ประชาไท | Prachatai3.info |
- ซีรีส์จำนำข้าว (1) วิโรจน์ ณ ระนอง : ปัญหาและทางออก
- ประภาส ปิ่นตบแต่ง
- บอร์ด กสทช.เห็นชอบปรับปรุงร่างจรรยาบรรณ "บอร์ดและสำนักงาน"
- "ศาลปกครอง"นัดไต่สวนฉุกเฉินคดีฟ้องล้ม 3G พรุ่งนี้บ่ายโมง
- AI จัดกิจกรรมสัปดาห์ภาพยนตร์สิทธิมนุษยชน 'เทศกาลหนังมีชีวิต'
- ประเทศไทยอยู่ตรงไหน: อินเทอร์เน็ตไทยแรงแค่ไหน?
- สื่อในความขัดแย้ง: บทเรียนจากอาเจะห์
- สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน จี้รัฐฯ เร่งบังคับใช้ผังเมืองรวมฉะเชิงเทรา
- มติเอกฉันท์ 'ศาลรธน.' ม.112 ไม่ขัด รธน.
- คนงานปราจีนฯ ประท้วงนายจ้างลอยแพ จ่ายชดเชยแค่ 30%
- ‘ตรรกะซ่อนเร้น’ ของชนชั้นนำที่ครอบงำ ‘ระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ’
- เมื่อคุณครูออกมาเรียกร้องสิทธิ - คนทำงาน กันยายน 2555
- มติศาลรธน.ไม่รับคำร้องจำนำข้าว ชี้ไม่อยู่ในอำนาจศาล
- รายงาน: ใบปลิวหมิ่นฯ จากเถียงนา ประมวลการสืบพยานคดี 112 ที่ร้อยเอ็ด
- อดีตครูยืนด่า "ดารุณี" กลางห้าง แจงผ่านคลิปว่าไม่ได้ทำเพราะหวังเด่นดัง
ซีรีส์จำนำข้าว (1) วิโรจน์ ณ ระนอง : ปัญหาและทางออก Posted: 10 Oct 2012 11:18 AM PDT
วิโรจน์ ณ ระนอง นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ไม่กี่คนของประเทศไทยที่เคยศึกษาวิจัยเรื่องข้าวมายาวนาน เราจึงแลกเปลี่ยนเรื่องที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก "โครงการรับจำนำข้าว" ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์
0000000
มาตรการจำนำข้าวครั้งนี้ต่างจากมาตรการก่อนๆ ในอดีตอย่างไร สมัยก่อนเราเคยมีโครงการแทรกแซงราคาหรือพยุงราคา กับโครงการรับจำนำ สลับหรือผสมกันไป โครงการจำนำในช่วงแรกเป็นการจำนำที่ราคาใกล้เคียงหรือสูงกว่าตลาดเล็กน้อย (สำหรับชาวนาที่ต้องการเงินแต่ยังไม่อยากขายข้าวในช่วงต้นฤดูที่ราคาอาจจะต่ำ) ส่วนโครงการแทรกแซงราคาหรือพยุงราคานั้นมักจะตั้งราคาให้สูงกว่าตลาด แต่ทุกโครงการที่ทำมาในอดีตที่ตั้งราคาที่สูงกว่าตลาดไม่ได้รับซื้อข้าวทุกเม็ดจากชาวนาทุกคน แต่จะจำกัดโควต้ารับซื้อ ในช่วงรัฐบาลทักษิณเองก็ยังเป็นแบบนั้น โครงการของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่รัฐบาลประกาศว่าจะรับจำนำ (ซึ่งจริงๆ กลายเป็นการซื้อข้าว) ในราคาสูงกว่าตลาดโดยไม่จำกัดจำนวน ปัญหาใหญ่ของโครงการรับซื้อหรือรับจำนำข้าวในอดีต ส่วนหนึ่งเกิดจากการรับซื้อแบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า โดยรัฐบาลตั้งงบว่าแต่ละปีจะซื้อหรือแทรกแซงปีละเท่าไหร่ เสร็จแล้วก็จะแบ่งสรรงบที่มีจำกัดเป็นโควต้าสำหรับซื้อจากแต่ละจังหวัด (ซึ่งการแบ่งสรรตรงนี้มักขึ้นกับพลังทางการเมือง เช่น จังหวัดที่มี ส.ส. จากพรรคที่มีรัฐมนตรีเกษตรก็มักจะได้โควต้ามากกว่าจังหวัดอื่น) หลังจากนั้น ก็อาจมีการจัดสรรโควต้าให้เฉพาะโรงสีบางโรงในจังหวัดนั้นอีก ในระบบการแทรกแซงหรือรับจำนำแบบเดิม (ไม่ทุกคนทุกเม็ด) นั้น โรงสีในโครงการมีอำนาจต่อรองสูงมาก เมื่อเทียบกับชาวนาที่เอาข้าวมาขาย เพราะถ้าขายให้โรงสีพวกนี้ไม่ได้ ชาวนาก็จะต้องขนข้าวไปขายโรงสีอื่นในราคาที่ต่ำกว่ามาก ตัวอย่างเช่น ถ้าราคารับซื้อของรัฐบาลอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน ขณะที่ตลาดซื้อกันที่ 7,000 บาทต่อตัน เมื่อชาวนาขนข้าวมาขาย ก็มักโดนโรงสีเหล่านี้กดราคา โดยตีเกรดข้าวต่ำกว่าความเป็นจริง และหักความชื้นและสิ่งเจือปนสูงกว่าความเป็นจริง เช่น จากราคาที่หักอะไรต่ออะไรแล้วควรได้ 9,500 บาท โรงสีก็อาจตีราคาให้ชาวนาแค่ 8,000 บาท ซึ่งชาวนาส่วนใหญ่ก็ยอมขาย เพราะยังคุ้มกว่าที่จะต้องเสียค่าขนเพิ่มไปขายที่อื่น ซึ่งจะขายได้ตามราคาตลาดที่ 7,000 บาทเท่านั้น การรับซื้อแบบนี้ ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ตกกับชาวนา โรงสีที่จะเข้าโครงการได้ก็มักจะต้องมีเส้นสายเช่นกัน ซึ่งผลประโยชน์ที่โรงสีได้ก็จะถูกแบ่งไปให้คนที่จัดสรรโควต้ามาให้ เมื่อเป็นเช่นนั้น การประเมินผลโครงการพวกนี้หลายครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จึงมักได้ผลออกมาคล้ายๆ กัน คือ ผลประโยชน์มักจะตกกับชาวนาไม่ถึงครึ่ง ฉะนั้น การจำนำทุกเม็ดและไม่จำกัดปริมาณนั้น ผลประโยชน์ส่งตรงถึงชาวนามากกว่าและมีความกระจายตัวกว่า ใช่หรือไม่ โดยหลักการแล้ว การรับจำนำทุกเม็ดจะเพิ่มอำนาจการต่อรองให้ชาวนา ถ้ารัฐบาลจัดให้มีโรงสีที่เข้าร่วมโครงการมากพอ (ซึ่งถ้าจะซื้อให้ได้ทุกเม็ดจริงก็ต้องมีโรงสีเป็นจำนวนมาก) และไม่ไกลกันเกินไป ถ้าทำแบบนี้ได้จริงชาวนาก็จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าชาวนาไปเจอโรงสีที่ตีเกรดข้าวต่ำหรือหักค่าโน่นนี่มากเกินความจริง ชาวนาก็สามารถขนไปขายให้โรงสีอื่น ซึ่งก็รับซื้อในราคารัฐบาลเหมือนกัน วิธีนี้จะทำให้แทนที่โรงสีจะมีอำนาจผูกขาด ก็จะต้องแข่งขันกัน ซึ่งจะทำให้ผลประโยชน์จากราคาที่ประกันไว้ตกถึงชาวนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ ถ้าถามว่าแล้วรัฐบาลทำตรงนี้ได้ดีแค่ไหน ตอนฤดูนาปีในปีที่แล้ว ผมเข้าใจว่ามีโรงสีเข้าร่วมโครงการค่อนข้างน้อย แค่ร้อยกว่าโรง ซึ่งไม่มากพอที่จะช่วยให้ชาวนามีอำนาจต่อรองได้ดีพอ ชาวนาจึงอาจยังมีปัญหาเรื่องไม่ค่อยมีทางเลือกหรือโรงสีอยู่ไกลจนไม่สะดวกกับการขนข้าวไปจำนำ แล้วยังมีปัญหาน้ำท่วมด้วย ซึ่งเราก็พบว่าตัวเลขรับจำนำข้าวนาปีปีที่แล้วน้อยกว่าที่คาดกันมาก แต่พอถึงนาปรัง มีโรงสีเข้าร่วมประมาณ 700 แห่ง ซึ่งถือได้ว่ามากพอ ตัวเลขข้าวที่รับจำนำก็สูงขึ้นมาก และที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีเสียงบ่นจากชาวนาเรื่องการถูกกดราคาข้าว โครงการนี้จึงได้รับความนิยมจากชาวนาพอสมควร และคาดกันว่าปริมาณการจำนำของนาปีในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วพอสมควร ซึ่งรัฐบาลเองก็รู้ และได้ตั้งงบปีนี้เพิ่มจากเดิมอีกแสนล้านเป็น 4 แสนล้านบาท สิ่งที่ต่างไปจากเดิมอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบการตรวจสอบขั้นต้นที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะรัฐบาลเองก็ตระหนักว่ามีคนจับตามองโครงการนี้กันมากตั้งแต่ต้น จึงได้ใช้ระบบที่จริงๆ แล้วก็พัฒนามาก่อนรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำคือ การติดตั้งกล้องวงจรปิดที่โรงสีและโกดัง ดังนั้น ในแง่การทุจริตตอนรับข้าวจากชาวนานั้นไม่ได้ยินมากเท่าในอดีต ถ้าจะสรุปถึงแค่ตรงนี้ก็คือ ในแง่ของส่วนแบ่ง 15,000 บาทไปถึงชาวนาแค่ไหนนั้น ผมเชื่อว่าไปถึงดีกว่าในครั้งก่อนๆ มาก คือผลประโยชน์ตรงนี้ส่วนใหญ่ตกถึงชาวนาจริงๆ ไม่ใช่ไม่ถึงครึ่งแบบในอดีต
ชาวนารายย่อยที่ไม่มีศักยภาพจะเข้าโครงการ โดยเฉพาะภาคอีสาน มีสัดส่วนเยอะขนาดไหน ตัวเลขที่ทีดีอาร์ไอทำออกมาคร่าวๆ พบว่าข้าวร้อยละ 36 มาจากชาวนาร้อยละ 15 ที่มีฐานะดีที่สุด ส่วนชาวนาอีกร้อยละ 85 มีผลผลิตที่เหลือมาเข้าโครงการไม่ถึงสองในสาม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะชาวนามีทั้งรายใหญ่และรายเล็ก และชาวนาที่มีข้าวเหลือขายและไม่เหลือขาย แน่นอนว่ามาตรการนี้จะช่วยเฉพาะชาวนาที่มีข้าวเหลือขาย ใครมีข้าวเหลือเยอะก็ได้ประโยชน์เยอะ ใครที่ไม่มีข้าวเหลือขาย หรือเป็นลูกจ้างในไร่นาก็จะไม่ค่อยได้ประโยชน์ ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะไม่ว่าในภาคไหนก็ตาม ชาวนาที่เป็นเจ้าของที่นาหรือแม้แต่เช่าที่ทำนาก็มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และอาศัยการจ้างค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะจ้างแรงงานหรือเครื่องจักร ดังนั้น นอกจากชาวนารายเล็กที่อาจได้ประโยชน์ไม่มากนักจากโครงการนี้แล้ว ก็ยังมีแรงงานรับจ้างในไร่นาอีกกลุ่มหนึ่ง ที่นอกจากไม่ได้มีข้าวเป็นของตัวเองแล้ว ยังอาจต้องกินข้าวแพงขึ้นด้วย
