ประชาไท | Prachatai3.info |
- ไต่สวนการตาย 10 เมษา พยาน 2 ปากยันกระสุนสังหาร “ฮิโรยูกิ-วสันต์” มาจากทหาร
- ศาลปกครองกลางสั่ง "สตช.-สำนักนายกฯ" ชดใช้ผู้ชุมนุม พธม. กรณี 7 ตุลา
- อ่านอีกรอบ: จม.เล่าเหตุการณ์เช้ามืด 6 ตุลา จากหนังสือ'เราคือผู้บริสุทธิ์'
- กวีประชาไท: ไม่ใช่เรื่องบุญคุณ
- "บุญยอด" รับสภาฯ พาสื่อทัวร์ยุโรปไม่ผิดระเบียบ แต่ชี้ไม่เหมาะสม เดินหน้าตรวจสอบต่อ
- "สมาคมนักข่าวฯ" ประกาศ "สรยุทธ" พ้นสภาพสมาชิกก่อนนี้แล้ว
- สสส. ชวนสร้างจิตอาสา เยาวชน-บุคคลต้นแบบ กับ “หมอลำหุ่น” ที่มหาสารคาม
- "เมื่อได้ยินอะซาน...ทุกอย่างต้องยุติ" คำชี้แจง 'วันศุกร์' จุฬาราชมนตรี
- โสภณ พรโชคชัย: บีบีซีกล่าวหาส่งเดช ว่า กทม รถติดหนักสุด
- เฟซบุ๊กของ Bow Kittiwanno
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เปิด นสพ. เก่า อ่านชนวน 6 ตุลา ผ่านข่าวก่อนเกิดเหตุ
- ผบ.ทบ.ตั้ง 313 นายทหารคุมกำลังทั่วประเทศ
- "เนวิน" เน้นฟุตบอล ไม่กลับมาเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเพื่อไทยจะเลือก หน.พรรคใหม่แทน "ยงยุทธ" จันทร์นี้
- PATANI FORUM; สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยหยุดราชการในวันศุกร์
- หญิงซีเรียขอร้องฝ่ายกบฏอย่าบุกเมือง อัล-รัคคา
ไต่สวนการตาย 10 เมษา พยาน 2 ปากยันกระสุนสังหาร “ฮิโรยูกิ-วสันต์” มาจากทหาร Posted: 05 Oct 2012 10:53 AM PDT
5 ต.ค.55 ที่ห้องพิจารณา 403 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้(ผู้ตายที่ 1) สัญชาติ ญี่ปุ่น ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 รวมทั้ง นายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2) อายุ 39 ปี และนายทศชัย เมฆงามฟ้า(ผู้ตายที่ 3) อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิต ในเวลาและบริเวณใกล้เคียงกัน จากการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยในวันนี้ได้มีประจักษ์พยานในเหตุการณ์ 2 ปากมาเบิกความ คือ นายดำเนิน ยาท้วม อายุ 55 ปี นักวิชาการอิสระด้านการศึกษา และนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง อายุ 62 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นผู้ร่วมชุมนุม นปช. นายดำเนิน ยาท้วม เบิกความต่อศาลว่า วันที่ 10 เมษายาน 2553 เวลาประมาณ 15.00 น. มีผู้ชุมนุมจำนวนมากมาสังเกตการณ์กับพยานบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่งถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา โดยขณะนั้นแนวทหารอยู่ตรงกึ่งกลางของถนนดินสอ ตรงประตูหลังวัดบวรฯ โดยอยู่ด้านหลังรถหุ้มเกราะประมาณ 4-5 คันที่จอดขวางถนนหันหน้ารถและกระบอกปืนหันมาทางผู้ชุมนุม แนวทหารนั้นด้านหน้ามีโล่ ตะบอง ด้านหลังมีอาวุธปืนยาว ทหารถือโล่มีประมาณ 50 คน ส่วนถือปืนยาวประมาณ 20-30 คน จากนั้นเวลาผ่านไปเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนมาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยไม่ทราบเหตุผลที่ทหารพยายามเข้ามา พยานเบิกความต่อว่าจากนั้นได้ชวนผู้ชุมนุมมายืนขวางที่ทางม้าลายแรกตรงหัวถนนดินสอ ยืนประมาณ 200 คน ไม่มีการถืออาวุธ มีเพียงขวดน้ำและธง ช่วงนั้นไม่มีการ์ด นปช. รวมทั้งไม่มีชุดดำที่แฝงตัวเข้ามา ผู้ชุมนุมยืนกันเฉยๆ แต่ฝ่ายทหารไม่หยุดเคลื่อน จนกระทั่งเผชิญหน้าและผลักดันกัน สักครู่ทหารแถวหลังยิงปืนยาวขึ้นฟ้า หลังจากนั้นรถติดเครื่องขยายเสียงของทหารประกาศว่า "ขอให้หยุดการชุมนุม" ผู้ชุมนุมก็ยังอยู่และไม่ได้ผลักดัน สักครู่มีนายยศวฤทธิ์ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แกนนำ นปช. มาพร้อมรถเครื่องเสียงด้านหลังแนวผู้ชุมนุมประกาศเจรจากับหัวหน้าหน่วยทหาร แต่ฝ่ายทหารกลับไม่ตอบรับจึงไม่มีการเจรจา นายดำเนิน เบิกความว่า เวลา 16.00 น. ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์บินมาเหนือหัวพร้อมโปรยแผ่นใบปลิวให้ยุติการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุม นปช.ไม่ได้ยุติ หลังจากนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็บินวนมาและโปรยแก๊สน้ำตา หลายจุดรวมทั้งจุดที่พยานอยู่ ทำให้พยานโดนแก๊สน้ำตาด้วย หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้หาน้ำล้างหน้า แต่มีบางส่วนที่ยังอยู่ประจันหน้ากับทหารที่เดิม เช่นเดียวกับทหารที่ยังอยู่ตรงนั้น ซึ่งเครื่องบินทิ้งแก๊สน้ำตาหลายรอบ ส่วนใหญ่ทิ้งตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนกระทั่งเวลา 17.00 น. พยานได้ขยับไปที่สะพานผ่านฟ้า โดยผู้ชุมนุมยังคงอยู่หัวถนนดินสอ ใกล้ 18.00 น. เฮลิคอปเตอร์ทิ้งแก๊สน้ำตามาลงที่สะพานผ่านฟ้าฯ บริเวณหน้าเวทีจำนวนมาก จึงหลบแถวนั้น จนกระทั่งบนเวทีบอกว่ารถโมบายจากราชประสงค์พร้อมผู้ชุมนุมจะมาช่วย เพราะกลัวว่าจะยันกับทหารไม่อยู่ ประมาณ 20.00 น.รถจากราชประสงค์มาถึง ขณะนั้นไม่มีการโปรยแก๊สน้ำตา และ ประมาณ 20.30 น. รถโมบายได้เคลื่อนไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานจึงเดินนำหน้ารถไปด้วย เมื่อไปถึงเห็นเจ้าหน้าที่ทหารยังคงปักหลักที่จุดเดิมตรงหัวถนนดินสอ โดยมีผู้ชุมนุมยืนปักหลักยันกับทหารไว้ ซึ่งบริเวณนั้นมีไฟสาธารณะสว่างมองเห็นได้ชัด ผู้ที่มากับรถโมบายคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ประกาศว่ามาช่วยแล้ว นายดำเนิน เบิกความต่อว่า ขณะนั้นในส่วนของทหารแนวหลังบริเวณประตูหลังวัดบวร ถนนดินสอ มีทหารเข้ามาประจำเพิ่มขึ้น โดยยืนเป็นแนวทั้งบนถนนและฟุตบาททั้ง 2 ข้าง ทหารแนวหลังจะถือเพียงอาวุธปืนยาว 40-50 นาย ห่างจากจุดที่ผู้ชุมนุมดันกับทหารประมาณ 50 เมตร และอยู่หลังรถหุ้มเกราะ ซึ่งตรงนั้นมีไฟฟ้าสาธารณะจึงสว่างมองเห็นได้ชัดว่าทหารถือปืนยาวและถือยกปลายกระบอกปืนเฉียงขึ้นฟ้าตรียมพร้อม พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เมื่อมาถึงได้ประกาศให้เปิดเพลงมัน ๆ แต่เล่นเพลงยังไม่ทันจบก็เกิดการปะทะกัน โดยทหารที่ถือปืนด้วยนั้นได้ยิงปืนขึ้นฟ้า ทั้งนี้แนวทหารมีทหารแนวหน้าจะถือโล่และตะบองไม้ ถัดไปเป็นรถหุ้มเกราะ ต่อด้วยทหารถือปืนยาว และทหารถือปืนยาวแนวหลังสุดอีกตรงบริเวณหน้าประตูวัดบวร ขณะที่ทหารยิงปืนขึ้นฟ้า หลังจากนั้นมีเสียงดังมาก 2 ครั้ง คลายระเบิดห่างกัน ครึ่งนาที ด้านหน้าพยานและใกล้จนร่างกายสะเทือน หลังจากนั้น ผู้ชุมนุม นปช. เดินรุกขึ้นหน้าเข้าไป ในขณะที่ทหารถอยร่น พยานก็เคลื่อนตามไปด้วย หลังเสียงดัง 2 ครั้งนั้นทั้งผู้ชุมนุมและทหารล้มกันหลายคน ตั้งแต่บริเวณหัวถนนดินสอ แต่ขณะนั้นพยานไม่ทราบว่าบาดเจ็บหรือไม่ ในระหว่างที่ ผู้ชุมนุม นปช. เดินเข้าไปนั้น มีชายคนหนึ่งใส่เสื้อแดงนุ่งกางเกงเข้มถือธง นปช. สีแดง ด้านหน้าของพยานที่ช่วงแรกเขาหันหน้าทางทหาร หลังจากนั้นหันทางขวามือหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ด้ามธงอยู่กับพื้น หลังจากนั้นเห็นทรุดตัวล้มลง เห็นสมองและเลือดไหลมาตามพื้น อยู่ห่างจากพยานประมาณ 15-20 เมตร ช่วงนั้นมีเสียงอาวุธปืนจากทหารที่อยู่หน้าประตูหลังวัดบวร ได้ยินทั้งก่อน และหลังจากชายคนดังกล่าวล้มต่อเนื่องอีกนาน โดยมีประกายไฟสีส้มและสีเขียวที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนที่อยู่ตรงนั้น ทิศทางที่ตรงมายังผู้ชุมนุมและขึ้นฟ้า พยานเบิกความด้วยว่าขณะนั้นฝังด้านหลังของพยานไม่ได้ยินเสียงปืน รวมทั้งด้านข้างก็ไม่เห็นประกายไฟ มีเพียงด้านหน้าที่ปรากฏประกายไฟ ซึ่งมีเสียงหลายแบบทั้งปั้งๆ แปะๆ และรัว แต่ยิงขึ้นฟ้ามีมากกว่าตรงมายังฝั่งผู้ชุมนุม ตอนนั้นเข้าใจว่าชายที่ถือธงถูกยิงเป็นกระสุนจริงจากเจ้าหน้าที่ทหาร นอกจากชายคนนี้แล้ว ขณะนั้นก็เห็นผู้ชุมนุมรายอื่นล้มลงด้วย แต่จำรายละเอียดไม่ได้ หลังจากนั้นเมื่อทราบว่ามีคนตายจริง จึงวิ่งย้อนกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อแจ้ง พ.ต.ท.ไวพจน์ ว่าทหารใช้กระสุนจริง และมีคนตาย พ.ต.ท.