โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ไต่สวนการตาย 10 เมษา พยาน 2 ปากยันกระสุนสังหาร “ฮิโรยูกิ-วสันต์” มาจากทหาร

Posted: 05 Oct 2012 10:53 AM PDT

 

5 ต.ค.55 ที่ห้องพิจารณา 403 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้(ผู้ตายที่ 1) สัญชาติ ญี่ปุ่น ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 รวมทั้ง นายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2)  อายุ 39 ปี และนายทศชัย เมฆงามฟ้า(ผู้ตายที่ 3) อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิต ในเวลาและบริเวณใกล้เคียงกัน จากการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร

โดยในวันนี้ได้มีประจักษ์พยานในเหตุการณ์ 2 ปากมาเบิกความ คือ นายดำเนิน ยาท้วม อายุ 55 ปี นักวิชาการอิสระด้านการศึกษา และนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง อายุ 62 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นผู้ร่วมชุมนุม นปช.

นายดำเนิน ยาท้วม เบิกความต่อศาลว่า วันที่ 10 เมษายาน 2553 เวลาประมาณ 15.00 น. มีผู้ชุมนุมจำนวนมากมาสังเกตการณ์กับพยานบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่งถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยขณะนั้นแนวทหารอยู่ตรงกึ่งกลางของถนนดินสอ ตรงประตูหลังวัดบวรฯ โดยอยู่ด้านหลังรถหุ้มเกราะประมาณ 4-5 คันที่จอดขวางถนนหันหน้ารถและกระบอกปืนหันมาทางผู้ชุมนุม แนวทหารนั้นด้านหน้ามีโล่ ตะบอง ด้านหลังมีอาวุธปืนยาว ทหารถือโล่มีประมาณ 50 คน ส่วนถือปืนยาวประมาณ 20-30 คน จากนั้นเวลาผ่านไปเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนมาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยไม่ทราบเหตุผลที่ทหารพยายามเข้ามา

พยานเบิกความต่อว่าจากนั้นได้ชวนผู้ชุมนุมมายืนขวางที่ทางม้าลายแรกตรงหัวถนนดินสอ ยืนประมาณ 200 คน ไม่มีการถืออาวุธ มีเพียงขวดน้ำและธง ช่วงนั้นไม่มีการ์ด นปช. รวมทั้งไม่มีชุดดำที่แฝงตัวเข้ามา ผู้ชุมนุมยืนกันเฉยๆ แต่ฝ่ายทหารไม่หยุดเคลื่อน จนกระทั่งเผชิญหน้าและผลักดันกัน สักครู่ทหารแถวหลังยิงปืนยาวขึ้นฟ้า หลังจากนั้นรถติดเครื่องขยายเสียงของทหารประกาศว่า "ขอให้หยุดการชุมนุม" ผู้ชุมนุมก็ยังอยู่และไม่ได้ผลักดัน สักครู่มีนายยศวฤทธิ์ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แกนนำ นปช. มาพร้อมรถเครื่องเสียงด้านหลังแนวผู้ชุมนุมประกาศเจรจากับหัวหน้าหน่วยทหาร แต่ฝ่ายทหารกลับไม่ตอบรับจึงไม่มีการเจรจา

นายดำเนิน เบิกความว่า เวลา 16.00 น. ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์บินมาเหนือหัวพร้อมโปรยแผ่นใบปลิวให้ยุติการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุม นปช.ไม่ได้ยุติ หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็บินวนมาและโปรยแก๊สน้ำตา หลายจุดรวมทั้งจุดที่พยานอยู่ ทำให้พยานโดนแก๊สน้ำตาด้วย หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้หาน้ำล้างหน้า แต่มีบางส่วนที่ยังอยู่ประจันหน้ากับทหารที่เดิม เช่นเดียวกับทหารที่ยังอยู่ตรงนั้น ซึ่งเครื่องบินทิ้งแก๊สน้ำตาหลายรอบ ส่วนใหญ่ทิ้งตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

จนกระทั่งเวลา 17.00 น. พยานได้ขยับไปที่สะพานผ่านฟ้า โดยผู้ชุมนุมยังคงอยู่หัวถนนดินสอ ใกล้ 18.00 น. เฮลิคอปเตอร์ทิ้งแก๊สน้ำตามาลงที่สะพานผ่านฟ้าฯ บริเวณหน้าเวทีจำนวนมาก จึงหลบแถวนั้น จนกระทั่งบนเวทีบอกว่ารถโมบายจากราชประสงค์พร้อมผู้ชุมนุมจะมาช่วย เพราะกลัวว่าจะยันกับทหารไม่อยู่

ประมาณ 20.00 น.รถจากราชประสงค์มาถึง ขณะนั้นไม่มีการโปรยแก๊สน้ำตา และ ประมาณ 20.30 น. รถโมบายได้เคลื่อนไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานจึงเดินนำหน้ารถไปด้วย เมื่อไปถึงเห็นเจ้าหน้าที่ทหารยังคงปักหลักที่จุดเดิมตรงหัวถนนดินสอ โดยมีผู้ชุมนุมยืนปักหลักยันกับทหารไว้ ซึ่งบริเวณนั้นมีไฟสาธารณะสว่างมองเห็นได้ชัด ผู้ที่มากับรถโมบายคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ประกาศว่ามาช่วยแล้ว

นายดำเนิน เบิกความต่อว่า ขณะนั้นในส่วนของทหารแนวหลังบริเวณประตูหลังวัดบวร ถนนดินสอ มีทหารเข้ามาประจำเพิ่มขึ้น โดยยืนเป็นแนวทั้งบนถนนและฟุตบาททั้ง 2 ข้าง ทหารแนวหลังจะถือเพียงอาวุธปืนยาว 40-50 นาย ห่างจากจุดที่ผู้ชุมนุมดันกับทหารประมาณ 50 เมตร และอยู่หลังรถหุ้มเกราะ ซึ่งตรงนั้นมีไฟฟ้าสาธารณะจึงสว่างมองเห็นได้ชัดว่าทหารถือปืนยาวและถือยกปลายกระบอกปืนเฉียงขึ้นฟ้าตรียมพร้อม พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เมื่อมาถึงได้ประกาศให้เปิดเพลงมัน ๆ แต่เล่นเพลงยังไม่ทันจบก็เกิดการปะทะกัน โดยทหารที่ถือปืนด้วยนั้นได้ยิงปืนขึ้นฟ้า ทั้งนี้แนวทหารมีทหารแนวหน้าจะถือโล่และตะบองไม้ ถัดไปเป็นรถหุ้มเกราะ ต่อด้วยทหารถือปืนยาว และทหารถือปืนยาวแนวหลังสุดอีกตรงบริเวณหน้าประตูวัดบวร

ขณะที่ทหารยิงปืนขึ้นฟ้า หลังจากนั้นมีเสียงดังมาก 2 ครั้ง คลายระเบิดห่างกัน ครึ่งนาที ด้านหน้าพยานและใกล้จนร่างกายสะเทือน หลังจากนั้น ผู้ชุมนุม นปช. เดินรุกขึ้นหน้าเข้าไป ในขณะที่ทหารถอยร่น พยานก็เคลื่อนตามไปด้วย หลังเสียงดัง 2 ครั้งนั้นทั้งผู้ชุมนุมและทหารล้มกันหลายคน ตั้งแต่บริเวณหัวถนนดินสอ แต่ขณะนั้นพยานไม่ทราบว่าบาดเจ็บหรือไม่

ในระหว่างที่ ผู้ชุมนุม นปช. เดินเข้าไปนั้น มีชายคนหนึ่งใส่เสื้อแดงนุ่งกางเกงเข้มถือธง นปช. สีแดง ด้านหน้าของพยานที่ช่วงแรกเขาหันหน้าทางทหาร หลังจากนั้นหันทางขวามือหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา  ด้ามธงอยู่กับพื้น หลังจากนั้นเห็นทรุดตัวล้มลง เห็นสมองและเลือดไหลมาตามพื้น อยู่ห่างจากพยานประมาณ 15-20 เมตร ช่วงนั้นมีเสียงอาวุธปืนจากทหารที่อยู่หน้าประตูหลังวัดบวร ได้ยินทั้งก่อน และหลังจากชายคนดังกล่าวล้มต่อเนื่องอีกนาน โดยมีประกายไฟสีส้มและสีเขียวที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนที่อยู่ตรงนั้น ทิศทางที่ตรงมายังผู้ชุมนุมและขึ้นฟ้า

พยานเบิกความด้วยว่าขณะนั้นฝังด้านหลังของพยานไม่ได้ยินเสียงปืน รวมทั้งด้านข้างก็ไม่เห็นประกายไฟ มีเพียงด้านหน้าที่ปรากฏประกายไฟ ซึ่งมีเสียงหลายแบบทั้งปั้งๆ แปะๆ และรัว แต่ยิงขึ้นฟ้ามีมากกว่าตรงมายังฝั่งผู้ชุมนุม ตอนนั้นเข้าใจว่าชายที่ถือธงถูกยิงเป็นกระสุนจริงจากเจ้าหน้าที่ทหาร นอกจากชายคนนี้แล้ว ขณะนั้นก็เห็นผู้ชุมนุมรายอื่นล้มลงด้วย แต่จำรายละเอียดไม่ได้ หลังจากนั้นเมื่อทราบว่ามีคนตายจริง จึงวิ่งย้อนกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อแจ้ง พ.ต.ท.ไวพจน์ ว่าทหารใช้กระสุนจริง และมีคนตาย พ.ต.ท.ไวพจน์ จึงได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเข้าไปนำร่างผู้ตายออกมา

หลังจากนั้น พยานได้กลับเข้าไปโดยคลานเข้าไปทางฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังโดยตลอด ขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมมีเพียงหนีกับวิ่งหลบ ไม่เห็นการ์ด นปช.หรือการตอบโต้จากผู้ชุมนุม ขณะเข้าไปฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ประมาณครึ่งทางระหว่างทางม้าลายแรกและอันที่สอง เห็นผู้ชุมนุมหามร่างชายชุดสีครีม ที่เห็นมาก่อนว่าเป็นผู้สื่อข่าวโดยไม่ทราบว่าเป็นสื่อไหน พยานไม่ทราบว่าถูกยิงล้มลงตรงไหน แต่ทราบภายหลังจากการประกาศบนเวทีว่าชื่อ ฮิโรยูกิ นักข่าวญี่ปุ่น ส่วนขณะนั้นร่างชายถือธงแดงนั้นยังนอนอยู่ที่เดิมเพราะไม่สามารถเข้าไปช่วยได้  ขณะคลานอยู่บนบาทวิถีหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาได้ยินเสียงปืนตลอดประมาณครึ่งชั่วโมงที่พยานคลานเข้าออก โดยขณะนั้นทหารถอยไปหมดถึงแนวหลังวัดบวรแล้ว โดยช่องว่างระหว่าง ทหารกับผู้ชุมนุมขณะนั้นประมาณ 50 เมตร

นายดำเนิน เบิกความด้วยว่าไม่เห็นทหารบาดเจ็บจากอาวุธปืน เห็นเพียงทหารล้มลงจากเสียงดัง 2 ครั้งและประคองทหารด้วยกันถอยไป แม้จะมีเสียงอาวุธปืนดัง พยานเห็นผู้ชุมนุมพยายามฝ่าเข้าไปยังทิศทางของทหาร สำหรับร่างของชายถือธงหรือนายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2) กว่าจะมีการนำออกมาจากจุดเกิดเหตุได้ต้องรอจนหลังจากเสียงปืนสงบ 1 ชั่วโมง ซึ่งทหารถอยไปจนสุดถนนใกล้สะพานวันชาติ ทางแกนนำส่งการ์ดมาเอาศพนายวสันต์ ภู่ทอง ออกมา

หลังจากเหตุการณ์สงบพยานยังอยู่ที่ชุมนุมจนกระทั้ง 2.00 น. จึงกลับบ้าน และในเช้าวันรุ่งขึ้นเวลา 9.00 น.ได้เข้ามาที่เกิดเหตุพบรอยเลือดตรงจุดที่นายวสันต์ ถูกยิงและพบร่องรอยความเสียหายที่ตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝั่งที่หันหน้าเข้าถนนดินสอ ตรงปีกอนุสาวรีย์ 2 ปีก หลายสิบรอย ความสูงแนวประมาณศีรษะส่วนใหญ่ โดยรอยเป็นรอยใหม่ เหมือนเป็นรอยจากของแข็งเข้ากระทบทำให้เนื้อปูนกะเทาะออก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยานสันนิฐานว่าร่องรอยที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากกระสุนปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารยิงมาเมื่อคืนก่อน

พยานเบิกความด้วยว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินใน วันที่ 7 เม.ย. 53 ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือไม่สงบ ส่วนเหตุการณ์ในวันนั้นหากไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาสลายการชุมนุมก็จะไม่มีการตายและเจ็บเกิดขึ้น อีกทั้งก่อนโปรยแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ เจ้าหน้าที่ทหารมีการแจ้งเตือนว่าจะสลายการชุมนุมโดยใช้เพียงรถกระจายเสียงที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเท่านั้น ไม่ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมที่อยู่ส่วนอื่นทราบรวมทั้งไม่ได้แจ้งด้วยว่าจะใช้อาวุธปืนหรือโปรยแก๊สน้ำตา อีกทั้งยังไม่ได้แจ้งช่องทางให้ผู้ชุมนุมหลบหากมีการโปรยแก็สน้ำตาด้วย

นายดำเนิน เบิกความว่าขณะเกิดเหตุหากมองจากฝั่งทหารหน้าประตูวัดบวรนั้นคิดว่าทหารสามารถมองมายังผู้ชุมนุมเห็นได้ชัด เพราะจากฝั่งที่พยานอยู่มองไปยังทหารเห็นได้ชัดว่าถือปืนหรือทำอะไรอยู่ และอยู่ห่างกันไม่มากนัก นายดำเนิน ยังยืนยันด้วยว่าในขณะที่มีการปะทะกันไม่พบชายชุดดำ และคิดว่าการที่ทหารยิงใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

 

หลังจากนั้นในช่วงบ่าย นายไพบูลย์ น้อยเพ็ง พยานอีกปากในวันนี้ได้เข้าเบิกความว่า ในที่เกิดเหตุเวลา 17.00 น. รถของฝั่งทหารที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาซึ่งประกอบด้วยรถหุ้มเกราะ รถฮัมวี่และรถยูนิม็อก รวมทั้งหมด 12 คัน แบ่งเป็น 4 แถวๆ ละ 3 คน รถหุ้มเกราะแต่ละคันมีนายทหารประจำและมีการถือปืนสั้น ส่วนทหารอื่นจะมีปืนยาว ซึ่งอยู่ทั้งด้านหลังและระหว่างรถถังเต็มไปหมด ทหารมีอาวุธเป็นโล่ ตะบองไม้และสะพายอาวุธปืน ประมาณ 100 นาย ขณะนั้นผู้ชุมนุมยืนประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหารเฉยๆ พยานเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและโปรยแก๊สน้ำตาลงมา ผู้ชุมนุมที่โดนแก๊สน้ำตาก็กระจายตัวกัน ส่วนทหารใส่หน้ากากกันแก๊สน้ำตา มีการโปรยใบปลิวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีข้อความให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมไม่สลายการชุมนุมและยังคงยืนที่เดิมบริเวณหัวมุมถนนดินสอ เช่นเดียวกับทหารที่ยังคงประจันหน้าอยู่จุดเดิม พยานมาอยู่ด้านหน้าใส่เสื้อแดงถือร่มสีม่วง นุ่งกางเกงยีนส์หนา ซึ่งมีภาพข่าวหนังสือพิมพ์วันที่ 11 เม.ย.53 หน้า 1 มติชนยืนยัน

นายไพบูลย์ เบิกความต่อว่า ถึงเวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติ ทหารเปิดเพลงปลุกใจและเพลงพระราชนิพนธ์ จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. รถถัง 3 คันแรกด้านหน้าได้ติดเครื่องขยับไปมา ทำให้ผู้ชุมนุมตกใจถอยออกมาและทหารขยับมาด้านหน้ารถถัง จากการเกิดช่องว่างระหว่างรถถังกับผู้ชุมนุม ทหารประมาณหลักร้อย ถือตะบองและโล่และอาวุธปืนยาว M 16 และลูกซอง หลังจากนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. ผู้ชุมนุมจากผ่านฟ้าเข้ามาสมทบ ผู้ชุมนุมจึงเข้าไปผลักดันทหาร โดยไม่มีอาวุธ ทหารด้านหลังรถถังได้ขว้างแก๊สน้ำตา แต่ขณะนั้นลมพัดไปทางทหาร ผู้ชุมนุมจึงผลักดันทหารเข้าไปจนกระทั่งไปถึงหน้ารถถัง  ทหารก็มีชุดใหม่เข้ามาแทน โดยผู้ชุมนุมยังดันกับทหารต่อเนื่อง ขณะที่เสียงปืนดังตลอดเวลามาจากฝั่งทหารเนื่องจากเห็นแสงมาจากปากกระบอกปืน ส่วนด้านข้างหรือฝั่งผู้ชุมนุมไม่มี โดยทหารมีทั้งยิงขึ้นฟ้าและตรงมาทางผู้ชุมนุม

เวลาประมาณ 20.40 น. ขณะที่ผู้ชุมนุมยันกับทหาร ทหารบนรถหุ้มเกราะชักปืนสั้นยิงทั้งขึ้นฟ้าและยิงมาทางผู้ชุมนุมด้วยแต่ไม่ทราบว่ามีใครถูกกระสุนหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามในขณะนั้นพยานคิดว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารใช้กระสุนปลอมจึงไม่กลัวและผลักดันทหารต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.50 น. ได้ยินเสียงดังมาก 2 ครั้ง ห่างกัน 20 วินาที บริเวณใกล้ตัวพยานเอง แต่พยานเพียงแน่นหน้าอกจึงไม่คิดว่าเป็นระเบิดเพราะถ้าเป็นระเบิดพยานน่าจะได้รับบาดเจ็บ จุดที่เกิดเสียงดังนั้นเป็นจุดที่ทหารอยู่ หลังจากนั้นทหารจึงวิ่งถอยไปทางสะพานวันชาติ

หลังจากนั้นมีรถแกนนำคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เข้ามาพร้อมประกาศว่า "ทหารอย่าทำร้ายประชาชน และประชาชนอย่าทำร้ายทหาร" ผู้ชุมนุมจึงเกิดกำลังใจและผลักดันทหารในขณะที่เสียงปืนดังขึ้นตลอด ทหารที่อยู่ในรถหุ้มเกราะพร้อมด้วยรถหุ้มเกราะได้ถอยไปทางสะพานวันชาติ และมีผู้ชุมนุมหามร่างคนไปที่รถมูลนิธิ แต่จะถูกยิงหรือไม่ ขณะนั้นไม่ทราบ เพราะผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ตัวพยานนั้นไม่มีใครถูกยิงในขณะนั้น จากนั้นได้เดินไปตามบาทวิถีฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา เห็นทหารยิงขึ้นฟ้าและยิงมาทางผู้ชุมนุม ตอนนั้นตัวพยานยังคิดว่าเป็นกระสุนปลอม

 

พยาน เบิกความต่อว่า หลังจากนั้นพยานได้เดินถึงทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยาเจอนักข่าว(ฮิโรยูกิ ผู้ตายที่ 1)ที่เข้าใจว่าเป็นนักข่าวเนื่องจากมีการถือกล้องขนาดใหญ่ถ่ายอยู่และมีการถ่ายตัวพยานด้วย พยานได้เดินเลยนักข่าวคนนี้ไป ทำให้นักข่าวอยู่ด้านหลัง พยานได้หยุดเดินต่อเนื่องจากบริเวณทางเข้าโรงเรียนวัดบวรนั้นทหารได้ตั้งแถวขวางถนนดินสอ พร้อมกับเล็งปืนมาทางผู้ชุมนุม และมีเสียงปืนมาทางผู้ชุมนุม จนกระทั่งเวลาก่อน 21.00 น.เล็กน้อย ได้ยินเสียงร้องด้านหลังขอความช่วยเหลือว่า "โอ้ยหมอ" จึงหันไปเห็นทหารนอนเจ็บอยู่ 2 คน ซึ่งอยู่ตรงท้ายรถปิกอัพ สีขาว ซึ่งขณะนั้นมีผู้ชุมนุมช่วยเหลือทหารอยู่ 3-4 คน และพยานได้ร้องขอให้ผู้ชุมนุมเข้าไปช่วย จึงมีผู้ชุมนุมเข้าไปช่วยประมาณ 7 คน ในจำนวนนั้นมีนายจรูญ ฉายแม้น ซึ่งเสียชีวิตภายหลังเข้าไปด้วย 

รวมทั้งเห็นอีกคนที่ถือธงสีแดงภายหลังทราบว่าเป็นนายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2)เข้ามาด้วย ผู้ชุมนุมเข้าไปเพื่อยกให้ทหารที่นอนอยู่นั่งขึ้น พร้อมกับตะโกนให้ทหารออกไป โดยนายวสันต์โบกธงเพื่อไม่ให้ทหารยิง และเดินห่างจากพยานไป 4 ก้าว ก็ล้มลงเท้าเฉียงไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หัวไปทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยาตรงทางม้าลาย ขณะนั้นทราบว่าถูกยิงที่หัวเนื่องจากมีสมองและเลือดกระเด็นออกมา พอเห็นเช่นนั้นผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้นรวมทั้งพยานต่างตกใจ หลังจากนั้นตัวพยานถูกยิงที่ขาก่อนที่จะวิ่ง 3 ก้าวแล้วล้มลงหน้าทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา

ก่อนที่พยานจะล้มนั้นหันไปเห็นนักข่าว(ฮิโรยูกิ)กำลังถ่ายภาพทหาร 2 คนที่บาดเจ็บอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา หันหลังให้ทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา ยืนตรงประตูทางเข้าโรงเรียนมือซ้ายยกขึ้นจับกล้องในท่าถ่ายและลำตัวด้านซ้ายไปทางสะพานวันชาติ พอพยานล้มนักข่าวคนดังกล่าวก็ล้มตาม ห่างจากพยานประมาณ 3 เมตร ได้ยินเสียงกล้องกระแทกพื้น ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนตลอด หลังจากนั้นมีชายชุดขาววิ่งมาทางนักข่าวและล้มลง รวมทั้งมองไปทางฝังตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาที่มีทหาร 2 คนบาดเจ็บอยู่นั้นมีอีกหลายคนที่ล้มลง รวมทั้งรอบๆ ที่ร่างนายวสันต์นอนอยู่ก็มีคนล้มด้วย ขณะนั้นมองไปยังฝั่งทหารหน้าทางเข้าโรงเรียนวัดบวรก่อนถึงสะพานวันชาตินั้นมีประกายไฟจากปากกระบอกปืนมาทางฝังผู้ชุมนุมและสะพานวันชาติ

หลังจากที่พยานดูตัวเองพบว่าถูกยิงโดยกระสุนยางแล้วยังนอนตรงนั้นประมาณ 2 นาทีก็วิ่งไปหลบตรงต้นไม้และตู้โทรศัพท์ ในขณะนั้นเสียงปืนก็ยังคงดังอยู่จนกระทั้งผู้ชุมนุมหลบหมดเสียงปืนจึงสงบลง ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมอีกชุดเดินมาบนบาทวิถีจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาเพื่อช่วยเหลือทหาร แต่กลับถูกยิงได้รับบาดเจ็บ จนกระทั้งมีคนตะโกนบอกว่า "อย่ายิง ให้รายงานผู้บังคับบัญชาว่ามีทหารบาดเจ็บ" หลังจากนั้นประมาณ  1 นาทีมีทหารจากทางสะพานวันชาติ 5 คน มาช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนนั้นไม่มีเสียงปืนแล้ว ทหารจึงถอยไปถึงสะพานวันชาติ

