โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

รายงาน: เปิดบ้านหลังใหญ่ที่ชลบุรีของผู้ประสบภัยน้ำท่วม

Posted: 11 Nov 2011 11:05 AM PST

กว่าสามพันชีวิตในศูนย์พักพิงแห่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดชลบุรี พวกเขาอยู่อย่างไร สภาพชีวิตเป็นเช่นไร สภาพจิตใจยังไหวไหม การจัดการในบ้านหลังใหญ่เป็นอย่างไร  

 

น้ำมาแล้ว !

หลายคนอพยพไปหาที่พักตากอากาศต่างจังหวัด หลายคนไปอาศัยอยู่กับเพื่อนฝูง ญาติมิตร ใช้ชีวิตแบบเหงาๆ งงๆ ตามหัวเมืองแหล่งท่องเที่ยว แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่น้ำมาถึงก่อนใคร ท่วมลึกกว่าใครเพราะอยู่ชานกรุง ไม่มีทางเลือกเช่นนั้น พวกเขาต้องขนย้ายตัวเองและลูกหลานอย่างทุลักทุเล ไปอยู่บ้านหลังมหึมา พร้อมเพื่อนบ้านนับพันๆ คน 

ศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัยที่ สถาบันการพลศึกษาชลบุรี เป็นแหล่งใหญ่ที่เปิดรองรับผู้ประสบภัยน้ำท่วมมาตั้งแต่ 27 ต.ค. และรองรับประชาชนจากศูนย์พักพิงแหล่งอื่นที่จมน้ำไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดอนเมือง ธรรมศาสตร์ รังสิต บางเขน ฯ

ณ วันที่ 10 พ.ย. สถาบันการพลศึกษาชลบุรี รองรับผู้ประสบภัยแล้ว 3,500 คน กระจายกันอยู่ตามอาคารต่างๆ ราว 10 อาคาร และหากรวมกับศูนย์พักพิงอื่นๆ ในจังหวัดชลบุรีอีกกว่าสิบแห่ง ก็จะมีผู้ประสบภัยถึง 8,052 คน

สภาพที่นอนที่วางเรียงรายในอาคารและเต๊นท์ที่กางอยู่เต็มพื้นที่รอบๆ ตึก เป็นภาพชินตาที่หลายคนเห็นบ่อยๆ จากทีวี อย่างไรก็ตาม การรองรับผู้คนหลายพันในสถาบันการพลศึกษามีการบริหารจัดการที่น่าสนใจ เพราะเปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี เข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการ ดูแลผู้ประสบภัย ที่กระจายอยู่ในอาคารต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ 300-700 คนในแต่ละอาคาร โดยมีตึกศูนย์อำนวยการเป็นศูนย์กลาง

การให้เทศบาล หรือ อบต. แต่ละแห่งแบ่งกันดูแลแต่ละอาคาร ทำให้การดูแลค่อนข้างทั่วถึง และแต่ละตึกก็จะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดแตกต่างกันไปแล้วแต่ผู้ดูแล

อาหารการกินที่นี่ไม่ได้ขาด มีหลายหน่วยงานคอยเข้ามาบริจาค จนต้องมีการจัดคิวเพื่อไม่ให้ชนกัน ส่วนงบประมาณนั้น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นเจ้าภาพหลัก แต่ดูเหมือนยังได้มาเพียงน้อยนิด ส่วนมากอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานนอกภาครัฐ และ อปท. แม้ว่า อปท.หลายพื้นที่จะกังวลการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแห่งชาติ (สตง.) เพราะตามกฎระเบียบแล้วท้องถิ่นไม่สามารถใช้งบประมาณในการช่วยเหลือนอกพื้นที่ได้ กระนั้น ก็มีความพยายามออกหนังสือจากกระทรวงมหาดไทยให้เข้ามาช่วยเหลือในส่วนนี้ได้

กอบชัย บุญอรณะ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ชลบุรี ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันได้งบประมาณจาก พม.แล้ว 4 ล้าน และกำลังจะได้มาอีก 6 ล้าน ขณะที่ค่าใช้จ่ายจริงๆ นั้นสูงกว่านั้นมาก อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดได้ของบประมาณกับรัฐบาลไปอีก 35 ล้าน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับ




ถัดจากศูนย์อำนวยการมีเต๊นท์ฝึกอาชีพให้กับผู้ประสบภัย
มีคนให้ความสนใจฝึกตัดผม นวดฝ่าเท้ากันไม่น้อย
นอกจากนี้ยังมีซุ้มให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ

====

อาคารยิม G อยู่ในความดูแลของเทศบาลเมืองแสนสุข อาคารนี้มีผู้พักพิงกว่า 400 คน มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้ประสบภัยแต่ละคนจะได้ฟูกคนละแผ่น มีหมอนและผ้าห่ม ส่วนทรัพย์สมบัติก็วางอยู่หัวนอน ส่วนมากจะเป็นตะกร้าผ้า ลังใส่ของ คนส่วนใหญ่หนีน้ำฉุกละหุก ไม่มีใครเอาได้เอาอะไรมามากนัก

เด็กๆ เล่นกันเจี๊ยวจ๊าว ผู้ปกครองเด็กๆ เล่าให้ฟังว่า เจ้าหน้าที่กำลังจะจัดกำลังครูมาสอนพิเศษให้เด็กๆ ที่ยังเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อที่เมื่อโรงเรียนเปิดหลังน้ำรด พวกเขาจะสามารถเรียนได้อย่างรวดเร็ว โดยทางศูนย์ฯ จะออกใบรับรองการเรียนให้ด้วย

ขณะที่เด็กหลายคนสนใจลงทะเบียนไปกับรถที่ทางศูนย์จัดไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ บางวันก็ไปทะเล บางวันไปไหว้พระ

สำหรับคนหนุ่มสาว พวกเขาสามารถหางานทำเป็นรายวันได้ เพราะสถานประกอบการ บริษัท ห้างร้าน จะมาเปิดโต๊ะลงทะเบียนรับสมัครงานอยู่ที่ศูนย์อำนวยการ กระนั้น ผู้ประสบภัยบางรายบอกว่า บริษัทส่วนใหญ่รับสมัครผู้ที่มีวุฒิการศึกษา และจำกัดอายุไม่เกิน 35 ปี ทำให้ป้าๆ ลุงๆ หรือแม่ยังสาวที่มีลูกต้องดูแล ถูกคัดออก

“เราเสนอกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วว่า อยากให้ช่วยหางานที่เอามาทำที่นี่ได้ พวกโอท็อป ดอกไม้ประดิษฐ์ หรืออะไรก็ได้ ที่นั่งทำอยู่นี้ พวกป้าๆ เขาก็อยากทำงาน นั่งเฉยๆ ทั้งวันมันก็เบื่อมันก็เครียด  ” ปวริศา ภูมิแก้ว คุณแม่ลูกสาวเล่า และว่าเจ้าหน้าที่รับปากจะเสนอในที่ประชุมแต่ยังไม่มีความคืบหน้า

ปวริศา อาศัยอยู่ย่านสายไหม เธอออกมาอยู่ศูนย์พักพิงที่ชลบุรีได้สองอาทิตย์แล้ว พร้อมลูก 3 คน วัย 3 ปี 9 ปี และ 11 ปีตามลำดับ โดยที่สามียังทำงานเป็น รปภ.อยู่ที่หมู่บ้านย่านสายไหมที่น้ำยังไม่ท่วม

“พอลูกเมียมาอยู่นี่แล้ว เขาก็สบายใจ ทำงานได้ เพราะคู่กะเขาน้ำท่วม ลากันหมด เหลือแต่เขานั่นแหละ”

แม้จะอยู่ในสภาวะยากลำบาก แต่ปวริศายืนยันว่าเธอไม่เครียด และสามารถทำใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ไม่ได้เครียดอะไร เดี๋ยวค่อยคิดหลังน้ำลด ชีวิตเราดูแลตัวเองมาตั้งแต่ 10 ขวบ แย่กว่านี้ก็เจอมาแล้ว ลูกก็อยู่ได้สบายเพราะเราเลี้ยงเขาให้อยู่ได้ทุกสถานการณ์” ว่าพลางหันมองลูกชายคนเล็กวัย 3 ปีที่นอนดูดนมอยู่บนฟูก

“แต่บางคนเขาก็เครียดมาก สองอาทิตย์แล้วยังทำใจไม่ได้เลย นั่งเหม่อลอย เห็นอย่างนั้นเราก็พยายามเข้าไปคุย คุยไปคุยมาเขาก็สบายใจขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุ”

 

ครอบครัวของปวริศา 4 ชีวิต นอนรวมกันบนฟูกสองผืน ด้านบนเป็นลังสมบัติส่วนตัว
แยกเป็นของลูกคนต่างๆ เพื่อจะได้เก็บขนมที่ได้รับแจกของใครของมัน ไม่ทะเลาะกัน
เธอว่า 4 คนนอนได้สบาย เพราะอยู่บ้านก็นอนเรียงกันใกล้ชิดอยู่แล้ว

ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ประกาศเสียงแข็งว่าใครเป็นประจำเดือน ไม่มีใครยกมือ บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่สาวพูดต่อว่ามีคนนำผ้าอนามัยใช้แล้วไปเสียบไว้ตรงก๊อกน้ำในห้องน้ำ พร้อมกับต่อว่าและเรียกร้องให้ทุกคนช่วยกันดูแลความสะอาดของส่วนรวม

“เรื่องมันเยอะ อยู่กันร้อยพ่อพันแม่ บางคนเขาก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย นึกจะทำอะไรทำ นึกจะทิ้งอะไรทิ้ง อย่างจัดเวรทำความสะอาดแถวตัวเองนี่ คนที่ทำก็หน้าเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนหน้า” ปวริศาหันมาอธิบาย

========

ป้าแจ๊ว หญิงวัยกลางคนร่างอวบ เสียงดัง นั่งสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆ อยู่ด้านหน้า เธอแต่งหน้า ใส่ขนตาปลอมเต็มยศดูสดใสเหมือนเสียงหัวเราะของเธอ

ป๊าแจ๊วแอนด์เดอะแก๊งค์อพยพมาจากลำลูกกา พวกเขาตั้งวงเล่าให้ฟังถึงสภาพน้ำท่วมที่มาเร็ว มาแรง และสูงถึงคอภายในครึ่งวันอย่างออกรส โดยเฉพาะป๊าแจ๊วซึ่งเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่ต้องเดินลุยน้ำเท่าอกจูงเรือไปรับคนป่วย คนแก่ในซอยจนนาทีสุดท้าย ก่อนจะย้ายมาศูนย์พักพิง เธอว่าน้ำพุ่งออกตามท่อในบ้านชนิดที่เอาถุงทรายวางทับยังไม่อยู่

ชาวบ้านแถบนั้นอพยพตัวเองออกมาอย่างทุลักทุเล ไม่นึกว่าน้ำจะมาเยอะและมาเร็วเท่านี้ พวกเขาออกมานั่งอยู่บนเกาะกลางถนนนับพันคนเพื่อรอรถมารับหนีน้ำ น้ำ อาหาร ต้องขอเอาจากคนที่ขับรถใหญ่ผ่าน ป้าแจ๊วว่าเธอรอตั้งแต่เที่ยงจนเย็นว่าจะได้รถทหารมาขนคน และเดินทางไปขึ้นรถต่อที่คลอง 7 ระยะทาง 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่า และกว่าจะเดินทางถึงชลบุรีก็ 4 ทุ่มกว่า

“มันสุดๆ เลยจิงๆ จะว่าสนุกมันก็สนุกนะอีตอนนั้น ตอนนี้พูดได้แล้ว แต่ตอนมานี่ใหม่ๆ ไม่อาบน้ำเลย 3 วันใส่ชุดเดิม เครียดมาก นั่งอยู่อย่างนั้นแหละ ใครมาพูดด้วยก็ไม่พูด ใครยุ่งมากแม่พาลด่าหมด หลังๆ เริ่มมีเพื่อน คุยกันได้เฮฮา”

“สภาพจิตใจตอนนี้จะให้ดีเลย มันคงไม่ได้ ยังไงมันก็ไม่ใช่บ้านเรา แต่ก็ดีฝ่าตอนแรกๆ มาก” ป๊าแจ๊วว่า “แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณคนชลบุรี”

ป้าแจ๊วหอบลูกหลานมาอยู่ทั้งหมด 6 คน ส่วนเพื่อนป้าแจ๊วบางคนที่มาจากชุมชนเดียวกัน เจอหมาตัวเล็กติดอยู่บนหลังคา ไม่รู้ของใครทิ้งไว้ ก็เก็บมาอยู่ที่นี่ด้วย เพราะที่นี่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงมาพักด้วยได้ แต่เจ้าของจะต้องกางเต๊นท์นอนข้างนอก

ป้าแจ๊วว่า ในวันที่หนีน้ำออกมา คนในชุมชนโดนไฟดูดเสียชีวิตไป 3 คน เนื่องจากไปจับสื่อกลางที่เป็นเหล็กขณะอยู่ในน้ำ ขณะที่แม่บ้านลำลูกกาอีกคนบอกว่าซอยของเธอก็มีคนถูกไฟดูดเสียชีวิตยกครัว พ่อ แม่ ลูก

======

อารีย์ อ่วมนับถือ อาศัยอยู่ย่านดอนเมือง อาชีพรับจ้างซักรีด พาหลานๆ 3 คนและพ่อชรามาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ส่วนพี่สาวของเธออยู่อีกอาคารหนึ่งกับน้องชายที่เป็นอัมพฤกษ์

“น้ำมาตอนยังไม่สิ้นเดือน เขายังไม่จ่ายค่าซักผ้า ออกมาเลยไม่มีเงินติดตัวมาเลย ปกติจะได้เดือนละหกเจ็ดพัน มันเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่มันมากสำหรับเรา ไหนจากทรัพย์สินเราอีก เครื่องซักผ้าไปหมด” อารีย์เล่า

สิ่งที่สะเทือนใจเธอมากที่สุดคือวันหนีน้ำ เธอบอกว่าได้โทรแจ้งหลายหน่วยให้เข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายน้องชายที่นอนขยับไม่ได้บนเตียงนอน ทั้ง ศปภ. สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง และเอ็นจีโออีกแห่งหนึ่ง ทุกหน่วยงานรับปาก แต่ไม่มีใครมา 

“ส.ส.ดอนเมืองก็ไม่มีมามอง เรารอหน่วยงานที่รับปากตั้งแต่เช้าจนหกโมงเย็น ก็ไม่มีใครมา สุดท้ายโทรบอกว่ารถเสีย เรือเสีย สุดท้ายพี่สาวลุยน้ำมาวัดดอน หาตามทหารไปช่วยน้อง เหลืออีกนิดเดียวน้ำจะถึงเตียงนอนเขาแล้ว”

“สำนักนายกฯ ทุกวันนี้เขาก็โทรมาขอโทษ วันนั้นเราโกรธมาก เราเสียใจ เพราะเรามีความหวังกับเขา แต่ตอนนี้เราพอทำใจได้ก็เข้าใจ”

อารีย์เล่าต่อว่าเมื่ออพยพไปถึงวัดดอน พวกเขากลับพบเจ้าหน้าที่เขตดอนเมืองที่นั่นที่คอยบอกว่าให้ย้ายไปที่อื่น เพราะที่นี่ไม่ให้ศูนย์อพยพ ชาวบ้านพยายามขอร้องเพราะน้ำท่วมสูงล้อมไว้หมด หลายคนถึงกับร้องไห้ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอม ชาวบ้านจึงยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมเช่นกัน ท้ายที่สุด พระที่วัดต้องออกหาเรี่ยไรเงินมาหุงหาอาหารเลี้ยงผู้อพยพฉุกเฉินนับร้อย

สำหรับสภาพความเป็นอยู่ที่นี่ เธอว่าค่อนข้างดี มีบริการตั้งพัดลมตัวใหญ่หลายจุด มีทีวีให้ดู ที่สำคัญ มีเครื่องซักผ้าไว้บริการอีก 3 เครื่อง พร้อมผงซักฟอก

“ดีมากเลย แต่เห็นแล้วคิดถึงเครื่องซักผ้าที่บ้าน” เธอกล่าวทิ้งท้ายพร้อมหัวเราะขื่นๆ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