ไวพจน์ จึงได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเข้าไปนำร่างผู้ตายออกมา หลังจากนั้น พยานได้กลับเข้าไปโดยคลานเข้าไปทางฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังโดยตลอด ขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมมีเพียงหนีกับวิ่งหลบ ไม่เห็นการ์ด นปช.หรือการตอบโต้จากผู้ชุมนุม ขณะเข้าไปฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา ประมาณครึ่งทางระหว่างทางม้าลายแรกและอันที่สอง เห็นผู้ชุมนุมหามร่างชายชุดสีครีม ที่เห็นมาก่อนว่าเป็นผู้สื่อข่าวโดยไม่ทราบว่าเป็นสื่อไหน พยานไม่ทราบว่าถูกยิงล้มลงตรงไหน แต่ทราบภายหลังจากการประกาศบนเวทีว่าชื่อ ฮิโรยูกิ นักข่าวญี่ปุ่น ส่วนขณะนั้นร่างชายถือธงแดงนั้นยังนอนอยู่ที่เดิมเพราะไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ ขณะคลานอยู่บนบาทวิถีหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาได้ยินเสียงปืนตลอดประมาณครึ่งชั่วโมงที่พยานคลานเข้าออก โดยขณะนั้นทหารถอยไปหมดถึงแนวหลังวัดบวรแล้ว โดยช่องว่างระหว่าง ทหารกับผู้ชุมนุมขณะนั้นประมาณ 50 เมตร นายดำเนิน เบิกความด้วยว่าไม่เห็นทหารบาดเจ็บจากอาวุธปืน เห็นเพียงทหารล้มลงจากเสียงดัง 2 ครั้งและประคองทหารด้วยกันถอยไป แม้จะมีเสียงอาวุธปืนดัง พยานเห็นผู้ชุมนุมพยายามฝ่าเข้าไปยังทิศทางของทหาร สำหรับร่างของชายถือธงหรือนายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2) กว่าจะมีการนำออกมาจากจุดเกิดเหตุได้ต้องรอจนหลังจากเสียงปืนสงบ 1 ชั่วโมง ซึ่งทหารถอยไปจนสุดถนนใกล้สะพานวันชาติ ทางแกนนำส่งการ์ดมาเอาศพนายวสันต์ ภู่ทอง ออกมา พยานเบิกความด้วยว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินใน วันที่ 7 เม.ย. 53 ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือไม่สงบ ส่วนเหตุการณ์ในวันนั้นหากไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาสลายการชุมนุมก็จะไม่มีการตายและเจ็บเกิดขึ้น อีกทั้งก่อนโปรยแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ เจ้าหน้าที่ทหารมีการแจ้งเตือนว่าจะสลายการชุมนุมโดยใช้เพียงรถกระจายเสียงที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเท่านั้น ไม่ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมที่อยู่ส่วนอื่นทราบรวมทั้งไม่ได้แจ้งด้วยว่าจะใช้อาวุธปืนหรือโปรยแก๊สน้ำตา อีกทั้งยังไม่ได้แจ้งช่องทางให้ผู้ชุมนุมหลบหากมีการโปรยแก็สน้ำตาด้วย นายดำเนิน เบิกความว่าขณะเกิดเหตุหากมองจากฝั่งทหารหน้าประตูวัดบวรนั้นคิดว่าทหารสามารถมองมายังผู้ชุมนุมเห็นได้ชัด เพราะจากฝั่งที่พยานอยู่มองไปยังทหารเห็นได้ชัดว่าถือปืนหรือทำอะไรอยู่ และอยู่ห่างกันไม่มากนัก นายดำเนิน ยังยืนยันด้วยว่าในขณะที่มีการปะทะกันไม่พบชายชุดดำ และคิดว่าการที่ทหารยิงใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
หลังจากนั้นในช่วงบ่าย นายไพบูลย์ น้อยเพ็ง พยานอีกปากในวันนี้ได้เข้าเบิกความว่า ในที่เกิดเหตุเวลา 17.00 น. รถของฝั่งทหารที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยาซึ่งประกอบด้วยรถหุ้มเกราะ รถฮัมวี่และรถยูนิม็อก รวมทั้งหมด 12 คัน แบ่งเป็น 4 แถวๆ ละ 3 คน รถหุ้มเกราะแต่ละคันมีนายทหารประจำและมีการถือปืนสั้น ส่วนทหารอื่นจะมีปืนยาว ซึ่งอยู่ทั้งด้านหลังและระหว่างรถถังเต็มไปหมด ทหารมีอาวุธเป็นโล่ ตะบองไม้และสะพายอาวุธปืน ประมาณ 100 นาย ขณะนั้นผู้ชุมนุมยืนประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหารเฉยๆ พยานเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและโปรยแก๊สน้ำตาลงมา ผู้ชุมนุมที่โดนแก๊สน้ำตาก็กระจายตัวกัน ส่วนทหารใส่หน้ากากกันแก๊สน้ำตา มีการโปรยใบปลิวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีข้อความให้ผู้ชุมนุมสลายการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมไม่สลายการชุมนุมและยังคงยืนที่เดิมบริเวณหัวมุมถนนดินสอ เช่นเดียวกับทหารที่ยังคงประจันหน้าอยู่จุดเดิม พยานมาอยู่ด้านหน้าใส่เสื้อแดงถือร่มสีม่วง นุ่งกางเกงยีนส์หนา ซึ่งมีภาพข่าวหนังสือพิมพ์วันที่ 11 เม.ย.53 หน้า 1 มติชนยืนยัน นายไพบูลย์ เบิกความต่อว่า ถึงเวลา 18.00 น. หลังเคารพธงชาติ ทหารเปิดเพลงปลุกใจและเพลงพระราชนิพนธ์ จนกระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. รถถัง 3 คันแรกด้านหน้าได้ติดเครื่องขยับไปมา ทำให้ผู้ชุมนุมตกใจถอยออกมาและทหารขยับมาด้านหน้ารถถัง จากการเกิดช่องว่างระหว่างรถถังกับผู้ชุมนุม ทหารประมาณหลักร้อย ถือตะบองและโล่และอาวุธปืนยาว M 16 และลูกซอง หลังจากนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. ผู้ชุมนุมจากผ่านฟ้าเข้ามาสมทบ ผู้ชุมนุมจึงเข้าไปผลักดันทหาร โดยไม่มีอาวุธ ทหารด้านหลังรถถังได้ขว้างแก๊สน้ำตา แต่ขณะนั้นลมพัดไปทางทหาร ผู้ชุมนุมจึงผลักดันทหารเข้าไปจนกระทั่งไปถึงหน้ารถถัง ทหารก็มีชุดใหม่เข้ามาแทน โดยผู้ชุมนุมยังดันกับทหารต่อเนื่อง ขณะที่เสียงปืนดังตลอดเวลามาจากฝั่งทหารเนื่องจากเห็นแสงมาจากปากกระบอกปืน ส่วนด้านข้างหรือฝั่งผู้ชุมนุมไม่มี โดยทหารมีทั้งยิงขึ้นฟ้าและตรงมาทางผู้ชุมนุม เวลาประมาณ 20.40 น. ขณะที่ผู้ชุมนุมยันกับทหาร ทหารบนรถหุ้มเกราะชักปืนสั้นยิงทั้งขึ้นฟ้าและยิงมาทางผู้ชุมนุมด้วยแต่ไม่ทราบว่ามีใครถูกกระสุนหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามในขณะนั้นพยานคิดว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารใช้กระสุนปลอมจึงไม่กลัวและผลักดันทหารต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.50 น. ได้ยินเสียงดังมาก 2 ครั้ง ห่างกัน 20 วินาที บริเวณใกล้ตัวพยานเอง แต่พยานเพียงแน่นหน้าอกจึงไม่คิดว่าเป็นระเบิดเพราะถ้าเป็นระเบิดพยานน่าจะได้รับบาดเจ็บ จุดที่เกิดเสียงดังนั้นเป็นจุดที่ทหารอยู่ หลังจากนั้นทหารจึงวิ่งถอยไปทางสะพานวันชาติ หลังจากนั้นมีรถแกนนำคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เข้ามาพร้อมประกาศว่า "ทหารอย่าทำร้ายประชาชน และประชาชนอย่าทำร้ายทหาร" ผู้ชุมนุมจึงเกิดกำลังใจและผลักดันทหารในขณะที่เสียงปืนดังขึ้นตลอด ทหารที่อยู่ในรถหุ้มเกราะพร้อมด้วยรถหุ้มเกราะได้ถอยไปทางสะพานวันชาติ และมีผู้ชุมนุมหามร่างคนไปที่รถมูลนิธิ แต่จะถูกยิงหรือไม่ ขณะนั้นไม่ทราบ เพราะผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ตัวพยานนั้นไม่มีใครถูกยิงในขณะนั้น จากนั้นได้เดินไปตามบาทวิถีฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา เห็นทหารยิงขึ้นฟ้าและยิงมาทางผู้ชุมนุม ตอนนั้นตัวพยานยังคิดว่าเป็นกระสุนปลอม
พยาน เบิกความต่อว่า หลังจากนั้นพยานได้เดินถึงทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยาเจอนักข่าว(ฮิโรยูกิ ผู้ตายที่ 1)ที่เข้าใจว่าเป็นนักข่าวเนื่องจากมีการถือกล้องขนาดใหญ่ถ่ายอยู่และมีการถ่ายตัวพยานด้วย พยานได้เดินเลยนักข่าวคนนี้ไป ทำให้นักข่าวอยู่ด้านหลัง พยานได้หยุดเดินต่อเนื่องจากบริเวณทางเข้าโรงเรียนวัดบวรนั้นทหารได้ตั้งแถวขวางถนนดินสอ พร้อมกับเล็งปืนมาทางผู้ชุมนุม และมีเสียงปืนมาทางผู้ชุมนุม จนกระทั่งเวลาก่อน 21.00 น.