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จากภาพสรุปใหญ่ ถ้าเราแตกแขนงย่อยๆ มันไม่ได้แปลว่าทุกอย่างถูกหมด เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในภาวะวิฤตในการตัดสินใจต่างๆ ต้นทุนของแต่ละคนมาไม่เหมือนกัน มีบทเรียนมาไม่เหมือนกัน อาจารย์เคยบอกหลายที่แล้วว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้ที่มาตรฐานต่ำมาก หรือไม่มีมาตรฐานเลย ไม่ว่าแกนนำหรือคนที่เข้ามาล้วนมาร้อยพ่อพันแม่ ความคิดวีรชนเอกชนสูงมากก็มีจำนวนหนึ่ง หรือความคิดที่ภาคภูมิใจในความสำเร็จที่สามารถนำพามวลชนและมวลชนศรัทธามากก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้การนำที่ถูกต้องมันมีปัญหา เพราะการนำที่ถูกต้องควรมีแนวทางทางทฤษฎี แนวทางนโยบายถูกไม่พอ ยังต้องยึดกุมทฤษฎีการนำให้ได้ ยึดกุมทฤษฎีการนำแล้วยังไม่พอ ยังอยู่ที่การมีระเบียบวินัย และการตัดสินในภาวะวิกฤตของการนำหรือผู้นำก็สำคัญยิ่ง ดังนั้น อาจารย์ก็ไม่ใช่บอกว่ามันถูก แต่เมื่อกี๊ที่พูดว่าคุณปราบ เฉพาะหน้าการตัดสินใจผิดถูกอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผลจากการปราบ คือ เราต้องไม่ยินดีที่คนตายนะ แต่ผลจากการที่มีคนตายกลับทำให้มีคนร่วมมากขึ้น มันคนละส่วนกัน เพราะเราย่อมไม่ยินดีให้มีการสูญเสีย
 
อาจารย์เคยบอกกับพวกเขาหลายคนว่า พวกอนุรักษ์นิยมเขาอำมหิต คนที่ผ่านประสบการณ์ 6 ตุลาส่วนใหญ่จะเห็นใจคนเสื้อแดง แต่พวก 14 ตุลาส่วนใหญ่เห็นใจคนเสื้อเหลือง เพราะประสบการณ์ 6 ตุลามันได้พบกับอำนาจรัฐอนุรักษ์นิยมที่โหดเหี้ยม และมันก็คล้ายๆ กันกับวันนี้ ฉะนั้น คนที่ผ่านหรือเป็นแกนนำ 14 ตุลามักจะไปกับเสื้อเหลือง ส่วนพฤษภาเป็นอะไรที่กำกวมไม่ชัดเจน ฉะนั้น คนที่ผ่านพฤษภาก็จะไม่ชัดเจนเหมือนกัน แต่ถ้าเรามีประสบการณ์ผ่านมาจะเข้าใจว่าทำอย่างไรจะรักษาพี่น้อง รักษาขบวนให้ได้มากที่สุด อันนี้ยอมรับว่าการนำในเวลาวิกฤตยังมีปัญหาอยู่พอสมควร อันเนื่องมาจากความหลากหลาย ประสบการณ์และต้นทุนที่แตกต่างกัน
 
การเคลื่อนไหวที่มีการสูญเสียของประชาชนที่ผ่านมา จนถึงครั้งล่าสุด สิ่งหนึ่งที่แกนนำจะเจอเสมอคือ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือเรียกร้องแกนนำในการรับผิดชอบต่อความสูญเสียของมวลชน อาจารย์คิดต่อเรื่องนี้อย่างไร
มันอยู่ที่ว่าใครตั้งคำถาม เท่าที่สัมผัสกับมวลชน คุณรู้ไหม มวลชนเสื้อแดงไม่ถามเลย แต่คนที่ตั้งคำถามคือคนที่นั่งดูอยู่ข้างนอก และถ้าเป็นคนที่นั่งดูอยู่ข้างนอก อาจารย์จะสงวนสิทธิ์ที่จะตอบ เหตุผลเพราะอะไร เพราะคนเหล่านั้นเขาเป็นคนนั่งดูคอยวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติงานที่จะคุยกันในรายละเอียด อาจารย์ยินดี แต่ถ้าจะตั้งคำถาม แล้วตอบเพื่อให้คนข้างนอกที่เฝ้าดูเป็นความรู้ในการวิเคราะห์ อาจารย์ก็จะสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ เพียงแต่จะพูดเป็นหลักๆ ว่า เรายังทำได้ไม่ดี เพราะการนำรวมหมู่มันเกิดปัญหาเหมือนกัน คือ มันตกลงกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนที่มีความสามารถในแง่การยึดกุมมวลชนได้มากยังไม่สามารถทะลุปัญหาได้ มันก็เป็นความยาก การนำรวมหมู่มีข้อดี แต่มีข้อเสียแบบนี้คือจะหาความเป็นเอกภาพยาก แล้วถามว่าทำได้ดีไหม ไม่ดี มีความขัดแย้งไหม มี มีการตัดสินใจที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ไหม มี แต่ถ้าจะให้ลงรายละเอียดต้องขอสงวนสิทธิ์เพราะเป็นเรื่องภายในองค์กร ถ้าพูดไปก็ไม่เป็นประโยชน์ มีแต่คนอยากรู้ แต่คนที่ควรจะได้รู้คือคนทำงาน
 
แต่ว่าคำถามนี้นอกจากจะมีผลต่อแกนนำในการต่อสู้ต่อไปแล้ว อาจารย์มองว่ามันมีปัญหาหรือมีผลต่อส่วนอื่นด้วยไหม สำหรับการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์
เป็นเรื่องที่ดีมากที่มีการตั้งคำถามแบบนี้ เพราะเราก็พยายามถามในกลุ่มเราเองและตัวเราเองด้วยเหมือนกันด้วยว่า เราสรุปบทเรียนถึงที่สุดแล้วหรือยัง ถ้าเรายังไม่สรุปบทเรียนถึงที่สุดมันก็ขาดความชอบธรรมที่จะนำต่อไป เห็นด้วย และนี่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากมาก เพราะเหตุว่าอย่างที่บอก ถ้าเป็นขบวนจัดตั้งที่มีมาตรฐานสูง อันนี้วิพากษ์ได้เต็มที่เลย แต่เนื่องจากเป็นขบวนประชาธิปไตย มาตรฐานมันต่ำมากเลย มันก็คือมารวมๆ กัน เรียกร้องยุบสภาเท่านั้นเอง จะไปเรียกร้องระเบียบวินัยอะไรกับเขามากมาย แต่อาจารย์ก็เรียกร้องนะ ก็ดุพวกเขาเหมือนกัน เฮ้ย คุณพูดได้ยังไง อันที่สองยังตั้งคำถามว่าบางอย่างมันไม่ได้ตกลงแต่ไปพูดก่อน หรือเขาห้ามไม่ให้ทำก็ทำ โดยเฉพาะในยามวิกฤต ก็ดีขึ้นบ้างแต่ยังดีไม่พอ เพราะอะไรรู้ไหม ในยามวิกฤตขบวนมันถูกเรียกร้องเกือบจะคล้ายขบวนปฏิวัติ แต่เนื่องจากมันไม่ใช่ คุณสมบัติไม่ถึง นี่คือความยากลำบาก
 
แต่ก็เป็นคำถามที่ดีว่า เอาล่ะ ถึงตอนนี้จะสรุปอย่างไร เราก็พยายามหาวิธี เช่น อาจารย์เอาวารสารอ่านที่เขาสรุปว่าพวกนี้เป็นนักเลง อะไรอย่างนี้ เอาเข้าไปให้เขาอ่านในเรือนจำ ณัฐวุฒิก็ชอบใจมากฝากบอกคนทำว่าชอบมาก วันก่อนยังให้แฟนซื้อรอยแผลเก่าให้แฟนเอามานั่งอ่านให้ฟังเลยก่อนจะเห็นวารสารอ่าน นี่ก็คือวิธีการให้เขาเห็นว่าสังคมมองเขายังไง และเป็นวิธีการที่เรียกว่าน่ารัก แล้วเราก็สังเกตปฏิกิริยานะ ชอบใจ อ่านอย่างตั้งใจมากทั้งเล่ม นี่เป็นตัวอย่างอย่างหนึ่งที่ว่า ขบวนของคนเสื้อแดงเป็นขบวนที่ประหลาดอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนที่อื่น คือ ไม่เครียด มันต่อสู้ไปด้วยร้องเพลงไปด้วย ฟ้อนไปด้วย (หัวเราะ) ดังนั้น แม้กระทั่งขบวนการเก็บรับบทเรียนก็ไม่ควรทำให้เครียดแบบขบวนปฏิวัติ ฉะนั้น ต้องขอบคุณมากวารสารอ่าน พวกนี้สั่งให้เอาเข้าไปอ่านทุกคน นี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะบอกว่าคุณรู้ไหมว่าคนเหล่านี้เขาชอบพวกคุณ แต่เขามองคุณแบบนี้ และเราพบว่าได้ผลดีวิธีนี้
 
ขอย้อนนิดหนึ่ง เท่าที่ฟังอาจารย์พูด สรุปสั้นๆ ว่าอาจารย์รู้สึกว่า ถ้ามองเป็นการต่อสู้ทางการเมือง คนเสื้อแดงชนะ มีแนวร่วมเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันขบวนการของ นปช.เองกลับพ่ายแพ้ทางการทหาร...
เวลาคุณใช้คำว่า เสื้อแดง หรือ นปช. ต้องใช้ในบริบทเดียวกันนะ ถ้าเรียกเสื้อแดงต้องเสื้อแดงทั้งหมด ถ้านปช. ต้องนปช.ทั้งหมด
 
เรื่องของคำนั้นจะถามอาจารย์อีกทีในภายหลัง แต่ว่าเสื้อแดงไม่ได้ถูกออกแบบให้มีการต่อสู้ทางการทหาร เมื่อรัฐใช้ทหารนำการเมือง มันเลยดูเหมือนว่าเสื้อแดงชนะในมิติหนึ่ง แต่รัฐก็ชนะด้วยในมิติหนึ่ง เพราะมันใช้คนละวิธีกัน
มันแล้วแต่วิธีคิด รัฐอาจอ้างว่าตัวเองชนะทางการทหารก็ได้ แต่พ่ายแพ้ทางการเมืองโดยสิ้นเชิง ในเรื่องการเมืองการปกครองคุณจะชนะประชาชนด้วยการทหารได้ตลอดเหรอ ดังนั้น ชัยชนะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การทหาร อยู่ที่การเมือง คุณว่าคุณชนะ แต่นี่คือพ่ายแพ้ทางการเมือง และจะเป็นการพ่ายแพ้ระยะยาว สิ่งนี้ส่งผลสะเทือนเพราะคนจะไม่ยอมอีกแล้ว โดยเฉพาะคนรากหญ้า ปัญญาชนบางทียังลืมๆ มันไปได้ แต่คนรากหญ้าเขาแค้นมาก
 
แต่การออกมาต่อสู้ การออกมาแสดงเจตนารมณ์บนถนนอย่างยาวนานเดือนสองเดือนมันมีผลต่อการตัดสินใจที่จะต่อสู้ในลักษณะนี้ต่อไปไหม
อันนี้จะเป็นเรื่องที่อาจารย์จะไม่ตอบอีกเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องที่คนนอกอยากจะรู้ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ แต่ถามว่ามีความผิดพลาดไหม ยอมรับว่ามี เช่น วิธีคิดวิธีทำงานบางอย่าง แต่ว่าคำถามนี้เป็นคำถามของคนที่อยากรู้เพื่อจะเข้าใจคนเสื้อแดง แต่ไม่มีประโยชน์สำหรับคนเสื้อแดง เพราะถ้าบอกไป ก็เท่ากับบอกกลไกรัฐเผด็จการ จึงไม่เปิดเผย แต่เมื่อกี๊คำถามดีมาก มันแสดงถึงความชอบธรรมข้างหน้าเพราะเราก็ควรเก็บรับบทเรียน แต่การเก็บรับบทเรียนของเราก็ยังมีท่วงทำนองในการถนอมรัก รักษาโรคเพื่อช่วยคน เพราะเรามองคนต้องมองทั้งด้านบวกและด้านลบ ต้องดูว่าด้านอะไรมากกว่า ถ้าด้านบวกมากกว่าแล้วคุณไปจี้แต่ด้านลบจนกระทั่งเขาไม่สามารถจะมีด้านบวกที่เป็นคุณกับประชาชนได้อีก นั่นแปลว่าคุณทำผิดแล้ว คุณไปขยายด้านลบเกิน แต่ในขณะเดียวกันถ้าคนบางส่วนเป็นลบมากกว่าบวก แล้วไปชูด้านบวกเขาก็ลำบาก เป็นเรื่องสำคัญมาก
 
อย่างที่บอกว่า มันยากลำบากตรงที่ว่า คนบางส่วนกุมหัวใจมวลชนได้เป็นจำนวนมาก แต่ถ้าเราประเมินในเชิงหลักการการต่อสู้ยังมีข้ออ่อนมากมาย นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ทุกครั้งที่เราอยู่กันเราเอาหัวใจเข้าอยู่ แล้วพอเราเอาหัวใจเข้าอยู่ด้วยกันก็จะทำให้เราสามารถร่วมกันและช่วยเหลือกันได้ แต่ถ้าไม่เอาหัวใจเข้าอยู่ มีลักษณะแบบจับผิดโจมตี เราก็ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้ นี่คือความยากลำบาก โดยเฉพาะอาจารย์เคยอยู่ขบวนปฏิวัติ แล้วมาอยู่ขบวนอย่างนี้ลองนึกหัวอกดูสิว่าจะกลุ้มใจแค่ไหน เวลาเห็นอะไรที่รู้ว่าจะไม่ค่อยดี แต่เราห้ามไม่ได้เพราะเขาไม่ฟัง เสียใจ เสียใจมาก เพราะฉะนั้นโดยหลักๆ อาจารย์พูดได้ในสิ่งที่ไม่เสียหาย คือ มีหลายส่วนที่เป็นคนที่ได้รับการต้อนรับจากมวลชนแต่คุณสมบัติในฐานะการเป็นนักต่อสู้ที่ดีนั้นยังดีไม่พอ มันจึงเป็นการยาก เพราะในเมื่อเขาทำแล้วสำเร็จทำไมเขาจะต้องเปลี่ยน แต่เราต้องมองระยะยาว คือ ยอมรับตรงประเด็นนี้ และอย่างที่บอกว่าต้นทุนหลากหลาย เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ เคี่ยวข้น มันจึงโกลาหล เราเปลี่ยนจากการนำ 2-3 คนเป็นการนำรวมหมู่ การนำ 2-3 คนก็มีข้อดีข้อเสียแบบหนึ่ง การนำรวมหมู่ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียอีกแบบหนึ่งเพราะเวลาวิกฤตมันตกลงกันไม่ได้ บางคนเลยต้องเผ่น แต่อาจารย์เผ่นไม่ได้เพราะเรารักประชาชน และเราอยู่กันด้วยหัวใจ เราอยู่กันด้วยหัวใจเราจึงอยู่กันได้ เพราะเรามองด้านบวกของขบวนการและผลประโยชน์ของประเทศชาติว่าขบวนการเสื้อแดงคือขบวนการประชาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ไม่ใช่ชี้หน้าด่าเขาแล้วไปนั่งดูอยู่ข้างนอก เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา
 
ต้องยอมรับว่าเราก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริงตามที่เราอยากจะทำ อันนี้ยังไม่พูดว่าเราผิดหรือถูก แต่เราทำไม่ได้อย่างที่เราอยากจะทำ ต้องใช้ความพยายาม บางทีเราก็ต้องมาพบชะตากรรมด้วยกันทั้งที่จริงๆ มันไม่ควรจะเป็น แต่เพื่อรักษาขบวนทั้งหมด เราจึงต้องมาร่วมทุกข์ร่วมสุข รวมถึงอาจารย์ต้องมาทำงานแบบนี้ นี่คือความยากลำบาก
 
แต่ถามว่าต่อไป เอาเรื่องใหญ่ๆ นะ ยุคนี้เป็นยุคสมัยที่คุณไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นอะไร บางคนเราก็ไม่ว่าเขาคิดถึงการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง แต่ต้องเข้าใจว่าขณะนี้ยุคไหน ขนาดสหรัฐยังไม่สามารถปิดบังเครือข่ายวิกิลีกส์ไว้ได้เลย ขนาดเขาเป็นเจ้าพ่อ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสังคมจากระบอบอำมาตย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเราตั้งไว้แค่นี้ เพราะเราถือว่ามันสอดคล้องกับยุคสมัยทุนนิยมโลกาภิวัตน์ การเมืองการปกครองต้องสอดคล้องกันคือระบอบประชาธิปไตย แนวคิดเป็นเสรีนิยม บางคนอาจว่าทำไมอาจารย์ไม่ก้าวหน้า ทำไมคุณไม่เสนอสังคมนิยมหรืออะไรที่เลยเถิดกว่านั้น แต่เราทำได้ตามความเป็นจริง นี่เป็นการวิเคราะห์ที่เป็นเรื่องยาว ในเรื่องอนาคตสังคมไทยและสังคมโลก และนอกจากนั้นเรายังต้องมาเป็นมติรวมหมู่ เราเชื่อกันโดยบริสุทธิ์ใจว่าในขั้นตอนนี้ของประวัติศาสตร์ยังเป็นเรื่องที่ก้าวข้ามยากจากระบอบอำมาตย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มันก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยที่เป็นระยะเปลี่ยนผ่าน ยังไม่สิ้นสุด เมื่อระยะเปลี่ยนผ่านยังไม่สิ้นสุดเราก็ยังไม่ต้องพูดถึงระยะอื่น เราไม่รู้ 20 ปีข้างหน้าโลกจะเป็นยังไง เราทำระยะเปลี่ยนผ่านให้ดีที่สุด เป้าหมายเรามีแค่นี้ เราจึงจำเป็นต้องต่อสู้ในระบบ เรายืนยันอย่างนี้ แล้วการต่อสู้ในระบบต้องไม่ทำให้อย่างใดอย่างหนึ่งเสีย เพราะเรายังยืนยันในระบอบรัฐสภาว่าเราต้องมีส่วนในระบอบรัฐสภา ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวมวลชนก็ควรอยู่ภายใต้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพราะเราต้องการให้หัวใจคนไทยและคนในโลกอยู่ข้างเรา ให้เรามีความชอบธรรม
 
สรุป หนึ่ง เคลื่อนไหวในระบบ แน่นอน หนทางการต่อสู้ไม่ใช้อาวุธ แน่นอน เพราะเราต้องการความชอบธรรม แต่เฉพาะหน้านี้ ปัญหาความยุติธรรมในสังคมไทยที่เราถูกกระทำและคนในสังคมถูกกระทำ ความยุติธรรมจึงขึ้นมามีความสำคัญของการต่อสู้ของมวลชนบนท้องถนนซึ่งถูกจับกุม คุมขัง ถูกเข่นฆ่า เราจะทำให้สิ่งเหล่านี้มีผลต่อยุทธศาสตร์ประเทศ คือ เราไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ดังนั้น เราจะต้องทำให้ความจริงปรากฏให้ได้ ต้องเปิดเผยให้ได้ว่าการเข่นฆ่าประชาชนเกิดจากใคร เราไม่ต้องการให้เกิดอีก เราก้าวข้ามเสื้อแดงไปสู่ประเทศแล้ว ถ้าเราทำไม่ชอบธรรม ความยุติธรรมที่เราต้องการก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือมาเล่นงานเราอีก แทนที่เราจะเรียกร้องได้อย่างชอบธรรมเรากลับเป็นฝ่ายถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่คือเหตุผลที่เราต้องสู้ในระบบ เราไม่ต้องการให้เกิดรัฐประหารอีก เราต้องเอาความเป็นจริงออกมาให้ได้
 
ไม่ว่าการรัฐประหารนั้นจะเกิดกับประชาธิปัตย์ก็ตาม
แน่นอน เราต้องการระบอบที่ถูกต้อง เราต้องการการล้มของระบอบอำมาตยาธิปไตย เราไม่ได้เน้นที่บุคคลหรือพรรค แต่เราเน้นที่ปัญหาระบอบ บางคนบอกรัฐประหารก็ดีสิ ประชาธิปัตย์จะได้ไป โอ๊ย ไม่เอาค่ะ คนเสื้อแดงจะต่อต้านรัฐประหาร เรื่องการเข่มฆ่าไม่ว่าเกิดกับใครเราก็ต้องต่อสู้ เราต้องไม่เน้นบุคคล เราเน้นหลักการ
 
อาจารย์จะร่วมมือกับ คอป.[คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ]
ระดับหนึ่ง คอป.ก็ไม่รู้เล่นละครหรือของจริง จะเล่าให้ฟังเลยก็ได้ตอนที่ไป คอป.เราไป 1. ขอบคุณเขา เขาอุตส่าห์ขอไม่ให้ตีตรวน ขอให้ปล่อยตัว แต่ข้อเรียกร้องของเราคือเขาไม่ควรหยุดอยู่แค่นี้ เขาควรจะกดดันรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม เขาก็บอกให้ไปถามรัฐบาล แล้วรัฐบาลควรจะมีเอกสารในการที่จะสนับสนุนการประกันตัว และนั่นคือสิ่งที่โยนไปจนกระทั่งคุณอภิสิทธิ์ต้องเดินมาหาอาจารย์ เราบอกว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่จริงใจ คุณพูดความจริงครึ่งเดียว บอกพวกเราไม่ร่วมมือ แล้วอ้างเป็นเหตุว่าอย่างนั้นคอป.เสนอมาผมก็ทำอะไรไม่ได้
 
ถามว่าร่วมมือกับ คอป.ไหม เราไปเรียกร้อง คอป.ว่าคุณต้องทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นความจริงด้านเสื้อแดง หรือความจริงด้านอำนาจรัฐ เราเรียกร้องว่าคุณต้องเปิดเผยขั้นตอนในการทำงาน คู่มือ เพราะเรารู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาบอกเราว่ามีคู่มือ เราขอความโปร่งใสในการทำงานเพื่อให้งานมันเสร็จเร็ว เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์ แล้วเราก็เรียกร้องให้เขาต้องรายงานกับประชาชน เพราะเรามีตัวอย่างประเทศอาเจนตินา ชิลี่ ที่ทำงานได้ผล เขาเขียนรายงานขายดีมาก เราจึงไปเรียกร้องเขาประเด็นนี้ให้เร่งสืบสวนสอบสวนทำความจริงให้ปรากฏ โดยเฉพาะด้านอำนาจรัฐ และเราไม่ขัดข้องถ้าคุณจะไปค้นหลักฐานความความจริงมีคนเสื้อแดงมีความผิดพลาดอะไร ต้องมีหลักฐาน แต่คุณต้องทำความจริงด้านอำนาจรัฐ คุณกล้าหาญหรือเปล่า มันทำยากแต่จะทำง่ายเมื่อำนาจรัฐเปลี่ยนมือ เราก็ยังบอกเขาว่ามันต้องกล้าหาญมาก
 
ดังนั้น ถามว่าร่วมมือไหม ก็ร่วมระดับหนึ่งในการค้นความจริง ด้านเราเราก็ทำ แล้วเราก็ไปเตือนด้าน คอป.ให้ทำ พร้อมกันนั้นเราก็ฟ้องต่อสังคมโลก เราไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ เรารวบรวมข้อมูล ดังนั้น เราจะทำทุกวิถีทางให้ความจริงออกมาให้ได้
 
เมื่อรายงานของ คอป.ออกมาเราจะยอมรับ ไม่แย้งหรือเปล่า
ไม่ใช่ นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่ง สังคมต้องพิสูจน์ว่าเขาได้ข้อมูลมาอย่างไร เราขอเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ไปช่วยทะลุทะลวงการปกปิดปัญหาของอำนาจรัฐ เนื่องจากเขาเป็นคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา แต่อีกส่วนหนึ่งคือ ตำรวจ ดีเอสไอ อีกส่วนหนึ่งคือการฟ้องร้องของประชาชนผู้เสียหาย ก็ต้องทำทุกกรณี เพื่อให้ความจริงออกมาให้ได้
 
นปช.ยินดีให้ความร่วมมือกับ คอป.ในการทำข้อมูล
เราก็ทำของเรา เขาก็ทำของเขา แยกกันทำ ปัญหาของเรามันง่ายเพราะเขามีแต่จะโทษเรา แต่ปัญหาคือ คุณไปหามาสิว่าทหาร ตำรวจ คุณกล้าไหมที่จะไปหามาว่าเขาเบิกกระสุนไปกี่นัด กองพลไหนทำอะไร เอาอาวุธมาเท่าไร ใครสั่งการ มีอะไรเกิดขึ้น
 
ตอนนี้หลายคนอาจเข้าใจว่า นปช.กับคนเสื้อแดง ไม่เท่ากัน นปช.อาจเป็นซับเซ็ทหนึ่ง
แล้วคุณประเมินว่า นปช.เป็นซับเซ็ทแบบไหน อย่างเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. หรือแม้ในอดีตที่ผ่านมา ปัจจุบัน รวมถึงในอนาคต อาจารย์ก็อยากรู้ ในทัศนะของคุณ คุณเห็นคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ แล้วประเมินอย่างไร มี fraction ของคนเสื้อแดง นปช.เป็นแบบไหน
 
ผมว่าก็เป็นหลัก
หลักแบบไหน ขนาดไหน ระดับไหน กี่เปอร์เซ็นต์ เอาเป็นว่าเสื้อแดงในร้อยเป็น นปช.เท่าไร ต้องกล้าประเมิน ผิดหรือถูกก็ไม่ว่ากัน อีกเรื่องหนึ่ง
 
มากกว่าครึ่ง เป็นกลุ่มหลัก 80% 
อาจารย์ว่าน้อยไป ในทัศนะอาจารย์ เป็น นปช. fraction มันอิงแอบอยู่ สมมติกลุ่มที่ไปทำกิจกรรมวันอาทิตย์ หรือกลุ่มซื่ออื่นๆ เขาเป็น นปช.ไหม เป็นนะ คนเสื้อแดงยินดีไปร่วมกิจกรรม คุณสมบัติทำกิจกรรมน่ารักๆ คุณสมยศจะไปประท้วงที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่น เขาก็ไปด้วย แต่ถามว่าเขาเป็นใคร เขาคิดว่าเขาเป็น นปช.นะ ถ้าแนวทางไม่ใช่สันติวิธีก็ ไม่ใช่ นปช. แต่เวลาไปถามเขาคิดว่าเขาเป็น นปช.หมด ถึงกล้าบอกว่า เสื้อแดงเกือบทั้งหมด เขาคิดว่าเขาเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน แต่เขายินดีที่จะติดตามกลุ่มต่างๆทำกิจกรรมตามที่เขาจะเลือก แต่ถ้าเป็นกิจกรรมใหญ่ของ นปช เขาจะเข้าร้วมโดยตรงเกือบทุกครั้งถ้าทำได้
 
แต่ในกลุ่มเหล่านี้มีความต่างกันในการวิเคราะห์มองอุปสรรคของการพัฒนาประชาธิปไตย แม้เป้าหมายเดียวกัน?
ความจริงอุปสรรคเหมือนกัน ส่วนใหญ่ต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตย แต่เปาหมายอาจต่างกันบ้าง คนที่บอกว่าระบอบการเมืองการปกครองต้องเลย ไม่เอาพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราถือว่าไม่ใช่ นปช แต่ตัวเขาเขาจะคิดว่าเขาเป็น นปช.ก็ได้ เช่นกลุ่มที่ไม่แน่ใจในสันติวิธี แต่เราขีดเส้นตรงนี้ไม่ถือว่าเป็น นปช เพราะเรารับผิดชอบไม่ไหวมันเกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบได้ ถ้าเขาไปทำอะไรที่เกินกว่านั้น แม้เขาจะรักเราแต่เรารับผิดชอบไม่ได้ ในแต่ละกลุ่มถ้ามีหนทาง แนวทางชัดที่แตกต่างจาก นปช. อย่างนั้นถือว่าไม่ใช่ นปช. แต่ถ้าแนวทางสันติวิธีเหมือนกัน เพียงแต่จัดกิจกรรมต่างกัน เรายินดียอมรับว่าเป็นคนนปช. ดังนั้นความหมายว่าอาจมี 5% ที่ไม่ใช่ก็เพราะเขาไปคนละแบบเลย เพราะว่าจากการสัมผัส เรารู้ บางคนเขาชอบว่าใครพูดแล้วน่าฟัง แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะพาไปทางไหน มันก็มีนะ ต้องยอมรับความเป็นจริง
ในความคิดของอาจารย์เท่าที่สัมผัสกับมวลชน คนเกือบทั้งหมดยอมรับการนำของนปช. มีเฉพาะส่วนน้อยที่เป็นปฏิปักษ์กับการนำขัดแย้งกับแกนนำอาจคิดว่าพวกเขาทำได้ดีกว่า ถูกต้องกว่า บางส่วนก็พูดเปิดเผย แล้วบางส่วนก็ไม่ยอมบอก แล้วพยายามจะดึงมวลชนไปตามหนทางของตัวเอง ความหมายของอาจารย์คือมันต่างกันชัดในหนทางการต่อสู้ที่เขาต้องการความรุนแรง เราไม่นับรวมเข้าเป็น นปช.
 
