โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

Posted: 06 Oct 2012 12:08 PM PDT

"เค้าลางสำคัญอันหนึ่งของการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 จากวันนี้จนถึงอนาคตกลับอยู่ที่การสร้างสรรค์ศิลปะในแบบพาณิชย์หรืองานทางวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มีจุดมุ่งหมายในเชิงพาณิชย์และความบันเทิงของคนหมู่มาก โดยเฉพาะบทบาทของภาพยนตร์และอาจจะไปถึงขั้นละคร ซึ่งตัวเหตุการณ์ 6 ตุลานั้นอาจจะไม่ใช่หัวใจสำคัญของเรื่องราวเท่ากับการกลายเป็น "ฉากหลัง" ของเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ"

ปาฐกถาในงานสัปดาห์รำลึก 36 ปี 6 ตุลา 2519 หัวข้อ "6 ตุลา 2519 กับอุดมการณ์คนรุ่นหลัง 6 ตุลา"

การลงทุนของจีนส่งผลกับการลอบตัดไม้ในลาวมากขึ้น

Posted: 06 Oct 2012 08:48 AM PDT

เจ้าหน้าที่ลาวยืนยันว่า การลงทุนของจีนที่นับวันมากขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้มีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในแขวงภาคเหนือของลาวมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เจ้าหน้าที่ชั้นสูงในกระทรวงกสิกรรม-ป่าไม้ลาว ได้ให้การยอมรับว่า การลงทุนของจีนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศราฐกิจในลาวก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก้ได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อสภาพแวดล้อมธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนลาวอย่างกว้างขวางอีกด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า บรรดาบริษัทจากจีนที่ลงทุนอยู่ในลาวโดยเฉพาะการลงทุนในภาคกสิกรรม ที่มีการเช่าที่ดินในบริเวณกว้างเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยางพารา ไม้วิก หรือยูคาลิปตัส มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และถั่วต่างๆ นั้น ก็ปรากฏว่าบรรดาบริษัทจากจีนเหล่านี้ ต่างก็ได้พากันตัดไม้ทำลายป่าอยู่ในลาวอย่างกว้างขวางอีกด้วย ดังที่เจ้าหน้าที่ลาวได้ยกตัวอย่างสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในแขวงพงสาลีว่า

"แขวงพงสาลีนี้ กรณีที่ประชาชนได้เสนอการเรียกร้องมากกว่าเรื่องอื่นก็คือ ปัญหาการตัดไม้ เพราะว่าปัญหาการตัดไม้นี้ถึงแม้ว่าฉากหน้าส่วนมากจะเป็นบริษัทของคนลาวก็ตาม แต่คนที่ตัดจริงนั้นเป็นจีน ตอนนี้เขาอยากตัดตรงไหนก็ตัด จึงทำให้ประชาชนอยากรู้เหตผลว่าตัดเพื่ออะไรถึงต้องตัดมากมายนัก ที่ที่ไม่ควรตัดก็ยังตัด ลามไปถึงเขตป่าสงวนของประชาชน"

ทางด้านเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเขตลุ่มแม่น้ำโขงได้รายงานว่า การลักลอบตัดไม้ในลาวได้กลายเป็นปัญหาที่นับวันจะใหญ่ขึ้น โดยเขตที่มีการลักลอบตัดไม้เถื่อนมากที่สุดในลาวนั้น ก็คือเขตชายแดนที่ติดต่อกับเวียตนาม จีน และไทย ซึ่งประมาณการว่า ได้มีการลักลอบตัดไม้และขนไม้ส่งออกจากลาวไปยัง 3 ประเทศดังกล่าวนี้ ในปริมาณมากกว่า 200,000 ลูกบาศก์เมตรในแต่ละปี

ทั้งนี้ จากการสำรวจสภาพป่าไม้ในลาวเมื่อปี 1992 ก็พบว่า ลาวมีอัตราความหนาแน่นของป่าไม้อยู่ถึง 47% ของพื้นที่ทั้งหมด หากแต่ว่าอัตราความหนาแน่นของป่าไม้ก้ได้ลดลงสู่ระดับ 41% ในปี 2002 และในปัจจุบันก็เชื่อว่า ป่าไม้ในลาวยังเหลืออยู่ไม่ถึง 40% ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยการส่งเสริมให้ภาคเอกชนดำเนินโครงการลงทุนเพื่อการปลูกต้นไม้สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปอย่างเอาจริงเอาจังนั้น ก็ทำให้ทางการลาวเชื่อมั่นว่า จะทำให้ป่าไม้ในลาวมีความหนาแน่นขึ้นเป็น 70% ของพื้นที่ทั้งประเทศได้ภายในปี 2020

ทางด้านกระทรวงแผนการและการลงทุน ก็ได้เสนอรายงานว่า นับจากปี 2000 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ จีนมีมูลค่าการลงทุนสะสมอยู่ในลาวมากกว่า 3,500 ล้านดอลลาร์ โดยถึงแม้ว่าจะเป็นอันดับ 2 รองจากเวียตนามก็ตาม หากแต่ก็เชื่อว่า การลงทุนของจีนในลาวจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในไม่ช้านี้ เนื่องจากว่ายังมีบรรดาบริษัทจากจีนจำนวนไม่น้อยที่เตรียมจะเข้ามาลงทุนในลาวเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงการลงทุนก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อมายังนครหลวงเวียงจัน โดยคิดเป็นมูลค่าถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ด้วย ซึ่งการลงทุนดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในลาวมากขึ้นไปอีก

 

แปลจาก http://lao.voanews.com/content/laos-chinese-investment/1517805.html


ภาษาลาวในข่าว เสนอคำว่า  ແມັດກ້ອນ (แม้ดก้อน) - ลูกบาศก์เมตร, cube metre

ແມັດກ້ອນ เป็นหน่วยที่ใช้วัดปริมาณการส่งออกไม้จากลาวไปยังประเทศต่างๆ ปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเป็นเรื่องน่ากังวลในลาว เนื่องจากการพัฒนาและให้สัมปทานทำเหมื

อง ทำเขื่อน และปลูกยางพารา เป็นเหตุให้ป่าไม้ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างจากข่าว 

ທາງດ້ານເຄືອຂ່າຍອະນຸລັກຊັບພະຍາກອນທໍາມະຊາດໃນເຂດລຸ່ມແມ່ນໍ້າຂອງໄດ້ລາຍ ງານວ່າ ການລັກລອບຕັດໄມ້ໃນລາວໄດ້ກາຍເປັນບັນຫາທີ່ໃຫຍ່ຂຶ້ນນັບມື້ ໂດຍເຂດທີ່ມີ ການລັກລອບຕັດໄມ້ເຖື່ອນຫຼາຍທີ່ສຸດໃນລາວນັ້ນ ກໍແມ່ນເຂດຊາຍແດນທີ່ຕິດຕໍ່ກັບຫວຽດ ນາມ ຈີນ ແລະໄທ ຊຶ່ງປະມານການວ່າ ໄດ້ມີການລັກລອບຕັດໄມ້ ແລະຂົນສົ່ງໄມ້ອອກ ຈາກລາວໄປຍັງ 3 ປະເທດດັ່ງກ່າວນີ້ ໃນປະລິມານຫຼາຍກວ່າ 200,000 ແມັດກ້ອນ ໃນແຕ່ລະປີ.