Posted: 11 Nov 2011 09:17 AM PST

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

บันเทิงประชาไทวันนี้ขอรายงานบรรยากาศคอนเสิร์ตที่คนส่วนหนึ่งของประเทศรอคอยมาหลายสิบปีกับวงที่เป็นตำนานของญี่ปุ่นและเอเชีย X-JAPAN ได้ทำการแสดงไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี และเป็นประเทศสุดท้ายในการทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศ (world Tour) ของวง นอกจากบรรยากาศความมันส์ (ท่ามกลางดรามาน้ำท่วมแล้ว) ผู้เขียนในฐานะแฟนคลับเดนตายคนหนึ่งขอวงรับประกันความสุดยอดและขอบอกไว้ก่อนว่าหาอ่านได้ที่ประชาไท ที่นี่ที่เดียวค่ะ

X-JAPAN เป็นต้นแบบของวงดนตรีร็อคแนว Visual Kei [1] (มีคนนิยามคำว่า Visual Kei หลากหลายมาก โดยผู้เขียนขอนิยามสั้นๆ ว่าเป็นวงดนตรีที่มีเสื้อผ้าหน้าผม หรือ Image ที่แสดงออกอย่างร้อนแรงแรงไม่แพ้เพลงละกันนะคะ) พวกเขาก่อตั้งวงในปี 1985 โดยมี YOSHIKI (มือกลอง เปียโน หัวหน้าวง) และ TOSHI (ร้องนำ) โดยใช้ชื่อวงว่า X (ก่อนหน้านี้เคยตั้งวงดนตรีเล่นร่วมกันในนาม Noise ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแต่ในช่วงแรกเริ่มก่อนตั้งวง X เปลี่ยนสมาชิกที่เล่นตำแหน่งอื่นบ่อยมาก) เมื่อสมาชิกในวงในตำแหน่งต่างๆ ลงตัว ในปี 1987 ได้แก่ HIDE (กีตาร์) PATA (กีตาร์) และTAIJI (เบส) ได้เล่นดนตรีตาม LIVE HOUSE ในโตเกียวจนมีชื่อเสียง (และขึ้นชื่อว่าเป็นวง “อันตราย” เนื่องจากหลังจากเล่นดนตรีเสร็จแล้วจะ “อาละวาด” จน LIVE HOUSE บางที่ไม่ยอมให้เล่นดนตรีอีกเลย) จากนั้นได้ก่อตั้งค่ายเพลงของตนเอง Extasy Record และออกอัลบั้มอินดี้อัลบั้มแรกชื่อ Vanishing Vision ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงอินดี้ [2]

ต่อมาจึงเซ็นสัญญากับ Sony Music ออกอัลบั้มแรก BLUE BLOOD (1989) และ JEALOUSY (1991) ซึ่งทั้ง 2 อัลบั้มประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้สร้างชื่อเสียงสูงสุดในวงการบันเทิงญี่ปุ่นยุค 90’s จากนั้น TAIJI ได้ลาออกจากวงและเปลี่ยนมือเบสใหม่เป็น HEATH พวกเขาออกมินิอัลบั้ม ART OF LIFE (1993) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น X-JAPAN ในที่สุด

แต่หลังจากออกอัลบั้ม DAHLIA (1996) แล้ว TOSHI ก็ได้ลาออกจากวงและประกาศยุบวง ต่อมาในปี 1998 HIDE มือกีตาร์ของวงได้เสียชีวิตลง ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่กระแส JAPAN FEVER บ้านเรากำลังมาแรง หลังจากนั้น 10 ปี X-JAPAN ก็กลับมารวมวงกันใหม่อีกครั้ง (2007) โดยมี SUGIZO (มือกีตาร์วง LUNA SEA) มาเล่นแทนตำแหน่งของ HIDE และประกาศว่าจะเปิดการแสดงทั่วโลก

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

(ภาพจากซ้ายไปขวา) การมาแถลงข่าวที่ไทยปี 1996 ปี 2007 และปี 2011 ตามลำดับ

สำหรับคอเพลงสากล คงจะเคยได้ยินชื่อ X-JAPAN จากรายการวิทยุของคุณโจ มณฑาณี สันติสุขและทางสื่อบันเทิงสากลต่างๆ ในช่วงปี 1995 และเมื่อ YOSHIKI ได้เดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 1996 การมารอต้อนรับของแฟนๆ ที่สนามบินก็เป็นปรากฏการณ์ทำให้สังคมสนใจวงดนตรีวงนี้มากขึ้น (โดยแฟนคลับ X-JAPAN ได้ก่อวีรกรรมที่สนามบินดอนเมืองจนเป็นที่เล่าขานถึงความร้อนแรงและความอันตราย-ฮา) แม้ว่าจะยุบวงไปแล้วแฟนเพลงชาวไทยยังติดตามผลงานของสมาชิกคนอื่นๆ มีแฟนคลับหน้าใหม่ที่ติดตามผลงานเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ เมื่อกลับมารวมวงกันแล้ว YOSHIKI ได้เดินทางมาเมืองไทยอีกครั้งพร้อมเปิดเว็บไซต์ [3] X-JAPAN ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการและประกาศว่าจะจัดคอนเสิร์ต ในวันที่ 31 มกราคม 2551 ณ สนามศุภชลาศัย แต่ก็ต้องเลื่อนกำหนดการณ์อย่างไม่มีกำหนดเพราะเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง จากนั้นอีก 2 ปี YOSHIKI ก็ประกาศผ่านเว็บไซต์ของตนว่าจะมาเล่นที่ประเทศไทยในปี 2011 หลังจากการทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาใต้

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

บรรยากาศการจองบัตรคอนเสิร์ตล่วงหน้า ณ Central World
ด้านบนเป็นหนึ่งคืนของการเปิดจองบัตรและด้านล่างเป็นแถวที่ยาวออกมาจากตึก

ในเดือนสิงหาคม ก็มีการจองบัตรคอนเสิร์ต X-JAPAN ล่วงหน้า (Presale) ที่ Central World โดยมีสาวก X-JAPAN บางส่วนไปรอกันตั้งแต่คืนก่อนวันเริ่มจองบัตรและบรรยากาศในวันจองบัตรมีแฟนๆ มากันอย่างมืดฟ้ามัวดิน (จนมีคนกลัวเรื่องการก่อความไม่สงบ ทำให้ Central World แตก เพราะวีรกรรมสาวกวงนี้เป็นตำนานจริงๆ-ฮา)

บัตรคอนเสิร์ตจำหน่ายหมดภายในเดือนกันยายน แต่แฟนๆ ก็ลุ้นว่าคอนเสิร์ตจะเลื่อนหรือไม่เพราะสถานการณ์น้ำท่วม (เพราะเคยเลื่อนมาแล้วในไทย และแฟนพันธุ์แท้ X-JAPAN จะทราบว่าวงนี้เคยเลื่อนมาแล้วที่ญี่ปุ่น ก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่มเพียงไม่กี่ชั่วโมง) แต่ YOSHIKI ก็ยืนยันที่จะจัดคอนเสิร์ตและให้กำลังใจแฟนเพลงชาวไทยผ่านทางทวิตเตอร์หลายครั้งในเดือนตุลาคม และในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2554 สมาชิกทุกคนก็เดินทางมาถึงประเทศไทย ด้วยสายการบิน China Airline เวลา 16.45 น. ณ สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากเล่นคอนเสิร์ตที่ไต้หวัน จากนั้น YOSHIKI ได้เดินทางไปบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมผ่านรายการครอบครัวข่าว 3 จำนวน 500,000 บาท พร้อมมอบหนังกลองพร้อมลายเซนเพื่อนำไปประมูลหารายได้เพิ่มเติม และ TOSHI เดินทางไปบริจาคที่ ThaiPBS จำนวน 500,000 เยน (ประมาณ 195,000 บาท)

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

 

LIVE REPORT

ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 แฟนเพลงบางส่วนได้เดินทางมายัง Impact Arena เมืองทองธานี ตั้งแต่ 8 โมงเช้า และในช่วงบ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรอบงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกจากผู้สนับสนุนและการขายสินค้าที่ระลึก จากที่ผู้เขียนสังเกต แฟนเพลงที่มาน่าจะอายุ 30 ขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ สำหรับแฟนๆ มีการแต่ง Cosplay เป็นศิลปินที่ตนชื่นชอบ ส่วนใหญ่จะเป็น YOSHIKI, HIDE และ TOSHI บ้างก็แต่ง Cosplay แนว Gothic Lolita สำหรับแฟนเพลงที่ไม่ได้ Cosplay มาก็แต่งกายสไตล์ J-ROCK หรือไม่ก็ใส่เสื้อที่พิมพ์ลวดลายเกี่ยวกับ X-JAPAN นอกจากนี้ยังมีแฟนเพลงชาวต่างประเทศเดินทางมาชมคอนเสิร์ตจำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน (แฟนเพลงชาวญี่ปุ่น Cosplay เป็น YOSHIKI ได้สวยไม่แพ้สาวกชาวไทยเลยค่ะ ♥)

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

พอเวลาประมาณ 19.00 น. แฟนเพลงเริ่มทยอยเข้าไปในฮอลล์ใช้เวลาโหลดคนเข้านานพอสมควร ขณะที่มีการลองเสียงเครื่องดนตรีก็มีเสียงกรี๊ดจากแฟนเพลงเป็นระยะๆ แต่พอไฟทั้งหมดดับลงพร้อมเสียงเพลงประสานเสียงดังขึ้นคล้ายเสียงบทสวดคาธอลิค แสงไฟสาดส่องประสานในเงามืดราวกับว่าอยู่อีกมิติหนึ่งในจักรวาล แล้วแสงสีทองก็ส่องมาที่ตำแหน่งกลอง YOSHIKI ยืนเด่นเป็นสง่าบนคลองคริสตัลกระเดื่องคู่ราวกับเทพเจ้า เรียกเสียงกรี๊ดสนั่นฮอลล์จากแฟนเพลง

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

เมื่อสิ้นเสียง OPENING THEME บนเวทีปรากฏสมาชิกทั้ง 5 คน เริ่มบรรเลงเพลงแรก JADE ซึ่งเป็น SINGLE ที่ 2 ของ X-JAPAN หลังจากที่กลับมารวมวงกัน พร้อมกันนั้น TOSHI ก็เอ่ยทักทายแฟนเพลงชาวไทย ด้วยประโยคเด็ด “รอนานไหม” และ “น้ำท่วมไหม” เป็นภาษาไทย ซึ่งเสียงของ TOSHI ยังทรงพลังเหมือนเดิม (และชุดพี่แกเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ได้ใจมากเจ้าค่ะ)

เพลงต่อจากนั้นคือ Rusty Nail และ Silent Jealousy ที่สร้างความมันส์แบบ Non-stop แม้จอมอนิเตอร์จะติดๆ ดับๆ เครื่องเสียงดังขาดๆ เกินๆ แต่สมาชิกก็ยังแสดงลีลาการเล่นดนตรีอย่างสุดฝีมือ (ในโซนที่นั่งชั้น 4 บัตร 2,000 ได้ยินเสียงกลองชัดมากจนหัวใจเกือบจะเต้นพร้อมจังหวะกลองเลยทีเดียว)

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

ช่วง GUITAR SOLO มี “ลุงแมว” PATA และ HEATH มือเบสร่างบางขวัญใจแม่ยกโชว์ลีลาโซโล่ เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับ “ลุงแมว” ที่ยังคงเอกลักษณ์เล่นกีตาร์หน้าเดียว ก่อนจะเข้าสู่เพลง Drain (ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นเพลงที่มีเสน่ห์และมีกลิ่นอายของ HIDE มากๆ)

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

ไฟบนเวทีดับลงอีกครั้ง สปอร์ทไลท์ส่องไปที่ SUGIZO สวมชุดสีขาวกรุยกรายพร้อมไวโอลิน เข้าสู่ช่วง VIOLIN SOLO ไวโอลินของ SUGIZO มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เริ่มแรกมาด้วยโทนเสียงกระชากวิญญาณแต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะสนุกสนานทำนองคล้ายเพลงพื้นบ้านของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนจะกลับมาเป็นเพลงทำนองเยือกเย็นในช่วงท้าย ในช่วงที่สองแฟนเพลงเองก็พากันปรบมือเข้าจังหวะไปด้วยอย่างสนุกสนาน (ผู้เขียนไม่ทราบว่าเป็นเพลงอะไร แต่ไม่ใช่ค้างคาวกินกล้วยแน่ๆ ทั้งๆ ที่แอบหวังว่าจะเห็น SUGIZO Out of Character สักครั้ง)

จากนั้นก็ปรากฏร่าง YOSHIKI ชุดคลุมสีแดงกับเปียโนคริสตัลเล่นเปียโนกับไวโอลินทำนองเพลงที่คุ้นหู Kurenai ซึ่งเป็น Single แรกของพวกเขาหลังจากเป็นวงเมเจอร์ (วงสังกัดค่ายใหญ่?) และอารมณ์ของแฟนเพลงในฮอลล์ก็พีคสุดสมกับชื่อเพลง “แดงเดือด” ต่อด้วยเพลง BORN TO BE FREE (เป็น Single ที่ 3 หลังจากรวมวงที่ผู้เขียนร้องตามได้น้อยที่สุดแต่กลับไม่น่าเชื่อว่าจะมันส์ไม่แพ้เพลงอื่นๆ เลยทีเดียว) TOSHI เองก็หันมาทักทายแฟนเพลงด้วยภาษาไทยสลับกับภาษาอังกฤษ

ต่อด้วยการโซโลกลองสลับเดี่ยวเปียโนแบบไม่ยั้งของ YOSHIKI มีจังหวะหนึ่งในช่วงเดี่ยวเปียโนที่เป็นทำนองเพลงแบบที่แฟนเพลงชาวไทยรู้ได้ทันทีว่าเป็นเพลงไทยแน่ๆ จึงเริ่มร้องคลอตาม เพลงที่เล่นคือ “เดือนเพ็ญ” (ตอนนั้นตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเล่นเพลงนี้ เพราะมันจะได้ยินเสมอเวลาเข้าค่าย แต่บรรยากาศของเพลงที่เขาเล่นฟังดูต่างจากประสบการณ์ส่วนตัว จนรู้สึกว่าโยจังน่ารักมากกกกกก ♥ อยากรู้จริงว่าใครหนอแนะนำเพลงนี้ให้เขาเล่นนะ) พอจบเพลง TOSHI ก็ถามแฟนๆ ว่าอยากฟังเสียง YOSHIKI หรือเปล่า เรียกเสียงกรี๊ดเป็นฉันทามติแล้วเขาก็ส่งไมค์ให้ YOSHIKI เขากล่าวทักทายแฟนเพลงชาวไทยเป็นภาษาไทยสลับกับภาษาอังกฤษ (แน่นอนว่าประโยค “ผมรักคุณ” เรียกเสียงกรี๊ดลั่นฮอลล์ตามคาด – ถึงคาดไว้แล้วก็จะกรี๊ดค่ะ อร๊างงง)

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

จากนั้น TOSHI ได้ขอให้แฟนเพลงร้องคอรัสเพลง IV ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง SAW 4 และเป็นSingle แรกหลังจากที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ต่อด้วยเพลงชาติของเหล่า X Freak คือเพลง X โดยแฟนเพลงต่างก็ X Jump (กระโดดพร้อมไขว้แขนเป็นตัว X) พร้อมตะโกน We are X กันอย่างไม่ยั้ง จนแอบกลัวว่าฮอลล์จะถล่มหรือเปล่า เพราะที่ TOKYO DOME เคยห้ามไม่ให้แฟนเพลง X Jump มาแล้วเนื่องจากทำให้แผ่นดินไหว

ไฟบนเวทีดับลงอีกครั้ง บรรดาแฟนเพลงรอคอยช่วง ENCORE ระหว่างที่คอยนั้นแฟนๆ ได้หากิจกรรม “เล่น” ในฮอลล์คล้ายกับในคอนเสิร์ต X-JAPAN DAHLIA TOUR FINAL ไม่ว่าจะเป็นกระทืบเท้ารัว เล่นเวฟ ตะโกน We are X ร้องเพลง Endless Rain จนถึงขั้น ENCORE ด้วยการร้องเพลงลอยกระทงเจ้าค่ะ ! THAILAND ONLY !!!!