นายไพบูลย์ เบิกความว่าต่อจากนั้นผู้ชุมนุมที่หลบอยู่ก็ออกมาล้อมรถหุ้มเกราะ และมีบางคนได้หย่อนตัวลงไปในรถแล้วเอาเสื้อไปเปลี่ยนให้ทหารที่อยู่ในรถ ซึ่งพยานคิดว่าคนที่เข้าไปช่วยน่าจะเป็นทหารที่ปลอมตัวมาปะปนกับผู้ชุมนุม ที่สามารถนำทหารที่อยู่ในรถหุ้มเกราะกลับไปฝั่งทหารได้ 3 คน เหลือคนที่ 4 ที่ถูกผู้ชุมนุมคัดค้าน ทำให้ผู้ชุมนุมนำเอาทหารไปที่เวที ส่วน 3 คนที่สามารถเอาทหารออกไปได้นั้นคนที่พาทหารออกไปก็ไม่ได้กลับมา บางคนใส่กางเกงลายพรางด้วย โดยพยานนั่งสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้นจนถึง 21.00 น. เศษ จึงเดินเข้าไปที่จุดที่ทหารเคยอยู่ตรงทางเข้าประตูโรงเรียนวัดบวร พร้อมกับผู้ชุมนุมที่ตามเข้ามาด้วยพบบริเวณนั้นมีปลอกกระสุนทั้ง M16 และลูกซองจำนวนมาก

นอกจากนี้พยานได้เดินสำรวจถนนดินสอ พบรอยคลายรอยกระสุนปืนบริเวณรถทหาร รถผู้ชุมนุม ประตูและกำแพงอาคารข้างถนน เสาไฟ ป้าย รวมทั้งตัวอนุสาวรีย์ฝังโรงเรียนสตรีวิทยา อยู่ในระดับตั้งแต่หัวเข่าจนเลยศีรษะ ประมาณ 140 รอย

 

ทั้งนี้การสืบนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง จนถึงเวลา 16.30 น. ทนายญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องขอต่อศาลเพื่อสืบนายไพบูลย์ ต่อในนัดถัดไป ศาลจึงได้อนุญาตให้มีการไต่สวนนายไพบูลย์ ในนัดหน้าวันที่ 17 ต.ค.55 ต่อ โดยจะมีการเปิดวีดีโอคลิปที่มีพยานปรากฏในเหตุการณ์เพื่อยืนยันด้วย

 

แผนที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา :

 


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลปกครองกลางสั่ง "สตช.-สำนักนายกฯ" ชดใช้ผู้ชุมนุม พธม. กรณี 7 ตุลา

Posted: 05 Oct 2012 10:08 AM PDT

ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ สตช.และสำนักนายกฯ ชดใช้ให้กับผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 250 ราย จากกรณีตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม.ที่ล้อมสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551

ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ วันที่ 5 ตุลาคม นางสิริกาญจน์ พานพิทักษ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนและองค์คณะ มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 1569/2552 ที่นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ กับพวกรวม 250 ราย ซึ่งเป็นประชาชนที่สูญเสียอวัยวะสำคัญและได้รับบาดเจ็บ จากกรณีเจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เรื่องหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิด จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม. ที่ล้อมบริเวณรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้นำอาวุธชนิดต่างๆ ที่มีอันตรายมาในการสลายการชุมนุม โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการมาตรฐานสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญฯปี 2550 มาตรา 63 บัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพการชุมนุมได้โดยสงบและปราศจากอาวุธ ขณะที่ข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และฝ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ตามรายงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ยืนยันสอดคล้องต้องกันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น. ได้นำอาวุธปืนวัตถุระเบิดชนิดต่างๆ ซึ่งมีอันตรายโดยสภาพมาใช้ในการสลายการชุมนุม โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล ที่ต้องเริ่มจากการเจรจาการต่อรอง หากไม่สำเร็จ จึงจะใช้มาตรการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก โดยใช้โล่กำบังผลักดันผู้ชุมนุม ถ้าไม่ได้ผลให้ใช้น้ำฉีดจากรถดับเพลิงเพื่อเปิดทาง หากไม่ได้ผล จึงให้ใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องประกาศถึงขั้นตอนดังกล่าวให้ผู้ชุมนุมทราบก่อน

จากคำให้การของผู้ชุมนุม ผู้ฟ้องคดี ผู้ร้องสอด กลุ่มสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่พยาบาลและทีมแพทย์สนามยืนยันว่า ไม่ได้ยินเสียงประกาศแจ้งเตือนแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้มาตรการการควบคุมผู้ชุมนุมจากเบาไปหาหนักตามแผนที่วางไว้ ขณะที่ น.อ.อ.พงษ์ศักดิ์ เกื้อการุณ ผู้อำนวยการกองวิทยาการ กรมสรรพาวุธทหารอากาศ ยืนยันว่า การใช้แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง ต้องขว้างให้ตกจากฝูงชนมากกว่า 3 เมตร ในทิศเหนือลม ส่วนการยิงควรใช้มุมยิง 25-45 องศา ให้ห่างจากฝูงชน 60-90 เมตร ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ควรเล็งไปยังบุคคลโดยตรง แต่ข้อเท็จจริงจากพยานกลุ่มต่างๆ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงและขว้างแก๊สน้ำตาไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมโดยตรง และยิงใส่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่มีเครื่องหมายกาชาดไทย ที่สามารถมองเห็นได้ไกลถึง 100 เมตร ขณะที่ผลการทดสอบขว้างแก๊สน้ำตาที่ใช้ในการสลายการชุมนุมพบว่า ทำให้พื้นสนามเป็นหลุม ขนาด 8 คูณ 8 คูณ 3 เซนติเมตร และเป็นหลุมขนาด 16 คูณ 16 คูณ 8 เซนติเมตร และพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฉีกทำลายล้าง หากเกิดกับร่างกายมนุษย์ย่อมฉีกขาดและทำลายอวัยวะได้เช่นกัน

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังมีทัศนคติในทางลบกับผู้ชุมนุม ผ่านคำพูดในการเข้าสลายการชุมนุมว่า "มันอยู่ได้ ให้มันอยู่ไป ยิงเข้าไป เดินเข้าไป ลุยเข้าไป" "บาดแผลแค่นี้ไม่ตายหรอก" แสดงให้เห็นว่าแผนกรกฏ 2548 ที่นำมาใช้เป็นเพียงการอ้างหลักตามมาตรฐานสากล แต่การปฏิบัติงานจริงไม่ได้เป็นไปตามหลักการให้ความเมตตาผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างตามที่เขียนแผนปฏิบัติการไว้ เมื่อข้อเท็จจริงยังรับฟังได้เป็นที่ยุติว่ารัฐสภาปิดการประชุมตั้งแต่เวลา 11.30 น. โดย ส.ส.และคณะรัฐมนตรี ออกจากสภาเสร็จสิ้นตั้งแต่เวลา 18.00 น.แล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะสลายการชุมนุมในช่วงเวลา 18.00-24.00 น. แต่อย่างใด และเมื่อพิเคราะห์ผลการพิจารณาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และความเห็นของคณะกรรมการป้องกันละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงเห็นว่าการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด ตร.ผู้ถูกฟ้องที่ 1 เป็นการกระทำโดยจงใจ กระทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายต่อผู้ชุมนุม

ข้ออ้างที่ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ระบุว่า การใช้แก๊สน้ำตาเพราะผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊กยิงด้วยลูกแก้ว กระบอง ธงด้ามเหล็ก ไม้เบสบอล ทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหลายนายนั้น เห็นว่าการใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างของเจ้าหน้าที่และการใช้อาวุธปืนชนิดต่างๆ ยิงทำร้ายผู้ร่วมชุมนุม ได้รับอันตรายถึงชีวิตและบาดเจ็บรวม 1,003 คน ส่วนเจ้าหน้าตำรวจได้รับบาดเจ็บเพียง 78 นาย โดยสาหัส 9 นาย ขณะที่ข้อเท็จจริงพบว่าในวันดังกล่าวมีผู้ชุมนุมหลายหมื่นคน หากผู้ชุมนุมถูกปลุกระดมให้ทำร้ายหรือทำลายสถานที่ราชการ หรือบุกจับ ส.ส.และ ครม.ตามที่อ้าง ลำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 2,500 นาย คงไม่อาจต้านทานได้ ดังนั้น ข้ออ้างว่ามีการทำลายสถานที่ราชการบุกจับตัวประกันจึงเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุสลายการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรูปแบบ ขั้นตอนความแบบกรกฎาคม 2548

ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว สังกัดผู้ถูกฟ้องที่ 1 ต่างยืนยันสอดคล้องกันว่า นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น สังกัดผู้ถูกฟ้องที่ 2 ประชุม ครม.และมีมติในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ว่าจะต้องประชุมรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และสั่งการให้ผู้ถูกสั่งฟ้องที่ 1 ผลักดันผู้ร่วมชุมนุมที่ปิดล้อมรัฐสภาให้ออกไป เพื่อจะให้มีการแถลงนโยบายในวันดังกล่าวให้ได้ ดังนั้น เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตร.สังกัดผู้ถูกร้องที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อผู้ชุมนุม แล้วผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของนายสมชาย พล.อ.ชวลิต และ พล.ต.อ.พัชรวาท จึงต้องรับผิดที่เกิดจากการกระทำละเมิดเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งในการสลายการชุมนุมเกิดตั้งแต่เช้าถึงค่ำรวม 4 ครั้ง แต่นายสมชาย นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจ แม้จะประชุมสภาเสร็จในเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ก็ยังคงใช้กำลังและอาวุธในการสลายการชุมนุม

ผู้ถูกฟ้องทั้งสองจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ฟ้อง ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายให้กับผู้รับความเสียหายนั้นตามมติ ครม.วันที่ 10 มกราคม 2555 เรื่องข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมให้การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ และผู้เสียหายตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งศาลเห็นควรให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ฟ้องที่ 1 เป็นเงิน 5,190,964.80 บาท ผู้ฟ้องที่ 2 จำนวน 2,250,650 บาท ผู้ฟ้องที่ 3 จำนวน 1 แสนบาท ผู้ฟ้องที่ 4 จำนวน 160,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 5 เป็นเงิน 256,435 บาท ผู้ฟ้องที่ 6 จำนวน 3,711,894 บาท ผู้ฟ้องที่ 7 จำนวน 30,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 8 จำนวน 3,053,363 บาท ผู้ฟ้องที่ 9 จำนวน 3,303,540 บาท ผู้ฟ้องที่ 10 จำนวน 165,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 11 จำนวน 120,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 12 จำนวน 524,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 13 จำนวน 75,000 บาท  ผู้ฟ้องที่ 14-19 และ 22 รวม 7 ราย รายละ 50,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 20 จำนวน 155,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 21 จำนวน 70,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 23 จำนวน 300,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 24-25 รายละ 120,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 28 จำนวน 1,942,710 บาท ผู้ฟ้องที่ 29 จำนวน 120,840 บาท

ส่วนผู้ฟ้องที่ 26-27,30-32, 33-44, 46-54, 55-133, 135-250, และผู้ร้องสอดซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วยอีก 5 ราย รายละ 50,000 บาท และผู้ฟ้องที่ 134 จำนวน 8,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2552 จนกว่าจะทำการชำระเสร็จ โดยให้ดำเนินการเสร็จสิ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด หากผู้ฟ้องและผู้ร้องสอดใดๆ ได้รับเงินทดแทนเยียวยาความเสียหายจากหน่วยงานของรัฐตามมติ ครม.ในวันที่ 10 มกราคม 2555 ไปแล้ว ยังให้มีสิทธิรับค่าทดแทนส่วนที่เหลือตามคำพิพากษาได้ และหากภายใน 2 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ผู้ฟ้องหรือผู้ร้องสอดรายใดยังต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ศาลยังสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาส่วนนี้เพิ่มเติมได้

ส่วนนายประเสริฐ แก้วกระโทก ผู้ฟ้องที่ 45 ซึ่งอ้างว่าได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมนั้น ข้อเท็จจริงจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ระบุว่า ผู้ฟ้องถูกกลุ่มเสื้อแดงดักทำร้ายขณะรถติดไฟแดง ที่ถนนวิภาวดีซอย 3 ด้วยอาวุธไม้ท่อนทุบตีและใช้มีดฟันมือ เบื้องต้นมูลนิธิได้จ่ายค่ารักษาให้จำนวน 90,000 บาท เมื่อกรณีไม่ได้ถูกกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายให้ และพิพากษาให้ยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำพิพากษานี้ ยังเป็นเพียงศาลปกครองชั้นต้น หากคู่ความไม่พอใจยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน

 

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อ่านอีกรอบ: จม.เล่าเหตุการณ์เช้ามืด 6 ตุลา จากหนังสือ'เราคือผู้บริสุทธิ์'

Posted: 05 Oct 2012 09:35 AM PDT

 

หมายเหตุ: เนื่องในวาระ ครบรอบ 36 ปี 6 ตุลาคม 2519 'ประชาไท' หยิบยกบทบันทึกเหตุการณ์วันนั้น ซึ่งเขียนโดย ชวลิต วินิจจะกูล เป็นตอนหนึ่งจากหนังสือ 'เสียงจากอดีตจำเลยคดี 6 ตุลา เราคือผู้บริสุทธิ์' แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในฐานะบทบันทึกประวัติศาสตร์ แรงบันดาลใจทางการเมือง หรืออะไรก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป คนอีกรุ่นอาจไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับงานเหล่านี้  จึงขออนุญาตหยิบยกมาปัดฝุ่นใหม่ โดยเริ่มต้นจากสิ่งพื้นฐานที่สุดนั่นคือ เกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ทั้งในแง่เหตุการณ์และอารมณ์ความรู้สึก

 



 

จดหมายจากชวลิต วินิจจะกูล ฉบับที่ 1


เขียนที่บ้าน

...กันยายน 2520

...ที่รัก

 

ขอบคุณมากครับที่ห่วงใยผม จม.ของคุณผมอ่านด้วยความรู้สึกดีใจที่เพื่อนๆ ยังรักและเอาใจใส่อยู่เสมอ จนถึงวันนี้ก็เพิ่งประมาณเดือนเดียวเท่านั้นที่ผมได้ออกมาสัมผัสความสับสน วุ่นวายของสังคมเมือง แต่ก็มีอิสระ มีชีวิตชีวามากกว่าในคุกเมื่อ 10 เดือนก่อน

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คุณได้ไปที่ศาลทหารกลาโหมหรือเปล่า ผมไปให้กำลังใจแก่เพื่อนๆ ที่ถูกฟ้อง เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสดีจริงๆ ทั้งที่ผมจำได้ว่า เราเคยพูดกันว่า ถูกฟ้องเมื่อไรก็แน่ชัดว่าอีกนานหลายปีกว่าคดีจะสิ้นสุด กำลังใจพวกเขาดีจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้อนาคตเช่นนั้น

ผมเห็นเพื่อนๆ แค่ 6 คนจากบางขวาง ไม่ได้พบเพื่อนๆ ที่อยู่มาด้วยกัน 10 เดือน เพราะผู้คุมพาเขาหลบออกทางประตูหลัง วันนั้นผมคิดถึงหลายๆ อย่าง สับสนไปหมด ผมคิดถึงเพื่อนๆ มาก แม้ผมเคยอยู่กับเขามา รู้สึกว่าสำหรับพวกเราแล้วไม่ทุกข์ยากนักหรอก แต่ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ บางทีนึกถามตัวเองว่าเราจะช่วยเขาได้ยังไง เราจะช่วยเร่งการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเพื่อนๆ ได้ยังไง ผมอยากจะทำอะไรก็ได้ให้ความจริงเปิดเผยสักที แต่ในภาวะการเมืองอย่างนี้ ดูเหมือนเขาจะห้ามพูดความจริงใช่ไหม

จม.ของคุณทำให้ผมพอเห็นทางออกเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ และต่อตัวผมเองก็ช่วยให้ผมคลายความไม่สบายใจลงไปได้บ้าง

คุณอยากให้ผมเล่าความจริงที่ผมประสบ ผมดีใจที่จะได้เล่าให้ผู้อื่นฟัง แม้จะแค่ 1-2 คนก็ตาม และจะให้ผมเล่าสักร้อยพันหนก็ได้ ผมมีสิ่งที่อยากขอความช่วยเหลือคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือว่า ถ้าคุณมีโอกาสให้คนอื่นอ่านด้วยก็ดี ผมเขียนไม่เก่งนัก แต่ผมขอให้ความจริงปรากฏต่อคนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งผมคงไม่มีโอกาสทำได้ถนัดนัก จม.นี้เหมือนกับผมเขียนฝากถึงทุกๆ คนที่รักความจริง รักความเป็นธรรม  ผมเองยังหวังถึงกับว่า สักวันหนึ่งสิ่งที่ผมเขียนอาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้

10 เดือนที่บางเขน ไม่ได้ทำให้ผมลืมความเจ็บปวดลงได้สักนิดเดียว ตรงกันข้าม ผมได้พบคนที่ถูกถีบกลิ้งลงมาจากชั้น 3 ตึกบัญชี ผมได้ฟังเหตุการณ์บางอย่างจากคนที่ตึกวารสารฯ ตึกอมธ. ผมได้คุยกับคนที่เห็นเหตุการณ์หน้าหอฯ ใหญ่ มีโอกาสได้ทราบเหตุการณ์มากมายหลายแง่มุมที่เกิดขึ้นจริงเมื่อปีก่อน

ที่จริงเพื่อนในคุกคงอยากเล่าเองยิ่งกว่าผมเสียอีก ฉะนั้นเพื่อเขาผู้อยู่ข้างความจริงแต่พูดไม่ได้ ผมจะขอเขียนจม.นี้แทนเขา ด้วยความปรารถนาจะช่วยเพื่อนในคุกอย่างจริงใจ ตอบแทนจิตใจที่ยืนหยัดอดทนของเขา จนกว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้ออกมายืนประกาศเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตนเอง ต่อหน้าประชาชนมหาศาล

ผมจะเริ่มเล่าตั้งแต่เย็นวันที่ 5 ตุลา 2519...

ผมเห็นใบปลิวกระดาษปอนด์ลงรูปถ่ายที่กล่าวหาว่าพวกเราแสดงละครหมิ่นฯ องค์รัชทายาท ตั้งแต่ตอนประมาณ 18 น. วันที่ 5 ต.ค. ต่อจากนั้นผมได้ดู น.ส.พ. ดาวสยาม (มายืนขายหน้า มธ.ด้วย) ผมเห็นแล้วแค้นมากที่กล่าวหาเราเช่นนั้น คนนับพันเมื่อวันที่ 4 เป็นพยานได้ เราไม่เคยแสดงละครแล้วตบแต่งรูปร่างหน้าตาดังรูปที่พิมพ์ออกแจกนั้นเลย นศ.ปี 1 มธ. ดูตั้งนานไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไร กลับมาเป็นเรื่องราวก็ต่อเมื่อลงใบปลิวและลง น.ส.พ. นี่แหละ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจชัดนักว่า เขากล่าวหาเราเช่นนี้ทำไม คิดว่าคงใส่ร้ายป้ายสีกันตามเคย แต่ผมก็รู้สึกเหมือนคนอื่นๆ ว่าเหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกที

ต่อมามีใบปลิวนัดว่า  วันที่ 6 ต.ค. เวลา 9 น. นัดลูกเสือชาวบ้าน (ลส.ชบ.) และ  "ผู้รักชาติ"  ทุกกลุ่มไปที่พระบรมรูปทรงม้า ในใบปลิวยังบอกว่า ให้เวลาพวกเราที่ชุมนุมใน มธ.ถึงแค่บ่าย 2 ของวันที่ 6 ให้สลายตัวและเอาตัวผู้แสดงละครมาลงโทษ

ประมาณ 21.30  น.  วันที่ 5 ต.ค.  ศูนย์ฯ นัดสื่อมวลชนครั้งใหญ่และด่วนที่สุด แสดงหลักฐานและเหตุผลหลายอย่างตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูลความจริงนั้น ให้ผู้แสดงละครเล่าเรื่องราวความจริงทั้งหมด  ให้ผู้สื่อข่าวดูใบหน้าและถ่ายภาพผู้แสดงตัวจริงคือ อภินันท์ ว่าไม่เหมือนรูปถ่ายในใบปลิวเลย กรรมการศูนย์ฯ วันนั้นคือ ประยูร ยังแถลงว่าศูนย์ฯ ไม่ใช่ผู้จัด และผู้จัดไม่เคยมีความคิดเช่นที่ใบปลิวกล่าวหา ผู้ทำใบปลิวบิดเบือนจุดหมายการชุมนุมคัดค้านเผด็จการให้กลายเป็นอื่นไปเสีย ตั้งใจจะบิดเบือนความบริสุทธิ์ใจให้กลายเป็นความรุนแรง

สื่อมวลชนซักถามจนหมดข้อข้องใจ ไม่ว่าเรื่องทางการเมืองหรือเทคนิคการแสดงละคร ซึ่งผู้แสดงทำให้ชม

แต่วันต่อมา  ความจริงเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะตอบโต้เรื่องโกหกได้  เขาใช้วิทยุ  200  สถานีกรอกหูปิดตาประชาชน  แล้วเย็นวันที่  6  ก็เกิดรับประหารเสียก่อนที่ความจริงจะเปิดเผย  พวกเขากลัวความจริงเหมือนปิศาจกลัวแสงสว่าง  เราอยู่ข้างความจริงเราจึงไม่กลัว  ให้โอกาสเราโต้สิ

ค่ำลงทุกที  คนที่ชุมนุมอยู่รู้เรื่องราวกันทั่วแล้ว  บางคนฟังยานเกราะอยู่ด้วย  ทุกคนแค้นและพูดกันโจมตีพวกที่บิดเบือนสร้างสถานการณ์  ความแค้นของเราสะสมพอกพูนขึ้นทุกครั้งที่ชุมนุมแล้วถูกยั่วยุก่อกวนทำร้าย  ฆ่าทีละคนๆ

ยิ่งแค้นยิ่งรู้สึกว่า  เราต้องการกันและกัน  คืนนั้นมีคนอยู่ใน มธ.มากเป็นพิเศษ

เสียงจากเวทีชี้แจงกรณีที่ถูกกล่าวหา เรียกร้องให้ทุกคนอดทนใจเย็นๆ สุขุม ทำอะไรขอให้เข้มแข็งเป็นอันหนึ่งใจเดียวกัน เขามิได้ขอร้องให้อยู่หรือกลับ แต่ใจของผู้ชุมนุมยิ่งคุกรุ่นเข้าทุกที ยังไงๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้อยู่ด้วยกัน เสียสละแก่กัน หลายคนนัดกันอยู่ทั้งคืน บางคนเพิ่งเคยเป็นครั้งแรก บางคนรีบกลับบ้านเพื่อจะรีบมาให้เร็วในตอนดึก บางคนโทร.ไปบอกที่บ้านว่าไม่ต้องห่วง ไม่กลับบ้าน หลายคนจับกลุ่มฟังวิทยุต่อไป เจ็บใจที่ตอบโต้ไม่ได้เลย

22.00 น. แล้ว เหตุการณ์ยังสงบอยู่ ผู้คนเข้ามาสมทบมากขึ้นทุกที  มาเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้แก่ที่ชุมนุม เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหานั้น

ที่สนามหลวงตรงกันข้ามรั้ว มธ. เริ่มมี ลส.ชบ. (สังเกตจากผ้าพันคอ)  และอันธพาลการเมืองซึ่งมาบ่อยจนหลายคนจำหน้าได้  (ไม่เคยถูกจับสักที)  พวกเขายืนจับกลุ่มกันพูดคุยเสียงดัง ตะโกนยั่วยุมาบ้าง ส่วนพวกเรานั่งจับกลุ่มยิ้มอยู่หน้าหอฯ ใหญ่ ใจของเขาคิดอะไรผมไม่ทราบ แต่ผมเชื่อว่า เขากำลังคิดอย่างแน่นอนว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจะได้อุทิศตนเพื่อคนทั้งหมด เป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ใช่! ชีวิตของเขา