สรุปแล้วแนวทาง นปช. คือ การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เรายังขีดเส้นที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงไทยอย่างแท้จริง และต่อสู้โดยสันติวิธีนี่คือสิ่งที่เตินไปและสำคัญ จนคุณวีระเขาเรียกว่า รัฐไทยใหม่ แล้วก็โดนโจมตี ที่สำคัญที่สุดจริงๆคือต้องให้มีความเสมอภาคทางการเมือง คุณจะให้คนจำนวนหนึ่งมาแต่งตั้งแล้วไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชนในองคาพยพของการเมืองการปกครองเราไม่อนุญาต อย่างน้อยที่สุดคือมาตรฐานอารยประเทศ ไม่มีรัฐประหาร ไม่มีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก คุณไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงกระบวนการในการเมืองการปกครอง ต้องเป็นอำนาจของประชาชนแท้ๆ ก็ดูรัฐธรรนูญถาวรฉบับแรกของเรา พฤฒิสภายังมาจากการเลือกตั้งเลย แล้วไม่มีองคมนตรีด้วย ดูสิ ตั้ง 78 ปีแล้วมันยังวกกลับ สรุปว่าเราต้องการประชาธิปไตยง่ายๆ ธรรมดา มีความเสมอภาคทางการเมือง เศรษฐกิจยังไม่ต้องพูดนะ เพราะพูดเสมอภาคทางเศรษฐกิจก็ว่าเป็นคอมมิวนิสต์อีก อาจารย์ใช้คำว่าผลึกของการต่อสู้ทั้งหมดคือ ความเสมอภาค การที่คนเห็นคนเป็นคนเท่ากัน นี่คือผลึกการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพราะถ้าคุณมองคนไม่เสมอภาค ความยุติธรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้
 
ขอย้อนกลับมาไกลหน่อย เรื่องที่คุยว่าผลกระทบของ นปช.ที่เกิดจากการสลายการชุมนุม อาจารย์มองว่าในทางการเมืองทำให้คนชั้นกลางตื่นตัวมากขึ้น แต่ตัวกลไกการจัดตั้งของ นปช.เอง ส่วนหนึ่งมันถูกบีบให้ออกไปอยู่นอกกฎหมาย ต้องหนี อยู่ในเรือนจำ
จะใช้คำว่าบีบให้ไปอยู่นอกกฎหมาย ไม่ใช่ ใช้คำว่านอกกฎหมายจะกลายเป็นว่าไปอยู่ใต้ดิน เป็นเรื่องหลบหนี แต่อย่างที่บอกว่าเราเป็นขบวนการประชาชน แม้นว่าแกนนำจะเป็นอย่างนี้คุณก็จะเห็นภาพอย่างทุกวันที่ 19 แม้ไม่มีแกนนำก็ยังมา เป็นการจัดชุมนุมที่ถูก ไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่มีเวที เพราะเขามากันเอง การที่เขามากันเองแสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของการทำงานในอดีตที่ผ่านมาและการตื่นตัวของประชาชน มันไม่ได้มาเพราะคำสั่ง เราแค่เชิญชวน และจะทำทุกเดือนจนกว่าความจริงและความยุติธรรมจะปรากฏ ไม่ใช่แค่ปล่อยตัวนะ ถามว่าทำไมเขามา การที่เขามาแสดงถึงศักยภาพของเขา ไม่ใช่ของแกนนำ ศักยภาพของประชาชน เขามาของเขาเอง และนี่คือความชื่นใจของเรา ที่เห็นประชาชนเข้มแข็ง จัดตั้งกันเอง คุยกันเอง แน่นอน เรามีแกนนำโดยธรรมชาติ และมีแกนนำที่เราส่งเสริมอยู่ระดับหนึ่งในแต่ละพื้นที่ จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ แต่มันเป็นการจัดตั้งที่เราไม่ได้สั่งการ แต่งตั้ง ตรงนี้ถ้าถามความเป็นปึกแผ่นของเสื้อแดงมันมากกว่าที่คิด เพราะเป็นความเป็นปึกแผ่นทางความคิด และการเมือง ผ่านมา 4 ปีเขาสู้มายาวนานจนกระทั่งทำให้เขาก้าวข้ามผลประโยชน์ตัวเขาเอง ก้าวข้ามคุณทักษิณ จนก้าวข้ามมาสู่การเมือง ขออำนาจคืน ขอความยุติธรรม เพราะเขาถือว่าคุณทักษิณก็ได้ เขาก็ได้ ประเทศชาติก็ได้ แต่ฝั่งตรงข้ามยังก้าวไม่ข้ามคุณทักษิณเลย ดังนั้น นี่คือความน่าดีใจ เขาข้ามมาหมด แล้วจะทำให้ฐานะของแกนนำมันไม่สำคัญเท่าไรต่อไป บทบาทสำคัญน้อยลงเพราะมวลชนเขาตัดสินได้และรู้
 
นี่คือเหตุผลที่อาจารย์ทำข้อ 4 ว่าภาระหน้าที่นอกจาก หนึ่ง การรณรงค์ปล่อยตัวคนเสื้อแดง แกนนำ ภาระหน้าที่ที่สองคือการเยียวยาและต่อสู้คดีช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ ภาระหน้าที่ที่สาม คือ ทวงถามความยุติธรรมและความจริงให้กับคนที่ตาย คนที่ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบ ข้อที่สี่คือ ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ นี่คือคำแถลงภาระหน้าที่ที่แถลงตอนอาจารย์เข้ามา ข้อสี่นี้เราได้ทำในการก่อตั้งโรงเรียน แล้วนอกจากนั้นการเปิดโรงเรียนของเราไม่จำเป็นต้องเปิดแบบเป็นโรงเรียน เราสามารถทำให้การสัมภาษณ์ การเสวนา การแถลงข่าว ทุกกิจกรรมเป็นโรงเรียนทั้งหมด เพราะโรงเรียนเราไร้รูปแบบ ไม่ใช่กระทรวงศึกษา และเราก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันยกระดับประชาชนมากขึ้นๆ และในเงื่อนไขของเหตุการณ์เขาสามารถรวมตัวได้แน่นอน ทำกิจกรรมร่วมกันได้แน่นอน และโดยเทคนโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การรวมตัวทำกิจกรรมมันง่าย น้องชายที่มายังเล่าให้ฟังสมัยก่อนจะนัดชุมนุม ต้องไปติดโปสเตอร์จนต้องตายกันเยอะแยะตอนดึก ฉะนั้น เทคโนโลยีก็มีส่วนช่วย
 
ไม่ต้องกวนกาวแล้ว
ใช่ ไม่ต้องกวนกาวแล้ว (หัวเราะ) นี่คงผ่านยุคสมัยนั้นมาด้วย ความจริงยังดูหนุ่มๆ แต่ความจริงมันก็ลำบากจริงๆ เทคโนโลยีมันทำให้ง่ายมากเลย
 
อยากทราบประเด็นเรื่องการรณรงค์ให้ปล่อยตัวแกนนำ
เป็นภาระหน้าที่ข้อหนึ่ง ไม่ใช่แกนนำอย่างเดียว แต่คือคนเสื้อแดงทั้งหมดที่ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบ เหลือ 175 คน ปล่อยตัวคือให้ประกัน ให้สิทธิเขาประกัน ดูที่มุกดาหารสิต้องกินน้ำยาปรับผ้านุ่ม มีเด็กบางคนไม่ได้สอบ ปวส. พ่อแม่พยายามเท่าไรก็ประกันไม่ได้ ถามว่ารัฐทำอย่างนี้ได้อย่างไร และเรายังติดตามได้ไม่ดี อาจารย์ต้องไปฝากคนในพื้นที่ว่าช่วยกันทำหน่อย เพราะกรรมการมันก็เหลือแค่จำนวนหนึ่ง และในพื้นที่เขาก็คือ นปช. การที่เขาออกไปทำกิจกรรม ดูแลอะไรต่างๆ ก็แสดงถึงศักยภาพของเขาเหมือนกัน ในจังหวัดไหนการจัดตั้งองค์กร การรวมกลุ่มทำให้ดี การเยียวยาก็จะทำได้ดี
 
ต่อไปนี้ทุกวันที่ 10 และ 19 ของทุกเดือน ที่อุบลราชธานี มหาสารคาม มุดาหาร เราจะรณรงค์ให้เขาประท้วงแบบกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการให้กำลังใจและแสดงให้ชนชั้นปกครองในพื้นที่รู้ว่าประชาชนยังต่อสู้ นี่คือสิ่งที่ส่งสารไป เราแค่ส่งสารจากส่วนกลางถ้าเขาเห็นชอบด้วยเขาก็ทำ ถ้าเขาไม่เห็นชอบเขาก็ไม่ทำ (หัวเราะ)
 
การรณรงค์ให้ปล่อยตัว คาดหวังหรือเปล่าว่าแกนนำจะนำพาการเคลื่อนไหว
แกนนำออกมาคงไม่สามารถนำพาการต่อสู้ได้สักเท่าไร สมมติว่าเขาให้จริงนะ และยังไม่เชื่อว่าเขาจะให้ ถ้าเกิดเขาจะให้แน่นอนว่าเขาจะต้องมีข้อจำกัดมาก เหมือนคุณวีระ [มุสิกะพงศ์] คุณดูคุณวีระสิ สัมภาษณ์ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้หมดเลยทุกอย่าง แต่ว่าเขาอาจจะให้คำปรึกษา หรืออาจจะช่วยเหลือในทางที่ไม่จำเป็นต้องแสดงต่อสาธารณะ
 
การคุยกับคุณอภิสิทธิ์มีการเตรียมการหรือไม่
ไม่มี ก็บอกไว้แล้วไง ไม่มีการเตรียมการใดๆ ปัญหาก็คือว่า ขณะนี้มีคนจำนวนหนึ่งคิดว่าคุณวีระเป็นตัวเชื่อมระหว่างรัฐบาล เขาจึงมีความรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น แต่ขอให้พี่น้องคิดดูนะ ไอ้โรงแรมนี้อยู่ระหว่างทางจากบ้านมาเรือนจำ แล้วการที่เราไปนั่งกินกาแฟอยู่ เราก็เป็นผู้กำหนดเอง ตัวอาจารย์เองเป็นผู้กำหนดเลือกนั่งที่โซฟา ที่ล็อบบี้ แต่ว่าอย่างหนึ่ง ถามว่าทำไมมันถึงบังเอิญ คุณอย่าลืมว่าคุณอภิสิทธิ์เขาชอบสปีชมากเลยนะ ไม่ว่ามีอะไร ทีนี้เป็นข้อเตือนใจว่า ถ้าอยากหลีกเลี่ยงคุณอภิสิทธิ์ต่อไปอย่าไปกินกาแฟโรงแรม เพราะว่าโอกาสจะเจอมีสูงมาก
 
อาจารย์ไปนั่งคิด เอ๊ะ ทำไม มีคนเขาสงสัยมาก แต่จริงๆ หนึ่ง ไม่ควรสงสัย เพราะวันๆ หนึ่งถ้าคุณไปศึกษาการทำงานของนายกฯ  เราจะพบว่าวันๆ หนึ่งแกต้องไปโรงแรมโน้นโรงแรมนี้เพื่อไปแสดงสปีชเยอะมาก แล้วเราเข้าใจว่าพวก รปภ.หรือผู้สื่อข่าว วันนั้นที่เห็นคือผู้สื่อข่าวโพสต์ เป็นคนแจ้ง อาจจะแจ้งรัฐมนตรีบางคนว่าพวกเราอยู่ที่นั่น แน่นอน รปภ.เขาต้องกลัวสิ เพราะมาเห็นเข้าว่าเป็นคนเสื้อแดง คู่กรณีกัน แต่เราหลบมุม และเราไม่อยากออกไปแล้ว เพราะสื่อมันเต็มไปหมดแล้ว เราอยากจะกลับแล้วแต่ทีนี้มันจะกลับอย่างไรเพราะโรงแรมนี้มันต้องออกทางเดียว อาจารย์ต้องไปเข้าห้องน้ำของพนักงาน
 
แล้วที่ที่เราไปนั่งกินกาแฟตรงนั้นเป็นที่โล่ง ไม่มีห้องเลย คำถามคือว่า ถ้าคุณมีแผนคุณจะไปนั่งอยู่ในที่โล่งๆ ที่คนเดินมาแล้วเห็นได้ไหม เพราะฉะนั้นมันจึงง่ายที่พวกเขาจะเห็น แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องลับเพราะเราไปนั่งตรงที่โล่งแจ้ง มีคนเห็นได้ง่าย แล้วคุณอภิสิทธิ์เป็นคนเดินลงมา โดยคุณปณิธานมาถามก่อนว่า ถ้านายกฯ มาขอคุยจะขัดข้องไหม เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะขัดข้อง แต่เรานั่งอยู่ตรงนี้นะ ไม่ใช่เขาเชิญขึ้นไปพบด้วย ถ้าเขาเชิญขึ้นไปพบก็ไม่ไป แต่เรานั่งอยู่ตรงนี้แล้วเขาขอเข้ามาคุย เราก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะปฏิเสธ เพราะถ้าเราปฏิเสธสังคมก็จะต้องบอกว่าพวกคุณเป็นอันธพาล เกเร เพราะเขาเป็นนายก เขาอุตสาห์ให้เกียรติมาขอคุย แล้วบอกว่าฉันไม่คุยด้วย ถ้ามันมีเหตุผลว่านัดกันเจรจา เป็นประเด็นไหน สมมติว่า คุณอภิสิทธิ์บอกว่าขอมาคุยด้วยในประเด็นว่าให้คุณยุติม็อบได้ไหม อย่างนี้เราบอกได้เลยว่าคุณไปเลย คุณไม่ต้องมาคุยด้วย แต่การที่ขอมีโอกาศมาสนทนานั้นก็ไม่ได้มีสถานะเป็นการเจรจาทางการ 
 
บอกได้ไหมว่าคุยอะไรบ้าง
วันนั้นก็เล่าไปแล้ว เรามีคุยประเด็นเดียวก็คือว่า เมื่อลงมา เข้ามาคุย สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูดหนึ่งคุณทักษิณคุกคามครอบครัว ดูท่าทางคุณอภิสิทธิ์กลัวจริงๆ นะคะ กลัวจริงๆ คราวนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมทหารตำรวจมันถึงเต็มซอยนั้น เพราะเขาบอกคุณทักษิณคุกคาม เราก็บอกคุณทักษิณคุกคามได้ไง คนมีครอบครัวไม่มีใครอยากคุกคามใคร เพราะเขาก็รักครอบครัวเขา แต่นี่ดูด้วยตานะว่าคุณอภิสิทธิ์ท่าทางแกจะกลัวจริงๆ แต่พอตอนหลังกลับมาคิดก็อ๋อ... ไม่น่าหละ ไอ้ซอยนั้นโรงแรมมันถึงเจ๊ง เพราะทหารตำรวจอยู่กันเต็มไปหมด
 
อันที่สอง เขาก็พูดถึงเรื่องคุณตู่ [จตุพร] ว่าคุณตู่ไปเอาหลักฐานอะไรต่อมิอะไรมาซึ่งไม่ถูก ซึ่งอาจารย์ก็บอกเขาไปว่ามันของจริงนะที่เห็น เขาก็พูดเหมือนกับว่าจะให้เราไปพูดไม่ให้มีเรื่องนี้อีก เราก็บอกว่ามันไม่ได้หรอก มันไม่เกี่ยวกัน แต่ว่าในประเด็นอะไรที่มันไม่มีที่มาที่ไป มันสุ่มเสี่ยง อันนี้ถ้ารู้อาจหารือได้ก็ได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือ พูดกันตรงๆ ก็คือ ฝ่ายบู๊ก็คือคุณจตุพร พี่ไม่ใช่ฝ่ายบู๊นะคะ (หัวเราะ) คุณจตุพรเขารับผิดชอบเอง และมีฐานะ สส.ด้วย
 