ในที่สุด ไฟบนเวทีก็สว่างขึ้นพร้อม YOSHIKI ในชุดไทยสไบเฉียง เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ลั่นฮอลล์อีกครั้ง แถม TOSHI ยังมีแซวว่า I love him or I love her, She so beautiful. (ขอเรียกช่วงนี้ว่า Fan Service หรือช่วง ‘เอาใจแฟนๆ’ นะคะ เพราะการที่ YOSHIKI แต่งชุดไทยกับเล่นหยอกล้อหวานแหววของสองคนนี้เพื่อสนอง Need แฟนคลับ ล้วนๆ ก่อนหน้านี้สองคนก็เคยใส่ชุดแต่งงานเซอร์วิสแฟนที่ฮ่องกงมาแล้ว) YOSHIKI ได้กล่าวขอบคุณแฟนเพลงชาวไทยทำให้ความฝันของเขาที่จะได้มาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่เป็นจริง และพูดถึงการพบเจอสมาชิกแต่ละคน การแยกวง และการจากไปของ HIDE และ TAIJI ตลอดจนความสูญเสียจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นคือแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นมาจนถึงน้ำท่วมที่ประเทศไทย แล้วก็ขอให้ทุกคนยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว สมาชิกทุกคนและแฟนเพลงทุกคนในฮอลล์ต่างก็ยืนสงบนิ่ง เงียบจนไม่มีเสียงราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย จากนั้นโยจังที่ยังอยู่ในชุดไทยสไบเฉียงก็เริ่มเล่นเปียโนเพลง Forever Love ตามด้วย Endless Rain เพลงบัลลาดที่สร้างชื่อเสียงในอัลบั้มชุดแรก

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

และแล้ว SUGIZO กับไวโอลินก็กลับมาอีกครั้ง ส่วน YOSHIKI ก็เล่นเปียโนคลอกับเสียงไวโอลินของ SUGIZO (ขอบอกว่าช่วงนี้ YOSHIKI เล่นได้ใจอีกแล้ว ทั้งทุบเปียโน ทั้งนอนเล่น เล่นไป-เลื้อยไป) นำเข้าสู่เพลง ART OF LIFE เรียกทุกคนในวงกลับมาบนเวทีอีกครั้งกัน ซึ่งต่างก็อย่างบรรเลงฝีมือกันอย่างเต็มที่ ในฐานะเป็นเพลงสุดท้ายที่เล่นใน X-JAPAN LIVE IN BANGKOK (เพลงนี้ฉบับเต็มยาว 30 นาที)

จากนั้นเพลง TEARS (เพลงที่ผู้เขียนชอบที่สุดของ X) ดังขึ้นเป็น Backing Track สมาชิกทุกคนจับมือโค้งขอบคุณผู้ชม แจกไม้ตีกลอง ขวดน้ำ (แฟนเพลงชาวไทยเรียกกันว่าช่วงพรมน้ำมนต์) ปิ๊กกีตาร์ (และ SUGIZO โดนแฟนเพลงแซวว่าเขาทำ “โฮมรัน” เพราะขว้างได้ไกลที่สุดในวง – ฮา) สมาชิกถ่ายรูปกับแฟนๆ เป็นที่ระลึก พร้อมรับของขวัญจากแฟนเพลง และป้ายไวนิล Bring X-JAPAN TO THAILAND ซึ่งเป็นป้ายที่แฟนพันธุ์แท้ชาวไทยกลุ่มหนึ่งนำไปโชว์ในคอนเสิร์ตของ X-JAPAN ในต่างประเทศ YOSHIKI นำป้ายดังกล่าวมาถ่ายภาพกับสมาชิกและเอาคลุมกลองคริสตัสของเขาไว้ (ตรงนี้น้ำตาผู้เขียนซึมเลย) เป็นการจบการแสดงและสิ้นสุด X-JAPAN World Tour ในค่ำคืนนี้ ที่ประเทศไทย

 

X-JAPAN วงนี้ รับประกันความแรง

นอกจากงานเพลงที่โด่งดังแล้ว วีรกรรมของสมาชิกและแฟนคลับก็เป็นตำนานด้วยเช่นกัน

1. ดอนเมืองแตกและ “เธอไม่เคยตาย”

การมาเมืองไทยครั้งแรกของ YOSHIKI นั้น แฟนเพลงที่ไปรอรับที่สนามบินเบียดเสียดเพื่อจะได้เจอเขาตัวเป็นๆ จนบอดี้การ์ดและเจ้าหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ แฟนเพลงจำนวนมาก (มากจน YOSHIKI เองยังตกใจ) บวกกับพลังช้างสารทำให้กระจกสนามบินแตกและข้าวของพังไปตามๆ กัน แต่สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ตการรวมตัวจึงไม่ง่ายเท่ากับสมัยนี้ แฟนคลับจึงใช้โทรศัพท์และรายการวิทยุเป็นส่วนใหญ่ เมื่อข่าวการมาเมืองไทยดังไปถึงหูคนทั่วไป และเริ่มทราบกันว่า X-JAPAN เป็นต้นฉบับเพลง “เธอไม่เคยตาย” (จากเพลง Say Anything) แฟนคลับก็ถูกล้อว่า X-JAPAN ไปก๊อปเพลงไทยมา ส่วนแฟนคลับก็เอาคืนแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์โหด เมื่อมาถึงเหตุการณ์ที่ HIDE เสียชีวิตแฟนเพลงกลุ่มนี้ยิ่งถูกจับตามอง เนื่องจากมีเด็กผู้หญิงฆ่าตัวตาย (จริงๆ ก็ด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบ) แต่พอมีโปสเตอร์วงดนตรีญี่ปุ่นก็ถูกสื่อพาดพิงว่าฆ่าตัวตายตาม HIDE ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แฟนคลับเดือดปุดๆ ที่สุดเลยทีเดียว

2. วงนี้การันตีว่า DRAMA

เมื่อลูกชายเจ้าของร้านกิโมโนหนีออกจากบ้านมาทำวงดนตรีเป็นเด็กหัวดีขั้นเทพแต่เที่ยวก่อเรื่องตั้งแต่เรียนหนังสือหลังจากที่พ่อของตนเองฆ่าตัวตายโดยไม่ทราบสาเหตุ อยู่โตเกียวเล่นเพลงแนว Heavy Metal แต่ไปออกรายการตลกจนถูกพวกวง Metal เกลียดขี้หน้า นักร้องนำลาออกจากวงแล้วไปเข้าลัทธิแต่เมียดันไปเป็นชู้กับเจ้าลัทธิซ้ำยังโดนเมียกับชู้โกงจนโดนฟ้องล้มละลาย รวมวงแล้วแสดงคอนเสิร์ตเกือบปีแต่ยังไม่ได้เงินสักแดงแถมมือเบสโดนต้นสังกัดเล่นงานจนเกือบลาออก คิดถึงเพื่อน อยากพาเพื่อนไปทัวร์คอนเสิร์ตด้วย แต่โดนน้องชายเพื่อนฟ้องค่าลิขสิทธิ์แถมถูกกล่าวหาว่า “หากินกับคนตาย” จะมาเล่นที่ไทยสนามบินก็โดน Hi-Jack เป็นคนที่คอยช่วยอดีตสมาชิกที่ ‘ชีวิตแม่งพัง’ รวมถึงก่อตั้ง YOSHIKI FOUDATION มูลนิธิป้องกันไม่ให้คนฆ่าตัวตายแต่เพื่อนก็ดันมาฆ่าตัวตายเสียเอง ไม่เป็นแฟนวงนี้ไม่รู้หรอกค่ะ ว่ามันอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหน ผู้เขียนว่าถ้ามีคนนำไปทำหนัง คงเป็นหนังที่คนดูบ่นว่า “สูเจ้าจะ Drama กันไปถึงไหน” แต่ นี่แหละชีวิตของ YOSHIKI !!!

แม้แต่การมาเล่นคอนเสิร์ตครั้งล่าสุด ก็มีการถกเถียงกันในเว็บ PANTIP ตั้งแต่หาว่าแฟนคลับคลั่งไปนอนรอจองบัตรข้ามวันข้ามคืน การมาเล่นคอนเสิร์ตในช่วงน้ำท่วมไม่เหมาะสม และกรณี คุณเบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา พูดออกอากาศผ่านรายการครอบครัวข่าว 3 ว่า YOSHIKI เหมือนสาวประเภทสอง

ส่วนตัวผู้เขียนเดาได้ทันทีว่าแฟนวงนี้ต้องเดือดดาลกันแน่ๆ และก็เป็นตามคาด โดยส่วนตัวที่เป็นแฟนวงนี้รู้สึกเฉยๆ กับการถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนผู้หญิงหรืออะไรเทือกนี้ และเข้าใจว่าน้อยคนที่จะรู้จัก Visual Kei หรือ YOSHIKI แต่พอเห็น YOSHIKI ในสื่อจริงจังมากและตั้งใจมาบริจาคเงินช่วยน้ำท่วมผ่านรายการของตนเองแต่ผู้ดำเนินรายการกลับหัวเราะกันคิกคัก (แม้จะเข้าใจว่าหัวเราะคุณสรยุทธที่ใส่กางเกงขาสั้น) ย่อมรู้สึกไม่พอใจที่ไม่ให้เกียรติศิลปินใจดวงใจ และในฐานะคนที่ดูสื่อ ถึงจะไม่ใช่ศิลปินที่ตัวเองชอบแต่ก็เห็นว่าไม่ควรเช่นกัน การคุยข่าวแม้จะใช้ความบันเทิงหรือบรรยากาศ “เมาธ์มอย” ทำให้น่าติดตาม แต่การไม่ศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการเล่าข่าวซึ่งเป็นคุณสมบัติขั้นต้นของการดำเนินรายการก็ไม่ต่างอะไรกับการนินทาคนออกทีวี ส่วนแฟนเพลงที่เดือดดาลก็พากันไปตอบกระทู้ทั้งแสดงเหตุผลและแสดงอารมณ์ และยังมีพวกไม่ใช่แฟนเพลงแต่ไม่ชอบคุณเบนซ์มาผสมโรงอีก จึงแอบผิดหวังกับแฟนเพลงบางกลุ่มที่โพสต์ข้อความสาดเสียเทเสียลามลามไปจนถึงเรื่องส่วนตัวซึ่งก็โตๆ กันแล้วน่าจะมีวิจารณญาณพอที่จะแยกแยะได้ [4]

แต่ประสบการณ์ของแฟนเพลงที่ชื่นชอบสมัยเป็นหนุ่มเป็นสาว รอคอยจะได้เจอศิลปินที่รักจนหลายคนมีลูกมีเมีย/ผัวกันแล้ว ส่วนศิลปินก็พานพบเรื่องราวต่างๆ มากมายจนเปลี่ยนจากเพลงเนื้อหาคร่ำครวญถึงความเศร้ามาเป็นเนื้อหาให้กำลังใจผู้คน ต่างก็ได้เติบโตและเรียนรู้ชีวิตตามทางของตนเอง หากใครมีลูกแล้วลูกอยากไปดูคอนเสิร์ตแบบเดียวกับที่แม่ของ YOSHIKI พาไปดูคอนเสิร์ตของวง KISS ตอนอายุ 10 กว่าขวบจนต่อมาเขากลายเป็น ROCK STAR ชื่อดังนั้น พาไปเถอะค่ะ ถึงเขาไม่ได้เป็น Super Star แต่คงสร้างแรงบันดาลใจแก่เขาไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนคุณผู้ใหญ่ที่อยากไปคอนเสิร์ตก็ไปเถอะค่ะ ถึงมันจะสนุกไม่กี่ชั่วโมง พอออกจากฮอลล์มากลับมาผจญกับปัญหาเหมือนเดิม แต่มนุษย์ก็ต้องหาสิ่งบันเทิงเริงใจบ้างเพื่อจะได้มีแรงสู้กับโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ต่อไป และการไปคอนเสิร์ตไม่ใช่การก่ออาชญากรรมค่ะ ถ้าท่านผู้นำคนไหนจะไปคอนเสิร์ตก็อย่าไปว่าเขาเลยนะคะ ขนาดอดีตนายก JUNICHIRO KOIZUMI ของญี่ปุ่นก็ยังเคยไปเย้วๆ ในคอนเสิร์ตของ X-JAPAN เลยค่ะ อร๊างงงงง

บันเทิงประชาไท: X-JAPAN 2011 WORLD TOUR IN BANGKOK (Fan Girl Report)

อ้างอิง:

  1. อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ wikipedia.org
  2. ในวงการเพลงญี่ปุ่นจะแบ่งลักษณะของวงดนตรีเป็น 2 ประเภท ได้แก่ วงอินดีส์ (Indies) หมายถึงวงดนตรีที่ยังไม่เซนสัญญากับค่ายเพลง มักจะเล่นดนตรีตาม Live House หรือผลิตเพลงขายเอง เป็นที่รู้จักในวงแคบๆ ไม่มีสื่อประชาสัมพันธ์แบบ Mass Media เมื่อมีการทาบทามจากแมวมองหรือผลงานเป็นที่ยอมรับจากค่ายเพลงใหญ่ จะเรียกว่าวงเมเจอร์ (Major) ซึ่งการทำงานจะมีบริษัทหรือค่ายเพลงที่เซนสัญญามามีส่วนในการบริหารจัดการต่างๆ เช่น ลิขสิทธิ์เพลง การออกสื่อต่างๆ การผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับวง
  3. http://www.xjapan.in.th ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น http://www.wearex.com/
  4. อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ drama-addict.com

ที่มาของภาพจาก Facebook ของ BEC-TERO ENTERTAINMENT และ กลุ่ม X-Japan In Thailand @ Facebook

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ยูนิเซฟจัดเครื่องใช้เพื่อสุขอนามัยกว่า 300,000 ชิ้นแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

Posted: 11 Nov 2011 08:31 AM PST

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 54 ที่ผ่านมา– องค์การยูนิเซฟได้จัดเครื่องใช้เพื่อสุขอนามัยกว่า 300,000 ชิ้น ได้แก่ สบู่ก้อน สบู่เหลว เจลล้างมือ คลอรีนทำน้ำสะอาด และถุงขยะให้แก่ผู้ประสบภับน้ำท่วมเพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ

ผลิตภัณฑ์ต่างๆเหล่านี้จะถูกส่งไปยังครอบครัวผู้ประสบภัยโดยผ่านกระทรวงสาธารณสุข โดยคลอรีนทำน้ำสะอาด 27,000 ขวดได้ส่งไปแล้วเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ซึ่งแต่ละขวดช่วยทำน้ำสะอาดได้ 2,000 ลิตร ในขณะที่สบู่เหลวอีก 7,000 ขวดจะถูกส่งไปในวันนี้ และภายในสัปดาห์หน้ายูนิเซฟจะส่งมอบสบู่ก้อนอีก 200,000 ก้อน และคลอรีนทำน้ำสะอาดอีก 33,000 ขวด

ขณะนี้ยูนิเซฟได้ตั้งงบประมาณประมาณ 37 ล้านบาท (1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและครอบครัวที่ประสบภัยทั้งในช่วงน้ำท่วมและหลังน้ำลด โดยแบ่งเป็นความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น สุขภาพสุขอนามัย การคุ้มครองเด็กและการศึกษา ทั้งนี้ยูนิเซฟได้ส่งจดหมายถึงผู้บริจาคในประเทศไทยเมื่อต้นสัปดาห์นี้เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการดังกล่าว

“สุขภาพและสุขอนามัยเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับน้ำท่วมไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม” โทโมโอะ โฮซูมิ ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยกล่าว “ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีรายงานเกี่ยวกับโรคระบาด แต่น้ำสกปรกอาจทำให้เกิดโรคระบาดที่มากับน้ำ ซึ่งเราสามารถลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดได้โดยการรักษาสุขอนามัย เช่น การล้างมือบ่อยๆ”

ในขณะนี้ภัยพิบัติน้ำท่วมซึ่งเลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปีได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนเกือบ 3 ล้านคน ซึ่งรวมถึงเด็กกว่า 800,000 คน โดยตอนนี้หลายพื้นที่ใน 24 จังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานครกำลังประสบกับภาวะน้ำท่วมอย่างรุนแรง