ประมาณ 24 น. อันธพาลที่ชุมนุมอยู่สนามหลวงมีมากขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงปืน 2-3 นัดจากนอกมธ. คนในสนามฟุตบอลหมอบกันหมด เสียงประกาศให้ทุกคนหมอบนิ่งๆ อย่างไม่ตกใจกลัว ที่ต้องให้หมอบเพื่อมิให้วิ่งกันสับสนอลหม่าน ทุกอย่างยังดำเนินไปเรื่อยๆ มิให้ตกใจแตกตื่น

เราเคยถูกยิงอย่างนั้นมาตั้งแต่ครั้งปลายปี 2517  ที่นี่ ไล่ถนอมเช่นกัน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกคนจึงยังตกใจวิ่งสับสนไปหมด ผ่านมาปีกว่า 20 มีนา ไม่ว่าขณะชุมนุมหรือขณะเดินขบวน เสียงระเบิดไม่ทำให้ใครหนีเลย ทุกคนหมอบสักครู่เดียวแล้วผุดลุกขึ้นจะวิ่งตามเจ้ามือระเบิดทันทีอย่างไม่ เกรงกลัว

หมดยุคกลัวกระสุนหรือระเบิดแล้ว เพราะในใจมีแต่ความเจ็บปวดท่วมท้น ไม่มีที่ว่างให้ความกลัวอีก

ในใจตอนนั้นนึกแต่ว่า อยากให้ตำรวจจัดการอันธพาลเหล่านั้นเสียที ผมคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้



เช้าวันที่ 6 ตุลา

01.30 น. พวกอันธพาลการเมืองมีมากขึ้น ยังจับกลุ่มที่เดิม แต่ตอนนี้มีตำรวจหัวปิงปอง  (ผมไม่รู้เขาเรียกอะไร)  ประมาณ 20 คน ยืนจับกลุ่มรวมกับพวกนั้น

ตอนนี้เอง พวกอันธพาลเริ่มปาท่อนไม้ ก้อนหินเข้ามา พยายามปีนรั้ว แต่พวกเราดันออกไป มันยังตะโกนยั่วยุ ก่อกวนบ้าง ด่าบ้าง อย่างหยาบคายฟังไม่ได้

สักครู่ เมื่อเห็นว่าพวกเราเฉยๆ ไม่ตอบโต้ มันก็ชักเหิมเกริม ปาระเบิดขวดและระเบิดพลาสติก 2-3 ลูกเข้ามา เสียงดังลั่นตรงหน้าหอฯ ใหญ่ที่ชุมนุมหมอบลงอีกครั้ง แต่เสียงที่เวทีนี้ยังคงเงียบๆ จนเห็นว่าสงบลง เราจึงเรียกร้องให้ตำรวจจับกุมผู้ใช้อาวุธเมื่อกี้นั้น แต่ตำรวจไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นเหตุการณ์ตลอดเวลา จะว่าไม่ผิดกฎหมายก็ไม่ได้ เห็นกันชัดๆ จะว่าผู้ทำผิดหลบหนีก็ไม่ได้ ยังยืนอยู่ด้วยกันตรงนั้นเอง

พวกเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากหมอบเฉยๆ ที่ใกล้หอฯ ใหญ่ มีคนคอยชี้แจงไม่ให้ผ่านบริเวณนั้น เพราะอาจได้รับอันตรายจากภายนอก หากจะเข้าออกขอให้ใช้ประตูท่าพระจันทร์แทน พวกนี้คงเป็น หน่วยรักษาความปลอดภัย ไม่มีอาวุธหรอก เพราะไม่ได้มีไว้สู้กับใคร หน่วยรักษาความปลอดภัยมีไว้  "รักษา"  ไม่ใช่  "คุกคาม"  ความปลอดภัยของใคร โดยมากเป็นคนรุ่นหนุ่ม ผู้หญิงก็มีหลายคน คนสายตาสั้นแว่นหนาเตอะก็เป็นได้ เราไม่ได้มีไว้สู้กับใคร มีไว้คอยคุ้มกันและแนะนำแก่ผู้ชุมนุมว่าควรทำอย่างไรในขณะเหตุการณ์วุ่นวาย

ก่อน 02.00 น.เล็กน้อย พวกอันธพาลพยายามปีนรั้วเข้ามา โยนเศษไม้, กระดาษติดไฟหลายชิ้นเข้ามาเผาป้อมยาม หลายชิ้นตกบนหลังคาป้อมยาม ผมอยู่ในสนามยังเห็นแสงจากเพลิงไหม้ได้ถนัด ดีแต่ว่าพอพวกมันออกไปแล้ว ไฟยังไม่มากพอ พวกเราจึงรีบดับเสีย

ตำรวจยังมีไว้ประดับสนามหลวง ยืนดูเฉยๆ

ไม่มีใครตอบโต้ เพราะไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร พวกมันยิ่งเหิมเกริม เพราะผู้รักษากฎหมายไม่ทำอะไร เพียงครู่เดียวจากนั้น พวกอันธพาลกลุ่มเดิมก็คว่ำรถจักรยานยนต์คันหนึ่งที่จอดหน้าประตูรั้ว มธ. จุดไฟเผา เอาโต๊ะเก้าอี้ของแม่ค้าสนามหลวงที่วางทิ้งไว้มาพังทำลายสุมเป็นเชื้อเพลิง อีก เท่านั้นยังไม่พอ มันยังรื้อทำลาย  "กำแพงข่าว"  หรือแผ่นบอร์ดขนาดใหญ่ที่คุณคงเคยไปยืนอ่านข่าวคราวที่ติดบนบอร์ดนั้นเสมอๆ มันรื้อทำลายจนพังพินาศเป็นชิ้นๆ ทั้งๆ ที่ติดตรึงอย่างแน่นหนามาเป็นเวลาหลายเดือน

พวกอันธพาลใช้เวลามาพอสมควรกว่าจะผลาญทรัพย์สินเหล่านี้ แต่มันไม่มีทีท่าหวาดกลัวจะถูกกระสุนเลย อย่างนี้แล้วจะมากุข่าวว่า ใน มธ.ยิงออกไปแต่กลางดึกได้ยังไงกัน เราได้แต่มอง ปล่อยมันทำลายจนพินาศหมด

ที่เวที-เราประกาศขอร้องให้ตำรวจจัดการตามหน้าที่ อย่าปล่อยให้มีการทำลายทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นของประชาชนต่อหน้าต่อตา เสียงประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ไม่มีวี่แววว่าคนในเครื่องแบบที่ยืนหัวเราะอยู่จะเข้ามาจัดการอะไร

พวกอันธพาลการเมืองถืออภิสิทธิ์อะไรที่จะงดเว้นไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย บัตรกระทิงแดงกับผ้าพันคอ ทำให้คนอยู่เหนือกฎหมายเชียวหรือ?  พวกนี้ทำผิดมาตั้งนานแล้ว แม้แต่เห็นและจับได้คาหนังคาเขาว่าพวกนี้ขนอาวุธก็ยังปล่อย ผิดกับพวกเรา...ถูกมันรุมตีเมื่อตอนปิดโปสเตอร์แต่กลับโดนข้อหาทำความสกปรก จนได้  โอ้ ! นโยบายเลือกใช้กฎหมายหรือไง?

คิดแล้วแค้นใจ ขณะมันรื้อไปเผาไป ยังมีเสียงปืนประปราย มีระเบิดพลาสติกตกเข้ามาใน มธ. เพื่อนๆ เราเอาโต๊ะเก้าอี้จากตึกนิติฯ มาตั้งกำบังกระสุน ข้างหลังมีหน่วยรักษาความปลอดภัยจับมัดข้าวต้มเป็นแถวยาว เพื่อระวังมิให้ใครผ่านไปหน้าหอฯ ใหญ่ พวกเราได้แต่ชะเง้อมองดูเฉยๆ ขณะไฟลุกท่วมทรัพย์สินของประชาชนจนหมด

พวกมันยังไม่หายคลั่ง มันตรงเข้าพังรั้ว มธ.  ด้านใกล้พิพิธภัณฑ์จนพังออก 1 แถบ (1 ช่วงระหว่างเสาปูน)  เราประกาศดังๆ หนักๆ เพราะผู้พูดคงกำลังโกรธที่ทรัพย์สินของเราถูกทำลาย เผาหมด แต่ไม่มีการจับกุมเลย เหมือนเมื่อคราวพวกกระทิงแดงบุกปล้น มธ. เมื่อ 20  สิงหา 2518  มันเหยียบย่ำทำลายจิตใจและศักดิ์ศรีกันซึ่งๆ หน้า

สุดท้ายที่มันทำอย่างบ้าคลั่ง คือ พยายามเผาป้อมยามอีก ไฟลุกท่วมจนเห็นแต่ไกล แล้วก็กลับไปจับกลุ่มที่เดิม

ตลอดเวลากว่าชั่วโมงที่มันกระทำการทั้งหมดนี้ มีพวกมันอ้างและสมุดปกขาวออกโดยคณะปฏิรูปก็อ้างว่า  "ข้างใน มธ.ยิงประชาชนข้างนอกจนบาดเจ็บ"  มันจะเป็นไปได้ยังไง?  พวกมันจับกลุ่มกระทำการต่างๆ เหล่านี้ริมรั้ว มธ.นี่เอง พังรั้วได้,  เข้ามาเผาป้อมยามได้ ผมบอกแล้วว่ามีเสียงปืนประปรายแต่ก็พอที่ทำให้คนในสนามหมอบกันหมด ในขณะเดียวกับที่พวกอันธพาลยังคงทำต่อไปเฉยๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าพวกใน มธ.ยิงล่ะก็ พวกมันต้องล้มคว่ำบาดเจ็บหรือตายแน่ เพราะระยะแค่นิดเดียว แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเราต้องรีบทำที่กำบังกระสุน ในขณะที่พวกมันทำต่อไปเรื่อยๆ อีกอย่างหนึ่ง...ถ้ายิงจากข้างในพวกมันคงวิ่งหัวซุกหัวซุน เพราะรักตัวกลัวตาย คงจะมาทำการรื้อพัง ทำลายเผาเรียบไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่ทำครู่เดียวสักหน่อย การที่มันยังเฉยๆ ก็เพราะพวกมันยิงเองหรือไม่ก็อาจรู้เห็นเป็นใจกับผู้ยิง เรียกให้ชัดคือ ยิงคุ้มกันการทำลายทรัพย์สินประชาชน

ข้ออ้างที่ว่ายิงไปจากข้างใน ถ้าไม่แกล้งโง่ก็ต้องรู้ว่าโกหกชัดๆ

เสียงหัวเราะของมันเสียดแทงใจคนที่ชะเง้อมองดูอย่างบอกไม่ถูก

เวลาประมาณ 04.00 น. ตำรวจมากกว่า 100-200 คน ทั้งหมวกดำ หมวดเบเร่ต์เขียว หมวกแก๊ปและหัวปิงปอง หน่วยปราบจลาจล พร้อมอาวุธครบมือมาถึง มธ. แล้ว ตำรวจล้อมทางเข้าออกมธ.ไว้หมด บ้างยืนเรียงแถว บ้างรวมกลุ่มกันอยู่ บ้างกระจัดกระจาย ทุกประตูมี ตร.ยืนอุดทางเข้าออกไว้ แต่ยังพอมีทางออกได้ทีละ 1-2 คน ส่วนคนเข้ามาใน มธ. นั้น ถ้ามิใช่เพื่อนๆ เราคงไม่กล้าเข้ามาแล้วล่ะ

ไม่นานนัก หลังจาก ตร.ล้อม เสียงปืนดังขึ้นอีก คราวนี้ดังเป็นชุดไม่ใช่ทีละนัดๆ อย่างเมื่อกลางดึก

ผมไม่เคยได้ยินเสียงอย่างนี้มาก่อนเลย นอกจากในหนังสงคราม อาวุธสงครามเท่านั้นที่ยิงในลักษณะนี้ มิใช่เสียงปืนพกแน่นอน

หลายคนพอนึกได้ว่า ปืนตำรวจแน่ๆ ก็ตกใจ นึกไม่ถึงว่ารัฐจะใช้วิธีนี้กับเรา เสียงปืนดังจากสนามหลวงเป็นชุดๆ เป็นระยะๆ ส่วนทางท่าพระจันทร์ยังสงบอยู่

เราจำเป็นต้องอภิปรายเน้นย้ำถึงจุดหมายการชุมนุมว่า พวกเรามีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะคัดค้านถนอมกัน ขอให้ ตร.ทำการตามกฎหมาย จับฆาตกรฆ่าช่างไฟฟ้า 2 คนให้ได้ เสียงผู้อภิปรายย้ำว่า การชุมนุมของเราไม่ผิดกฎหมาย เพราะสงบ เปิดเผย ไม่มีอาวุธ

ผมจำได้แม่นว่า ผู้พูดบนเวทีบอกแก่เราว่า กระทิงแดงเป็นผู้ใช้อาวุธสงคราม แต่ผมกับเพื่อนหลายคนเข้าใจดี แม้เขาจะพูดเน้นตรงนี้หลายครั้งก็ตาม

เสียงอาวุธสงครามยิงเป็นชุดๆ กระทิงแดงจะเอามาจากไหน ก็มีแต่ ตร. รู้เห็นเป็นใจกับพวกอันธพาล จึงให้อาวุธแก่พวกมัน หรือไม่ก็...ตร.ยิงเอง

ตำรวจมาล้อมแล้ว มีคนไม่มากนักที่รู้ข้อนี้ บางคนเดินผ่านไปเห็น บางคนเข้าออกมาก็เห็น เพื่อนๆ ทุกคนที่พูดอยู่เวทีก็รู้ บางคนยังถามผมว่าเขามาทำไม?  ผมไม่ได้ตอบ เพราะกำลังนับร้อยยิงหนักขึ้น และแถว ตร.ปราบจลาจลหันหน้าเข้าหา มธ. มิใช่หันหน้าเข้าหาพวกอันธพาลที่ยืนอยู่สนามหลวง เท่านี้คงเป็นคำตอบแล้ว

ตำรวจจะยิงเองหรือให้อาวุธใครยิงก็ตาม ความหมายก็เหมือนกับว่า กลไกของรัฐบาล ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลายเป็นผู้พิฆาตประชาชนไปเสียแล้ว ยิ่งฟังยานเกราะคอยสั่งการยิ่งเจ็บใจ ตร.พวกนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลหรือสถานีวิทยุทหารกันแน่

ถึงอย่างไร ผมก็เข้าใจดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะโจมตี ตร. ในขณะนั้น แม้จะเป็นความจริงก็ตาม เพราะผู้ชุมนุมบางส่วนอาจตกใจ แม้ส่วนใหญ่คงแค้นใจที่รัฐบาลทำกับเราอย่างนี้ และพวกเขาไม่ตกใจก็จริง แต่เรายังหวังกันว่า อาจเจรจากับรัฐบาลให้สั่งยุติการฆ่าเยาวชนและเด็กมือเปล่าใน มธ.ได้  ซึ่งถึงวันนี้คุณก็ทราบแล้วว่า ผมเพ้อฝัน

ขณะนั้นเค้าความรุนแรงเห็นได้ชัดเจนมาก เพื่อนกรรมการศูนย์ฯ เล่าว่า พวกเขาเริ่มหาวิธีระงับความรุนแรง พวกเราไม่กลัวพวกอันธพาลการเมือง แต่ถ้าพวกมันรวมหัวกับตำรวจมาเข่นฆ่าคนมือเปล่าใน มธ. ใครเล่าจะพิทักษ์ผู้ถูกทำร้าย ใครเล่าจะจัดการผู้ทำผิดกฎหมาย ในเมื่อผู้รักษากฎหมายลงมือเสียเอง

ศูนย์ฯ เร่งหาทางเจรจากับรัฐบาล ติดต่อขอเข้าชี้แจงความจริงต่อนายกฯ เสนีย์  และขอให้สั่ง ตร. อย่ามาทำร้ายประชาชน สำหรับใน มธ. เราได้แค่ควบคุมมิให้ผู้ชุมนุมแตกตื่นตกใจ พยายามทำให้สงบแต่เข้มแข็ง ต้องให้ประชาชนยืนหยัดเจตนาบริสุทธิ์ที่จะพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ คัดค้านเผด็จการ ผู้ชุมนุมอยู่ทุกคนไม่เป็นปัญหาเลย เพราะเขาเหล่านี้ผ่านการกลั่นแกล้งก่อกวนด้วยความรุนแรงมาหลายครั้ง เขาเหล่านี้เข้มแข็งมาก

เรายังไม่พูดความจริงว่า ตร. โจมตี เพราะหากเจรจากับรัฐบาลได้ก็จะจัดการปัญหาได้ โดยที่สื่อมวลชนยังไงๆ ก็ย่อมทราบความจริงนอกมธ. อยู่แล้วว่า ตร. ทั้งนั้นที่ยิงเข้ามา

คุณคงเห็นใจพวกเรานะว่า เราไม่ปรารถนาความรุนแรงเลย แม้แต่คำพูดเราก็ระวัง มิต้องคิดถึงการตอบโต้เลย เพราะเราไม่มีอะไรตอบโต้ เราปรารถนาสันติ ชุมนุมต่อไปโดยสงบตามที่กฎหมายอนุญาตอยู่แล้ว

บรรยากาศที่ตึงเครียด ช่วยหล่อหลอมจิตใจของเราให้ประสานแข็งแกร่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จิตใจของเราหลอมรวมกันในเบ้าของความรักชาติ รักประชาธิปไตยและรักประชาชน ผมรู้สึกตึงเครียดอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกว่าบรรยากาศรักใคร่ต่อกันไม่มีคราวใดเหมือนขณะนั้นเลย แม้เราทั้ง 4-5 พันจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ตาม

เรายังชุมนุมอภิปรายกันต่อไป เราอภิปรายกันถึงการกลั่นแล้งและความรุนแรงที่เราได้รับเสมอมานับแต่หลัง 14 ตุลา 2516  ทั้งสาดโคลน ป้ายสี ทั้งยิง ปาระเบิด ทั้งเป็นรายบุคคลและฆ่าหมู่ ด้วยกลไกทุกอย่างที่พวกกระหายอำนาจมีอยู่ ที่ชุมนุมทุกคนเงียบกริบ คงมีแต่เสียงจากเวทีที่ซ้ำๆ เป็นห้วงๆ ราวกับจะเรียกความทรงจำของทุกคนกลับมา ทุกคนยังหมอบฟังเสียงกระสุนที่สาดเข้ามาเป็นระยะ, หมอบฟังเสียงอภิปราย,  คิด,  รู้สึกและเจ็บปวด ไม่มีคนตกใจ ทุกคนอัดอั้นความแค้นใจไว้เต็มอก แค้นจนบางคนซบหน้าลงกับพื้นหญ้า แล้วทุบ ทุบให้แผ่นดินตรงนั้นได้รับรู้ความเจ็บปวด

"เราจะสู้ไหม สู้ไหม"

"สู้ สู้ สู้"

เสียงขานรับที่ผมจำได้แม่นยำดังขึ้นทุกครั้งที่เสียงถาม เสียงถามจะดังขึ้นทุกครั้งที่เสียงกระสุนเว้นระยะ ยิ่งยิงเข้ามามาก เสียงตอบขานรับยิ่งหนักแน่นและดังขึ้น ไม่มีใครหลับลงได้ ทุกคนตื่นมาขานคำตอบ "สู้"  ดังสนั่น เสียงดนตรีที่กระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงขึ้นด้วยความแค้นใจ เสียงดนตรีปลุกเร้าให้คนตื่น เราตื่นขึ้นแล้ว แม้จะเจ็บปวดสุดแค้นใจ แต่เราตื่นขึ้นสู้แล้ว จิตใจต่อสู้เหมือนไฟสุมในดวงใจของทุกคน

เราไม่มีอาวุธ เรามีแต่มือเปล่าและไมโครโฟน เราไม่ใช่จะสู้กับตำรวจคนนั้นคนนี้ แต่เราขอสู้กับเผด็จการทรราชไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราจึงสู้ต่อไปด้วยเสียงขานรับ และจิตใจของผู้ชุมนุมทุกคน

ทุกคนร้องเพลง ข้างนอกก็ยิงปืน เสียงทั้งสองดังควบคู่กันไปจนถึงตี 5 ครึ่ง

05.30 น. เวลาที่ทุกคนไม่มีวันลืม เสียงดังวี้ด...ผมมองหน้าเพื่อนอย่างตกใจ แต่ไม่ทันพูดก็เกิดระเบิด เสียงบึมดังสนั่นจนหูผมอื้อไปชั่วครู่ พื้นสั่นสะเทือนไปหมด ตอนนั้นฟ้าเพิ่งจะสาง หมอกจางๆ กับควันระเบิดทำให้ผมไม่เห็นที่เกิดเหตุอยู่ชั่วครู่

ระเบิดลงเกือบกลางสนามค่อนมาทางตึกโดม พอควันจางลงผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนเลือดท่วม เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุเล่าว่าคนตายและบาดเจ็บเพราะระเบิดลูกนี้มาก เพราะลงมากลางหมู่คนพอดี เสื้อผ้าหลายคนขาด เศษเนื้อหลุดจากร่างก็มี ผมเห็นเพื่อนๆ กำลังเร่งพาคนเจ็บส่งหน่วยพยาบาลเป็นแถวๆ จำนวนมากมาย มีผู้เล่าว่า มันมากเหลือเกิน ใกล้เคียงกับระเบิดเมื่อ 21 มีนา ซึ่งครั้งนั้นตาย 4 คน บาดเจ็บถึง 70-80 คน  คนที่เข้าไปช่วยพยุงบางคนร้องไห้ตลอดเวลา บางคนเข้มแข็งพอที่จะช่วยพยุงคนอื่น ทั้งๆ ที่ตนเองก็ได้รับบาดเจ็บ

ที่หน่วยพยาบาล นศ.แพทย์ พยาบาล คร่ำเคร่งวุ่นวายกันใหญ่ เขารับผู้ป่วยไว้มากมาย แต่เครื่องมือที่มีอยู่จำกัดและมิได้เตรียมไว้สำหรับสถานการณ์ถูกฆ่าอย่าง นี้ แต่ทุกคนพยายามทำอย่างดีที่สุด

ผมจำได้ถนัดว่า มีคนวิ่งมาบอกที่เวทีให้ประกาศว่า ต้องการเลือด แต่เพื่อนหมอมหิดลยับยั้งไว้เพราะว่าคนจะตกใจเปล่าๆ หน่วยพยาบาลไม่มีอุปกรณ์ถ่ายเลือด ประกาศไปก็ไร้ประโยชน์ คนเจ็บต้องการโรงพยาบาลด่วน เขายังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ ถ้าได้รับการช่วยเหลือด่วน...