ทางด้านเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเขตลุ่มน้ำโขงได้รายงานว่า การลักลอบตัดไม้ในลาวได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้น โดยเขตที่มีการลักลอบตัดไม้เถื่อนมากที่สุดในลาวนั้นคือเขตชายแดนที่ติดกับเวียตนาม จีน และไทย ซึ่งประมาณการว่า ได้มีการลักลอบส่งไม้ออกจากลาวไปยัง 3 ประเทศดังกล่าวนี้ในปริมาณมากกว่า 200,000 ลูกบาศก์เมตรในแต่ละปี

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 30 ก.ย. - 6 ต.ค. 2555

Posted: 06 Oct 2012 07:03 AM PDT

จี้บริษัทจัดหางานจ่ายค่าจ้าง แรงงานเก็บเบอร์รีป่าสวีเดน

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่กลุ่มแรงงานไทยจำนวนกว่า 100 คน เดินทางไปเก็บผลเบอร์รีป่าในประเทศสวีเดน ร้องเรียนว่ายังไม่ได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทนายหน้าว่า ได้สั่งการให้กรมการจัดหางาน (กกจ.) เรียกบริษัทที่จัดส่งแรงงานชี้แจง ได้ข้อสรุปว่า แรงงานที่ร้องเรียนมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจำนวนกว่า 70 คน เดินทางไปสวีเดนโดยผ่านบริษัท เค เค วาย บิสซิเนส จำกัด โดยได้รับเงินค่าจ้าง 2 งวดแรกจากบริษัทแล้ว เหลือเพียงค่าจ้างงวดสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งบริษัทยืนยันว่าจะจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายภายในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ ส่วนกลุ่มที่ 2 ประมาณ 120 คน เดินทางไปสวีเดนผ่านบริษัท ทีเอสลอร์ แอนด์ บิสซิเนส จำกัด คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะดำเนินการจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายให้กับแรงงานแล้ว เสร็จ อย่างไรก็ตาม ได้มีการกำชับกับ กกจ.ให้สื่อสารกับคนงานว่าหากนายจ้างผิดสัญญาสามารถมาร้องเรียน เพื่อให้ กกจ.ออกคำสั่งให้ทั้ง 2 บริษัทปฏิบัติตาม

"นอกจากนี้ ยังมอบให้ กกจ.ศึกษารูปแบบการเดินทางไปเก็บผลเบอร์รีป่าที่ประเทศสวีเดน ว่าการเดินทางไปโดยบริษัทจัดส่งแรงงานกับการที่แรงงานไทยเดินทางไปเองโดยใช้ วีซ่านักท่องเที่ยว หรือเรียกว่าการเดินทางแบบมาดามนั้น รูปแบบใดที่มีความคุ้มค่ามากกว่ากัน ทั้งนี้ เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้แรงงานเดินทางไปทำงานในครั้งต่อไป" นายเผดิมชัยกล่าว และว่า ภายในเดือนตุลาคมนี้จะแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ 1 ชุด ทำหน้าที่แก้ปัญหาข้อร้องเรียนให้แก่แรงงานที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เช่น ทำงานแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง ฯลฯ และว่าไม่ได้มีความคิดจะปิดกั้นบริษัทจัดหางานไม่ให้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงาน ต่างประเทศ แต่อยากให้บริษัทจัดหางานดูแลแรงงานไทยและเก็บค่าใช้จ่ายที่เป็นธรรม เพื่อให้แรงงานไทยมีเงินเหลือส่งกลับมาให้ครอบครัว ไม่ใช่ไปแล้วต้องไปทำงานใช้หนี้จนไม่มีเงินเหลือเก็บ

(ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 3-10-2555)

เตรียมขึ้นค่าจ้างพาร์ทไทม์นักศึกษา 37.5-40 บาท/ชม.

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ประธานคณะกรรมการค่าจ้างกลาง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลางวันที่ 3 ต.ค. หารือถึงการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างรายชั่วโมงสำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยมีตัวเลขที่กำลังพิจารณา 2 อัตรา คือ ชั่วโมงละ 37.5 บาท และ 40 บาท นอกจากนี้ยังมีประเด็นทางกฎหมายว่าคณะกรรมการค่าจ้างมีอำนาจบังคับผู้ประกอบ กอบการให้จ่ายค่าจ้างพาร์ทไทม์ตามอัตราที่กำหนด หรือทำได้เพียงประกาศเป็นอัตราค่าจ้างแนะนำเท่านั้น

นพ.สมเกียรติ กล่าวว่า ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองไปศึกษาประเด็นดัง กล่าวเพิ่มเติม และจะมีการหารือสรุปอีกครั้งในวันที่ 7 พ.ย.นี้

ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างรายชั่วโมงสำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษาปัจจุบันอยู่ที่ 30 บาท/ชั่วโมง โดยภาคเรียนปกติให้ทำงานได้ไม่เกินวันละ 4 ชั่วโมง หากปิดภาคเรียนไม่เกินวันละ 6 ชั่วโมง รวมแล้วไม่เกินสัปดาห์ละ 36 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ลักษณะงานที่ทำ ต้องเป็นงานที่มีความปลอดภัยและไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ใช่สถานที่ที่ห้ามนักเรียนนักศึกษาทำงาน เช่น สถานที่เล่นการพนัน สถานที่เต้นรำ รำวงหรือรองเง็ง ตลอดจนสถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายและบริการโดยมีผู้บำเรอสำหรับปรนนิบัติ ลูกค้า หรือโดยมีที่สำหรับพักผ่อนนอนหลับหรือมีบริการนวดแก่ลูกค้า ซึ่งนักศึกษาที่ทำงานต้องแต่งกายเครื่องแบบนักศึกษา หรือแบบฟอร์มที่มีสัญลักษณ์แสดงตนว่าเป็นนักเรียนนักศึกษาที่ทำงานชนิดไม่ เต็มเวลา

(โพสต์ทูเดย์, 3-10-2555)

ชง ครม.ประกาศค่าจ้าง 300 บ.ทั่วประเทศไม่เชื่อโพลบอกตกงาน 1.2 ล้านคน มั่นใจจ้างงานขยายตัว

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้างกลาง กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลางว่า ที่ประชุมมีมติรับรองการประชุมครั้งที่ผ่านมา เห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท ใน 70 จังหวัด ในวันที่ 1 มกราคม 2556 และให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ รวมทั้งกระทรวงแรงงานจะเสนอมาตรการช่วยเหลือในรูปแบบแพคเกจให้แก่ธุรกิจ ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีด้วย โดยจะติดตามสถานการณ์ของสถานประกอบการว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และจะเน้นพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อเพิ่มผลผลิตให้แก่สถานประกอบการ คาดว่าจะเสนอประเด็นทั้งหมดเข้า ครม.ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้

นพ.สมเกียรติกล่าวถึงกรณีที่มีโพลของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งคาดการณ์ ว่า การปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท ใน 70 จังหวัดที่เหลือ จะทำให้มีแรงงานตกงานกว่า 1.2 ล้านคน คิดว่าไม่น่าเป็นห่วงเพราะการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งที่ผ่านมา ทำให้การจ้างงานขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว

นพ.สมเกียรติกล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ทำงานพาร์ตไทม์ในสถานประกอบการต่างๆ ซึ่งฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการได้เสนอผลการศึกษาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้าง ดังกล่าว 2 อัตรา ได้แก่ 37.50 บาทต่อชั่วโมงต่อคน และ 40 บาทต่อชั่วโมงต่อคน โดยกำหนดเงื่อนไขทำงานนอกเวลาเรียนไม่เกินวันละ 4 ชั่วโมง ช่วงปิดเทอมไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง และแต่งกายด้วยชุดนักเรียน นักศึกษา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปและจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 7 พฤศจิกายน

(มติชนออนไลน์, 4-10-2555)