แล้วเขาก็มีคำถามอีกคำหนึ่งว่า การต่อสู้นี้ที่เราจะจัดวันที่ 19 ท่าทางจะกลัววันที่ 19 แกถึงเดินมา ถามว่ามันจะยืดเยื้อไหม เราบอกว่าการต่อสู้ของเราในระยะนี้ยังไม่มีเหตุผลจะยืดเยื้อ แกก็สะดุ้ง จากนั้นก็บอกว่าถ้าเช่นนั้นต่อไปถ้าจะยืดเยื้อก็ต้องมีเหตุผลสิ แปลว่าพวกคุณก็ต้องหาเหตุผลจนได้ อาจารย์ไม่ได้รับปากใดๆ เพราะ การจะจัดทำอะไรมันไม่ใช่จะอยู่ที่ตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำรับปากใดๆ ในทุกเรื่อง
 
มีประเด็นเดียวที่เราตั้งคำถาม และเป็นคำถามที่สำคัญคือ นายกปฏิเสธ คอป.ในเรื่องการประกันตัว แล้วไปให้เหตุผลกับสาธารณชนและคนต่างประเทศว่า เขาไม่สามารถให้การสนับสนุนให้เกิดการประกันตัวได้เพราะแกนนำเสื้อแดงไม่ให้ความร่วมมือ ทนายก็ไม่ให้ความร่วมมือ จนทนายเขาจะฟ้องว่าไม่เป็นความจริง ไม่ให้ความร่วมมือกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ นี่แหละ เราเองเคยบอกนักข่าวที่ คอป.ว่าคุณอภิสิทธิ์พูดความจริงครึ่งเดียว คุณอภิสิทธิ์อาจจะเคยให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ มาติดต่อ แต่เท่าที่เรารู้ แกนนำบอกว่าเขามาถามทุกข์สุข และถามว่าต้องการให้ช่วยประกันตัวไหม เราก็มีทนาย และเราก็มีเงินที่จะประกันตัวเอง ถ้าจะเอาเงินของกรมคุ้มครองสิทธิฯ ก็เอาไปให้พี่น้องที่ลำบาก เพราะฉะนั้นเราก็เลยบอกว่าคุณอย่าพูด ถ้าคุณจะสนับสนุนให้มีการประกันตัวด้วยวิธีการใดก็ตาม อย่าอ้างว่าคุณทำไม่ได้เพราะคนเสื้อแดงไม่ให้ความร่วมมือ เขาจึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นเขาจะขอส่งคนของกรมคุ้มครองสิทธิฯ ไปใหม่ เราก็บอกก็ได้ เราก็อาจจะไปถามแกนนำว่าถ้าเขามาเที่ยวนี้ ถ้าเขาพูดรู้เรื่องมีทัศนคติเชิงบวก แกนนำอาจสามารถพูดคุยได้
 
เพราะฉะนั้นประเด็นสำคัญจริงๆ ที่เกี่ยวกับการประกันตัวก็คือการไปทวงว่า คุณอย่ามาโทษเราว่าไม่ให้ความร่วมมือ แล้วอ้างเอาสิ่งนี้ไปบอกชาวโลกว่า “ผมไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพวกเขาปฏิเสธผม” นั่นเป็นประเด็นเดียวที่เป็นสาระที่เกี่ยวข้องกับการประกันตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องต่อสู้ หรือเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างอาจารย์ธิดาจะไปก้มหัวให้คนอย่างอภิสิทธิ์ หรือจะไปยุติการต่อสู้ ต่อรอง ไม่มี
 
คนบางคนไม่ต้องคุย สมบัติ [บุญงามอนงค์] เขาบอกว่าเขาสนับสนุนและคิดว่าเขารู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ [ที่อาจารย์จะก้มหัว/ต่อรองกับอภิสิทธิ์] แต่ว่าคนเสื้อแดงที่อาจกำลังโมโหบางส่วน ซึ่งอาจจะยังไม่รู้จักอาจารย์ดี เพราะว่าพวกนี้ยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาทำงาน ไม่ใช่คนรุ่นเก่า หรือคนกลุ่มอื่นที่ไม่ชอบแนวทางสันติ อาจจะมีความต้องการผลักดันมวลชนให้มีความไม่ไว้วางใจก็ได้ ใช้คำว่า “ก็ได้” นะ เพราะเราไม่สามารถที่จะไประบุชัดเจน หรือว่าเขาอาจจะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ก็ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็คือว่า ถ้าคนที่รู้จักกันก็จะต้องเชื่อมั่นและไว้ใจ แต่คนในส่วน นปช.เองบางส่วนที่อาจพูดจาทำให้ดูกำกวม อาจจะเป็นเพราะตกใจ กลัว เห็นมวลชน กลัวมวลชนว่า ตกใจก็เลยรีบปัดให้พ้น แล้วลืมคิดไปว่าไอ้วิธีพูดแบบนั้นกลับมีผลเสียสร้างความไม่เชื่อมั่นให้มวลชนในการนำของ นปช
 
แต่ว่าเราก็ได้เคลียร์กันแล้วว่าปัญหาสำคัญที่สุดก็คืออย่าทำให้ขบวนเสียหาย นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แล้วนักต่อสู้ถ้าอยู่ในองค์กรเดียวกัน เราต้องคุยกัน ไม่ว่าอะไร ยกตัวอย่างคุณทำประชาไทหรือคุณทำบริษัทอะไรก็ตาม คุณต้องคุยกัน สมมติคุณเป็นบริษัท คุณก็ต้องมีคู่แข่ง มีคู่ต่อสู้ การต่อสู้ภายในองค์กรมันก็มี เหมือนกับที่บอกว่าภายใน นปช.เราก็ต้องอภิปรายภายใน แต่ว่าเมื่อเป็นมติหรือความเห็นร่วมกันออกไปแล้ว เราต้องรักษาการนำเพื่อให้เป็นเอกภาพ การไปใช้เวทีในสื่อพูดทำให้มวลชนไม่เชื่อมั่นนี่ไม่ใช่การต่อสู้ของฝายประชาชนที่แท้จริง ตัวอาจารย์เองเคยมีความขัดแย้งมากมายในการจัดขบวน ในการต่อสู้รอบที่แล้วมา แต่ถามว่าตัวอาจารย์เคยมาพูดโจมตีว่ามีความผิดพลาด อาจารย์ไม่ทำนะ
 
พื้นที่สื่อนี่เป็นพื้นที่สำหรับอะไร อย่างไร
เวทีการต่อสู้เรามีทุกเวที ในรัฐสภา ในท้องถนน บนพื้นที่สื่อ และโต๊ะเจรจา เราต้องใช้ทุกที่ทุกเวลาทุกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้
 
เวทีสื่อควรต้องเป็นเวทีการต่อสู้ระหว่างเรากับฝ่ายปฏิปักษ์ของประชาชน ไม่ใช่เวทีที่ฝ่ายประชาชนจะเอามาใช้ต่อสู้กันเอง ถ้าคุณทำอย่างนั้นก็เท่ากับไปตอบสนอง เป็นผลประโยชน์ เหมือนบางเรื่องที่คุณมาถาม ก็บอกตรงๆ ว่าไม่อยากพูดเพราะถ้าพูดแล้วฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเราเขาก็หยิบเอาไป แต่ถามว่าประชาชนข้างนอกเขาอยากรู้ไหม เขาอยากรู้ แต่อาจารย์ต้องขอโทษว่ามันไม่น่าจะดี แต่เมื่อไหร่มาเป็นพวกเราแล้วทำงานภายในเรื่องอย่างนี้จะต้องพูด
 
แปลว่าเราต้องมีกติกาว่าเรื่องอะไรควรพูดออกสื่อสาธารณะ การพูดแล้วทำให้ขบวนเสียหายโดยไร้ประโยชน์ มันไม่ถูกต้อง
 
อาจารย์ก็ถือว่ามันเป็นวิกฤติก็มีโอกาส ก็เป็นเรื่องที่ดี
 
คำว่ามาตรฐานผู้เข้าร่วมการต่อสู้สูงต่ำคืออะไร
หมายความว่าในขบวนเราคุณสมบัติของนักต่อสู้เราไม่ต้องเรียกร้องสูง แต่ถ้าคุณเป็นนักปฏิวัติมันต้องมีมาตรฐาน มันต้องมี criteria เพราะฉะนั้นคำว่ามาตรฐานก็คือว่า ไม่ใช่มาตรฐานนักปฏิวัติ ใครก็ได้ ผู้หญิงกลางคืนพอเขาเต้นอะโกโก้เสร็จเขาก็มา อ้าวแล้วคุณจะไปเรียกร้องอะไร ก็เขามีหัวใจว่าเขาจะมาต่อสู้เรียกร้องกับคุณ ที่เราใช้คำว่าในขบวนประชาธิปไตยเรียกร้องมาตรฐานต่ำมากก็ความหมายว่าเมื่อเทียบมาตรฐานของนักต่อสู้ในระดับการปฏิวัติไม่ใช่ คนเต้น อะโกโก้มา บางทีตอนเช้ามืดก็จะเห็นว่ามาเต้นกันยกใหญ่เลย พ่อค้าแม่ค้า คนจรจัด ที่ตายไปก็มีคนจรจัด นี้คือสิ่งที่เราเรียกว่าการมาร่วมกันโดยที่คุณไม่สามารถจะไปบอกว่า “เฮ้ย ... มันต้องแบบนั้น แบบนี้” ไม่ใช่ เราต้องการคนที่มาก หลากหลาย เพราะว่าข้อเรียกร้องเราต่ำ
 
เมื่อตรงนี้เป็นขบวนการต่อสู้ อาจารย์คิดว่ามันเป็นขบวนการต่อสู้เรื่องอะไร
ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กับความเป็นธรรมในสังคม ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่อุดมการณ์ในลักษณะที่สูงส่ง 
 
คำถามสุดท้าย อาจารย์ร้องไห้ต่อหน้าสื่อวันนั้น อาจารย์ร้องไห้ด้วยความรู้สึกอะไร
ก็กดดันธรรมดา คืออย่างนี้นะ เราอยู่ด้วยกันมันมีอารมณ์รักพอควร อารมณ์รักขององค์คณะพวกเราที่ทำงานด้วยกันมันมีลักษณะประหลาด มันไม่เหมือนพวกองค์คณะที่อาจารย์เคยผ่านมานะ ในคณะปฏิวัติมันมีความเคร่งเครียด แต่อันนี้มันมีความรักแบบชาวบ้านธรรมดา แล้วพอในวันนั้นมันก็มีคนถามว่า “เอ๊ แล้วปีใหม่นี้จะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า” เราก็นึกถึงครอบครัวทั้งหมดนะ ครอบครัวณัฐวุฒิ ครอบครัวก่อแก้ว พวกลูกเล็กๆ พวกภรรยาอะไรต่างๆ เราก็ใกล้ชิดกัน มันก็เลยอึ้ง สะอึกไปเลยพอเจอคำถามนี้ มันก็อาจเพราะเครียดด้วย อะไรด้วย มันก็เลยมีน้ำตาออกมา
 
ยอมรับว่ามันก็เป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นโดยที่ปกติมันไม่เคยเกิด แต่พอเจอคำพูดอันนั้นของน้องเขา มันโดนใจ มันโดนจนสะอึกไปเลย เพราะเราตอบเขาไม่ได้ เพราะเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะได้ประกันตัวเมื่อไร? แต่ครอบครัวทั่วไป เพราะอะไร เพราะภรรยาของพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้เขาก็ตั้งความหวัง รอแล้วรออีกว่าเมื่อไหร่สามีเขาจะได้ประกันตัว แล้วพวกที่มีลูกเล็กๆ เขาก็บอก อย่างณัฐวุฒิยังไม่เคยอุ้มลูกเลย เขาก็คิดว่าปีใหม่นี้พ่อจะได้มาอุ้มลูกไหม
 
ส่วนของอาจารย์มันไม่ได้มีโรแมนติกอะไรหรอกเพราะแก่แล้ว คู่นี้มันแก่แล้ว (หัวเราะ) แต่ว่าเขาเรียกว่ามันเป็นอารมณ์รักร่วม แล้วก็สงสารครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ
 
ตรงนี้หมายถึงในส่วนของแกนนำหรือเปล่า
ถ้าที่ใกล้ชิดก็แกนนำ แต่กับคนอื่นๆ ก็ทุกคน คือนี่มันเป็นอารมณ์รักของคนต่อสู้กันมาด้วยกันทั้งหมด แล้วเราเห็นถึงความเสียสละ มันแปลกนะ การต่อสู้ที่ง่ายๆ ที่เราบอกว่าไม่เรียกร้องสูงเนี่ยนะ กลับปรากฏว่ามีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์รักร่วม มีความผูกพันสูง
 
มีอยู่รอบหนึ่งไปที่ที่อิมพิเรียล ไปกินข้าวตอนนั้นคนอื่นไม่อยู่ ไปคนเดียว อึ้งเลย นั่นก็เป็นครั้งแรกที่น้ำตาร่วง เพราะเราเคยนั่งกินกันเยอะ เป็นอาหารปักษ์ใต้บ้างอะไรบ้าง แล้วคนเหล่านี้เขาจะแหย่อาจารย์ เขาจะแหย่ คือเราเป็นผู้หญิงแก่ๆ อยู่คนเดียว แล้วก็มีหมอเหวง เพราะฉะนั้นเขาก็จะแหย่คู่ของเรา คนอื่นเขาก็ไม่รู้จะแหย่อย่างไรเพราะภรรยาเขาก็ไม่ได้มาด้วย นี่ก็เป็นความคิดที่เราก็กลับมาทบทวนว่าเราผ่านมาหลายอย่าง แต่ว่ากับคนเหล่านี้อาจจะเป็นเพราะต่อสู้มานานและคลุกคลี แล้วคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดา มีความถูกต้อง ไม่ถูกต้อง มีความน่ารัก มีความน่าเกลียด แต่มันก็เป็นชีวิตจริงๆ ที่ไม่ได้ต้อง.. โอ๊ะ ถ้าคุณอยู่ในขบวนคณะปฏิวัติคุณต้องมีข้อเรียกร้องสูงนะ คุณต้องอย่างนั้น ต้องดัดแปลงตนเอง แต่คนพวกนี้มันธรรมดา แล้วเราก็เกิดความผูกพัน มีหัวใจ
 
และนี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้เราบางครั้งทัศนะต่างกันแต่ เราคุยกับพวกเขาได้ เพราะว่าเราใช้หัวใจคุย แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับเขา หรือเขาอาจจะไม่เชื่อเรา หรืออาจจะไม่ฟังเรา แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้ก็คือว่าความผูกพันและความหวังดี แล้วหัวใจ และสิ่งนี้ก็ทำให้พี่ที่ถึงแม้ว่าไม่น่าจะเข้ามาทำตรงนี้ก็จำเป็นต้องมาทำ เพราะว่าเขาไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วคนเหล่านี้อยู่กันด้วยหัวใจ ความสามารถยังเป็นรอง
 