จริงๆ ผมเข้าใจว่าตอนแรกรัฐบาลไม่ได้ตั้งใจเข้ามาผูกขาดตลาด เพราะถึงแม้ว่าจะประกาศว่ารับจำนำทุกเม็ด แต่ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดว่าข้าวจะมาทุกเม็ดจริงๆ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาคาดการณ์ว่าจะมีข้าวเข้าโครงการประมาณ 30% ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงตอนนาปีปีแรก แต่พอถึงนาปรังมันไม่ใช่แล้ว และนาปีปีนี้ข้าวที่ออกสู่ตลาดก็คงมาที่รัฐบาลเกือบทั้งหมด ที่ข้าวไม่เข้ามาทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าโครงการจำนำไม่ได้ให้ความสะดวกกับชาวนาเท่ากับเวลาที่เขาขายข้าวให้พ่อค้า นอกจากมีกติกาต่างๆ แล้ว เรื่องการจ่ายเงินก็ไม่ได้ทันทีเหมือนขายให้พ่อค้าข้าว แล้วถ้ายิ่ง ธ.ก.ส.เกิดช็อตเงินอย่างที่เป็นข่าว ก็อาจจะได้เงินช้าไปอีก ซึ่งปัญหาทำนองนี้เกิดในโครงการแทรกแซงยางพาราตอนนี้ค่อนข้างเยอะ แต่ในภาพรวมแล้ว ก็ถือได้ว่ารัฐบาลแทบจะกลายเป็นผู้รับซื้อข้าวรายเดียวของประเทศ ซึ่งผลกระทบขั้นแรกคือชาวนาขายข้าวได้ราคาสูง และโรงสีที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็จะทำธุรกิจลำบากขึ้น ส่วนผลกระทบหลังจากนั้นขึ้นกับว่ารัฐบาลทำอะไรกับข้าว ถ้ารัฐบาลคิดจะช่วยชาวนาอย่างเดียว และสามารถควบคุมไม่ให้มีการทุจริตในการซื้อข้าว และเมื่อซื้อข้าวเข้ามาแล้วก็เปิดประมูลขายออกไปอย่างโปร่งใส พ่อค้าส่งและผู้ส่งออกก็จะมาประมูลไปขายตามปกติ ซึ่งก็คงประมูลซื้อในราคาที่ใกล้เคียงกับตลาดโลก รัฐบาลก็จะขาดทุนอย่างแน่นอนจากการซื้อแพงขายถูก ซึ่งคงจะขาดทุนมากกว่าในรัฐบาลก่อน เพราะรัฐบาลนี้ตั้งราคาข้าวสูงกว่าตลาดมาก แต่ส่วนที่รัฐบาลขาดทุนส่วนใหญ่ก็จะไปเข้ากระเป๋าชาวนา และผลกระทบต่อตลาดก็จะจบลงแค่นั้น แต่ปัญหาที่น่ากลัวของโครงการจำนำข้าว ซึ่งเป็นมาตลอดตั้งแต่ในอดีตคือ ความสูญเสียที่เกิดจากขั้นตอนที่สอง คือการเก็บข้าว และขั้นตอนที่สามคือการระบายข้าว ซึ่งนอกจากจะมีข้อกังวลในเรื่องการทุจริตแล้ว สองขั้นตอนนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเสียหายได้มาก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดจากการทุจริตเสมอไป แต่อาจเกิดจากการขาดประสิทธิภาพก็ได้ ซึ่งในอดีตก็มีให้เห็นหลายกรณี เช่น เอาข้าวเข้ามาแล้วไม่สั่งสีตามที่ตกลงไว้กับโรงสี หรือเมื่อซื้อข้าวเข้ามาแล้วราคาตลาดไม่สูงก็ไม่กล้าตัดสินใจขายออกไปในราคาที่ขาดทุน แต่เก็บข้าวสารไว้ข้ามปีหรือหลายปี ซึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพอีกด้วย ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นทวีคูณ ดังนั้น ความเสี่ยงใหญ่ที่จะก่อความเสียหายหนักคือการเก็บรักษาและการระบายออก โดยส่วนตัวอาจารย์ประเมินอย่างไร คิดว่ารัฐบาลมีศักยภาพที่จะระบายออกทันไหม ความกังวลของผมส่วนหนึ่งอยู่ที่ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลคิดอะไรอยู่ ถ้ารัฐบาลเชื่อทฤษฎีที่ว่าเก็บข้าวเอาไว้ก่อนเยอะแล้วอีกหน่อยข้าวจะราคาดีและจะขายได้กำไรมากขึ้นเอง ก็จะน่ากลัวมากๆ เพราะความเชื่อนี้จะทำให้สต๊อกข้าวของเราพอกพูนขึ้น นอกจากสต๊อกของปีที่แล้ว ข้าวฤดูใหม่ก็กำลังจะออกและก็ไม่ได้ออกเฉพาะประเทศไทย ข้าวประเทศอื่นเขาก็ออกเหมือนกัน ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไม่พยายามระบายข้าวออกไปในช่วงที่พอทำได้ ก็อาจเกิดความเสียหายที่มากขึ้นในอนาคต การระบายตอนนี้หมายถึงขาดทุน แต่ในโครงการแบบนี้ การที่เราขาดทุนจากการซื้อจากชาวนาแพงกว่าตลาดแล้วขายราคาตลาด ยังเป็นอะไรที่พอรับกันได้ ถ้าจะเทียบกัน โครงการของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ในปีสุดท้ายก็ใช้เงินประมาณ 70,000 ล้านบาท โครงการนี้ตั้งราคาไว้สูงกว่าสมัยคุณอภิสิทธิ์อีก เพราะฉะนั้น อาจจะขาดทุนมากกว่า ที่ทีดีอาร์ไอประมาณออกมาว่าจะขาดทุนประมาณ 100,000 ล้าน ก็เป็นการประมาณการในกรณีที่รัฐบาลเอาข้าวมาประมูลขายในราคาตลาดขณะนี้ ซึ่งเป็นการขาดทุนจากการช่วยชาวนาล้วนๆ คือไม่มีการทุจริตอะไรเลย ถ้าโชคดีขายได้ราคาดีกว่านี้ก็จะขาดทุนน้อยลง ถ้าโชคร้ายก็จะขาดทุนมากขึ้น แต่ถ้าเราเก็บสต๊อกข้าวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันก็ไม่ทำให้ราคาตลาดโลกดีขึ้นหรอก ด้วยสาเหตุสองข้อ คือ 1. ตลาดรู้ว่าเรามีข้าวในสต๊อกเท่าไหร่ เราชอบพูดว่าเรารู้ว่าทั่วโลกกินเท่านั้น ผลิตเท่านี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเก็บข้าวเอาไว้ซะอย่าง ผู้ซื้อจะหาซื้อข้าวจากไหนมาแทนข้าวไทยได้ แต่คนพูดอาจจะลืมไปว่าข้าวที่ขายในตลาดโลกมันนิดเดียว เทียบกับที่ผลิตและกินกันทั่วโลก และประเทศอื่นๆ ก็มีสต๊อกของเขา อย่างต้นปีนี้ แค่อินเดียระบายสต๊อกของตัวเองออกมา ราคาข้าวก็ตกลงเป็นร้อยเหรียญ 2. การที่เราตั้งราคาข้าวไว้สูง ชาวนาเราก็ผลิตเพิ่ม แต่การบริโภคของเรามีแนวโน้มลดลง ดังนั้นถ้าไม่ทำอะไรเลย ส่วนต่างพวกนี้สามารถทำให้สต๊อกเราเพิ่มขึ้นมาปีละ 4-5 ล้านตันสบายๆ โดยที่ต่างชาติไม่มีใครเดือดร้อนหาข้าวกินไม่ได้ แต่เราเองที่เดือดร้อน ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเก็บสต๊อกแล้วราคาจะขึ้นเสมอไป ถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจตลาดข้าว แล้วใช้ความรู้สึก สามัญสำนึก หรือสัญชาตญาณในการตัดสินใจ ก็เป็นความน่ากลัวเช่นกัน ที่ยกตัวอย่างได้คือกรณีคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ที่หลายคนเคยยกย่องว่าสมควรเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของค่ายเพื่อไทย แต่สิ่งที่คุณมิ่งขวัญทำเป็นตัวอย่างของความไม่เข้าใจในตลาดข้าว ตอนที่ราคาข้าวในปี 2008 ขึ้นพรวดพราดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาธัญพืชอื่นที่สูงขึ้น เริ่มจากข้าวโพด ตามมาด้วยข้าวสาลี และต่อมาถึงข้าว แล้วพอราคาข้าวขึ้น คนในฟิลิปปินส์และประเทศต่างๆ ก็กลัวว่าจะไม่มีข้าวกิน จนเกิดความตระหนกที่ดันราคาข้าวให้พุ่งขึ้นไป แต่คุณมิ่งขวัญคิดเอาเองว่าเมื่อราคาขึ้นแล้วราคามันจะขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ขึ้นไปถึง 20,000 กว่าบาทก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าวออกจากโกดังรัฐบาล เพราะเชื่อว่าอีกหน่อยก็จะขึ้นถึง 30,000 กว่า ซึ่งที่สุดราคาก็ไม่ได้ขึ้นไปถึงตรงนั้น เพราะไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้ขึ้นต่อ ปีนี้ก็เหมือนกัน เป็นปีที่ราคาข้าวช่วงนี้ดีกว่าช่วงต้นฤดูเยอะ ต้นฤดูอยู่ที่ 400 ต้นๆ (ดอลลาร์ต่อตัน) การที่ราคาช่วงนี้ขยับขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากเราด้วย เพราะเรากักข้าวเอาไว้ทำให้ราคาตลาดโลกขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ขึ้นเยอะพอจะคุ้มต้นทุนของเรา เพราะเราตั้งราคารับจำนำที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่ถ้าเราเห็นว่าราคายังไม่คุ้มทุนและไม่พยายามระบายออกช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาธัญพืชค่อนข้างดี เนื่องจากเกิดภัยแล้งที่ทำให้ข้าวโพดในสหรัฐฯ หายไปเกือบครึ่ง โดยหวังให้มันขึ้นไปอีก ผมคิดว่าเราจะระบายข้าวออกยากขึ้นเมื่อข้าวฤดูใหม่ทะลักออกมาเต็มที่
"ถ้ากลไกตลาดทำงานไม่ได้ดังใจ |
Posted: 10 Oct 2012 10:47 AM PDT |
บอร์ด กสทช.เห็นชอบปรับปรุงร่างจรรยาบรรณ "บอร์ดและสำนักงาน" Posted: 10 Oct 2012 09:47 AM PDT (10 ต.ค.55) นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่าที่ประชุม บอร์ดใหญ่ กสทช. ได้มีการพิจารณาเรื่องการกำหนดจรรยาบรรณของ กสทช. โดยอิงกับมาตรฐานสากล ตามที่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. เสนอ โดยเห็นว่าภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กร กสทช. ที่ได้รับความสนใจจากสาธารณะทั้งในประเด็นความเป็นอิสระ ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง และความโปร่งใสขององค์กร ควรมีจุดเริ่มต้นจากการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมของ คณะกรรมการ กสทช. และเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสทช. ที่อิงกับมาตรฐานสากลของหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ในต่างประเทศ และเป็นมาตรฐานสากล
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
"ศาลปกครอง"นัดไต่สวนฉุกเฉินคดีฟ้องล้ม 3G พรุ่งนี้บ่ายโมง Posted: 10 Oct 2012 08:21 AM PDT รายงานข่าวแจ้งว่า พรุ่งนี้ (11 ต.ค.) เวลา 13.00 น. ศาลปกครองนัดไต่สวนฉุกเฉินกรณีที่นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระ ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีเข้าสู่สารบบและกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาตามคำฟ้องหรือไม่ กรณีนี้นายอนุภาพได้ยื่นฟ้อง กสทช. ต่อศาลปกครอง โดยกล่าวหาว่าการจัดสรรคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (International Mobile Telecommunications: IMT) ย่าน 2.1 GHz ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 ต.ค. ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 47 เพราะไม่ได้จัดสรรคลื่นความถี่โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น เนื่องจากไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขการให้บริการที่ครอบคลุมถึงพื้นที่และระยะเวลาที่จะให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศทั้ง 100% ไม่มีการกำหนดคุณภาพมาตรฐานการให้บริการรวมถึงอัตราค่าบริการขั้นสูงที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บได้ โดยนายอนุภาพได้ขอให้ศาลมีคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษา โดยให้ กสทช. ยุติการประมูลไว้ก่อนจนกว่าจะได้จัดทำประกาศ ระเบียบ และหรือมีมติเพื่อประโยชน์สาธารณะใน 3 ประเด็น ได้แก่ การกำหนดพื้นที่และระยะเวลาที่จะได้รับบริการที่จะต้องครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศในระยะเวลาที่ทัดเทียมกัน โดยไม่สัมพันธ์กับระดับรายได้และปริมาณการใช้บริการ กำหนดคุณภาพในการให้บริการ ซึ่งอย่างน้อยจะต้องครอบคลุมถึงความเสถียรของโครงข่ายและคุณภาพของสัญญาณในระดับสูงสุดที่มาตรฐานทางเทคนิคจะให้บริการได้ รวมถึงกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บได้ และสัญญามาตรฐานตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549