สมานฉันท์แรงงานไทยรวมพล 7 ต.ค. รณรงค์วันงานที่มีคุณค่า

ที่พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มักกะสัน กทม. นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เปิดเผยว่า คสรท.ร่วมกับคณะทำงานผลักดันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล "World Day for Decent Work" ในวันที่ 7 ตุลาคม 2555 ณ หน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ จะมีกิจกรรมรณรงค์ เปิดเวทีปราศรัย และยื่นหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมี 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ให้รัฐบาลไทยรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 โดยด่วน 2.การยกเลิกการจ้างงานระยะสั้นทุกประเภทที่ทำให้ลูกจ้างทุกระดับขาดความมั่น คง รวมถึงการจ้างงานผ่านบริษัทนายหน้า ผ่านผู้รับเหมาช่วง ตลอดจนการจ้างงานที่ไม่มีความแน่นอน 3. การปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองแรงงานไร้ฝีมือเมื่อแรก เข้าทำงานเท่านั้น และค่าจ้างต้องเพียงพอต่อการครองชีพของลูกจ้างและสมาชิกในครอบครัว หลังจากนั้นอัตราค่าจ้างต้องปรับตามประสบการณ์และฝีมือแรงงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ต้องมีการพิจารณาถึงกลุ่มแรงงานนอกภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างในสถาน ประกอบการ หรือผู้ที่ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการปรับค่าจ้างหรือไม่มีค่าจ้างจากการ จ้างแรงงาน และการปฏิรูประบบประกันสังคม 4.การยกเลิกการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 5.การสนับสนุนการบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ 6.การจัดการด้านสุขภาพอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย

นายชาลี กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยมีแรงงานไทยไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบหรือแรงงานนอกระบบ รวมถึงในกลุ่มแรงงานข้ามชาติอีกจำนวนมากที่ยังห่างไกลจากคำว่างานที่มีคุณ ค่า ปัญหาหลักที่ทำให้แรงงานทุกกลุ่มยังเข้าไม่ถึงการจ้างงานที่มีคุณค่า คือ ข้อจำกัดของกฎหมาย รวมถึงความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนความไม่กล้าหาญของรัฐบาลไทยในการยอมรับหลักการและสิทธิพื้นฐานในการทำ งานที่เป็นมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ จึงทำให้คุณค่าของแรงงานบางกลุ่มถูกประเมินต่ำเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่เปราะบางและเข้าไม่ถึงโอกาส เช่น แรงงานเหมาช่วง เหมาค่าแรง เป็นต้น

"การที่รัฐบาลสามารถสร้างให้เกิดงานที่มีคุณค่าให้แก่คนทำงานได้อย่าง ทั่วถึง จึงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องการคุ้มครองแรงงานและการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานใน การทำงานเท่านั้น เพราะเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานทุกคนได้ทำงานที่มีคุณ ค่า เพื่อการมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดี"ประธาน คสรท.กล่าว

(เนชั่นทันข่าว, 3-10-2555)

"สหภาพชาร์ป"เฮ! นายจ้างรับกลับเข้าทำงาน หลัง กสร.เคลียร์ปมข้อพิพาท

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่กระทรวงแรงงาน นายอาทิตย์ อิสโมอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานกรณีนายจ้างบริษัท เฟดเดอรัล อิเลคตริค (จำกัด) เลิกจ้างประธานและกรรมการสหภาพแรงงานรวม 10 คน ว่า กรณีดังกล่าวทางฝ่ายนายจ้างได้ยินยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานที่ให้ ประธานและกรรมการสหภาพซึ่งถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงานได้ตามปกติในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ส่วนข้อเรียกร้องอื่นๆ เช่น สภาพการจ้างงาน เงินโบนัส เบี้ยขยัน ค่าอาหารนั้น ทางบริษัทยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงาน

นายอาทิตย์กล่าวว่า ข้อพิพาทดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยสหภาพแรงงานได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจ้างจำนวน 11 ข้อ แต่ทางบริษัทชี้แจงว่าจะไม่มีการเจรจา เนื่องจากข้อตกลงสภาพการจ้างเดิมยังมีผลบังคับใช้อยู่ จึงทำให้ทางสหภาพแรงงานไม่พอใจและยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ รวมทั้งได้นัดรวมตัวชุมนุมกันอยู่ที่หน้าบริษัทในวันที่ 18 กันยายนเป็นต้นมา และจะมีการนัดหยุดงานในวันนี้ (4 ตุลาคม) เพื่อกดดันบริษัท

"ผมเกรงว่าเหตุการณ์จะบานปลายจึงได้สั่งให้พนักงานประนอมข้อพิพาทเข้าไป เจรจา ไกล่เกลี่ย และได้เรียกตัวแทนทั้งสองฝ่ายมาตกลงกันที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งการเจรจาก็เป็นไปด้วยดี" อธิบดี กสร.กล่าว  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เฟดเดอรัล อิเลคตริค (จำกัด) ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ประกอบกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนยี่ห้อ SHARP (ชาร์ป) มีลูกจ้าง 964 คน และมีลูกจ้างเหมาค่าแรง 1,200 คน โดยเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานกว่า 500 คน

(มติชน, 5-10-2555)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จดหมายเรื่อง 'พระเจ้า' ของไอน์สไตน์ ถูกนำมาประมูลผ่าน eBay

Posted: 06 Oct 2012 05:19 AM PDT

จดหมายของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่เขียนโต้เถียงกับนักปรัชญาชาวยิวในเรื่องพระเจ้าและคัดค้านเรื่องที่ว่าชาวยิวเป็นเชื้อชาติผู้ถูกเลือก ถูกนำมาประมูลผ่าน eBay ด้วยราคาเริ่มต้น 3 ล้านดอลลาร์




6 ต.ค. 2012 - จดหมายของนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เขียนความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง 'พระเจ้า' จะถูกนำมาประมูลผ่านเว็บ eBay ในวันที่ 8 ต.ค. นี้

จากการศึกษาสมองของเขาไปจนถึงการพยายามพิสูจน์ทฤษฎีฟิสิกส์ มีนักวิทยาศาสตร์และผู้ที่สนใจจำนวนหนึ่งต้องมนต์เสน่ห์ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มานานแล้ว และในตอนนี้ก็กำลังจะมีการนำผลงานความคิดของไอน์สไตน์ออกประมูลทั่วโลก ในมุมมองต่อคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ คือการมีอยู่ของพระเจ้า

ไอน์สไตน์ได้เขียนจดหมายส่วนตัวแสดงความเห็นต่อเรื่องพระเจ้าและศาสนาไว้ และจดหมายฉบับนี้จะมีการนำมาประมูลผ่านเว็บ eBay ในวันที่ 8 ต.ค. นี้ ในจดหมายไอน์สไตน์บอกว่าความเชื่อในศาสนาและพระเจ้าเป็นเรื่องไร้เดียงสาเหมือนเด็ก และกล่าวเย้ยหยันเรื่องแนวคิดที่ว่าชาวยิวเป็นกลุ่มคนผู้ที่ถูกเลือก

"นี่เป็นจดหมายชิ้นที่สำคัญและเป็นประวัติศาสตร์มากที่สุดที่เราได้วางประมูลใน eBay" อิริค กาซิน ประธานของอ็อกชั่น คอส บริษัทตัวแทนการจัดการด้านการขายกล่าว "พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเสนอเอกสารที่น่าจะมีเสน่ห์ที่สุดในยุคศ.ต.ที่ 20 ต่อบุคคลหรือองค์กรใดๆ ก็ตาม"

จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่ไอน์สไตน์เขียนด้วยมือเป็นภาษาเยอรมนีส่งให้นักปรัชญาชาวยิว อิริค บี. กุตไคน์ ในวันที่ 3 ม.ค. 1954 หนึ่งปีก่อนที่ไอน์สไตน์จะเสียชีวิต จดหมายฉบับนี้เป็นการโต้ตอบหนังสือของกุดไคน์เรื่อง "เChoose Life: The Biblical Call to Revolt"

ในส่วนหนึ่งของจดหมายฉบับนี้ ไอน์สไตน์เขียนว่า "สำหรับผมแล้วศาสนายิวก็เหมือนศาสนาอื่นๆ ตรงที่เป็นการกำเนิดของเรื่องอภินิหารไร้เดียงสา และกับชาวยิวที่ตัวผมเองก็เป็นอย่างภาคภูมิใจรวมถึงคนที่ผมมีความใกล้ชิดทางใจด้วย ก็ไม่ได้มีคุณค่าแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ เลย ตามประสบการณ์เท่าที่ผมมี พวกเขาก็ไม่ได้ดีกว่ามนุษย์กลุ่มอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องจากมะเร็งที่ร้ายแรงที่สุดอย่างการขาดอำนาจ อย่างไรก็ตาม ผมไม่เห็นเลยว่าพวกเขาจะ 'ถูกเลือก' มาอย่างไร" โดยมีการถอดความจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษโดย โจแอน สตัมบากห์

ในหนังสือของกุดไคน์เสนอว่าชาวยิวไม่เหมือนกับมนุษย์โลกในยุคนั้นที่อยู่ในสภาพเหมือนถูกสะกดจิตหมู่ "จิตวิญญาณของชาวยิวไม่เคยเป็นจิตวิญญาณแบบหมู่มวล จิตวิญญาณของอิสราเอลไม่สามารถถูกสะกดจิตได้ มันไม่เคยถูกจู่โจมด้วยการสะกดจิต... จิตวิญญาณของอิสราเอลไม่อาจถูกทำให้แปดเปื้อน"

ในจดหมายของวันที่ 24 มี.ค. 1954 ไอน์สไตน์เขียนว่า "แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องโกหกหากคุณได้อ่านเรื่องศรัทธาอันแรงกล้าในศาสนาของผม เป็นเรื่องโกหกที่มีการผลิตซ้ำอย่างเป็นระบบ ผมไม่เชื่อในพระเจ้าส่วนบุคคล และถึงจะไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ แต่ผมก็ได้แสดงออกอย่างกระจ่างชัดแล้ว หากจะมีอะไรก็ตามที่จะเรียกผมว่าเป็นคนมีศาสนาได้ มันก็น่าจะเป็นเรื่องความชื่นชมอย่างไม่จำกัดต่อโครงสร้างของโลกเท่าที่วิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยออกมา"

อย่างไรก็ตาม ในจดหมายถึงกุดไคน์ ไอน์สไตน์เขียนว่าพระเจ้า "ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการแสดงออกและผลผลิตของความอ่อนแอในตัวมนุษย์ เป็นคัมภัร์ที่รวบรวมเรื่องราวที่น่านับถือ แต่ก็เป็นตำนานโบร่ำโบราณที่ยังไงก็ดูไร้เดียงสาแบบเด็กๆ"

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จดหมายเกี่ยวกับ 'พระเจ้า' ถูกนำมาประมูล ในปี 2008 บทความในนิวยอร์กไทม์รายงานว่ามีผู้ซื้อไม่ระบุนามคนหนึ่งที่มีความสนใจต่อฟิสิกส์ทฤษฎีอย่างมาก ได้ประมูลซื้อจดหมายจาก บลูมเบอร์รี อ็อกชั่น เซลล์ ในลอนดอนเป็นจำนวนเงิน 404,000 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าราคาก่อนขายที่ประเมินไว้ถึง 25 เท่า

eBay กล่าวว่า จดหมายถึงกุดไคน์ถูกเก็บรักษาไว้ในสถาบันการศึกษาที่เชี่ยวชาญเรื่องการรวบรวมมรดกทางวัฒนธรรม โดยมีการปรับสภาพอุณหภูมิ ความชื้น และแสงสว่าง ที่เหมาะสม จากการที่จดหมายฉบับนี้เป็นที่รู้จักในหมู่นักวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลา 50 ปีแล้ว จึงไม่ต้องตั้งคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ จดหมายฉบับนี้ถูกบรรจุในซองตามต้นฉบับ มีสแตมป์และตราไปรษณีย์จากปรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี ที่ไอน์สไตน์อาศัยอยู่จนกระทั่งเสียชีวิต

Livescience รายงานว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีโครงการจำนวนมากที่ทำให้อัจฉริยะผู้โด่งดังผู้นี้ลงมาใกล้ชิดกับมนุษย์เดินดินมากขึ้น เช่น ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีการรวบรวมเอกสารจำนวนมากของไอน์สไตน์ ทั้งจดหมายส่วนตัวไปจนถึงบันทึกทางวิทยาศาสตร์เขียนด้วยลายมือ มีการถูกนำมาเผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยความตั้งใจของหน่วยงานจดหมายเหตุอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเลม และของโครงการเอกสารไอน์สไตน์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย

เอกสารต่างๆ เหล่านี้เปิดเผยทั้งด้านที่เป้นนักวิชาการของไอน์สไตน์ เช่น หนึ่งในบันทึกลายมือของไอน์สไตน์ที่เขียนสูตรสมการ E=mc^2 ที่มีชื่อเสียง และด้านที่เป็นชีวิตส่วนตัว เช่น โปสการ์ดถึงแม่เขาที่ชื่อพอลลีน

และในปี 2011 ที่ผ่านมา ชิ้นส่วนสมองของเขาถูกนำมาเผยแพร่เป็นครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์มุตเตอร์ ฟิลาเดลเฟีย และหอสมุดประวัติศาสตร์การแพทย์ และเมื่อเดือนที่แล้วก็มีโปรแกรมแอปปลิเคชั่นของ iPad ที่สามารถให้ผู้ใช้ได้เห็นสมองส่วนสีเทา (Gray matter) ของไอน์สไตน์อย่างใกล้ชิดได้

จดหมายฉบับล่าสุดของไอน์สไตน์จะถูกนำมาประมูลในวันที่ 8 ต.ค. โดยเปิดประมูลเริ่มต้นที่ 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 91 ล้านบาท)


ที่มา:

Einstein's Letter Questioning God Goes Up for Auction, Livescience, 05-10-2012
http://www.livescience.com/23758-einstein-god-letter-auction.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เหยื่อซุ่มยิงวัดปทุมฯ พยานเอกคดี 6 ศพ "กิตติชัย แข็งขัน" สิ้นใจอีกราย

Posted: 06 Oct 2012 04:43 AM PDT


เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่าเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมาที่ห้างสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นางธิดา โตจิราการ ประธานนปธ. พร้อมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทร ปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำนปช. ร่วมแถลงประจำสัปดาห์ พร้อมทั้งขอให้กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที ให้นายกิตติชัย แข็งขัน หนึ่งในผู้ถูกยิงหน้าวัดปทุมวนา ราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 และยังเป็นพยานปากสำคัญในคดี 6 ศพวัดปทุมฯ ที่ล่าสุดเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา และมีพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 5 ต.ค. นี้ ที่บ้านเกิด อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น อีกทั้งนางธิดายังเปิดคลิปวิดีโอของนายกิตติชัย ที่เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ถูกยิง และได้รับการช่วยเหลือจากพยาบาลอาสา โดยช่วงสุดท้ายของคลิป เป็นภาพนายกิตติชัยนอนคว่ำหน้าอยู่บนเสื่อ บริเวณหลังมีผ้าปิดแผล และมีไม้ดาม