เสียงประกาศเรียกรถไปช่วยรับคนเจ็บซ้ำหลายครั้ง รถก็ยังไม่พอ  ราวกับจะร้องไห้  เมื่อต้องการพูดว่าระเบิดลูกนี้ทำให้เพื่อนเราตายทันที 3-4 คนและอาการสาหัสอีกหลายคน ผมเห็นคนร้องไห้ให้กับอาชญากรรมเมื่อกี้นี้  เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำไมต้องฆ่าเราอย่างทารุณ เพื่อนหญิงคนหนึ่งคุกเข่าลงร้องไห้ทันทีที่เสียงแตรรถลำเลียงคนเจ็บดังลั่น แล้วรถผ่านหน้าเธอไปด้วยความเร็วที่สุด ยังมีคนเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายคนที่ยังอดทนยืนหยัดใน มธ.ต่อไป

หลังจากระเบิดลง เสียงปืนเงียบสงบไปราว 10 นาที เราอาศัยโอกาสนั้นค่อยๆ ทยอยผู้คนเข้าตามตึกต่างๆ ให้หมด ผู้ชุมนุมต่างแยกย้ายเป็น 2 ข้างเข้าตึกวารสารฯ และตึกบัญชี หลังจากนั้นมันก็ระดมยิงเข้ามาอีกอย่างหนักยิ่งกว่าเดิม คราวนี้ไม่มีเว้นช่วงหยุดยิงอีกเลย เสียงอาวุธร้ายยิงเข้ามาเป็นชุดๆ ไม่มีเว้น และเสียงดังอึงคะนึงไปหมด ไม่ใช่ปืนแค่ 2-3 กระบอกอย่างแน่นอน

ความรุนแรงของอาวุธถึงกับทำให้กำแพงกระจุยกระจาย เศษอิฐ หิน ปูน ฟุ้งและร่วงกราวตามพื้น ตึกบัญชีถูกระดมยิงทั้งจากทางประตูหอฯ เล็ก และที่ร้ายกาจมากคือ มีการยิงจากตึกสูงข้างกำแพงทึบระหว่าง มธ. กับพิพิธภัณฑ์ (ตึกนั้นอยู่ในเขตพิพิธภัณฑ์)  ยิงผ่านช่องกว้างระหว่างหอฯ ใหญ่กับตึกนิติฯ เข้ามา สาดเต็มตึกบัญชี

เพื่อนที่ตึกบัญชีคาดไม่ถึงว่าพิพิธภัณฑ์จะถูกใช้เป็นแหล่งกำลังด้วย หลายคนบาดเจ็บและที่เหลือต้องรีบเอาโต๊ะเก้าอี้มาตั้งกำบังกระสุน กระสุนจากตึกพิพิธภัณฑ์นี้เองที่ทำร้ายพวกเรามากมายในวันนั้น

ยังมีระเบิดเป็นช่วงๆ คราวนี้ไม่ใช่ระเบิดขวดอีกต่อไป อาวุธหนัก ปืนกล ระเบิดสังหาร ขนมาเข่นฆ่าเยาวชนมือเปล่าอย่างหนัก แต่ละครั้งพื้นสั่นสะเทือน ควันคละคลุ้ง คนเจ็บจากหน้าหอฯ ใหญ่ยังถูกลำเลียงมาอย่างทุลักทุเลไม่ขาด ภาพความสยดสยองผ่านตาผู้ชุมนุมไม่ขาดระยะ

ยิ่งกว่าสงคราม เพราะที่นี่ฆ่าหมู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งหมอบรอกระสุน อีกฝ่ายยิงไปสูบบุหรี่ไปอย่างเลือดเย็น

ผมเห็นภาพของตำรวจหลังออกจากคุก ท่ายิงอย่างสบายใจทั้งนั้น บางคนแบกปืนยิงรถถังทั้งๆ ที่ใน มธ. ไม่มีรถถังสักคัน

หรือเขาอาจจะคิดว่า มีรถถังใต้หอฯ ใหญ่ มีเรือดำน้ำอยู่บนแท็งก์และในอุโมงค์ มีขีปนาวุธที่ยอดโดม !

เรายังพูดประกาศย้ำจุดประสงค์การชุมนุมของเรา ผู้พูดพยายามบอก ตร.ว่า เราทำตามกฎหมายทุกอย่าง ขอให้ ตร.หยุดยิง

แต่ไม่มีประโยชน์...

ประมาณ 06.00 น. กระสุนสาดมาหนักเกินกว่าโต๊ะเก้าอี้จะกำบังได้ หลายคนพยายามหาทางเข้าไปในตึกเพื่อหลบในห้องเรียน

หน้าหอฯ ใหญ่ เสียงปืนดังมาเกือบชั่วโมงแล้ว คงจะสุดทนทานได้ มีคนเล่าว่า พวกอันธพาลภายใต้การระดมยิงคุ้มกันโดย ตร. เข้ามาพังประตูด้านหอฯ ใหญ่ได้ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ครู่ต่อมาพวกอันธพาลจำนวนหนึ่งจึงกรูกันเข้ามาตั้งหลักหน้าหอฯ ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ข้างนอก

ประตูด้านอื่นถูกปิดตาย แม้จะเจรจากับตำรวจขอออกนอกมธ. ตร. ไม่ยอม ปล่อยให้ถูกยิงต่อไป

ขณะผมเห็นพวกอันธพาลเริ่มเข้ามาถึงหน้าหอฯ ใหญ่ได้ ผมตกใจว่าเพื่อนๆ ที่ทยอยคนถอยเข้ามานั้น ยังมีบางคนไม่ยอมถอย ป่านนี้เขาคงไม่เหลือสักคนเดียว

ข้อกล่าวหาที่ว่า ใน มธ. ยิงออกไป คุณลองคิดดูว่า  มธ. มีกำแพงกำบังมีที่ตั้งกำบังแน่นหนา หอฯ ใหญ่อยู่ระดับสูงกว่าสนามหลวง ที่สนามหลวงซึ่งพวกอันธพาลและ ตร.อยู่ มีแต่ต้นมะขามเท่านั้นที่กำบังกระสุนได้ ถ้า นศ. มีอาวุธ เอ็ม. 16 หรือระเบิดจริงล่ะก็ คงทำให้ ตร.ตายนับสิบ แต่ความจริงคือพวกเราตายเป็นร้อย ในขณะที่ตร.ตายแค่ 2 ซึ่งไม่ทราบว่าถูกอะไรตาย ความรู้แค่คนเคยเรียน รด. อย่างผมก็รู้ได้ในเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ ซ้ำรอง อตร.แถลงเมื่อ 8 ตุลา 19 เอง ยอมรับว่า ตร.เข้าตรวจค้น ไม่รู้ นศ.เอาอาวุธไปซ่อนไว้ไหน แต่พอทหารเข้าค้นพบอาวุธมากมายแม้แต่พุ่มไม้ข้างตึก

ถ้า ตร.ไทยไม่โง่ ก็แสดงว่าอาวุธที่พบถูกนำเข้าไปหลังจาก ตร.ค้น

พูดขัดกันเองไปๆ มาๆ โกหกอย่างไร้เหตุผล

ความจริงคือ พวกเราไม่มีอาวุธ เพื่อนที่หน้าหอฯ ใหญ่คงเฝ้าอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครถอยหนี เขาตอบโต้อะไรไม่ได้เลย เพียงแค่ทำให้ ตร.รู้ว่าตรงนั้นมีคนอยู่จะได้ไม่กล้าบุกเข้ามา เพื่อถ่วงเวลาให้แก่เพื่อนๆ ข้างในที่กำลังหาทางออก ทุกคนคงจะคิดรู้อนาคตว่าจะต้องเสียสละชีวิตแน่นอน และเขาก็ถูกยิงทีละคนๆ จริงๆ

ผมได้ดูภาพพวกเขาไม่กี่วันมานี้เอง นอนตายตรงโคนต้นไม้หน้าหอฯ ใหญ่ บางศพตายังไม่หลับ คล้ายจะจ้องดูมันอย่างเอาเลือดเนื้อ บางศพก็สงบคล้ายจะภูมิใจว่าได้อุทิศตนเพื่อประชาชนที่เขารักแล้ว

ยังไม่จบหรอก แต่ฉบับนี้ยาวมากพอแล้ว ผมจะเขียนมาเล่าต่อให้จบเร็วๆ นี้ ผมทราบว่าคุณคงอยากจะได้อ่านเร็วๆ ที่สุด ผมจะทำตามที่คุณปรารถนา และคงต้องพยายามรวบรัดให้จบเหตุการณ์ในฉบับหน้านี้ ฝากความคิดถึง...., ....., ..... กับ ..... ด้วยนะ บอกเขาด้วยว่าจะเขียนจม.ไปคุยด้วย แต่สำหรับ..... ผมไม่มีที่อยู่ของเขา ถ้ายังไงขอความกรุณาคุณช่วยเขียนบอกมาด้วยนะครับ

รัก

ชวลิต

 

 

จดหมายจากชวลิต  วินิจจะกูล  ฉบับที่ 2


ที่บ้าน

....ตุลาคม 2520

....ที่รัก


ผ่านพ้น 6 ตุลา มาไม่กี่วัน ผมอยากไปทำบุญเมื่อเช้าวันนั้นด้วย แต่แม่ผมขอร้องว่าอย่าเพิ่งเลย อยู่ที่บ้านดีกว่า ผมไม่อยากขัดใจแม่ แม่ห้ามด้วยความห่วงใยผมมาก ผมออกไปคุยกับ...ที่บ้านเขาแทน นึกอยากจะไปนั่งดูความหลังในมธ. แต่ก็เกรงว่าแม่จะห่วงไม่ต่างกับการไปทำบุญที่สนามหลวง ผมเลยตัดใจไม่เข้าไปในมธ.

แม้วันที่ 6 ผ่านไปอย่างเงียบๆ ภายใต้ภาวะการเมืองอย่างทุกวันนี้ แต่ใจผมไม่เงียบด้วยหรอก ใจผมยังร่ำร้องที่จะหาทางตอบแทนโทษกรรมของผู้ทำผิดในวันนั้นให้ได้ และตอบแทนความอดทนยืนหยัดของเพื่อนๆ ในคุกให้ได้ด้วย ผมขอให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เถอะ

ฉบับก่อน ผมเล่าถึงประมาณ 6.00 น. เช้าวันที่ 6 ตุลา ผมจะเล่าต่อเลยนะครับ...จะพยายามให้จบ

6.00 น. เศษ สุธรรมขึ้นเวทีครั้งสุดท้าย ให้กำลังใจแก่ผู้ชุมนุมและจะไปพบนายกฯ เสนีย์ เจรจาขอให้หยุดยิง ขณะพูดอยู่ สุธรรมเกือบถูกกระสุนจึงต้องหมอบราบกับเวที พูดต่อจนจบแล้วออกไปจากมธ.

ตร. พาตัวสุธรรมกับเพื่อนๆ ไป แต่ยังไม่ยอมให้ใครออกอีกเลยแม้แต่ผู้บาดเจ็บ

ระเบิดสงครามลงใกล้หอฯ ใหญ่ เข้ามาบริเวณสนามบอล ควันดำโขมง เห็นเพื่อน 2 คนล้มกลิ้งม้วนออกมาจากกลุ่มควันแล้วแน่นิ่งไป

ประมาณ 6.30 น. พวกเราพยายามเจรจาขอออกนอกมธ. ทางประตูท่าพระจันทร์ แต่ ตร.ไม่ยอม

มีคนพยายามหาทางออกทางน้ำหลายร้อยคน แต่ ตร.กลุ่มหนึ่งวิ่งมาบนท่าเรือแล้วยิงขู่ลงน้ำ ต่อมามี ตร.น้ำแล่นเรือมากลางแม่น้ำแล้วยิงเข้าใส่ มธ. ทั้งยังแล่นไล่จับคนที่ลอยคออยู่ในน้ำด้วย

ขณะนั้นในแม่น้ำไม่มีเรืออื่นเลย เพราะตั้งแต่เช้ามีคนพยายามหนีโดยขอความช่วยเหลือจากชาวเรือแถบนั้น ตร.น้ำแล่นมาพบจึงประกาศห้ามเรือทุกลำในบริเวณนั้นช่วยเหลือพวกเราอย่างเด็ด ขาด ซ้ำยังไล่เรือทุกลำออกจากบริเวณทั้งหมด

รถพยาบาล 5-6 คันที่ลำเลียงคนเจ็บตั้งแต่ถูกระเบิดเมื่อ  05.30 น. ยังออกจากมธ.ไม่ได้  คนที่ทราบต่างรู้สึกเจ็บใจเหลือเกิน  ผมโกรธอย่างบอกไม่ถูก เราขอร้องให้ตร.ยอมให้เราพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล  ขอร้องจนกลายเป้นอ้อนวอนเพื่อเห็นแก่ชีวิต

เสียงอ้อนวอนไม่ทำให้ความบ้าคลั่งลงลง  ตร.ไม่ยอม

ผมทราบภายหลังว่า รถพยาบาลตั้งแต่ 05.30 น. ออกไปได้บ้างไม่กี่คัน  แล้วมีคำสั่งห้ามมาจากเบื้องบน  ยิ่งนาน คนบาดเจ็บยิ่งมาก  ที่สาหัสต้องนำส่งโรงพยาบาลมากจนรถไม่พอ  ต้องประกาศขอรถของใครก็ได้ไปช่วยลำเลียงผู้บาดเจ็บโดยด่วน

ถึงแม้จะมาสักกี่คน แต่ก็ถูกสั่งให้จอดรอจนคนตายอยู่ที่ท่าพระจันทร์

ในรถเลือดเปรอะเต็มไปหมด หมอ พยาบาลจำเป็นจากมหิดลได้ฝึกงานครั้งสำคัญในชีวิตกับคนเจ็บที่ไม่มีอุปกรณ์ ช่วยเหลือเลย ยิ่งนานยิ่งทำให้เพื่อนหมอและพยาบาลกระวนกระวาย ทุกข์ใจหนักขึ้นทุกที

พยาบาลบางคนนั่งร้องไห้ เขารอแล้วรออีกเพื่อจะพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล ไม่ใช่รอให้คนตาย  แต่มนุษยธรรมไม่มีในใจ ตร.ใหญ่โตที่ท่าพระจันทร์เลยสักคน หมอและพยาบาลของเรา ได้รับการอบรมให้มีมนุษยธรรม เห็นใจคนทุกข์ยาก เขามีจรรยาบรรณที่จะต้องช่วยชีวิตคน  ทุ่มเทตนเองให้แก่คนไข้ ถ้าช่วยไม่ได้หมอทุกคนคงจะเป็นทุกข์อย่างมาก

ที่นี่...นศ.แพทย์ พยาบาล เริ่มต้นอาชีพในอนาคตด้วยการนั่งมองคนตายลงทีละคน

คนเหล่านี้จะไม่ตายเพิ่มสักคนเดียว ถ้าได้ไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ไม่ยากเลยที่จะรักษาชีวิตของคนเหล่านี้ไว้ แต่ใจของพวกกระหายเลือด พวกมันฆ่าคนอย่างเลือดเย็นที่สุด

เลือดเย็นที่สุด

ระเบิดลูกนี้ฆ่าคนทันที 3-4 คน และตายในรถอีก 3-4 คน ทั้งๆ ที่ชีวิตของเขามีค่าสำหรับประชาชนมาก

เวทีว่างเปล่า เพราะต้องหลบกระสุนลงไปข้างหน้า แต่ยังคงพูดแข่งกับเสียงกระสุนอยู่ เราอภิปรายกันทิ้งท้ายว่า ขอให้ทุกคนจดจำวันนี้ไว้ พวกเราไม่ต้องการเผด็จการ เราสืบทอดเจตนาวีรชน 14 ตุลา แต่กลับถูกปราบปราม

ตลอดจากนั้นตั้งแต่ 6.30 น.เศษ จนถึง 8.00 น. ที่เสียงจากเวทีเงียบหายไป ทุกคนจะได้ยินคำพูดเพียงข้อความเดียวเหมือนๆ กันหมด ผมจำได้ขึ้นใจ เพราะพูดนับสิบนับร้อยครั้งว่า

"พี่ๆ ตำรวจครับ กรุณาหยุดยิงพวกเราเถิดครับ เราชุมนุมอย่างสงบสันติ เราไม่มีอาวุธ ตัวแทนของเรากำลังเจรจากับรัฐบาลอยู่ อย่าให้เสียเลือดเนื้อมากกว่านี้เลย ขอความกรุณาหยุดยิงเถิดครับ"

ประมาณ 7.00 น. อันธพาลและ ตร. หลายสิบคนขึ้นรถผ่านประตูเข้ามา วิ่งกรูลงมาจากรถทั้งในและนอกเครื่องแบบ คราวนี้เอาอาวุธหนักเช่นปืนกล มาตั้งอยู่หน้าหอฯ ใหญ่ ระดมยิงเข้ามา

พวกที่หลบอยู่ตึกบัญชีถูกระดมยิงใส่จนทนไม่ไหว พยายามหาทางขึ้นบนตึก อาศัยกำแพงตึกเป็นที่กำบัง บ้างก็พยายามหลบเข้าห้องต่างๆ ที่ชั้นล่างซึ่งมีน้อยไป

ประตูทุกห้องแม้แต่ชั้นล่างปิดสนิท ต้องเสี่ยงกระโดดเข้ากระแทกบานประตู หรือไม่ก็ต้องทุบกระจกแล้วโดดเข้าไป กระสุนเข้าร่างบางคนที่กำลังพยายามเปิดประตู เขาวิ่งชนจวนจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่ไม่ทัน... ! เขาถูกยิงตายตรงนั้น เขากล้าหาญ เอาชีวิตของตนเข้าแลกเพื่อความปลอดภัยของเพื่อนๆ

มีคนพุ่งเข้าชนกระทั่งประตูพัง คนที่เหลือรีบวิ่งหลบกระสุนเข้าไป  ยังมีอีกหลายร้อยคนวิ่งหลบกระสุนขึ้นไปหลบในห้องต่างๆ ทั้ง 4 ชั้น คนเต็มไปหมด ได้แต่หมอบ อุดหู และรอรับกระสุนที่ระดมยิงเข้ามา

ถามเพื่อนๆ ที่อยู่ตึกบัญชี ไม่มีสักคนที่คิดว่าจะรอดมาได้ เห็นคนถูกยิงหลายคน คนบนตึกที่ถูกยิงส่วนใหญ่แค่บาดเจ็บไม่ถึงตาย ไม่มีใครพูดอะไรกัน ได้แต่มองและคิด คิดถึงหนทางที่ก้าวเดินมา และถูกพิสูจน์แล้วอย่างชัดเจน คิดถึงชีวิต คิดถึงเพื่อน ทุกคนทั้งแค้นระคนเสียใจ บางคนตื่นตกใจด้วย เพราะชั่วชีวิตไม่เคยพบสงครามเช่นนั้นมาก่อนเลย หนุ่มสาวหลายคนร้องไห้อย่างไม่มีอาย ในภาวะเช่นนั้นผมไม่แปลกใจเลย

ร้องไปเถิด ร้องให้ดังๆ ถ้ามันจะแข่งกับเสียงปืน ให้คนข้างนอกได้ยินและรู้ว่าเราถูกยิง เราถูกฆ่าข้างเดียว

ล่วงถึง 7.00 น. เศษ ประยูร อัครบวร เจรจากับ พ.ต.อ.ประยูร  โกมารกุล ณ นคร ขอให้ผู้หญิงและเด็กออกจากมธ. พ.ต.อ.ประยูรไม่ยอมแต่วิทยุไปสอบถามผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ตนเป็นถึงรองผู้การนครบาลเหนือก็ตาม

ผู้คนพยายามหาทางออกในขณะนั้น จนในที่สุด ตร.กั้นไม่ไหว ผู้คนกระจายออกทางประตูท่าพระจันทร์นั่นเอง  ซึ่งพอดียังไม่มีการยิงอย่างหนักนัก (ก่อนหน้าการเจรจามีการยิงเข้าไปเพื่อมิให้ใครออกได้ กระทั่งขอเจรจาจึงหยุดยิง)  ผู้หญิงและเด็กถูกส่งออกไปเรื่อยๆ โดยไม่ฟังเสียงตำรวจอีกแล้ว  จนตำรวจมีคำสั่งให้กระจายกันกวาดจับมาให้หมด จับมานอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นถนนมหาราช ข้างวัดมหาธาตุ คนไหนเดินเลียบน้ำไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือ จะถูกตชด.คอยดักจับไปรวมกันที่วัดมหาธาตุเช่นกัน

7.30 น. โดยประมาณหรืออาจถึงเกือบ 8 น. เวลาที่ไม่แน่นอน เพราะจำไม่ได้หนึ่ง และเพราะวันนั้นไม่ค่อยมีใครดูเวลา บางคนพยายามวัดความรู้สึกว่านานเท่าไรก็ตอบไม่ได้ เพราะทุกคนรู้สึกเวลามันนานแสนนานเกินกว่าเป็นจริง

ตร.ทยอยเข้ามาข้างสนามบอลหน้าตึกนิติฯ แรกๆ ก็หมอบๆ คลานๆ เข้ามาอย่างช้ามาก หยุดสาดกระสุนใส่อมธ., วารสารฯ  และบัญชีเป็นพักๆ เพื่อนๆ ที่อมธ. และสภา นศ.มธ. หลายคนที่มีหน้าที่ดูแลตึก เห็นไม่ไหวจึงเพิ่งถอยหนี ตร.คลานเข้ามาได้แค่ไม่กี่เมตร คงรู้ว่าไม่มีใครยิงตอบโต้ จึงเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นนั่งยิงเป็นชุดๆ แล้วลุกเดินสัก 3-4 ก้าว แล้วนั่งลงยิงอีก ผมยังเห็น ตร. พวกนี้ทยอยเข้ามาเป็นแถวๆ เพื่อน ส.ส. ปี 1 มธ. คนหนึ่งถูกยิงใกล้ตาบาดเจ็บสาหัส เพื่อนๆ ต้องรีบพาหลบออกทางหลังตึก เพราะ ตร.คอยดักยิงหากวิ่งผ่านด้านหน้า

ตร.คนหนึ่งปาระเบิดใส่หน้าตึกอมธ. ทำให้ได้รับบาดเจ็บหลายคน รวมทั้งส.ส.ปี 1 มธ. อีกคนเป็นหญิงถูกสะเก็ดระเบิดเต็มร่าง อาการสาหัส ได้ข่าวว่าเธอทุกข์ทรมานอยู่นาน แต่ด้วยใจที่เข้มแข็งอดทน เธอต่อสู้ความเจ็บปวด ให้หมอเอาสะเก็ดออกทีละชิ้นจนหมดร่างและปลอดภัย

ตร. ยังคงเดินเข้ามาช้าๆ ทีละนิดแล้วนั่งยิง ไม่มีทีท่าว่าหลบกระสุนจากนศ.เลย เพราะ นศ.ไม่ได้ยิง ตึกบัญชียังคงเป็นเป้าใหญ่ที่ถูกระดมยิง  อีกด้านหนึ่ง ผู้คนอาจถึงพันคนยังหาทางออกจากตึกวารสารฯ ไปสู่ที่ปลอดภัยไม่ได้สักที แต่ ตร.คงยังไม่กล้าพอจึงหยุดแค่ตึกนิติฯ ไม่กล้าเข้ามาเกินกว่านั้น

เวทีถูกระดมยิงด้วยปืนกลและระเบิดใกล้ๆ แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว เสียงพูดยังดังจากตึกโดมหลังเวที ยังพูดอยู่อย่างเดิม ขอร้องให้ตำรวจหยุดยิงครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเราไม่มีอาวุธ

ใครเล่าจะเห็นใจ พวกกระหายอำนาจที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นเพื่อตัวเองได้เป็นใหญ่น่ะหรือจะเห็นใจ

8.00 น. คนที่อยู่ตึกวารสารฯ พยายามพังกำแพงตึกด้านข้างริมถนนต่อตึกโดมเพื่อหาทางออก เพราะด้านหน้ามีกระสุนผ่านตลอดเวลาจนผ่านไม่ได้ ด้านข้างเป็นกำแพงปูนแต่มีช่องเป็นไม้แข็งทำเป็นซี่ๆ ไว้ พวกเราใช้โต๊ะเก้าอี้ฟาดจนไม้หักทีละซี่ จนเป็นช่องกว้างพอลอดตัวมุดผ่านได้

ตึกโดมตรงข้ามกับตึกวารสารฯ เป็นประตูเหล็ก (ซิป) ล็อกกุญแจอยู่ พวกเราใช้โต๊ะเก้าอี้ฟาดกุญแจจนพัง แต่ยังเปิดไม่ได้ จึงใช้ท่อนไม้ท่อนเหล็กท่อน้ำทำเป็นชะแลงงัดจนประตูง้างเปิดออกเป็น ช่องกว้างพอคนลอดได้สบาย ดูเหลือเชื่อแต่ก็จริงไปแล้ว ต้องใช้เวลาตั้งแต่ 7.00 น.เศษ กระทั่ง 8.00 น. นี่เองจึงพอหาทางออกได้ และเป็นทางเดียวที่ผู้คนจากตึกวารสารฯ หลายร้อยคนและตึกอื่นๆ อีกหลายร้อย ได้ทยอยออกทางริมน้ำไปทางท่าพระจันทร์อีกที

ทางออกเปิดแล้ว ผู้คนวิ่งเข้าตึกโดมออก ทางหน้าต่าง ผ่านสนามหญ้าหน้าโดม แล้วลงน้ำ...