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าพอเราคิดถึงทั้งหมด คุณลองคิดดู 7 เดือน นักเรียนบางคนไม่ได้สอบ ประกันยังไม่ให้ หลายคนต้องมีปัญหาทางจิต หรือต้องมีการกระทำที่มันเข้าข่ายไปทางเรื่องอื่นแล้วในที่สุดถึงออกมาได้ก็มี แล้วคุณลองคิดดูว่าเขาไม่มีความผิด เพราะฉะนั้นพอเขาพูดถึงปีใหม่ เราจะให้เขาทนทุกข์อยู่นานแค่ไหน ครอบครัวเขาก็รอคอย อาจารย์เลยน้ำตาร่วงออกมาเพราะคำว่าปีใหม่ เพราะว่ามันยาวนานเกิน แล้วก็มีความรู้สึกเสียใจว่าไม่น่าจะน้ำตาไหลต่อหน้าสื่อ (หัวเราะเขินๆ) มันของจริงมาจากใจ มันเป็นอารมณ์รักของพวกเรา แล้วก็ห่วงใย ห่วงใยความรู้สึกเขา ร่วมทั้งคนข้างในด้วยว่าถ้าข้ามปีใหม่จิตใจเขาจะเป็นอย่างไร ทรมาน แต่ว่าสภาพร่างกายก็ดี ก็คุยกันนะ
 
สุขภาพร่างกายดีใช่ไหม
หมอเหวงสุขภาพร่างกายดี วิ่งวันละ 10 กิโลเมตร วิ่งเช้าหนึ่งชั่วโมง วิ่งบ่ายครึ่งชั่วโมง ตีปิงปอง เล่นกีตาร์ ฝึกกีตาร์ฝึกภาษาจีน แล้วก็ติดตามข่าว แล้วบางทีก็เขียนบันทึก เขียนจดหมายอะไรออกมา
 
ส่งออกมาได้ใช่ไหม
ตอนนี้ก็เลยใช้เป็นส่งไปรษณีย์ เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นส่งมาในปัญหาคดี ส่งไปส่งมาแล้วพอมันไม่ใช่คดีแล้วเป็นเรื่องขึ้นมาว่ามันผิดระเบียบเรือนจำก็เลยต้องเปลี่ยนใหม่ แปลว่าเขาต้องเซ็นต์เซอร์เป็นลำดับขั้น ก็เป็นห่วงอาจารย์เพราะว่าอาจารย์เข้ามาทำงานนี้ บางทีเราก็ต้องหาเวลาที่คุยเฉพาะแกนนำเพราะแต่ละวันคนไปเยี่ยมเยอะ อย่างเมื่อเช้าเราหมดปัญญาเยี่ยมเลย คนภาคเหนือนี่มาเยอะแยะเลย คือคนเยอะ เราก็เลยขออนุญาตคุยกันเป็นการเฉพาะ คุยเรื่องสถานการณ์ เขาก็เป็นห่วงอาจารย์ว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้น
 
แต่คนข้างในให้กำลังใจนะ ยืนยัน เพราะว่าเขาคิดว่าอาจารย์ทำได้เกินกว่าที่เขาคาด เพราะว่าหลายคนก็ยังไม่รู้จักอาจารย์ ซึ่งอาจเป็นเพราะสื่อไทย สื่อต่างประเทศให้ความสนใจ มันก็เลยมีพื้นที่สื่อที่มาก เพราะอาจารย์คิดว่าพื้นที่สื่อก็เป็นการต่อสู้เหมือนกัน อาจารย์เลยจะต้องเปิดบ้านให้ เนชั่นแชแนล สปริงค์นิวส์เข้าเยี่ยม สนทนา เพราะเราต้องการพิสูจน์ให้ชนชั้นกลาง แม้กระทั่งชนชั้นบนเห็นว่าเราคือใคร
 
คุณจะมองเห็นเราว่ามาเป็นแกนนำเนี่ย ถ้าในมาตรฐานของคุณ คุณดูให้ดีแล้วกันว่าเราคือใคร แล้วก็เปิดหนังสือให้หมด คุณเรียกเราว่าซ้ายเก่าเหรอก็ไปดูเลย นี่เลนนิน มาร์ค เป็นตู้เลย หนังสือศิลปะมี คัมภีอัลกุรอานมี กฎหมายตราสามดวงมี ภควคีตามี ภารตะยุทธ์ ฯลฯ รวมทั้งหนังสือท่านพุทธธาส หนังสือพระมีเต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นแปลว่าอะไร แปลว่าเราไม่ได้ผูกขาดความคิดอะไรต่างๆ เราเปิด เปิดสำหรับสิ่งที่ถูกต้องศึกตทุกด้าน
 
อาจารย์นี่คิดมากเลยว่าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลง ในยุคนี้ พ.ศ.นี้ มันต้องขึ้นกับลักษณะเฉพาะไทย มันต้องขึ้นกับยุคสมัย คุณไม่สามารถที่จะเอาโมเดลเอาอะไรต่างๆ จากที่อื่นมาใช้ได้ นี้เป็นลักษณะเฉพาะ ลักษณะเฉพาะของคนทั้งฝ่ายชนชั้นปกครอง ทั้งฝ่ายประชาชนก็แตกต่างกัน ลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ ลักษณะเฉพาะของประเทศ ลักษณะเฉพาะของยุคสมัย มีความสัมพันธ์กันหมดเลย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเปิดกว้าง อย่าไปเอาอันไหนตายตัว เพราะคุณฝืนทำอะไรเกินกว่าความเป็นจริงไม่ได้
 
และในนาทีนี้อาจารย์เชื่ออย่างหนึ่งว่า คุณไม่สามารถปกปิด ทำอะไรลับๆ ล่อๆ วิกิลีกส์ยังเปิดคลังข้อมูลลับออกมาทั้งหมดเลย คุณจะมาปิดบังอะไรได้ คุณจะมาทำลับๆล่อๆอะไร? มีอย่างเดียวคือเปิดเผยความเป็นจริง เปิดเผยทุกอย่างสร้างความชอบธรรมให้ได้ ให้คนไทยและคนในโลกนี้เห็นใจเราให้ได้ มันอาจจะช้าไม่ทันใจคนอื่น แต่มันจะไม่สูญเสีย มันจะไม่เสียหาย มันจะแน่นอน อาจารย์คิดอย่างนั้น แล้วก็ต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น มากขึ้น ให้ทันกับยุค
 
อาจารย์ก็เชื่อว่ามันจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงประเภทหน้ามือเป็นหลังมือหรอก แต่มันควรจะเป็นการสะสม คือไม่ให้เรื่องเลวร้ายแบบเก่าเกิดขึ้น แล้วทำในสิ่งใหม่ๆ คือทำสิ่งใหม่ๆ ที่ดี ถ้าเราไม่สามารถตัดวงจรอุบาทว์ได้ อีก 5-10 ปี เกิดมีการทำรัฐประหารอีกแล้วจะทำอย่างไร เหมือนที่ผ่านมาเราสู้มาตลอด แล้วมันก็กลับมาทำอีก เพราะฉะนั้นแนวคิดตอนนี้ก็คือ Never Again ไม่เอาแล้ว พอแล้ว พอกันที คุณทำความจริงกันให้ได้ แล้วถามว่าคุณทำความจริงให้ปรากฏแล้วสังคมไทยยอมรับได้ไหม คนไทยยอมรับได้ไหม ไม่ต้องมาเข้าข้างคนเสื้อแดง ทำความจริงให้ปรากฏพอแล้ว
 
ถ้าทำความจริงให้ปรากฏ ทวงถามความยุติธรรมนี่คุณก็คือคนเสื้อแดงแล้ว นิยามอาจารย์มีง่ายๆ แค่นี้ มีแค่นี้เอง
 
หมอหวาย (สลักธรรม โตจิราการ-ลูกชาย) เป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้
หมอหวายเขาต้องทำงานหนักหน่อย เพราะอยู่ต่างจังหวัด แต่ว่าเวลาไปอยู่อำเภอก็ยังดีกว่า ตอนนี้อยู่สระบุรี ตอนไปแก่งคอยสบายขึ้น เพราะตอนอยู่ตัวจังหวัดงานหนักมาก
 
ถ้าทางสระบุรีมีกิจกรรมอะไรบ้างเขาก็ไปร่วมบ้าง แต่ก็ไม่มาก แล้วก็บางทีก็ช่วยคุณแม่บ้าง แล้วก็บางครั้งก็จะมีคนเชิญไปเสวนาวิชาการ คุณหมอเหวงก็จะเป็นห่วง แต่อาจารย์ไม่ห่วง บอกเขาว่าความรู้คืออาวุธ ถ้าลูกเรามีความรู้ เรามีจุดยืนที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวใครเลย
 
หมอเหวงเขาห่วงอะไร                
เขากลัวว่าแม่กับลูกจะติดคุกไปด้วย ปัญหาอยู่แค่นั้น แล้วกลัวไปพูดพลาดท่าเสียทีคนอื่น ก็เลยบอกว่าจุดยืนถูกต้องหนึ่ง มีองค์ความรู้หนึ่ง มีอาวุธสองอย่างนี้คุณพอแล้วไปตรงไหนก็ได้ และไม่เคยห่วงลูกเลย เพราะว่าเราเชื่อมั่นในตัวลูก
 
หมอหวายรู้สึกอย่างไรบ้างที่คุณพ่อถูกจับ อยู่ในคุก
ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ที่เป็นห่วง ห่วงลูกสาวมากกว่า เพราะว่าลูกสาวไม่ค่อยจะมาสัมพันธ์กับงานประชาชน หวายนี่เขาเข้าใจแน่นอน แต่ว่าไม่คอยได้ไปเยี่ยมพ่อเพราะว่าวันหยุดไม่ตรงกัน แต่ว่าลูกสาวที่อยู่ต่างประเทศเราก็เป็นห่วงเขา แต่เขาบอกเขารับได้ แล้วอาจารย์ของเขา 2 คนอุตส่าห์บินมาเยี่ยมคุณหมอเหวง เพราะรอบก่อนเราเคยต้อนรับเขาดี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเกียวโต เพียงแต่ฝน(มัชฌิมา โตจิราการ) เขายากลำบากหน่อย คือ สังคมของนักเรียนไทยในต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ใช่เสื้อแดง และโดยเฉพาะเขามาจากอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แล้วไปเรียนต่อปริญญาเอก คนแวดล้อมของเขาล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นบน เพราะฉะนั้นมันก็มีปัญหาอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ว่าทางออกของเขาก็คือมีเพื่อนที่เป็นคนต่างประเทศมากขึ้น เป็นคนญี่ปุ่นมากขึ้น เข้าสู่วงเสวนาพวกโพสต์โมเดอร์น ปรัชญา เรื่องของผู้หญิง อะไรต่างๆ เหล่านี้ นั่นก็กลายเป็นทางเลือก เพราะว่าคนชั้นสูงที่เรียนอยู่ในต่างประเทศยังต้องการเวลาอีกกว่าจะเข้าใจ
 
เราก็เห็นใจลูกเหมือนกัน แต่ลูกก็จะต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้ เขายอมรับได้
 
หมายความว่าผ่านพ้นจากช่วงวิกฤตที่ถูกบีบคั้นจากกลุ่มเพื่อนที่เป็นคนไทยด้วยกัน
เขาก็มีอยู่ แต่เขาก็ไม่เป็นไร ขนาดเวลาเขากลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย คุณป้า คุณยาย ของเพื่อนเขาวิ่งมาดูว่านี่เหรอลูกสาวของหมอเหวง แล้วก็มีบางส่วนที่แสดงความ... ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ลูกเขาเคยช่วยเหลือ เพราะเขาเก่งภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ในต่างประเทศการพูดคุยทำอะไรเขาจะมีส่วนช่วยเพราะเขาพูดญี่ปุ่นได้คล่องมาก แต่เวลามาเมืองไทยมาเจอครอบครัวพวกนี้ที่เป็นอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว บางทีก็แสดงอะไรที่ไม่เหมาะสม เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะฉะนั้นเราก็เห็นใจลูก แต่นี้คือความเป็นจริงที่ลูกต้องเรียนรู้นะ ต้องเผชิญให้ได้                                                              
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใบตองแห้ง...ออนไลน์: 'เวศ(ห)วะวิวัฒน์

Posted: 23 Dec 2010 11:24 PM PST

 

หมอประเวศยื่น 9 ข้อเสนอประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทำให้นักข่าว คอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุทีวี เดือดร้อนกันไปทั่ว เพราะต้องเวียนหัวตีความขยายประเด็นเฟ้นหาข้อดีมานำเสนอ

แบบว่าหมอประเวศท่านเป็นปราชญ์แห่งยุค เป็นคนดีที่เสียสละมาชั่วชีวิต ฉะนั้นข้อเสนอของท่านต้องไม่ธรรมดา ต้องลึกซึ้ง ถึงแก่น สุดสูงคืนสู่สามัญ ซับซ้อนคืนสู่เรียบง่าย จากเนื้อหามากมายท่านสรุปได้ซะจนไม่เหลืออะไร แต่ใครอย่าบังอาจบอกว่าท่านพูดไม่รู้เรื่องหรือไม่มีอะไรใหม่เชียว เดี๋ยวจะถูกโห่ฮาว่าไร้ภูมิปัญญาชาวบ้าน เข้าไม่ถึงถ้อยคำของปราชญ์ ฉะนั้น ท่านพูดอะไรก็ต้องยกย่องเข้าไว้ ต้องดีต้องถูกเสมอ อะไรๆ ที่อธิบายขยายความได้ดีก็ช่วยกันเอามาขยายหน่อย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ แปลโจนาธานลิฟวิงสตัน นางนวล เป็นหนังสือเบสต์เซลเลอร์ในหมู่ปัญญาชนสยาม ก็มีหนังโจนาธานลิฟวิงสตันซีกัลเข้ามาฉาย ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ดูตั้งแต่รอบแรกๆ ยังจำได้ว่าดูที่โรงหนังฮอลลีวู้ด ออกจากโรงมาเดินตาลอย หัวหมุน มึนตึ้บ หนังเอี้ยอะไรไม่รุ มีแต่นกบินไปบินมา เดี๋ยวไอ้โจนาธานก็บินไปทางซ้าย ทางขวา แล้วคนพากย์ก็สาธยาย แต่พอเพื่อนถามว่าหนังดีไหม ก็ต้องวางฟอร์มทรงภูมิพูดให้เคร่งขรึมเข้าไว้ “มันลึกซึ้ง เป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งมาก” (ลึกจนกรูไม่รู้เรื่องเลย)

ฉันใดก็ฉันนั้นละครับ กับคนที่แห่แหนยกย่องลัทธิประเวศ แต่ตอนนั้นผมอายุแค่ 18 ไม่ใช่ตอนนี้ที่โตๆ กันแล้ว

9 ข้อของหมอประเวศ พูดอีกก็ถูกอีก ไม่ผิดแน่นอน เพราะกว้างขวางเวิ้งว้างเป็นมหาสมุทร เต็มไปด้วยภาษาสวยๆ “สัมมาชีพ” “ปลดล็อคอำนาจ” “ดรรชนีพัฒนา” “ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง” “ศูนย์ยุติธรรมชุมชน” ฯลฯ แต่ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นรูปธรรมจับต้องได้

หมอประเวศให้นิรโทษกรรมประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ใครมั่งล่ะ แม่ขโมยนมห้างให้ลูกกิน หรือว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดง ทักษิณก็เป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกันนะ และเขาก็โวยว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