เล็กน้อย ได้ยินเสียงร้องด้านหลังขอความช่วยเหลือว่า "โอ้ยหมอ" จึงหันไปเห็นทหารนอนเจ็บอยู่ 2 คน ซึ่งอยู่ตรงท้ายรถปิกอัพ สีขาว ซึ่งขณะนั้นมีผู้ชุมนุมช่วยเหลือทหารอยู่ 3-4 คน และพยานได้ร้องขอให้ผู้ชุมนุมเข้าไปช่วย จึงมีผู้ชุมนุมเข้าไปช่วยประมาณ 7 คน ในจำนวนนั้นมีนายจรูญ ฉายแม้น ซึ่งเสียชีวิตภายหลังเข้าไปด้วย รวมทั้งเห็นอีกคนที่ถือธงสีแดงภายหลังทราบว่าเป็นนายวสันต์ ภู่ทอง(ผู้ตายที่ 2)เข้ามาด้วย ผู้ชุมนุมเข้าไปเพื่อยกให้ทหารที่นอนอยู่นั่งขึ้น พร้อมกับตะโกนให้ทหารออกไป โดยนายวสันต์โบกธงเพื่อไม่ให้ทหารยิง และเดินห่างจากพยานไป 4 ก้าว ก็ล้มลงเท้าเฉียงไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หัวไปทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยาตรงทางม้าลาย ขณะนั้นทราบว่าถูกยิงที่หัวเนื่องจากมีสมองและเลือดกระเด็นออกมา พอเห็นเช่นนั้นผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้นรวมทั้งพยานต่างตกใจ หลังจากนั้นตัวพยานถูกยิงที่ขาก่อนที่จะวิ่ง 3 ก้าวแล้วล้มลงหน้าทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา ก่อนที่พยานจะล้มนั้นหันไปเห็นนักข่าว(ฮิโรยูกิ)กำลังถ่ายภาพทหาร 2 คนที่บาดเจ็บอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา หันหลังให้ทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา ยืนตรงประตูทางเข้าโรงเรียนมือซ้ายยกขึ้นจับกล้องในท่าถ่ายและลำตัวด้านซ้ายไปทางสะพานวันชาติ พอพยานล้มนักข่าวคนดังกล่าวก็ล้มตาม ห่างจากพยานประมาณ 3 เมตร ได้ยินเสียงกล้องกระแทกพื้น ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนตลอด หลังจากนั้นมีชายชุดขาววิ่งมาทางนักข่าวและล้มลง รวมทั้งมองไปทางฝังตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาที่มีทหาร 2 คนบาดเจ็บอยู่นั้นมีอีกหลายคนที่ล้มลง รวมทั้งรอบๆ ที่ร่างนายวสันต์นอนอยู่ก็มีคนล้มด้วย ขณะนั้นมองไปยังฝั่งทหารหน้าทางเข้าโรงเรียนวัดบวรก่อนถึงสะพานวันชาตินั้นมีประกายไฟจากปากกระบอกปืนมาทางฝังผู้ชุมนุมและสะพานวันชาติ หลังจากที่พยานดูตัวเองพบว่าถูกยิงโดยกระสุนยางแล้วยังนอนตรงนั้นประมาณ 2 นาทีก็วิ่งไปหลบตรงต้นไม้และตู้โทรศัพท์ ในขณะนั้นเสียงปืนก็ยังคงดังอยู่จนกระทั้งผู้ชุมนุมหลบหมดเสียงปืนจึงสงบลง ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมอีกชุดเดินมาบนบาทวิถีจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาเพื่อช่วยเหลือทหาร แต่กลับถูกยิงได้รับบาดเจ็บ จนกระทั้งมีคนตะโกนบอกว่า "อย่ายิง ให้รายงานผู้บังคับบัญชาว่ามีทหารบาดเจ็บ" หลังจากนั้นประมาณ 1 นาทีมีทหารจากทางสะพานวันชาติ 5 คน มาช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตอนนั้นไม่มีเสียงปืนแล้ว ทหารจึงถอยไปถึงสะพานวันชาติ นายไพบูลย์ เบิกความว่าต่อจากนั้นผู้ชุมนุมที่หลบอยู่ก็ออกมาล้อมรถหุ้มเกราะ และมีบางคนได้หย่อนตัวลงไปในรถแล้วเอาเสื้อไปเปลี่ยนให้ทหารที่อยู่ในรถ ซึ่งพยานคิดว่าคนที่เข้าไปช่วยน่าจะเป็นทหารที่ปลอมตัวมาปะปนกับผู้ชุมนุม ที่สามารถนำทหารที่อยู่ในรถหุ้มเกราะกลับไปฝั่งทหารได้ 3 คน เหลือคนที่ 4 ที่ถูกผู้ชุมนุมคัดค้าน ทำให้ผู้ชุมนุมนำเอาทหารไปที่เวที ส่วน 3 คนที่สามารถเอาทหารออกไปได้นั้นคนที่พาทหารออกไปก็ไม่ได้กลับมา บางคนใส่กางเกงลายพรางด้วย โดยพยานนั่งสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้นจนถึง 21.00 น. เศษ จึงเดินเข้าไปที่จุดที่ทหารเคยอยู่ตรงทางเข้าประตูโรงเรียนวัดบวร พร้อมกับผู้ชุมนุมที่ตามเข้ามาด้วยพบบริเวณนั้นมีปลอกกระสุนทั้ง M16 และลูกซองจำนวนมาก นอกจากนี้พยานได้เดินสำรวจถนนดินสอ พบรอยคลายรอยกระสุนปืนบริเวณรถทหาร รถผู้ชุมนุม ประตูและกำแพงอาคารข้างถนน เสาไฟ ป้าย รวมทั้งตัวอนุสาวรีย์ฝังโรงเรียนสตรีวิทยา อยู่ในระดับตั้งแต่หัวเข่าจนเลยศีรษะ ประมาณ 140 รอย
ทั้งนี้การสืบนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง จนถึงเวลา 16.30 น. ทนายญาติผู้เสียชีวิตได้ร้องขอต่อศาลเพื่อสืบนายไพบูลย์ ต่อในนัดถัดไป ศาลจึงได้อนุญาตให้มีการไต่สวนนายไพบูลย์ ในนัดหน้าวันที่ 17 ต.ค.55 ต่อ โดยจะมีการเปิดวีดีโอคลิปที่มีพยานปรากฏในเหตุการณ์เพื่อยืนยันด้วย
แผนที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา :
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ศาลปกครองกลางสั่ง "สตช.-สำนักนายกฯ" ชดใช้ผู้ชุมนุม พธม. กรณี 7 ตุลา Posted: 05 Oct 2012 10:08 AM PDT ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ สตช.และสำนักนายกฯ ชดใช้ให้กับผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 250 ราย จากกรณีตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม.ที่ล้อมสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ วันที่ 5 ตุลาคม นางสิริกาญจน์ พานพิทักษ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนและองค์คณะ มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 1569/2552 ที่นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ กับพวกรวม 250 ราย ซึ่งเป็นประชาชนที่สูญเสียอวัยวะสำคัญและได้รับบาดเจ็บ จากกรณีเจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เรื่องหน่วยงานทางปกครองกระทำละเมิด จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม. ที่ล้อมบริเวณรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้นำอาวุธชนิดต่างๆ ที่มีอันตรายมาในการสลายการชุมนุม โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการมาตรฐานสากล จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญฯปี 2550 มาตรา 63 บัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพการชุมนุมได้โดยสงบและปราศจากอาวุธ ขณะที่ข้อเท็จจริงจากพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และฝ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ตามรายงานตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ยืนยันสอดคล้องต้องกันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น. ได้นำอาวุธปืนวัตถุระเบิดชนิดต่างๆ ซึ่งมีอันตรายโดยสภาพมาใช้ในการสลายการชุมนุม โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล ที่ต้องเริ่มจากการเจรจาการต่อรอง หากไม่สำเร็จ จึงจะใช้มาตรการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก โดยใช้โล่กำบังผลักดันผู้ชุมนุม ถ้าไม่ได้ผลให้ใช้น้ำฉีดจากรถดับเพลิงเพื่อเปิดทาง หากไม่ได้ผล จึงให้ใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องประกาศถึงขั้นตอนดังกล่าวให้ผู้ชุมนุมทราบก่อน จากคำให้การของผู้ชุมนุม ผู้ฟ้องคดี ผู้ร้องสอด กลุ่มสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่พยาบาลและทีมแพทย์สนามยืนยันว่า ไม่ได้ยินเสียงประกาศแจ้งเตือนแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้มาตรการการควบคุมผู้ชุมนุมจากเบาไปหาหนักตามแผนที่วางไว้ ขณะที่ น.อ.อ.พงษ์ศักดิ์ เกื้อการุณ ผู้อำนวยการกองวิทยาการ กรมสรรพาวุธทหารอากาศ ยืนยันว่า การใช้แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง ต้องขว้างให้ตกจากฝูงชนมากกว่า 3 เมตร ในทิศเหนือลม ส่วนการยิงควรใช้มุมยิง 25-45 องศา ให้ห่างจากฝูงชน 60-90 เมตร ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ควรเล็งไปยังบุคคลโดยตรง แต่ข้อเท็จจริงจากพยานกลุ่มต่างๆ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงและขว้างแก๊สน้ำตาไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมโดยตรง และยิงใส่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่มีเครื่องหมายกาชาดไทย ที่สามารถมองเห็นได้ไกลถึง 100 เมตร ขณะที่ผลการทดสอบขว้างแก๊สน้ำตาที่ใช้ในการสลายการชุมนุมพบว่า ทำให้พื้นสนามเป็นหลุม ขนาด 8 คูณ 8 คูณ 3 เซนติเมตร และเป็นหลุมขนาด 16 คูณ 16 คูณ 8 เซนติเมตร และพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฉีกทำลายล้าง หากเกิดกับร่างกายมนุษย์ย่อมฉีกขาดและทำลายอวัยวะได้เช่นกัน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังมีทัศนคติในทางลบกับผู้ชุมนุม ผ่านคำพูดในการเข้าสลายการชุมนุมว่า "มันอยู่ได้ ให้มันอยู่ไป ยิงเข้าไป เดินเข้าไป ลุยเข้าไป" "บาดแผลแค่นี้ไม่ตายหรอก" แสดงให้เห็นว่าแผนกรกฏ 2548 ที่นำมาใช้เป็นเพียงการอ้างหลักตามมาตรฐานสากล แต่การปฏิบัติงานจริงไม่ได้เป็นไปตามหลักการให้ความเมตตาผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างตามที่เขียนแผนปฏิบัติการไว้ เมื่อข้อเท็จจริงยังรับฟังได้เป็นที่ยุติว่ารัฐสภาปิดการประชุมตั้งแต่เวลา 11.30 น. โดย ส.ส.และคณะรัฐมนตรี ออกจากสภาเสร็จสิ้นตั้งแต่เวลา 18.00 น.