นางธิดากล่าวว่า นายกิตติชัยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม เพียงแต่เข้ามาดูเหตุการณ์เท่านั้น ขอ ฝากไปยังนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่บอกว่ายิงกันเอง โดยอ้างว่าวิถีกระสุนที่ไปถูกน.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา ส่วนหนึ่งมาจากล่างไปสู่บน จึงอยากฝากไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นจริงได้ ยิ่งพยายามโยนความผิดให้คนเสื้อแดง และกล่าวหาว่าชายชุดดำเป็นคนเสื้อแดง หรือบอกว่ายิงกันเอง บ่วงนี้ก็ยิ่งรัดคอพวกคุณ มากเท่านั้น

ประธานนปช.กล่าวต่อว่า โดยก่อนหน้านี้ที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) สรุปรายงานออกมา ทางนปช.ก็โต้แย้งไปจำนวนหนึ่ง อีกทั้งเตรียมเขียนและแปลเป็นภาษาอังกฤษ นอกจากฉบับของนปช.แล้ว ยังจะมีของนักวิชาการและบุคคลอื่นๆ โดยเฉพาะเอกสารของศูนย์ข้อมูลประ ชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) เพื่อนำไปสู่สังคมโลกให้มากขึ้น

นางธิดากล่าวว่า คณะกรรมการอิสระทั้งหลาย รวมถึงกฎหมาย และรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐ ประหาร แสดงตัวตนว่าเป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ชนและอำมาตย์ ไม่ใช่ทำงานเพื่อประชาชน ดังนั้น ยุทธศาสตร์การเปิดโรงเรียนนปช. ก็เพื่อให้ได้กฎหมาย และรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน การที่ไปฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ อาจมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาสักระยะ และอยาก ให้รัฐบาลลงนามยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ กรณีการปราบปรามประชาชนในปี 2553 เพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ และทำความจริงให้ปรากฏ

ประธานนปช.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ขอแสดงความเสียใจต่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งต่างๆ ในพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นกับดักการตรวจสอบของระบอบอำมาตย์ที่วางไว้ เชื่อว่าการที่พรรคเพื่อไทยถูกกระทำ จะทำให้คนในพรรคเข้าใจความเป็นจริงว่า อำนาจที่ท่านได้มานั้นเป็นของปลอม เพราะท่านกำลังจะถูกอำนาจจริงบีบคอ แต่เราจะเอาใจช่วย สำหรับโรงเรียนนปช. ในวันที่ 21 ต.ค. จะไปเปิดที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี วันที่ 28 ต.ค. ที่ จ.อุตรดิตถ์ และเดือนพ.ย. จะไปเปิดที่ประเทศเยอรมนี และจะเชิญคนจากแดนไกลมาเป็นวิทยากรด้วย

ส่วนนายวรชัยกล่าวว่า นายยงยุทธก็ลาออกจากรัฐมนตรีแล้ว ต่อไปคนที่ใช้เอกสารเท็จและหนีทหาร ก็ต้องลาออกด้วย เพราะไม่มีเอกสารมายืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดจริง ฉะนั้น ต้องลาออก ไม่เช่นนั้นจะเรียกร้องให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ปรับย้อนหลัง และเรียกคืนยศร้อยตรี เพราะเป็นการกระทำผิดที่ชัดแจ้งที่สุด

ขณะที่ นพ.เหวงกล่าวว่า เตรียมหลักฐานภาพ ถ่ายไปมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นภาพชายชุดดำที่เป็นพวกเจ้าหน้าที่ และจะให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เรียกนายสมชาย หอมลออ กรรมการคอป. มาสอบสวนด้วย เพราะอยากจะทราบว่า ในรายงาน 36 หน้าของคอป.ที่อ้างถึงชายชุดดำ ทำไมถึงไม่มีรูปถ่ายมายืนยันแม้ แต่รูปเดียว และอยากจะขอหลักฐานที่เป็นวิทยา ศาสตร์ด้วย ไม่ใช่มากล่าวหากันลอยๆ โดยจะให้ ดีเอสไอสอบสวนใน 2 กรณี คือกรณีที่นายสมชายบอกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยิงปืนจากวัดปทุมฯ ทำให้รางรถไฟฟ้ามีรอยแตก และกรณียึดปืนเอ็ม 16 จากฐานพระในวัดปทุมฯ ที่ไม่มีหลักฐานภาพถ่ายมา ตีพิมพ์ในรายงานแต่อย่างใด ถ้าดีเอสไอสอบสวนแล้วพบว่า คอป.โกหก นายสมชาย และนายคณิต ณ นคร ประธานคอป. ต้องรับผิดชอบด้วย

นพ.เหวงกล่าวต่อว่า อีกทั้งส่วนหนึ่งในรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ระบุถึงกรณีการยกเลิกการประชุมอาเซียน เมื่อปี 2552 ว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงสร้างความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของประเทศไทย แต่กลับไม่เขียนตำหนิการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เลย เช่นการบุกยึดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ไม่ทราบว่าใครทำให้ประเทศไทยเสียหายมากกว่ากัน จึงอยากให้ประชาชาชนช่วยกันตรวจสอบว่า คณะกรรมการสิทธิฯ ชุดนี้ควรจะทำงานต่อไปหรือไม่

จากนั้นเวลา 15.45 น. ที่ดีเอสไอ นพ.เหวงเข้าพบพ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดี 98 ศพ เพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 พร้อมทั้งยื่นหนังสือขอให้ดีเอสไอตรวจสอบรายงานฉบับสมบูรณ์ของคอป. ที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงชายชุดดำจำนวน 36 หน้า ว่ามีหลักฐานหรือพยานส่วนใดที่ทำให้คอป.มีข้อสรุปว่ามีชายชุดดำจริง อีกทั้งต้องการให้ดีเอสไอเรียกนายคณิตและนายสมชายเข้าให้ปากคำถึงกรณีดังกล่าวอย่างละเอียดด้วย

นพ.เหวงกล่าวว่า ภาพถ่ายที่คอป.อ้างว่าเป็นชายชุดดำเป็นการอ้างจากแหล่งข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ แต่ไม่ระบุตัวบุคคล ดังนั้น จึงนำภาพชายชุดดำหลายภาพมาให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจสอบว่าเป็นเจ้าหน้าที่แต่งกายนอกเครื่องแบบและใช้อาวุธสงครามหรือไม่ เนื่องจากหลายภาพปรากฏให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ถืออาวุธอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการจัดฉากของรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธปราบปรามประชาชน นอกจากนี้ ยังต้องการให้ดีเอสไอนิยามคำว่าชายชุดดำให้ชัดเจนว่าหมายถึงบุคคลกลุ่มใด และหากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่าชายชุดดำไม่เป็นความจริงคอป.จะรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสอบปากคำ นพ.เหวง ทางพนักงานสอบสวนซักถามในประเด็นที่ นพ.เหวงกล่าวปราศรัยบนเวทีเกี่ยวกับแนวทางสันติวิธี โดย นพ.เหวงอธิบายว่า เป็นการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธ และเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นช่วงที่รัฐบาลนายภิสิทธิ์ สั่งเจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ และกระชับพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก นอกจากนี้ นพ.เหวง ยังอธิบายภาพถ่ายชายฉกรรจ์ถืออาวุธปืน และภาพถ่ายกลุ่มชายชุดดำที่เดินอยู่ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยตั้งข้อสังเกตว่า ชายกลุ่มดังกล่าวน่าจะเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องการให้พนักงานสอบสวนสอบหาข้อเท็จริงว่าเป็นใคร จากนั้นมอบภาพถ่ายและซีดีการปราศรัยให้พนักงานสอบสวน