ไม่นานนัก มีกระสุนปืนจากพิพิธภัณฑ์หลังตึกเอ.ที. ยิงใส่ตรงถนนระหว่างตึกวารสารฯ กับตึกโดมซึ่งเป็นทางผ่าน หลายคนตกใจคิดว่าหมดทางแล้ว แต่ความจริงยังไม่ถูกระดมยิงหนักนัก และมีรถโฟล์กตู้อยู่ใกล้ๆ ชายหลายคนวิ่งเข้าหารถแล้วเข็นมากำบังกระสุน หยุดตรงกลางถนนพอดี ให้คนที่ออกจากตึกวารสารฯ  วิ่งมาที่รถแล้วค่อยวิ่งเข้าตึกโดมออกมาทีละ 1-2 คน แม้จะช้า แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

ตำรวจเดินมาถึงหน้าอมธ. แล้วกราดกระสุนใส่อมธ.

จากนั้น ตร. 2-3 คนกำลังจะวิ่งขึ้นไปบนตึก จารุพงษ์ ทองสินธุ์ กรรมการอมธ. และเป็นกรรมการบริหารศูนย์ฯ วิ่งสวนลงมา ชั่วพริบตาเดียวกระสุนกราดตัดเอวของเขาพอดี

คุณเคยเห็นภาพคนใส่เสื้อ (ชาวเล)  สีดำ ถูกอันธพาลใช้ผ้าขาวม้ารัดคอแล้วลากผ่านกลางสนามไหม นั่นละ จารุพงษ์ ทองสินธุ์ เพื่อนที่ดีอีกคนหนึ่ง เขาเป็นคนร่าเริง ไม่ค่อยท้อแท้ ชอบพูดจาตลก

วันนั้นเขารับผิดชอบดูแลให้ทุกชีวิตออกจากตึกอมธ.ให้หมด กับคอยรับการติดต่อกลับมาจากทำเนียบของสุธรรมกับพวกที่ไปหานายกฯ เขาคอยอยู่และตรวจตราจนแน่ใจว่าไม่มีใครอีกแล้ว เขารอโทรศัพท์จนวินาทีสุดท้ายจึงรีบออกมา แต่เขาช้าเกินไป เขารับผิดชอบอย่างดีที่สุดแล้ว

เสียงคนพูดเงียบลงหลัง 8.00 น.

คนที่ตึกบัญชียังถูกระดมยิงจนหูอื้อ อยู่ข้างบนตึกไม่ปลอดภัย ยังมีคนบาดเจ็บอยู่เรื่อย และคงมีคนเสียชีวิตด้วย คนที่ตึกนี้ทยอยออกทางใด ก็ไม่ได้ เพราะถูกยิงสาดไล่จนแทบกระดิกไม่ได้

ผมจะเล่าถึงเพื่อนที่ออกจากมธ.ได้เสียก่อน

คนที่เดินเลียบริมน้ำมีนับร้อยๆ คน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีทีท่าตกใจนัก ค่อยๆ ทยอยกันออกมา แรกๆ ยังขึ้นฝั่งที่ประตูริมน้ำตึกศิลปศาสตร์เพื่อออกทางประตูท่าพระจันทร์ บางคนวิ่งมาบนสนามหญ้าเลย แต่ต่อมาตร.ใช้ปืนยิงระเบิดยิงมาตกที่สนามหญ้าหน้าโดมหลายลูก บังคับให้คนต้องลงเดินในน้ำหมด มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่นี่อีกหลายคน

กลุ่มสุดท้ายราว 20 คน จะวิ่งออกท่าพระจันทร์ ตร.กลับปิดประตูไม่ให้ออกและยิงใส่ทันที คนกลุ่มนี้ต้องวิ่งกลับมาที่ประตูริมน้ำหาทางออกอื่น พอกำลังจะลงน้ำ ตชด.โผล่บนท่าเรือแล้วสาดกระสุนใส่ ทั้งขู่ทั้งยิงจริง ต้องขอเจรจากันครู่หนึ่ง โดยยอมให้ตชด.จับไม่ขัดขืน

ผมออกจากมธ. กลุ่มนี้แหละครับ

ขึ้นจากน้ำที่ท่าเรือ ยังไม่ถูกจับทันทีเพราะชุลมุนอยู่ พวกเราจึงวิ่งผ่านซอยริมน้ำไปถึงศูนย์พระเครื่อง พบพวกเราอีกนับร้อยคนที่ยังไม่ถูกจับ แต่ไปไหนไม่ได้

ผมได้พักที่นี่ชั่วครู่ ทำให้คิดถึงเพื่อนที่ตึกบัญชีนับพันๆ ซึ่งหาทางออกไม่ได้ และผมต้องทิ้งเขาออกมาก่อน ผมร้องไห้ไม่อายใครเพราะกำลังรู้สึกว่าเราทอดทิ้งเพื่อนให้ตกอยู่ท่าม กลางกระสุน ไม่มีทางช่วยเขาได้เลย

จากนั้น พวกเราเริ่ม  "เคาะประตู"  ขอความช่วยเหลือ  ประชาชนร้านค้าท่าพระจันทร์ให้ความช่วยเหลือมากอย่างสุดที่จะทดแทนบุญคุณได้ ช่วยกันรับพวกเราเข้าไปอาศัยมากบ้างน้อยบางรวมหลายร้อยคน บางคนได้เสื้อผ้า น้ำร้อน รองเท้า ผ้าห่ม บางคนได้อาหารมื้อแรก หลายคนไม่ถูกจับตลอดเหตุการณ์เพราะความช่วยเหลือนี้

ย้อนกลับมาที่ศูนย์พระเครื่อง 8.30 น. เศษ ตร.เรียงกำลังบุกเข้ามาทางประตูทางเข้าของศูนย์พระเครื่องและซอยริมน้ำ ยิงเข้ามาพร้อมกัน ผมกับอีกกว่า 50 คนยังไม่มีทางหนีจึงรีบกระโดลงน้ำเกือบ 20 คน อีกราว 10 กว่าคนไปลงเรือหางยาวขนาดเล็กลำเดียวที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้นอีกราว 20 คน ผมไม่ทราบจนบัดนี้ว่าหลบหนีไปทางไหนหรือเป็นอะไรไปหรือเปล่า

พอผมลงน้ำเดินไปได้ 4-5 เมตร ระเบิดสังหาร 2 ลูกระเบิดตูมตรงท่าเรือพอดี

ผมเดินไปได้อีกนิดเดียว เป็นท่าน้ำของชาวบ้านแถวนั้น ตชด. 4 คน จ่อปืนลงมาชี้ จี้ให้ขึ้นไปมอบตัว คนหนึ่งถูกตอไม้เล็กๆ ที่มีปลายตะปูปักที่โคนขา ตชด.เร่งบังคับให้ขึ้นจากน้ำ ผมเห็นเขาพยายามเดินต่อแต่ไม่ไหว เขาขยับขาจะให้หลุดจากไม้ แต่กลายเป็นว่าไม้หลุดติดขาเขามาด้วย

เขาร้องอย่างเจ็บปวด หมดกำลังจะปีนขึ้นท่าน้ำแล้ว ตชด.คนหนึ่งขึ้นลำปืนเตรียมยิงทันที

พวกเราช่วยกันร้องลั่น  "อย่า ! อย่า!"  มีคนกล้าโดดลงน้ำไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาอย่างทุลักทุเลที่สุด พวกเราใช้เท้าถีบไม้ชิ้นนั้นจนหลุดจากเขาแล้วพยุงหามกลับไปหมอบหน้าวัด

เรือหางยาวลำนั้นไปได้แค่กลางแม่น้ำก็ล่ม เพราะบรรทุกคนเกินอัตรา บวกกับไม่มีคนบังคับเรือเป็นด้วย บางคนว่ายน้ำไม่เป็น บางคนถูก ตร.จับขณะลอยคอ บางคนพยายามพยุงกันเข้าฝั่งแล้วถูกจับ คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นจมหายไป...หลายคน

ตร.บุกเข้าค้นตามบ้านแถบท่าพระจันทร์ 5-6 หลัง กวาดต้อนคนไปนอนคว่ำหน้าที่ถนนข้างวัดอีก

ย้อนกลับมาใน มธ.

8.00 น.เศษนี้ มีคนวิ่งหนีออกทางหอฯ ใหญ่และหอฯ เล็ก ผมเห็นภาพความทารุณที่สุดนั้นแล้ว แต่ผมไม่ได้พบใครที่ประสบเหตุการณ์ที่นั่นเลย ผมจึงไม่ขอเล่าในส่วนที่คุณคงทราบดีกว่าผม โดยเฉพาะได้ข่าวว่าโทรทัศน์วันนั้น ถ่ายภาพเหตุการณ์หน้ามธ.ด้านสนามหลวงไว้ได้มาก

ทั้งภาพกระชากสายน้ำเกลือออกจากร่างคนเจ็บ ภาพเทเปลคนเจ็บลงกับพื้นแล้วรุมกระทืบ ภาพรุมตีประชาทัณฑ์ ยังมีการแขวนคอ กรีดคอจนเหวอะ แขวนคอแล้วเอาเก้าอี้ฟาด รุมตี ข่มขืนแล้วฆ่า จับลากไปเผาทั้งเป็น ฯลฯ

ผมเสียใจที่ไม่ทราบเหตุการณ์ทารุณที่สุดนอกมธ. เลย

ที่ตึกบัญชี หลังจากเสียงประกาศของพวกเราเงียบลงครู่ใหญ่ กลับมีเสียงประกาศผ่านลำโพงยอดโดมของมหาวิทยาลัยว่า

"ผมเป็นข้าราชการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอความกรุณาคุณตำรวจหยุดยิงนักศึกษา นักศึกษาไม่มีอาวุธ กรุณาหยุดยิงเถิดครับ"

สิ้นเสียงประกาศราว 10 ครั้ง ยอดโดมถูกระเบิด 2-3 ลูกซ้อน เสียงประกาศจึงเงียบตลอดไป

9.00 น.เศษ ตำรวจนำกำลังนับร้อยเข้าเคลียร์ทุกตึกทุกห้อง เสียงปืนดังจากตึกต่างๆ เป็นพักๆ

ที่ตึกบัญชี มันระดมยิงทั้งระเบิดและอาวุธปืนใส่อาคารจนสั่นสะเทือนไปหมด ผมถูกจับอยู่ท่าพระจันทร์ ได้ยินคำสั่งประกาศลั่นว่าให้ตำรวจเตรียมตัว จะยิงปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังเข้าใส่ตึกบัญชี พอยิงเข้าไปในสนามบอลซึ่งมีแต่ตำรวจ ก็สั่งยิงตอบโต้ ยิงกันเองไปมาโดยมีพวกเราในตึกเป็นเป้าอยู่ครู่ใหญ่

พวกเราเห็นจะทนไม่ได้ จึงใช้เสื้อขาวชูแล้วโบกให้ ตร.ในสนามบอลเห็น ตร.เพลาการยิงลงแล้ว สั่งให้ลงไปมอบตัวทีละชุดๆ ผู้ชายลงมาก่อนในชุดแรกๆ ผู้หญิงจึงค่อยๆ ตามลงมา และแยกไปรวมกันต่างหากอีกกลุ่ม

ระหว่างแต่ละชุดเดินลงทางบันได มันยังยิงขึ้นไปบนตึก การทยอยลงมาจากทุกชั้นจึงยิ่งลำบากมาก เพราะตึกบัญชีเป็นกระจกโปร่งทั้งนั้นและแตกละเอียดแทบหมดแล้ว แค่วิ่งผ่านระเบียงเพื่อจะลงไปบันไดมอบตัวก็ยังต้องผ่านวิถีกระสุน

คนที่ลงไปได้รับการต้อนรับด้วยพานท้ายปืนและท็อปบู๊ท ระหว่างนั้น ตร.สั่งให้ตชด.บุกขึ้นไปตรวจค้นตามห้อง และหยุดยิงจากในสนามเข้าไป ตชด.ใช้วิธีพังประตูเปิด แล้วกราดอาวุธสงครามเข้าไปก่อน จึงค่อยดูว่ามีคนไหม พวกเราหมอบราบกับพื้นห้อง กดตัวแนบพื้นสนิท เพราะกระสุนผ่านเหนือหัวไปราวกับจะฆ่าเสียให้หมด

เสียงปืน ตชด. ทำให้ข้างล่างนึกว่ามีการยิงต่อสู้ จึงยิงเข้าไปอีก ตชด.เข้าใจว่าพวกที่ถูกจับอยู่ข้างล่างยิงใส่ จึงกราดปืนลงไปถูกผู้ที่ถูกจับหมอบคว่ำหน้าอยู่เฉยๆ บาดเจ็บ กว่าจะรู้ว่ายิงกันเอง ผู้บาดเจ็บคือพวกเราอีก ประสิทธิ์  ตินารักษ์ เพื่อนที่เพิ่งออกจากคุกมาด้วยกันก็ถูกยิงตอนนี้ กระสุนยังฝังอยู่ที่ขาข้างซ้ายของเขาจนบัดนี้

ต้อนลงมาทีละชุด ชุดละไม่กี่คน ผู้หญิงถูกบังคับให้ถอดเสื้อออก อ้างว่าตรวจค้นอาวุธ แต่ความจริงเป็นความบ้าระห่ำ เพราะใจสกปรกสิ้นดีของพวกมันต่างหาก

คนที่ลงมาถูกเตะ ถีบ เหยียบ กระทืบให้ตอบคำถามตามใจมัน เสียงหัวเราะ คำเยาะเย้ยถากถาง และความกักขฬะ พวกเราได้รับทุกคนในเช้าวันนั้น

เวลาแค่นาทีเดียวรู้สึกยาวนานเหมือนวันหนึ่งเต็มๆ ช่างเนิ่นนานกว่าปกติหลายเท่า เพราะความรู้สึกอยากให้ผ่านช่วงหฤโหดที่สุดนี้เสียที

ปฏิบัติการค้น กราดทุกห้องเพื่อให้มอบตัวยังดำเนินต่อไป คนหนึ่งถูกถีบจนล้มคว่ำลงมาตามบันได มันตามมาถีบกลิ้งจากชั้น 3 จนถึงชั้นล่าง

สิ่งที่ทุกคนที่ตึกบัญชีเล่า คือ การฆ่าคนอย่างสนุกมือของ ตร. นศ.กลุ่มหนึ่งวิ่งลงมาตามคำสั่งของมันจนถึงชั้นล่าง โดยไม่มีสาเหตุอะไรมันยิงใส่ทันทีชุดหนึ่ง กระสุนถูกเพื่อน นศ.รามคำแหงล้มลงสิ้นชีวิต และบาดเจ็บอีกหลายคน มันยังยืนจ้องปืนเตรียมยิงต่อไป โดยไม่ได้รู้สึกนึกคิดสักนิดว่ามันได้ทำอะไรลงไป

นานทีเดียวกว่ามันจะจับกุมหมดทุกคน ตร.ผู้ใหญ่สั่งให้ผู้หญิงใส่เสื้อได้ตั้งแต่ยังจับไม่หมด เพราะมีช่างภาพเข้ามา มิใช่เพราะความกรุณาปรานีใดๆ แต่มันกลัวความหยาบช้าสกปรกของมันจะปรากฏไปทั่วโลกต่างหาก ถึงอย่างไรมันก็ปกปิดไม่ได้

ผู้หญิงถูกมันลวนลามรังแก แต่ยากที่จะเอาผิดกับใคร คนอื่นๆ ถูกบังคับให้คว่ำหน้าหมด หากเงยหน้าจะถูกฟาดด้วยพานท้ายปืนหรือไม่ก็ถูกเตะ

ครู่เดียวหลังการจับกุมหมด มีเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง ตร.ว่า  "ขณะนี้มีช่างภาพต่างประเทศเข้ามาแล้ว ขอให้หยุดกระทำการทารุณต่างๆ เสีย"

คุณคงเห็นสินะ พวกเขาเองก็ยอมรับว่าทารุณ แต่ก็ยังทำอยู่ กระทั่งเลิกเพราะกลัวความจริงจะเผยแพร่ไปทั่วโลก

ต่อมามีเสียงประกาศอีกว่า  "ขณะนี้มีช่างภาพ น.ส.พ. จัตุรัสเข้ามา ขอให้เจ้าหน้าที่ยึดกล้องและฟิล์มไว้"

กระสือกลัวแสงสว่างฉันใด ความอำมหิต สกปรก เลวร้าย ทารุณย่อมกลัวความสัตย์จริง ความบริสุทธิ์ และความเป็นธรรมฉันนั้น

คนที่ถูกจับทั้งในและนอกมธ.ถูกต้อนลากขึ้นรถ ใช้เสียงตวาดและปืนขู่บังคับ ถ้าเดินช้าจะถูกกระทุ้งด้วยด้ามปืน เพื่อนๆ ที่นอกมธ.ทยอยขึ้นรถทีละ 10-20 คน ที่เหลือถูกปืนกราดเหนือหัวข่มขู่มิให้เงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาด

คนไหนหลบเข้าวัด จะถูกกิตติวุฒโฑ พา ตร.ไปชี้ตัวแล้วลากออกมาจนได้

ในรถ...ผู้ชายต้องนั่งเบียดกันแน่นทั้งบนที่นั่งและบนพื้นรถ ต้องเอามือประสานกุมท้ายทอยและก้มไว้ ผู้หญิง ตร.จะให้นั่งท่าเดียวกันบนที่นั่ง หลายคนถูกบังคับให้นั่งใกล้ๆ ตำรวจ เพื่อมันจะได้ลวนลามอนาจารตามใจชอบ สกปรกหยาบช้าสิ้นดี

ตร.เดินเหยียบพวกที่นั่งอยู่กับพื้นไปมาหลายรอบ เดินไปด่าไป กระทืบไป บางทีขยับปืนดัง  "แกร็ก!  แกร็ก!"  เพื่อข่มขู่ขวัญ

ตร. สั่งให้รถผ่านวัดพระแก้ว สนามหลวง ราชดำเนินและพระบรมรูปทรงม้า แล้วจึงตรงไปยัง ร.ร.ตำรวจนครบาลบางเขน

เส้นทางที่ว่านี้ มีพวกอันธพาลการเมืองที่ปฏิบัติการเย้ยกฎหมายลอยนวลอยู่ รถจะแล่นช้าๆ ให้พวกอันธพาลใช้อิฐ หินไม้ ทุบกระจก ทุบหน้าพวกเรา ทุบหัวพวกเรา หรือปาเข้ามา บางคันถึงกับจอดให้กรูกันขึ้นมาลงมือซ้อมพวกเราจนหนำใจ จึงค่อยปล่อยรถแล่นต่อไป

มีคนบาดเจ็บจากการกระทำนี้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะหัวแตก บางคนถึงกับแขนหัก

ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจทั้งจากอันธพาลในเครื่องแบบบนรถและอันธพาลการ เมืองมือสวะนอกรถที่ดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ แม้แต่คนบาดเจ็บมันก็ไม่เว้น...

เพื่อนที่บาดเจ็บเล่าให้ฟังว่า รถออกจากมธ. อ้อมสนามหลวงเพื่อจะข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าฯ แต่พอผ่านถนนราชดำเนินหน้าแผงหนังสือที่มีการเผาคนทั้งเป็น เขารู้สึกคนเยอะเหลือเกินเข้ามากลุ้มรุมรถพยาบาลจนแทบขยับไม่ได้ เขาเกือบถูกนำตัวไปรุมซ้อม พวกมันทุบรถ พยายามเปิดประตู แต่คนขับมีมนุษยธรรมพอจึงพยายามชี้แจงและป้องกันผู้บาดเจ็บไว้

เสียงอันธพาลมือชั้นสวะตะโกนว่า  "เอามันมาเผา"

เขาคิดว่าคงเป็นวาระสุดท้ายแล้ว แต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้อย่างยากเย็น

ยังมีเหตุการณ์หลายแง่มุมที่ผมไม่ได้เห็นหรือได้พูดคุยกับใครไม่ได้ทราบ รายละเอียด  เช่น เหตุการณ์เอาลิ่มตอกอก ข่มขืนผู้หญิง รุมตีแขวนคอ เผาทั้งเป็น ฯลฯ

แต่เพียงภาพคงทำให้เข้าใจชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายว่า วันที่ 6 ตุลานั้นเกิดอะไรขึ้น

ผมเขียนมามากแล้วสำหรับฉบับนี้ แต่ที่จริงยังไม่ได้เล่าถึงความทารุณนับแต่วินาทีแรกที่ก้าวลงจากรถสู่ประตู เรือนจำ ไปจนถึงเรื่องราวชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกจับกุมคุมขัง ไม่ว่าที่บางเขนหรือที่อื่น ต่างมีความคับแค้นใจมากมาย ที่ผมได้ยินได้ฟังมาเอง

ผมจะเขียนมาเล่าให้คุณทราบอีก แต่อาจจะไม่ละเอียดนัก เพราะเวลาและโอกาสของผม ตลอดจนต้องคำนึงถึงผลที่จะกลับไปกระทบเพื่อนๆ ที่ยังถูกคุมขังอยู่

เรือนจำทุกแห่งเหมือนวัวสันหลังหวะ ใครแตะถูกแผลเข้าจะเจ็บปวดร้องลั่น แต่แทนที่จะรักษา กลับเที่ยวไล่ขวิดทำร้ายคน ไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนยอมรับความจริงหรอกว่า  "คุกน่ะ ! มันเลวร้ายกาจมาก"  ถ้าพูดมากไปแทนที่จะแก้ไขปรับปรุง จะกลับไปเล่นงานคนที่เขาคุมขังอยู่

จดหมายของผม คงทำให้คุณเห็นเหตุการณ์ชัดเจนขึ้น และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในโอกาสข้างหน้า เท่าที่จะสามารถทำได้ หากคุณยังอยากทราบอยากถามเรื่องเหตุการณ์รายละเอียดตอนไหน ถามมาได้ครับ ผมจะตอบในจม.ฉบับหน้าด้วย

ท้ายที่สุดนี้ หากจม.นี้มีคุณประโยชน์อะไรแก่คุณหรือต่อส่วนรวม ขอให้คุณค่านี้บังเกิดผลดีแก่การต่อสู้ของประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตย และขอให้บังเกิดผลเป็นชัยชนะของเพื่อนรักทั้ง 19 คน โดยเร็วที่สุด


 

ขอบพระคุณในความห่วงใยของคุณ

เคารพรักและเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ

ชวลิต

 

======================

ที่มา : กลุ่มนักศึกษากฎหมาย, เราคือผู้บริสุทธิ์ เสียงจากอดีตจำเลยคดี 6 ตุลา, กรุงเทพฯ: กลุ่มนักศึกษากฎหมาย, 2521.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ไม่ใช่เรื่องบุญคุณ

Posted: 05 Oct 2012 07:58 AM PDT

 

ในเมื่อรัฐโรงสีธนานุเคราะห์

อ้าแขนรับทองคำของชาวนา

เพื่อแลกกับเสียงที่ดังเท่ากับเสียงอื่นๆ อีกหลายล้านเสียง

เอ้า! ช่วยกันแค่นหัวเราะให้กับข้าวเปลือกล้านๆ เม็ดที่อาจไม่มีโอกาสกะเทาะออกจากเปลือก

แล้วรองน้ำตาไว้กินจานข้าวสุกข้าวสารแพงๆ ให้คล่องคอมนุษย์เงินเดือน

 

ใครกันริษยา

ละอองส่วนแบ่งที่รอดผ่านถังพ่นยาฆ่าแมงตัวดีตัวร้ายตายเกลือน

ใครกันห่วงใย

ส่วนแบ่งที่หลุดพ้นราวใบมีดรถเกี่ยวข้าวว่าจะฟ่อนหนากว่ากระเป๋าคนจน

ควรจะห่วงว่ามูลค่าส่งออกจะพอเป็นค่าพันธุ์ข้าวฤดูหน้ารึเปล่า

ที่ดินก็เป็นของใครก็ไม่รู้

 

ไม่ต้องสำนึกบุญคุณชาวนาก็ได้

ถ้าข้าวที่กิน

ไม่ได้จ่ายชาวนาต่ำกว่าทุน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"บุญยอด" รับสภาฯ พาสื่อทัวร์ยุโรปไม่ผิดระเบียบ แต่ชี้ไม่เหมาะสม เดินหน้าตรวจสอบต่อ

Posted: 05 Oct 2012 04:55 AM PDT

บุญยอด สุขถิ่นไทย โฆษก กมธ.กิจการสภาฯยอมรับ การเดินทางไปต่างประเทศของประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามระเบียบอย่างถูกต้อง แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม พร้อมเตรียมยื่นคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบความเหมาะสม ด้าน"พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์" อ.จุฬาฯ ขอโทษประชาชนปมไปดูงานยุโรป


เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 55 ที่ผ่านมาวิทยุรัฐสภารายงานว่านายบุญยอด  สุขถิ่นไทย โฆษกคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวหลังจากการประชุมของคณะกรรมาธิการในเรื่องเกี่ยวกับกรณีที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา พาคณะสื่อมวลชนเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศ โดยได้เชิญ น.ส. ศิรวศา เทศถมทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เข้าชี้แจงพบว่าโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณของสำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายไว้ที่ 7.4 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อหัว 3.3 แสนบาท โดยในตอนแรกมีรายชื่อสื่อที่จะไปด้วยจำนวน 25 คน แต่เมื่อถึงวันเดินทางจริง มีสื่อมวลชนร่วมเดินทางไปเพียง 13 คนเท่านั้น โดยในส่วนของน.ส.พลอยไพลิน เกียรติสุรนนท์ บุตรสาวนายสมศักดิ์, น.ส.นิชาภา ศิริวัฒน์ และ น.ส.ณัทธกาภา ศิริวัฒน์ ผู้ติดตามของน.ส.ภูวนิดา คุนผลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ออกค่าใช้จ่ายเอง ดังนั้นทำให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณจริง เพียง 22 คน และจะได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงวันละ 2,100 บาท

โฆษกคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอีกว่า การใช้งบประมาณครั้งนี้ ถือว่าได้ทำตามระเบียบ มีใบเสร็จถูกต้อง เป็นอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรที่จะใช้ได้ ดังนั้นแม้จะไม่สามารถเอาผิดในทางกฎหมายได้ แต่คณะกรรมาธิการก็ควรทำเป็นรายงานและตั้งข้อสังเกตให้ชัด ถึงความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น สำหรับตนจะหาช่องทางว่างจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้พิจารณาในกรณีนี้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งหน้าจะเชิญ นายคัมภร์ ดิษฐากรณ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาชี้แจงเรื่องการคัดเลือกสื่อว่ามีหลักการอย่างไร

"พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์" อ.จุฬาฯ ขอโทษประชาชนปมไปดูงานยุโรปกับ "ขุนค้อน"

ด้านมติชนออนไลน์รายงานว่านายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 55 ถึงกรณีไปเป็นหนึ่งในคณะที่ไปดูงานที่ยุโรป ซึ่งเป็นหมายที่จัดโดยทีมงานของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีเนื้อหาดังนี้  ...
 