คำฟ้อง ฉบับสมบูรณ์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
AI จัดกิจกรรมสัปดาห์ภาพยนตร์สิทธิมนุษยชน 'เทศกาลหนังมีชีวิต' Posted: 10 Oct 2012 08:14 AM PDT แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ผนึกกำลังสร้างเครือข่ายรณรงค์ ละครเวทีจากกลุ่มละครใบไม้ไหว เพื่อรณรงค์ให้มีการยุติโทษประหารชีวิต ในวันแรกของสัปดาห์ภาพยนตร์สิทธิมนุษยชน "เทศกาลหนังมีชีวิต" เมื่อ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่สมาคมฝรั่งเศส ถ.สาธรใต้ จัดโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสถาบันเกอเธ่ จัดกิจกรรมสัปดาห์ภาพยนตร์สิทธิ กว่า 140 ประเทศทั่วโลกต่างตระหนักว่ สำหรับประเทศไทยนั้นยังคงมี "เราไม่ได้อ่อนข้อ หรือยกโทษให้กับผู้กระทำความผิด ผู้กระทำความผิดต้องเข้าสู่ "โทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่ วันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันยกเลิ ซึ่งในวันยกเลิกโทษประหารชีวิ นอกเหนือจากการนำเสนอมุมมองอี "เราตั้งใจนำเสนอมุมมองอีกด้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต่อต้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประเทศไทยอยู่ตรงไหน: อินเทอร์เน็ตไทยแรงแค่ไหน? Posted: 10 Oct 2012 07:43 AM PDT
จากข้อมูลล่าสุดของ Ookla [4] ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเว็บ speedtest.net ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกนิยมใช้ทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตของตน ได้แสดงความเร็วของอินเทอร์เน็ตในประเทศต่างๆ โดยเฉลี่ยในช่วง 30 วันที่ผ่านมาดังนี้
จะเห็นว่าความเร็วดาวน์โหลดโดยเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 8.2 Mbps จัดเป็นอันดับที่ 61 [4] และความเร็วในการอัพโหลดของไทยอยู่ที่ 1.8 Mbps เป็นอันดับที่ 92 จากทั้งหมด 178 ประเทศ [5] ส่วนค่า household promise index นั้นหมายถึงความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานได้จริงเทียบกับความเร็วที่จ่ายเงินซื้อจากผู้ให้บริการ ซึ่งไทยมีค่า household promise index อยู่ที่ 88.82% จัดเป็นอันดับที่ 32 จาก 64 ประเทศ [6] โดยการวัดค่า household promise index นั้นทำโดยการใช้ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่วัดได้จริง มาคำนวณประกอบกับผลการตอบแบบสอบถามที่ให้ผู้ทดสอบตอบว่าอินเทอร์เน็ตที่ตนเองเลือกใช้บริการอยู่นั้นมีความเร็วเท่าไร จากความเร็วและอันดับที่กล่าวถึงไปนั้นอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่น่าพอใจ แต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และจีน จะพบว่าความเร็วอินเทอร์เน็ตในบ้านเรายังตามหลังประเทศเหล่านี้อยู่พอควร ในปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธได้อีกแล้วว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพประชากรในประเทศ ซึ่งนอกเหนือจาก "จำนวน" ประชากรในประเทศที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แล้วนั้น "คุณภาพ" ของบริการอินเทอร์เน็ตยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเช่นกัน
อ้างอิง: ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สื่อในความขัดแย้ง: บทเรียนจากอาเจะห์ Posted: 10 Oct 2012 06:49 AM PDT หลังจากที่ขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ เซ็นสนธิสัญญาสันติภาพร่วมกับรัฐบาลอินโดนีเซียในปี 2549 ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยผ่านการสู้รบนองเลือดกันมากว่า 30 ปี จากสาเหตุความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ ทรัพยากร และอำนาจการปกครอง จังหวัดอาเจะห์ ซึ่งเป็นดินแดนที่รุ่มรวยไปด้วยน้ำมันและแร่ธาตุมากที่สุดแห่งหนึ่งในอินโดนีเซีย ก็ได้รับสถานะการปกครองพิเศษที่มีอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองได้มากขึ้น สามารถตั้งพรรคการเมืองท้องถิ่นเพื่อเป็นตัวแทนประชาชนชาวอาเจะห์ และจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ตามคำเรียกร้องของผู้นำขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ แต่ถึงกระนั้น สภาพสังคมหลังการเปลี่ยนผ่านไปสู่สันติภาพ ก็มิได้ราบรื่นไร้ปัญหา ประชาชนชาวอาเจะห์ยังคงเผชิญกับความรุนแรงที่เกิดจากกฎหมายชารีอะห์ พร้อมกับตำรวจชารีอะห์ที่นำมาบังคับใช้เมื่อปี 2546 ความยากจนที่เลวร้ายลงหลังเหตุการณ์สึนามิถล่มในปี 2547 ซากเดนของการใช้กฎหมายความมั่นคง และระบอบทหาร โดยเฉพาะสตรีที่มักจะตกเป็นเหยื่อในความรุนแรงดังกล่าว บทบาทของสื่ออิสระ "ออนไลน์" ที่เกิดขึ้นมาใหม่ในสภาพสังคมที่มีความขัดแย้ง และมีสาธารณูปโภคที่ห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า อาคารบ้านเรือน ไม่ต้องพูดถึงอินเทอร์เน็ต จะมีบทบาทอย่างไรในการสร้างความเข้าใจระหว่างฝ่ายต่างๆ ในความขัดแย้ง มาคุยกับผู้ก่อตั้งสื่อใหม่ในอาเจะห์อย่าง "อาเจะห์ ฟีเจอร์" กับ "ลินดา คริสแตนตี้" เล่าให้ฟังหน่อยว่า เว็บไซต์อาเจะห์ ฟีเจอร์เริ่มขึ้นมาได้อย่างไร ฉันเดินทางมาที่อาเจะห์เมื่อเดือนตุลาคม 2548 หรือเพียง 2 เดือนหลังจากที่ขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ และรัฐบาลอินโดนีเซียเซ็นสัญญาเจรจาสันติภาพที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ก่อนหน้านั้น ฉันอาศัยอยู่ที่กรุงจาการ์ตา เจ้านายของฉัน ที่เคยทำงานให้กับทำงานให้กับสถาบันด้านข้อมูลข่าวสาร ต้องการให้มีคนที่ประจำอยู่ที่อาเจะห์ให้เขา ซึ่งมีหน้าที่ผลิต feature หรืองานเขียนสารคดี เป็นผู้ให้บริการเนื้อหาในอาเจะห์ โดยก่อนที่จะไปทำงานในอาเจะห์ ฉันทำงานอยู่ที่คอมมอนกราวนด์ อินโดนีเซีย เขียนละครวิทยุเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขความขัดแย้ง โดยเฉพาะวิธีการการแก้ปัญหาระหว่างชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและศาสนา เพราะในอินโดนีเซีย เรามีหลายกลุ่มชาติพันธ์ุและศาสนา ซึ่งบางทีก็ทำให้เกิดความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันบ้าง ตอนที่ฉันเดินทางไปถึงอาเจะห์ในตอนนั้น ก็ตกใจมาก เพราะเจ้านายฉันได้บอกว่า มีอาคารสำนักงานที่ดีมากให้ แต่เมื่อเปิดตึกนี้เข้าไป ก็ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือเตียงให้นอน ไม่มีอะไรเลย ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการโทรหาคนรู้จัก ซึ่งเป็นคนที่เคยเขียนคอลัมน์ให้ตอนที่ฉันเคยทำงานอยู่ที่สำนักข่าวที่หนึ่ง จึงไปอาศัยอยู่กับเขา จากนั้นก็ค่อยๆ ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าไป เป็นตึกสองชั้น ชั้นที่แรกว่าง ชั้นที่สองเป็นสำนักงาน และชั้นที่สามเป็นห้องนอนของเรา เนื่องจากเป็นช่วงหลังความขัดแย้งใหม่ๆ บางทีก็จะมีผู้ชายเดินเข้ามาไถเงินบ้าง ถามเรื่องงานบ้าง บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่เคยอยู่ในขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ ก็อาจจะเป็นได้ แถมออฟฟิศของฉันอยู่ติดกับที่พักของทหารเลย ทำให้ช่วงแรกตกใจมาก เพราะตอนนั้นความกังวลจากสงครามก็ยังมีอยู่ทั่วไปแพร่หลาย โดยในช่วงสี่เดือนแรกของการตั้งอาเจะห์ ฟีเจอร์ ฉันเป็นคนต้องเขียนเนื้อหาเองทั้งหมด และตอนนั้นก็รู้จักคนอาเจะห์มากขึ้น ก็เริ่มได้คอนทริบิวเตอร์ในช่วง 2-3 เดือนแรก ก็เขียนเกี่ยวกับอาหาร การเมือง สังคม วัฒนธรรม คุณเป็นสื่อออนไลน์ แต่คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในอาเจะห์ตอนนั้นมีอยู่น้อยมากๆ ? ใช่ มันค่อนข้างจะแย่มาก เคยมีบางวันที่ไฟฟ้าในออฟฟิศดับมากกว่าสิบครั้ง และอินเทอร์เน็ตไวไฟ ก็ไม่ได้ดีมากด้วย บางทีต้องไปนั่งอยู่ร้านกาแฟสำหรับชาวต่างชาติ เพราะฉันต้องเขียนงาน และต้องใช้ไฟฟ้า เพราะในออฟฟิศเราไม่มี หรือบางทีฉันก็ต้องไปร้านกาแฟเพื่อที่จะใช้เน็ต เราเผชิญกับปัญหานี้มากว่า 5-6 ปี และตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ นอกจากนี้ในตอนแรก มีปัญหาบ้างเพราะเงินที่สามารถจ่ายให้นักเขียนมีน้อย ก็เลยเริ่มไปหาความช่วยเหลือที่มหาวิทยาลัย State Islamic University Ar-Raniry ในบานดา อาเจะห์ ผู้อำนวยการสถาบันนั้น ก็เลยเสนอให้ฉันมาสอนวิชาวารสารศาสตร์ และในทางกลับกัน ก็จะได้นักศึกษาอาเจะห์มาช่วยเขียนงานให้ นอกจากนี้ก็ยังมีคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและนักข่าวมาร่วมเขียนให้ด้วย คิดว่าตนเองแตกต่างจากสื่อกระแสหลักอื่นๆ อย่างไร? สื่อกระแสหลักอื่นๆ เขาพยายามอยู่ใน "เซฟโซน" เขาไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์กองทัพอินโดนีเซีย พวกเขามักจะอ้างแหล่งข่าวจากทางการหรือกองทัพอินโดนีเซียเท่านั้น และไม่ค่อยไปสัมภาษณ์พยานหรือชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะพวกเขามีความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับความบาลานซ์และความแฟร์ เขาเข้าใจว่า ความบาลานซ์คือ หากคุณสัมภาษณ์ทหารอินโดและสัมภาษณ์ขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ นั่นแหละคือความบาลานซ์ แต่นั้นไม่ใช่ความจริง คุณควรจะต้องสัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้องอยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ใช่แค่สองด้านเท่านั้น อาจต้องห้าด้านเลยก็ได้ นั่นแหละคือความบาลานซ์ ฉันคิดว่าเราต้องพูดความจริง เราต้องเขียนไม่เพียงแค่มุมมองด้านเดียวหรือสองด้านเท่านั้น แต่เราต้องสัมภาษณ์ ไม่เพียงแค่ทางการอินโดหรือทหารอินโด หรือฝ่ายขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ แต่เราต้องสัมภาษณ์หลายๆ ด้านอย่างที่บอกไป และเราก็เช็คตรวจสอบให้ดี สื่อกระแสหลักทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเช็คและตรวจสอบแหล่งที่มา พวกเขาตีพิมพ์ข่าวลือ ซึ่งข่าวลือจะยิ่งทำให้เกิดสงครามและความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น มีคนเคยบอกฉันว่า เฮ้ ลินดา ถ้าคุณพูดความจริง อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งอันใหม่ขึ้นก็ได้ เพราะคุณเปิดแผลใหม่ๆ ที่อาจทำให้คนไม่สบายใจ หรือเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ทำให้เขานึกถึงความเจ็บปวดในอดีตขึ้นมาอีก แต่ฉันก้บอกว่าไม่หรอก ถ้าคุณพูดความจริง คุณก็ทำให้ได้รู้ในรายละเอียดว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเขาก็จะร่วมกันหาทางออกหรือเรียนรู้จากอดีต เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะความรุนแรงต่อมนุษยชาติและความรุนแรงต่อสตรี ได้ข่าวว่าสำนักข่าวนี้มีผู้หญิงทำงานเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหม? ส่วนใหญ่นักเขียนประจำและนักเขียนคอนทริบิวเตอร์เป็นผู้หญิง มีสตาฟคนหนึ่งชื่อดอนน่า เธอถูกจับสองครั้งแล้วโดยตำรวจชารีอะห์เพราะไม่ได้ใส่ผ้าคลุม ฉันเองก็ไม่ใส่ ฉันบอกว่า ให้บอกตำรวจชารีอะห์ไปเลยว่าเราไม่ใส่เพราะไม่ใช่วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวมุสลิมอาเจ๊ะห์หรืออินโดนีเซีย มันเป็นสไตล์อาหรับต่างหาก ในช่วงแรกๆ เราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องผู้หญิงเป็นพิเศษ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้เขียนเกี่ยวกับผู้หญิงมากขึ้น เราตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับสตรีที่ถูกตำรวจชารีอะห์จับเพราะไม่คลุมผ้าฮิญาบ เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมมุสลิมของสตรี และเราก็บอกว่า จิลบาบ (ชุดแต่งกายสตรีมุสลิมที่คลุมหน้าคลุมตัว) ไม่ใช่วัฒนธรรมสมัยนี้ แต่มันเป็นการแต่งกายตั้งแต่สมัยในสมัยฮัมบูราบีแล้ว และนั่นก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับสังคมอาเจะห์ นอกจากเรื่องตำรวจชารีอะห์แล้ว สตรีที่อาเจะห์เผชิญกับปัญหาสำคัญๆ อะไรอีกบ้าง? ก็ยังมีเรื่องความรุนแรงในครอบครัว สามีตบตีภรรยา เกิดขึ้นบ่อยมากในอาเจะห์ ฉันได้เคยไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่บ้านในชุมชนแห่งหนึ่ง เขาก็บอกว่าความรุนแรงในครอบครัว เป็นปัญหาอันดับหนึ่งในชุมชน นอกจากนี้ ผู้หญิงในอาเจะห์ส่วนใหญ่เป็นผู้หาเลี้ยงดูที่หาเงินเลี้ยงครอบครัวด้วย และในบ้าน ก็ต้องรับใช้ปรณนิบัติสามีเป็นธรรมเนียมในสังคมของอาเจะห์ นอกจากนี้ ในช่วงที่มีความขัดแย้ง อินโดนีเซียก็ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก และนี่ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญของความรุนแรงต่อมนุษยชาติและสตรี ทำให้เกิดการซ้อมทรมาน การสังหารนอกระบบ การข่มขืน และภายหลังสงคราม พวกเขาก็ใช้กฎหมายชารีอะห์ นี่ก็เป็นต้นตอของความรุนแรงต่อสตรีและมนุษยชาติเช่นเดียวกัน กฎหมายชารีอะห์ให้ความชอบธรรมแก่ตำรวจในการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนโดยเฉพาะสตรี มีอยู่ช่วงหนึ่ง เหล่าทหารอินโดนีเซียมีที่พักหลังพิเศษที่เรียกกันว่า "รูมาห์ กาดองห์" มีผู้หญิงอยู่ในนั้นหลายคน มีการข่มขืนและซ้อมทรมานเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น ฉันเคยได้สัมภาษณ์สตรีที่อาศัยอยู่ที่บ้านข้างๆ หลังนั้น เธอบอกว่า สามีของเธอเสียชีวิตจากโรคซึมเศร้า เพราะทุกวันทุกคืน พวกเขาจะได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงออกมาจากบ้านหลังนั้น ทั้งกรีดร้องและตะโกนออกมาว่า "ช่วยด้วยๆ" และบางที เธอเห็นสตรีที่ถูกฆาตกรรมโดยการใช้ถุงพลาสติกครอบหน้า ปรากฏว่า สามีของเธอได้เสียชีวิตด้วยโรคซึมเศร้า หลังจากที่บ้านหลังนั้นถูกปิดลงไม่กี่เดือนต่อมา "รูมาห์ กาดองห์" ดำเนินอยู่ระหว่างช่วงปี 1998 จนถึงราวปี 2005 ก่อนที่รัฐบาลอินโดนีเซียเซ็นสัญญาสันติภาพที่กรุงเฮลซิงกิ ในเขตลังซา ทางตะวันออกของอาเจะห์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เคยมีรายงานว่าตำรวจชารีอะห์สามคนข่มขืนผู้หญิง เนื่องจากเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้ เธอ สามีและแฟนของเธอ ถูกจับกุม และนำตัวมาที่สถานีตำรวจ ตำรวจก็ให้แฟนและสามีกลับบ้านไปก่อน จากนั้นก็รุมข่มขืนเธอ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ามีการเฆี่ยนสตรีสองคนที่ขายข้าวในตลาดช่วงเดือนถือศีลอด (รอมดอน) ตอนนั้นเธออยู่ที่ร้านและอยู่กับลูกๆ ก็มีตำรวจมาถามขอให้ขายข้าวให้หน่อย แต่ผู้หญิงที่ขายข้าวก็บอกว่า ไม่สามารถขายให้ได้ แต่ตำรวจชารีอะห์ก็ยังยืนกราน ในที่สุดเธอก็ขายข้าวให้ แต่ก็บอกให้ตำรวจเข้ามากินหลบๆ ข้างใน เพราะเดี๋ยวจะเกิดปัญหา แต่ทันใดนั้น ในขณะที่ผู้หญืงสองคนนั้นทำกับข้าวอยู่ เธอก็ถูกจับโดยตำรวจกลุ่มนั้นและถูกส่งไปที่สถานีตำรวจ และถูกเฆี่ยนด้วยหลายครั้ง จะเห็นว่า พวกเจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรก็ได้กับกฎหมายนี้ นอกจากนี้ แม้แต่ชาว "พังก์" ก็ยังถูกจับด้วยตำรวจธรรมดา ไม่ใช่ตำรวจศาสนาด้วยซ้ำ โดยเขาบอกว่า การแต่งตัวแบบนี้ ไม่ใช่สไตล์อิสลาม แต่เป็นสไตล์ตะวันตก และก็จับพวกเขาไปลงโทษด้วยการจับลงไปอยู่ในบ่อน้ำให้อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อดัดนิสัย คิดว่า สิ่งที่ท้าทายสำหรับสื่ออิสระอย่าง อาเจะห์ ฟีเจอร์ คืออะไรบ้าง? แน่นอนว่า เราไม่สามารถมีทุน มีเครื่องมือต่างๆ ไปแข่งออกอากาศกับสื่อกระแสหลักใหญ่ๆ ได้ แต่เราสามารถให้การศึกษาคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับเรา หรือคนที่ทำงานเขียนให้รุ้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับสังคม ซึ่งพวกใหญ่เขาก็เป็นนักเขียน นักเรียน นักศึกษา ปัญญาชน หรือคนที่ทำงานในองค์กร ข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ พวกเขาไม่ใช่คนรากหญ้า แต่เขาเป็นผู้มีอำนาจบทบาทตัดสินใจต่างๆ ในสังคม ฉะนั้นฉันคิดว่านี่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา สำหรับอาเจะห์ฟีเจอร์ และสื่อทางเลือกแบบเรา เราไม่ได้ตีพิมพ์เฉพาะสิ่งที่แย่ๆ เท่านั้น แต่เรายังตีพิมพ์เรื่องวัฒนธรรม อาหาร การท่องเที่ยวด้วย ฉะนั้นถ้าเราตีพิมพ์เรื่องราวที่เกี่ยวกับอาเจะห์ในทางนี้ เขาก็ได้รู้เกี่ยวกับสังคมอาเจะห์มากขึ้น และเมื่อพวกเขาโตไปเป็นรัฐมนตรีหรือคนที่มีบทบาทต่อไปในรัฐบาล หรือผู้อำนวยการองค์กรต่างๆ พวกเขาก็จะมีบทบาทที่สำคัญ เพราะพวกเขาเป็นชนชั้นนำในสังคม ซึ่งจะแตกต่างจากชนชั้นล่างหรือคนรากหญ้า พวกเขาไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่สามารถซื้อหนังสือพิมพ์ได้มากนัก และนิยมการดูโทรทัศน์หรือวิทยุมากกว่า
