ประชาไท | Prachatai3.info |
- Tablet อัจฉริยะหรืออัปยศ
- 8 องค์กรสิทธินานาชาติร้องไทย ยกฟ้อง ‘สมยศ’ ระบุ ‘กม. หมิ่น’ ขัดหลักสิทธิสากล
- ลือสะพัด ครม.ประชุมลับเรื่องพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ
- TCIJ: โฉนดชุมชนสุราษฎร์ฯ ร้อน ชาวบ้านถูกกลุ่มคนอ้างเป็น ตร.บุกค้น
- ‘Occupy Wall Street’ ในนิวยอร์กโดน ‘กระชับพื้นที่’ แล้วกลางดึกวันนี้
- "ไทยพีบีเอส" แจงไม่เกี่ยวยุชาวดอนเมืองรื้อบิ๊กแบ๊กตามที่ "สปริงนิวส์" รายงาน
- เพลงประจำซีเกมส์ครั้งที่ 26 "Kita Bisa": เพลงแห่งประชาคมอาเซียน?
- นักลงทุนรายย่อยบังคลาเทศประท้วงรัฐบาล หลังหุ้นร่วง
- ซีเรียยังลงแข่ง 'อาหรับเกมส์' ได้ แม้โดนสันนิบาตอาหรับอัปเปหิ
- SIU: กสทช.–กรีนเวฟ เมื่อ “ความถูกต้อง” ไม่สอดคล้องกับ “ความถูกใจ”
- พ.อ.นที ทวีตแจงกรณีเรียกคืนคลื่น 1 ปณ. ยันไม่เลือกปฏิบัติ
Posted: 15 Nov 2011 12:21 PM PST
ทันทีที่รู้ว่ารัฐบาลมีนโยบายจะแจก Tablet ให้เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คนละ 1 เครื่อง ผู้เขียนรู้สึกว่านี่คือการลงทุนทางการศึกษาที่อัจฉริยะ และน่าจะทำให้การปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 เป็นเรื่องเป็นราวกว่าทศวรรษแรก โดยเฉพาะประเด็นความเท่าเทียมในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่เคยห่างชั้นมากระหว่างเด็กในเมืองกับเด็กชนบทน่าจะลดลง ลองจินตนาการถึงห้องเรียนของเด็กประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ซึ่งตามหลักสากลยังถือว่าอยู่ในช่วงปฐมวัย (0-8 ปี) แต่เป็นเด็กปฐมวัยที่ไม่ได้เรียนชั้นอนุบาลแล้ว ห้องเรียนของเด็กปฐมวัยกลุ่มนี้ไม่มีมุมการเรียนรู้ต่างๆเหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีมุมนิทาน มุมบทบาทสมมติ มุมวิทยาศาสตร์ มุมภาษา มุมศิลปะ มุมคณิตศาสตร์ มุมบล็อก ฯลฯ โดยมากจะถูกแทนที่ด้วยโต๊ะและเก้าอี้เพื่อให้เด็กกว่า 40 คน นั่งมองครูเขียนกระดานหน้าห้องอธิบายเรื่องราวต่างๆแต่ละวิชา (โชคดีกว่านั้นคือการนำเสนอด้วย PowerPoint) เขยิบมาด้านข้างจะมีบอร์ดนำเสนอสาระความรู้ซึ่งอาจถูกเปลี่ยนเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตามวาระพิเศษ หรือค้างอยู่อย่างนั้นตลอดปีการศึกษาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กล่าวถึงเฉพาะการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ นานาประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เจริญมีการทำมานานแล้ว และทำตั้งแต่เด็กยังอยู่ชั้นอนุบาลอีกด้วย การนำแท็บเล็ตมาเริ่มต้นใช้กับเด็ก ป.1 จึงอาจช้าไปด้วยซ้ำหากพิจารณาว่าปัจจุบันนี้มี app ที่ทรงประสิทธิภาพเพื่อฝึกลีลามือในการเขียนสำหรับเด็กเล็ก (http://www.youtube.com/watch?v=h_vUCxF7x38&feature=share) อีกทั้งสามารถบรรจุ e-book ลงไปได้มาก นั่นหมายความว่าห้องสมุดขนาดใหญ่จะติดตัวเด็กไปทุกที่ไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน ผลที่ตามมาคือการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ของเด็กไม่ต้องผูกติดกับคุณภาพโรงเรียน คุณภาพครู และสถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้ปกครองอีกต่อไป การโจมตีเทคโนโลยีอย่างแท็บเล็ตว่าเป็นความอัปยศโดยไม่พิจารณาถึงคุณูปการที่เยาวชนรุ่นหลังจะได้รับเพียงเพราะมองว่ากิริยาอาการขณะใช้แท็บเล็ตทำให้เด็กต้องกระแทกแทนการเขียน ส่งผลให้ความคิดของเด็กแข็งกระด้าง ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจได้หมดจดนั้น นัยหนึ่งนอกจากจะเป็นการดูถูกภูมิปัญญาของมนุษย์ที่สร้างสรรค์เทคโนโลยีขึ้นมาแล้ว ยังแสดงถึงความไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของเด็กตามธรรมชาติอีกด้วย กล่าวคือตามหลักพัฒนาการนั้น เด็กจะเริ่มขีดเขี่ยซึ่งเป็นพื้นฐานของการเขียนตั้งแต่ราวๆ 18 เดือน และถ้าสังเกตพฤติกรรมเด็กให้ละเอียดจะพบว่าเด็กกระหายที่จะเขียนอย่างจริงจังราวๆอายุ 4 ขวบ ขณะที่เด็กหลายๆคนสนุกกับการเขียนในช่วงอายุ 5 ขวบ ซึ่งความรักที่จะเขียนนี้สามารถอยู่ยงต่อไปหากการเรียนรู้ของเด็กคงบรรยากาศของการเรียนปนเล่นไว้ได้ ไม่ใช่บังคับให้เด็กนั่งนิ่งๆเพื่อฝึกคัดลายมือให้สวยสมบูรณ์แบบด้วยมือข้างขวาเหมือนกันหมด นอกจากนี้การมีความคิดที่ไม่หยาบกระด้าง หรือการมีความละมุนละไมทางความคิด ไม่ได้เกิดขึ้นจากการฝึกเขียนช่วง ป.1 เท่านั้น หากยังมีช่องทางอื่นอีกมาก เช่น ผ่านสุนทรียสนทนา ผ่านงานศิลปะ ผ่านดนตรี ผ่านการมีน้ำใจนักกีฬา และแม้แต่การได้เห็นหยดน้ำค้างบนใบไม้ยามเช้าก็สร้างความละมุนละไมทางความคิดได้ ทางการศึกษาปฐมวัยนั้นไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยี แต่จะพิจารณาโดยภาพรวมว่าถ้าบางอย่างจะต้องขาดหายไปเพื่อแลกกับบางอย่าง ครู ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่คนอื่นๆในสังคมต้องทำอะไรเพื่อทดแทนให้เด็ก เช่น ถ้าเราจะปฏิวัติการเรียนรู้ด้วยการให้เด็กเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น ได้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตนให้เป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองโลกเร็วขึ้นผ่านการนำแท็บเล็ตมาเป็นหนึ่งในสื่อการเรียนรู้ (หมายความว่ายังมีสื่ออื่นๆอีกมาก) อะไรบ้างจะหายไป และควรชดเชยด้วยอะไร กรณีที่กังวลว่าจิตใจเด็กจะกระด้างขึ้น ก็ต้องช่วยกันคิดต่อว่าจะชดเชยอย่างไร เช่น นำบทร้อยกรองที่ถูกละเลยในอดีตกลับมาบรรจุในรูปของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เด็กสามารถเลือกด้วยตนเองได้ว่าเด็กจะเรียนรู้บทร้อยกรองรูปแบบไหน เช่น 1) ฟังเป็นร้อยแก้วแล้วอ่านตาม 2) ฟังเป็นทำนองเสนาะแบบมีเสียงกรับ และสามารถใช้ปลายนิ้วสัมผัส (ไม่ใช่กระแทก) เพื่อฟังพร้อมอ่านคำอธิบายเชื่อมโยงถึงความเป็นมาของกรับ 3) ฟังเป็นทำนองเสนาะแล้วอ่านตาม 4) ฟังการตีความบทประพันธ์โดยอาจารย์ท่านที่ 1 ท่านที่ 2 ท่านที่ 3 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความอัจฉริยะของแท็บเล็ตอาจกลายเป็นความอัปยศทันที หากเป็นเพียงฉากหน้าของการคอรัปชั่น รวมทั้งไม่มีการเตรียมสัญญาณ WiFi ให้ทั่วถึง ไม่มีการจัดทำคู่มือครูในการใช้แท็บเล็ตเพื่อการจัดการเรียนการสอน ไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ผู้ปกครอง ไม่มีการเตรียมศูนย์ซ่อมบำรุงแท็บเล็ตในโรงเรียน ไม่มีการนำโปรแกรมมาให้ครูใช้ตรวจสอบการคัดลอกงานทางอินเตอร์เน็ตของเด็ก ไม่มีการเฝ้าระวังเรื่องการเข้าถึงสื่อลามกอนาจาร ไม่มีการสนับสนุนให้นักวิชาการทำวิจัยเพื่อพัฒนา e-book เพื่อการเรียนศึกษา แท็บเล็ตจึงเป็นบททดสอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ว่าจะสร้างผลงานที่อัจฉริยะหรือกลายเป็นอีกหนึ่งความอัปยศของการศึกษาไทย หมายเหตุ: บทความข้างต้นเป็นทัศนะที่โต้แย้งความคิดเห็นของ มกุฎ อรดี บรรณาธิการ สนพ.ผีเสื้อ และ นักเขียนช่อการะเกดเกียรติยศ 2553
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