สรุปผลสอบกรณี "สมศักดิ์" ดูงานยุโรป ใช้เวลางานดูฟุตบอลไม่เหมาะสม

(4 ต.ค.) คณะกรรมาธิการกิจการ สภาผู้แทนราษฎร พิจารณากรณีที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะเดินทางไปดูงานที่ยุโรป โดยนายสมศักดิ์ ไม่ได้เข้าชี้แจงและมอบหมายให้ น.ส.ศิรวสา เทศถมทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชี้แจงแทน

โดยนายบุญยอด สุขถิ่นไทย โฆษกคณะกรรมาธิการกิจการ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการตรวจสอบว่า งบฯใช้เดินทาง 7 ล้านกว่าบาท จำนวนสมาชิก 25 คน ยกเว้นในส่วนผู้ติดตาม 3 คน ได้เสียค่าใช้จ่ายเอง ทำให้ที่ประชุมเห็นว่าการใช้งบประมาณเดินทางไปยุโรป อยู่ในกรอบงบประมาณดูงานของประธานสภาฯ ที่กำหนดไว้ปีละ 10 ล้านบาท แต่ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เหมาะสมของการจัดสรรเบี้ยเลี้ยงให้สื่อ 12 คน คน ละ 10,000 บาท เป็นการซื้อพื้นที่ข่าวหรือไม่

ขณะที่การไปดูงานประธานสภาฯ กลับแยกออกจากคณะสื่อฯ รวมถึงการใช้เวลาดูงานไปชมการแข่งขันฟุตบอล แม้จะได้รับการยืนยันว่ามีการออกค่าใช้จ่ายกันเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเงินงบประมาณแต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม(ข่าวทีวีไทย)

 

เอาครับ ก็ต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์กันไป แต่ข่าวสั้นไปนิดเลยไม่รู้ว่าตกลงแล้วเขาใช้งบเจ็ดล้านจริงหรือไม่ เพราะส่วนที่เปิดให้กับผู้ร่วมดูงานนั้นมันคนละ แสนกว่าบาท (เป็นค่าเบี้ยงเลี้ยง ค่าตั๋ว และค่าที่พัก) ตามระเบียบราชการที่เซ็นรับทราบไป แต่ที่งอกไปถึงเจ็ดล้านนั้นมันโผล่มาจากตรงไหนกันแน่ อาจจะมาจากหมวดอื่นที่คนอื่นเขารับผิดชอบ

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะที่ดูงาน ผมก็พยายามร่วมกิจกรรมให้มีคุณค่าที่สุด และก็คิดว่าทุกคนที่ไปก็พยายามจะไปศึกษาหาความรู้เท่าที่จะทำได้ แต่เนื่องจากการไปครั้งนี้เป็นงบประมาณแผ่นดิน การถูกวิพากษ์วิจารณ์และตกเป็นเป้าในการกล่าวหาทั้งด้วยข้อมูลบางส่วน (บางส่วนก็คลาดเคลื่อน) และความรู้สึกก็ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องน้อมรับเอาไว้

ไม่ว่าผลของคณะกรรมาธิการจะเป็นอย่างไร ในฐานะที่ผมก็เป็นบุคคลสาธารณะคนหนึ่ง ผมก็อยากจะขอแสดงความเสียใจและขอโทษต่อประชาชนหากท่านเป็นผู้หนึ่งที่รู้สึกว่าการจัดการดูงานในครั้งนี้เป็นเรื่องของความไม่เหมาะสมแม้ว่าเรื่องนี้ในทางระเบียบคงไม่ใช่ความผิด แต่เมื่อถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม ก็ย่อมจะต้องน้อมรับกันไป ส่วนตัวผมนั้นในส่วนการดูงานนั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจและความรู้อยู่มาก เพียงแต่ว่าข้อวิจารณ์บางทีนั้นทำกันจนแทบจะรู้สึกว่าคนๆหนึ่งนั้นไม่น่าจะมีความเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ หรือจะต้องเป็นที่เกลัยดชังกันขนาดนั้น

การเขียนเฟซบุค ตลอดการเดินทางความจริงก็เป็นการแสดงความจริงใจว่าไม่ควรจะต้องปิดบังอะไรกันอะไรคือสิ่งที่เราเข้าใจตรงกันหรือไม่ตรงกัน เช่นแม้กระทั่งการดูงานนั้นกำหนดการเขาก็บอกว่าดูงาน เยี่ยมชม แต่ระดับของการไปเยี่ยมชมจะลึกซึ่งแค่ไหนก็สุดแล้วแต่ข้อมูลและเงื่อนไขเมื่อไปจริงซึ่งผู้เข้าร่วมไม่ได้เป็นผู้กำหนด(และก็ย้ำไปแล้วว่าในการใช้จ่ายนั้นผมก็เข้าใจว่าเป็นไปตามกำหนดของทางราชการ เพราะเราไปกับหน่วยงานราชการนะครับ เราก็ต้องไว้ใจเขาว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดหรือไม่เหมาะสม และย่อมต้องถูกตรวจสอบได้เสมอ)

เอาเป็นว่าในส่วนตัวของผม ผมขอโทษทุกท่านและน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผมนะครับ ผมได้พยายามเรียนชี้แจงในที่ต่างๆเท่าที่ผมจะทำได้ แม้ว่าเราอาจจะเห็นไม่ตรงกันในหลายๆเรื่อง และผมยืนยันว่าผมไปในฐานะของนักวิชาการที่ถูกรับเชิญไป และไปตามระเบียบการลา-ขอตัวไป แม้ว่าผมจะทำงานสื่อด้วยก็ตาม และผมก็พยายามทำหน้าที่นักวิชาการเท่าที่ความรู้จะมี (ที่เขียนอย่างนี้ไม่ได้ต้องการแยกตัวเองว่าไม่เป็นสื่อจึงไม่ควรถูกวิจารณ์ แต่ต้องการขอให้ส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงก็เป็นข้อเท็จจริง ส่วนความเชื่อหรือข้อกล่าวหาของแต่ละท่านที่มีต่อตัวผมก็ให้ดำเนินต่อไป แต่การที่จะวิจารณ์กันนั้นเราจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันบ้างไม่ได้เชียวหรือ?)

ผมขอจบกระทู้นี้ด้วยการขอร้องว่าสำหรับผู้ที่อ่านแล้วเข้าใจในความรู้สึกและจุดยืนของผมก็ไม่ต้องเขียนตอบให้กำลังใจกันกระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้ดราม่า หรือการปั่นกระแส และขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ของหลายๆท่านที่เขียนมาหาผมอย่างเข้าตรงไปตรงมา และเคารพกันว่าก็เป็นคนเหมือนกัน บางท่านก็แรงไปบ้าง ก็พยายามเข้าใจและทำความเข้าใจกันไปครับ เราเองอยู่ในฐานะที่วิจารณ์คนอื่นได้ ก็ต้องน้อมรับคำวิจารณ์ได้ด้วย

ส่วนคำวิจารณ์ในแบบอื่นๆนั้นก็มีโอกาสได้อ่านบ้างแต่คงจะไม่ได้อ่านทั้งหมดนะครับ

ขอบคุณครับ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"สมาคมนักข่าวฯ" ประกาศ "สรยุทธ" พ้นสภาพสมาชิกก่อนนี้แล้ว

Posted: 05 Oct 2012 04:31 AM PDT

"สมาคมนักข่าวฯ" แจง "สรยุทธ" มิได้ชำระค่าบำรุงสมาชิกติดต่อกันตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับสมาคม จึงถือว่า นายสรยุทธได้พ้นจากสมาชิกภาพของสมาคมฯ ไปก่อนหน้านี้แล้ว


5 ต.ค. 55 - เนชั่นทันข่าวรายงานว่าายหลังนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดังได้ส่งจดหมายลาออกจากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ทางสมาคมจึงได้ออกประกาศสมาคมฯ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 5 ตุลาคม 2555 ถึงนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เพื่อขอลาออกจากสมาชิกสมาคมฯ ตามความทราบแล้วนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบการเป็นสมาชิกภาพของนายสรยุทธพบว่า นายสรยุทธสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยในปี 2536 สังกัดหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ต่อมาเมื่อมีการรวมสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยกับสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2543 ได้ระบุให้โอนสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกของสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ให้มาเป็นสมาชิกของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยโดยปริยาย

ทั้งนี้ เมื่อนายสรยุทธลาออกจากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น เพื่อไปประกอบวิชาชีพเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์แล้ว นายสรยุทธย่อมพ้นจากการเป็นสมาชิกสามัญ โดยยังคงเป็นสมาชิกวิสามัญประเภทที่ 2 อยู่ แต่เนื่องจากนายสรยุทธ มิได้จ่ายค่าบำรุงสมาชิกให้แก่สมาคมติดต่อกันเกินกว่า 3 ปีขึ้นไป โดยที่คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ยังมิได้ลบชื่อนายสรยุทธออกจากทะเบียนสมาชิก เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่มิได้ชำระค่าบำรุงสมาชิกเพื่อรักษาสมาชิกภาพตามข้อบังคับของสมาคมฯ

ดังนั้น เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า นายสรยุทธ มิได้ชำระค่าบำรุงสมาชิกติดต่อกันตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงถือว่า นายสรยุทธได้พ้นจากสมาชิกภาพของสมาคมฯ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น การยื่นหนังสือลาออกจากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยของนายสรยุทธ จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการพ้นจากสมาชิกภาพสมาคมฯ ของนายสรยุทธแต่อย่างใด จึงเรียนประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

"สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ยื่นจดหมายลาออกจากสมาชิกภาพ สมาชิกสมาคมนักข่าวฯแล้วมีผลทันที

ในวันเดียวกันนี้ (5 ต.ค.) โพสต์ทูเดย์รายงานว่าายสรยุทธ สุทัศนะจินดา  ได้ยื่นหนังสือถึงนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอลาออกจากสมาคมนักข่าวฯ โดยขอมีผลทันที

ทั้งนี้ นายสรยุทธ เป็นสมาชิกวิสามัญ 2 ของสมาคมฯ นักข่าว ตั้งแต่ปี 2542 ครั้งยังทำงานอยู่ในเครือเนชั่น

ด้าน นายชวรงค์ ลิมปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังนายสรยุทธ ได้ยื่นจดหมายลาออกจากการ ว่ายังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดอะไร ซึ่งทางสมาคมเตรียมทำเอกสารชี้แจงผ่านทางเว็ปไซด์ http://www.tja.or.th/

ขณะที่ เว็บไซต์ prasong.com ได้ตรวจสอบสมาชิกภาพของนายสรยุทธ ปรากฎว่า นายสรยุทธสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมาคมนักข่าว ฯ ตั้งแต่ปี 2542 แต่นายสรยุทธมิได้ชำระค่าบำรุงสมาคมฯปีละ 200 บาทมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อเปิดดูข้อบังคับของสมาคมนักข่าว พบว่า หมวด 5 ข้อ 11 ระบุการสิ้นสุดสมาชิกภาพไว้ใน (4) ว่าเมื่อไม่จ่ายค่าบำรุงติดต่อกันตั้งแต่สามปีขึ้นไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สสส. ชวนสร้างจิตอาสา เยาวชน-บุคคลต้นแบบ กับ “หมอลำหุ่น” ที่มหาสารคาม

Posted: 05 Oct 2012 03:13 AM PDT

 

 

วันที่ 5-7 ตุลาคม 2555  แผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. เชิญร่วมกิจกรรมสร้างกระบวนการจิตอาสา และเยาวชนต้นแบบ บุคคลต้นแบบ กับเยาวชนโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ และโรงเรียนสมาชิกเครือข่ายหมอลำหุ่น ณ วัดโพธาราม ต.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม

โดยนางสาวชิตวัน  สมรูป ผู้รับผิดชอบโครงการ "หมอลำหุ่น... สื่อศิลปะฯ  เพื่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมเสพติดวัตถุนิยมในหมู่เยาวชน" กล่าวว่า โครงการหมอลำหุ่นฯ โดย กลุ่ม "ออมทอง" จ.มหาสารคาม ครั้งนี้เป็นการสร้างกระบวนการจิตอาสา และเยาวชนต้นแบบ บุคคลต้นแบบ กับเยาวชนที่โรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ โดยในกิจกรรมจะเป็นการกลับมารวมกันของสมาชิกที่ได้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการไปแล้วทั้งจากโรงเรียนบ้านโคกเพิ่มโคกกลาง และโรงเรียนบ้านเขวาทุ่ง เพื่อมาร่วมด้วยช่วยกันซ่อมแซมและจัดศูนย์เรียนรู้ของวัดโพธารามที่ยังไม่แล้วเสร็จ ให้พร้อมใช้ได้และมอบเป็นสมบัติของชุมชนต่อไป

"ทั้งนี้ยังได้รวบรวมศิษย์เก่าหนังประโมทัย คณะเพชรอีสาน ที่กลุ่มคนละคอน ได้ริเริ่มก่อตั้งไว้ตั้งแต่ปี 2551 ให้กลับมารื้อฟื้นวิชากับพ่อครูแม่ครูหนังประโมทัยอีกครั้ง และทำงานจิตอาสาร่วมกับเยาวชนทั้งสองโรงเรียนพร้อมกับ คณะ "เด็กเทวดา" จากโรงเรียนบ้านหนองโนใต้ ก่อนจะร่วมกันแสดงบนเวทีวัฒนธรรมและตลาดนัดศิลปะฯ ครั้งที่ 2 ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2555 ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป ณ วัดโพธาราม ต.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ด้วย"  นางสาวชิตวัน  สมรูป กล่าว

ซึ่งผู้รับผิดชอบโครงการฯ กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมบนเวทีที่จะเกิดขึ้นมีจะการแสดงจาก 5 โรงเรียน คือ หนังประโมทัย คณะเพชรอีสาน จากรร.ดงบังพิสัยฯ, หมอลำหุ่นเงา เรื่อง พระมาลัยโปรดเมืองนรก จาก รร.บ้านเขวาทุ่ง, การแสดงขับผญา ภูมิปัญญาชาวอีสาน จาก รร.บ้านโคกเพิ่มโคกกลาง, ละครใบ้และหมอลำหุ่น จาก รร.บ้านหนองโนใต้ และ รร.นาดูนประชาสรรพ์ , การแสดงหนังประโมทัยจากศิลปินพื้นบ้าน คณะ ส.สำลี และเครือข่ายศิลปินพื้นบ้านมาร่วมแสดงและถ่ายทอดศิลปะการแสดงที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของอีสานให้เด็ก เยาวชน และผู้ที่สนใจชม เป็นการสร้างการเรียนรู้และหนุนเสริมความเข้าใจในภูมิปัญญาที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งปราชญ์ชาวบ้านที่มีในครั้งนี้ นำโดยพ่อสำลี จากคณะหนังประโมทัย ส.สำลี, พ่อทองจันทร์ ปลายสวน, แม่สี ปราชญ์ชาวบ้านจากหนองโนใต้ และท่านเจ้าอาวาสวัดโพธาราม โดยทั้งหมดนี้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเวทีจุดประกายทำความเข้าใจ – สร้างการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมเสพติดวัตถุนิยมในหมู่เยาวชนที่ผ่านมา โดยทำหน้าที่บุคคลต้นแบบผู้ส่งต่อภูมิปัญญา ประสบการณ์ และกระบวนการคิดในมุมมองของปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานสื่อศิลปวัฒนธรรม และสร้างกระบวนการจิตอาสา ปลุกสำนึกจิตวิญญาณชาวอีสานให้กับเยาวชน ทั้งนี้ยังมีนิทรรศการผลงานของเยาวชน, ลานตลาดนัดศิลปะฯ ของชุมชนบ้านหนองโนใต้และชุมชนดงบังด้วย ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 081-723-5301, 084-496-0306

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"เมื่อได้ยินอะซาน...ทุกอย่างต้องยุติ" คำชี้แจง 'วันศุกร์' จุฬาราชมนตรี

Posted: 05 Oct 2012 03:02 AM PDT

เปิดคำชี้แจงจุฬาราชมนตรี "การทำงานในวันศุกร์ มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม" ระบุอิสลามบัญญัติให้บุคคลต้องไม่ให้ความสำคัญเรื่องหารายได้ มากกว่าพิธีละหมาดวันศุกร์ ...ผู้ทำงานทุกคนต้องระลึกเสมอคือ เมื่อได้ยินเสียงอะซานเรียกร้องสู่การละหมาด งานทุกอย่างต้องยุติลง

5 ต.ค. 55 - ต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาในเปิดคำชี้แจงของจุฬาราชมนตรี เรื่องการทำงานในวันศุกร์มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม หลังจากที่มีข่าวลือข่มขู่มิให้ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ออกมาทำงานในวันศุกร์ จนส่งผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากร้านค้าต่างๆในพื้นที่ต่างปิดเงียบ โดยมีเนื้อหาดังนี้

 

การทำงานในวันศุกร์

มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม

 

การทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยยังชีพเป็นสิ่งที่อิสลามให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง เพราะการดำรงชีพโดยมุ่งสู่เป้าหมายที่องค์อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดนั้น ต้องอาศัยการอุปโภคบริโภค สรรพสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้ ผู้ทำงานเพื่ออัลลอฮฺ เช่น บรรดานบีๆ (ศาสนทูตทั้งหลาย) จึงเป็นผู้ทำงานหนักเสมอ เพื่อให้สามารถดำรงชีพได้ โดยไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น และสามารถทำหน้าที่เพื่ออัลลอฮฺได้โดยไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ใด นอกจากขอพึ่งพาอัลลอฮฺ (ซุบหานะฮฺ) เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ผู้ทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวด้วยอาชีพสุจริต จึงเป็นผู้ประเสริฐ และอาหารที่ได้มาจากการทำงานนั้นก็เป็นอาหารที่ประเสริฐด้วย ดังคำของศาสนทูตมุหัมมัด (ขอความสุขสวัสดิ์จากอัลลอฮฺจงบังเกิดแก่ท่านด้วยเถิด) ซึ่งบอกเล่าโดยมิกดาม มะอัดดีกริบา และบันทึกโดยบุคอรีย์ ว่า

عَنِ الْمِقْدَامِ بنْ مُعِد يَكْرِب رَضِيَ اللهُ عَنْهُ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ: مَا أَكَلَ أَحَدٌ طَعَامًا قَطُّ خَيْرًا مِنْ أَنْ يَأْكُلَ مِنْ عَمَلِ يَدِهِ ، وَإِنَّ نَبِىَّ اللَّهِ دَاوُدَ - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - كَانَ يَأْكُلُ مِنْ عَمَلِ يَدِهِ.(رواه البخاري)

"ไม่มีอาหารใดที่คน ๆ หนึ่ง รับประทานแล้ว จะมีความประเสริฐมากไปกว่าอาหารที่ได้มาจากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน และแท้จริงดาวูดผู้เป็นศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺเอง ก็เป็นผู้ที่เลี้ยงชีพโดยการทำงานด้วยตัวเอง"

    "تيدقله سسؤرڠ مڠگونا سمسي ماكنن يڠ لبيه بأيك دري ماكنن يڠد حاصيلكن دري جريه تاڠن سنديري دان سسوڠگوهڽ نبي داود - عليه السلام-  دهولو سننتياس ماكن دري جريه ڤايه سنديري"

 

อีกทั้งผู้ทำงานอย่างมืออาชีพก็เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ (ซุบหานะฮฺ) ดังคำของศาสนทูต มุหัมมัด (ขอความสุขสวัสดิ์จากอัลลอฮฺจงบังเกิดแก่ท่านด้วยเถิด) ซึ่งบอกเล่าโดยอิบนุอุมัร และบันทึกโดย ฏ็อบรอนีย์

إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُؤْمِنَ الْمُحْتَرِفَ

"แท้จริง องค์อัลลอฮฺทรงรักผู้ศรัทธาที่ประกอบอาชีพการงาน"

"سسوڠگوهڽ الله سبحانه وتعالى منچينتأي سؤرڠ مؤمن يڠ گيات بكرجا"

 

ด้วยความรักที่พระองค์มีให้ จึงพร้อมจะทรงอภัยโทษต่อผู้ประกอบอาชีพการงานในยาม   ที่พวกเขาเหนื่อยล้าจากการใช้แรงกาย และทรงถือว่าผู้ทำงานสุจริตเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว คือคนทำงานในหนทางของพระองค์ (ฟี สะบีลิลลาฮฺ) ดังหะดีษต่อไปนี้

عَنْ عَائِشَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهَا أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : " مَنْ أَمْسَى كَالًا مِنْ عَمَلِ يَدَيْهِ أَمْسَى مَغْفُورًا لَهُ " (رواه الطبراني)

 "ผู้ใดเข้าสู่ยามเย็นอย่างเหนื่อยล้าจากการใช้แรงงาน เขาเป็นผู้ได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ"

         "بارڠ سياڤ يڠ وقتو ڤتڠ دودوق دالم كللهن لنتاران ڤكرجأن يڠتله دلاكوكن، مك اي داڤتكن وقتو ڤتڠ ترسبوت دوساڽ٢ دامڤوني اوليه الله سبحانه وتعالى"

อีกหะดีษหนึ่งซึ่งทำให้เห็นว่าทุกคนต้องสนับสนุนผู้ประกอบอาชีพสุจริต คือหะดีษที่ระบุว่า

عن كَعْبِ بْنِ عُجْرَة رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ : مَرَّ عَلَى النَّبِيِّ - صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - رَجُلٌ فَرَاى أَصْحَابَ رَسُوْلِ اللهِ - صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - مِنْ جَلَدِهِ وَنَشَاطِهِ فَقَالُوا : يَا رَسُوْلَ اللهِ! لَوْ كَانَ هَذَا فِي سَبِيلِ اللهِ؟ فَقَالَ رَسُوْلُ اللهِ - صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - :«إِنْ كَانَ خَرَجَ يَسْعَى عَلَى وَلَدِهِ صِغَاراً فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللهِ ، وَإِنْ كَانَ خَرَجَ يَسْعَى عَلَى أَبَوَيْنِ شَيْخَينِ كَبِيرَيْنِ فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللهِ ، وَإِنْ كَانَ يَسْعَى عَلَى نَفْسِهِ يَعِفُّهَا فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللهِ ، وَإِنْ كَانَ خَرَجَ رَيِاءً وَمُفَاخَرَةً فَهُوَ فِي سَبِيلِ الشَّيْطَانِ.