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน จี้รัฐฯ เร่งบังคับใช้ผังเมืองรวมฉะเชิงเทรา Posted: 10 Oct 2012 03:45 AM PDT
ชาวบ้านสมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืนบุกทำเนียบฯ จี้รัฐบาลประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อปกป้องแหล่งผลิตอาหาร ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชน ตัวแทนสำนักปลัดนายกฯ รับหนังสือ พร้อมรับปากประสานผู้เกี่ยวข้อง วันที่ 9 ต.ค.55 เวลาประมาณ 09.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มชาวบ้านสมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา กว่า 100 คน รวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐเร่งประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อปกป้องแหล่งผลิตอาหาร ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสาธิต สุทธิเสริม หัวหน้าฝ่ายประสานมวลชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนออกมารับหนังสือ โดยรับปากว่าจะเร่งนำหนังสือฉบับดังกล่าวเสนอต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็ว และจะส่งหนังสือกลับไปยังกลุ่มชาวบ้านในระยะเวลาไม่เกิน 10 วันหลังจากนี้ ก่อนหน้านี้ สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน จัดทำข้อมูลเผยแพร่ "8 ปีแห่งความล่าช้า นำมาซึ่งภัยคุกคามพื้นที่ชุมชน คนแปดริ้วจึงลุกขึ้นมาใช้สิทธิให้รัฐเร่งประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อปกป้องแหล่งผลิตอาหาร ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชน" ระบุประเทศไทยไม่เคยมีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของคนในแต่ละท้องที่ เห็นได้จากตั้งแต่ปี 2504 ประเทศไทยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 จนวันนี้เวลาผ่านมากว่า 50 ปี มีการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเห็นได้ชัดในหลายพื้นที่ แต่มีประกาศผังเมืองรวมจังหวัดบังคับใช้เพียง 5 จังหวัด ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินในหลายจังหวัดเกิดความขัดแย้งกันเอง เช่น นิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าว ท่าเรือขนส่งถ่านหินตั้งอยู่ใกล้ชุมชน โรงแรมหรือคอนโดมีเนียมตั้งล้ำลงไปในแม่น้ำ เป็นต้น เอกสารดังกล่าวระบุด้วยว่า ชาวจังหวัดฉะเชิงเทราตระหนักถึงความสำคัญของผังเมืองว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปกป้องคุ้มครองพื้นที่ผลิตอาหาร ฐานทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และวิถีชุมชนของจังหวัด โดยผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทราได้เริ่มจัดทำมาตั้งแต่ปี 2547 จนปัจจุบัน 8 ปีมาแล้วร่างผังเมืองฉบับดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเนื่องจากกำลังอยู่ในขั้นตอนเสนอกระทรวงมหาดไทย ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2518 ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องของสมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืนที่มีต่อนายกรัฐมนตรี คือขอให้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติหน้าที่ประกาศใช้กฎกระทรวงผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทราโดยเร็ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มติเอกฉันท์ 'ศาลรธน.' ม.112 ไม่ขัด รธน. Posted: 10 Oct 2012 02:12 AM PDT 10 ตุลาคม 2555 ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่า มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ระบุ เป็นบทบัญญัติที่เป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ตามหลักนิติธรรมที่เป็นศีลธรรมหรือจริยธรรมของกฎหมาย อัตราโทษมีความเหมาะสมได้สัดส่วน และย้ำการกระทำขัดม. 112 ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐจริง สืบเนื่องจากจำเลยในสองคดี คือ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ นายเอกชัย หงส์กังวาน ได้ยื่นโต้แย้งให้ศาลอาญา ส่งคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มาตรา 112 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 8 มาตรา 29 และมาตรา 45 วรรคหนึ่งและวรรคสองหรือไม่ ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นบทบัญญัติที่เสริมให้รัฐธรรมนูญมาตรา 8 มีผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงไม่มีมูลกรณีที่จะอ้างว่า ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ได้ คงมีประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยเพียงว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 29 และมาตรา 45 วรรคหนึ่งและวรรคสองหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่า หลักการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สอดคล้องกับการให้ความคุ้มครองพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันและประมุขของประเทศไทย การกำหนดบทลงโทษผู้กระทำความผิดจึงเป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตามหลักนิติธรรมที่เป็นศีลธรรมหรือจริยธรรมของกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงมิได้ขัดหรือแย้งต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรคสอง นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา ภาคความผิด ลักษณะที่ 1 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นมาตรการของรัฐที่มีขึ้นเพื่อคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้าย ซึ่งการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ และเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรที่มีความหมายเช่นเดียวกับการเป็นกฎหมายที่มีขึ้นเพื่อการรักษาความมั่นคงของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 วรรคสอง ที่เป็นเงื่อนไขแห่งการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลตามรัฐธรรมนูฯญ มาตา 45 วรรคหนึ่ง อีกทั้งอัตราโทษตามที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กำหนดไว้ ก็เป็นการกำหนดเท่าที่จำเป็นเพื่อให้รัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ที่รับรองสถานะของพระมหากษัตริย์มีผลใช้ได้อย่างสมบูรณ์ในทางปฏิบัติ และเป็นการจำแนกการกระทำความผิดที่เหมาะสมและได้สัดส่วนกับสถานะของบุคคลที่ประมวลกฎหมายอาญาได้กำหนดไว้ อีกทั้งเป็นบทบัญญัติที่ใช้เป็นการทั่วไป ไม่ได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง และไม่ได้กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 วรรคหนึ่งแต่ประการใด เพราะบุคคลทุกคนยังมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายในขอบเขตที่ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นี้ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 และมาตรา 45 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 29 และมาตรา 45 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ด้านนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ ให้ความเห็นในเฟสบุ๊คของตัวเอง http://www.facebook.com/verapat ในประเด็นดังกล่าวว่า การที่ศาลให้เหตุผลว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่มีไว้เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐเป็นเหตุผลที่สำคัญมาก เพราะแสดงให้เห็นว่า มาตรา 112 ไม่ได้มุ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์เป็นการส่วนพระองค์ แต่มุ่งคุ้มครองรัฐที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข "ดังนััน จากนี้ไป ตำรวจ อัยการ และศาลทั้งหลาย โดยเฉพาะศาลฎีกา ต้องพิจารณาแยกแยะให้ดีว่า การกระทำที่ฟ้องมาตามมาตรา 112 นั้น มีเนื้อหาสาระที่กระทบ 'ความมั่นคงของรัฐ' หรือไม่ "หากสิ่งที่ฟ้องมา เป็นเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ 'ความมั่นคงของรัฐ' ก็ต้องไม่นำไปโยงกับมาตรา 112 เช่น การที่ใครปากพล่อย พูดจาหยาบคายไม่เรียบร้อย ไม่ยืนตรงเคารพเพลง ฯลฯ ก็ต้องไปฟ้องตามกฎหมายมาตราอื่นที่ออกแบบมารักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม แต่ไม่ใช่จับทุกอย่าง ยัดเข้าเป็นเรื่อง 'ความมั่นคงของรัฐ' ไปเสียหมด "แต่หากผู้ใดยัดทุกอย่างเข้าเป็นเรื่อง 'ความมั่นคงของรัฐ' ไปเสียหมด เท่ากับว่า ผู้นั้นกำลังดูแคลนว่า สังคมไทยมีความอ่อนแอบางอย่างที่แตะต้องไม่ได้ เพราะผู้นั้นมองว่าเพียงแค่ใครพูดพล่อยๆ ก็จะทำให้ความอ่อนแอนั้นพังสลายจนกระทบ 'ความมั่นคงของรัฐ' ไปหมดทุกเรื่อง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คนงานปราจีนฯ ประท้วงนายจ้างลอยแพ จ่ายชดเชยแค่ 30% Posted: 10 Oct 2012 02:12 AM PDT คนงานบริษัทกบินทร์บุรี แพนเอเชียฟุตแวร์ ประท้วงนายจ้างลอยแพ จ่ายชดเชยแค่ 30% เดือดร้อนเพราะอายุมาก หางานทำยาก เตรียมสู้ขั้นกฎหมายต่อไป 10 ต.