8 องค์กรสิทธินานาชาติร้องไทย ยกฟ้อง ‘สมยศ’ ระบุ ‘กม. หมิ่น’ ขัดหลักสิทธิสากล Posted: 15 Nov 2011 11:12 AM PST องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ 8 แห่ง ในเอเชีย ยุโรปและแคนาดา ออกแถลงการณ์เรียกร้องรบ. ไทยให้ยกเลิกข้อกล่าวหาต่อ ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ ย้ำ ต้องให้สิทธิในการประกันตัวและเสรีภาพในการแสดงออกแก่ประชาชน เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 54 องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ 8 แห่ง จากเอเชีย ยุโรป และแคนาดา ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ยกเลิกข้อกล่าวหาต่อ สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักเคลื่อนไหวด้านแรงงาน และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ที่ถูกจับกุมด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยระบุว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลในการการแสดงออก พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิสากลด้วย แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า การที่สมยศถูกปฏิเสธการประกันตัวมาแล้วถึง 4 ครั้ง โดยที่ไม่มีเหตุผลชัดเจนพอจากทางการว่าเป็นเพราะเหตุผลใด เป็นการละเมิดสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ทั้งๆ ที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ระบุไว้ในรายงานฉบับที่สองว่า การประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องหาทุกคนพึงมี อนึ่ง องค์กรสิทธิดังกล่าว เป็นองค์กรที่รณรงค์ทางด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพสื่อที่ตั้งอยู่ในเอเชีย ยุโรป และแคนาดา ประกอบไปด้วย Front Line Defenders, Protection International, Asian Forum on Human Rights and Development (FORUM-ASIA), International Federation for Human Rights (FIDH), World Organisation against Torture (OMCT) , Lawyers' Rights Watch – Canada (LRWC) and Southeast Asia Press Alliance (SEAPA) และ Clean Clothes Campaign องค์กรสิทธิระหว่างประเทศยังมองว่า การที่จำเลยต้องเดินทางไปรับการไต่สวนที่ศาลถึง 4 จังหวัด คือ สระแก้ว เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และสงขลาในระยะเวลา 4 เดือนระหว่างพฤศจิกายน 2554 ถึงกุมภาพันธ์ปี 2555 เป็นการละเมิดสิทธิในการได้รับไต่สวนอย่างเป็นธรรมของผู้ต้องหา และเป็นอุปสรรคต่อผู้ทีต้องการสังเกตการณ์ในคดีดังกล่าว เช่น เจ้าหน้าที่ทางการทูต และผู้สื่อข่าว องค์กรสิทธิทั้ง 8 แห่ง ยังได้แสดงความกังวลต่อการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา โดยเฉพาะคดีของจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ที่ถูกตั้งข้อหาด้วยการละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามข้อเสนอแนะของ แฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออกด้วย ทั้งนี้ สมยศถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ขณะนำลูกทัวร์เดินทางเข้าท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา โดยคำฟ้องระบุว่าเขาละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องมาจากนิตยสาร ‘วอยซ์ ออฟ ทักษิณ’ ที่เขาเป็นบรรณาธิการบริหารมีเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง สมยศถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตั้งแต่นั้นมา และถูกปฏิเสธการให้ประกันตัวเป็นครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
ลือสะพัด ครม.ประชุมลับเรื่องพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ Posted: 15 Nov 2011 10:20 AM PST ประชุม ครม. วันนี้ไม่มี "ยิ่งลักษณ์" นั่งหัวโต๊ะ "ศิริโชค โสภา" - "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" อัดยิ่งลักษณ์แกล้งไม่มาประชุม ไปติดอยู่สิงห์บุรี ส่วน ครม. ให้ประชุมลับเรื่องอภัยโทษ ขณะที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียันประชุมวันนี้ไม่มีวาระพิเศษ เมื่อวานนี้ (15 พ.ย.) มติชนออนไลน์ รายงานว่า มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมด้วยตัวเอง และมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน โดยอ้างว่า ยังอยู่ในระหว่างเดินทางกลับมายังกรุงเทพมหานคร หลังจากวานนี้ (14พ.ย.) ได้นอนค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์ไม่มีเรดาร์ และไม่รับรองในความปลอดภัยขณะเดินทางกลับในตอนกลางคืนนั้น ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.สงขลา ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ในชื่อ Sirichok Sopha เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. โดยระบุข้อความว่า "ผมมีลางสังหรณ์อยู่แล้ว ว่าทำไมนายกฯ ปูถึงแกล้งไม่มาประชุม ครม. อ้างว่า ฮ.ไม่มีเรดาร์ ปรากฎว่าวันนี้มี ครม.มีการประชุมลับ ไล่เจ้าหน้าที่ออกจากห้องหมด และมีการผ่าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เรียบร้อยแล้ว เป็นวันที่เศร้าที่สุดวันหนึ่งของประเทศไทย" ขณะที่นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกกับผู้สื่อข่าว "มติชนออนไลน์" ว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่มีวาระพิเศษใดเลย เป็นเพียงการประชุมในวาระปกติ แต่เมื่อประชุมเสร็จ ก็ ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนออกรวมถึงตนออกนอกห้องประชุมด้วย มีเพียงรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาคณะรัฐมนตรีอีก 3 คน คุยกันต่อในช่วงท้าย และไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน และเรื่องดังกล่าวก็มีคนสอบถามเข้ามาเยอะเหมือนกัน แม้กระทั่งผู้ติดตามนายกรัฐมนตรีก็ยังโทรมาสอบถามว่ามีเรื่องอะไร มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า รายงานข่าวจากที่ประชุมครม. แจ้งว่า การประชุมครม.วันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม แทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เริ่มประชุมในเวลา 09.50 น. เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิม มาสาย และได้ประชุมตามวาระต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ กระทั่งเวลา 11.50 น. จึงเสร็จการประชุมตามวาระที่กำหนด แต่ ครม.ได้ประชุมลับกันอีกครั้งโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งการประชุมลับดังกล่าวได้เชิญบรรดาข้าราชการออกจากห้องประชุมทั้งหมดเหลือแค่ครม.เท่านั้น โดยมติชนออนไลน์ตั้งข้อสังเกตว่า "ภายหลังเลิกประชุมครม. นางฐิติมาได้เดินลงมาจากตึกเร็วกว่าคณะรัฐมนตรี ซึ่งต่างจากวันก่อนที่เดินลงมาช้ากว่าหรือลงมาพร้อมกัน และเป็นไปได้ว่า ในช่วงท้ายที่เหลือแต่รัฐมนตรีอยู่ อาจจะมีการคุยถึงพ.ร.ฎ.อภัยโทษ และเรื่องอื่นๆ เป็นการเฉพาะ" ขณะที่กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เผยแพร่ความเห็นของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ยุติธรรม ที่เขียนข้อความผ่านเฟสบุ๊ค "Pirapan Salirathavibhaga" ซึ่งอ้างความเห็นของ "ครม.ที่ไม่เห็นด้วย" บางคนว่า "ครม.ที่ไม่เห็นด้วยบางคน แอบเล่าว่าร่างพระราชกฤษฎีกาที่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุม ครม.วันนี้ ได้ตัดมาตรา 4 ที่เคยเขียนเอาไว้ในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแบบเดียวกันนี้ทุกฉบับที่ ผ่านมา ซึ่งของเดิมจะระบุว่าผู้ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องเป็นผู้ซึ่ง "ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกำหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ" ออกไปทั้งหมด นายพีระพันธุ์ อธิบายต่อว่า "ซึ่งแปลว่าผู้ที่ไม่เคยถูกคุมขังหรือถูกจำคุก เช่น ผู้ที่หลบหนีการจำคุกทั้งหลาย ก็จะได้รับอานิสงค์และจะพ้นความผิดไม่ต้องถูกจำคุกไปทั้งหมด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติจริงๆ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ครม. ถึงต้องปิดเงียบและทำเป็นเรื่องลับทั้งๆ ที่การออกพระราชกฤษฎีกาเช่นนี้ตามปกติไม่เคยทำเป็นเรื่องลับและไม่เคยต้องประชุมลับ ระดับลับสุดยอดด้วย" นายพีระพันธุ์ได้แสดงความเห็นด้วยว่า "ไม่น่าเชื่อว่าในยามที่ประชาชนทุกข์ยากจากน้ำท่วม ยังจะกล้าทำอย่างนี้อีก แล้วที่ต้องไปค้างคืนโดยอ้างว่าบินกลางคืนไม่ได้ กลายเป็นเรื่องจัดฉาก ภารกิจนี้เพื่อพี่จริงๆ" อย่างไรก็ตามขณะนี้ไม่มีมติคณะรัฐมนตรีออกมายืนยันว่่ามีการหารือเรื่องพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