ด้านพ.ต.อ.ประเวศน์กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของนายกิตติชัย พยานปากสำคัญคดี 6 ศพวัดปทุมฯ ว่า สั่งการให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบสำนวนคดี 6 ศพวัดปทุมฯ รีบตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งสาเหตุของการเสียชีวิตจากทางญาติของนายกิตติชัยอย่างเร่งด่วนว่าเสียชีวิตจากสาเหตุใด นายกิตติชัยเป็นพยานสำคัญคนหนึ่งในคดี แต่ก็ยังมีพยานสำคัญอีกหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น การเสียชีวิตของนายกิตติชัยนับเป็นรายที่ 99 แล้ว แต่คงไม่ทำให้คดีวัดปทุมฯ ได้รับผลกระทบอะไรเพราะยังมีพยานอีกเยอะที่ให้การไว้ก่อนหน้านี้

ส่วนนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความคดี 6 ศพวัดปทุมฯ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า เมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของนายกิตติชัยก็ประสานไปทางญาติ โดยแนะนำให้ชะลอการฌาปนกิจศพออกไปก่อน จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 5 ต.ค.นี้ เนื่องจากเชื่อว่าสาเหตุการเสียชีวิตน่าจะสืบเนื่อง จากการที่นายกิตติชัยถูกยิงเข้าที่ปอดและมือ จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ที่วัดปทุมฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ร.พ.ศิริราช หลังออกจากร.พ.นายกิตติชัยต้องพบแพทย์เป็นประจำ พร้อมกันนี้ทีมทนายยังแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบเพื่อให้ส่งศพคืนมาผ่าพิสูจน์ใหม่ เพราะตอนเสีย ชีวิตที่ร.พ.ศิริราชยังไม่ได้ผ่าพิสูจน์

"เท่าที่ทราบเขาเจ็บป่วยรักษาตัวมาตลอด ทางกฎหมายถือว่าเป็นเหตุเชื่อมโยงทำให้อ่อนแอ เพราะจากการถูกยิงอาจทำให้มีโรคอื่นแทรกซ้อนเข้ามาจึงอยากให้ผ่าพิสูจน์ก่อน เพราะอาจจะเป็นศพที่ 99 ในการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553? ทนายความคดี 6 ศพวัดปทุมฯ กล่าว

นายโชคชัยกล่าวอีกครั้งว่า แต่ล่าสุดทราบว่าญาติทำพิธีฌาปนกิจศพไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของนายกิตติชัยไม่ส่งผลกระทบต่อรูปคดี เพราะนายกิตติชัยให้การในชั้นพนักงานสอบสวนอย่างละเอียดชัดเจนแล้ว ดังนั้น เมื่อให้การไว้แล้วจึงไม่มีอะไรต้องห่วง อีกทั้งทนายได้แถลงต่อศาลไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมาว่าขอนำคำให้การของนายกิตติชัยมาพิจารณาในศาลด้วย นอกจากนี้ ยังมีประจักษ์พยานอีกหลายปากที่รอให้การในศาล จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อคดี 6 ศพวัดปทุมฯ แต่อย่างใด

ต่อมาผู้สื่อข่าวตรวจสอบไปยังญาติพี่น้องของนายกิตติชัยที่อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น โดยนายไวพจน์ ปะวะสาเท น้องเขยของนายกิตติชัยเปิดเผยว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 5 ต.ค. ญาติพี่น้องได้ร่วมกันทำพิธีฌาปนกิจศพนายกิตติชัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่วัดศิลาอาสน์ บ้านหินลาด ต.พังทุย อ.น้ำพอง แต่ก่อนหน้านี้ทางญาติพี่น้องได้รับการติดต่อจากทนายความคดีวัดปทุมฯ ว่าอย่าเพิ่งฌาปนกิจศพ พร้อมทั้งแนะนำว่าให้นำศพผ่าพิสูจน์ก่อน แต่ทางพ่อแม่ของนายกิตติชัยไม่ติดใจการเสียชีวิต เพราะได้ดูศพแล้วไม่เห็นว่ามีร่องรอยบาดแผลใด จึงอยากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้เสร็จสิ้นไป

ด้านนางธิดากล่าวเพิ่มเติมกรณีนายกิตติชัยเสียชีวิตว่า ทราบข่าวจากพล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ว่านายกิตติชัยเสียชีวิตจากเส้นเลือดอุดตัน จึงประสานงานไปที่ภรรยาของนายกิตติชัยเพื่อจะส่งเงินช่วยเหลือ ในตอนแรกคาดว่าจะไปร่วมงานศพแต่ไปไม่ทัน ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตนั้นยังตอบไม่ได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร แต่เป็นที่น่าสงสัยว่านายกิตติชัยยังมีสภาพร่างกายแข็งแรงอยู่ ทำไมถึงได้เสียชีวิตอย่างรวดเร็วกะทันหัน คงต้องตรวจสอบรายละเอียดจากแพทย์ที่ดูแลรักษา

วันเดียวกัน (5 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 21 หมู่ 7 บ้านหินลาด ต.พังทุย อ.น้ำพอง บ้านของนายปราณี แข็งขัน นางเหรียญทอง แข็งขัน พ่อแม่ของนายกิตติชัย โดยนางเหรียญทองกล่าวว่า ลูกชายไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ มีอาชีพเป็นช่างก่อสร้างรับจ้างทั่วไป และไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง จนกระทั่งวันที่ 19 พ.ค.2553 ลูกชายถูกยิงขณะหลบอยู่ใต้ท้องรถในวัดปทุมฯ ถูกยิงเข้าที่สะโพกด้านหลังและฝ่ามือขวา บาดเจ็บสาหัส นำส่งร.พ.กลาง รักษาตัวอยู่ 25 วัน อาการบาดเจ็บค่อยยังชั่ว จึงกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ระหว่างนั้นมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาเยี่ยมให้กำลังใจ ส่วนค่ารักษาทางพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงช่วยเหลือ

นางเหรียญทองกล่าวว่า ก่อนเสียชีวิตนายกิตติชัยทำงานเป็นหัวหน้ารปภ.อยู่ที่หมู่บ้านฮันนี่วิว พุทธมณฑลสาย 2 เขตตลิ่งชัน หลังจากเลิกงานออกเวรนอนพักผ่อนอยู่ในป้อมยาม ระหว่างนั้นมีอาการนอนสะดุ้งหลายครั้ง เพื่อนๆ จึงปลุกและถามว่าเป็นอะไร ต่อมามีอาการปวดหัวจึงให้เพื่อนไปซื้อยาแก้ปวดมาให้กินแล้วนอนต่อ จนกระทั่งเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 1 ต.ค. เพื่อนมาปลุกแต่ไม่ตื่นและมารู้ว่าเสียชีวิตแล้ว จึงแจ้งให้ตำรวจมาดู และนำศพส่งร.พ.ศิริราช ผลการตรวจทางแพทย์บอกว่าหัวใจล้มเหลว ทางพ่อแม่และญาติพี่น้องไม่ติดใจและทำพิธีฌาปนกิจศพไปแล้ว โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมอบเงิน 120,000 บาทช่วยเหลือ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฟอกซ์คอนน์ปฏิเสธข่าวการประท้วงกระทบโรงงานผลิตไอโฟนในจีน

Posted: 06 Oct 2012 03:46 AM PDT


6 ต.ค. 55 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าบริษัท ฟอกซ์คอนน์ บริษัทสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับบริษัท แอปเปิล แถลงปฏิเสธตามที่มีข่าวว่า โรงงานในจีนชะงักจากเหตุคนงานประท้วง และว่าการผลิตเป็นไปตามกำหนดเดิม