ค. 55 - ที่หน้าบริษัทกบินทร์บุรี แพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด หมู่ที่ 5 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี พนักจำนวนกว่า 300 คน ได้มารวมตัวกันที่หน้าบริษัท เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยหลังจากที่บริษัทหยุดกิจการ และปลดพนักงานเกือบทั้งหมดออก อีกทั้งไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยตั้งเวทีปราศรัยบนถนนสายสุวรรณศรสายเก่า กบินทร์แพน-เทศบาลตำบลกบินทร์ ปิดช่องทางการจราจร 1 ช่องทาง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กบินทร์บุรี คอยอำนวยความสะดวก ทั้งนี้พนักงานบริษัทได้มีการทำหนังสือข้อเรียกร้องจำนวน 3 ข้อคือ 1.ขอให้ทางบริษัทออกใบรับรองการทำงาน ใบผ่านงานจากบริษัท โดยระบุบริษัทปิดกิจการเลิกจ้าง และไม่ให้พนักงานเขียนใบลาออก 2.ขอให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ตามกฎหมายมาตรา 118 และ 3.ขอให้หน่วยงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานให้ดูแลและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้าง
ที่มาข่าวบางส่วน: ครัวครัวข่าว, ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
‘ตรรกะซ่อนเร้น’ ของชนชั้นนำที่ครอบงำ ‘ระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ’ Posted: 10 Oct 2012 02:08 AM PDT "หากเราไม่ยอมรับระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามกระบวนการและขั้นตอนที่มันเป็นอยู่ มันจะทำให้บ้านเมืองเราหยุดชะงัก ไม่มีทางออกเลย วิชาการ ความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบก็จะหยุดชะงักตามไปด้วย ส่งผลให้เกิดความล้าหลังทางความรู้ที่จะเอามาใช้ในการประเมิน วิเคราะห์ คาดการณ์ หรือแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาต่างๆ" ถ้อยคำในเครื่องหมายคำพูดข้างต้นมักได้ยินเสมอในแวดวงเวทีที่นำเสนอหรือวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม: อีไอเอ (EIA: Environmental Impact assessment) หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ: อีเอชไอเอ (EHIA: Environmental Health Impact Assessment) แล้วแต่กรณี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่เป็นเจ้าของโครงการ และพวกบริษัทที่ปรึกษาที่รับจ้างเจ้าของโครงการจัดทำรายงานอีไอเอ หรืออีเอชไอเอแล้วแต่กรณี ไม่เว้นแม้แต่หน่วยงานรัฐที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการกำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ การดำเนินงานโครงการพัฒนานั้นๆ และองค์กรอิสระที่บริหารงานภายใต้งบประมาณสนับสนุนจากรัฐทั้งหลายที่มีบทบาทหน้าที่ในการพัฒนาระบบและกลไกในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตั้งแต่ก่อนได้รับอนุญาต ขณะได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการ และหลังการได้รับอนุญาต ก็มักจะได้ยินคำพูดเช่นนี้เสมอๆ เช่นเดียวกัน ในเมื่อองค์กรที่สมควรเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับประชาชนออกตัวดังถ้อยคำในเครื่องหมายคำพูดข้างต้นเสียแล้ว ประชาชนที่เป็นคนเล็กคนน้อยในสังคมที่ไร้อำนาจการเจรจาต่อรองกับรัฐ และเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการพัฒนานั้นๆ จะพึ่งพาใครได้ เมื่อคิดทบทวนให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า ถ้อยคำในเครื่องหมายคำพูดข้างต้นของบทความนี้คือ 'ตรรกะซ่อนเร้น' ที่มันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าเพียงข้ออ้างของ 'ความรู้' หรือวิชาการที่เกี่ยวกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพราะความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่มันมีนัยยะว่า "หากเราไม่ยอมรับระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามกระบวนการและขั้นตอนที่มันเป็นอยู่ มันจะทำให้บ้านเมืองเราพัฒนาต่อไปไม่ได้" นั่นเอง ตรรกะซ่อนเร้นเช่นนี้คือการหยิบยก 'วาทกรรมการพัฒนา' มากดทับ ครอบงำ เบี่ยงเบน และแทนที่ประเด็นถกเถียงในเวทีที่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์และจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับ 'ระบบการประเมินผลกระทบ' ที่มีปัญหาขาดความเป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตย จึงเห็นได้ว่าแทบทุกครั้งของการจัดเวทีเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ หรือจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับระบบการประเมินผลกระทบที่สมควรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม กลับกลายเป็นการโต้วาทีในเรื่องแนวคิดการพัฒนาระหว่างรัฐ/เอกชนซึ่งเป็นเจ้าของโครงการกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไปเสีย ถ้าพูดให้ตรงประเด็นยิ่งขึ้นก็คือ องค์กรเหล่านั้นมีธงนำอยู่ในใจแล้วว่า 'การพัฒนา' ต้องมาก่อนหรือสำคัญกว่า 'ระบบการประเมินผลกระทบ' เสมือนว่าบุคลากรที่อยู่ในองค์กรเหล่านั้นมีเซลล์ที่คำนึงถึงการพัฒนาฝังอยู่ในสมองมากกว่าเซลล์ที่ควรคำนึงถึงระบบการประเมินผลกระทบที่ดีขึ้นกว่าเดิม จึงมักอ้างเหตุผลและความจำเป็นของการพัฒนามากดทับระบบการประเมินผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องยอมรับการพัฒนาจากโครงการนั้นๆ อยู่เรื่อยมา ระบบการประเมินผลกระทบที่ 'วนกี่รอบก็ตาม แต่จะผ่านความเห็นชอบในท้ายที่สุด'ตัวอย่างในกรณีกิจการเหมืองแร่ การทำและพิจารณารายงาน EIA และ EHIA เป็นส่วนย่อยหนึ่งที่มีความสำคัญมากของระบบใหญ่ นั่นคือระบบของขั้นตอนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ของรัฐ เพราะว่ารายงาน EIA และ EHIA ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วจะเป็นใบเบิกทางสร้างความชอบธรรมให้กับการอนุญาตประทานบัตร ขั้นตอนการพิจารณารายงาน EIA และ EHIA จึงมีลักษณะ 'วนกี่รอบก็ตาม แต่จะผ่านความเห็นชอบในท้ายที่สุด' จึงเป็นเรื่องยากที่ระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจะเป็นอิสระโดยตัวมันเอง ไม่ขึ้นอยู่หรือผูกติดกับการที่ต้องเป็นเอกสารสนับสนุนการให้สัมปทานของรัฐ ระบบการประเมินผลแบบนี้จึงมีความอ่อนแอมาก เนื่องจากไม่คำนึงถึง 'ศักยภาพพื้นที่' ที่สอดคล้องกับวิถีการผลิต ความจรรโลงใจของประชาชน และความเปราะบางของระบบนิเวศที่จำเป็นต้องปกปักรักษาไว้ แต่คำนึงถึง 'ศักยภาพแหล่งแร่' ที่สอดคล้องต่อการใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP (Gross Domestic Product) เป็นตัวชี้วัดกิจกรรมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ระบบการประเมินผลกระทบแบบนี้จึงไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ แต่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่ขอสัมปทานทำเหมืองแร่จากรัฐเป็นหลัก ขั้นตอนการพิจารณารายงาน EIA และ EHIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (และสุขภาพ) หรือ คชก. ภายใต้การแต่งตั้งของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เริ่มขึ้นเมื่อเจ้าของโครงการเสนอรายงาน EIA หรือ EHIA แล้วแต่กรณี ต่อ สผ.ก็จะทำให้กระบวนการพิจารณารายงาน EIA หรือ EHIA ทำงาน (Operate) ทันที โดย สผ.จะต้องตรวจสอบรายงานฯ ภายใน 15 วัน ถ้ารายงานฯ ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์จะถูกส่งกลับไปให้เจ้าของโครงการแก้ไข แต่ถ้าถูกต้องสมบูรณ์ สผ.จะพิจารณาเสนอความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับรายงาน EIA หรือ EHIA แล้วแต่กรณี ภายใน 15 วัน เพื่อนำเสนอให้ คชก. พิจารณาต่อไปให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน ในกรณีที่ คชก.