TCIJ: โฉนดชุมชนสุราษฎร์ฯ ร้อน ชาวบ้านถูกกลุ่มคนอ้างเป็น ตร.บุกค้น Posted: 15 Nov 2011 09:36 AM PST ชาวบ้านชุมชนคลองไทรพัฒนา จ.สุราษฏร์ธานี เผยถูกกลุ่มคนอ้างตัวเป็น ตำรวจภูธรภาค 8 เข้าค้นบ้าน แต่ไม่มีหมายค้นแถมชักปืนขู่ ทำทรัพย์สินพังยับ แถมเงินที่ชาวบ้านรวบรวมช่วยน้ำท่วมก็หายไปด้วย เมื่อวันที่ 12 พ.ย.54 เวลาประมาณ 16.00 น.มีกลุ่มชายจำนวน 6 คน อ้างตัวว่าเป็นตำรวจ แต่งกายแบบครึ่งท่อนสวมเสื้อกันกระสุนและมีวิทยุสื่อสาร เดินทางเข้ามาในชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฏร์ธานี โดยนำรถส่วนตัวเป็นรถกระบะตอนครึ่งสีขาวไม่ทราบเลขทะเบียนมาจอดไว้แล้วเดินเท้าเข้ามาในชุมชน และได้เข้าตรวจค้นบ้านของชาวบ้านโดยไม่มีหมายค้น ชาวบ้านในชุมชนคลองไทรพัฒนาเล่าว่า บ้านที่ถูกตรวจค้นคือบ้านของนายลือ (นามสมมติ) ซึ่งเปิดเป็นรานค้า และบุคคลดังกล่าวอ้างว่าเป็นตำรวจมาจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8และต้องการเข้าตรวจค้นบ้านเพราะมีคนแจ้งว่าที่บ้านนายลือมีอาวุธผิดกฎหมาย ภรรยาของนายลือซึ่งอยู่บ้านในขณะนั้นจึงสอบถามว่ามีหมายค้นหรือไม่ แต่บุคคลดังกล่าวไม่ตอบ กลับชักปืนขึ้นมาข่มขู่และบอกว่าปากดี เดี๋ยวจะพาไปโรงพัก ชาวบ้านเล่าด้วยว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำการค้นภายในบ้านโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเจ้าของบ้าน ภรรยาของนายลือจึงตะโกนเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงให้มาช่วยเหลือ จากนั้นกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจดังกล่าวจึงล่าถอยออกไป เมื่อเข้าไปสำรวจความเสียหายหลังจากที่กลุ่มคนดังกล่าวใช้เวลารื้อค้นราว 10 นาที พบว่า ข้าวของเสียหายยับเยิน และมีเงินหายไป 30,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในร้าน และมีเงินที่ชาวบ้านร่วมลงขันกันเพื่อจะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมรวมอยู่ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านเห็นกลุ่มบุคคลดังกล่าวอยู่ที่แคมป์ที่พักคนงานของบริษัทเจ้าของสวนปาล์มซึ่งเป็นคู่กรณีกับชาวบ้านในชุมชนจากปัญหาเรื่องการครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าออกชุมชน โดยชาวบ้านส่วนหนึ่งมั่นใจว่ากลุ่มบุคคลที่เข้ามาตรวจค้นบ้านในชุมชนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากมีเสื้อกันกระสุนและมีวิทยุสื่อสารของตำรวจ ขณะที่ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งเห็นว่าหากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นการนำอำนาจหน้าที่ของข้าราชการมารับใช้กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มทุน ผู้สื่อข่าวรายงานรายงานด้วยว่าชาวบ้านไม่มีความไว้วางใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 ส.ค.52 เกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจใช้ข้ออ้างเรื่องอาวุธผิดกฎหมายเข้าตรวจค้นชุมชนมาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งก็ไม่พบอะไร แต่หลังจากตำรวจกลับออกไปจากพื้นที่ก็ได้มีชุดคุ้มครองหมู่บ้าน (ชรบ.) พร้อมด้วยรถแทรกเตอร์ (รถไถจาน) จำนวน 3 คัน เข้าทำการไถดัน ทำลายบ้านเรือนที่พักอาศัยของสมาชิกชุมชนคลองไทรจนได้รับความเสียหายจำนวน 60 หลังคาเรือน แต่การสอบสวนหาผู้กระทำผิดกลับไม่มีความคืบหน้า นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ยิงข่มขู่เกิดขึ้นในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านพยายามเข้าแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ก็มีเพียงการลงบันทึกประจำวันไว้ ขณะที่การติดตามคดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ และแม้แต่คดีที่ชาวบ้านในชุมชนถูกยิงเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคมปี 53 ถึงขณะนี้คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า “กรมตำรวจแห่งชาติ ชาวบ้านตาดำๆ ที่เป็นเกษตรกรถูกกลั่นแกล้ง แต่บริษัทและกลุ่มอิทธิพลกลับอยู่เหนือกฎหมาย ทั้งๆ ที่อยู่แบบผิดกฎหมาย ฝากถึงผู้มีอำนาจช่วยพิจารนาทีเถอะครับ” ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าว ทั้งนี้ ชุมชนคลองไทรพัฒนา เป็นสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประสานการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินกับรัฐบาลตั้งแต่ในสมัยของรัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยการจัดทำโฉนดชุมชน โดยเป็น 1 ใน 35 พื้นที่นำร่องจัดทำโฉนดชุมชนที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.)แต่พื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการผลักดันให้กระทรวงทรัพย์ส่งมอบพื้นที่ให้สำนักงานโฉนดชุมชนดำเนินการจัดทำโฉนดชุมชน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 อีกทั้งขณะนี้นโยบายดังกล่าวได้หยุดชะงักไป นอกจากนี้ พื้นที่ชุมชนดังกล่าวยังอยู่ในพื้นที่ฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กับบริษัทจิวกังจุ้ยพัฒนา จำกัด โดย ส.ป.ก.ฟ้องขับไล่ให้บริษัทเอกชนออกจากพื้นที่ แต่ขณะนี้บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์ผลอาสินไว้ ลำดับเหตุการณ์ชุมชนคลองไทรพัฒนา อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
‘Occupy Wall Street’ ในนิวยอร์กโดน ‘กระชับพื้นที่’ แล้วกลางดึกวันนี้ Posted: 15 Nov 2011 08:49 AM PST กลุ่มผู้ประท้วง Occupy Wall Street ที่ปักหลักชุมนุมประท้วงในสวนสาธารณะซุคค็อตติ ใจกลางกรุงนิวยอร์กมาราวสองเดือน ถูกสลายการชุมนุมแล้วเมื่อกลางดึกของวันที่ 15 พ.ย. หลังผู้ว่ารัฐนิวยอร์กและเจ้าของสวนประกาศว่าการชุมนุมดังกล่าวละเมิดการใช้สิทธิ์ของผู้อื่นและเป็นอันตรายต่อสุขภาวะ เมื่อเวลาตี 1 ตามเวลากรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ของวันที่ 15 พ.ย. 54 หรือประมาณ 8 โมงเช้า ตามเวลาประเทศไทย มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์ก (NYPD) ได้เข้าสลายการชุมนุมกลุ่มผู้ประท้วง Occupy Wall Street หรือขบวนการ ‘ยึดครองวอลล์สตรีท’ แล้ว หลังจากกลุ่มดังกล่าวปฏิเสธที่จะออกจากสวนสาธารณะตามคำประกาศเตือนของผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มีผู้ประท้วงถูกจับกุมราว 70 คน การสลายการชุมนุมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อกลางดึกของวันที่ 15 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กชุดปราบจลาจลจำนวนหลายร้อยคนได้เข้าล้อมสวนสาธารณะพร้อมแก๊ซน้ำตา รถบดขนาดใหญ่ และเฮลิคอปเตอร์ โดยขู่ว่า อุปกรณ์และสิ่งของทุกอย่างในสวนของผู้ชุมนุมจะถูกนำไปกำจัดทิ้ง หากผู้ชุมนุมยังคงยืนยันว่าจะไม่เก็บของออกไปจากสวนซุคค็อตติ ต่อมา เมื่อเวลาราว 4.30 น. ภารกิจการเคลียร์สวนสาธารณะดังกล่าวก็เสร็จสิ้นลง สวนสาธารณะซุคค็อตติหลังการสลายกลุ่มผู้ประท้วง ‘Occupy Wall Street’ รายงานข่าวระบุว่า เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ประท้วง แต่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ก็ยินยอมที่จะเก็บของและออกจากสวนซุคค็อตติตามคำสั่งของตำรวจ ส่วนผู้ที่ขัดขืนและปฏิเสธที่จะออกจากพื้นที่ ก็ถูกจับกุมอย่างน้อย 70 คน อย่างไรก็ตาม นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า ส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวตามหมายศาลแล้วชั่วคราว ทั้งนี้ เว็บไซต์ occupywallstreet.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของขบวนการดังกล่าวระบุว่า เหล่าผู้ชุมนุมได้นัดเดินขบวน และจัดการประชุมสมัชชาใหม่อีกครั้ง เมื่อเวลา 9 โมงเช้าในวันเดียวกัน ที่จตุรัสโฟลีย์ ในแถบแมนฮัตตัน กรุงนิวยอร์ค เพื่อหารือถึงสถานการณ์หลังการสลายการชุมนุม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ไมเคิล บลูมเบิร์ก ได้กล่าวในงานแถลงข่าว ซึ่งจัดขึ้นหลังจากการสลายชุมนุมไม่กี่ชัวโมงว่า ผู้ชุมนุมมีสิทธิ์ที่จะใช้สวนสาธารณะซุคค็อตติเพื่อแสดงออกตามสิทธิพลเมืองที่ระบุไว้ในข้อหนึ่งของรัฐธรรมนูญสหรัฐได้ อย่างไรก็ตาม การใช้เต็นท์ ถุงนอน และการตั้งแคมป์ เป็นเรื่องที่ละเมิดกฎของสวนสาธารณะ และเป็นการรบกวนสิทธิการใช้สวนดังกล่าวของผู้อื่น บลูมเบิร์กยังระบุว่า การยึดครองสวนสาธารณะดังกล่าว ก่อให้เกิดอันตราย มลภาวะทางเสียง และปัญหาด้านความสะอาดและสุขภาวะแก่ผู้อยู่อาศัยและธุรกิจในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เขาจำเป็นต้องตัดสินใจใช้กฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ของสาธารณะ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ผู้ขุมนุมสามารถกลับมาใหม่ได้หลังการเคลียร์พื้นที่สิ้นสุดลง แต่ห้ามตั้งแคมป์เช่นเดิมอีก “ผู้ชุมนุมได้ยึดครองพื้นที่ดังกล่าวด้วยเต็นท์และถุงนอนมา 2 เดือนแล้ว ตอนนี้คงจะต้องถึงเวลาที่เขาจะต้องใช้ข้อเสนอ (arguments) มายึดครองพื้นที่แทน” ผู้ว่ารัฐนิวยอร์กกล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