โฮซูมิกล่าวว่าจำนวนเด็กที่เสียชีวิตจากน้ำท่วมเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วง จนถึงปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตจากเหตุภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้ 533 คน โดยเป็นเด็กถึง 77 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายซึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำ

“เด็กจำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ในบ้านที่ล้อมรอบด้วยน้ำ ทำให้เด็กมักจะเล่นน้ำเพราะไม่มีอะไรทำและไม่มีที่อื่นๆ ให้เล่น” โฮซูมิกล่าว “นอกจากนี้เด็กไทยจำนวนมากว่ายน้ำไม่เป็นทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะจมน้ำ”

ยูนิเซฟได้ผลิตแผ่นพับเพื่อนำเสนอวิธีการง่ายๆ สำหรับครอบครัวในการปกป้องคุ้มครองสุขภาพของเด็กในช่วงน้ำท่วม โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับการป้องกันการจมน้ำและอุบัติเหตุอื่นๆ ที่อาจเกิดกับเด็ก โดยแผ่นพับอีก 300,000 ชุดจะถูกแจกจ่ายไปยังครอบครัวผู้ประสบภัยภายในสัปดาห์หน้าโดยผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

นอกจากนี้ยูนิเซฟได้สนับสนุนการจัดตั้ง “พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก” ในศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประสบภัยขนาดใหญ่ 40แห่ง เพื่อจัดสรรพื้นที่ให้เด็กได้เล่นและมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นการบรรเทาความเครียดและฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็ก และมีการอบรมเจ้าหน้าที่ในศูนย์พักพิงเกี่ยวกับการลงทะเบียนเด็กเพื่อป้องกันการพลัดหลง และการคุ้มครองเด็กจากอันตรายและการแสวงประโยชน์ด้วย

ในขณะที่ระดับน้ำเริ่มลดลงแล้วในบางจังหวัด ยูนิเซฟมีแผนที่จะส่ง “โรงเรียนในกล่อง” (school in a box) ไปยังโรงเรียนอย่างน้อย 1,000 แห่งที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากน้ำท่วม โดยแต่ละกล่องจะบรรจุอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็นสำหรับครูและนักเรียน เพื่อช่วยให้เด็กๆ สามารถเริ่มเรียนได้ทันทีในที่ชั่วคราวในขณะที่โรงเรียนกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม

“การที่เด็กๆ ได้กลับไปเรียนอย่างเร็วที่สุดจะช่วยให้พวกเขารู้สึกเป็นปกติ และยูนิเซฟกำลังทำงานเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเร็ว” โฮซูมิกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สัมภาษณ์ 'มหรรณพ โฉมเฉลา' กับนวนิยายเล่มใหม่ 'ในอ้อมกอดกาลี' มีสิ่งใดซ่อนอยู่?!

Posted: 11 Nov 2011 08:22 AM PST

‘มหรรณพ โฉมเฉลา’ นักเขียนผู้เงียบหายไปจากแวดวงวรรณกรรมเกือบสิบปี พาชีวิตออกจากเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสวนที่ตูบตีนดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งในปีนี้ เขาได้ผลิตงานนวนิยายเรื่องใหม่ 'ในอ้อมกอดกาลี'
 
 
มหรรณพ โฉมเฉลา และปกหนังสือ 'ในอ้อมกอดกาลี'
 
เมื่อเอ่ยชื่อ'มหรรณพ โฉมเฉลา' แวดวงวรรณกรรมส่วนใหญ่รู้จักมักคุ้นชื่อนี้กันดี เขาเริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่ช่วงปี 2535 เป็นต้นมา เมื่อเรื่องสั้น 'เด็กชายสามตาผู้บังเอิญตกลงมาบนโลก' ได้รับการประดับช่อการะเกด จากบรรณาธิการ 'สุชาติ สวัสดิ์ศรี' ส่งผลให้เขามั่นอกมั่นใจในการก้าวย่างบนเส้นทางสายนี้มากขึ้น
 
ในปี 2539 หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของเขาก็กำเนิดออกมา ในชื่อชุด 'เด็กชายสามตาผู้บังเอิญตกลงมาบนโลก' โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า
 
ในปี 2542 หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มที่สอง ชุด 'บ่ายหอยทาก' โดยสำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์
 
ในปี 2545 เขามีหนังสือรวมเรื่องสั้น 'ศรีนวลกับผัวเทวดาผู้ถูกสวรรค์ทิ้ง' โดยสำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์ และในปีเดียวกัน เขายังมีหนังสือนวนิยายเล่มแรกออกมา ในชื่อ 'สาวงามตาบอดทั้งสิบสอง' โดยสำนักพิมพ์เรือนปัญญา
 
หลังจากนั้น เขาได้เงียบหายไปจากแวดวงวรรณกรรมเกือบสิบปี เมื่อพาชีวิตออกจากเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสวนที่ตูบตีนดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
 
กระทั่งในปีนี้ เขาได้ผลิตงานนวนิยายเรื่องใหม่ 'ในอ้อมกอดกาลี' โดยสำนักพิมพ์มติชน ขึ้นมา ด้วยชื่อเรื่องแปลกและชวนฉงน เช่นเดิม
 
แน่ละ ย่อมทำให้หลายคนชวนคิดกันต่อว่า มีสิ่งใดซ่อนอยู่ ในอ้อมกอดกาลี?!
 
ห่างหายจากแวดวงวรรณกรรมไปเสียนาน ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปมากไหม หลังจากหลุดจากวงโคจรของเมืองใหญ่ ไปอยู่อาศัยที่เมืองดาว?
 
หลังจากเขียนนวนิยายเรื่อง 'สาวงามตาบอดทั้งสิบสอง' ก็ขาดช่วงไปนานเหมือนกันนะ มีบทความสองสามชิ้น มีงานสารคดีรับจ้างสี่ห้าชิ้น งานที่จัดเป็นวรรณกรรมก็มีเรื่องสั้นชื่อ เก้าอี้หวาย ในช่อการะเกด 51 เป็นนักเขียนเทียบเชิญ ที่เงียบไปมันเป็นช่วงกำลังย้ายตัวเองมาอยู่เมืองเหนือ... คงเหมือนต้นไม้นะ เวลาย้ายที่ปลูกต้องมีเวลาหยั่งรากพอสมควร ตอนนี้ก็เริ่มออกผลแล้ว กำลังทยอยๆ สุกที่เชียงดาวนี่ ผมเลือกมาอยู่เพราะมันเป็นอำเภอเล็กๆภูมิประเทศสวยงาม อากาศดี คนส่วนใหญ่ยังน่ารักจิตใจดี
 
ตอนย้ายมาอยู่เชียงใหม่แรกเลยนะ ผมอยู่ในเมืองประมาณเกือบสามปี มันก็เป็นเมืองใหญ่ วุ่นวายน้อยกว่าในกรุงเทพฯ เยอะ แต่ก็ยังวุ่นอยู่ดี มีวันหนึ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์มาเที่ยวหาเพื่อนนักเขียน (ก็คนสัมภาษณ์นี่แหละ) เห็นดอยหลวงเชียงดาวแล้วอื่ม...ทึ่งในความงาม ถึงจะเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามของประเทศ แต่เด่นกว่าใคร
 
เพราะดอยอื่นที่สูงกว่า อย่างดอยอินทนนท์นั่นมันอยู่ในเทือกเพื่อนพ้องพี่น้องของมันเกื้อหนุนกันแต่ดอยหลวงเชียงดาวนี่ดูเหมือนจะผุดขึ้นมาสูงคนเดียว โดดเดี่ยว แต่สง่างาม ผมชอบ คุยกับฝน (รวิวารโฉมเฉลา ภรรยา-นักเขียน) ว่าที่นี่น่าจะลงตัวที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต ไม่ไกลจากเชียงใหม่นัก และไม่ใกล้จากบ้านแม่ฝนที่อำเภอแม่อาย เรียกว่าเป็นจุดครึ่งทางระหว่างแม่อายกับตัวจังหวัดเชียงใหม่ เราเริ่มหาที่ดิน แล้วก็สร้างบ้านกัน บ้านก็ค่อยต่อค่อยเติมไปเรื่อยๆ ตามสภาพความคล่องของการเงิน โชคดีที่ได้แม่ฝนและเพื่อนๆใจดีหลายคน ให้หยิบยืมเงินโดยไม่คิดดอก และไม่เคยเอ่ยปากทวงเลย พวกเราจึงได้อยู่ที่นี่
 
มองโลก มองสังคม มองดูผู้คนในยุคสมัยนี้เป็นอย่างไรบ้าง เปลี่ยนแปลงไปมากไหมในสายตาของคุณ?
 
หลายปี ในช่วงที่ผมย้ายมาที่เชียงดาว ผมไม่ได้ปลีกวิเวกเหมือนพระ เหมือนนักบวช เราสะเทือนกับการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์บ้านเมือง สังคมไทย...อยู่ที่นี่ผมเห็น ผมคุยกับชาวบ้าน สัมผัสความรู้สึกของผู้คน ผมเห็นพัฒนาการหลายๆ อย่างในทางที่ดีที่เลว แต่ที่น่าสังเกตคือทางการเมือง
 
เดี๋ยวนี้ ชาวบ้านไม่ใช่ตาสีตาสาอย่างแต่ก่อน อย่างน้อยที่สุดเขารู้ว่า อะไรเป็นประโยชน์ และต้องการอะไรที่สำคัญ ชาวบ้านพร้อมจะตะโกนเรียกร้องหาความเป็นธรรม ตัวผมเองเป็นชนชั้นกลาง ติดสันดานแบบชนชั้นกลางในเมืองแก้ไม่หาย ออกมาอยู่บ้านนอกกับการไม่มีเงิน ไม่มีเครดิตนี่แหละครับ ถึงได้ทุเลาไปบ้าง ผมไม่ชอบทักษิณ หมั่นไส้วิธีการฉลาดแกมโกงความโฉ่งฉ่าง ปากเบาและอีกหลายเรื่อง รู้สึกคลื่นไส้ทุกทีที่ได้ยินชาวบ้านพูดถึงทักษิณ วันที่ทหารยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายน ปี 2549 เพื่อนคนหนึ่งโทร.มาถามว่า ดีใจไหม สะใจไหม ที่ทักษิณถูกถีบออกจากอำนาจ ผมกลับรู้สึกอยากร้องไห้มากกว่า ไม่คิดเลยว่าบ้านเมืองเราจะกลับไปป่าเถื่อนเหมือนเดิม ตั้งแต่ผมเกิดมานี่มีรัฐประหารและความพยายามทำรัฐประหารเกือบสิบครั้ง มากไปหรือเปล่า ยังมีคนคิดว่าวิธีนี้ชอบธรรมอยู่อีกหรือ คิดได้ไง
 
เอาล่ะหลายปีผ่านไป มีรัฐธรรมนูญใหม่ มีการเลือกตั้ง ผมไม่ได้ปลื้มกับรัฐบาลสองรัฐบาลของฝ่ายทักษิณ โดยเฉพาะนายสมัคร แต่การสมคบกันปล้นอำนาจ ตั้งแต่รัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ถึงวิธีการตุลาการภิวัฒน์ จนได้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เทพประทาน ที่ตั้งกันในค่ายทหาร ผมก็สุดจะรับ
 
ประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมได้เป็นรัฐบาลสองปีหลักการประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน หลักการเละเทะ มีโกง มีทุกอย่างที่เคยด่าเขาเอาไว้ ที่ตั้งอกตั้งใจทุ่มเททำกันเป็นล่ำเป็นสัน คือกำจัดทักษิณและเสื้อแดง ทำถึงขนาดใช้ทหารมาปราบม็อบแบบนองเลือด ฆ่าไม่เลือกหน้า และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ทำกันถึงขนาดนี้แล้วก็ยังโค่นทักษิณและพวกเสื้อแดงไม่ลง เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าขัดขวางความต้องการของประชนส่วนใหญ่ไม่ได้ เลิกดูถูกชาวบ้าน เลิกคิดใช้วิธีโกงๆ โหดๆ มากำจัดสิ่งที่ตัวเองคิดเอาเองว่าชั่วร้ายกว่าได้แล้ว เอานโยบายโชว์ สู้กันกับฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามก็ประกาศตัวไป อย่าอ้อมๆ แอ้มๆ ต้องชัดเจน จะเป็นสังคมนิยมก็เอา จะเป็นคอมมิวนิสต์ก็ได้ จะเป็นเสรีนิยมเดินหน้าทุนนิยมเต็มตัวก็ว่ามา
 
กฎหมายล้าหลัง หรือรัฐธรรมนูญก็ต้องแก้ ให้เปิดกว้างกับทุกความคิดทางการเมือง ให้ทุกฝ่ายมายืนอยู่ในที่แจ้ง อยู่กลางสนาม สู้กันในเกม ในกติกา ในสายตาผู้คน มันสง่างามกว่า และทุกอย่างจะเป็นไปตามความต้องการของประชาชนเท่านั้นประชาชนจะเลือกเอง ที่สำคัญต้องเชื่อมั่นและยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ เราจะได้เป็นประเทศประชาธิปไตยจริงๆ เสียที
 
ไม่เอาแล้วแบบไทยๆ
 
เพราะการมองโลก มองสังคม มองการเมือง มองชีวิตจิตใจผู้คนแบบนี้หรือเปล่า จึงนำมาสู่การเขียนนวนิยาย 'ในอ้อมกอดกาลี' เล่มนี้?
 
ในอ้อมกอดกาลีเป็นการเขียนเลียน รหัสคดีนะมันเดินเรื่องแบบนิยายสืบสวนสอบสวน แต่ปมของมันไม่ได้แค่สนองความบันเทิงอย่างรหัสคดีทั่วไปที่มุ่งให้คนอ่านแปลกใจ สยองกับฆาตกรรมอำพรางและติดตามไปจนถึงจุดคลี่คลายของเรื่อง ปมของเรื่องนี้ ไม่ได้ถูกคลี่คลายให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่เลือนไป ด้วยปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติ และพลังเหนือธรรมชาติ
 
ประเด็นใหญ่มันเป็นเรื่องของอำนาจ และปฏิสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลกับอำนาจ ตัวละครแต่ละตัวมีปฏิกิริยาต่ออำนาจไปคนละแบบ อำนาจที่ผมพูดถึงในเรื่องไม่ใช่แค่อำนาจรัฐที่ผ่านมาทางผู้ถือกฎหมายเท่านั้น ยังหมายถึงอำนาจทางวัฒนธรรมอำนาจทางเศรษฐกิจ
 
อำนาจเหล่านี้ใช้จัดการกับผู้ด้อยโอกาส ด้อยอำนาจ แต่มักจะอ้างความหวังดี อ้างกฎระเบียบ อ้างความมั่นคง อ้างประเพณี อ้างโบราณ ที่เอาเข้าจริงไอ้คนอ้างนั่นแหละที่ปากว่าตาขยิบ ไอ้อะไรพวกนี้ ถ้ามันครอบงำ กรอกหูเราด้วยคำตอแหล และกระชับ กอดเราแน่นมากเท่าไหร่ มันก็เป็นอ้อมกอดมรณะเราดีๆ นี่เอง ผมกำลังอึดอัดกับไอ้อ้อมกอดแบบนี้และเชื่อว่าหลายคนก็คงอึดอัด
 
บางฉาก บางเหตุการณ์ บางเรื่องราวในเรื่องได้กลิ่นอาย เหมือนอวลอยู่ในบรรยากาศท้องถิ่นทางเหนือเลย?
 
แน่ละสิ ผมใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่ผมอยู่หลังจากใช้ชีวิตและซึมซับบรรยากาศภาคเหนือมาแล้วหลายปี ถ้าสังเกต เรื่องของผมส่วนใหญ่จะเกิดในท้องถิ่นที่เป็นชนบท เพราะผมชอบชนบทมากกว่าเมือง ทั้งที่ผมเกิดที่กรุงเทพฯ โตขึ้นมาในกรุงเทพฯ เรียนอยู่ในกรุงเทพฯ ผมเห็นว่าเมืองมันมีหลืบเงาที่อธิบาย หรือบรรยายได้ยาก มันซับซ้อนกว่า ในชนบทพอกวาดตามองเราก็จะเห็นชัดเจน แต่จะว่าไป ตอนนี้บ้านนอกก็ชักจะซับซ้อนมากขึ้นทุกทีเหมือนกัน
 
เห็นปูพื้นตัวละครไว้ละเอียดมาก...บางครั้งดูเหมือนมากไปหรือเปล่า?
 
คิดไว้ว่าตัวละครอย่างจ่าแสวง จะได้แสดงบทต่อไปครับ จะมีอ้อมกอดกาลี ภาค 2 ภาค 3 จะได้เห็นว่าอำนาจกาลีนั้น แสดงพลังอำนาจครอบงำร้ายเพียงไหน คงเป็นต้นหรือกลางปีหน้า น่าจะเขียนภาค 2 เสร็จ
 
คุณคิดว่า นักเขียนที่มีชื่อแล้วผลิตงานออกมาใหม่ในแต่ละครั้ง ในแต่ละเล่มนั้น ทำให้รู้สึกว่ายากหรือกดดันมากกว่าเดิมหรือเปล่า?
 
นักเขียนมีชื่อ หรือไม่มีชื่อ ผมคิดว่าเราจะเจอความยาก หรือความกดดันพอๆ กันนั่นแหละครับโดยเฉพาะนักเขียนแนวสร้างสรรค์ ตอนเริ่มเขียนเรื่องใหม่ ความชำนาญจากเรื่องก่อนๆ ที่เขียนมาก็ช่วยอะไรเราได้น้อยมาก เราต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่งั้นคงไม่เรียกว่าสร้างสรรค์ แต่ถ้าหมายถึงความกดดันจากชื่อเสียง ตัวผมก็ยังไม่รู้ครับ เพราะไม่ใช่นักเขียนมีชื่อเสียงโด่งดังเท่าไหร่
 
คุณมองนักเขียนไทยในปัจจุบันนี้ ว่ามีพัฒนาการและแตกต่างไปจากเดิมอย่างไรบ้าง?
 
เสียดายช่วงหลังมานี่ ไม่ค่อยได้ติดตามเพื่อนนักเขียนรุ่นใหม่ๆ เพราะเศรษฐกิจไม่อำนวยให้ซื้อหนังสืออ่านมากนัก แต่ถ้ามีโอกาสก็จะอ่านครับ แล้วก็น่าเสียดาย ตอนนี้คอลัมน์วิจารณ์หนังสือหายไปไหนหมด ผมอยากจะได้ไกด์นำอ่านบ้าง นักวิจารณ์ไปไหนหมดครับ กรุงเทพฯ ได้เป็นเมืองหนังสือโลกหานักวิจารณ์หนังสือดีๆ มาประดับไว้สักสี่ห้าคนสิครับไม่งั้นจะกลายเป็นเมืองกระดาษเปื้อนหมึกโลกนะครับ
 
เพราะบรรยากาศท้องถิ่นชนบทเป็นใจ ทำให้คุณกำลังซุ่มผลิตงานชิ้นใหม่อยู่ใช่ไหม?
 
ใช่ ตอนนี้ผมมีนวนิยายหลายเรื่อง เรียงแถวกันจะออกมา ขอเวลาเงียบๆ สงบๆ ผมอยากเขียนตลอดเวลานั่นแหละ
 
มาถึงตอนนี้ ชีวิตคุณยังมีความคิดฝันอยากทำอะไรอีกบ้าง?
 
ความคิดความฝันของผมคือ ได้เขียนหนังสือดีๆหลายๆ เล่ม ได้อ่านหนังสือดีๆ อีกหลายๆ เล่ม กินเหล้าดีๆ อีกหลายๆ แก้ว ผมไม่ฝันจะไปหาทางสงบเข้าวัด เข้านิพพานอะไรกับเขาหรอก ผมรักชีวิตแบบมนุษย์ครับ ผมมีกิเลส แล้วก็รักกิเลส อ้อ...อีกอย่างผมอยากบินได้ บินครับ บินเงียบๆ ร่อนไปเหมือนเหยี่ยว บอกกับเมียว่า ถ้ามีเงินจะซื้อ แฮงก์ไกลเดอร์ แล้วร่อนลงมาจากดอยหลวง
แค่นี้แหละครับฝันของผม.
 
 
หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2554
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักปรัชญาชายขอบ: “โครงสร้างโคตรอคติ”

Posted: 11 Nov 2011 07:54 AM PST

 
อ่านข้อความข้างล่างนี้ คิดว่าความเห็นของใครมีอคติครับ?
 
  
 
 
หลายคนคงบอกว่า คำพูดของอาจารย์เกษียร สะท้อนให้เห็นความมีอคติของคุณหญิงกัลยาอย่างชัดเจน เมื่อเรานึกตามคำพูดนั้นแล้วเห็น “ภาพ” นายกฯยิ่งลักษณ์ร้องไห้เพราะมีอารมณ์ร่วมกับความทุกข์ของประชาชน กับ “ภาพ” ใบหน้าเฉยชาที่สะท้อนความไร้มนุษยธรรมของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ในกรณี 91 ศพ
 
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อาจารย์เกษียรพูดอย่างปราศจากอคติ สำหรับผมบอกตามตรงว่าไม่ทราบครับ และไม่เห็นความจำเป็นต้องไปวิเคราะห์ว่าใครพูดอะไรเขามีอคติหรือไม่ ผมดูจากเนื้อหาสาระและเหตุผลของเขาเป็นหลัก ฉะนั้น ข้อความข้างบนนี้ผมเห็นด้วยกับอาจารย์เกษียร ไม่ใช่เพราะผมเชื่อว่าอาจารย์เกษียรไม่มีอคติ หรือเห็นว่าคุณหญิงกัลยามีอคติ แต่เพราะเห็นว่าเหตุผลของอาจารย์เกษียรดีกว่า มีน้ำหนักน่ายอมรับกว่า
 
“อคติ” (bias) หรือ “ความลำเอียง” ความโน้มเอียง มันคือภาวะทางจิตวิทยา หรือธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ นักปรัชญาบางคน (เช่น ค้านท์) เชื่อว่ามนุษย์สามารถใช้เหตุผลบริสุทธิ์ (pure reason) ตัดสินสิ่งต่างๆ อย่างปราศจากอารมณ์ความรู้สึกหรืออคติต่างๆ ได้ แต่นักปรัชญาบางคน (เช่น ซาร์ตร์) ไม่เชื่อเช่นนั้น เขาเห็นว่ามนุษย์เลือกที่จะเชื่อความจริงบางอย่างเสมอ เหตุผลเป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง
 
น่าสังเกตว่า ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งแบ่งสีมาจนบัดนี้ “อคติ” กลายเป็น “บาปอันใหญ่หลวง” ทางสังคม เพราะทั้งพระสงฆ์ สื่อคุณภาพ นักวิชาการฝ่าย (ที่อ้างว่า) เป็นกลางต่างออกมาเทศนาเตือนว่า ไม่ควรใช้อคติ ควรใช้เหตุใช้ผล กระทั่งตัดสินไปว่าการเลือกข้างคือการเลือกจากอคติที่ยึดความเป็นพวกเหนือหลักการ ความถูกต้อง หรืออุดมการณ์
 
บางฝ่ายบอกกระทั่งว่า ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเหตุผลของนักวิชาการบางคนบางกลุ่ม เช่น อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือกลุ่มนิติราษฎร์ ด้วยข้ออ้างที่ว่าไม่เป็นกลาง เข้าข้างเสื้อแดง โดยคนที่บอกเช่นนี้คิดว่าตนเองเป็นกลาง ไม่มีอคติ แต่กลับไม่ย้อนถามตนเองว่า ที่ตนเองไม่เห็นด้วยกับเขาโดยไม่ได้พิจารณาเนื้อหาสาระและเหตุผลของข้อเสนอของเขาอย่างถ่องแท้นั้น ที่จริงแล้วก็เป็นการมีอคติอีกแบบหนึ่ง คืออคติเรื่องรังเกียจในภาพลักษณ์ความเป็นฝักฝ่ายของเขา (โทสาคติ) จนทำให้ไม่พิจารณาเนื้อหาสาระของข้อเสนอของเขาให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้ง (โมหาคติ)
 
ฉะนั้น จึงไม่แน่ว่าพระสงฆ์หรือใครก็ตามที่เอาแต่เทศนาสอนคนไม่ให้มีอคติอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงโดยคำเทศนานั้นๆ ก็กำลังแสดงถึงความมีอคติอยู่ด้วยเช่นกัน
 
แต่ที่สำคัญกว่าคือ มีการตอกย้ำตลอดมาว่า เพราะนักการเมือง แกนนำมวลชน สื่อ นักวิชาการต่างเลือกข้างกันทั้งนั้นจึงแสดงความคิดเห็น เสนอข่าวอย่างมีอคติ ทำให้ไม่อาจแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อได้ แม้ในสถานการณ์น้ำท่วมแต่ละฝ่ายก็ยังใช้อคติต่อกันไม่เลิกรา
 
ผมเองก็เห็นว่า การใช้อคติเหนือเหตุผลนั้นเป็นปัญหาที่ควรแก้ไข แต่มานึกดูให้ดีพระสงฆ์หรือนักวิชาการที่เอาแต่ตำหนิการมีอคติของนักการเมือง สื่อ นักวิชาการเลือกข้างนั้น ที่จริงพวกเขาก็มีอคติเหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่เคยตำหนิ “อคติเชิงโครงสร้าง” ทางสังคมการเมืองและวัฒนธรรมที่เป็น “โคตรอคติ” นั่นคือ “โครงสร้างฉันทาคติ” หรือความลำเอียงเพราะรัก หรือเพราะอ้างอิงความรักต่อ “บุคคลพิเศษ” ที่ทำให้สถานะ อำนาจ บทบาทของบุคคลพิเศษนั้นสูงส่งเหนือมนุษย์ทั่วไป และอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบใดๆ
 
โครงสร้างโคตรอคติดังกล่าวนี้ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ใช้อคติเหนือเหตุผลโดยจำเป็น
 
เช่น ประชาชนต้องรักประมุขของรัฐเท่านั้น ไม่มีเสรีภาพที่จะประกาศแก่สาธารณะว่าไม่รัก การไม่มีเสรีภาพที่จะรัก-ไม่รัก นอกจากเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลรองรับอย่างที่สุด หรือเป็นเรื่องอคติที่สุดแล้ว ยังเป็นการบั่นทอนความเป็นมนุษย์ในระดับลึกสุด คือระดับ “ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์” เลยทีเดียว เพราะความรักเป็นธรรมชาติของจิตใจที่มีเสรี ไม่ใช่เรื่องที่ควรครอบงำ บังคับ
 
ที่น่าหดหู่คือ โครงสร้างดังกล่าวคือโครงสร้างที่กำราบประชาชนด้วย “ความรัก” และ “อำนาจ” ถ้าคุณรัก คุณศรัทธา ซาบซึ้ง คุณก็กลายเป็นพลเมืองดี หากคุณประกาศตัวว่าไม่รัก วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ หรือนำเสนอความจริงด้านลบ คุณก็จะถูกใช้อำนาจกดข่มปราบปราม
 
ภายในประเทศนี้ เมื่อคุณเปิดทีวี วิทยุ หากวันไหนไม่ได้ฟังเพลง สปอร์ตโฆษณา เรื่องเล่าที่สรรเสริญบุญคุณความดีของบุคคลพิเศษแล้วละก็ ต้องถือว่าผิดปกติ หรือคุณอาจกำลังฝันไปว่าตนเองได้กลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว
 
นอกจากจะมีการสรรเสริญบุญคุณความดีของบุคคลที่ตรวจสอบไม่ได้ดังกล่าวแล้ว ยังมีการนำคุณคาวมดีนั้นมาเปรียบเทียบให้เห็นความชั่วช้าของนักการเมืองที่ประชาชนเลือกซึ่งตรวจสอบได้ วิจารณ์ได้ ด่าได้ ถอดถอนหรือจับเข้าคุกได้ มีการเปรียบเทียบแม้กระทั่งว่าหากประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยสากลแล้วคนไทยคิดว่า จะมีผู้นำประเทศซึ่งมาจากนักการเมืองเป็นคนดีเท่าบุคคลพิเศษนี้หรือ นี่คือการเปรียบเทียบที่อคติสุดๆ
 
จะว่าไปแล้ว โครงสร้างโคตรอคตินี้ ทำให้ประชาชนไม่สามารถให้เหตุผลแสวงหาเป้าหมายทางสังคมการเมืองที่ดีกว่า เพราะเป้าหมายถูกให้มาหรือถูกกำหนดเอาไว้อย่างตายตัวแล้วภายใต้กรอบของความรัก (จงรักภักดี) และอำนาจที่แตะไม่ได้ ฉะนั้น ประชาชนจึงต้องเชื่อถือ รัก ซาบซึ้ง พึ่งบารมี เท่านั้น
 
เห็นอคติกันเป็นประจำอยู่ไม่ใช่หรือครับว่า ในประเทศนี้มีกลุ่มคนที่คัดค้านการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของพวกอื่น แต่พวกตนจะถวายฎีการกล่าวโทษรัฐบาลที่แก้ปัญหาน้ำท่วมไม่สำเร็จ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามีคนไล่คนอื่นออกจากบ้านของพ่อ ทั้งที่โดยเหตุผลแล้วที่นี่คือบ้านของเราทุกคน และเราควรรักใครในฐานะพ่อแม่ก็เฉพาะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาเท่านั้น  
 
ฉะนั้น พระสงฆ์หรือใครก็ตามที่เอาแต่เทศนาหรือวิจารณ์ว่า นักการเมือง สื่อ นักวิชาการที่เลือกข้างมีอคติ แต่ไม่สนใจ ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับ “โครงสร้างโคตรอคติ” พระสงฆ์หรือใครเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นกลางจริงๆ หรอก ไม่ใช่ผู้ไม่มีอคติหรอกครับ แต่พวกเขากำลังเทศนาหรือวิจารณ์อย่างมีอคติต่างหาก
 
จะว่าไปแล้ว ภายใต้โครงสร้างโคตรอคตินี้ มันทำให้ทุกคนจำเป็นต้องมีอคติทางการเมืองไปโดยปริยาย เพราะถ้าคุณรักคุณซาบซึ้ง คุณก็อวยอย่างเดียว ถ้าไม่รักไม่ซาบซึ้งก็ประกาศแก่สาธารณะไม่ได้ วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ แม้อ้างว่าเป็นกลางก็เป็นไม่ได้ เพราะไม่สามารถพูดถึงทุกฝ่ายทั้งแง่ลบแง่บวกได้อย่างเท่าเทียม
 
ฉะนั้น เสียเวลาเปล่าที่จะวิจารณ์ว่าฝ่ายใดๆ มีอคติ เพราะคนวิจารณ์ก็มีอคติเต็มๆ ภายใต้ “โครงสร้างโคตรอคติ” ที่กำหนดให้ต้องเป็นเช่นนั้น การต่อสู้ทางความคิดในสถานการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบันต้องสู้กันด้วยเหตุผลของแต่ละฝ่ายว่า ฝ่ายไหนมีเหตุมีผลดีกว่ากัน หรือเหตุผลฝ่ายไหนที่สามารถนำไปสู่การแก้ไขโครงสร้างโคตรอคติที่ครอบงำสังคมอยู่ได้จริงกว่า!
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มวลน้ำ แผนที่มวลน้ำ และผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ

Posted: 11 Nov 2011 07:32 AM PST

บ้านผมน้ำท่วม 1.5 เมตร แต่ไม่คิดว่าจะต้องให้ที่อื่นต้องท่วมเหมือนของผม ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเสียสละให้คนอื่นสุขสบาย แต่มวลน้ำหมื่นล้าน ลบ.ม. ทำให้คิดว่า ถ้าระบายน้ำไป 1 ลบ.ม. ย่อมมีน้ำมาแทนที่ในจำนวนเดียวกัน ไม่ทางที่ความสูงน้ำจะลดลงอย่างง่ายดาย จึงไม่จำเป็นต้องให้ที่อื่นเปียกแบบเดียวกัน ไม่น่าจะต่างจากการเดินเข้าเส้นขอบฟ้า ซึ่งเป็นเส้นในจินตนาการที่เราเดินเข้า 1 ก้าว เส้นนี้จะถอยออกไป 1 ก้าวเช่นกัน
           