แล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะสลายการชุมนุมในช่วงเวลา 18.00-24.00 น. แต่อย่างใด และเมื่อพิเคราะห์ผลการพิจารณาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และความเห็นของคณะกรรมการป้องกันละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงเห็นว่าการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด ตร.ผู้ถูกฟ้องที่ 1 เป็นการกระทำโดยจงใจ กระทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายต่อผู้ชุมนุม ข้ออ้างที่ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ระบุว่า การใช้แก๊สน้ำตาเพราะผู้ชุมนุมใช้หนังสติ๊กยิงด้วยลูกแก้ว กระบอง ธงด้ามเหล็ก ไม้เบสบอล ทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหลายนายนั้น เห็นว่าการใช้แก๊สน้ำตายิงและขว้างของเจ้าหน้าที่และการใช้อาวุธปืนชนิดต่างๆ ยิงทำร้ายผู้ร่วมชุมนุม ได้รับอันตรายถึงชีวิตและบาดเจ็บรวม 1,003 คน ส่วนเจ้าหน้าตำรวจได้รับบาดเจ็บเพียง 78 นาย โดยสาหัส 9 นาย ขณะที่ข้อเท็จจริงพบว่าในวันดังกล่าวมีผู้ชุมนุมหลายหมื่นคน หากผู้ชุมนุมถูกปลุกระดมให้ทำร้ายหรือทำลายสถานที่ราชการ หรือบุกจับ ส.ส.และ ครม.ตามที่อ้าง ลำพังกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 2,500 นาย คงไม่อาจต้านทานได้ ดังนั้น ข้ออ้างว่ามีการทำลายสถานที่ราชการบุกจับตัวประกันจึงเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับเหตุสลายการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรูปแบบ ขั้นตอนความแบบกรกฎาคม 2548 ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว สังกัดผู้ถูกฟ้องที่ 1 ต่างยืนยันสอดคล้องกันว่า นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น สังกัดผู้ถูกฟ้องที่ 2 ประชุม ครม.และมีมติในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ว่าจะต้องประชุมรัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และสั่งการให้ผู้ถูกสั่งฟ้องที่ 1 ผลักดันผู้ร่วมชุมนุมที่ปิดล้อมรัฐสภาให้ออกไป เพื่อจะให้มีการแถลงนโยบายในวันดังกล่าวให้ได้ ดังนั้น เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตร.สังกัดผู้ถูกร้องที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อผู้ชุมนุม แล้วผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของนายสมชาย พล.อ.ชวลิต และ พล.ต.อ.พัชรวาท จึงต้องรับผิดที่เกิดจากการกระทำละเมิดเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งในการสลายการชุมนุมเกิดตั้งแต่เช้าถึงค่ำรวม 4 ครั้ง แต่นายสมชาย นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจ แม้จะประชุมสภาเสร็จในเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ก็ยังคงใช้กำลังและอาวุธในการสลายการชุมนุม ผู้ถูกฟ้องทั้งสองจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ฟ้อง ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายให้กับผู้รับความเสียหายนั้นตามมติ ครม.วันที่ 10 มกราคม 2555 เรื่องข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมให้การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ และผู้เสียหายตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งศาลเห็นควรให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 ชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ฟ้องที่ 1 เป็นเงิน 5,190,964.80 บาท ผู้ฟ้องที่ 2 จำนวน 2,250,650 บาท ผู้ฟ้องที่ 3 จำนวน 1 แสนบาท ผู้ฟ้องที่ 4 จำนวน 160,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 5 เป็นเงิน 256,435 บาท ผู้ฟ้องที่ 6 จำนวน 3,711,894 บาท ผู้ฟ้องที่ 7 จำนวน 30,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 8 จำนวน 3,053,363 บาท ผู้ฟ้องที่ 9 จำนวน 3,303,540 บาท ผู้ฟ้องที่ 10 จำนวน 165,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 11 จำนวน 120,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 12 จำนวน 524,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 13 จำนวน 75,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 14-19 และ 22 รวม 7 ราย รายละ 50,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 20 จำนวน 155,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 21 จำนวน 70,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 23 จำนวน 300,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 24-25 รายละ 120,000 บาท ผู้ฟ้องที่ 28 จำนวน 1,942,710 บาท ผู้ฟ้องที่ 29 จำนวน 120,840 บาท ส่วนผู้ฟ้องที่ 26-27,30-32, 33-44, 46-54, 55-133, 135-250, และผู้ร้องสอดซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วยอีก 5 ราย รายละ 50,000 บาท และผู้ฟ้องที่ 134 จำนวน 8,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2552 จนกว่าจะทำการชำระเสร็จ โดยให้ดำเนินการเสร็จสิ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด หากผู้ฟ้องและผู้ร้องสอดใดๆ ได้รับเงินทดแทนเยียวยาความเสียหายจากหน่วยงานของรัฐตามมติ ครม.ในวันที่ 10 มกราคม 2555 ไปแล้ว ยังให้มีสิทธิรับค่าทดแทนส่วนที่เหลือตามคำพิพากษาได้ และหากภายใน 2 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ผู้ฟ้องหรือผู้ร้องสอดรายใดยังต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง ศาลยังสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาส่วนนี้เพิ่มเติมได้ ส่วนนายประเสริฐ แก้วกระโทก ผู้ฟ้องที่ 45 ซึ่งอ้างว่าได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมนั้น ข้อเท็จจริงจากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ระบุว่า ผู้ฟ้องถูกกลุ่มเสื้อแดงดักทำร้ายขณะรถติดไฟแดง ที่ถนนวิภาวดีซอย 3 ด้วยอาวุธไม้ท่อนทุบตีและใช้มีดฟันมือ เบื้องต้นมูลนิธิได้จ่ายค่ารักษาให้จำนวน 90,000 บาท เมื่อกรณีไม่ได้ถูกกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายให้ และพิพากษาให้ยกฟ้อง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำพิพากษานี้ ยังเป็นเพียงศาลปกครองชั้นต้น หากคู่ความไม่พอใจยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน
ที่มา: มติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
อ่านอีกรอบ: จม.เล่าเหตุการณ์เช้ามืด 6 ตุลา จากหนังสือ'เราคือผู้บริสุทธิ์' Posted: 05 Oct 2012 09:35 AM PDT
หมายเหตุ: เนื่องในวาระ ครบรอบ 36 ปี 6 ตุลาคม 2519 'ประชาไท' หยิบยกบทบันทึกเหตุการณ์วันนั้น ซึ่งเขียนโดย ชวลิต วินิจจะกูล เป็นตอนหนึ่งจากหนังสือ 'เสียงจากอดีตจำเลยคดี 6 ตุลา เราคือผู้บริสุทธิ์' แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในฐานะบทบันทึกประวัติศาสตร์ แรงบันดาลใจทางการเมือง หรืออะไรก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป คนอีกรุ่นอาจไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับงานเหล่านี้ จึงขออนุญาตหยิบยกมาปัดฝุ่นใหม่ โดยเริ่มต้นจากสิ่งพื้นฐานที่สุดนั่นคือ เกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ทั้งในแง่เหตุการณ์และอารมณ์ความรู้สึก
จดหมายจากชวลิต วินิจจะกูล ฉบับที่ 1
...กันยายน 2520 ...ที่รัก
ขอบคุณมากครับที่ห่วงใยผม จม.ของคุณผมอ่านด้วยความรู้สึกดีใจที่เพื่อนๆ ยังรักและเอาใจใส่อยู่เสมอ จนถึงวันนี้ก็เพิ่งประมาณเดือนเดียวเท่านั้นที่ผมได้ออกมาสัมผัสความสับสน วุ่นวายของสังคมเมือง แต่ก็มีอิสระ มีชีวิตชีวามากกว่าในคุกเมื่อ 10 เดือนก่อน ชวลิต
จดหมายจากชวลิต วินิจจะกูล ฉบับที่ 2
....ตุลาคม 2520 ....ที่รัก
ขอบพระคุณในความห่วงใยของคุณ เคารพรักและเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ ชวลิต
====================== ที่มา : กลุ่มนักศึกษากฎหมาย, เราคือผู้บริสุทธิ์ เสียงจากอดีตจำเลยคดี 6 ตุลา, กรุงเทพฯ: กลุ่มนักศึกษากฎหมาย, 2521.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