"ไทยพีบีเอส" แจงไม่เกี่ยวยุชาวดอนเมืองรื้อบิ๊กแบ๊กตามที่ "สปริงนิวส์" รายงาน Posted: 15 Nov 2011 07:24 AM PST ผู้บริหาร-ทีมข่าวไทยพีบีเอสปฏิเสธรายงานข่าวสปริงนิวส์ที่ระบุว่ามีผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสให้ข้อมูลชาวบ้านจนเกิดการรื้อบิ๊กแบ็กดอนเมือง ย้ำทำหน้าที่สื่อสาธารณะในการรายงานและเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนรับทราบข่าวสารข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้าน
(15 พ.ย.54) เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเผยแพร่คลิปวิดีโอชี้แจงกรณีสถานีข่าวสปริงนิวส์นำเสนอข่าวรายงานพิเศษปัญหาผลกระทบกระสอบทรายขนาดใหญ่ หรือบิ๊กแบ๊ก ที่อ้างอิงข้อมูลจากชาวบ้านย่านดอนเมืองว่า ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสมีส่วนในการให้ข้อมูลต่อกลุ่มชาวบ้าน จนนำไปสู่การตัดสินใจทำลายแนวกระสอบทรายขนาดใหญ่ (บิ๊กแบ๊ก) ย่านดอนเมือง โดยผู้บริหารและทีมข่าวไทยพีบีเอสปฏิเสธรายงานข่าวของสปริงนิวส์ดังกล่าว และยืนยันว่าตรวจสอบแล้ว ไม่พบการกระทำของผู้สื่อข่าวตามรายงานดังกล่าว ไทยพีบีเอส ระบุว่า จากรายงานพิเศษผลกระทบจากกระสอบทรายขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กแบ๊ก ที่ถูกรายงานผ่าน น.ส.วีณศรณ์ เย็นยอดวิชัย ผู้สื่อข่าวสถานีข่าวสปริงนิวส์ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. อ้างถึง "หนึ่งในตัวแทนชาวดอนเมืองได้โทรศัพท์ไปเล่าเบื้องหลัง ก่อนการเกิดทลายกระสอบทรายบิ๊กแบ๊กว่า มีทีมข่าวไทยพีบีเอสลงพื้นที่ทำข่าวในเขตดอนเมือง และพูดจาที่มีแนวโน้มให้ชาวบ้านบางส่วนที่ไม่เข้าใจอยู่แล้ว เริ่มประท้วงเกิดขึ้น ซึ่งนี่เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ชาวบ้านแจ้งมายังสปริงนิวส์" นั้น ผู้บริหารไทยพีบีเอสได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทีมข่าวทั้งหมดแล้วยืนยันว่าไม่พบการกระทำของผู้สื่อข่าวตามเนื้อหาที่ปรากฎข่าวรายงานของสปริงนิวส์ข้อมูลที่ถูกอ้างถึงในรายงานจึงไม่เป็นความจริง แต่กลับสร้างความเสียหายอีกทั้งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือให้กับไทยพีบีเอสเมื่อถูกรายงานผ่านสื่อสู่สังคมอย่างกว้างขวาง นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ รองผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ด้านข่าวและรายการ กล่าวว่า รายงานข่าวชิ้นนี้อ้างแหล่งข่าวคือตัวแทนชาวบ้านย่านดอนเมืองคนหนึ่งที่ให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ แต่กลับไม่ระบุตัวตนที่ชัดเจน หรือมีเสียงสัมภาษณ์ที่สามารถยืนยันตัวตนได้ ปรากฏในเนื้อหาข่าวเลย อีกทั้งไม่เคยมีการติดต่อกลับมายังไทยพีบีเอส เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการกล่าวหา ทำให้รายงานชิ้นนี้ขาดความน่าเชื่อถือ "ไทยพีบีเอสได้ทำหน้าที่สื่อสาธารณะในการรายงานและเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมเพื่อให้ประชาชนรับทราบข่าวสารข้อมูลได้อย่างครบถ้วนรอบด้านโดยยกผังรายการปกติออกทั้งหมดเพื่อปรับเป็นฝ่าวิกฤตน้ำท่วมมานานนับเดือน อีกทั้งเป็นสื่อโทรทัศน์ในกลุ่มแรกๆ ที่เกาะติดเรื่องบิ๊กแบ็ค เราทำงานบนพื้นฐานวิชาชีพข่าว ซึ่งไทยพีบีเอสต้องปฏิบัติตามข้อบังคับจริยธรรมของสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด สามารถตรวจสอบแหล่งข่าวได้ทั้งหมด เพราะให้ความสำคัญกับผลกระทบของข้อมูลที่จะนำเสนอผ่านสื่อไปสู่สาธารณะ ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังและนำเสนออย่างรอบคอบรอบด้าน เพื่อไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งในสังคม" นายวันชัย ระบุ รองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. กล่าวด้วยว่า หากสปริงนิวส์มีหลักฐานว่าผู้สื่อข่าวหรือทีมงานคนใดของไทยพีบีเอส เป็นผู้ชักนำโน้มน้าวให้ชาวบ้านประท้วง ขอให้ส่งข้อมูลดังกล่าวมาให้ผู้บริหารสถานีได้ตรวจสอบและดำเนินการเพื่อความถูกต้องต่อไป ทั้งนี้ ในช่วงข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้มีการเผยแพร่คำชี้แจงดังกล่าวด้วย ด้านนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (สสท.) โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @thepchaiyong เมื่อเวลาประมาณ 16.00น. ว่า "#thaipbs จะทำหนังสือถึง Spring News ให้แสดงความรับผิดชอบที่ออกข่าวเท็จสร้างความเสียหาย" (อ้างอิง)
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้รายงานข่าวหัวข้อ "เกมการเมืองในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระหว่าง ศปภ.-กทม." โดยตอนหนึ่งของรายงานได้อ้างความเห็นของนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งโพสต์ข้อความในเฟซบุคว่า "ตอนสายๆ รัฐบาลปล่อยให้มีการรื้อบิ๊กแบ๊กที่ดอนเมืองโดยมี ส.ส. และม็อบเกี่ยวข้องแล้วโยนบาปมาให้ กทม. รับผิดชอบตอนสี่ทุ่มครึ่ง ถ้าจะบริหารแบบนี้รัฐบาลยุบ ศปภ. แล้วให้ กทม. ทำทั้งหมดดีกว่าไหมครับหรือให้ทหารเขามาควบคุมก็ได้ อย่างนี้ประชาชนมีแต่แย่กับแย่" โดยในรายงานข่าวดังกล่าวไม่ได้มีการสัมภาษณ์หรือเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่ถูกนายกรณ์พาดพิงชี้แจง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
เพลงประจำซีเกมส์ครั้งที่ 26 "Kita Bisa": เพลงแห่งประชาคมอาเซียน? Posted: 15 Nov 2011 06:11 AM PST “Kita Bisa” หรือ “พวกเราทำได้” เป็นเพลงประกอบกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดที่กรุงจาการ์ตาและเมืองปาเล็มบัง ระหว่างวันที่ 11 ถึง 22 พฤศจิกายน สำหรับเพลงนี้แต่งโดยโยฟี วีเดียนโต (Yovie Widianto) ร้องโดยโยฟี, ดูดี นูโน, ดิกตา นูโน, เอลโล, จูดีกา, เตอร์รี, อัสตริด และ ลาลา การ์เมลา เพลง "Kita Bisa" หรือ "พวกเราทำได้" พร้อมซับไตเติลภาษาไทย เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน อินดรา ยูดิสตีรา (Indra Yudhistira) คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์แห่งอินโดนีเซีย (INASOC) ได้ประกาศว่า “Kita Bisa” จะเป็นเพลงกีฬาซีเกมส์อย่างเป็นทางการ เขาได้กล่าวว่า “official song หรือเพลงอย่างเป็นทางการที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อสร้างพลังใจ ในขณะที่ theme song หรือเพลงธีมเป็นเพลงที่เป็นธีมจากรายการหนึ่งๆ” นอกจากประกาศเพลงประกอบอย่างเป็นทางการแล้ว อินดรายังกล่าวว่า INASOC จะมีการเปิดตัวมิวสิควีดีโออย่างเป็นทางการเช่นกัน โดยนักแสดงในคลิปวีดีโอจะเป็นบรรดานักกีฬาแห่งชาติอินโดนีเซียที่จะเข้าร่วมแข่งขันในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 26 นี้ “เช่นมี เอโก ยูเลียนโต (Eko Yulianto) จากกีฬายกน้ำหนัก, ซีมอน ซันโตโซ (Simon Santoso) จากแบดมินตัน, คิม เจ็ฟฟรี กูรเนียวัน (Kim Jeffry Kurniawan) และ โอ๊คโต มาเนียนี (Okto Maniani) จากฟุตบอล นักกีฬาที่จะเข้าชิงชัยจำเป็นต้องรู้ว่าประชาชนชาวอินโดนีเซียเชียร์พวกเขาเสมอในการต่อสู้แข่งขัน” อินดรากล่าว