ในเมื่อน้ำท่วมไปแล้ว ผมต้องการรู้แค่ว่า น้ำท่วมได้อย่างไร ถ้าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเพราะการจัดการผิดพลาดก็ต้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษ
           
เมื่อผมติดตามสารสนเทศเรื่องน้ำอย่างใกล้ชิด ก็พบว่ามีความแตกต่างในด้านการให้น้ำหนักกับข้อมูล เมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำที่ปรากฏบนสื่อสาธารณะ รวมถึงบางคนที่สื่อนำข้อเขียนของเขาบนโพสต์บนเว็บไซต์ของสื่อนั้นๆ
 
แค่ถามว่า “ทำไมน้ำท่วมนนทบุรีฝั่งตะวันตก”
           
ทันทีที่น้ำท่วมบางบัวทอง บางใหญ่ วันที่ 19 – 20 ต.ค. หลังจากอพยพตัวเองแล้ว ผมได้เข้าสู่เฟซบุ๊ค “เรารักชลประทาน” ของกรมชลประทาน ในวันที่ 20 ต.ค. แล้วตั้งคำถามว่า สถานการณ์แม่น้ำท่าจีนเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่สามารถรับน้ำจากคลองของนนทบุรีฝั่งตะวันตกได้ คำตอบของแอดมินเพจ คือ เราไม่มีเวลาตอบ
           
คำถามนี้เกิดขึ้นเพราะช่วงสัปดาห์ 10 – 16 ตุลาคม เมื่อท่วมปทุมธานีแต่ยังไม่สามารถพื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอบางบัวทอง ยกเว้นพื้นที่ริมคลอง น่าจะเป็นเพราะน้ำยังสามารถระบายไปยังแม่น้ำท่าจีนได้
           
วันรุ่งขึ้น ผมเข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมชลประทานเพื่อดูรายงานที่มี และพบว่ามีรายงานสรุปสถานการณ์ประจำวัน และประจำสัปดาห์ ในรายงานประจำวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งเข้าใจว่าเป็นรายงานสถานการณ์น้ำวันที่ 20 ต.ค. ปรากฏว่า กรมชลประทานระบายน้ำมาทางแม่น้ำท่าจีน 60 ล้าน ลบ.ม. เป็นประตูน้ำพลเทพ 30 ล้าน ลบ.ม. ประตูนี้เป็นข้อขัดแย้งระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยโดยนายพายัพ ปั้นเกตุกับนายบรรหารเมื่อต้นเดือนตุลาคม เรื่องนี้เข้าใจว่า นี่เป็นความสำเร็จของพรรคเพื่อไทยในการเปิดประตูน้ำพลเทพ เมื่อดูรายงานประจำสัปดาห์ พบว่า ประตูน้ำแห่งนี้เปิดมาอย่างน้อยตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. ผมจึงโพสต์ประเด็นนี้บนเพจนี้ เพื่อทำให้กรมชลประทานรู้ว่าพวกเขากำลังถูกตรวจสอบ
           
ต่อมาในวันที่ 24 ต.ค. ศศิน ตั้งประเด็นบนเฟซบุ๊คเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำของคลองมหาสวัสดิ์ ผมได้อธิบายพฤติกรรมการท่วมของคลองฝั่งนี้ว่าจะไปทีละคลอง ปริมาณน้ำที่คำนวณได้พื้นที่ท่วมจากแผนที่กับไม้บรรทัด ซึ่งน้ำจะเอ่อท่วมตามจังหวะน้ำขึ้นประมาณ 2 รอบ คาดว่ารอบละ10 – 15 ล้าน ลบ.ม. สองรอบของน้ำขึ้นลงจึงมีปริมาณน้ำเอ่อท่วมวันละ 20 – 30 ล้าน ลบ.ม. และสรุปให้ศศิน น้ำจะข้ามคลองมหาสวัสดิ์ไปทวีวัฒนาใน 2 วัน เขาตอบว่า ถ้าเป็นสองวันตามที่พี่บอก ก็ต้องแจ้งเตือนภัย ขณะที่ วัตถุประสงค์ของติดตามในช่วง 4 – 5 วันนี้ คือ ต้องการทราบสาเหตุเพื่อหาทางแก้ไข สมมติฐานของผมคือ น้ำในแม่น้ำท่าจีนมากเกินไปทำให้น้ำจากคลองของนนทบุรีฝั่งตะวันตกไหลไปไม่ได้ เพราะน้ำท่วมเกิดด้านปลายคลองออกมาด้านเจ้าพระยา ดังนั้น ต้องลดปริมาณน้ำของแม่น้ำท่าจีนลง เพื่อลดหายนะที่แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ
           
จนกระทั่ง ดร.เสรี ศุภราทิตย์ นำเสนอประเด็นภาระที่มากเกินไปของแม่น้ำท่าจีน และประเมินว่าฝั่งตะวันตกมีมวลน้ำเข้ามาวันละ 30 ล้าน ลบ.ม.  เมื่อประมาณ 28 ต.ค.
           
จากรายงานสถานการณ์น้ำของกรมชลประทาน ได้แสดงให้เห็นว่ามีลดการระบายลงสู่แม่น้ำท่าจีน ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. จนถึงเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ลดเหลือ 16 ล้าน ลบ.ม. ผลที่เกิดขึ้น ระดับน้ำในพื้นที่บางบัวทอง บางใหญ่ ลดลง ประมาณ 20 – 30 ซม. น้ำในฝั่งตะวันตกเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 19 – 30 ต.ค. ควรมีปริมาณสะสมอยู่ประมาณ 360 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้น ถ้ากรมชลประทานปรับตัวเองเร็วสัก 1 สัปดาห์ ประมาณช่วงน้ำท่วมแค่บางใหญ่ น้ำท่วมอาจจะลดระดับความรุนแรงในพื้นที่ธนบุรีลง
 
มวลน้ำแต่ละวันไม่มีความสำคัญ
           
ในขณะที่ สิ่งที่ผมติดตามคือ มวลน้ำหรือปริมาณน้ำและวิธีจัดการ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจในการนำเสนอของนักวิชาการ เจ้าหน้าที่ด้านระบายน้ำ ไม่มีใครพูดถึงตัวเลขของน้ำที่เป็นรูปธรรม มีแต่ตัวเลขรวม เช่น 4,000 ล้าน ลบ.ม. 10,000 ล้าน ลบ.ม. มีเพียง ดร.เสรี ที่พูดถึงปริมาณน้ำที่เอ่อท่วมแต่ละวัน และประมาณปริมาณน้ำในพื้นที่จำกัดลง เช่น ปริมาณน้ำที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม
           
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำที่ออกหน้าจอโทรทัศน์ บนเว็บไซต์ หรือ บนเฟซบุ๊ค มักจะมาพร้อมกับแผนที่ แล้วบอกว่าน้ำจะไปถึงที่นั่น ที่นี่ในกี่วัน แต่ละเลยปริมาณน้ำที่เข้ามา ที่จะเป็นสารสนเทศสำหรับคนที่บ้านถูกน้ำท่วมไปแล้วสำหรับพวกเขา ในการประเมินว่าน้ำจะลดเมื่อไร ในเพจ “เรารักชลประทาน” จะมีคนถามอยู่เสมอน้ำจะลดเมื่อไร พอๆกับน้ำจะมาถึงเมื่อไร ในระยะหลังคำถามน้ำจะลดเมื่อไร เริ่มมากกว่า
           
ในกรณี นนทบุรีฝั่งตะวันตก นอกจากจะประเมินปริมาณน้ำให้ศศินแล้ว และจำนวนวันที่จะเข้าถึงเขตทวีวัฒนา ผมได้บอกตั้งแต่วันแรกๆ ของน้ำท่วมบางใหญ่ว่า สาเหตุน้ำท่วมว่าน่าจะมาจากแม่น้ำท่าจีนมีน้ำมากเกินไป เขาตอบเรื่องนี้ยาว ซึ่งผมคาดว่าในฐานะที่เขาออกสื่อบ่อย น่าจะนำไปสู่การแสวงหาทางออกในการลดผลกระทบ จึงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง
           
เมื่อติดตามเฟซบุ๊คของเขาไประยะหนึ่ง เขาและแฟนคลับมีความมุ่งมั่นที่จะประเมินน้ำจะไปพื้นที่ต่างๆ เมื่อไร เพื่อการเตือนภัยเท่านั้น เมื่อ 1 พ.ย. เขาเขียนว่า “...เดี๋ยวคืนนี้มาสรุปสถานการณ์ตอนดึกๆ ครับ เป็นห่วงคนฝั่งตะวันตกมากครับ” ผมตอบ“ฝั่งตะวันตก ไม่มี (อะไร) น่ากลัวหรอก เพียงแต่น้ำจำนวนวันละ 30 ล้าน ลบ.ม. จะขยับไปถึงอย่างไร จำนวนที่ อ.เสรีบอกก็ใกล้กับผมประเมิน เมื่อ 10 วันที่แล้ว และสาเหตุก็มาจากสถานการณ์ในแม่น้ำท่าจีนเหมือนกับที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว” ความจริงอยากจะบอกเขาว่า ถ้าเขาทำอะไรกับสารสนเทศของผม แล้วเกิดอภินิหารนำไปสู่การปรับปรุงเหมือนเสียงพูดของ ดร.เสรี เกี่ยวกับเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ที่ผมเข้าใจว่านำไปสู่การปรับปรุงการปล่อยน้ำของกรมชลประทานที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมฝั่งตะวันตกดีขึ้น
 
หลังจากนั้น ผมติดตามเฟซบุ๊คของเขาน้อยลง เพราะหน่วยงานรัฐก็เตือนภัยได้ดีขึ้น ข่าวสารชัดเจนขึ้น เพียงแต่เขาอาจจะตอบได้ดีกว่าในรายละเอียดของพื้นที่ ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นยังไม่ต่างกันนักในการใช้แผนที่ บอกเวลาการขยับของมวลน้ำ ซึ่งไม่ตรงกับผมที่ต้องการทราบว่ามีมวลน้ำเท่าไรที่ต้องจัดการ ความสามารถในการระบายเป็นเท่าไรและอย่างไร จะได้รู้ว่า ถ้าจัดการไม่ได้ จะได้ทำใจ และต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้นานแค่ไหน
 
การแก้ไขปัญหาน้ำโดยผู้เชี่ยวชาญในอนาคต
 
เมื่อผมติดตามการประเมินสถานการณ์น้ำและข้อเสนอของ ทีมกรุ๊ป ที่เป็นบริษัทด้านแหล่งน้ำ ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญในพื้นที่สื่ออย่างมาก ก็มีเพียงการเตือนภัยอพยพ แต่ไม่ได้ข้อเสนอในการจัดการน้ำเพื่อลดผลกระทบแม้แต่น้อย
 
ในการสถานการณ์น้ำของกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ก็ไม่แตกต่างจากรายงานของกรมชลประทาน แตกต่างจาก ดร.เสรี ที่มีการประเมินสถานการณ์น้ำท่วมของกรุงเทพฯ มีทั้งภาพรวม ปัจจัยที่ควรระวัง แน่นอน ทีมกรุ๊ป ไม่เข้าตาของผมอย่างแน่นอน ผมคิดว่าศักยภาพของกรมชลประมานสามารถทำได้ โดยไม่ต้องจ้างทีมกรุ๊ป ถ้ามีเงื่อนไขต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา
 
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นคีย์แมนของ ศปภ. เป็นผู้ที่ออกสื่อบ่อยมาก แน่นอนผมไม่มีความประทับใจเลยแม้แต่น้อย วันที่ 22 ต.ค. ในสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เขาประเมินสถานการณ์น้ำของพื้นที่ธนบุรี น้ำจะท่วมแค่รำคาญ ประมาณ 20 – 30 ซม. ในความจริงคงจะหาได้ยากในเขตบางแค
 
ผมคงไม่เข้าใจว่า ยุทธศาสตร์บริหารน้ำพวกเขาอาจจะใช้วิธีการกางแผนที่ ดูเส้นคอนทัวร์ ก็พอแล้ว แต่ในการบริหารน้ำยามวิกฤติในครั้งนี้ควรจะแตกต่างออกไป เพราะในความเข้าใจของผมคือ สำหรับลุ่มเจ้าพระยา น่าจะต้องบริหารมวลน้ำ และการระบายออกอย่างเป็นจริง  เพราะลุ่มเจ้าพระยามีเครื่องมือในการควบคุมมากมายทั้งเขื่อน คลอง ประตูน้ำ เป็นต้น
 
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ยกเว้น กรมชลประทาน และสำนักระบายกรุงเทพมหานครที่สามารถบอกได้จะทำอะไรได้บ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทำได้แค่เตือนภัย เหมือนที่ ศปภ. ทำ ทั้งที่พวกเขาน่าจะมีข้อเสนอในการบริหารมวลน้ำ เพื่อทำให้คนจ่ายภาษีอย่างน้ำมั่นใจว่า การจัดการน้ำมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้
 
ถ้าผู้เชียวชาญด้านของไทยมีศักยภาพในบริหารน้ำตามที่พบเห็นในช่วงนี้แค่ประกาศเตือนภัย ผมคิดว่า เราก็อย่าท้าทายพระเจ้า ด้วยความคิดว่ามนุษย์เราสามารถควบคุมธรรมชาติ มิฉะนั้น ก็เหมือนกับตำนาน “หอบาเบล”
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เมื่อฝนฟ้ามาเยือนเมืองพัทลุง ก็ถึงเวลาลุกขึ้นมาเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ

Posted: 11 Nov 2011 07:18 AM PST

ภัยพิบัติช่วงปี 2553-54 ทั้งน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง กระตุ้นให้ชาวจังหวัดพัทลุงตื่นตัวเตรียมรับมือภัยพิบัติ

จากเหตุการณ์ฝนตกหนัก จากพายุดีเปรสชั่นพัดเข้าสู่ชายฝั่งทะเลงภาคใต้ เมื่อคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงนานัปการกระหน่ำซัด ก่อนเหตุการณ์ปลายเดือนมีนาคม–เมษายน 2554 ประสบเข้ามาอีกคำรบ ทั้งน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง เป็นตัวกระตุ้นให้ชาวจังหวัดพัทลุงตื่นตัวเตรียมรับมือภัยพิบัติในเวลาต่อมา

ปลายปี 2553 สมาคมรักษ์ทะเลไทยได้ของบประมาณ ทำโครงการแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับชุมชนชายฝั่งรอบทะเลสาบสงขลา เพื่อฟื้นฟูชุมชนประมงรอบทะเลสาบสงขลา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

 


เบญจวรรณ  เพ็งหนู

นางเบญจวรรณ  เพ็งหนู ผู้ประสานงานสมาคมรักษ์ทะเลไทย หนึ่งในคณะทำงานโครงการสร้างสุขสู่เมืองลุงน่าอยู่ เล่าถึงกระบวนการที่สมาคมรักษ์ทะเลไทยเข้าไปจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังภัยพิบัติในระยะแรกๆ ว่า มีการจัดตั้งศูนย์สื่อสารภาคประชาชนรอบทะเลสาบสงขลา มีอุปกรณ์ประจำศูนย์ประสานงานและเฝ้าระวังคือ วิทยุสื่อสารแม่ข่าย วิทยุลูกข่ายเครื่องแดงประจำศูนย์ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน ตำบลลำปำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

ต้นปี 2554 เกิดความร่วมมือในระดับจังหวัดพัทลุง ระหว่างภาคีเทศบาลเมืองพัทลุงกับภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม 14 องค์กร เช่น สมาคมครอบครัวเข้มแข็ง เครือข่ายสตรีรอบทะเลสาบสงขลา เครือข่ายชุมชนรักษ์ลุ่มน้ำจังหวัดพัทลุง สมาคมรักษ์ทะเลไทย เป็นต้น

ความร่วมมือดังกล่าว เป็นที่มาของงบประมาณจำนวน 16 ล้านบาท จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการศึกษาและพัฒนาจังหวัดพัทลุงให้เป็นไปในทิศทางที่เกื้อกูลต่อวิถีชีวิตของคนพัทลุง กำหนดระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี 2554–2557 ภายใต้โครงการสร้างสุขสู่เมืองลุงน่าอยู่

มีดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก (SEA START RC) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง เข้ามาช่วยสนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการในการวิเคราะห์ทิศทางของภัยพิบัติ รวมถึงการวางแผนป้องกันและรับมือภัยพิบัติด้วย

“ลักษณะการเชื่อมโยงของจังหวัดพัทลุง จะมีเครือข่ายตามระบบนิเวศน์ พื้นที่ต้นน้ำคลองท่าเชียด ตำบลตะโหมด อำเภอตะโหมด กลุ่มรักษ์เขาบรรทัด ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ พื้นที่กลางน้ำคือ อำเภอบางแก้วและอำเภอใกล้เคียง พื้นที่ปลายน้ำคือ ชุมชายฝั่งรอบทะเลสาบสงขลา” นางเบญจวรรณ  เพ็งหนู เล่าถึงกระบวนการเชื่อมร้อยความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดพัทลุง

ภายใต้ความร่วมมือชาวบ้านได้จัดทำฐานข้อมูลชุมชน เช่น ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเสี่ยงภัยในชุมชนคือ คนแก่ คนพิการ เด็ก และผู้หญิงท้องว่าอยู่ตรงจุดไหนของชุมชน จุดไหนเป็นจุดเสี่ยงในการเกิดภัย ไม่ว่าที่ลุ่มน้ำท่วมขัง พื้นที่น้ำไหลหลาก มีการสำรวจข้อมูลเส้นทางการอพยพ จุดประสานงานในการช่วยเหลือ ตลอดทั้งเครือข่ายวิทยุเครื่องแดง

พร้อมกับสร้างทีมอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยภายในชุมชน ซึ่งมาจากตัวแทนกลุ่มออมทรัพย์ของชุมชน กลุ่มรับซื้อน้ำยาง กลุ่มประมงอาสา คอยเก็บรวบรวมข้อมูล จัดทำแผนชุมชน มีการประชุมทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง

จากประสบการณ์น้ำท่วม เมื่อปี 2553 นางเบญจวรรณ เพ็งหนู และเพื่อนผู้ประสบภัยพบว่า สิ่งของที่มาช่วยเหลือไม่ได้ถูกกระจายไปถึงคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ใครอยู่ติดถนนจะได้รับความช่วยเหลือ คนก้นซอยที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า กลับไม่ได้สิ่งของที่ส่งเข้ามาบรรเทาความเดือดร้อน เนื่องจากเส้นทางเข้าไปยังชุมชนลำบาก มีต้นยาง เสาไฟฟ้าล้มขวางเส้นทางสัญจร

“จึงมีแนวทางว่า เมื่อหน่วยงานของรัฐตั้งศูนย์กลางประสานให้ความช่วยเหลือ ให้คณะกรรมการของแต่ละชุมชนคอยตรวจสอบข้อมูลว่า จะช่วยเหลือใครก่อนหลังอย่างไร แจกสิ่งของอย่างไรไม่ให้ซ้ำซ้อน แจกอย่างไรให้ทั่วถึง เป็นต้น” เป็นคำอธิบายจากนางเบญจวรรณ เพ็งหนู

ในแผนของเครือข่ายระดับจังหวัด ภาคประชาชนเสนอให้มีการวางผังเมืองระดับจังหวัด และระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้เหตุผลว่าปัญหาน้ำท่วมส่วนหนึ่งมาจากการวางผังเมือง โดยเฉพาะการสร้างถนนกีดขวางทางน้ำ ทำให้น้ำขังและไหลช้า

รวมทั้งประสานให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ขุดลอก คู คลอง ท่อระบายน้ำด้วย

ฝนตกติดต่อกันมา 10 กว่าวันแล้ว แม้ปริมาณอาจไม่มาก แต่กระแสน้ำข้างถนนไหลแรงเอ่อล้นคูท่วมทุ่งนา ที่รอบข้างถูกทับถมเป็นอาคาร บ้าน และถนนสูง

บนท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆครึ้มดำ มีทีท่าว่าจะกระหน่ำลงมาเป็นฝนห่าใหญ่ ฤดูฝนของภาคใต้ถึงเวลามาเยือนแล้ว
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมาคมต้านโลกร้อนค้านสูบน้ำเปื้อนมลพิษกู้นิคมอุตสาหกรรม

Posted: 11 Nov 2011 07:03 AM PST

11 พ.ย. 54 - สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนทำจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลค้านการสูบน้ำที่ปนเปื้อนมลพิษเพื่อกู้นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม และคัดค้านการส่งเสริมการจัดทำคันกั้นน้ำถาวรเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม แต่ละเลยทุกข์ของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม

คัดค้านการสูบน้ำที่ปนเปื้อนมลพิษเพื่อกู้นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม และคัดค้านการส่งเสริมการจัดทำคันกั้นน้ำถาวรเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม แต่ละเลยทุกข์ของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม

เรียน นายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร)

สำเนาเรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม

ประธานกรรมการฯ และผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ

ด้วยปรากฏชัดแจ้งในขณะนี้ว่านิคมอุตสาหกรรม หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรม ที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่รองรับน้ำตามธรรมชาติ มีความพยายามที่จะฟื้นฟูกู้นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดอยุธยาและปทุมธานี กันอย่างเร่งรีบ ความดังทราบแล้วนั้น แต่เนื่องจากพื้นที่ภายในนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมขังนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะปนเปื้อนสารเคมีอันตรายต่าง  ๆ ที่เป็นวัตถุดิบและกากของเสียอุตสาหกรรมในโรงงานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ดังนั้นความพยายามกู้คืนนิคมอุตสาหกรรมโดยการสูบน้ำออกนอกนิคมอุตสาหกรรม เพื่อทิ้งออกสู่ภายนอก โดยมิได้มีการบำบัดให้เป็นไปตามมาตรฐานก่อนนั้น ย่อมอาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพอนามัยของประชาชนในวงกว้าง และเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง หน่วยงานท่านในฐานะผู้กำกับดูแลย่อมต้องยับยั้งการกระทำดังกล่าว และต้องสั่งการให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ และปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายเสียก่อน

เหตุดังกล่าวสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ในฐานะองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้รับการร้องเรียนจากประชาชนโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวข้างต้นว่าได้รับความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังกล่าว สมาคมฯ จึงใคร่ร้องเรียนมายังท่าน เพื่อโปรดใช้อำนาจตามหน้าที่เพื่อดำเนินการหรือสั่งการ ดังนี้

1. ขอให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ถูกน้ำท่วมแต่ละแห่งมีโรงงานที่มีสารเคมีและขยะอันตรายปนเปื้อน  ทั้งที่เก็บสำรองและอยู่ระหว่างการดำเนินการผลิตจำนวนมากขณะที่น้ำท่วมมาอย่างฉับพลัน รวมทั้งของเสียที่อยู่ในกระบวนการบำบัด  ก่อนการสูบน้ำออกสู่ชุมชน โดยขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลและมีกระบวนการตรวจสอบความเป็นอันตรายในทางวิชาการอย่างครบถ้วนชัดเจน  รวมถึงมีการจัดการบำบัดจนได้มาตรฐานก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกแล้วเท่านั้น

2. ให้มีนักวิชาการอิสระและตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่ชุมชนรอบนิคมฯเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในกระบวนการตรวจสอบ เพื่อประเมินข้อมูลและประเมินผลตรวจสอบในแต่ละนิคม เพื่อป้องกันผลเสียต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นต่อทุกภาคส่วน

3. ให้ตรวจสอบสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบหรือสัมผัสสารพิษโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม และมีมาตรการที่ชัดเจนในการฟื้นฟู เยียวยา และดูแลชุมชนที่อยู่รอบนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการในการเก็บกู้ของเสียอันตราย (ขยะอุตสาหกรรม) ที่หลุดรอดออกมาก่อนหน้านี้

4. ให้ยุติการส่งเสริม การอนุมัติหรือการอนุญาตการขยายนิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรม หรือโครงการหรือกิจกรรมที่นำไปสู่การปิดกั้นหรือขวางกั้นทางน้ำ ของหน่วยงานใด ๆ ของภาครัฐในพื้นที่จังหวัดอยุธยา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคกลางอย่างถาวร ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับน้ำในฤดูน้ำหลากโดยทันที รวมทั้งพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วย

5. ให้ยุติการส่งเสริมหรืออนุญาตให้นิคมอุตสาหกรรม หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมที่ผ่านมา จัดทำกำแพงหรือคันกั้นน้ำถาวรโดยมิได้สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนรอบข้างโดยเด็ดขาด จนกว่ารัฐบาลจะมีมาตรการและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว เช่น มาตรากรภาษีคันกั้นน้ำ ฯลฯ ในการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางหรือพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ เป็นที่พอใจของชุมชนโดยรอบแล้ว เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคันกั้นน้ำดังกล่าว ที่จะมีต่อชุมชน และการดำเนินการดังกล่าวจะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเสียก่อน โดยต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจนได้ข้อยุติหรือผ่านความเห็นชอบร่วมกันก่อนแล้ว

สมาคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับฟังข้อร้องเรียนดังกล่าวข้างต้น และนำไปสู่การสั่งการและหรือการปฏิบัติในการป้องกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในเร็ววันเสียก่อน หากท่านเพิกเฉยหรือละเว้นสมาคมฯ จำเป็นต้องใช้กระบวนการยุติธรรมทางปกครองเพื่อให้มีคำสั่งตามข้อร้องเรียนข้างต้น

ขอแสดงความนับถือ

นายศรีสุวรรณ จรรยา

นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

TCIJ: ชาวบ้าน โร่แจ้งความ ถูกหลอกเซ็นชื่อขยาย ‘ลำห้วยโมง’

Posted: 11 Nov 2011 06:39 AM PST

แจงลงลายมือชื่อยินยอมให้ขุดลอกลำห้วยโมง หวังกำจัดวัชพืชและสิ่งที่กีดขวางทางน้ำ หวั่นชื่อถูกนำไปใช้หนุนขุดขยาย ทำสูญเสียที่ดิน-ระบบนิเวศ พร้อมจี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอความจริง

เมื่อวันที่ 10 พ.ย.54 เวลาประมาณ 11.30 น. ชาวบ้านจากบ้านลาน, บ้านเหล่าคราม และบ้านวังสวย ต.จำปาโมง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ประมาณ 10 คน รวมตัวกันเดินทางไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เพื่อยกเลิกการแสดงความประสงค์ยินยอมให้ขุดลอกลำห้วยโมง

นางจุลนี อินทราชา ชาวบ้านที่มาแจ้งความในครั้งนี้ กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือน ส.ค.54 ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่ได้นำกระดาษเปล่ามาให้ชาวบ้านในหมู่บ้านที่มีที่ดินติดลำห้วยโมง ลงลายมือชื่อเพื่อให้ยินยอมขุดลอกลำห้วยโมง โดยให้ข้อมูลเพียงว่าจะขุดลอกวัชพืชและสิ่งที่กีดขวางทางน้ำออกเพียงเท่านั้นเพื่อให้น้ำไหลได้สะดวก จึงได้ยอมลงชื่อไป แต่เมื่อภายหลังได้ทราบข้อมูลว่าโครงการที่เซ็นชื่อให้ขุดลอกไปจะเป็นโครงการที่ขุดลอกขยายลำห้วยโมง ทั้งกว้างและลึกจากเดิมหลายเมตร ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดิน ที่นาและต้นไม้ พร้อมทั้งสภาพธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ริมห้วยอย่างมากมาย จึงมีความกังวลว่ากระดาษเปล่าที่ลงชื่อไปจะนำมาซึ่งการขุดลอกลำห้วยโมง นำสู่การสูญเสียที่ดินและระบบนิเวศดังกล่าว จึงได้มาแจ้งความไว้เพื่อขอยกเลิกการเซ็นชื่อดังกล่าวข้างต้น

“ส่วนตัวไม่ต้องการให้มีการขุดลอกลำห้วยโมงอยู่แล้ว เนื่องจากที่นาที่อยู่ติดลำห้วยโมง เป็นผืนดินที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษจึงต้องการรักษาไว้ แต่ที่เซ็นต์ชื่อเนื่องจากไม่ได้รับทราบข้อมูลการขุดลอกที่แท้จริงมาก่อน แต่เมื่อรู้ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจริง จึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการขุดลอกดังกล่าว และต่อไปพร้อมที่จะรวมตัวกับกลุ่มพี่น้องชาวบ้านที่รวมตัวกันก่อนแล้วในการเสนอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลโครงการที่แท้จริงต่อไป” นางจุลนีกล่าว
 
ส่วนนางคำพอง ทาสาลี ชาวบ้านบ้านโนนสว่าง แกนนำกลุ่มผู้คัดค้านโครงการขุดลอกขยายลำห้วยโมง ที่รวมตัวกันติดตามข้อมูลการขุดลอกลำห้วยโมงในครั้งนี้ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านเหมือนถูกหลอกโดยที่ไม่รู้ว่าหลังจากเซ็นชื่อแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ทางกลุ่มติดตามกันมา การขุดลอกลำห้วยโมงในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อรองรับโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติ หรือ โครงการผันน้ำ โขง-เลย-ชี-มูล โดยที่ผ่านมาโครงการนี้ได้ก่อให้เกิดผลกระทบจากการขุดลอกมาแล้วอย่างกว้างขวาง ดังเช่นที่ลำน้ำลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งยังมีปัญหาการฟ้องร้องในชั้นศาลจนถึงทุกวันนี้
 
“ขณะนี้ทางกลุ่มก็จะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ การดำเนินการขุดลอกลำห้วยโมงต่อไป เพื่อเท่าทันถึงข้อมูลที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นในชุมชน และกำลังรวบรวมรายชื่อกันเพื่อยื่นหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขุดลอกครั้งนี้ ให้ลงมาชี้แจงข้อมูลแท้จริงต่อพวกเรา เนื่องจากที่ผ่านมาเราถูกปกปิดความจริงมาโดยตลอดทั้งที่เป็นผืนดินของเราเอง” นางคำพองกล่าว 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พม่าเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ก่อสร้างถนนทวาย - กาญจนบุรี

Posted: 11 Nov 2011 04:23 AM PST

กองทัพพม่าได้ส่งกำลังทหารอีก 2 กองพันเข้าไปประจำในเขตเคลื่อนไหวของกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวรัฐบาลพม่าเตรียมก่อสร้างถนนที่เชื่อมเมืองทวาย และ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย

มีรายงานว่า กองทัพพม่าได้ส่งกำลังทหารอีก 2 กองพันเข้าไปประจำในเขตพื้นที่ก่อสร้างถนนที่เชื่อมเมืองทวาย และ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย โดยในพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองกำลังปลดปล่อยกะเหรี่ยงแห่งชาติ (Karen National Liberation Army-KNLA) ซึ่งเป็นกองกำลังทหารภายใต้เคเอ็นยู

แหล่งข่าวในพื้นที่รายงานว่า ทหารพม่าอีก 2 กองพันเดินทางมาถึงในพื้นที่เมื่อวานนี้ เพื่อมาสมทบกับทหารพม่าอีก 6 กองพันที่ถูกส่งตัวมาก่อนหน้านี้ ด้านซอ เค ทู วิน หัวหน้าเขตมะริด - ทวาย ของเคเอ็นยูเปิดเผยว่า กองทัพพม่าได้เพิ่มกำลังทหารเข้ามาประจำในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว คาดตัวเลขทหารในพื้นที่น่าจะมีอยู่ราว 800 นาย

ด้าน เอ นา บรรณาธิการสำนักข่าวกะเหรี่ยงแกวกะลึ (Kwekalu)ระบุว่า เขาได้รับรายงานว่า ทหารพม่าที่ถูกส่งตัวเข้ามาในเมืองทวายนั้นได้รับคำสั่งตรงมาจากรัฐบาลในกรุงเนปีดอว์ให้กวาดล้างกองกำลัง KNLA ซึ่งที่ผ่านมาพยายามขัดขวางการก่อสร้างถนนจากทวายเชื่อม จ .กาญจนบุรี อีกด้านหนึ่งเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับเแรงงานและโครงการ

“ทหารได้รับคำสั่งให้เข้ามาเคลียร์พื้นที่ และป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปวุ่นวายกับโครงการ พวกเค้าอาจจะเริ่มโจมตี KNLA ในหน้าร้อนที่จะถึง” เอนากล่าว

ทั้งนี้ โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลพม่าและบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทไทย โดยคาดว่า โครงการนี้จะใช้เงินลงทุนกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ หรือไม่ต่ำกว่า 2.4 แสนล้านบาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แรงงานของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนตกว่า 50 คน ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ต้องหนีเข้าฝั่งไทย เพื่อหนีการสู้รบระหว่างทหารพม่าและ KNLA กองพลที่ 4 ซึ่งเหตุการณ์ปะทะกันเกิดขึ้นใกล้ๆกับพื้นที่โครงการ

ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานว่า ทหาร KNLA ได้พยายามกีดกันแรงงานจากบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์เข้าไปทำงานในพื้นที่ โดย KNLA เปืดเผยว่า ที่พยายามกีดกันโครงการนี้ เพราะเป็นห่วงว่า โครงการจะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ในอีกด้านหนึ่งชาวบ้านในเมืองทวายที่ต้องสูญเสียที่ดินให้กับโครงการนี้เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินชดเชย


ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Irrawaddy/10 พ.ย. 54

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบท ความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เหตุปาไข่ที่สำนักงานสันนิบาตชาติอาหรับ เผยรอยแยกกลุ่มต้านรัฐบาลซีเรีย

Posted: 11 Nov 2011 04:17 AM PST

คณะกรรมการประสานความร่วมมือแห่งชาติซีเรีย ซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในซีเรีย มีนัดหมายเข้าพบกับสันนิบาตชาติอาหรับ ที่สำนักงานสันนิบาตฯ กรุงไคโร ประเทศอิยิปต์ แต่ก็ถูกขัดขวางโดยกลุ่มผู้ประท้วงที่พากันขว้างปาไข่เข้าใส่พวกเขา เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นการแบ่งฝ่ายย่อยๆ ในกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการประสานความร่วมมือแห่งชาติซีเรีย (SNCC) ซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในซีเรีย มีนัดหมายเข้าพบกับสันนิบาตชาติอาหรับ ที่สำนักงานสันนิบาตฯ กรุงไคโร ประเทศอิยิปต์ แต่ก็ถูกขัดขวางโดยกลุ่มผู้ประท้วงที่พากันขว้างปาไข่เข้าใส่พวกเขา หลังจากนั้นจึงมีการปะทะกันเล็กน้อยแต่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

อย่างไรก็ตาม ฮัสซัน อับเดล อาซิม ประธานกลุ่ม SNCC สามารถเข้าไปในสำนักงานของสันนิบาตชาติอาหรับได้ และได้เข้าพบกับนาบิล อัล-อราบี เลขาธิการใหญ่ของสันนิบาต

สำนักข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่า กลุ่ม SNCC เป็นกลุ่มคู่แข่งสภาแห่งชาติซีเรีย (SNC) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นตัวบ่งชี้ว่ามีการแบ่งฝ่ายในกลุ่มต่อต้านรัฐบาลของซีเรีย

เจน อาร์ราฟ นักข่าวของอัลจาซีร่ากล่าวว่า "ผู้ประท้วงในวันนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียอพยพคิดว่ากลุ่มที่มาร่วมพบปะกับสันนิบาตชาติอาหรับเป็นคนของรัฐบาลซีเรีย และเรียกพวกเขาว่าเป็นคนทรยศ"

อาร์ราฟ บอกอีกว่า ผู้ประท้วงเป็นกลุ่มที่ต้องการให้มีการใช้กำลังทหาร การคว่ำบาตร การกำหนดเขตห้ามบิน การโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด และการหารือเรื่องทางออกกับกลุ่มสันนิบาตชาติอาหรับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ

โดยตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา ก็เกิดการประท้วงคล้ายกัน ในขณะที่สันนิบาตชาติอาหรับกำลังยื่นร่างข้อเสนอให้กับรัฐบาลซีเรีย ในร่างข้อเสนอเรียกร้องให้หยุดการใช้ความรุนแรง ปล่อยตัวนักโทษการเมือง ถอนกองทัพออกจากเขตเมือง และอนุญาตให้นักข่าวและนักสีงเกตการณ์เดินทางไปมาได้อย่างอิสระ รวมถึงมีการเจรจากับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

ธาเบด ซาเลม นักข่าวและนักเขียนชาวซีเรียบอกว่าซีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในซีเรียมีการแบ่งแยกฝักฝ่ายกันระหว่างฝ่ายที่ต้องการให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงเพื่อยับยั้งการนองเลือด และกลุ่มที่ต่อต้านการแทรกแซงจากต่างชาติ ซาเลม บอกอีกว่ากรณีของซีเรียต่างจากลิเบียจากการที่กลุ่มสันนิบาตชาติอาหรับไม่ได้ใช้แรงกดดันรัฐบาลซีเรียมากเท่าที่ทำกับลิเบีย

 

เกร็ดเรื่องกลุ่มต่างๆ ในซีเรีย

ทางสำนักข่างอัลจาซีร่าได้นำเสนอเกร็ดเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในซีเรียซึ่งมีอยู่หลายฝ่าย แต่ละฝ่ายแม้จะมีเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐบาลเหมือนกัน แต่ก็มีที่มาและหลักการสำคัญๆ ต่างกัน เช่น ประเด็นการให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง, การใช้วิธีการรุนแรงหรือใช้หลักการเจรจากับผู้มีอำนาจ

กลุ่มแรกคือกลุ่ม สภาแห่งชาติซีเรีย (SNC) ซึ่ง ประกาศตัว ณ กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา มีเบอฮาน กัลลิอุน นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสเป็นประธาน มีหลักการคือการรวมกลุ่มชาวซีเรียที่ต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดกว้างต่อทุกกลุ่มและเน้นแนวทางปฏิวัติอย่างสันติ ปฏิเสธการแทรกแซงทางทหารจากต่างชาติ สภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติของลิเบียประกาศให้การยอมรับกลุ่ม SNC

กลุ่ม SNC มีกลุ่มย่อยเข้าร่วมหลายกลุ่ม อย่างกลุ่มปฏิญญาดามากัสเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยที่ตั้งขึ้นราว 10 ปีที่แล้ว, กลุ่มภารดรภาพมุสลิม, กลุ่มแนวร่วมท้องถิ่น ซึ่งเป้นกลุ่มนักกิจกรรมระดับรากหญ้า, กลุ่มคณะปฏิวัติซีเรีย, กลุ่มชาวเคิร์ดและผู้นำชนเผ่า โดยสภาแห่งชาติซีเรียมีที่นั่งรับรองตังแทนจากกลุ่มต่างๆ ทั้งหมด 230 ที่นั่ง

ส่วนคณะกรรมการประสานความร่วมมือแห่งชาติซีเรีย (SNCC) เป็นกลุ่มที่มีสมาชิกตัวแทน 80 ที่นั่ง นำโดย อับเดล ฮาซิม ประกอบด้วยพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย 13 พรรค, นักกิจกรรมการเมืองไม่มีสังกัด และพรรคชาวเคิร์ดกับนักกิจกรรมเยาวชนอีกบางส่วน SNCC มีจุดยืนคล้าย SNC คือต่อต้านการแทรกแซงทางการทหารจากต่างชาติ เรียกร้องให้ทหารถอนกำลังออกจากท้องถนน เรียกร้องปล่อยตัวนักโทษการเมือง เน้นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการกดดันทางการทูต

กลุ่มถัดมาคือ กองกำลังปลดปล่อยซีเรีย (FSA) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีกองบัญชาการตามแถบชายแดนตุรกี-ซีเรีย เป็นกลุ่มที่มาจากการรวมตัวของทหารย้ายข้างที่ต้องการสู้รบกับรัฐบาลอัสซาด รัฐบาลตุรกีให้ที่พักพิงแก่ผู้นำกองกำลัง 50-60 นายในค่ายผู้อพยพที่มีการป้องกันแน่นหนา แต่ทางการตุรกีก็ให้ข่าวว่าความสัมพันธ์กับผู้นำเหล่านี้เป็น "เรื่องเชิงมนุษยธรรม" ล้วนๆ

FSA บอกว่าพวกตนมีกองกำลังราว 10,000 - 15,000 นาย แต่กลุ่มสภาแห่งชาติซีเรียก็บอกว่าเป็นจำนวนตัวเลขที่เกินจริง และผู้นำสภาแห่งชาติซีเรียยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า พวกเขานับรวม FSA เป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลกลุ่มหนึ่ง แต่ทางกองกำลังฯ ก็ควรจำกัดหน้าที่อยู่แค่การปกป้องประชาชนที่ไม่มีอาวุธเท่านั้น

กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีทั้งชายหญิงจากต่างสถานะและต่างวิชาชีพ หลายคนไม่ได้มีอุดมการณ์ชัดเจน แต่ต่างก็ต้องการให้ประเทศเปลี่ยนแปลง กลุ่มนี้มีการจัดตั้งตัวเองจากชุมชนเล็กๆ ในท้องถิ่นและพัฒนากลายเป็นเครือข่ายความร่วมมือในหลายเดือนถัดมา 3 กลุ่มเครือข่ายหลักคือ กลุ่มคณะปฏิวัติซีเรีย (SRGC), พันธมิตรกาด, และสภาสูงเพื่อการปฏิวัติซีเรีย โดยทั้ง 3 กลุ่มนี้ต่างก็ต่อต้านหลักการเรียกร้องให้มีการเจรจากับรัฐบาลของกลุ่ม NCC

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก

Egg attack disrupts Syrian opposition talks, Aljazeera, 09-11-2011
http://english.aljazeera.net/news/middleeast/2011/11/2011119105350409107.html

Syria's fragmented opposition, Aljazeera, 10-11-2011
http://english.aljazeera.net/news/middleeast/2011/11/201111413419372523.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุเทพ เทือกสุบรรณ

Posted: 11 Nov 2011 02:44 AM PST

เรื่องโรงครัว รัฐบาลเปิดช้าไปกว่าพวกผม 12 วัน แต่เมื่อทำแล้ว ต้องอดทน ต้องเปิด ตี 4 ถึง 2 ทุ่ม เพื่อดูแลประชาชนนอกจากนั้นแล้วควบคุมคุณภาพอาหาร เพราะคนกทม. เขาใส่ใจเรื่องนี้ คนกทม.ไม่ใช่ขอทานที่จะกินอะไรก็ได้ อย่าไปแจกของบูด ของเสียให้กับประชาชน

คมชัดลึก, 11 พ.ย. 54

เว็บสมาคมฟุตบอลไทยถูกแฮ็กหน้าเว็บ

Posted: 11 Nov 2011 01:39 AM PST

อ้างเป็น “Saudi Arabia Hackers” พร้อมระบุผลการแข่งขันฟุตบอลโลก ไทยจะแพ้ซาอุดิอาระเบีย 3-0

เมื่อเช้ามืดของวันที่ 11 พ.ย. เว็บไซต์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย (www.fat.or.th) ถูกแฮกเกอร์แฮกหน้าเว็บไซต์ รีไดเร็กไปที่ http://auracreativearts.com/mn9.html

และขึ้นข้อความว่า “Saudi Arabia Hackers” ขึ้นเป็นอักษรตัวใหญ่ที่หน้าจอ และเขียนข้อความเป็นภาษาอาหรับ พร้อมระบุด้วยว่าผลการแข่งขันระหว่างทีมไทยกับทีมซาอุดิอาระเบีย ซาอุดิอาระเบียจะชนะ 3-0

ทั้งนี้ในคืนวันนี้ (11 พ.ย.) เวลา 23.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกระหว่างซาอุดิอาระเบียและไทย ที่เมืองริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"สุเทพ" แนะรัฐบาลอย่าแจกของบูดของเสียให้คนกรุงเทพฯ

Posted: 10 Nov 2011 10:20 PM PST

สุเทพอัดรัฐบาลตั้งโรงครัวช้ากว่า ปชป. 12 วัน ชี้น้ำท่วม กทม. จำเป็นต้องตั้งโรงครัว และต้องควบคุมคุณภาพอาหารเพราะคนกทม.ไม่ใช่ขอทานที่จะกินอะไรก็ได้ อย่าไปแจกของบูด ของเสียให้กับประชาชน ยันค่าเสียหายน้ำท่วมหลังละ 5 พันไม่มีความหมายกับคนกรุงเทพ ต้องอย่างน้อย 4-5 หมื่น

วันนี้ (11 พ.ย.) ในระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 3 (สมัยสามัญทั่วไป) วาระพิจารณาขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ ตามมาตรา 179 กรณีปัญหาน้ำท่วม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎรธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อภิปรายเป็นคนแรกว่า ยังไม่เห็นภาพการร่วมกันทำงานของกระทรวงต่าง ๆ ของรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาวางคนไม่ถูกกับงาน เช่น ไม่ใช้นายยงยุทธ ที่เป็นผู้มีประสบการณ์ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นปลัดเทศบาลมาก่อน แต่กลับใช้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรม ฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ไม่มีประสบการณ์มาดูแลทำให้เกิดภาพของการทะเลาะกัน เพราะไม่รู้เรื่อง

นายสุเทพได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกับคนกรุงเทพฯ ให้กับรัฐบาล คือ 1. ต้องเร่งตั้งโรงครัว เพื่อดูแลเรื่องอาหารให้กับประชาชน เพราะขณะนี้ถึงแม้มีเงินก็ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหารได้ ที่รัฐบาลทำเรื่องดังกล่าวช้าไปมาก อีกทั้ง ขาดการวางแผน เช่น การเปิดตัวโครงการโรงครัวรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ระบุจุดทำให้รถบางคันต้องวิ่งหาที่จอดจนเย็น รัฐบาลควรประสานไปยัง ส.ก., ส.ข. หรือ ผู้อำนวยการเขต หาจุดและซอยที่น้ำท่วมและประชาชนเดือดร้อน

“เรื่องโรงครัวรัฐบาล เปิดช้าไปกว่าพวกผม 12 วัน แต่เมื่อทำแล้ว ต้องอดทน ต้องเปิด ตี 4 ถึง 2 ทุ่ม เพื่อดูแลประชาชนนอกจากนั้นแล้วควบคุมคุณภาพอาหาร เพราะคนกทม. เขาใส่ใจเรื่องนี้ คนกทม.ไม่ใช่ขอทานที่จะกินอะไรก็ได้ อย่าไปแจกของบูด ของเสียให้กับประชาชน” นายสุเทพ อภิปราย

นายสุเทพ อภิปรายต่อว่า อยากให้เร่งแจกถุงยังชีพให้กับประชาชน เพราะบางพื้นที่ชุมชนอยู่ในซอยลึก ระดับน้ำท่วมสูง คนอดอยาก รัฐบาลต้องจัดถุงยังชีพที่มีอาหารที่สามารถประทังชีวิตได้อย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพื่อพอดิ้นรนช่วยตนเองได้ ขอเรียกร้องให้ช่วยทุกครัวเรือน อย่าแบ่งแยก หรือต้องขอดูบัตรประจำตัวพิเศษก่อน นอกจากนั้นแล้วต้องวางแผนเรื่องการคมนาคมขนส่งในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหารือวางแผนให้ชัด พร้อมกำหนดเวลาเดินทางให้ประชาชนไม่ต้องรอนาน หรือไปทำงานได้ทันเวลา และที่สำคัญ คือ การดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนทั้งร่างกายและสุขภาพจิต

ส่วนเงินช่วยเหลือประชาชนที่บ้านประสบปัญหาน้ำท่วมหลังคาละ 5,000 บาทนั้น ตนมองว่าเงินจำนวนดังกล่าวไม่มีความหมายกับคนกรุงเทพฯ เพราะทรัพย์สินหรือธุรกิจเสียหายมากกว่านั้น หากรัฐบาลจะเยียวยา ต้องพูดถึงจำนวนเงินอย่างน้อย 40,000-50,000 บาท

ที่มา: เรียบเรียงจากเว็บไซต์คมชัดลึก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น