ก่อนหน้านี้ กลุ่มไชน่า เลเบอร์ วอทช์ ที่นครนิวยอร์ก มีรายงานว่า คนงานประท้วงทำให้การผลิตไอโฟน 5 ชะงักไป ขณะที่ค่ายแอปเปิลต้องการเร่งการผลิต เพื่อให้ทันกับการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ โดยระบุว่า คนงาน 3,000-4,000 คน ที่บริษัท ฟอกซ์คอนน์ ในเขตอุตสาหกรรมเจิ้งโจว ทางภาคกลางของจีน ผละงานประท้วงเมื่อบ่ายวันศุกร์ เพราะไม่พอใจการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดเกินไป และยังให้ทำงานในเทศกาลวันหยุดแห่งชาติ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวที่เริ่มมาตั้งแต่เมื่อวันจันทร์

อย่างไรก็ตาม บริษัท ฟอกซ์คอนน์ เทคโนโลยี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในไต้หวัน ปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว และว่าโรงงานประสบเหตุขัดแย้ง ทำให้การผลิตชะงักไปไม่กี่ครั้งเมื่อหลายวันก่อนนั้น โดยระบุว่า รายงานใดๆ ก็ตามที่ว่าพนักงานประท้วงไม่เป็นความจริง.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนออก "คำประกาศสะเอียบ" จี้หยุดสร้างเขื่อน

Posted: 06 Oct 2012 03:24 AM PDT

6 ต.ค. 55 - ที่วัดบ้านดอนชัย ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนได้ออกแถลงการณ์  "คำประกาศสะเอียบ" จี้หยุดสร้างเขื่อนใหม่ แก้ไขปัญหาเขื่อนเก่า เร่งแก้ไขปัญหาคนจน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้



คำประกาศสะเอียบ
เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน ร่วม ยืนหยัด ต่อสู้ ปกป้องป่าสักทอง และชุมชน
หยุดสร้างเขื่อนใหม่ แก้ไขปัญหาเขื่อนเก่า เร่งแก้ไขปัญหาคนจน


ณ ที่แห่งนี้ ดินแดนชุมชนสะเอียบ บรรพบุรุษเราก่อตั้ง สร้างบ้านแปรงเมืองมากว่า 200 ปี เราลูกหลานอยู่กันมาด้วยความผาสุกมาโดยตลอด ปี 2534 เราได้ร่วมกันก่อตั้ง กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ซึ่งได้ร่วมกันปกป้อง ดูแล รักษา ป่าสักทองผืนสุดท้ายของคนไทยทั้งชาติมาอย่างต่อเนื่อง

เขื่อนแก่งเสือเต้น จะทำลายป่าสักทองผืนสุดท้ายที่เราร่วมรักษากันมา ไม่เพียงป่าสักทองกว่า 24,000 ไร่เท่านั้นที่จะถูกน้ำท่วมอย่างถาวร ป่าเบญจพรรณอีกกว่า 30,000 ไร่ ก็จะถูกตัดฟัน ล้างผลาญ ผืนดินจมอยู่ใต้เขื่อนแก่งเสือเต้นเช่นกัน และยังต้องอพยพพวกเราชาวสะเอียบ 4 หมู่บ้านอีกกว่า 1,000 ครอบครัว ท่วมที่ทำกินเราอีกกว่า 10,000 ไร่ อีกทั้งสัตว์ป่า แร่ธาตุ ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ประเมินค่าไม่ได้ ต้องจมอยู่ใต้เขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งยังเป็นการผลาญงบประมาณแผ่นดินอีกกว่า 20,000 ล้านบาท

แม่น้ำยมยาวกว่า 735 กิโลเมตร เขื่อนแก่งเสือเต้นจะตั้งอยู่ที่ 115 กิโลเมตรทางตอนบนของลุ่มน้ำยม รับน้ำจาก 11 ลำห้วยสาขาเท่านั้น แล้วหากฝนตกใต้เขื่อนซึ่งยาวถึง 620 กิโลเมตรที่เหลือทางตอนกลางและตอนล่าง ที่รับน้ำจาก 66 ลำน้ำสาขาใต้เขื่อน อย่างฝนที่ตกที่เด่นชัย วังชิ้น ศรีสัชนาลัย ซึ่งอยู่ใต้ลงไปจากจุดที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น 100 – 200 กิโลเมตร แล้วเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง จะแก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมได้อย่างไรเมื่อฝนตกใต้เขื่อน

เขื่อนแก่งเสือเต้นสูง 72 เมตร เขื่อนยมล่างอยู่ต่ำลงมาจาเขื่อนแก่งเสือเต้นเพียง 10 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแม่ยม และรอยเลื่อนแพร่ หากเขื่อนแตกมา คงไม่ตายเฉพาะคนเมืองสอง แต่คงตายกันทั้งเมืองแพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร

เขื่อนยมบนอยู่ห่างจากหมู่บ้านเราเพียง 2 กิโลเมตร หากเขื่อนแตกมา คงไม่ตายเฉพาะคนสะเอียบ คนเมืองสอง คนเมืองแพร่ คงต้องตายกันทั้งเมืองเช่นกัน เขื่อนเหล่านี้วนเวียนอยู่แถวนี้ และยังคงจ้องทำลายป่าสักทองอยู่เหมือนเดิม

เราเครือขายองค์กรภาคประชาชน นักศึกษา นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชาวบ้าน สมัชชาคนจน นักอนุรักษ์ ลูกหลานเยาวชนกลุ่มตะกอนยม และพี่น้องชาวสะเอียบ ขอยืนยันว่า เราจะร่วมกันปกป้องรักษาป่าสักทองและชุมชนของเราสืบต่อไป และจะต่อสู้คัดค้านโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง จ.แพร่, เขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์, เขื่อนโป่งอาง จ.เชียงใหม่, เขื่อนแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่, เขื่อนวังชมพู จ.พิษณุโลก, เขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ, เขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร, เขื่อนคลองกลาย จ.นครศรีธรรมราช, เขื่อนลำโดมใหญ่ จ.อุบลราชธานี, เขื่อนเหล่านี้คือรัฐภัย ประเทศไทยไม่มีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเขื่อนขนาดใหญ่อีกแล้ว

เราเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน ขอเรียกร้องให้รัฐบาล ยุติการผลักดันเขื่อนใหม่ หันมาใช้แนวทางการจัดการน้ำชุมชน พัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พัฒนาระบบเหมืองฝาย ฯลฯ อันจะเป็นประโยชน์ต่อคนยากคนจนมากกว่า และขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเขื่อนที่สร้างมาแล้ว อย่างเช่น เขื่อนสิรินธร, เขื่อนปากมูล จ.อุบลราชธานี เขื่อนราษีไศล เขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ เป็นต้น รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน ยุติการข่มขู่คุกคามพี่น้องคนจนเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง ยุติการข่มขู่คุกคามพี่น้องท่าแซะ จ.ชุมพร และเร่งแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจนให้เป็นรูปธรรม เพื่อความผาสุกของพี่น้องประชาชนสืบไป

ด้วยจิตรคารวะ

เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน

6 ตุลาคม 2555 ณ วัดบ้านดอนชัย ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ว่าด้วย - จำๆ ลืมๆ ในการเมืองไทยร่วมสมัย: จาก "6 ตุลา 2519 โดย เกษียร เตชะพีระ" ถึง "โชติศักดิ์ อ่อนสูง" ปี 2549-2553