โยฟี วิเดียนโต (ที่มา: วิกิพีเดีย) โยฟี วีเดียนโต นักดนตรีและนักแต่งเพลงชื่อดังของอินโดนีเซียเกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2511 ที่เมืองบันดุง ชวาตะวันตก คนไทยบางคนจะรู้จักเมืองนี้ดีในฐานะเมืองที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงลี้ภัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นั่นเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2487 พระศพได้ถูกฝังไว้ที่เมืองบันดุงเป็นเวลา 4 ปี โยฟี วีเดียนโตเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้ง, นักร้องนำ และมือคีย์บอร์ดของวงดนตรี “กาฮิตนา (Kahitna)” ตั้งแต่ปีค.ศ. 1986 โยฟีคุมวงซึ่งในตอนแรกเล่นเพลงแจ๊สต่อมาได้หันไปทางเพลงป๊อปแทน เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในวงการดนตรีของอินโดนีเซีย เขาได้แต่งเพลงจำนวนมากมายให้กับนักร้องชื่อดังจำนวนมาก เช่น Rio Febrian, Audy, Tetty Manurung, Rida Sita Dewi, Rita Effendi, Yana Julio, Pinkan Mambo, Delon, Astrid, Chrisye, Glenn Fredly, Lingua, Andity, Ihsan, Dirly, Ghea, Bening, Lisa A.Riyanto, Hedi Yunus, Dea Mirella, Rossa, Ressa Herlambang, Monita, และคนอื่นๆ อีกมากมาย เพลง “Kita Bisa” นี้ในตอนแรกโยฟี ตั้งใจจะใช้ชื่อเพลงว่า “Kita Pasti Bisa (พวกเราทำได้แน่นอน)” ความรู้สึกชาตินิยมแสดงออกในเพลงนี้ ซึ่งในการแต่งเพลงนี้โยฟีชี้ว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก และจากนักกีฬาอินโดนีเซีย เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมว่า “แรงบันดาลใจจากนักกีฬาอินโดนีเซีย นี่คือโอกาสของพวกเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อินโดนีเซียสามารถทำได้ดีที่สุดในกีฬาซีเกมส์ครั้งนี้ พวกเราคิดถึงอยากได้ยินว่าอินโดนีเซียเป็นจ้าวเหรียญทอง” โยฟีกล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากเพลงท้องถิ่นของปาปัวและกาลิมันตันที่มีจังหวะเร็ว และเขาตั้งใจแต่งเพลงให้มีเนื้อหาที่จำได้ง่าย นอกจากนี้เขายังเปิดเผยว่าเพลงนี้เขาใช้เวลาแต่งแค่เพียงสองอาทิตย์เท่านั้น และไม่ใช่เพียงแค่โยฟีเท่านั้น นักดนตรีอินโดนีเซียคนอื่นๆ ก็จะมีส่วนร่วมในการร้องเพลงเพื่อสนับสนุนอินโดนีเซียในกีฬาซีเกมส์ เช่น เอลโล (Ello) และ เชอรีนา (Sherina) ที่จะร่วมกันร้องเพลง “Ayo Indonesia Bisa” (อินโดนีเซียทำได้) เพลง Kita Bisa ซึ่งเป็นเพลงประกอบหลักของกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 26 กีฬาแห่งภูมิภาคอุษาคเนย์ซึ่งกำลังจะจับมือกันก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในอีกสี่ปีข้างหน้า ควรจะเป็นเพลงที่แสดงถึงการรวมกันหรือจิตวิญญาณแห่งอาเซียน หาใช่เพลงที่เฉพาะเจาะจงสำหรับประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น หาไม่แล้วอนาคตของประชาคมอาเซียนอาจจะไกลเสียยิ่งกว่าความฝัน 000 Kita Bisa แต่ง โยฟี วีเดียนโต ฉบับแปลภาษาไทยแบบไม่เป็นทางการโดย อรอนงค์ ทิพย์พิมล Wae wa e o, wae wa e o Aku di sini kau di sana, tak menghalangi jiwa kita Dalam hangatnya sang mentari satukan jiwa dan hati Berpegang tangan dalam mimpi yang sama Dan tunjukkan kepada dunia Kita bisa, kita pasti bisa Kita akan raih bintang-bintang Kita bisa jadi yang terdepan Bersatu bersama dalam satu irama Terbang meraih kejayaan, kita bisa! Wae wa e o, wae wa e o, Menang kalah bukan masalah Persahabatanlah yang terhebat Senyuman hangat takkan terlupakan Dan tunjukkan kepada dunia Kita bisa, kita pasti bias Kita akan raih bintang-bintang Kita bisa jadi yang terdepan Bersatu bersama dalam satu irama Terbang meraih kejayaan, kita bisa! Kita bisa, kita pasti bias Kita akan raih bintang-bintang Kita bisa, kita pasti bisa Kita bisa jadi yang terdepan Kita bisa, kita pasti bias Kita akan raih bintang-bintang Kita bisa jadi yang terdepan Bersatu bersama dalam satu irama Terbang meraih kejayaan, kita bisa! Kita pasti bisa, kita akan raih bintang-bintang Kita bisa jadi yang terdepan Bersatu bersama dalam satu irama Terbang meraih kejayaan, kita bisa! Wae wa e o, wae wa e o
เรียบเรียงจาก 1. “'Kita Bisa' Yovie Jadi Official Song SEA Games XXVI (‘Kita Bisa’ ของโยฟีเป็นเพลงกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 26 อย่างเป็นทางการ) เข้าถึงได้ที่ http://www.bola.net/olahraga_lain_lain/kita-bisa-yovie-jadi-official-song-sea-games-xxvi-7394ba.html 2. “Yovie Widianto: Ini Kesempatan Kita (โยฟี วีเดียนโต: นี่คือโอกาสของพวกเรา)” เข้าถึงได้ที่ http://www.tabloidnova.com/Nova/Tips/Yovie-Widianto-Ini-Kesempatan-Kita 3. “Yovie Widianto Dukung Indonesia Lewat Lagu (โยฟี วีเดียนโตสนับสนุนอินโดนีเซียผ่านเพลง)” เข้าถึงได้ที่ http://entertainment.bisnis-on-line.info/?p=1207 4. Yovie Widianto Dukung Indonesia (โยฟี วีเดียนโตสนับสนุนอินโดนีเซีย) เข้าถึงได้ที่ http://www.analisadaily.com/news/read/2011/10/18/17708/yovie_widianto_dukung_indonesia/#.TsH6KVbtjIM สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
นักลงทุนรายย่อยบังคลาเทศประท้วงรัฐบาล หลังหุ้นร่วง Posted: 15 Nov 2011 01:43 AM PST ประท้วง "ไม่ต้านทุนนิยม" เมื่อ "คนเล่นหุ้น-นักลงทุนรายย่อย" บังคลาเทศประท้วง รมว.คลัง และ ก.ล.ต. รับผิดชอบต่อเหตุการณ์หุ้นร่วงจมดิ่งในวันเดียว แมลงเม่าเล่นกับไฟ? "คนเล่นหุ้น-นักลงทุนรายย่อย" บังคลาเทศประท้วงให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อเหตุการณ์หุ้นร่วงจมดิ่งในวันเดียว (ที่มาภาพ: bdnews24.com) ความเคลื่อนไหวในความขัดแย้งบนท้องถนนและการกดดันรัฐบาลทั่วโลกไม่ได้มีแค่ฝ่ายนักกิจกรรมต่อต้านระบบทุนนิยมตามกระแส Occupy ตามที่ต่างๆ เท่านั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 54 ที่ผ่านมา bdnews24.com รายงานว่าคนเล่นหุ้น-นักลงทุนรายย่อยชาวบังคลาเทศหลายร้อยคน ได้รวมตัวกันประท้วงกลางกรุงธากาเพื่อกดดันให้รัฐบาลแสดงรับผิดชอบหลังดัชนีตลาดหลักทรัพย์ศรีลังการ่วงลงอย่างน่าใจหายในวันเดียว โดยดัชนี DGEN ลดลง 164.71 จุดหรือ 3.26% ปิดที่ 4,877.52 จุด หลังจากนั้นผู้ชุมนุมได้รวมตัวกันที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของบังคลาเทศ (ก.ล.ต.) ชูป้ายข้อความประท้วงโจมตีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ ก.ล.ต. ให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาดัชนี DGEN ของตลาดหลักทรัพย์บังคลาเทศ ทรุดลงไปแล้วเกือบ 50% ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ตรงกันข้ามกับปี ค.ศ. 2010 ที่ตลาดหุ้นของบังคลาเทศมีอัตราซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 80% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (11 ม.ค. 2011) ก็มีการประท้วงในลักษณะเดียวกัน หลังจากที่หุ้นตกลงถึง 660 จุดหรือ 9.25% ภายในระยะเวลาเพียง 54 นาที ทำให้นักลงทุนรายย่อยหลายหมื่นคนได้รับความเสียหายหมดเนื้อหมดตัวไปหลายราย โดยการชุมนุมครั้งนั้นตำรวจได้ใช้กระบองเข้าสลายฝูงชนด้วย ทั้งนี้ Wall Street Journal ได้วิเคราะห์ไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าตลาดหุ้นของบังคลาเทศ กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ (อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, อินเดีย และประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกา) หลังจากที่เคยร้อนแรงอย่างต่อเนื่องในปี ค.ศ. 2010 เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างหนีมาจากตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมาพึ่งพาตลาดเกิดใหม่ แต่ปัจจุบันตลาดเกิดใหม่เหล่านี้กำลังเผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ, คุมเข้มนโยบายด้านการเงินของรัฐบาล และเหตุประท้วงทางการเมือง อนึ่งบังคลาเทศยังคงเป็นประเทศยากจนที่มีการประท้วงของคนจนและกลุ่มการเมืองต่างๆ มากมาย เช่น กลุ่มแรงงานค่าจ้างต่ำที่มีการประท้วงบ่อยครั้ง รวมถึงพรรคฝ่ายค้านที่ได้รณรงค์ประท้วงด้วยการระดมขบวนรถกว่า 3,000 คันขับไปทั่วประเทศเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลบริหารงานผิดพลาดไม่สามารถแก้ปัญหาราคาอาหารที่พุ่งสูงและมีการคอรัปชัน ทั้งนี้การเลือกตั้งทั่วไปของบังคลาเทศ (หากไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นก่อน) ได้กำหนดให้มีการจัดขึ้นในช่วงต้นปี ค.ศ. 2014 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