เสื้อเหลืองได้รับความเป็นธรรมไหม (ไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะเขาโวยว่าช่วยให้มาร์คได้เป็นนายกฯ แล้วกลับเห็นเป็นนั่งร้าน อิอิ) เสื้อแดงได้รับความเป็นธรรมไหม ที่ถูกปราบ ถูกฆ่า และถูกจับกุมคุมขังมาครึ่งปีโดยไม่ได้ประกัน ถูกศาลตัดสินลงโทษอย่างรุนแรง รวบรัด ภายใต้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

ความยุติธรรมภายใต้ ศอฉ. ศตส. และตุลาการภิวัตน์เนี่ยนะ หมอประเวศตั้งความหวังกับกระทรวงยุติธรรมยุคพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เนี่ยนะ

หมอประเวศจะให้สื่อมวลชนของรัฐทำการสื่อสารเพื่อปฏิรูปประเทศไทย มิน่า ละครหลังข่าวเลยให้พระเอกทำการเกษตรอินทรีย์จนไปขัดผลประโยชน์กลุ่มอิทธิพลที่ทำศูนย์หัตถกรรมไทย (OTOP เป็นพวกผู้ร้ายไปซะแล้ว ละครน้ำเน่าเดี๋ยวนี้ทันยุคทันสมัยนะ พูดถึงชุมชนท้องถิ่น พอเพียง เชิดชูความเป็นไทย รักษาท้องไร่ท้องนาไว้เป็นสมบัติชาติ ฯลฯ แต่พักโฆษณาเครื่องสำอางนาทีละหลายล้าน)

หลายวันก่อนผมบังเอิญเปิดวิทยุเจอรายการ 96.5 สัมภาษณ์อาจารย์ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ เรื่องการเอารัดเอาเปรียบแรงงานไทย ผมฟังไปก็หัวเราะไป เพราะ อ.ณรงค์ก็ยังเป็น อ.ณรงค์ นักวิชาการแรงงานฝ่ายซ้ายผู้ไม่เคยเปลี่ยน ท่านสาธยายถึงความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมของค่าแรง เมื่อเทียบกับราคาผลผลิต ท่านบอกว่าประชาชนจะต้องลุกขึ้นต่อสู้และวันนั้นใกล้มาถึงแล้ว

ผมหัวร่อท้องแข็งเลยครับ วิทยุ อสมท.ในยุค พ.ร.ก.ฉุกเฉินเปิดโอกาสให้นักวิชาการฝ่ายซ้าย “พล่าม” ได้หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ยังกะหลับฝันไปได้พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยเป็นรัฐบาล ไม่ใช่อยู่ใต้ระบอบอำมาตย์ที่ปราบปรามประชาชนเลือดนอง มันผิดฝาผิดตัวพิลึก อ.ณรงค์อาจจะบอกว่าถ้าท่านไม่มาทำงานให้ระบอบอภิสิทธิ์ ท่านก็คงไม่ได้เผยแพร่ความคิดให้กว้างขวาง แต่ผมไม่รู้เหมือนกันว่า อ.ณรงค์พูดให้ใครฟัง เพราะคนชั้นล่างที่ อ.ณรงค์อยากพูดด้วย เขาไม่ฟังท่านแล้ว ส่วนคนชั้นกลางก็ใช่ว่าสนใจแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความเสมอภาคแปลว่าคนชั้นล่างตีตัวเสมอ คนชั้นกลางเป็นผู้มีจิตใจเมตตาสัตว์ผู้ยาก สนับสนุนประชาสงเคราะห์ ประชาวิวัฒน์ บริจาคผ้าห่ม เสื้อกันหนาวผ่าน จส.100 ....แต่ถ้ามันกล้าหือ ลุกขึ้นสู้ ก็เชียร์ทหารให้ยิงหัวแม่-เลย

ไม่ต่างกันเลยกับเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ปาฐกถาเรื่องเปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง ท่านบอกว่าต้องปฏิรูปโครงสร้างอำนาจเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชน การเมืองปัจจุบันกลายเป็นการเมืองแบบหางเครื่อง มวลชนฝากความหวังไว้กับชนชั้นนำกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ การช่วงชิงอำนาจระหว่างชนชั้นนำนำไปสู่ความรุนแรงเป็นระยะๆ

พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละครับ แต่ตัวท่านอยู่ตรงไหนล่ะ พลังพลเมืองที่พร้อมจะเปลี่ยนประเทศนี้เกิดขึ้นแล้ว แม้อาจยังสะเปะสะปะไร้ทิศทาง แต่พวกเขาก็พร้อมจะสู้ถึงที่สุด ทำไมจึงมองพลังประชาชนเป็นแค่ “หางเครื่อง” แล้วตัวเองยอมเป็น “เครื่องมือ” ให้ระบอบอภิสิทธิ์

ท่านหวังว่าระบอบนี้จะยอมปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ อย่างนั้นหรือ อำนาจที่เคยอยู่ในมือชนชั้นนำที่มาจากการเลือกตั้งเปลี่ยนไปอยู่ในมือชนชั้นนำที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง แล้วยิ่งรวมศูนย์อำนาจ ใช้อำนาจทหารอำนาจศาล กดหัวชาวบ้าน นี่หรือคือผู้ที่จะปฏิรูป

ผมพยายามเข้าใจในแง่ดีว่า อ.เสกสรรค์ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงฝากความหวังไว้กับชนชั้นนำกลุ่มนี้ กระทั่งเอาชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้มาจากการเสียสละต่อสู้เผด็จการของวีรชน 14 ตุลา มาค้ำระบอบของพวกเขา

นี่คงเป็นสิ่งที่เราต่างกัน ผมต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ารุนแรงหรือไม่รุนแรง ถ้าทำได้ ก็ให้มันรุนแรงน้อยที่สุด แต่ถ้าสุดวิสัยจะหลีกเลี่ยง ผมก็พร้อมรับความพินาศย่อยยับ มิคสัญญีไม่มีที่สิ้นสุด หรือกระทั่งพังไปด้วยกันทั้งหมด มากกว่าการปฏิรูปดัดจริตภายใต้อภิสิทธิ์และอำมาตย์

ราชการวิวัฒน์

อะไรคือประชาวิวัฒน์ที่โพนทนากันนักหนา นอกจากน้ำฟรีไฟฟรีรถเมล์ฟรีที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลสมัคร ก็เห็นจะให้เงินกู้นั่นนี่ ช่วยเหลือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฯลฯ (อู้กำเมืองว่าสะป๊ะสะเป้ด) ที่ไม่มีอะไรชัดเจนจับต้องได้และส่งผลต่อประชาชนโดยทั่วถึงเหมือนอย่างกองทุนหมู่บ้านหรือ 30 บาท

อย่างเดียวที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมคือ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว. ขึ้นเงินเดือน อบต. แล้วตอนนี้ อบจ.กับ สก.สข.ก็จะขอมั่ง

รสนายุให้ฟ้องศาลปกครอง มีคนถามว่าทำไมไม่ฟ้องเอง อ้าว ก็เธอเป็น ส.ว. ได้ขึ้นเงินเดือนกับเขาด้วย ไม่ใช่ผู้เสียหาย ศาลอาจตีความว่าไม่มีอำนาจฟ้อง

แต่รสนาลืมไปว่า ศาลปกครองก็จะได้ขึ้นเงินเดือนพร้อม ส.ส. ส.ว. ด้วย เพราะรัฐขึ้นเงินเดือนให้ประธานรัฐสภาเมื่อไหร่ก็ต้องขึ้นเงินเดือนให้ประธานศาลฎีกาเท่านั้น และประธานศาลต่างๆ ประธานองค์กรอิสระ (ตลอดจนนายทะเบียนพรรคการเมือง) กรรมการ รองประธาน และตำแหน่งรองลงมา สะป๊ะสะเป้ด ก็จะได้ขึ้นเงินเดือนด้วยกันหมด

ฉะนั้น เราอาจจะตีความได้ว่า ศาลปกครองไม่มีอำนาจรับพิจารณา เพราะเป็นเรื่องที่ศาลปกครองก็ได้อ้อยเข้าปากด้วยเช่นกัน

ผมกำลังจะบอกว่าในขณะที่สังคมโวยวายคัดค้านการขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ว. ซึ่งจริงๆ แล้วคิดเป็นเม็ดเงินนิดเดียว เม็ดเงินที่สูญเสียไปละลายแม่น้ำมากกว่าก็คือการขึ้นเงินเดือนศาล อัยการ องค์กรอิสระ และหน่วยงานพิเศษต่างๆ ที่เดิมก็ได้เงินเดือนและสวัสดิการสูงเหลื่อมล้ำกว่าข้าราชการธรรมดาๆ อยู่แล้ว

ผมไม่คัดค้านเลยกับการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ 5% เพราะข้าราชการหลายหน่วยงานทำงานหนัก อย่างที่ควรขึ้นให้ 10-20% เลยด้วยซ้ำ เช่น แพทย์ พยาบาล ครู ตำรวจ หรือหน่วยบริการประชาชนต่างๆ แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบราชการมี 2 ข้อ ข้อหนึ่งคือบางหน่วยทำงานหนัก บางหน่วยไม่มีงานทำและมีคนล้นเกิน ข้อสองคือเงินเดือนข้าราชการทั่วไปต่ำ แต่มีบางหน่วยงานเป็นข้าราชการอภิสิทธิ์ชน เงินเดือนสวัสดิการสูงกว่าข้าราชการทั่วไปทั้งที่ไม่ได้ทำงานมากกว่ากัน

ข้อแรกอาจยกตัวอย่างได้เช่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่น เทศบาลนครที่ผมมีภูมิลำเนาอยู่เนี่ย ตอนไปทำบัตรประชาชนแทบจะถูกอุ้มขึ้นบันได เพราะมีเจ้าหน้าที่เกือบสิบ แต่มีคนไปทำบัตร 2-3 คน คิดถึงสมัยมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ปี 2515 น้าชายผมพาไปทำบัตร คนเข้าคิวยังกะรอปอเต็กตึ๊งแจกข้าวสาร น้าผมเป็นข้าราชการ แกรู้ระเบียบดี พับแบงก์ยี่สิบใส่ไปในกองเอกสารด้วย

แต่ กทม.ทุกวันนี้บริการสะดวก รวดเร็ว ด้านหนึ่งต้องยกนิ้วให้ว่าปรับปรุงประสิทธิภาพยอดเยี่ยม แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องบอกว่ามีเจ้าหน้าที่เยอะ

นี่คือข้าราชการท้องถิ่นในปัจจุบัน งานเบา เงินดี บรรจุกันเข้าไปเพราะบรรจุง่าย ไม่มีใครตรวจสอบ

ข้าราชการที่ควบข้อหนึ่งข้อสองคือ ศอฉ.เอ๊ย ศตส. ทหารไงครับ ทหารยังอยู่ในระบบเงินเดือนปกติ เทียบเท่าข้าราชการพลเรือน แต่มีบัญชีแยกเป็นของตัวเอง ถ้าเทียบทหารระดับกลางระดับล่างกับข้าราชการระดับกลางระดับล่าง ก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่ที่ต่างกันจริงๆ คือระดับสูง ซึ่งนายทหารระดับพลตรี จะมีอัตราเงินเดือนเทียบเท่าซี 10 ถ้าเป็นพลเรือนก็คืออธิบดี ผู้ว่าฯ พลโทพลเอกเทียบเท่าซี 11 ปลัดกระทรวง ส่วนพลเอกอัตราจอมพลยิ่งไปโน่นเลย หาใครเทียบไม่ได้

คือถ้าพลตรีที่เป็น ผบ.พล ได้เงินเดือนเท่าผู้ว่าฯ มันก็สมควรนะครับ แต่ทุกวันนี้เราเสียข้าวสุกเลี้ยงนายพลเป็นดอกเห็ด ผู้ชำนาญการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำ บก.ทบ. ฯลฯ หิ้วกระเป๋าใบเดียวไปทำงาน มีโต๊ะนั่งมั่งไม่มีโต๊ะนั่งมั่ง มีงานทำมั่งไม่มีงานทำมั่ง ถ้าประเทศไทยลดนายพลลงเหลือเท่าที่จำเป็น อาจจะมีเงินจ้างแพทย์ไปประจำโรงพยาบาลชุมชนเพิ่มอีกนับพันคน

ข้าราชการข้อสองก็คือ ตุลาการ อัยการ และองค์กรอิสระ ตุลาการแยกบัญชีเงินเดือนมาตั้งแต่สมัยประมาณ ชันชื่อ อาศัยนักการเมืองเกรงใจ จึงได้เงินเดือนเงินประจำตำแหน่งสูงลิบ ขนาดผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด ยังเงินเดือนสูงกว่าผู้ว่าฯ ต่อมาอัยการก็ขอมั่ง ต่อมามีองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ก็เทียบชั้นว่าประธาน กกต. ประธาน ปปช. เหล่านี้ต้องได้เงินเดือนเทียบเคียงประธานศาลฎีกา ซึ่งไม่ใช่แค่ระดับสูง ข้าราชการ กกต. ปปช.ก็กลายเป็นข้าราชการอภิสิทธิ์ เงินเดือนและสวัสดิการสูงกว่าข้าราชการทั่วไป พวกนี้ไม่ต้องมารอเข้า รพ.รัฐแล้วเบิกจ่ายเหมือนข้าราชการธรรมดา แต่ซื้อประกันกับบริษัทเอกชนเลย ฉะนั้น ตอนก่อตั้งหน่วยงานเหล่านี้ใหม่ๆ ก็มีข่าวข้าราชการวิ่งขอโอนย้ายกันขาขวิด

หน่วยงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานด้านกฎหมาย จึงส่งผลกระทบให้รัฐบาลต้องมาปรับค่าวิชาชีพให้นิติกรประจำหน่วยงานราชการทั่วไปด้วย นิติกรกลายเป็นวิชาชีพหายาก ทั้งที่คนจบกฎหมายเกร่อ ประกาศ ก.พ.เมื่อกลางปีที่ผ่านมาขึ้นค่าตอบแทนให้นิติกรซี 3-8 ที่มีราว 5,000 คน ตั้งแต่ 3,000-6,000 บาท ทั้งที่ไม่ได้ทำงานมากกว่าเพื่อนข้าราชการในหน่วยงานเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมีข้าราชการข้อสองครึ่ง ได้แก่องค์การมหาชนหรือหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นทั้งสมัยรัฐบาลชวนและทักษิณ อย่างเช่น 5 ส.ของหมอประเวศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ เชื่อหรือไม่ว่าเปิดดูในวิกิพีเดีย เรามีองค์การมหาชนตั้ง 29 องค์การ

หน่วยงานราชการทั้งหมดนี้ได้ขึ้นเงินเดือน % พร้อมกันหมด โดยรวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่พนักงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งรัฐวิสาหกิจที่ทำงานหนัก (นึกชื่อไม่ออก) ทั้งรัฐวิสาหกิจเสือนอนกิน (อย่าง CAT ที่ได้อานิสงส์จากคำสั่งศาลปกครอง เซ็งลี้ 3G เข้าปากทรูมูฟของนายทุนไทยแท้แต่พูกไม่ชัก)

ถามว่ามันยุติธรรมไหม กับข้าราชการที่ทำงานงกๆ เพราะสิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการปรับโครงสร้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเกลี่ยตำแหน่งลดกำลังพลระดับสูงของบางหน่วยงาน

แล้วถามว่ามันยุติธรรมไหม กับประชาชนตาดำๆ ที่ได้แค่ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 8-17 บาท กับประชาวิวัฒน์ที่เป็นแค่น้ำจิ้ม

จาก ศอฉ.สู่ ศตส.

คณะรัฐมนตรียกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ยุบ ศอฉ. แล้วตั้ง ศตส. ซึ่งเรียก 19 หน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าชี้แจงทันที

จากเดิมที่ ศอฉ.มีอำนาจเบ็ดเสร็จเฉพาะ กทม.และปริมณฑล ตอนนี้เราได้ ศตส.ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ดูแลทั้งประเทศ

ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพราะ พ.ร.บ.ความมั่นคงที่เป็นมรดก คมช.ฟื้นอำนาจ กอ.รมน.ให้เป็นรัฐซ้อนรัฐไว้ตั้งแต่แรกแล้ว (ตั้งแต่ปณิธาน วัฒนายากร เข้าไปยกร่าง) “รัฐทหาร” ที่ซ่อนอยู่ข้างในนี้มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยงาน เสมือนที่ทำกันอยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีอำนาจอนุมัติกระทั่งแผนพัฒนา การก่อสร้างโครงการต่างๆ มีกำลังพล มีงบประมาณไม่อั้น ทั้งงบลับงบเปิดเผย

ที่ผ่านมาเขายังไม่พร้อม แต่ตอนนี้ “รัฐทหาร” พร้อมแล้ว ที่จะเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศไทย” ไปกับหมอประเวศ (ฮา) แล้วการตั้ง ศตส.ก็ไม่มีกำหนดยกเลิก มีแต่จะขยายอำนาจแผ่อำนาจให้ครอบคลุมกว้างขวางทั่วถึงทุกปริมณฑล

ถ้าจะยกเลิก ศตส.มีทางเดียวเท่านั้นคือ ยกเลิก พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งคงต้องข้ามศพสถาบัน จปร.ไปก่อน

ในสภาพเช่นนี้ กองทัพจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องก่อรัฐประหารขึ้นมามีอำนาจเอง เพราะกุมอำนาจอยู่ภายในเบ็ดเสร็จ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และกำลังจะลงไปถึงชุมชนท้องถิ่นของนักเพ้อฝันทั้งหลาย ฝ่ายตรงข้ามต้องหืดขึ้นคอถ้าจะชนะการเลือกตั้งในพื้นที่ที่ กอ.รมน.วางโครงข่ายอย่างหนาแน่น ขณะที่ยังมีอำนาจตุลาการภิวัตน์และองค์กรอิสระไว้ลงดาบพรรคการเมือง

อภิสิทธิ์จึงจะยืนหล่อบนโพเดียมได้ต่อไปในสมัยหน้า เป็นฉากหน้าที่ถูกจริตคนชั้นกลาง ขณะที่ภายในอยู่ได้ด้วยกำปั้นเหล็กของทหาร ควบกับการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของตุลาการภิวัตน์

ผมเห็นข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วีนแตกใส่นักข่าวแล้วก็ขำ แต่นี่แหละคือทหารแบบที่ชนชั้นนำและคนชั้นกลางต้องการ คือมีไว้เพื่อแสดงความกร้าวกำราบมวลชนเสื้อแดงและฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย คนชั้นกลางพึงพอใจผลงานของทหาร โดยไม่แยแสว่าจะมีคนตายเท่าไหร่ ไม่สนใจข้อถกเถียงว่าใครเป็นคนยิง “ต้องยิงหัวมันเสียบ้างจะได้ไม่กล้าหือ” คนชั้นกลางพึงพอใจการจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงโดยไม่ให้ประกัน และตัดสินลงโทษอย่างหนัก ไม่แยแสว่าจะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เคารพสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีมาตรฐานเดียวกันกับเสื้อเหลืองขับรถไล่ชนตำรวจหรือไม่ “มันจะได้ไม่มีใครกล้าขึ้นมาเป็นแกนนำอีก”

กองทัพวันนี้ได้แปรสภาพเป็น “ทหารรับจ้างของชนชั้นนำและชนชั้นกลาง” อย่างเต็มตัว ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมากองทัพเป็นของคนชั้นล่าง เปล่า เพียงแต่เมื่อก่อน ผู้นำกองทัพยังมีสติปัญญาความสามารถพอจะขึ้นไปเป็นผู้นำประเทศ ขณะที่การให้สัมภาษณ์เมื่อ 2-3 วันก่อน มันบอกว่าผู้นำกองทัพมีสติปัญญาความสามารถแค่ไหน โถ เป็นได้แค่เนียะก็ยังจะเอาตัวไม่รอดเลย

นี่พูดจริงๆ นะครับ เท่าที่ทำข่าวและสัมผัสสัมภาษณ์ทหารมา ผู้นำกองทัพรุ่นเปรม รุ่นบิ๊กจิ๋ว รุ่น จปร.5 จปร.7 ยังเป็นพวกที่มีความคิดกว้างไกล มีประสบการณ์เห็นความขัดแย้งทางการเมือง เข้าใจโลกและสังคมมากกว่ารุ่นหลัง ซึ่งถ้าจะให้ขีดเส้น ผมมองว่ายุติแค่ พล.อ.สุรยุทธ์ ทหารรุ่นหลังจากนั้นไม่เห็นใครมีสติปัญญาความสามารถพอจะเป็นผู้นำประเทศได้ (ขนาด พล.อ.สุรยุทธ์ยังเอาตัวไม่รอด) ดูแต่ละรายก็เห็น ประวิตร บิ๊กบัง อนุพงษ์ ประยุทธ์ อนุพงษ์อาจดูสุขุมกว่า แต่อนุพงษ์ก็รู้ตัวว่าสูงสุดแค่ ผบ.ทบ.จึงขีดเส้นจำกัดบทบาทตัวเอง

ระบอบอภิสิทธิ์จึงมีจุดแข็งที่เชิดนักการเมืองผู้เข้าใจจริตคนชั้นกลางเป็นผู้นำ โดยมีฐานอำนาจจากทหารและตุลาการ ปืนกับกฎหมาย ไว้ปราบปรามฝ่ายที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ (ต่อไปสื่อนอกจากสนใจข่าวแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพว่าใครจะมาเป็นแม่ทัพภาค 1 ผบ.พล.1 ก็ต้องสนใจการแต่งตั้งโยกย้ายในศาลยุติธรรมด้วย เช่น ใครจะมาเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้แม่ทัพภาคเลยทีเดียว)

ระบอบนี้อาจโค่นล้มยาก แต่ก็เปราะบางเพราะขึ้นกับตัวบุคคล สมมติเช่นถ้าอภิสิทธิ์เสื่อม หรืออภิสิทธิ์มีอันเป็นไปอย่างหนึ่งอย่างใด จะหาใครมาถูกจริตแทน

ใบตองแห้ง
24 ธ.ค.53
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วัฒนธรรมการกระซิบ - Self Expression อย่างไทย

Posted: 23 Dec 2010 11:04 PM PST

เสื้อยืดเป็นสัญญะของ Self Expression มีตัวอย่างเกิดเป็นคดีโต้แย้งอยู่หลายกรณี เช่นสาวผิวดำในสหรัฐที่ใส่เสื้อยืดพิมพ์คำว่า “Lesbian.com” แล้วถูกยามในสำนักงานประกันสังคมไล่ออกจากสำนักงานด้วยข้อหาแต่งกายไม่เหมาะสม เหตุเกิดเมื่อสิงหาคม ค.ศ.2008 และสาวคนนั้นก็ได้ทำการฟ้องกลับ พร้อมๆ กับการถกเถียงตามมาว่าข้อความสนับสนุนความเป็นเพศที่สามของเธออาจไม่ถูกรังเกียจกีดกันรุนแรงมากนัก หากว่าผู้สวมใส่นั้นมิใช่ชาวผิวสีในอีกคดีหนึ่ง? [1]

นี่เป็นตัวอย่างว่าพลังของสัญญะบนเสื้อยืดนั้นสามารถสั่นสะเทือนความรู้สึกผู้เห็น แม้จะเป็นศิลปะบนร่างกายของคนอื่นก็ตาม บุคคลแห่งปีของไทยน่าจะเป็น "เสื้อแดง" ผู้เขียนหมายถึง "เสื้อ" จริงๆ ของคนเสื้อแดง เพราะดูเหมือนมันจะมีอำนาจเขย่าประสาทคนไปได้ต่างๆ แล้วแต่ทิศทางของรสนิยมทางการเมืองของผู้มอง เพราะนอกเหนือไปจากความแดงอันน่าตกใจของมัน สิ่งที่ "เสื้อ" ทำคือ Self Expression ที่บรรจุอยู่ในนั้น... ไม่ใช่เพียงสิ่งที่สกรีนอยู่บนเสื้อ แต่รวมถึงความหมายของการหยิบมันขึ้นมาสวมใส่ในวันอาทิตย์ด้วยเช่นกัน


ภาพจาก http://www.bant-shirts.com/all.htm และเสื้อยืดที่วางขายที่ราชประสงค์ กทม.
 

สเตตัสบนวอลล์ในเฟซบุ๊กก็เป็น Self Expression อีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อโลกมีพื้นที่ใหม่ที่เรียกว่า ออนไลน์ บนพื้นที่กึ่งส่วนตัว-กึ่งสาธารณะนี้ยังมิวายเป็นคดี เมื่อ Self Expression ของปัจเจกถูกนำออกมาเผยแพร่กันในที่สาธารณะเช่นในกรณีมารค์วี11 และกรณีความแตกของดาราคู่ต่างๆ

ผลงานของ Philippe Starck ที่ชื่อ Unhex Nani Nani ในโตเกียว เคยเป็นกรณีวิพากษ์วิจารณ์แก่ชาวญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1989 Philippe Starck ตอบในบทสัมภาษณ์หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เขาทำงานออกแบบจากการนอนกลางวันและการตื่นขึ้นมาเล่น ที่นักออกแบบอย่างเขาได้สนุกกับมัน เมื่อนึกถึงญี่ปุ่น มันคือภาพของก็อดซิลล่า-สัตว์ประหลาดยักษ์ที่ยืนถล่มเมืองระเบิดกระจายท่ามกลางอาคารทันสมัยรอบตัว แบบที่เห็นในทีวีในหนังยอดมนุษย์สุดฮิตต่างๆ ในช่วงทศวรรษ 1970-80 และ Nani Nani คือเสียงร้องเวลาที่ชาวญี่ปุ่นเจอผี เขาเดาว่าชาวญี่ปุ่นจะร้องคำนี้ออกมาเมื่อเจอเข้ากับตึกที่เขาออกแบบ เราอาจเชื่อมโยงไปได้ว่ามันคือ “ภาพ” ของเมืองญี่ปุ่น (urban landscape) ในจินตภาพของชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่มีต่อญี่ปุ่น แล้วเขาก็จะสร้างสัตว์ร้ายสักตัวมอบให้เมืองนี้เพื่อเล่นสนุกกับเมืองและผู้คน ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นการเล่นด้วยโจษจันกันไปทั่วเมือง หลายคนที่เกลียดและงงๆ กับมันเช่นเดียวกับอาคารอีกหลังที่ชื่อ Asahi Beer Hall [1990] ที่ภายหลังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ ปรากฏอยู่บนโบชัวร์ท่องเที่ยวโตเกียวแทบทุกเล่ม เขาสรุปในตอนท้ายว่า สังคมเป็นเหมือนองคาพยพที่มีชีวิตที่เติบโตได้ ทำความสะอาดตัวเองได้ อะไรที่สังคมไม่ต้องการจะถูกทำให้หายไปเอง ดังนั้นคุณจึงสามารถผิดพลาดและเสี่ยงได้ [2] สังคมรู้จักตัดสินใจเอาเองที่จะเลือกรับหรือไม่รับอะไรในที่สุด เขาแค่ทำหน้าที่ของนักออกแบบนำเสนอสิ่งที่คิดออกมาเท่านั้นเอง สิ่งที่แย่ที่สุดคือถ้าผู้คนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับมัน ไม่มีใครพูดถึงมัน และมันก็จะตายไปจากความรับรู้ หรือไม่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม


Nani Nani


Asahi Beer Hall

ในที่นี้ตึก Nani Nani จึงเป็น Self Expression ของ Philippe Starck และเขากำลังถามเราว่า Self Expression ในบทบาทของพลเมืองแบบนักออกแบบ เขาต้องรับผิดชอบต่อความงามที่เป็นสมบัติของสังคมคนเดียวหรือ? ในเมื่อเขาแค่ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อความนึกคิดของตัวเองเท่าที่พลเมืองขี้เกียจๆ คนหนึ่งอย่างเขาจะกระทำได้ เขาสะเพร่าหรือไม่? ปฏิกิริยาจากสังคมไม่ได้หมายถึงเลวร้ายไปเสียทั้งหมด การมีอยู่ของงานศิลปะหรือตัวความคิดก็ด้วยมันสร้างการถกเถียงโจษจัน? สังคมที่ดีไม่ใช่ของสูงที่แปดเปื้อนไม่ได้ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวุฒิภาวะพอ ที่ควรได้ทดลองเลือกใช้ชีวิตตามใจปรารถนาใช่หรือไม่?

มันคงไม่มีเส้นแบ่งเรื่องความเหมาะสมอย่างเด็ดขาดในหลายกรณี ถ้าเราเชื่อแบบ Starck เราก็ต้องให้เวลาสังคมนวดความคิดตัวเองจนกว่าจะกลั่นมันออกมา หลายครั้งมีการสูญเสียจนสร้างตำนานฮีโร่ต่างๆ แต่คำถามก็ยังไม่ใช่ว่าสังคมควรจะเลือกปิดสิ่งใดเปิดสิ่งใด บนความกลัวที่จะ "เสี่ยง" ใช้ชีวิต (ใครคือสังคม?) แต่ปัจเจกมีสิทธิในการเลือกเสี่ยงนั้นๆ เองหรือไม่ เพราะถ้าไม่ ก็ไม่มีใครสมควรกล่าวอ้างได้ว่า เหมาะสม-ไม่เหมาะสมต่อสังคมไทย (ถ้าเชื่ออย่างที่เรียกคำฮิตๆ ว่า "ทุกภาคส่วน" คือความหมายของการเป็นสังคมไทย) ถ้าเรายังไม่ได้ใช้ผัสสะจะรับรู้ได้ไง เมื่อเรายกความงามให้เป็นสมบัติของสังคม เราแต่ละคนควรต้องเลือกได้เองว่าอยากได้ความงามแบบใด จะมีความเห็นร่วมหรือไม่ อาจไม่สำคัญเท่ากับได้เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตผ่านการถกเถียงใคร่ครวญเป็นพันๆ ครั้งบ้าง เล่นสนุกบ้างตะหาก นั่นคือชีวิตและการเติบโต

มีคำกล่าวที่ว่า ความงามเกิดจากความพอใจ นั่นหมายความว่าความงามเป็นคำตอบแบบอัตตวิสัยของใครของมันและก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์เพราะขึ้นอยู่กับว่าความงามนั้นเป็นของใครและในเวลาใด ในหลายกรณีที่เราเฮละโลด่วนให้คำตอบสรรพสิ่งกันแบบสัมบูรณ์กับคำถามทางปรัชญาที่คำตอบเป็นสัมพัทธ์ เช่นเรื่อง ดี-สวย-สร้างสรรค์ตามการชี้นำของปราชญ์ ที่เฝ้าผลิตรสนิยมเชิงเดี่ยวต่อคำถามทางปรัชญาและสุนทรียศาสตร์วนกลับเข้าไปในระบบคุณค่า เคยสงสัยไหมว่า เหตุใดศิลปินไทยยุคหนึ่งต้องตั้งชื่อผลงานให้เกี่ยวกับพุทธๆ ธรรมๆ เข้าไว้ ทั้งๆ ที่หลายๆ ภาพไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับชื่อภาพอันคับแคบแบบนั้นเลย?