กวีประชาไท: ไม่ใช่เรื่องบุญคุณ Posted: 05 Oct 2012 07:58 AM PDT
ในเมื่อรัฐโรงสีธนานุเคราะห์ อ้าแขนรับทองคำของชาวนา เพื่อแลกกับเสียงที่ดังเท่ากับเสียงอื่นๆ อีกหลายล้านเสียง เอ้า! ช่วยกันแค่นหัวเราะให้กับข้าวเปลือกล้านๆ เม็ดที่อาจไม่มีโอกาสกะเทาะออกจากเปลือก แล้วรองน้ำตาไว้กินจานข้าวสุกข้าวสารแพงๆ ให้คล่องคอมนุษย์เงินเดือน
ใครกันริษยา ละอองส่วนแบ่งที่รอดผ่านถังพ่นยาฆ่าแมงตัวดีตัวร้ายตายเกลือน ใครกันห่วงใย ส่วนแบ่งที่หลุดพ้นราวใบมีดรถเกี่ยวข้าวว่าจะฟ่อนหนากว่ากระเป๋าคนจน ควรจะห่วงว่ามูลค่าส่งออกจะพอเป็นค่าพันธุ์ข้าวฤดูหน้ารึเปล่า ที่ดินก็เป็นของใครก็ไม่รู้
ไม่ต้องสำนึกบุญคุณชาวนาก็ได้ ถ้าข้าวที่กิน ไม่ได้จ่ายชาวนาต่ำกว่าทุน
… ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
"บุญยอด" รับสภาฯ พาสื่อทัวร์ยุโรปไม่ผิดระเบียบ แต่ชี้ไม่เหมาะสม เดินหน้าตรวจสอบต่อ Posted: 05 Oct 2012 04:55 AM PDT บุญยอด สุขถิ่นไทย โฆษก กมธ.กิจการสภาฯยอมรับ การเดินทางไปต่างประเทศของประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามระเบียบอย่างถูกต้อง แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม พร้อมเตรียมยื่นคณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบความเหมาะสม ด้าน"พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์" อ.จุฬาฯ ขอโทษประชาชนปมไปดูงานยุโรป
สรุปผลสอบกรณี "สมศักดิ์" ดูงานยุโรป ใช้เวลางานดูฟุตบอลไม่เหมาะสม เอาครับ ก็ต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์กันไป แต่ข่าวสั้นไปนิดเลยไม่รู้ว่าตกลงแล้วเขาใช้งบเจ็ดล้านจริงหรือไม่ เพราะส่วนที่เปิดให้กับผู้ร่วมดูงานนั้นมันคนละ แสนกว่าบาท (เป็นค่าเบี้ยงเลี้ยง ค่าตั๋ว และค่าที่พัก) ตามระเบียบราชการที่เซ็นรับทราบไป แต่ที่งอกไปถึงเจ็ดล้านนั้นมันโผล่มาจากตรงไหนกันแน่ อาจจะมาจากหมวดอื่นที่คนอื่นเขารับผิดชอบ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
"สมาคมนักข่าวฯ" ประกาศ "สรยุทธ" พ้นสภาพสมาชิกก่อนนี้แล้ว Posted: 05 Oct 2012 04:31 AM PDT "สมาคมนักข่าวฯ" แจง "สรยุทธ" มิได้ชำระค่าบำรุงสมาชิกติดต่อกันตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับสมาคม จึงถือว่า นายสรยุทธได้พ้นจากสมาชิกภาพของสมาคมฯ ไปก่อนหน้านี้แล้ว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
สสส. ชวนสร้างจิตอาสา เยาวชน-บุคคลต้นแบบ กับ “หมอลำหุ่น” ที่มหาสารคาม Posted: 05 Oct 2012 03:13 AM PDT
วันที่ 5-7 ตุลาคม 2555 แผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. เชิญร่วมกิจกรรมสร้างกระบวนการจิตอาสา และเยาวชนต้นแบบ บุคคลต้นแบบ กับเยาวชนโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ และโรงเรียนสมาชิกเครือข่ายหมอลำหุ่น ณ วัดโพธาราม ต.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
"เมื่อได้ยินอะซาน...ทุกอย่างต้องยุติ" คำชี้แจง 'วันศุกร์' จุฬาราชมนตรี Posted: 05 Oct 2012 03:02 AM PDT เปิดคำชี้แจงจุฬาราชมนตรี "การทำงานในวันศุกร์ มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม" ระบุอิสลามบัญญัติให้บุคคลต้องไม่ให้ความสำคัญเรื่องหารายได้ มากกว่าพิธีละหมาดวันศุกร์ ...ผู้ทำงานทุกคนต้องระลึกเสมอคือ เมื่อได้ยินเสียงอะซานเรียกร้องสู่การละหมาด งานทุกอย่างต้องยุติลง 5 ต.ค. 55 - ต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาในเปิดคำชี้แจงของจุฬาราชมนตรี เรื่องการทำงานในวันศุกร์มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม หลังจากที่มีข่าวลือข่มขู่มิให้ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ออกมาทำงานในวันศุกร์ จนส่งผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากร้านค้าต่างๆในพื้นที่ต่างปิดเงียบ โดยมีเนื้อหาดังนี้
การทำงานในวันศุกร์ มิได้ขัดแย้งกับหลักศาสนาอิสลาม
การทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยยังชีพเป็นสิ่งที่อิสลามให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง เพราะการดำรงชีพโดยมุ่งสู่เป้าหมายที่องค์อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดนั้น ต้องอาศัยการอุปโภคบริโภค สรรพสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้ ผู้ทำงานเพื่ออัลลอฮฺ เช่น บรรดานบีๆ (ศาสนทูตทั้งหลาย) จึงเป็นผู้ทำงานหนักเสมอ เพื่อให้สามารถดำรงชีพได้ โดยไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น และสามารถทำหน้าที่เพื่ออัลลอฮฺได้โดยไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ใด นอกจากขอพึ่งพาอัลลอฮฺ (ซุบหานะฮฺ) เพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้ทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวด้วยอาชีพสุจริต จึงเป็นผู้ประเสริฐ และอาหารที่ได้มาจากการทำงานนั้นก็เป็นอาหารที่ประเสริฐด้วย ดังคำของศาสนทูตมุหัมมัด (ขอความสุขสวัสดิ์จากอัลลอฮฺจงบังเกิดแก่ท่านด้วยเถิด) ซึ่งบอกเล่าโดยมิกดาม มะอัดดีกริบา และบันทึกโดยบุคอรีย์ ว่า عَنِ الْمِقْدَامِ بنْ مُعِد يَكْرِب رَضِيَ اللهُ عَنْهُ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ: مَا أَكَلَ أَحَدٌ طَعَامًا قَطُّ خَيْرًا مِنْ أَنْ يَأْكُلَ مِنْ عَمَلِ يَدِهِ ، وَإِنَّ نَبِىَّ اللَّهِ دَاوُدَ - عَلَيْهِ السَّلاَمُ - كَانَ يَأْكُلُ مِنْ عَمَلِ يَدِهِ.(رواه البخاري) "ไม่มีอาหารใดที่คน ๆ หนึ่ง รับประทานแล้ว จะมีความประเสริฐมากไปกว่าอาหารที่ได้มาจากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน และแท้จริงดาวูดผู้เป็นศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺเอง ก็เป็นผู้ที่เลี้ยงชีพโดยการทำงานด้วยตัวเอง" "تيدقله سسؤرڠ مڠگونا سمسي ماكنن يڠ لبيه بأيك دري ماكنن يڠد حاصيلكن دري جريه تاڠن سنديري دان سسوڠگوهڽ نبي داود - عليه السلام- دهولو سننتياس ماكن دري جريه ڤايه سنديري"
อีกทั้งผู้ทำงานอย่างมืออาชีพก็เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ (ซุบหานะฮฺ) ดังคำของศาสนทูต มุหัมมัด (ขอความสุขสวัสดิ์จากอัลลอฮฺจงบังเกิดแก่ท่านด้วยเถิด) ซึ่งบอกเล่าโดยอิบนุอุมัร และบันทึกโดย ฏ็อบรอนีย์ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُؤْمِنَ الْمُحْتَرِفَ "แท้จริง องค์อัลลอฮฺทรงรักผู้ศรัทธาที่ประกอบอาชีพการงาน" "سسوڠگوهڽ الله سبحانه وتعالى منچينتأي سؤرڠ مؤمن يڠ گيات بكرجا"
ด้วยความรักที่พระองค์มีให้ จึงพร้อมจะทรงอภัยโทษต่อผู้ประกอบอาชีพการงานในยาม ที่พวกเขาเหนื่อยล้าจากการใช้แรงกาย และทรงถือว่าผู้ทำงานสุจริตเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว คือคนทำงานในหนทางของพระองค์ (ฟี สะบีลิลลาฮฺ) ดังหะดีษต่อไปนี้ عَنْ عَائِشَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهَا أَنَّ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : " مَنْ أَمْسَى كَالًا مِنْ عَمَلِ يَدَيْهِ أَمْسَى مَغْفُورًا لَهُ " (رواه الطبراني) "ผู้ใดเข้าสู่ยามเย็นอย่างเหนื่อยล้าจากการใช้แรงงาน เขาเป็นผู้ได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ" "بارڠ سياڤ يڠ وقتو ڤتڠ دودوق دالم كللهن لنتاران ڤكرجأن يڠتله دلاكوكن، مك اي داڤتكن وقتو ڤتڠ ترسبوت دوساڽ٢ دامڤوني اوليه الله سبحانه وتعالى" อีกหะดีษหนึ่งซึ่งทำให้เห็นว่าทุกคนต้องสนับสนุนผู้ประกอบอาชีพสุจริต คือหะดีษที่ระบุว่า عن كَعْبِ بْنِ عُجْرَة رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ : مَرَّ عَلَى النَّبِيِّ - صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - رَجُلٌ فَرَاى أَصْحَابَ رَسُوْلِ اللهِ - صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - مِنْ جَلَدِهِ وَنَشَاطِهِ فَقَالُوا : يَا رَسُوْلَ اللهِ! لَوْ كَانَ هَذَا فِي سَبِيلِ اللهِ؟ فَقَالَ رَسُوْلُ اللهِ - صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - :«إِنْ كَانَ خَرَجَ يَسْعَى عَلَى وَلَدِهِ صِغَاراً فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللهِ ، وَإِنْ كَانَ خَرَجَ يَسْعَى عَلَى أَبَوَيْنِ شَيْخَينِ كَبِيرَيْنِ فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللهِ ، وَإِنْ كَانَ يَسْعَى عَلَى نَفْسِهِ يَعِفُّهَا فَهُوَ فِي سَبِيلِ اللهِ ، وَإِنْ كَانَ خَرَجَ رَيِاءً وَمُفَاخَرَةً فَهُوَ فِي سَبِيلِ الشَّيْطَانِ. (رواه الطبراني برجال الصحيح) "ชายผู้หนึ่งเดินผ่านกลุ่มมหามิตรแห่งบรมศาสนทูต พวกเขารู้ว่าชายคนนี้มีน้ำอดน้ำทน และทำงานอย่างขยันขันแข็ง จึงกล่าวกับบรมศาสนทูตว่า ถ้าชายคนนี้มาทำงานในหนทางของอัลลอฮฺ ย่อมเป็นการดียิ่ง (พวกเขาหมายถึงการสงคราม) บรมศาสนทูตบอกว่า หากชายคนนี้ออกไปทำงานหาเลี้ยงลูกเล็กๆ เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺแล้ว หากเขาออกไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงพ่อแม่ที่แก่ชรา เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺแล้ว หากเขาออกไปทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของใครให้เสียสง่าราศี เขาก็อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺแล้ว ถ้าเขาออกไปทำงานเพื่อหวังให้ผู้อื่นยกย่องหรือเพื่อโอ้อวดกันต่างหาก เขาจะอยู่ในหนทางของซาตาน" مقصودڽ : " سؤرڠ للاكي برجالن دتڤي ڤاراصحابة دان مريك تاهو بهوا للاكي ايت سؤرڠ يڠ برصبر دان راجين بكرجا لالو ايت مريك بركات كڤد رسول الله جك للاكي اين بكرجا دالم جالن الله ادله امت بأيك (مريك برمقصود دڠن ڤڤراڠن) رسول الله بركات جك دي كلواربكرجا اونتوق انق كچيلڽ دي سوده براد دالم جالن الله، دان جك دي كلواربكرجا اونتوق ممليهارا ايبوباڤ يڠ توا دي سوده براد دالم جالن الله، دان جك دي كلواربكرجا اونتوق ممليهارا ديريڽ سڤاي تيدق ممببنكن اورڠ لأين دي سوده براد دالم جالن الله، جك دي كلواربكرجا اونتوق منداڤت كڤوجين دري اورڠ لأين اتاواونتوق منونجوق٢ دي سوده براد دالم جالن شيطان" เมื่อคนเราต้องบริโภคทุกวัน อิสลามจึงไม่ห้ามที่จะทำงานทุกวัน แม้วันนั้นจะเป็นวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญประจำสัปดาห์ก็ตาม สิ่งที่อิสลามบัญญัติ คือ บุคคลต้องไม่ให้ความสำคัญแก่การทำงานหารายได้ มากกว่าการประกอบพิธีละหมาดญุมอะฮฺถวายเป็นอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าดังปรากฏในพระดำรัสแห่งอัลลอฮฺซูรอฮฺอัลญุมุอะฮฺ อายะฮฺที่ 9-10 ว่า " يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا إِذَا نُودِيَ لِلصَّلَاةِ مِنْ يَوْمِ الْجُمُعَةِ فَاسْعَوْا إِلَى ذِكْرِ اللَّهِ وَذَرُوا الْبَيْعَ ذَلِكُمْ خَيْرٌ لَكُمْ إِنْ كُنْتُمْ تَعْلَمُونَ ، فَإِذَا قُضِيَتِ الصَّلَاةُ فَانْتَشِرُوا فِي الْأَرْضِ وَابْتَغُوا مِنْ فَضْلِ اللَّهِ وَاذْكُرُوا اللَّهَ كَثِيرًا لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ " "ดูกร ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อเสียงเรียกร้องสู่การละหมาดดังขึ้นในวันศุกร์ พวกเจ้าก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺเถิด และจงยุติการซื้อขายเสีย นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเจ้าหากพวกเจ้ารู้" "ครั้นเมื่อการประกอบพิธีละหมาดเสร็จสิ้นลง พวกเจ้าก็จงกระจายไปในแผ่นดินเถิด จงแสวงหาคุณูปการแห่งอัลลอฮฺ (ทำงานหารายได้) และจงรำลึกถึงพระองค์ให้มาก เพื่อพวกเจ้าจะได้พบกับความสำเร็จ" "واهاي اورڠ٢ يڠ برايمان اڤبيل دسروكن اذان اونتوق مڠرجاكن سمبهيڠ ڤدهاري جمعة مك سگراله كاموڤرگي (كمسجد) اونتوق مڠيڠتي الله (دڠن مڠرجاكن سمبهيڠ جمعة) دان تيڠگلله برجوال بلي، لالواي ممبري تاهوكڤد كامو اڤ يڠ كاموتله لاكوكن (سرتا ممبالسڽ)" "كمدين ستله سلساي سمبهيڠ مك برتبارانله كامودموك بومي (اونتوق منجالنكن اوروسن ماسيڠ٢) دان چاريله اڤ يڠ كامو حاجتي دري الله، سرتا ايڠتله اكن الله سباڽق٢ (دالم ستيڤ كأدأن) سڤاي كاموبرجاي (ددنيا دان أخيرة)" ทั้งสองอายะฮฺบ่งชี้ชัดเจนว่า แม้จะเป็นวันศุกร์ แต่อัลลอฮฺก็ยังส่งเสริมให้ทำงานแสวงหาคุณูปการที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้ สิ่งที่ผู้ทำงานทุกคนต้องระลึกถึงอยู่เสมอคือ เมื่อได้ยินเสียงอะซานเรียกร้องสู่การละหมาด งานทุกอย่างต้องยุติลงและบุคคลต้องเตรียมตัวไปร่วมละหมาดอย่างรีบเร่ง ครั้นเมื่อละหมาดเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้ทำงานต่อไป โดยมีจิตระลึกอยู่เสมอว่า โภคปัจจัยที่ได้ มาล้วนเป็นคุณูปการแห่งอัลลอฮฺทั้งสิ้น บุคคลจึงควรแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตนและใช้จ่ายทรัพย์สินที่ได้มา ไปตามครรลองแห่งพระองค์เท่านั้น นั่นจึงนับเป็นความสำเร็จ ทั้งในภพนี้และปรภพ ในบริบทของสังคมประเทศไทยโดยรวม และเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มุสลิมสามารถทำงานวันศุกร์ได้ โดยไม่สูญเสียโอกาสในการละหมาดญุมอะฮฺเลย เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ล้วนอนุญาตให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานออกไปละหมาดญุมอะฮฺได้เมื่อถึงเวลา ซึ่งนับเป็นเนียะมะฮฺ (สิ่งดี ๆ ที่องค์อัลลอฮฺทรงประทานให้) โดยแท้ ดังนั้น การข่มขู่คุกคามให้สุจริตชนต้องหยุดทำงานในวันศุกร์ นับเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น เป็นการแอบอ้างศาสนาอิสลามเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างมิชอบ และเป็นการกระทำที่อยู่นอกกรอบแนวทางของอัลลอฮฺอย่างสิ้นเชิง. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
โสภณ พรโชคชัย: บีบีซีกล่าวหาส่งเดช ว่า กทม รถติดหนักสุด Posted: 05 Oct 2012 02:32 AM PDT ตามที่สำนักข่าวบีบีซีรายงานข่าวว่ากรุงเทพมหานครของไทย รถติดที่สุดในโลกนั้น เป็นความเท็จ วิธีการได้มาซึ่งข้อสรุปก็เป็นเท็จ เป็นการทำลายชื่อเสียงของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยโดยไม่มีพื้นฐานความจริง เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับทำนองว่า "บีบีซีตีข่าวกทม.รถติดที่สุดในโลก" {1} ""กรุงเทพ' ของไทย ติดอันดับเมืองหลวงที่รถติดมากที่สุดของ'บีบีซี'" {2} "'กทม.' ติดอันดับ 1 เมืองรถติดมากที่สุดในโลก" {3} "'กรุงเทพฯ' ขึ้นชื่อ 1 ใน 10 เมืองรถติดมากที่สุดในโลก" {4} "'กรุงเทพ'ติด 1ใน 10 เมืองหลวงที่รถติดที่สุดในโลก" {5} "กทม.ติดอันดับเมืองรถติดที่สุดในโลก" {6} "'ปู' ใบ้กิน! BBC ตีข่าวไทยติดอันดับรถติดที่สุดในโลก" {7} ตามข่าวกล่าวว่า การสำรวจนี้ สำรวจจากความเห็นของคนอ่านหรือฟังบีบีซีเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ระบุจำนวน ไม่สามารถถือเป็นการสำรวจจากความเป็นจริงได้ ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณสื่ออย่างร้ายแรงได้หรือไม่ ทั้งนี้คงเป็นเพียงการมุ่งขายข่าว "ตีปี๊บ" เพราะสำนักข่าวนี้ในขณะนี้อาจไม่ดัง เป็นที่กล่าวขวัญถึงในระดับโลกเช่นสำนักข่าวระดับโลกอื่น ๆ เช่น ซีเอ็นเอ็น บลูมเบอร์ก วีโอเอ อัลจาซีร่า หรืออื่น ๆ แต่ในการสำรวจจริง บางแหล่งข่าว {8} อ้างว่า นครที่เรียงลำดับจากหนึ่งถึง 5 ได้แก่ ปักกิ่ง เม็กซิโกซิตี้ โจฮันเนสเบอร์ก มอสโก และนิวเดลี ซึ่งถือว่ามีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่สุดของโลก มีจำนวนประชากรมาก และอยู่กันอย่างหนาแน่นกว่ากรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก สำหรับในสหรัฐอเมริกา นครที่มีการจราจรเลวร้ายที่สุดจากการจัดอันดับของ Weather.com {9} ได้แก่ ฮอนโนลูลู รองลงคือ ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก บริดจ์พอร์ต (มลรัฐคอนเน็กติกัต) ส่วนออสตินที่บีบีซีรายงานนั้น อยู่แค่อันดับ 8 เท่านั้น การที่บีบีซีไปถามจากคนฟัง-ชมบีบีซี