ซีเรียยังลงแข่ง 'อาหรับเกมส์' ได้ แม้โดนสันนิบาตอาหรับอัปเปหิ Posted: 15 Nov 2011 01:11 AM PST เหตุรุนแรงในซีเรียทำให้กลุ่มสันนิบาตอาหรับลงมติระงับสิทธิซีเรียส่งตัวแทนประชุมสันนิบาต อย่างไรก็ตามซีเรียยังสามารถส่งนักกีฬาเข้าร่วมงานมหกรรมกีฬาของโลกอาหรับในช่วงเดือน ธ.ค. นี้ได้ ด้านพระราชาจอร์แดนทรงมีดำรัสให้ประธานาธิบดีซีเรียลงจากตำแหน่ง เหตุรุนแรงในซีเรียทำให้กลุ่มสันนิบาตอาหรับลงมติระงับสิทธิซีเรียส่งตัวแทน ประชุมสันนิบาต อย่างไรก็ตามซีเรียยังสามารถส่งนักกีฬาเข้าร่วมงานมหกรรมกีฬาของโลกอาหรับใน ช่วงเดือน ธ.ค. นี้ได้ พระราชาอับดุลลาของจอร์แดนทรงมีดำรัสให้ประธานาธิบดีซีเรียลงจากตำแหน่ง ฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มต่อต้านปะทะกันที่เมืองฮอม จนถูกเรียกว่าเป็น"เขตหายนะทางมนุษยธรรม" พระราชาอับดุลลาของจอร์แดนเรี เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา พระราชาจอร์แดนได้ทรงให้สั เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจอร์ นักข่าวอัลจาซีร่าในกรุงอั ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานอี ฟาวัซ เกอเกส ผู้อำนวยการศูนย์ตะวั "คำกล่าวของพระราชาอับดุลลาสร้ ซีเรียยังคงลงแข่ง 'อาหรับเกมส์' แม้โดนกลุ่มสันนิบาตชาติอาหรั เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีของกาตาร์ประกาศว่ ทางสันนิบาตชาติอาหรับยังได้เรี ยูเซฟ อาห์มัด ตัวแทนของซีเรียในการประชุมสั อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จัดแข่ มหกรรมกีฬาอาหรับเกมส์เป็ อับดุลลา อัล-มุลลา รักษาการประธานฝ่ายพิธี ขณะเดียวกันการปะทะกันระหว่
ที่มา: 'Syria will take part in Arab Games' , Aljazeera, 13-11-2011 Jordan's king urges Assad to step down, Aljazeera, 15-11-2011 ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
SIU: กสทช.–กรีนเวฟ เมื่อ “ความถูกต้อง” ไม่สอดคล้องกับ “ความถูกใจ” Posted: 15 Nov 2011 12:44 AM PST กลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อที่ประชุม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีมติเรียกคืนคลื่นวิทยุ 9 สถานีในกรรมสิทธิ์ พร้อมเดินหน้าจัดทำแผนแม่บทฯ คาดแล้วเสร็จต้นปี 2555 โดยหนึ่งในคลื่นที่ถูกเรียกคืนเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ก็คือ “กรีนเวฟ” 106.5 MHz ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าดีเจ กลุ่มผู้ที่ได้รับประโยชน์ สปอนเซอร์ รวมไปถึงกลุ่มแฟนเพลงที่ติดตาม จนเกิดปรากฏการณ์การรวมตัวเรียกร้องเพื่อคลื่นที่เขารัก (ที่จริง F.M.อีกคลื่นที่ถูกเรียกคืนก็คือ Good F.M. 98.5 MHz แต่ไม่มีกระแสกดดันทางสังคมเช่นนี้)
กสทช.กับหน้าที่และภารกิจในการจัดสรรคลื่นความถี่ หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯคณะ กสทช. ทั้ง 11 คนเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย หนึ่งในภารกิจที่นอกจากการจัดประมูล 3G และการปรับโทรทัศน์ให้ไปสู่ระบบดิจิทัลแล้ว ก็คือเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ของวิทยุกระจายเสียง (รายละเอียดเกี่ยวกับ กสทช. ดู ที่นี่) มติดังกล่าวถือว่าสอดคล้องกับข้อปฏิบัติกฎหมายที่ กสทช. ต้องเรียกคืนคลื่นความถี่ หลังจัดตั้งหน่วยงานแล้ว โดยนำร่องเรียกคืนสถานีวิทยุดังกล่าว เนื่องจากเป็นสถานีวิทยุที่อยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์เดิมของกรมไปรษณีย์โทรเลข ก่อนจะรับโอนมายังหน่วยงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เดิม และ กสทช. ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และโทรทัศน์ (กสท.) ไปหารือเพิ่มเติมว่าจะบริหารจัดการคลื่นวิทยุที่เรียกคืนนี้อย่างไรต่อไป โดยแนวทางหลักจะต้องนำมาใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นต้น (ซึ่ง กสท. เป็นคณะกรรมการย่อยของ กสทช.)
หากพูดให้ถูกต้อง กสทช. นั้นดำเนินบทบาทหน้าที่ของตัวเองถูกต้องตามกฏหมาย จากนี้งานของ กสทช.ก็คือการจัดทำแผนแม่บทในการจัดการบริหารและใช้ประโยชน์คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหมดที่เอกชนรายใดทำสัญญาไว้กับองค์กรเจ้าของคลื่นเดิมก่อนการเกิด กสทช. ก็สามารถดำเนินกิจการได้ต่อไป จนครบอายุสัญญา แต่ไม่สามารถทำสัญญาใดๆ ได้อีกต่อไป เมื่อครบอายุสัญญาก็ต้องส่งคลื่นคืนไปให้กับกสทช. เพื่อจัดสรรใหม่ กรีนเวฟ ก็ไม่ได้รับการยกเว้นเพราะอยู่บนคลื่นของวิทยุในเครือ 1 ปณ. ของกรมไปรณีย์โทรเลข (เดิม) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ กสทช. ดังนั้นจึงสามารถนำมาจัดสรรได้ก่อนโดยไม่ต้องรอแผนแม่บท ทำให้การจัดสรรและเรียกคืนเพื่อจัดสรรใหม่ย่อมทำได้ หลักการนี้เป็นไปตามโมเดลตลาดแข่งขันมากราย เมื่อคลื่นถูกเรียกคืนก็จะถูกกระจายให้กับเจ้าของสถานีวิทยุที่มีความหลากหลายมากขึ้นรายเล็กรายน้อยก็มีสิทธิเข้าถึงคลื่นความถี่มากขึ้น เปลี่ยนจากระบบสัมปทานสู่ระบบใบอนุญาต นี่คือสิ่งที่ดีกว่าระบบสัมปทานคลื่นความถี่ที่ถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ธรรมชาติของระบบสัมปทานคือการเสนอผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่มีสิทธิออกสัมปทาน จ่ายค่าเช่ารายเดือนตามที่ตกลง และมีระยะเวลาการทำสัญญาที่ค่อนข้างยาวและผูกขาด ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเปิดโอกาสให้มีการทุจริตได้มากกว่า โดยใช้ความสนิทหรือผลประโยชน์พิเศษเพื่อให้ได้สัมปทานในราคาที่ถูกลง และไปจ่าย “ใต้โต๊ะ” ให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแทน แทนที่หน่วยงานที่ให้สัมปทานจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามหลักเศรษฐศาสตร์เราเรียกสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์นี้ว่า “การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ” (rent seeking) โดยกลไกที่เอื้อต่อการผูกขาด ซึ่งส่วนต่างที่รัฐจะต้องสูญเสียไปตกอยู่ในมือผู้ได้รับสัมประทาน และผู้ที่มีอำนาจในการให้สัมปทานแทน กรีนเวฟ – เอไทม์ แรงกระเพื่อมที่มากับการเปลี่ยนแปลง เอไทม์ มีเดีย บริษัทสื่อวิทยุในเครือสื่อยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่มีวิทยุทั้งหมด 4 คลื่น คือ Chill F.M.89, Hot F.M. 91.5, EFM 94 และ Green Wave 106.5 โดยสามคลื่นที่เหลือใช้คลื่นสัญญาณของกองทัพบกซึ่ง กสทช. ยังไม่สามารถเข้าไปจัดระเบียบได้ในขณะนี้ กรีนเวฟเองมีกลุ่มคนฟังส่วนใหญ่คือกลุ่มคนที่ชอบเพลงแนวสบายๆ อีซีลิสเทนนิ่ง มีภาพลักษณ์ของคลื่นรักสิ่งแวดล้อม มองโลกสวยงาม มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ เป็นกันเอง และเหมือนครอบครัว โดยเฉพาะช่วง “คลับฟรายเดย์” ซึ่งเปรียบเสมือนไฮไลท์ทุกๆ วันศุกร์เย็นๆ ค่ำๆ กับ 2 ดีเจผู้บริหาร ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ที่ปรึกษาหัวใจ” ดีเจพี่ฉอด – สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา และดีเจพี่อ้อย – นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ซึ่งแฟนๆ หลายคนนับถือเสมือนครอบครัว นอกจากนั้นก็ยังมีดีเจชื่อดังอื่นๆ อีกหลายท่าน เมื่อ กสทช. มีคำสั่งให้คืนคลื่นเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ในสิ้นปี ปฏิกิริยาจากกลุ่มดีเจกรีนเวฟนั้นค่อนข้างสะเทือนพอสมควร ดีเจพี่ฉอดให้สัมภาษณ์ว่า “ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเรื่องเป็นราวที่จะเรียกเรา เข้าไปคุยเลยค่ะ ไม่มีอะไรทั้งสิ้นค่ะ มีแต่เพียงข่าวที่ออกมา จริงๆ ต้องเรียนว่ายังไม่อยากออกมาพูดอะไร มันเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน ควรจะเป็นเรื่องของการหารือระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงานทางภาครัฐกับเราก่อน จะออกไปสู่สื่อ” (ดูรายละเอียด ที่นี่) ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่คนระดับผู้บริหารจะไม่รู้จริงหรือไม่?