(رواه الطبراني برجال الصحيح)

"ชายผู้หนึ่งเดินผ่านกลุ่มมหามิตรแห่งบรมศาสนทูต พวกเขารู้ว่าชายคนนี้มีน้ำอดน้ำทน และทำงานอย่างขยันขันแข็ง จึงกล่าวกับบรมศาสนทูตว่า ถ้าชายคนนี้มาทำงานในหนทางของอัลลอฮฺ ย่อมเป็นการดียิ่ง (พวกเขาหมายถึงการสงคราม) บรมศาสนทูตบอกว่า หากชายคนนี้ออกไปทำงานหาเลี้ยงลูกเล็กๆ เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺแล้ว หากเขาออกไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงพ่อแม่ที่แก่ชรา เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺแล้ว หากเขาออกไปทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของใครให้เสียสง่าราศี เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺแล้ว ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อหวังให้ผู้อื่นยกย่องหรือเพื่อโอ้อวดกันต่างหาก เขาจะอยู่ในหนทางของซาตาน"

مقصودڽ : " سؤرڠ للاكي برجالن دتڤي ڤاراصحابة دان مريك تاهو بهوا للاكي ايت سؤرڠ يڠ برصبر دان راجين بكرجا لالو ايت مريك بركات كڤد رسول الله جك للاكي اين بكرجا دالم جالن الله ادله امت بأيك (مريك برمقصود دڠن ڤڤراڠن)  رسول الله بركات جك دي كلواربكرجا اونتوق انق كچيلڽ دي سوده براد دالم جالن الله، دان جك دي كلواربكرجا اونتوق ممليهارا ايبوباڤ يڠ توا دي سوده براد دالم جالن الله، دان جك دي كلواربكرجا اونتوق ممليهارا ديريڽ سڤاي تيدق ممببنكن اورڠ لأين دي سوده براد دالم جالن الله، جك دي كلواربكرجا اونتوق منداڤت كڤوجين دري اورڠ لأين اتاواونتوق منونجوق٢ دي سوده براد دالم جالن شيطان"

เมื่อคนเราต้องบริโภคทุกวัน อิสลามจึงไม่ห้ามที่จะทำงานทุกวัน แม้วันนั้นจะเป็นวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญประจำสัปดาห์ก็ตาม สิ่งที่อิสลามบัญญัติ คือ บุคคลต้องไม่ให้ความสำคัญแก่การทำงานหารายได้ มากกว่าการประกอบพิธีละหมาดญุมอะฮฺถวายเป็นอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าดังปรากฏในพระดำรัสแห่งอัลลอฮฺซูรอฮฺอัลญุมุอะฮฺ อายะฮฺที่ 9-10 ว่า

" يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا إِذَا نُودِيَ لِلصَّلَاةِ مِنْ يَوْمِ الْجُمُعَةِ فَاسْعَوْا إِلَى ذِكْرِ اللَّهِ وَذَرُوا الْبَيْعَ ذَلِكُمْ خَيْرٌ لَكُمْ إِنْ كُنْتُمْ تَعْلَمُونَ ، فَإِذَا قُضِيَتِ الصَّلَاةُ فَانْتَشِرُوا فِي الْأَرْضِ وَابْتَغُوا مِنْ فَضْلِ اللَّهِ وَاذْكُرُوا اللَّهَ كَثِيرًا لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ "

"ดูกร ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อเสียงเรียกร้องสู่การละหมาดดังขึ้นในวันศุกร์ พวกเจ้าก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺเถิด และจงยุติการซื้อขายเสีย นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเจ้าหากพวกเจ้ารู้"

"ครั้นเมื่อการประกอบพิธีละหมาดเสร็จสิ้นลง พวกเจ้าก็จงกระจายไปในแผ่นดินเถิด จงแสวงหาคุณูปการแห่งอัลลอฮฺ (ทำงานหารายได้) และจงรำลึกถึงพระองค์ให้มาก เพื่อพวกเจ้าจะได้พบกับความสำเร็จ"

       "واهاي اورڠ٢ يڠ برايمان اڤبيل دسروكن اذان اونتوق مڠرجاكن سمبهيڠ ڤدهاري جمعة مك سگراله كاموڤرگي (كمسجد) اونتوق مڠيڠتي الله (دڠن مڠرجاكن سمبهيڠ جمعة) دان تيڠگلله برجوال بلي، لالواي ممبري تاهوكڤد كامو اڤ يڠ كاموتله لاكوكن (سرتا ممبالسڽ)"

        "كمدين ستله سلساي سمبهيڠ مك برتبارانله كامودموك بومي (اونتوق منجالنكن اوروسن ماسيڠ٢) دان چاريله اڤ يڠ كامو حاجتي دري الله، سرتا ايڠتله اكن الله سباڽق٢ (دالم ستيڤ كأدأن) سڤاي كاموبرجاي (ددنيا دان أخيرة)"

ทั้งสองอายะฮฺบ่งชี้ชัดเจนว่า แม้จะเป็นวันศุกร์ แต่อัลลอฮฺก็ยังส่งเสริมให้ทำงานแสวงหาคุณูปการที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้ สิ่งที่ผู้ทำงานทุกคนต้องระลึกถึงอยู่เสมอคือ เมื่อได้ยินเสียงอะซานเรียกร้องสู่การละหมาด งานทุกอย่างต้องยุติลงและบุคคลต้องเตรียมตัวไปร่วมละหมาดอย่างรีบเร่ง

ครั้นเมื่อละหมาดเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้ทำงานต่อไป โดยมีจิตระลึกอยู่เสมอว่า โภคปัจจัยที่ได้ มาล้วนเป็นคุณูปการแห่งอัลลอฮฺทั้งสิ้น บุคคลจึงควรแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตนและใช้จ่ายทรัพย์สินที่ได้มา ไปตามครรลองแห่งพระองค์เท่านั้น นั่นจึงนับเป็นความสำเร็จ ทั้งในภพนี้และปรภพ

ในบริบทของสังคมประเทศไทยโดยรวม และเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มุสลิมสามารถทำงานวันศุกร์ได้ โดยไม่สูญเสียโอกาสในการละหมาดญุมอะฮฺเลย เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ล้วนอนุญาตให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานออกไปละหมาดญุมอะฮฺได้เมื่อถึงเวลา ซึ่งนับเป็นเนียะมะฮฺ (สิ่งดี ๆ ที่องค์อัลลอฮฺทรงประทานให้) โดยแท้

ดังนั้น การข่มขู่คุกคามให้สุจริตชนต้องหยุดทำงานในวันศุกร์ นับเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น เป็นการแอบอ้างศาสนาอิสลามเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างมิชอบ และเป็นการกระทำที่อยู่นอกกรอบแนวทางของอัลลอฮฺอย่างสิ้นเชิง.   

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โสภณ พรโชคชัย: บีบีซีกล่าวหาส่งเดช ว่า กทม รถติดหนักสุด

Posted: 05 Oct 2012 02:32 AM PDT

ตามที่สำนักข่าวบีบีซีรายงานข่าวว่ากรุงเทพมหานครของไทย รถติดที่สุดในโลกนั้น เป็นความเท็จ  วิธีการได้มาซึ่งข้อสรุปก็เป็นเท็จ  เป็นการทำลายชื่อเสียงของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยโดยไม่มีพื้นฐานความจริง
 
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับทำนองว่า "บีบีซีตีข่าวกทม.รถติดที่สุดในโลก" {1} ""กรุงเทพ' ของไทย ติดอันดับเมืองหลวงที่รถติดมากที่สุดของ'บีบีซี'" {2} "'กทม.' ติดอันดับ 1 เมืองรถติดมากที่สุดในโลก" {3}  "'กรุงเทพฯ' ขึ้นชื่อ 1 ใน 10 เมืองรถติดมากที่สุดในโลก" {4}  "'กรุงเทพ'ติด 1ใน 10 เมืองหลวงที่รถติดที่สุดในโลก" {5}  "กทม.ติดอันดับเมืองรถติดที่สุดในโลก" {6}  "'ปู' ใบ้กิน! BBC ตีข่าวไทยติดอันดับรถติดที่สุดในโลก" {7}
 
ตามข่าวกล่าวว่า การสำรวจนี้ สำรวจจากความเห็นของคนอ่านหรือฟังบีบีซีเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ระบุจำนวน  ไม่สามารถถือเป็นการสำรวจจากความเป็นจริงได้  ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณสื่ออย่างร้ายแรงได้หรือไม่  ทั้งนี้คงเป็นเพียงการมุ่งขายข่าว "ตีปี๊บ" เพราะสำนักข่าวนี้ในขณะนี้อาจไม่ดัง เป็นที่กล่าวขวัญถึงในระดับโลกเช่นสำนักข่าวระดับโลกอื่น ๆ เช่น ซีเอ็นเอ็น บลูมเบอร์ก วีโอเอ อัลจาซีร่า หรืออื่น ๆ
 
แต่ในการสำรวจจริง บางแหล่งข่าว {8} อ้างว่า นครที่เรียงลำดับจากหนึ่งถึง 5 ได้แก่ ปักกิ่ง เม็กซิโกซิตี้ โจฮันเนสเบอร์ก มอสโก และนิวเดลี ซึ่งถือว่ามีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่สุดของโลก มีจำนวนประชากรมาก และอยู่กันอย่างหนาแน่นกว่ากรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก
 
สำหรับในสหรัฐอเมริกา นครที่มีการจราจรเลวร้ายที่สุดจากการจัดอันดับของ Weather.com {9} ได้แก่ ฮอนโนลูลู รองลงคือ ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก บริดจ์พอร์ต (มลรัฐคอนเน็กติกัต)  ส่วนออสตินที่บีบีซีรายงานนั้น อยู่แค่อันดับ 8 เท่านั้น  การที่บีบีซีไปถามจากคนฟัง-ชมบีบีซี ซึ่งมีอยู่ไม่มาก จึงไม่น่าเชื่อถือ  และคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา คงไม่ได้ชมหรือฟังบีบีซี
 
สำหรับในละแวกประเทศเพื่อนบ้านของไทย กรุงจาการ์ตาถือเป็นนครที่มีสภาพรถติดมากที่สุดจนเป็นที่เลื่องลือเป็นอย่างมาก  และเป็นที่ทราบกันทั่วไป  จากประสบการณ์ของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ซึ่งสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วอาเซียน  และต้องเดินทางสำรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ ของนครทั้งหลายพบว่า กรุงจาการ์ตามีรถติดหนักที่สุด รองลงมาอาจเป็นกรุงมะนิลา กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
 
นอกจากนี้บีบีซียังอ้างว่าการที่ไทยมีนโยบายรถคันแรก ทำให้มีคนซื้อรถกันมากมาย  แต่ในความเป็นจริง  ผู้ซื้อรถจำนวนมากก็ยังไม่ได้รถในขณะนี้  ยังต้องสั่งจองล่วงหน้า  ยังอยู่ระหว่างการผลิต  การตีข่าวที่ระบุว่าไทยติดอันดับแรกของนครรถติดที่สุด  จึงเป็นความเท็จ  และนำสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันมาอ้างอิง เนื่องจากไม่มีความจริงมายืนยันได้ว่ากรุงเทพมหานครติดอันดับนครรถติดที่สุดนั่นเอง
           
ตามข่าวของ BBC {10} เองยังเขียนไว้ว่าได้สัมภาษณ์ชายไทยคนหนึ่งบอกว่าตนได้นั่งรถเข้าเมืองจากปทุมธานีโดยมีอยู่วันหนึ่งใช้เวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง จากปกติใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง การเอาปรากฏการณ์ครึ่งหนึ่ง (ในชีวิต) มา "เต้าข่าว" อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะปรากฏไว้ในเนื้อข่าวจากสำนักข่าวระดับโลกเช่นนี้ เพราะเท่ากับเป็นการบิดเบือนความเป็นจริง
           
กรุงเทพมหานครควรมีการแก้ไขการจราจรติดขัด เป็นภาระของทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลของประเทศที่ไม่อาจละเลยได้  แต่สถานการณ์ก็ไมได้เลวร้ายไปกว่าอีกหลายต่อหลายประเทศในโลกนี้  ประเทศไทยคงไม่ปฏิเสธปัญหานี้  แต่การเสนอข่าวที่ไม่ได้มีการสำรวจที่แน่ชัดเช่นนี้ เป็นการทำลายภาพพจน์ของประเทศไทย และกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ  ทำให้นักท่องเที่ยวชะงัก ไม่กล้ามาไทย ทำให้คนไทยเสียหาย ขัดลาภที่พึงได้ ไม่ใช่ลาภที่ไม่พึงได้อย่างที่จักรวรรดินิยมอังกฤษเคยเที่ยวปล้นชิงไปทั่วโลก ถือเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับจรรยาบรรณทางวิชาชีพของสื่ออังกฤษหรือไม่
           
โปรดดูภาพข่าวต่อไปนี้ ที่แสดงให้เห็นถึงรถติดจนชินตาในนครอื่น ๆ ที่เลวร้ายกว่ากรุงเทพมหานครมากมายนัก โดยเรียงตามลำดับภาพดังนี้: กรุงจาการ์ตา นครลอสแองเจลิส กรุงลากอส กรุงมอสโก (กลางวัน) และกรุงมอสโก (กลางคืน) เป็นต้น
 
 
ภาพที่ 1: รถติดหนักในกรุงมอสโก ตอนกลางวัน จะพบเห็นปรากฏการณ์ตามภาพบ่อย ๆ
 
 
ภาพที่ 2: แม้แต่ในยามที่ไม่มีแสงอาทิตย์แล้ว มอสโกก็มีสภาพรถติดหนักมากเช่นกัน
 
 
ภาพที่ 3: สภาพไม่มีขื่อแปในการจราจรในกรุงลากอส รถติดมโหฬารกว่าที่ไทยจะนึกภาพออก
 
 
ภาพที่ 4: สภาพรถติดเป็นประจำทุกวันในนครลอสแองเจลิส
 
 
ภาพที่ 5: สภาพรถติดหนักในกรุงจาการ์ตา ซึ่งสาหัสกว่ากรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก
 
 
ที่มา:
 
{1} แนวหน้า 3 ตุลาคม 2555 www.naewna.com/inter/24533
{2} คมชัดลึก 2 ตุลาคม 2555 www.komchadluek.net/detail/20121002/141362/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94.html
{3} Money Channel. 2 ตุลาคม 2555 www.moneychannel.co.th/index.php/2012-06-30-12-32-32/4365-bangkok
{4} ไทยรัฐ 3 ตุลาคม 2555 http://m.thairath.co.th/content/oversea/295794
{5} ฐานเศรษฐกิจ 2 ตุลาคม 2555 www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=145955:-1-10-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
กทม.ติดอันดับเมืองรถติดที่สุดในโลก
{6} T News 2 ตุลาคม 2555 www.tnews.co.th/html/news/42438/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81.html
{7} ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 ตุลาคม 2555 www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000121375
{8} http://googlesightseeing.com/2012/05/top-5-worst-traffic-cities-in-the-world/
{9} www.weather.com/safety/autosafety/top-10-worst-traffic-cities-20120815?pageno=10
{10} 10 monster traffic jams from around the world http://www.bbc.co.uk/news/magazine-19716687
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เฟซบุ๊กของ Bow Kittiwanno

Posted: 04 Oct 2012 11:31 PM PDT

"งี่เง่าฉิบหายเลยครับ การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้งครับ หากไม่มีความขัดแย้ง ทุกคนอยู่กันได้โดยไม่ไม่ต้องแย่งกัน ก็ไม่ต้องมีการเมือง ไม่ต้องมีนักการเมืองครับ....ปัญหาที่เกิดกับการเมืองในบ้านเราตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง การเมืองประเทศไหน ๆ ก็มีความขัดแย้ง แต่ปัญหาอยู่ที่กระบวนการต่าง ๆ ในบ้านเราแม่งเสื่อมเหี้ย ๆ ครับ คือพวกมึงชอบเอาวิธีการพิเศษมาใช้ไงครับ มันเสื่อมจนคนไม่ยอมรับ ความวุ่นวายมันเลยเกิด"

แสดงความเห็นต่อกรณีนายเนวิน ชิดชอบประกาศเลิกเล่นการเมืองเพื่อลดความขัดแย้ง

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เปิด นสพ. เก่า อ่านชนวน 6 ตุลา ผ่านข่าวก่อนเกิดเหตุ

Posted: 04 Oct 2012 11:31 PM PDT

 

5 ต.ค.55  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค  "วันนี้เมื่อ 36 ปีก่อน" โดยนำรูปปกหนังสือพิมพ์เก่าฉบับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดาวสยาม บ้านเมือง ไทยรัฐ บางกอกโพสต์ ประชาชาติ เปรียบเทียบการพาดหัวข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ของประชาชนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 1, 2, 3, 4, 5 ตุลาคม 2519 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์กวาดล้างนักศึกษาและประชาชนในวันที่  6 ตุลาคม 2519

สำหรับในวันนี้ ( 5 ต.ค.) เมื่อ 36 ปีที่แล้ว สมศักดิ์ ได้วิเคราะห์ข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ไว้ว่า ชนวนของการจุดประเด็นเรื่องละครแขวนคอ อันเป็นเหตุให้ฝ่ายขวาลุกฮือและมีการกวาดล้างผู้ชุมนุมอย่างโหดเหี้ยมนั้น ถูกจุดขึ้นจากประเด็นเพียงเล็กน้อยและด้วยเวลาอันรวดเร็วเพียงใด ทั้งที่สื่อมวลชนเกือบทั้งหมด รวมทั้งดาวสยามเองนำเสนอข่าวการแสดงละครนี้ในวันที่ 5 ต.ค. เป็นเพียงข่าวเล็กๆ ที่แทบไม่ได้รับความสนใจ

รายละเอียดมีดังนี้



วันนี้ เมื่อ 36 ปีก่อน: 5 ตุลาคม 2519

...............


ทั้งพาดหัวและรายงานข่าวของ นสพ.ทุกฉบับ ที่วางตลาดในเช้าวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2519 ไม่มีวี่แวว หรืออะไรแม้แต่นิดเดียว ที่จะส่อให้เห็นว่า จะเกิดอะไรขึ้น ภายใน 24 ชม.ข้างหน้า

ทุกฉบับรายงานการ "ยกระดับ" การต่อต้านถนอม ที่นำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ในเย็นวันก่อนหน้านั้น (จันทร์ที่ 4) คือ มีการจัดชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงเป็นครั้งแรก แล้วการชุมนุม ได้ "ยืดเยื้อ" คือ ไม่สลาย แต่ผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนเข้ามาใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นที่ชุมนุมข้ามคืน "ยืดเยื้อ" ต่อ

แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นอะไรที่ "คาดเดาได้" เพราะสมัยนั้น ถ้ามีเรื่องประท้วงใหญ่มากๆ ก็จะลงเอยในลักษณะนี้ คือ นักศึกษาจัดชุมนุมยืดเยื้อในธรรมศาสตร์

ก่อนหน้านั้น เพียงเดือนเศษ ก็มีกรณีลักษณะนี้ เมื่อ ประภาส จารุเสถียร ลักลอบกลับเข้ามาในประเทศไทย

ความแตกต่าง คือ ครั้งถนอมนี้ การชุมนุมในลักษณะนี้ เริ่มช้ากว่า คือ เริ่มหลังจากถนอมเข้ามาแล้ว 2 สัปดาห์ ไมใช่ เริ่มทันที เหมือนครั้งประภาส

รายละเอียดที่ต่างกันออกไปบ้างอีกอย่างหนึ่ง คือ การชุมนุมยืดเยื้อในธรรมศาสตร์ เพื่อประท้วงถนอม ที่เริ่มขึ้นในเย็นวันที่ 4 ตุลาคม นี้ มีขึ้นพร้อมกับการเริ่มฤดูการสอบไล่ของนักศึกษาพอดี หมายความว่า นักศึกษาธรรมศาสตร์ ต้องงดการสอบไปโดยปริยาย

และเรื่องนี้เอง ที่นำไปสู่เหตุการณ์เล็กๆ ที่ไม่ได้มีใครสนใจหรือให้ความสำคัญมาก คือ การจัดชุมนุมภายในของนักศึกษาธรรมศาสตร์เอง ซึงส่วนใหญ่คือ นักศึกษาชั้นปี 1 ที่ทำกิจกรรม ที่ลานโพธิ์ ในตอนเที่ยงของวันเดียวกันนั้น เพื่อชักชวนให้นักศึกษาปี 1 ที่ต้องมาสอบทุกคน งดสอบ (ไม่ค่อยได้ผลนัก นักศึกษาธรรมดา ที่ไมใช่เด็กกิจกรรม ยังเข้าสอบต่อไป) มีการจัดแสดง "ละคร" หรือ "ฉาก" สั้นๆ ไม่กีนาที ประกอบ เพื่อเรียกร้องความสนใจ โดยหยิบเอาเหตุกาณณ์ ฆ่าแขวนคอ ช่างไฟฟ้า ที่นครปฐม 2 คน มาแสดง สลับกับการ "ไฮด์ปาร์ค" ย่อยๆ ด้วยเครื่องเสียงเล็กๆ

การจัดชุมนุมภายในของนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ว่านี้ เป็นเรือ่งกิจกรรมภายใน ที่นักกิจกรรมในธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะปี 1 "ทำกันเอง" ไม่ได้เป็นมติของ - หรือเกี่ยวข้องกับ - ศูนย์นิสิต

แน่นอนว่า นสพ.ทุกฉบับ ก็มาทำข่าว ถ่ายภาพกัน แต่ก็ไม่มีฉบับไหนให้ความสำคัญมาก

ไทยรัฐ ฉบับเช้าวันต่อมา (ดังทีแสดงให้เห็นในภาพ) ลงรูป ดร.ป๋วย มาห้ามปราม ให้เลิกชุมนุม หลังการชุมนุมดำเนินไป จนเรียกว่า เกือบจบแล้ว คือ หมดเวลาพักเที่ยง กำลังจะเริ่มการสอบ ตอนบ่ายโมงแล้ว ดร.ป๋วย ต้องการให้เลิก เพื่อไม่ให้รบกวนการสอบ (ถ้า ดร.ป๋วย ไม่มาห้ามปราม พวกเราเอง ก็คงอยู่กันต่ออีกไม่นาน ปล่อยให้นักศึกษา ที่สอบ สอบกันไป) แต่ละครเล็กๆ ที่ว่า ไทยรัฐ ก็ไม่รู้สึกน่าสนใจพอจะลง (จริงๆ ที่ลงรูปการชุมนุมนี้ ในหน้า 1 ก็คงเพราะมี ดร.ป๋วย มา "ปะทะนักศึกษา" ตามคำโปรยหัว ที่ออกจะ "เว่อร์" ของไทยรัฐ นันแหละ ลำพัง การชุมนุมเล็กๆแบบนี้ คงไม่เป็นข่าวอะไร)

นสพ. "ประชาชาติ" ลงรูป "ละคร" ที่แสดงเพื่อเรียกความสนใจที่วา เป็นรูปเล็กๆ แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เพราะไม่มีการบรรยายไว้ด้วยว่าเป็นรูปอะไร (นอกจากว่า "ส่วนภาพเล็ก เป็นการประท้วงของ นศ.ที่ลานโพธิ์" ใครที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เอง ก็ยากจะดูรู้เรื่องว่า ในภาพ เป็นอะไร) และก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร

ทีสำคัญ นสพ. ขวาจัด 2 ฉบับ ในขณะนั้น คือ ดาวสยาม กับ บ้านเมือง ไม่ให้ความสำคัญเลย จะเห็นว่า ไม่มีแม้แต่รูปอะไรเกี่ยวกับการชุมนุมของ นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ลานโพธิ์ และ "ละคร" ที่ว่าเลย

แต่ด้วยความบังเอิญ นสพ.ภาษาอังกฤษ Bangkok Post คงเห็นว่า ภาพ "ละคร" หรือ "ฉาก" ทีแสดงเรียกความสนใจนักศึกษาที่กำลังเข้าสอบทีว่า ออกมาแล้ว ดูเด่นดี เลยนำมาตีพิมพ์ในหน้า 1 และเป็น นสพ. ฉบับเดียวในเช้าวันอังคารที่ 5 ที่ลงภาพและเรื่องการแสดง "ละคร" ที่ว่านี้อย่างชัดเจน (ถ้าไม่นับ ประชาชาติ ที่ลงแต่รูปเล็กนิดเดียว แทบจะดูไม่ออก ดังกล่าว The Nation มีภาพละคร เช่นกัน แต่ถ่ายจากด้านข้าง)

และ Post ดูจะเป็นฉบับเดียว ที่ รู้สึกว่า "ละคร" นี้ แสดง "ได้ผล" หรือมี ผลสะเทือนต่อคนทีได้ดู ("It was just a mock hanging, but the effect was such that it created an eerie atmosphere at the Thammasat University campus...")