ซึ่งมีอยู่ไม่มาก จึงไม่น่าเชื่อถือ และคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา คงไม่ได้ชมหรือฟังบีบีซี สำหรับในละแวกประเทศเพื่อนบ้านของไทย กรุงจาการ์ตาถือเป็นนครที่มีสภาพรถติดมากที่สุดจนเป็นที่เลื่องลือเป็นอย่างมาก และเป็นที่ทราบกันทั่วไป จากประสบการณ์ของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ซึ่งสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วอาเซียน และต้องเดินทางสำรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ ของนครทั้งหลายพบว่า กรุงจาการ์ตามีรถติดหนักที่สุด รองลงมาอาจเป็นกรุงมะนิลา กรุงเทพมหานคร เป็นต้น นอกจากนี้บีบีซียังอ้างว่าการที่ไทยมีนโยบายรถคันแรก ทำให้มีคนซื้อรถกันมากมาย แต่ในความเป็นจริง ผู้ซื้อรถจำนวนมากก็ยังไม่ได้รถในขณะนี้ ยังต้องสั่งจองล่วงหน้า ยังอยู่ระหว่างการผลิต การตีข่าวที่ระบุว่าไทยติดอันดับแรกของนครรถติดที่สุด จึงเป็นความเท็จ และนำสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันมาอ้างอิง เนื่องจากไม่มีความจริงมายืนยันได้ว่ากรุงเทพมหานครติดอันดับนครรถติดที่สุดนั่นเอง ตามข่าวของ BBC {10} เองยังเขียนไว้ว่าได้สัมภาษณ์ชายไทยคนหนึ่งบอกว่าตนได้นั่งรถเข้าเมืองจากปทุมธานีโดยมีอยู่วันหนึ่งใช้เวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง จากปกติใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง การเอาปรากฏการณ์ครึ่งหนึ่ง (ในชีวิต) มา "เต้าข่าว" อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะปรากฏไว้ในเนื้อข่าวจากสำนักข่าวระดับโลกเช่นนี้ เพราะเท่ากับเป็นการบิดเบือนความเป็นจริง กรุงเทพมหานครควรมีการแก้ไขการจราจรติดขัด เป็นภาระของทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลของประเทศที่ไม่อาจละเลยได้ แต่สถานการณ์ก็ไมได้เลวร้ายไปกว่าอีกหลายต่อหลายประเทศในโลกนี้ ประเทศไทยคงไม่ปฏิเสธปัญหานี้ แต่การเสนอข่าวที่ไม่ได้มีการสำรวจที่แน่ชัดเช่นนี้ เป็นการทำลายภาพพจน์ของประเทศไทย และกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ ทำให้นักท่องเที่ยวชะงัก ไม่กล้ามาไทย ทำให้คนไทยเสียหาย ขัดลาภที่พึงได้ ไม่ใช่ลาภที่ไม่พึงได้อย่างที่จักรวรรดินิยมอังกฤษเคยเที่ยวปล้นชิงไปทั่วโลก ถือเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับจรรยาบรรณทางวิชาชีพของสื่ออังกฤษหรือไม่ โปรดดูภาพข่าวต่อไปนี้ ที่แสดงให้เห็นถึงรถติดจนชินตาในนครอื่น ๆ ที่เลวร้ายกว่ากรุงเทพมหานครมากมายนัก โดยเรียงตามลำดับภาพดังนี้: กรุงจาการ์ตา นครลอสแองเจลิส กรุงลากอส กรุงมอสโก (กลางวัน) และกรุงมอสโก (กลางคืน) เป็นต้น ภาพที่ 1: รถติดหนักในกรุงมอสโก ตอนกลางวัน จะพบเห็นปรากฏการณ์ตามภาพบ่อย ๆ ภาพที่ 2: แม้แต่ในยามที่ไม่มีแสงอาทิตย์แล้ว มอสโกก็มีสภาพรถติดหนักมากเช่นกัน ภาพที่ 3: สภาพไม่มีขื่อแปในการจราจรในกรุงลากอส รถติดมโหฬารกว่าที่ไทยจะนึกภาพออก ภาพที่ 4: สภาพรถติดเป็นประจำทุกวันในนครลอสแองเจลิส ภาพที่ 5: สภาพรถติดหนักในกรุงจาการ์ตา ซึ่งสาหัสกว่ากรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก ที่มา: {1} แนวหน้า 3 ตุลาคม 2555 www.naewna.com/inter/24533 {2} คมชัดลึก 2 ตุลาคม 2555 www.komchadluek.net/detail/20121002/141362/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94.html {3} Money Channel. 2 ตุลาคม 2555 www.moneychannel.co.th/index.php/2012-06-30-12-32-32/4365-bangkok {4} ไทยรัฐ 3 ตุลาคม 2555 http://m.thairath.co.th/content/oversea/295794 {5} ฐานเศรษฐกิจ 2 ตุลาคม 2555 www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=145955:-1-10-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524 กทม.ติดอันดับเมืองรถติดที่สุดในโลก {6} T News 2 ตุลาคม 2555 www.tnews.co.th/html/news/42438/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81.html {7} ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 ตุลาคม 2555 www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000121375 {8} http://googlesightseeing.com/2012/05/top-5-worst-traffic-cities-in-the-world/ {9} www.weather.com/safety/autosafety/top-10-worst-traffic-cities-20120815?pageno=10 {10} 10 monster traffic jams from around the world http://www.bbc.co.uk/news/magazine-19716687 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
Posted: 04 Oct 2012 11:31 PM PDT "งี่เง่าฉิบหายเลยครับ การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้งครับ หากไม่มีความขัดแย้ง ทุกคนอยู่กันได้โดยไม่ไม่ต้องแย่งกัน ก็ไม่ต้องมีการเมือง ไม่ต้องมีนักการเมืองครับ....ปัญหาที่เกิดกับการเมืองในบ้านเราตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง การเมืองประเทศไหน ๆ ก็มีความขัดแย้ง แต่ปัญหาอยู่ที่กระบวนการต่าง ๆ ในบ้านเราแม่งเสื่อมเหี้ย ๆ ครับ คือพวกมึงชอบเอาวิธีการพิเศษมาใช้ไงครับ มันเสื่อมจนคนไม่ยอมรับ ความวุ่นวายมันเลยเกิด" แสดงความเห็นต่อกรณีนายเนวิน ชิดชอบประกาศเลิกเล่นการเมืองเพื่อลดความขัดแย้ง | ||||
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เปิด นสพ. เก่า อ่านชนวน 6 ตุลา ผ่านข่าวก่อนเกิดเหตุ Posted: 04 Oct 2012 11:31 PM PDT
5 ต.ค.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค "วันนี้เมื่อ 36 ปีก่อน" โดยนำรูปปกหนังสือพิมพ์เก่าฉบับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดาวสยาม บ้านเมือง ไทยรัฐ บางกอกโพสต์ ประชาชาติ เปรียบเทียบการพาดหัวข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ของประชาชนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 1, 2, 3, 4, 5 ตุลาคม 2519 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์กวาดล้างนักศึกษาและประชาชนในวันที่ 6 ตุลาคม 2519
อ่านรายละเอียดในวันที่ 1-4 ตุลาคม 2519 ได้ที่ "วันนี้ เมื่อ 36 ปีก่อน: 1 ตุลาคม 2519" http://goo.gl/4wknz ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ผบ.ทบ.ตั้ง 313 นายทหารคุมกำลังทั่วประเทศ Posted: 04 Oct 2012 10:06 PM PDT พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เซ็นตั้ง 313 นายทหารหน่วยคุมกำลังสำคัญทั่วประเทศ ด้าน "พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด" เลื่อนจากผู้อำนวยการ เป็น รอง ผบ.รร.กิจการพลเรือน ทบ. มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2555 ในคำสั่งกองทัพบกที่ 291/2555 ลงวันที่ 3 ต.ค. 55 เรื่อง "ให้นายทหารรับราชการและปรับเงินเดือน" จำนวน 313 นาย โดยมีการปรับเปลี่ยน ผบ.หน่วยรบ ทั้งหน่วย ทหารราบ ทหารม้า ทหารปืน รบพิเศษ ทั้งหมด ทั้งในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2รอ.) และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ปตอ.) และหน่วยรบพิเศษ โดย มติชนออนไลน์ ตั้งข้อสังเกตว่า หน่วยทหารดังกล่าวเคยออกปฏิบัติภารกิจช่วงปี 2552 และ 2553 โดยมีนายทหารหลายคนที่ร่วมปฏิบัติภารกิจดังกล่าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญครั้งนี้ ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และอดีตโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เลื่อนตำแหน่งจาก ผอ.กองกิจการพลเรือนทบ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.รร.กิจการพลเรือน ทบ. โดยถือเป็นการขยับเป็นรองนายพล และสามารถที่จะขึ้นเป็น พล.ต. ได้ในการโยกย้ายครั้งต่อๆ ไป ขณะที่หน่วยรบที่สำคัญ เช่น กองทัพภาคที่ 1 โดยเฉพาะหน่วยคุมกำลังปฏิวัติ ได้มีการเปลี่ยนตัวหมด เช่น พ.อ.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ จาก ผบ.ร.1 รอ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.พล.1 รอ. แล้วให้ พ.อ.เอกรัตน์ ช้างแก้ว รอง ผบ.ร.1รอ. ขึ้นเป็น ผบ.ร.1 รอ. แทน พ.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ร.31 รอ.ขึ้นเป็น รอง ผบ.พล.1 รอ. แล้วให้ พ.อ.วิรัฎฐ์ วงศ์จันทร์ นายทหารปฏิบัติการประจำ มทบ. 11 เป็น ผบ.ร.31 รอ. พ.อ.กันตภณ อัครานุรักษ์ ผอ.กยน.ทน.1 เป็น รองผบ.มทบ.11 พ.อ.ประวิตร ฉายะบุตร รองผบ.จทบ.ส.ก. เป็นรองผบ.มทบ.12 พ.อ.โอภาส อุตตรนคร ผอ.กองรร.จปร. เป็นรองผบ.จทบ.ส.ก. พ.อ.ดำริห์ สุขพันธุ์ รองผบ.จทบ.ส.บ. เป็น รองผบ.มทบ.13 พ.อ.ปราการ ปทะวานิช ผอ.กกร.ทภ.1 เป็นรองผบ.จทบ.ส.บ. สำหรับคำสั่งโยกย้ายนายทหารดังกล่าวสามารถอ่านได้ที่นี่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now | ||||