หลังจากที่มีคำสั่งออกมาจาก กสทช. แฟนๆ หลายคนเริ่มรวมกลุ่มกันเพื่อคลื่นวิทยุที่เขารัก แต่ดูเหมือนความปรารถนาดีจะถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะกลุ่มเหล่าดีเจที่กำลังใช้กระบวนการกดดันทางสังคมผ่านแฟนๆ เพื่อส่งแรงกระเพื่อมไปถึง กสทช. ทั้งการทวิตโดยใช้แท็ก #welovegreenwave หรือการแสดงความเห็นผ่านหน้าเพจของกรีนเวฟ รวมไปถึงการตั้งกลุ่มคนที่สนับสนุนกรีนเวฟไม่อยากให้โดนยึด อยากเตือนสติว่าการแสดงความรู้สึกได้แต่ทำได้ในขอบเขต อย่าให้เป็นการแสดงออกที่เหมือนว่ากฎหมู่จะต้องอยู่เหนือกฎหมาย ดีเจพี่อ้อย ออกมาทวิตผ่าน @djpeeaoy “ประชุมแล้ว สรุปว่า เราบ๊ายบายกรีนเวฟ 31 ธค.นี้จ้ะ กสทช.ขอยึดไปทำคลื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แปลว่าที่ผ่าน คลื่นเราทำอะไรหรือ” เรื่องนี้ถือว่าเป็นการสร้างความเข้าใจที่ค่อนข้างคลาดเคลื่อน สิ่งที่ กสทช.กระทำคือการนำคลื่นความถี่คืนเพื่อจัดสรรใหม่เพื่อสาธารณะประโยชน์ กสทช.ไม่ได้เห็นว่าคลื่นกรีนเวฟไม่มีประโยชน์ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเนื้อหาแต่เป็นเรื่องระเบียบการ โดย กสทช.ก็ไม่ได้นำคลื่นไปใช้เองเพื่อประโยชน์ กสทช. และแผนการจัดสรรฉบับใหม่มีการพูดถึงสัดส่วนเนื้อหาที่นำไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น คลื่นธรรมะ คลื่นเพื่อการช่วยเหลือป้องกันภัย เป็นต้น ที่โดยปรกติคลื่นเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้เท่ากับทุนใหญ่ หรือการที่ดีเจโอปอล์ ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ทวิตว่า “ถ้า "กรีนเวฟ" หายไป…คำว่า "ทำดีได้ดี" อาจพิสูจน์ได้ว่า "ไม่จริง" เสมอไปสินะ…T___T” สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนภาพความคิดแบบไทยๆ ที่ว่าถ้าเราทำดี เราก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะผลดีจะส่งถึงเราเอง ซึ่งมันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปเพราะสิ่งต่างยังต้องพึ่งพิงกับกฏกติกาสากลด้วย และเชื่อว่าถ้าเป็นคลื่นที่เป็นสาธารณะประโยชน์มากกว่า เช่น จส.100 หรือ สวพ.91 หากอยู่ในกำกับของ กสทช. ก็คงต้องดำเนินการแบบนี้ต่อไป แน่นอนว่าหลายๆ คนย่อมเห็นว่ากรีนเวฟเป็นคลื่นที่ดี แต่กฎก็ย่อมเป็นกฎ (น่าสนใจว่าตอนที่ คลื่นร่วมด้วยช่วยกัน คลื่นเพื่อสาธารณะประโยชน์หายไปจากหน้าปัด 2 ปี ก็ไม่มีกระแสกดดันใดๆไปถึงคณะทำงาน)
ดังนั้นที่แฟนๆ บางท่านบอกว่าทำไมคลื่นที่เปิดเพลงไร้สาระ เล่นเกมส์ หรือทะลึ่งตึงตังถึงไม่ถูกยึดคืน ก็ต้องทำความเข้าใจว่าไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาแต่อยู่ที่ขอบเขตการรับผิดชอบ แต่ถ้าหากมีการจัดทำแผนแม่บทเสร็จก็อาจจะมีการเรียกคืนได้ ดังนั้นเรื่องที่ดีเจอั๋น ภูวนาท คุณผลิน ทวิตฯว่า “ถามมาเรื่องกรีนเวฟถูกยึดคลื่นคืนเป็นไง ขอถามกลับว่านั่นสิ!!!กสทช.จะมาจัดสรรให้สื่อเท่าเทียมกันไม่ใช่รึแล้วทำไม ไม่ทำอย่างเท่าเทียม แปลก” ก็ตอบได้ด้วยกรณีเดียวกัน เป็นเรื่องปรกติที่ผู้ผิดหวังจะต้องแสดงออกซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่สิ่งที่ไม่สมควรคือการที่ ดีเจเอกกี้ - เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ์ ออกมาขุดคุ้ยข่าวของคณะกรรมการ กสทช.บางท่าน เพื่อลดความชอบธรรมในอำนาจนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง จนมีแฟนๆ หลายคนทวิตข้อความไปถึง น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งในคณะกรรมการกสทช. ในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแง่ลบ อันที่จริงกรีนเวฟยังมีช่องทางในการสื่อสารอีกทางนั่นคือ ช่องสถานีโทรทัศน์ Green Channel ทางเคเบิลทีวี ซึ่งหากดูอัตราการเติบโตของโทรทัศน์ดาวเทียมในรอบ 2 – 3 ปีนั้นเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่สิ่งที่ยังมีมูลค่าเทียบไม่ได้กับวิทยุนั่นก็คืออัตราการโฆษณา ดีเจพี่ฉอดให้สัมภาษณ์ถึงกรณีโฆษณาว่า “ความเสียหายตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นลูกค้าถอนโฆษณาอะไร แต่มันสูญเสียสิ่งที่เราดูแลกันมาตลอด ที่ผ่านมาฉอด เอ-ไทม์ มีเดีย หรือแม้แต่กรีนเวฟเองเราไม่เคยที่จะไม่ดูแลในเรื่องของความน่าเชื่อถือที่ลูกค้ามีต่อเรา เพราะฉะนั้นเมื่อลูกค้าถามมาว่าหมดสัญญาแล้วทำไมไม่บอก ความจริงแล้วมันไม่ได้หมดไงคะ เลยต้องไล่แก้และชี้แจง” ที่น่าจะเป็นประเด็นความเดือดร้อนแท้จริงมากกว่า ซึ่งประเด็นโฆษณานั้นคู่สัญญาคือสถานีและเอเยนซี่โฆษณาจำเป็นต้องตกลงไกล่เกลี่ยกันเอง แต่ดูเหมือนสารที่ถูกส่งออกไปจะมีลักษณะว่า “ต่อไปนี้จะไม่มีคลื่นกรีนเวฟแล้ว” ซึ่งในข้อเท็จจริงก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก คือถ้าหากกรีนเวฟสามารถชนะการประมูลและสามารถกลับมาจัดรายการได้ดังเดิม ก็ปราศจากข้อกังขาใดๆ หรือการให้ความเห็นของดีเจพี่ฉอดประมาณว่า กสทช.จะยึดคลื่นกลับไปทำไม ในเมื่อก็ไม่สามารถจัดรายการได้เอง ถูก! ที่กสทช.ไม่สามารถจัดรายการได้เอง แต่ก็ถูกมากกว่าว่า กสทช.นั้นมีอำนาจหน้าที่ในการจัดสรรคลื่นความถี่ แต่ปัญหาคือเพราะเหตุใดจึงไม่เชื่อในการจัดสรรที่ทุกคนจะต้องกลับไปนับหนึ่งเหมือนทุกๆ คลื่นที่เขากำลังรอประมูลอยู่ หรือว่ากรีนเวฟจะต้องรับสิทธิพิเศษอย่างไร ที่จะต้องมีสองมาตรฐานที่แตกต่างกันจากคลื่นอื่นๆ ? ข้อสรุปในเรื่องนี้อาจจะต้องติดตามต่อกันอย่างเร็วที่สุดก็ถึงสิ้นปีนี้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนความรู้สึกที่บางครั้งทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจ หรือจะทำในสิ่งที่ถูกใจก็ไม่ถูกต้องมากนัก ขอให้กำลังใจคณะกรรมการ กสทช. ที่เริ่มทำงานทันทีและเชื่อว่าหลังจากครั้งนี้จะต้องเจอกับแรงเสียดทานอีกหลายๆ กรณี และต้องทำหน้าที่ซื่อตรงสมกับที่ประชาชนได้ฝากความหวังไว้โดยหวังว่าจะไม่มีการผ่อนปรนกับกรณีไหนเป็นพิเศษ และรีบจัดทำแผนแม่บทให้เสร็จภายในเร็ววัน ขอให้กำลังใจแฟนๆ กรีนเวฟและครอบครัวคลับฟรายเดย์ทุกคน ขอให้คลื่นวิทยุที่คุณรักได้ต่อสัญญาผ่านวิธีการใหม่ที่ถูกต้อง เมื่อถึงเวลานั้นแฟนก็จะได้สบายใจ แต่ถ้าหากไม่ได้รับการต่อใบอนุญาตก็อยากให้ทำใจเพราะทุกอย่างล้วนเป็นวัฏจักร คลื่นวิทยุระดับตำนานอย่าง ไพเร็ท ร็อก หรือ สไมล์ เรดิโอ (รายหลังนี้ถูกทางเอไทม์เข้ามายึดคลื่นต่อ) ก็ย่อมมีวันอำลาแฟนๆ ไป ก่อนที่จะมีดีเจพี่อ้อยและดีเจพี่ฉอด ทุกคนก็ยังคงมีความรัก แอบรัก สมหวัง ผิดหวัง ฯลฯ เพราะเป็นความรู้สึกทั่วไปของคนเลือกเก็บความรู้สึกดีๆ ไว้ หากไม่มีก็ต้องอยู่ได้ (เห็นแฟนๆ หลายท่านฟูมฟายว่าจะขับรถกลับบ้านอย่างไรถ้าไม่มีกรีนเวฟ ก็ขอแนะนำว่าให้จับพวงมาลัยแน่นๆ อย่าฝ่าไฟแดง ระวังถนนลื่น รับรองกลับบ้านปลอดภัย!) และก็ขอให้กำลังใจคลื่นดีๆ สีเขียวอย่างกรีนเวฟ ถ้าหากได้รับใบอนุญาตตามกลไกที่ถูกต้องเท่าเทียมกับคลื่นอื่นๆ ที่กำลังรอการจัดสรรคลื่นความถี่ที่จะเปิดโอกาสไม่ให้เกิดการผูกขาด ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีคลื่นดีๆ คู่สังคมไทย แต่ถ้าไม่ได้รับการต่อก็อยากจะขอให้ทบทวนคำที่เคยพร่ำสอนให้กำลังใจแฟนๆ ว่าให้คิดบวก มีความสุขกับชีวิต มีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และพอใจในสิ่งที่มี อยากให้เอาคำเหล่านี้มาสอนใจทีมงานและเหล่าดีเจ และขอให้ทำอย่างพี่พูดให้ได้ เพราะถ้าหากไม่ได้รับการต่อสัญญาและแสดงออกในแง่ไม่ดี คำพูดที่เคยพร่ำสอนคนอื่นก็คงไม่มีความหมายหากเหล่าดีเจพูดออกไปในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเชื่อถือ!! สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||
พ.อ.นที ทวีตแจงกรณีเรียกคืนคลื่น 1 ปณ. ยันไม่เลือกปฏิบัติ Posted: 14 Nov 2011 11:44 PM PST (15 พ.ย.54) เวลาประมาณ 14.00น. พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทวีตผ่าน @DrNatee39G ชี้แจงกรณี กสทช.มีมติระงับการต่อสัญญาสถานีวิทยุ 1 ปณ. ซึ่งมีคลื่นวิทยุกรีนเวฟรวมอยู่ด้วยและนำมาซึ่งความไม่พอใจของผู้จัดและผู้ฟังบางส่วน จนเกิดการโต้ตอบและกดดันกันผ่านทางโซเซียลมีเดีย (ดู #welovegreenwave) มีเนื้อหาดังนี้ ----- สวัสดีครับทุกท่าน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดตามกรณีสถานีวิทยุ 1 ปณ. คลื่นกรีนเวฟ #welovegreenwave ทุกคน cc @supinya @djpchod กระแสข่าวในห้วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาในกรณีของสถานีวิทยุ 1 ปณ.อาจทำให้เกิดความสับสนจากการสื่อสารที่เข้มข้นและกระแสของผู้ที่รักกรีนเวฟทุกคน การทำงานขององค์กรกำกับดูแลคือ กสทช.จำเป็นต้องดำเนินการด้วยความเปิดเผยตรงไปตรงมาตรวจสอบได้โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับ กสทช.เอง กรณีสถานีวิทยุกระจายเสียง 1 ปณ. ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงาน กสทช. ตกทอดมาตั้งแต่กรมไปรษณีย์โทรเลขจนกระทั่งเป็น กสทช. จึงมีความสำคัญยิ่ง ในข้อเท็จจริงแล้วการปฏิรูปสื่อและการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบใหม่ที่มีความเป็นธรรมกับทุกคนทุกภาคส่วนเป็นสิ่งสำคัญเป็นหัวใจของความพยายามมีกสทช. กสทช. เป็นองค์กรอิสระ มีกรรมการชุดเล็ก 2 ชุด คือ กทค. รับผิดชอบด้านกิจการโทรคมนาคม และ กสท. รับผิดชอบในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หลังจากมีรัฐธรรมนูญปี 40 เวลา 14 ปี กสท.ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์จึงได้มีโอกาสมีตัวตนอย่างแท้จริง ในห้วง14 ปีที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูปสื่อตามเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่เคยเกิดขึ้นเนื่องจากเรายังไม่เคยสามารถจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลได้ ผมคิดว่าการสามารถจัดตั้ง กสทช.ได้สำเร็จนับว่าเป็นความสำเร็จในเบื้องต้นของทุกคนที่เกี่ยวข้องในกิจการนี้หลังจากการรอคอยมาเป็นระยะเวลายาวนาน กฎหมายกำหนดว่า หลังจากจัดตั้ง กสทช. แล้ว จะต้องสร้างกระบวนการที่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สิ่งที่ต้องดำเนินการเป็นลำดับแรกก็คือจะต้องให้ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ในคลื่นความถี่มาแจ้งความจำเป็นการใช้คลื่นฯที่มีอย่างจำกัดในกิจการตนเอง ผู้ที่ถือครองกรรมสิทธิ์ในคลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียงจากอดีตจนปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานราชการ องค์กรของรัฐ รวมถึงสำนักงาน กสทช.ด้วย เมื่อมาแจ้งรายละเอียด ภารกิจ และความจำเป็น ในการใช้คลื่นความถี่เพื่อบริการสาธารณะตามภารกิจและความเหมาะสมของตนเองแล้ว กสทช. จะพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ให้ตามความเหมาะสม และความจำเป็นในการบริการสาธารณะของหน่วยงานเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นใบอนุญาตประเภทบริการสาธารณะซึ่งจะต้องเน้นการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนในภารกิจของหน่วยงานโดยไม่มุ่งแสวงหากำไรในทุกธุรกิจ กระบวนการไปสู่การออกใบอนุญาตดังกล่าวจำเป็นต้องเกิดขึ้นตามขั้นตอนที่เหมาะสมด้วยความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน ไม่กระทบต่อบริการสาธารณะ คณะกรรมการ กสท. ได้มีเจตนารมณ์ว่ากระบวนการดังกล่าวนั้น ควรมีกรอบระยะเวลาเร่งรัดที่ชัดเจน ต้องเร่งดำเนินการและควรมีรูปธรรมในระยะเวลา 1 ปี เมื่อ กสทช. ได้สร้างกระบวนการที่ชัดเจนต่อทุกหน่วยงานแล้ว หน่วยงานแรกที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆ คือ สำนักงาน กสทช. สนง. กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานทางธุรการของ กสทช. และมีคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงอยู่จำนวน 9 สถานีทั่ว ปท.เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ 1 ปณ. ในกระบวนการดังกล่าว 1 ปณ. ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งของรัฐที่จะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบใหม่เช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐอื่นๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนี้เนื่องจาก สนง. กสทช. เป็นหน่วยงานธุรการของ กสทช. เอง จึงจำเป็นต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและเข้าสู่กระบวนการก่อนหน่วยงานอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น กสท. จึงได้เสนอต่อ กสทช. ในการดำเนินการต่อกรณีของ 1 ปณ.ควรมีกระบวนการเช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ แต่ควรจะต้องมีรูปธรรมใน 6 เดือน ผมต้องขอขอบคุณ @Djpchod และทุกคนที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ข้อมูลต่างๆ กับผม และ @supinya เพื่อให้เราสร้างกระบวนการที่มีธรรมาภิบาลต่อทุกคน การเปลี่ยนผ่านเป็นเจตนารมณ์ที่เราทุกคนมุ่งไปสู่เป้าหมายแต่ก็คงต้องเป็นกระบวนการที่โปร่งใส เป็นธรรมโดยคำนึงถึงความจำเป็นของทุกภาคส่วนด้วย กสท. จะไม่ผลักหรือสร้างปัญหาให้กับใครคนใดคนหนึ่ง และไม่สร้างกระบวนการที่เป็นการเลือกปฏิบัติครับ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น