(ผมเดาว่า ส่วนหนึงที่ Post ให้ความสำคัญ กับ "ละคร" เพราะต้องการ "เล่น" ข่าว ที่ ศรีสุข อธิบดีกรมตำรวจ ออกมายอมรับว่า การ ฆาแขวนคอ ช่างไฟฟ้า 2 คน เป็นฝีมือตำรวจ - ดูพาดหัวตัวโต ของ Post ตามภาพ)


และก็ด้วยความบังเอิญ เช่นกัน ในเช้าวันอังคารที่ 5 นี้ กลุ่มฝ่ายขวา ทีแทบไม่มีใครสนใจ หรือรุ้จัก ที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มผู้รักชาติและชมรมแม่บ้าน" ไม่กี่ร้อยคน ที่ไม่พอใจ กับเรื่องที สมัคร สุนทรเวช และ สมบุญ ศิริธร "ปีกขวา" ประชาธิปัตย์ กำลังถูกกีดกันออกจาก ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ ที่เป็นข่าวต่อเนือ่งมาหลายวัน (ดูกระทู้ก่อนๆในซีรีส์นี้ ตาม links ข้างล่าง)

ได้พากันมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จนถึงประมาณหลังเที่ยงวันเล็กน้อย ใกล้จะเลิกชุมนุมอยู่แล้ว ก็บังเอิญ มีบางคนในหมุ่คนเหล่านี้ "เห็น" ขึ้นมาว่า ภาพในหน้า 1 Bangkok Post ดังกล่าว เป็นภาพอย่างอื่นที่ไมใช่เรื่องสะท้อนการแขวนคอช่างไฟฟ้าทีนครปฐม

ภายในไม่กีชัวโมง ในช่วงบ่ายถึงค่ำวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2519 ข่าวลือ เรือ่ง "นักศึกษา แขวนคอ หุ่น เหมือน ..." (นี่คือเนื้อหาของข่าวลือตอนแรก) ก็แพร่สะพัด ในหมู่พวกกำลังขวาจัดในขณะนั้น ราวกับไฟลามทุ่ง โดยมี นสพ. ดาวสยาม (ทีตอนแรก ไม่รู้สึกว่า ละคร ดังกล่าว มีอะไร พอจะรายงานในเช้าวันนั้น ด้วยซ้ำ) และ วิทยุ ยานเกราะ เป็นตัว จุดไฟ และช่วยกระพือ

ภายในไม่กี่ชัวโมง กำลังที่อยู่ในการควบคุมของพวกขวาจัด ได้รับการระดมกันขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งประเภทมวลชนจัดตั้ง (ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล) .. แต่ทีสำคัญ คือการเคลื่อนกำลังติดอาวุธ โดยเฉพาะในแวดวงตำรวจ และ ทีสำคัญทีสุด คือ ตำรวจ "พลร่ม" ตระเวนชายแดน ที่ถูกเคลื่อนกำลังเข้ามาจากหัวหินในกลางดึก (ตี 2) ของคืนวันอังคารที่ 5 ต่อเนื่องวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2519

เป้าหมายของการโจมตี คือ ธรรมศาสตร์ .....

 

 

อ่านรายละเอียดในวันที่ 1-4 ตุลาคม 2519 ได้ที่

"วันนี้ เมื่อ 36 ปีก่อน: 1 ตุลาคม 2519" http://goo.gl/4wknz
"วันนี้ เมื่อ 36 ปีก่อน: 2 ตุลาคม 2519" http://goo.gl/T3E9W
"วันนี้ เมื่อ 36 ปีก่อน: 3 ตุลาคม 2519" http://goo.gl/OkrRa
"วันนี้ เมื่อ 36 ปีก่อน: 4 ตุลาคม 2519" http://goo.gl/hekC

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ.ตั้ง 313 นายทหารคุมกำลังทั่วประเทศ

Posted: 04 Oct 2012 10:06 PM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เซ็นตั้ง 313 นายทหารหน่วยคุมกำลังสำคัญทั่วประเทศ ด้าน "พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด" เลื่อนจากผู้อำนวยการ เป็น รอง ผบ.รร.กิจการพลเรือน ทบ.

มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2555 ในคำสั่งกองทัพบกที่ 291/2555 ลงวันที่ 3 ต.ค. 55 เรื่อง "ให้นายทหารรับราชการและปรับเงินเดือน" จำนวน 313 นาย โดยมีการปรับเปลี่ยน ผบ.หน่วยรบ ทั้งหน่วย ทหารราบ ทหารม้า ทหารปืน รบพิเศษ ทั้งหมด ทั้งในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2รอ.) และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ปตอ.) และหน่วยรบพิเศษ

โดย มติชนออนไลน์ ตั้งข้อสังเกตว่า หน่วยทหารดังกล่าวเคยออกปฏิบัติภารกิจช่วงปี 2552 และ 2553 โดยมีนายทหารหลายคนที่ร่วมปฏิบัติภารกิจดังกล่าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญครั้งนี้ ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และอดีตโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เลื่อนตำแหน่งจาก ผอ.กองกิจการพลเรือนทบ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.รร.กิจการพลเรือน ทบ. โดยถือเป็นการขยับเป็นรองนายพล และสามารถที่จะขึ้นเป็น พล.ต. ได้ในการโยกย้ายครั้งต่อๆ ไป

ขณะที่หน่วยรบที่สำคัญ เช่น กองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะหน่วยคุมกำลังปฏิวัติ ได้มีการเปลี่ยนตัวหมด เช่น พ.อ.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ จาก ผบ.ร.1 รอ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.พล.1 รอ. แล้วให้ พ.อ.เอกรัตน์ ช้างแก้ว รอง ผบ.ร.1รอ. ขึ้นเป็น ผบ.ร.1 รอ. แทน พ.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้  ผบ.ร.31 รอ.ขึ้นเป็น รอง ผบ.พล.1 รอ. แล้วให้ พ.อ.วิรัฎฐ์ วงศ์จันทร์ นายทหารปฏิบัติการประจำ มทบ. 11 เป็น ผบ.ร.31 รอ. พ.อ.กันตภณ อัครานุรักษ์ ผอ.กยน.ทน.1 เป็น รองผบ.มทบ.11  พ.อ.ประวิตร ฉายะบุตร รองผบ.จทบ.ส.ก. เป็นรองผบ.มทบ.12 พ.อ.โอภาส อุตตรนคร ผอ.กองรร.จปร. เป็นรองผบ.จทบ.ส.ก. พ.อ.ดำริห์ สุขพันธุ์ รองผบ.จทบ.ส.บ. เป็น รองผบ.มทบ.13 พ.อ.ปราการ ปทะวานิช ผอ.กกร.ทภ.1 เป็นรองผบ.จทบ.ส.บ.

สำหรับคำสั่งโยกย้ายนายทหารดังกล่าวสามารถอ่านได้ที่นี่

AttachmentSize
คำสั่งกองทัพบกที่ 291/2555221.82 KB
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

"เนวิน" เน้นฟุตบอล ไม่กลับมาเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเพื่อไทยจะเลือก หน.พรรคใหม่แทน "ยงยุทธ" จันทร์นี้

Posted: 04 Oct 2012 09:19 PM PDT

อดีตแกนนำพรรคภูมิใจไทยกล่าวในวันเกิดของตัวเองว่าจะไม่กลับมาทำงานการเมืองแล้ว ตอนนี้มีความสุขกับการทำทีมฟุตบอล ทั้งนี้ยังเข้าใจด้วยว่าตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หากเล่นการเมืองโอกาสปรองดองคงไม่เกิดขึ้น จึงขอถอนตัว

หลังการลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทยของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และมติอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทยมีมติให้ไล่ออกจากราชการ และเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ 62 คนได้เข้าชื่อยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งนั้น

และเมื่อวานนี้ หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายงานว่า นายยงยุทธ ได้แถลงข่าวลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการแสดงสปิริตและสร้างมาตรฐานทางการเมือง

ล่าสุดวันนี้ (5 ต.ค.) นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม นี้ เวลา 09.00 น. ทางพรรคจะประชุมเพื่อสรรหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยจะใช้วิธีลงมติในที่ประชุมกรรมการบริหาร

 

เนวินบอกจะไม่กลับมาทำงานการเมืองแล้ว เน้นฟุตบอล

ขณะเดียวกัน ข่าวสดรายงานด้วยว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเปิดบ้านที่ จ.บุรีรัมย์ ให้บุคคลใกล้ชิดในวงการต่างๆ เข้าอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดว่า จะไม่กลับมาทำงานการเมืองแล้ว วันนี้ถือว่ามีความสุขกับการทำทีมฟุตบอล ซึ่งมีเป้าหมายให้นักกีฬาไทยเป็นสนามอาชีพในต่างประเทศ แต่หากใครมาปรึกษาเรื่องการเมืองก็พร้อมให้คำปรึกษา แต่จะไม่เข้าไปยุ่งหรือรับตำแหน่งใดๆ เพราะเข้าใจว่าตนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หากทำงานการเมืองจะมีปัญหามาก โอกาสเกิดความปรองดองคงไม่เกิดขึ้น จึงขอถอนตัว ซึ่งยอมรับว่าตนมีความขัดแย้งสูงกับผู้คนในสังคมการเมืองมากมายมหาศาล หากตนยังคงอยู่ในทางการเมือง ยิ่งจะทำให้ความแตกแยกมีมากขึ้น โอกาสที่บ้านเมืองจะสมานฉันท์ปรองดองไม่มีเลย

ส่วนการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยนั้น นายเนวินกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเหมาะสม ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะมีการเปลี่ยนแปลงคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อให้เกิดมิติใหม่ทางการเมือง ปราศจากความขัดแย้ง และทำให้ความรู้สึกทางการเมืองของประชาชนดีขึ้น หากยังเวียนว่ายตายเกิดในกลุ่มบุคคลเดิมๆ ความขัดแย้งก็ไม่จบสิ้น ความแตกแยกก็มากขึ้น ซึ่งตนขอออกจากความขัดแย้งนี้ 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

PATANI FORUM; สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยหยุดราชการในวันศุกร์

Posted: 04 Oct 2012 08:38 PM PDT

 

 สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยหยุดราชการประจำสัปดาห์ในวันศุกร์มาก่อน [เรื่องที่เขียนนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าเห็นด้วยกับการหยุดราชการวันศุกร์ และที่สำคัญสำหรับเรื่องนี้คือ วันหยุดราชการไม่ใช่วันหยุดทำงาน เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ]
 
- จากข้อเรียกร้องของผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดนราธิวาสที่ยื่นต่อคณะกรรมการสอดส่องภาวะการณ์สี่จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2490 (หนังสือข้อเรียกร้องลงวันที่ 5 เมษายน) และมีข้อเรียกร้องเดียวกันนี้จากตากใบและสุไหงโกลก ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นคราวเดียวกับ "ข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง" หากของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีที่มีหะยีสุหลงเป็นประธานไม่ได้เรียกร้องข้อนี้

- คณะกรรมการสอดส่องฯ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลเห็นด้วยและชี้แจงแก่ราษฎรในพื้นที่และนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2490 ครม. เห็นชอบด้วย
 
- แต่กว่าจะประกาศเรื่องวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ก็ล่วงมาปี 2491 หลังรัฐประหารและเปลี่ยนรัฐบาลมาสองรัฐบาล แน่นอนที่ช้าเพราะปัญหาการเมืองหลังกรณีสวรรคตรุมเร้าเหลือเกินกว่าที่จะสนใจปัญหาอื่นๆ
-ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ลว. 26 เม.ย. 91 ประกาศในราชกิจจาฯ 4 พ.ค. 2491) แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้สำหรับ 4 จัหวัดภาคใต้หยุดราชการในวันพฤหัสครึ่งวัน ตั้งแต่ 12.00 น. และหยุดวันศุกร์เต็มวัน
 
(ดูภาพประกอบ)

- จนถึงปี 2499 ที่รัฐบาลให้เปลี่ยนจากหยุดวันเสาร์ครึ่งวันกับวันอาทิตย์เต็มวัน เป็นวันพระเต็มวันกับวันอาทิตย์ ดังนั้นในพื้นที่ 4 จังหวัด จึงเปลี่ยนมาหยุดวันพระและวันศุกร์แทน


- เนื่องจากรัฐบาลต่อมาเห็นมาหยุดวันพระไม่เวิร์คให้กลับมาหยุดเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม ดังในปี 2500 พื้นที่ 4 จังหวัดจึงกลับมาหยุดวันพฤหัส ครึ่งวันและวันศุกร์เต็มวันเหมือนเดิม
 

- การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของการหยุดวันศุกร์คือปี 2502 เมื่อรัฐบาลให้หยุดราชการเต็มวันทั้งสองวัน ดังนั้นในพื้นที่ 4 จังหวัดจึงได้หยุดวันพฤหัสและวันศุกร์เต็มวันทั้งสองวันเช่นกัน


- การหยุดวันพฤหัสและวันศุกร์ใน 4 จังหวัดยกเลิกเมื่อปี 2506 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๐๖ ความว่า

ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า วันหยุดราชการประจำสัปดาห์สำหรับจังหวัดปัตตานี จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส ซึ่งกำหนดให้หยุดดราชการในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นั้นยังไม่เหมาะสม จึงลงมติให้แก้ไขวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ สำหรับจังหวัดปัตตานี จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เสียใหม่ โดยให้หยุดราชการประจำสัปดาห์ในวันเสาร์และวันอาทิตย์เต็มวันทั้งสองวันเช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖

(ลงชื่อ) จอมพล ส. ธนะรัชต์
(ส. ธนะรัชต์)
นายกรัฐมนตรี

- สรุปว่า 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยมีวันศุกร์ (และวันพฤหัสบดี) เป็นวันหยุดราชการประจำสัปดาห์เป็นระยะเวลาเกือบ 16 ปี
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หญิงซีเรียขอร้องฝ่ายกบฏอย่าบุกเมือง อัล-รัคคา

Posted: 04 Oct 2012 03:29 PM PDT

เมือง อัล-รัคคา สมญานาม 'แหล่งพักพิง' การปฏิวัติซีเรีย มีประชาชนอพยพหนีตายสงครามกลางเมืองไปอาศัยอยู่ 500,000 คน กำลังตกเป็นเป้าหมายใหม่ที่ฝ่ายกบฏต้องการเข้าไป 'ปลดปล่อย' 

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาสำนักข่าวอัลจาซีร่านำเสนอวีดิโอพร้อมรายงานข่าวสั้นความคืบหน้ากรณีการสู่รบระหว่างฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาลในซีเรีย ซึ่งฝ่ายกบฏกำลังวางแผนบุกเข้าโจมตีเมืองทางเหนือของซีเรียชื่อ อัล-รัคคา ซึ่งมีประชาชนชาวซีเรียพลัดถิ่นราว 500,000 คน อพยพเข้าไปอาศัยในเมือง และมีสตรีผู้หนึ่งกล่าวผ่านวีดิโอ ขอร้องให้ฝ่ายกบฏยกเลิกแผนการยึดเมืองนี้
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการอพยพของประชาชนเข้าไปในเมืองอัล-รัคคา ทำให้ตัวเลขประชาชนชาวเมือง อัล-รัคคา เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นสองเท่า
 
แอนดริว ซิมมอน ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่า อัล-รัคคา เป็นที่รู้จักกันดีฐานะ 'แหล่งพักพิง' ของการปฏิวัติซีเรีย ซึ่งฝ่ายกบฏได้รวมกำลังกันอยู่ภายนอกเมืองแล้ว ขณะที่ในเมืองกองกำลังฝ่ายรัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด ยังคงตรึงกำลังอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกันก็มีภาพแสดงให้เห็นประชาชนพลัดถิ่นของซีเรียมีชีวิตความเป็นอยู่ในสภาพย่ำแย่ มีเด็กถูกฆ่าเพื่อแย่งอาหาร, ผู้คนยื้อแย่งเมื่อความช่วยเหลือเข้ามา, อุปกรณ์ทางการแพทย์ขาดแคลน
 
นอกจากนี้ยังมีภาพวีดิโอ สตรีคลุมญิฮาบคนหนึ่งกล่าวขอร้องกลุ่มกบฏให้เลิกปฏิบัติการโจมตีเมือง อัล-รัคคา
 
"พวกเราไม่สามารถไปที่อื่นได้อีกแล้ว ไม่สามารถหนีจากการทำลายล้างได้อีก พวกคุณต้องการทำลายเมืองนี้ด้วยหรือ ฉันคือพี่น้องของพวกคุณจากเมืองดิแอร์ อัล ซอร์ ฉันขอร้องให้พวกคุณอย่าเข้าไปในอัล รัคคา" สตรีในวีดิโอกล่าว
 
ขณะที่กลุ่มนักกิจกรรมได้ขอให้ประชาชนอพยพออกมาจากเมือง อัล รัคคา เพื่อไปพบกับพวกเขาที่จุดนัดพบลับ นักกิจกรรมบอกอีกว่ากลุ่มกบฏควรหยุด
 
"ผมสนับสนุนกลุ่มกบฏปลดปล่อยซีเรีย (Free Syrian Army - FSA) แต่ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ผมยอมเอาตัวผมเป็นโล่กำบังเพื่อปกป้องเด็กๆ"
 
ทางด้านกลุ่มกบฏบอกว่า อัล-รัคคา เป็นเมืองสำคัญที่ต้องบุกยึด
 
"พวกเราจะบุกลงไปทางใต้ แล้วให้ประชาชนหนีออกไปทางตอนเหนือ ไปยังที่ๆ ปลอดภัย พวกเราจะพยายามปกป้องพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" อาบู อัสซาม ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายกบฏกล่าว "แต่มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องปฏิบัติการต่อไป ในการปลดปล่อยอัล-รัคคา" 
 
ตุรกีออกคำสั่งใก้กำลังกับซีเรีย หลังเหตุปืนครก ถล่ม ปชช. ตุรกี
เมื่อวันที่ 4 ต.ค. สำนักข่าวอนาโตเลียรายงานว่า สภาผู้แทนฯ ตุรกี มีมติอนุญาตให้ใช้กำลังข้ามพรมแดนซีเรียได้ หากรัฐบาลเห็นว่าจำเป็น หลังจากที่กองกำลังรัฐบาลซีเรียยิงปืนครกมาตกที่ชายแดนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเหตุให้มีประชาชนชาวตุรกีเสียชีวิต 5 ราย เป็นเด็ก 4 รายและผู้หญิงอีก 1 รายจากครอบครัวเดียวกัน
 
สภาตุรกีลงมติ 320 จาก 550 ให้ใช้กำลังข้ามพรมแดนได้ ซึ่งคำสั่งนี้กินเวลา 1 ปี โดย บีเซอร์ อตาเลย์ รองนายกฯ ตุรกี กล่าวว่าการออกคำสั่งครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการประกาศสงครามกับซีเรีย แต่มีเจตนาเพื่อยับยั้งความรุนแรงจากอีกฝ่าย บีเซอร์กล่าวอีกว่า ฝ่ายซีเรียยอมรับว่าตนเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวจริงและได้ขอโทษแล้ว
 
สื่อรัฐบาลตุรกีรายงานว่าการโจมตีด้วยปืนใหญ่ในเมืองอัคคาเคลยังคงดำเนินต่อมาถึงบัดนี้ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนในซีเรียรายงานว่ามีกองกำลังซีเรียหลายนายเสียชีวิตหลังจากที่ฝ่ายตุรกียิงปืนใหญ่โต้ตอบกลับใส่เมืองชายแดน ทัล อัล-อับบิยาด เมื่อคืนที่ผ่านมา
 
นายกรัฐมนตรีตุรกี เรเซป เทย์ยิบ เออร์โดแกน กล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวไม่ใช่การประกาศสงคราม แต่เป็นการเตือนรัฐบาลซีเรีย ซึ่งการโต้ตอบกลับจากตุรกีดำเนินมาเป็นวันที่สองแล้ว
 
อิบราฮิม คาลิน ที่ปรึกษาระดับสูงของนายกรัฐมนตรีตุรกี กล่าวว่าตุรกีจำต้องกระทำเพื่อปกป้องพรมแดน และจะโต้ตอบเมื่อจำเป็นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องการใช้มาตรการในทางการเมืองและทางการทูตต่อไป
 
องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต้ กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า พวกเขาอยู่ข้างประเทศสมาชิกอย่างตุรกี และเรียกร้องให้ซีเรียระงับการกระทำละเมิดกฏนานาชาติ
 
ทางด้านสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรทางการทหารของตุรกีได้มีการประชุมด่วนที่บรัสเซลเมื่อคืนที่ผ่านมา
 
การประชุมดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ 63 ปีของนาโต้ ที่ประเทศสมาชิกถูกเรียกประชุมกันในกรณีมาตรา 4 ของกฏบัตร ที่เป็นการประชุมหารือร่วมกันเมื่อประเทศสมาชิกรู้สึกว่าตนถูกรุกล้ำพื้นที่พรมแดน เอกราชทางการเมือง หรือมีภัยความมั่นคง
 
 
ที่มา เรียบเรียงจาก
Civilians plead with Syrian fighters, Aljazeera, 03-10-2012
 
Turkey authorises use of force in Syria, Aljazeera, 04-10-2012

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น