"เนวิน" เน้นฟุตบอล ไม่กลับมาเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเพื่อไทยจะเลือก หน.พรรคใหม่แทน "ยงยุทธ" จันทร์นี้ Posted: 04 Oct 2012 09:19 PM PDT อดีตแกนนำพรรคภูมิใจไทยกล่าวในวันเกิดของตัวเองว่าจะไม่กลับมาทำงานการเมืองแล้ว ตอนนี้มีความสุขกับการทำทีมฟุตบอล ทั้งนี้ยังเข้าใจด้วยว่าตัวเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หากเล่นการเมืองโอกาสปรองดองคงไม่เกิดขึ้น จึงขอถอนตัว หลังการลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทยของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และมติอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทยมีมติให้ไล่ออกจากราชการ และเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ 62 คนได้เข้าชื่อยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งนั้น และเมื่อวานนี้ หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายงานว่า นายยงยุทธ ได้แถลงข่าวลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการแสดงสปิริตและสร้างมาตรฐานทางการเมือง ล่าสุดวันนี้ (5 ต.ค.) นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม นี้ เวลา 09.00 น. ทางพรรคจะประชุมเพื่อสรรหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยจะใช้วิธีลงมติในที่ประชุมกรรมการบริหาร
เนวินบอกจะไม่กลับมาทำงานการเมืองแล้ว เน้นฟุตบอล ขณะเดียวกัน ข่าวสดรายงานด้วยว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเปิดบ้านที่ จ.บุรีรัมย์ ให้บุคคลใกล้ชิดในวงการต่างๆ เข้าอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดว่า จะไม่กลับมาทำงานการเมืองแล้ว วันนี้ถือว่ามีความสุขกับการทำทีมฟุตบอล ซึ่งมีเป้าหมายให้นักกีฬาไทยเป็นสนามอาชีพในต่างประเทศ แต่หากใครมาปรึกษาเรื่องการเมืองก็พร้อมให้คำปรึกษา แต่จะไม่เข้าไปยุ่งหรือรับตำแหน่งใดๆ เพราะเข้าใจว่าตนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง หากทำงานการเมืองจะมีปัญหามาก โอกาสเกิดความปรองดองคงไม่เกิดขึ้น จึงขอถอนตัว ซึ่งยอมรับว่าตนมีความขัดแย้งสูงกับผู้คนในสังคมการเมืองมากมายมหาศาล หากตนยังคงอยู่ในทางการเมือง ยิ่งจะทำให้ความแตกแยกมีมากขึ้น โอกาสที่บ้านเมืองจะสมานฉันท์ปรองดองไม่มีเลย ส่วนการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยนั้น นายเนวินกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความเหมาะสม ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะมีการเปลี่ยนแปลงคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อให้เกิดมิติใหม่ทางการเมือง ปราศจากความขัดแย้ง และทำให้ความรู้สึกทางการเมืองของประชาชนดีขึ้น หากยังเวียนว่ายตายเกิดในกลุ่มบุคคลเดิมๆ ความขัดแย้งก็ไม่จบสิ้น ความแตกแยกก็มากขึ้น ซึ่งตนขอออกจากความขัดแย้งนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
PATANI FORUM; สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยหยุดราชการในวันศุกร์ Posted: 04 Oct 2012 08:38 PM PDT
สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เคยหยุดราชการประจำสัปดาห์ในวันศุกร์มาก่อน [เรื่องที่เขียนนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าเห็นด้วยกับการหยุดราชการวันศุกร์ และที่สำคัญสำหรับเรื่องนี้คือ วันหยุดราชการไม่ใช่วันหยุดทำงาน เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ] - จากข้อเรียกร้องของผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดนราธิวาสที่ยื่นต่อคณะกรรมการสอดส่องภาวะการณ์สี่จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2490 (หนังสือข้อเรียกร้องลงวันที่ 5 เมษายน) และมีข้อเรียกร้องเดียวกันนี้จากตากใบและสุไหงโกลก ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นคราวเดียวกับ "ข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง" หากของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีที่มีหะยีสุหลงเป็นประธานไม่ได้เรียกร้องข้อนี้ - คณะกรรมการสอดส่องฯ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลเห็นด้วยและชี้แจงแก่ราษฎรในพื้นที่และนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2490 ครม. เห็นชอบด้วย - แต่กว่าจะประกาศเรื่องวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ก็ล่วงมาปี 2491 หลังรัฐประหารและเปลี่ยนรัฐบาลมาสองรัฐบาล แน่นอนที่ช้าเพราะปัญหาการเมืองหลังกรณีสวรรคตรุมเร้าเหลือเกินกว่าที่จะสนใจปัญหาอื่นๆ -ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ลว. 26 เม.ย. 91 ประกาศในราชกิจจาฯ 4 พ.ค. 2491) แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้สำหรับ 4 จัหวัดภาคใต้หยุดราชการในวันพฤหัสครึ่งวัน ตั้งแต่ 12.00 น. และหยุดวันศุกร์เต็มวัน (ดูภาพประกอบ) - จนถึงปี 2499 ที่รัฐบาลให้เปลี่ยนจากหยุดวันเสาร์ครึ่งวันกับวันอาทิตย์เต็มวัน เป็นวันพระเต็มวันกับวันอาทิตย์ ดังนั้นในพื้นที่ 4 จังหวัด จึงเปลี่ยนมาหยุดวันพระและวันศุกร์แทน
- การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของการหยุดวันศุกร์คือปี 2502 เมื่อรัฐบาลให้หยุดราชการเต็มวันทั้งสองวัน ดังนั้นในพื้นที่ 4 จังหวัดจึงได้หยุดวันพฤหัสและวันศุกร์เต็มวันทั้งสองวันเช่นกัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
หญิงซีเรียขอร้องฝ่ายกบฏอย่าบุกเมือง อัล-รัคคา Posted: 04 Oct 2012 03:29 PM PDT เมือง อัล-รัคคา สมญานาม 'แหล่งพักพิง' การปฏิวัติซีเรีย มีประชาชนอพยพหนี เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาสำนักข่าวอัลจาซีร่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่ แอนดริว ซิมมอน ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่า อัล-รัคคา เป็นที่รู้จักกันดีฐานะ 'แหล่งพักพิง' ของการปฏิวัติซีเรีย ซึ่งฝ่ายกบฏได้รวมกำลังกันอยู่ นอกจากนี้ยังมีภาพวีดิโอ สตรีคลุมญิฮาบคนหนึ่งกล่าวขอร้ "พวกเราไม่สามารถไปที่อื่นได้อี ขณะที่กลุ่มนักกิจกรรมได้ขอให้ "ผมสนับสนุนกลุ่มกบฏปลดปล่อยซี ทางด้านกลุ่มกบฏบอกว่า อัล-รัคคา เป็นเมืองสำคัญที่ต้องบุกยึด "พวกเราจะบุกลงไปทางใต้ แล้วให้ประชาชนหนี ตุรกีออกคำสั่งใก้กำลังกับซีเรี เมื่อวันที่ 4 ต.ค. สำนักข่าวอนาโตเลียรายงานว่า สภาผู้แทนฯ ตุรกี มีมติอนุญาตให้ใช้กำลังข้ สภาตุรกีลงมติ 320 จาก 550 ให้ใช้กำลังข้ามพรมแดนได้ ซึ่งคำสั่งนี้กินเวลา 1 ปี โดย บีเซอร์ อตาเลย์ รองนายกฯ ตุรกี กล่าวว่าการออกคำสั่งครั้งนี้ สื่อรัฐบาลตุรกีรายงานว่ นายกรัฐมนตรีตุรกี เรเซป เทย์ยิบ เออร์โดแกน กล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวไม่ใช่ อิบราฮิม คาลิน ที่ปรึกษาระดับสูงของนายกรั องค์การสนธิสัญญาป้องกั ทางด้านสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศพันธมิ การประชุมดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ 63 ปีของนาโต้ ที่ประเทศสมาชิกถูกเรียกประชุ ที่มา เรียบเรียงจาก Civilians plead with Syrian fighters, Aljazeera, 03-10-2012 Turkey authorises use of force in Syria, Aljazeera, 04-10-2012
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น