ให้ความเห็นชอบกับรายงาน EIA หน่วยงานผู้อนุญาตจะออกใบอนุญาตให้เจ้าของโครงการดำเนินการต่อไปได้ แต่หากไม่เห็นชอบกับรายงาน EIA หรือ EHIA แล้วแต่กรณี ให้เจ้าของโครงการดำเนินการแก้ไขรายงาน EIA หรือ EHIA แล้วแต่กรณี แล้วยื่นรายงาน EIA หรือ EHIA แล้วแต่กรณีที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม หรือได้จัดทำใหม่ทั้งฉบับ แล้วให้ สผ.สรุปผลการพิจารณาและนำเสนอ คชก.ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ทั้งนี้ถ้า คชก.มิได้พิจารณาให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาให้ถือว่า คชก.เห็นชอบกับรายงาน EIA หรือ EHIA ฉบับแก้ไขนั้นไปโดยปริยาย โดยในกรณีรายงาน EIA ที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.แล้วหน่วยงานผู้อนุญาตสามารถออกใบอนุญาตให้เจ้าของโครงการดำเนินการต่อไปได้ และในกรณีที่ คชก. ไม่เห็นชอบรายงาน EIA หรือ EHIA (รอบที่สอง-แก้ไขเพิ่มเติม หรือจัดทำใหม่ทั้งฉบับ) ตามกำหนดเวลา 30 วัน หากเจ้าของโครงการไม่เห็นด้วยกับความเห็น คชก.ที่ไม่เห็นชอบ ก็มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลปกครองได้ แต่ถ้าหากเจ้าของโครงการเห็นด้วยกับความเห็น คชก.ที่ไม่เห็นชอบ ก็สามารถเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ทำการแก้ไขเพิ่มเติม หรือจัดทำใหม่ทั้งฉบับกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณารายงาน EIA หรือ EHIA ใหม่ได้อีกจนกว่า คชก.จะให้ความเห็นชอบในท้ายที่สุด ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่รอบใดก็รอบหนึ่ง ในกรณีรายงาน EHIA ที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.มาแล้ว จะมีขั้นตอนการให้ความเห็นประกอบของคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) เพิ่มขึ้นอีก 60 วัน หลังจากที่ สผ.จัดส่งรายงาน EHIA ที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.มาให้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์กรอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐธรรมนูญฯ 2550 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 กำหนดไว้ในมาตรา 67 วรรคสอง ว่า "การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว" จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการจัดทำรายงาน EIA และ EHIA ที่มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกัน ตลอดจนกระบวนการและขั้นตอนในการพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงาน EHIA ที่มีขั้นตอนและระยะเวลาเพิ่มเติมมากกว่ารายงาน EIA ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม อำนาจหน้าที่ของ กอสส.เป็นเพียงแค่การให้ความเห็นประกอบต่อรายงาน EHIA ที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.มาแล้วเท่านั้น มิสามารถทำให้รายงาน EHIA ที่ผ่านความเห็นชอบจาก คชก.มาแล้วถูกยกเลิกหรือเป็นโมฆะได้แต่อย่างใด สผ.และ คชก.ยังเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริงในการผ่านความเห็นชอบรายงาน EIA หรือ EHIA อยู่เช่นเดิม โดยไม่ต้องรับผิดชอบกับการให้ความเห็นชอบด้วยข้อมูลที่ผิดพลาดหรือเป็นเท็จ ไม่ต้องรับผิดชอบกับการไม่กำกับ ดูแล ติดตาม เฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ต้องรับผิดชอบกับการที่หน่วยงานรัฐและเจ้าของโครงการไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม แต่อย่างใดทั้งสิ้น CHIA คือการ 'ขุนหมูเข้าโรงฆ่าสัตว์'เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ถ้อยคำในเครื่องหมายคำพูดข้างต้นของบทความนี้หลุดออกมาจากปากของบุคลากรในองค์กรเช่นสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่เป็นองค์กรคล้ายๆ กับว่าจะอิสระโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ มีกฎหมายบริหารจัดการองค์กรของตนเองโดยเฉพาะโดยไม่ขึ้นอยู่กับการชี้นำของรัฐ มีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาระบบและกลไกในการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ กลับมีความคิดไม่อิสระเหมือนถูกพันธนาการจากรัฐ เพราะแทนที่จะมีบทบาทหน้าที่ที่ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนแต่กลับไปยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ของการพัฒนาเสียมากกว่า นั่นก็เพราะว่าองค์กรนี้คิดไม่ต่างไปจากรัฐคิด หรืออาจจะมีความคิดต่างอยู่บ้างแต่มีการประนีประนอมสูงเพราะคิดถึงความอยู่รอดขององค์กรตนเองเป็นหลัก จึงไม่กล้าเสนออะไรที่เป็นผลประโยชน์ยั่งยืนและก้าวหน้าของประชาชน สช. มีแผนงานหนึ่งที่เรียกว่าการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน (Community Health Impact assessment) หรือ CHIA ที่สนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนในพื้นที่โครงการพัฒนาต่างๆ ได้พัฒนาศักยภาพของตนในการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพโดยชุมชนเอง เพื่อหวังให้เป็นอำนาจทางปัญญาในการกำหนดอนาคตตนเองและสังคม และเพื่อหวังให้ได้ข้อมูลศักยภาพพื้นที่และศักยภาพชุมชนเพื่อเปรียบเทียบและสร้างพลังต่อรองกับการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA และ EHIA ของเจ้าของโครงการ บริษัทที่ปรึกษาและหน่วยงานรัฐ แต่ข้อมูลที่ได้จากกระบวนการทำ CHIA กลับไม่มีพลังต่อรองใดๆ กลายเป็นข้อมูลที่ทำหน้าที่สื่อสารกับคนในวงกว้างเท่านั้น เพื่อให้รับรู้ถึงสถานการณ์ปัญหาที่ประชาชนในชุมชนที่ต้องประสบชะตากรรมจากโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชน เป็นข้อมูลที่มีเป้าหมายเพียงแค่ให้คนภายนอกในวงกว้างได้รับรู้ข้อมูลของชุมชนเท่านั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เสพข้อมูลในวงกว้างจะตอบสนองต่อข้อมูลนี้เช่นไร เช่น การแสดงความเห็นอกเห็นใจ เมตตา สงสาร ที่มีจำนวนน้อยจนนับคนได้ ซึ่งก็ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนในชุมชนที่กำลังต่อสู้กับการที่รัฐหรือเอกชนกำลังผลักดันโครงการพัฒนานั้นๆ ด้วยการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA หรือ EHIA ได้เลย เพราะเนื่องจากข้อมูลที่ได้จากกระบวนการทำ CHIA ไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจนหรือเฉพาะเจาะจงในการนำมาใช้ต่อสู้กับกระบวนการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA หรือ EHIA ที่ไม่มีความเป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตยของเจ้าของโครงการ-บริษัทที่ปรึกษา และ สผ.กับ คชก.ตามลำดับ การทำข้อมูล CHIA เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการ 'ขุนหมูเข้าโรงฆ่าสัตว์' ประชาชนในชุมชนที่ร่วมกันทำข้อมูล CHIA ได้รูปเล่มสวยงามออกมาก็นึกว่าจะนำข้อมูลไปต่อสู้กับระบบการประเมินผลกระทบที่ไร้ความเป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตย ของ สผ.และ คชก.ได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ สผ.และ คชก.จะให้ความสำคัญต่อข้อมูลที่ได้จากกระบวนการทำ CHIA ของประชาชนในชุมชนถึงขั้นที่จะไม่เห็นชอบต่อรายงาน EIA และ EHIA แต่อย่างใด หรือถึงแม้อาจจะเห็นถึงความสำคัญของข้อมูล CHIA อยู่บ้างจนถึงขั้นที่ไม่เห็นชอบรายงาน EIA และ EHIA ในรอบแรก แต่รอบต่อๆ ไปก็จะวนกลับไปแก้ไขเพิ่มเติม หรือจัดทำใหม่ทั้งฉบับจนผ่านความเห็นชอบในท้ายที่สุดอยู่ดี ตราบใดที่ไม่คิดจะพุ่งเป้าทำลายอำนาจผูกขาดและทรงอิทธิพลของ สผ.และ คชก.ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงาน EIA และ EHIA ภายใต้ความคิดที่วางอยู่บนพื้นฐานที่ผูกติดยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์จากการพัฒนาเป็นหลัก กล่าวคือ สผ.และ คชก.จะต้อง หนึ่ง-รับผิดชอบกับการให้ความเห็นชอบด้วยข้อมูลที่ผิดพลาดหรือเป็นเท็จ สอง-รับผิดชอบกับการไม่กำกับ ดูแล ติดตาม เฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น สาม-รับผิดชอบกับการไม่กำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบหน่วยงานรัฐและเจ้าของโครงการให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และสี่-หยุดวงจรอุบาทว์โดยเปลี่ยนการพิจารณารายงาน EIA และ EHIA เป็นแบบปลายเชือกที่มีจุดจบ ไม่ใช่วนกี่รอบก็ตามแต่ก็ผ่านความเห็นชอบในท้ายที่สุด เป็นต้น ตราบนั้นระบบการประเมินผลกระทบก็ไม่มีวันที่จะเกิดความเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยเพียงพอที่จะกลายเป็นเครื่องมือที่ผูกติดยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ที่ยั่งยืนและก้าวหน้าของประชาชนคนเล็กคนน้อยในสังคมเราได้ สุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้รับรู้จากการแถลงข่าวของ สช.