Self Expression นั้นเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่มันเห็นได้คิดได้ จึงมีความคิดเห็นแล้วก็ปล่อยออกมา ไม่ว่ามันจะถูกแบนทับกันไปมาซ้อนกันเป็นศีลธรรมกี่ชั้นก็ตาม ผู้คนก็ยังแสดงความเห็นกันอยู่ทุกวัน แม้ว่าผู้เขียนจะไม่แปลมันออกมาเป็นภาษาไทย (เพราะนึกหาคำเหมาะสมไม่ออก) ก็ใช่ว่ามันจะเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาวตะวันตกแต่อย่างใด สิ่งที่ต่างคือสังคมไทยไม่ได้โตแบบผ่านการหักล้างปรัชญาอำนาจนิยมมาสู่มนุษยนิยม เรื่อยไปถึง Existentialism, Modernism, Post modernism และอีกหลาย –ism ในโลกตะวันตก ที่ผู้พลิกผันความคิดแห่งยุคสมัยหลังๆ เหล่านั้นมักจะเป็นเพียงมนุษย์นักคิดสักคน ไม่ต้องเป็นพระราชาหรือปราชญ์อาวุโสเสมอไป แต่สังคมไทยมีวิธีให้ค่าและทัศนคติต่อ Self Expression ขึ้นอยู่กับสถานะทางสังคมของผู้แสดงออกยิ่งกว่าตัว "ความคิด" กล่าวได้ว่า Self Expression แบบไทยๆ ของสามัญชน ติดกับดักเขาวงกต เช่นอาวุโสเอย ผู้ใหญ่ผู้น้อยเอย กาลเทศะ(ของฉัน)เอย ความรักเอย ม.112เอย ล่าสุดคือศีลธรรมเรต "ห" และ สสส.ที่สุขภาพไม่ค่อยดีเสียจนต้องมานั่งสวดมนต์ตอนปีใหม่เนื่องจากไม่มีเหล้ากินเอย จนคลี่คลายมาเป็น "วัฒนธรรมการกระซิบ" ที่รวมไปถึงการควบคุมทางสังคม ให้บุคคลต้องกระมิดกระเมี้ยนแอบทำกิจกรรมทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นอาชญากรรมใดๆ

ดูเหมือนว่าเรามีบรรยากาศทางสังคมที่ส่งเสริมให้เรากระซิบและพูดความคิดที่แท้จริงของตัวเองกันลับหลังอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่คำขวัญวันเด็กอย่าง “รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ” ก็ยังมีน้ำเสียงไปในทาง "สั่งสอน" ให้เด็กมีความระแวดระวังอย่างยิ่ง กว่าจะแสดงอะไรออกมาสักอย่างนั้นพึงต้องคิดถึงสามชั้น...ทำไมเด็กไทยจะยังต้องคิดมากขนาดนั้น จะเหลืออะไรให้ใคร่ครวญอีกในเมื่อมีศีลธรรมเรต "ห" กรองไว้ให้หมดแล้ว? อีกนัยยะหนึ่งมันบอกเราว่าผู้มอบคำขวัญนั้นมีความหวาดกลัว “การคิด” เป็นวาระแห่งชาติ เชื่อว่า "การคิด" นั้นพึงผลิตออกมาอย่างระวังมิฉะนั้นจะสร้างปัญหา หรือคนคิดคำขวัญนั้นหมกมุ่นอยู่กับเรื่อง "การคิด"ของคนในสังคมและการควบคุมมัน เนื่องจากทัศนคติต่อ "การคิด" ในทางลบนั่นเอง

ไม่ว่าจะเป็นความเห็นทางการเมืองหรือการแสดงออกทางศิลปะ สังคมที่มีทัศนคติกลัว "การคิด" ของมนุษย์แบบนี้ก็จะหาเรื่องมีคดีกับ Self Expression ไม่รู้จบ ตั้งแต่เรื่อง รองเท้าแตะ เวบไซต์ วัตถุแตกแยก ส้วม หนังเกย์ ไปจนถึงเหล้าปีใหม่....

แม้แต่ต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดงจำนวนเป็นหมื่นเมื่อวันที่19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ดูเหมือนจะเป็นตลาดนัดการแสดงออกมากกว่าเพราะไม่ได้มีการปราศัยทางการเมืองใดๆ บนถนนราชประสงค์นั้นเต็มไปด้วย Self Expression ของปัจเจกหลากหลายรูปแบบและอารมณ์ กระจายออกเป็นกลุ่มๆ ใช้เรื่องราวของตัวเองเป็นแกนการแสดงออก มันเป็น Self Expression ที่แหกคอกวัฒนธรรมการกระซิบไม่น้อย เช่นกลุ่มพลงแหล่การเมืองบนรถกระบะ 3-4 กลุ่ม ที่เรียกเสียงเฮได้ดังสุด (มันคือ Street performance แบบเดียวกับที่บางคนอุตส่าห์ไปนำเข้ามาจากประเทศอื่นนั่นแหละ) พี่สาวและลูกสาวผู้เสียชีวิตออกมาขอรับบริจาคด้วยตัวเองด้วยอุปกรณ์เก้าอี้หนึ่งตัว กล่องหนึ่งใบกับรูปถ่ายพ่อของเธอ ที่เล่าว่ามาเองไม่ผ่านองค์กรช่วยเหลือใดๆ กลุ่มเทียนสีแดงที่จุดแล้วปักเป็นวงเป็นหย่อมๆ กลางถนนให้เราอ่านความหมาย มันเป็นการพูดด้วยสัญญะมากมายอัดแน่นกันอยู่บนถนน คนเหล่านี้พูดด้วยวิธีการที่ต่างกันแต่พลังของมันมาจากความคับข้องใจที่ถูกทำให้ไม่มีตัวตน จึงออกมาร่วมกันพูดในสิ่งที่แทบจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด ว่าเขามีตัวตน ถูกทำร้ายจริง มีเรื่องจะเล่า มีความคิดที่จะพูด และออกมาแสดงตัวกันบนถนน

....ที่สำคัญคือเขาไม่ต้องการกระซิบกันอีกต่อไปแล้วและมันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เพราะสังคมเลือกปิดช่องทางทำให้เขาแทบจะเหลือทางเดียว....การแสดงตัวตนเป็นๆ กันบนถนน .... ผู้เขียนขอยอมรับแบบอายๆ ว่า มีก้อนจุกคอหอยตื้อๆ ตลอดการเดินเบียดไปตามถนน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักใครตรงนั้นเลย เพลงก็ไม่ได้เศร้า และไม่ได้มีใครเล่าเรื่อง build อารมณ์กรอกหู แต่ก็เห็นมีหลายคนที่เดินป้ายน้ำตาไปเงียบๆ มีความรู้สึกที่เข้มข้นเหลือเชื่อในปรากฏการณ์นี้ แต่ก็ไม่มีรายงานข่าวทีวีหรือมีน้อยมากในสื่อหลัก เพราะยังติดกับดักไม่กล้าพูดออกมาดังๆ ในเรื่องที่ถูกตัดสินแล้วว่าควรเป็นเสียงกระซิบ...

Wikileaks ก็อาจทำสิ่งที่คล้ายกันกับที่ Philippe Starck โยนสัตว์ประหลาดลงไปในโตเกียว ต่างกันที่สังคมไทยยังมีวุฒิภาวะไม่พอมันจึงจมลงไปในคลื่นของเสียงกระซิบ...

วัฒนธรรมการกระซิบที่ดังกระหึ่มขึ้นทุกที ณ ก่อนการขึ้นปี พ.ศ.ใหม่นี้ สังคมไทยจึงต้องทำเป็นหูดับไม่ได้ยินเสีย เพื่อรักษาความเป็นเสียงกระซิบของมันต่อไป

จึงขอฝากกล่าว “สวัสดีปีใหม่” เบาๆ ไปยังท่านเหล่านั้น...

[1] http://www.banshirts.com/t-shirts/lesbiancom-t-shirt-gets-woman-banned-from-social-security-office เวบไซต์รวมข่าวเกี่ยวกับการแบน และการถกเถียงอันเนื่องมาจากสัญญะต่างๆ บนเสื้อยืด

[2] “Starck Speaks” Harvard Design Magazine,1997 http://books.google.com/books?id=5yCMgL1IkqIC&pg=PA34&lpg=PA34&dq=Starck+Speaks+Harvard+Design+Magazine+1997&source=bl&ots=3JRUqu8ZLP&sig=2VENZmUiyR_QsiQVo3ECKZ5NQqw#v=onepage&q&f=false

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประวิตร โรจนพฤกษ์: เปิดรายงานสอบสวนที่เชื่อว่าเป็นของ DSI

Posted: 23 Dec 2010 10:46 PM PST

รายงานการสืบสวนสอบสวนที่เชื่อได้ว่าเป็นของกรมสืบสวนคดีพิเศษ (DSI) เกี่ยวกับ 16 ศพที่เสียชีวิตในช่วงระหว่างการสลายการชุมนุมของรัฐ ช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 53 ซึ่งตกถึงมือหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ชี้ให้เห็นว่า 13 ใน 16 ศพ "เข้าข่ายน่าเชื่อว่า . . . เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่า ปฏิบัติราชการตามหน้าที่"

รายงาน 10 ฉบับครอบคลุมถึง 16 ศพ มีรายละเอียดการให้ปากคำของพยาน และหลักฐานอื่นๆ ซึ่งในหนึ่งคดี พยานปากหนึ่งได้แก่ นายนิโคลัส นอสติสส์ ช่างภาพ/นักข่าว ชาวเยอรมัน ยืนยันกับทางหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า คำให้การในรายงานการสืบสวนสอบสวนนั้นตรงกับที่ตัวเองให้ไว้ ในจำนวน 10 คดี มีไฮไลท์รวมถึงกรณีการเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเสียชีวิตในคืนวันที่ 10 เมษา ซึ่งรายงานสรุปของดีเอสไอสรุปว่า "เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จึงเห็นควรส่งเรื่องกลับไปให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 เพื่อให้มีการไต่สวนของศาลต่อไป"

หนึ่งในพยานนายมูราโมโต้ให้ปากคำกับทางดีเอสไอว่า "พยานเห็นทหารถืออาวุธปืนยาวในลักษณะเฉียงอยู่แนวเดียวกับพยาน ขณะนั้นพยานได้ยินเสียงดังเหมือนของหนักหล่นกระแทกพื้นด้านหลัง เมื่อหันไปดูเห็นผู้สื่อข่าวต่างชาติทราบภายหลังคือนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ แบกกล้องถ่ายวีดิโอขนาดใหญ่หงายหลังลงกับพื้นทางเท้าหันศีรษะไปทางรั้ว ร.ร.สตรีวิทยา พยานเข้าไปดูเห็นที่หน้าอกซ้ายของนายฮิโรยูกิฯมีจุดรอยเลือดเล็กๆ และขยายใหญ่ขึ้น พยานจึงทราบว่า ถูกยิง"

ในขณะเดียวกัน หลักฐานพยานวัตถุ ซึ่งได้แก่หลักฐานภาพจากวีดิโอคลิป จากกล้องของนายมูราโมโต้ ซึ่งถ่ายก่อนที่จะถูกยิงเสียชีวิต ก็สอดคล้องกับคำให้การของพยานอีกปาก ที่กล่าวว่า "ได้เห็นมีการยิงปืนจากกลุ่มทหาร"

รายละเอียดอีกคดีที่น่าสนใจได้แก่ กรณี 6 ศพวัดปทุมวนาราม ซึ่งทางรายงานก็ได้สรุปว่า 3 ใน 6 ศพนั้น "มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามสมควรเข้าข่ายน่าเชื่อว่า มีความตายเกิดขึ้นจากเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ . . ."

ในจำนวนพยาน 42 ปากของคดี 6 ศพนั้น รวมถึงพยานซึ่งเป็นนายทหาร 5 ราย ซึ่งยอมรับว่า พวกเขาได้ใช้อาวุธปืนยิงไปยังบริเวณวัดปทุมวนารามในค่ำของวันที่ 19 พ.ค. 2553 จริง ยกตัวอย่างเช่น พยานลำดับที่ 37 ซึ่งประจำที่กองพันจู่โจมลพบุรี แต่ทางหนังสือพิมพ์ไม่ขอเผยนาม กล่าวว่า ตนได้ใช้ปืน M16 A2 ยิงไปจำนวน 5 นัด "เพื่อให้คนที่อยู่ใต้ท้องรถออกมา ตะโกนให้ออกมาจากใต้ท้องรถและถอดเสื้อ" หรือ พยานคนที่ 31 ซึ่งเป็นทหารประจำที่กองพันจู่โจมกรมรบพิเศษที่ 3 ให้การว่า "เห็นชายชุดดำที่ตอม่อบนถนนพระราม 1 พยานจึงได้ยิงใส่กลุ่มชายดังกล่าวไป 7 นัด เวลาประมาณ 18.10 น. เห็นชายที่บริเวณมุมกุฏิมีอาวุธปืนจึงยิงใส่ไป 1 นัด เวลา 18.20 น. . . . " หรือพยานคนที่ 33 ที่กล่าวว่า "ได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ไปที่กำแพงวัดปทุมวนาราม"

อย่างไรก็ตาม พยานอีกปากที่เป็นประชาชนยืนยันว่า ทหารยิงถูกคนที่หน้าวัดปทุมฯ จริง จนเกิดการสูญเสียชีวิต ยกตัวอย่างเช่น พยานคนที่ 25 ให้การว่า "เห็นทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้ายิงปืนมาที่เต็นท์พยาน เห็นน.ส.กมลเกด อัคฮาด และอาสาพยาบาลชายถูกยิงที่เต้นท์พยาน แต่ต่อมาถึงแก่ความตาย ทราบชื่อในภายหลังว่า เป็นนายอัครเดช ขันแก้ว"

ท้งนี้แหล่งข่าวที่เผยแพร่ข้อมูลจากรายงานการสืบสวนสอบสวนที่อ้างว่าเป็นของดีเอสไอกล่าวว่า พวกตนจะนำรายละเอียดของรายงานการสืบสวนสอบสวนทั้ง 10 คดี เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตในวันนี้ (ศุกร์)
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ทำตัวดีๆ"

Posted: 23 Dec 2010 06:40 PM PST

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ทำตัวดีๆ แล้วพี่จะยุบสภา"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น