ว่าสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในเดือนธันวาคมปีนี้จะเสนอให้มีการปฏิรูป EIA และ EHIA เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่เนื่องจากว่าภารกิจในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพนั้นมี 4 ระยะหลักๆ คือ หนึ่ง-การประเมินผลกระทบก่อนได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างโครงการ สอง-การประเมินผลกระทบขณะกำลังก่อสร้างโครงการ สาม-การประเมินผลกระทบขณะดำเนินโครงการ และสี่-การประเมินผลกระทบหลังโครงการเสร็จสิ้น ซึ่งบทความนี้ได้มุ่งเน้นเฉพาะภารกิจการประเมินผลกระทบก่อนได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างโครงการเป็นหลัก จึงทำให้มีข้อห่วงกังวลอยู่ว่าการเสนอให้มีการปฏิรูป EIA และ EHIA ตามการแถลงข่าวของ สช.จะไม่ได้เป็นการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปภายหลังจากที่โครงการพัฒนาได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเท่านั้น แต่จะต้องมุ่งเน้นการปฏิรูปในขั้นก่อนได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างโครงการเป็นหลักด้วย เหตุที่ต้องเตือนกันเช่นนี้ก็เนื่องจากว่าหน่วยงานเช่น สช.มีพวกชนชั้นนำจำนวนหนึ่งที่ใช้ตรรกะซ่อนเร้น โดยอ้างความรู้ทางวิชาการในเรื่องที่เกี่ยวกับระบบการประเมินผลกระทบมาครอบงำขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ต้องการพุ่งเป้าต่อสู้กับระบบการประเมินผลกระทบในขั้นตอนก่อนได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างโครงการที่ไร้ความเป็นธรรม และไม่เป็นประชาธิปไตยที่ สผ.และ คชก.ผูกขาดอำนาจอยู่ สิ่งที่ สช. ควรทำคือสนับสนุนประชาชนคนเล็กคนน้อยในสังคมที่ไร้พลังอำนาจในการเจรจาต่อรอง เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีเพียงสองมือสองเท้าที่เดินถนนเรียกร้องหาความเป็นธรรมเท่านั้น แต่ สช.เป็นองค์กรที่มีสถานะทางสังคม มีงบประมาณสนับสนุนจากรัฐโดยกฎหมายเฉพาะของตัวเองที่สามารถช่วยประชาชนต่อสู้กับ สผ.และ คชก.ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ใช้ตรรกะซ่อนเร้น เพื่อให้ชนชั้นนำในองค์กรอยู่รอดโดยการประนีประนอมกับความไม่เป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตยกับระบบการประเมินผลกระทบดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เมื่อคุณครูออกมาเรียกร้องสิทธิ - คนทำงาน กันยายน 2555 Posted: 10 Oct 2012 12:25 AM PDT |
มติศาลรธน.ไม่รับคำร้องจำนำข้าว ชี้ไม่อยู่ในอำนาจศาล Posted: 10 Oct 2012 12:14 AM PDT คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาไม่รับคำร้องโครงการรับจำนำข้าวของอาจารย์นิด้า เนื่องจากไม่อยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหาย วันนี้ (10 ต.ค.55) ข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ผลการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีที่สำคัญของศาลรัฐธรรมนูญ ประจำวันพุธที่ 10 ตุลาคม 2555 ระบุไม่รับคำร้อง กรณีที่ รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยูธยา กับคณะ ยืนหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อยับยังหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มติชนออนไลน์ รายงานว่า ด้าน นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์นิด้า กล่าวว่า จะทำงานวิชาการตามปกติ จะหารือกับอาจารย์เครือข่าย เป็นงานทางวิชาการ ส่วนตัวจะไม่ไปยื่นหน่วยงานใดแล้ว ส่วนนักวิชาการคนอื่น จะยื่นช่องทางอื่นก็ไม่เป็นปัญหา "ผมพอใจในสิ่งที่ทำ วิเคราะห์ข้อมูล ผ่านสื่อและให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ในกระบวนการส่งออกข้าวของไทย พอใจและเคารพคำตัดสินของศาล ไม่ใช่คนที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของผู้อื่น"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รายงาน: ใบปลิวหมิ่นฯ จากเถียงนา ประมวลการสืบพยานคดี 112 ที่ร้อยเอ็ด Posted: 09 Oct 2012 08:50 PM PDT
นอกจากร้อยเอ็ดจะเป็นจังหวัดที่มีการแจ้งความร้องทุกข์ด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวนมาก (ดู รายงานพิเศษ: สถิติที่น่าสนใจของการใช้มาตรา 112 โดย 'I Pad' และ สภ.ร้อยเอ็ด) ล่าสุดยังมีคดีที่ฟ้องร้องกันด้วยมาตรานี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ใช่จากผู้ใช้นามแฝงว่า "I Pad"
---------------------------- ขอขอบคุณโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ilaw) ติดตามข้อมูลคดีนี้เพิ่มเติมได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/th/case/362 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อดีตครูยืนด่า "ดารุณี" กลางห้าง แจงผ่านคลิปว่าไม่ได้ทำเพราะหวังเด่นดัง Posted: 09 Oct 2012 07:21 PM PDT แต่ทำเพราะใจบริสุทธิ์รักในหลวง ส่วนที่ไปด่ากลางห้างนั้น เพราะคนที่มีการศึกษาฟังดารุณีก็รู้ว่าหมายถึงใคร และไม่ต้องการให้เกิดเหตุปะทะที่หน้ากองปราบอีก พร้อมฝากฝากคนไทยทุกคนที่จงรักภักดีในหลวงให้แสดงความรักออกมาโดยไม่มีสีเสื้อ ไม่มีกลุ่ม แสดงความรักที่บริสุทธิ์ และยืนยันว่าเมื่อหมดสัญญาการทำงานในต่างประเทศ อีกสองเดือนจะกลับไปรับทราบข้อกล่าวหา ต่อกรณีที่สุภาพสตรีรายหนึ่ง ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.มนัสนันท์ หนูคำ อดีตครูโรงเรียนนานาชาติ ได้ตะโกนถาม นางดารุณี กฤตบุญญาลัย ขณะนั้นกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งว่า "หน้าด้านมาก ด่าในหลวงทำไม ด่าในหลวงทำไม" และมีผู้อัดคลิปเผยแพร่ ก่อนที่ น.ส.ดารณีจะไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท และ น.ส.มนัสนันท์ เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาคดีหมิ่นประมาท ที่กองปราบปราม ถ.พหลโยธิน จนเป็นเหตุให้มีการปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุน น.ส.มนัสนันท์ และกลุ่มคนเสื้อแดง จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งเมื่อวันที่ 25 ก.ย.นั้น (ข่าวก่อนหน้านี้ [1], [2]) ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 ต.ค.) น.ส. มนัสนันท์ ได้ชี้แจงผ่านคลิปในยูทูปความยาว 3 นาที 25 วินาที ซึ่ง น.ส.มนัสนันท์จัดทำขึ้นเพื่อการชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า ตัวเธอไม่ได้หนีไปไหน ที่ออกจากทางโรงเรียนเมื่อต้นเดือนสิงหาคมเพราะได้งานที่ประเทศเกาหลีใต้ รายได้ดีกว่า จึงตัดสินใจมากทำงาน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น.ส.มสันนันท์ กล่าวว่า "ไม่เคยคิดว่าจะทำให้ตัวเองเด่นดังหรือเป็นวีรสตรีสร้างชื่อเสียง แต่ทำเพราะเป็นคนไทยคนหนึ่งที่รักในหลวง ไม่มีสีเสื้อ ไม่มีพวก ไม่มีกลุ่ม ทำเพราะใจบริสุทธิ์เพราะรักในหลวง" ในคลิป น.ส.มนัสนันท์ ได้แถลงต่อไปว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับดารุณี ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ติดตามข่าวจากทางเว็บไซต์ต่างๆ ได้ยินว่าคุณดารุณีและพวกชอบว่าในหลวงต่างๆ นานา แม้ไม่ได้ใช้คำพูดว่าโดยตรง แต่คนที่มีการศึกษาฟังก็รู้ว่าหมายถึงใคร ตัวดิฉันฟังก็รู้ว่าหมายถึงใคร ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง คำเปรียบเทียบต่างๆ เมื่อได้เจอคุณดารุณีที่ห้างแห่งหนึ่ง จึงเกิดอารมณ์เลยเข้าไปถามเธอว่า ว่าในหลวงทำไม แต่เนื่องจากเป็นคนเสียงดัง ทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างดูรุนแรง จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือแม่และน้องจะเดือดร้อน ไม่อยากให้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ฝากขอบคุณคนไทยที่ให้กำลังใจและคอยให้ความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ขอขอบคุณด้วยความจริงใจ อยากบอกว่าไม่กลัวในสิ่งที่ทำเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด แค่กลัวว่าสิ่งที่ทำจะทำให้คนไทยทะเลาะกันเหมือนที่หน้ากองปราบเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นอีก ต้องขอโทษที่ทำให้เป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยขัดแย้ง ทั้งนี้เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับใคร เป็นเรื่องของดิฉันเพียงคนเดียว ขอฝากตำรวจว่า จะกลับประเทศเมื่อหมดสัญญาการทำงาน อีกสองเดือนจะกลับไปรับข้อกล่าวหา สุดท้าย น.ส.มนัสนันท์ กล่าวว่า "ฝากคนไทยทุกคนที่จงรักภักดีในหลวงให้แสดงความรักออกมาโดยไม่มีสีเสื้อ ไม่มีกลุ่ม แสดงความรักที่บริสุทธิ์" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น