Posted: 06 Oct 2012 03:15 AM PDT

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้อ่านบทความของ โชติศักดิ์ อ่อนสูง เรื่อง บันทึกถึงพวก "แดงความจำสั้น", "แดงแกล้งลืม" และ "แดงมาทีหลัง" ผู้เขียนได้ฉายภาพพัฒนาการของ กระบวนการนำสีแดงไปใช้ของขบวนการต่างๆ อันเป็นการตอบโต้ต่อวลี "สลิ่มแอ๊บแดงไม่เอาเจ้าเกลียดทักษิณ" ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งและ ไม่ใช่เรื่องของแค่สีในฐานะสัญลักษณ์ทางการเมืองตามระบบแม่สีจักรวาล (เช่นสีแดงเป็นสีของการต่อสู้ สีเขียวเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สีดำเป็นเรื่องของความหมองหม่น) แต่สีที่ใช้ในการขบวนการช่วงแรกเป็นภาพสะท้อนนัยยะและจุดยืนทางการเมืองที่สำคัญยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย บทความนี้ผมจึงมุ่งเปรียบเทียบกระบวนการสร้างความทรงจำร่วมของคนในสังคมเปรียบเทียบสองเหตุการณ์ คือ 6 ตุลาคม 2519 และ เหตุการณ์ พฤษภาคม 2553 ผ่านบทความของ อ.เกษียร เตชะพีระ และ คุณโชติศักดิ์ อ่อนสูงที่ได้เอ่ยถึงไปแล้ว

ในบทความ "ทำไม 6 ตุลา ถึงจำยาก" ของ อ.เกษียร เขียนไว้เมื่อปี 2539 ในบทความ อ.เกษียร ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ กระบวนการจำแบบ คูณร่วมน้อย (ครน.) และกระบวนการจำแบบ หารร่วมมาก (หรม.) การจำแบบแรกเป็นการเลือกจำแบบหลวมๆ เพื่อหาที่ยืนในประวัติศาสตร์ เพื่อส่งต่อไปยัง อนุชนรุ่นหลัง การจำแบบนี้ผู้ที่ตายในเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงเป็นเรื่อง ของ "ผู้เสียสละชีวิตเพื่ออุดมคติ" สรุปคือเป็นการลดองค์ประกอบอื่นๆด้านเศรษฐกิจการเมือง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ทั้งหมด ให้เหลือแค่ภาพกว้างๆให้คนจดจำร่วมกัน ซึ่งต่างจาก วิธีการจำแบบ "หรม."ที่หาจุดร่วมที่ตรงที่สุด ถูกต้องที่สุด แล้วจดจำ หากพ้นรุ่นคนที่จะจำอย่างถูกต้อง ก็ให้เรื่องนี้มันถูกลืมไปดีกว่ามานั่งจดจำแบบผิดๆกัน

ล่วงมากว่า 16 ปีแล้วที่ อ.เกษียร เสนอบทความนี้นานพอที่เราจะเห็นว่าสังคมเราคลี่คลายไปทางใด และเลือกที่จะจำอย่างไร ทุกวันนี้เมื่อผมมีโอกาสสอนนักศึกษาทุกรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย และถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ผมพบว่านักศึกษาไทยโดยมากมิใช่ไม่รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่กระบวนการจำของพวกเขาถูกทำให้เป็น Plot แบบแปลกๆ พร้อมทั้งการประดิษฐ์ชื่อเหตุการณ์ที่ไม่คุ้นหู เช่น 16 ตุลาคม 2519 ; 6 ตุลาคม 2514 หรืออะไรประมาณนี้...มิได้หมายความว่าพวกเขาไม่แม่นประวัติศาสตร์ แต่น่าสังเกตุว่ากระบวนการจำของพวกเขาถูกลดทอนให้ เหตุการณ์ในทศวรรษ 1970 เป็นเรื่องของการเรียกร้องของคนหนุ่มสาวผู้รักในอุดมคติ นายทหารที่โหดร้าย คนไทยแตกสามัคคี และจบลงที่มีพระเอกขี่ม้าขาวทำให้คนไทยรักกันเหมือนเดิม นี่คือตัวอย่างปัญหาปลายทางของกระบวนการทำหลวมๆ แบบ ครน.

แต่เรื่องการจำแบบครน.มิใช่ปัญหาของการพยายามครอบงำของฝ่าย อนุรักษ์นิยมที่พยายามจัดการความทรงจำร่วมของคนในสังคมเท่านั้น สิ่งที่เราต้องพิจารณาคือในฝ่ายซ้าย หรือ ฝ่ายต้านอำนาจรัฐก็ยังมีปัญหาเรื่องการจำแบบ ครน.อยู่มาก เช่น การมองว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเหตุการณ์การต่อสู้ของประชาชนที่ต่อเนื่อง เป็นการไขก๊อกเสรีภาพที่ถูกอัดอั้นมานานแล้วนำสู่การเรียกร้องปฏิรูปประชาธิปไตยขนานใหญ่ในช่วงปี 2518-2519 ในประเด็นนี้ก็เป็นการมองแบบโรแมนติกว่าด้วยขบวนการต่อสู้ทางชนชั้นที่มีพัฒนาการเป็นเส้นตรง ซึ่งจากงานเขียนและบทสัมภาษณ์ของ อ.ธงชัย วินิจจะกุล เราก็จะเห็นได้ว่า 14ตุลา 16 มิได้เป็นเรื่องของการเสริมแรงประชาธิปไตยอย่างเดียวแต่ยังเป็นควาสำเร็จของฝ่าย สถาบันกษัตริย์ ในการสถาปนาอำนาจนำเหนือกลุ่มทหารต่างๆที่มีบทบาทอย่างสูงในช่วงแรกของสงครามเย็น หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มิใช่มีเพียงนักศึกษา ปัญญาชนหัวก้าวหน้าเท่านั้น ที่ลงชนบท แต่ยังหมายรวมถึงองค์กรจัดตั้งของฝ่ายขวาที่ขยายตัวอย่างมาก ดังที่ปรากฏในงานของ Andrew Turton ที่ระบุถึงการขยายตัวอย่างมหาศาลของ องค์กรจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านในช่วงปี 2516-2518
    
แล้วเราจะจำอะไรกัน....อย่างไรดี.....

ลองย้อนมองประเด็น "คนเสื้อแดง" ของโชติศักดิ์ ตามที่เขาได้ระบุไว้ในบทความ ผมเคยถามประเด็นนี้แก่นักศึกษา ปี1 ซึ่งโดยมากมีภูมิลำเนาโดยมากมาจากจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง นักศึกษากว่าครึ่งตอบในข้อสอบว่า "คนเสื้อแดงคือคนรักทักษิณ" เป็นคำตอบพื้นๆที่สำคัญไม่น้อย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอาจจะตอบด้วยโวหารที่ลึกซึ้งมากขึ้น แต่นัยยะก็ไม่พ้นเรื่องคน "คนไม่เอารัฐประหาร และต้องการรัฐบาลจากการเลือกตั้ง (รัฐบาลทักษิณ)"  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนเสื้อแดง จะเป็นคนรักทักษิณ หรือไม่เอารัฐประหาร มันก็กำลังเผชิญแนวโน้มการเข้าสู่กระบวนการจำแบบ ครน. ขณะนี้รัฐประหารผ่านไปเพียงแค่ 6 ปี ความทรงจำร่วมเริ่มไขว้เขว และในอนาคตการจำแบบไม่เน้น เนื้อหา เมื่อเวลาล่วงไป "เสื้อแดง" ก็จะถูกวาง ใน Plot ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก อาจมีภาพของความเห็นอกเห็นใจในอนาคต หรือถูกสร้างให้เป็นเรื่องของนักอุดมคติที่เสียสละ กลายเป็นอภิมหานิทาน (Grand Narrative-ตามคำนิยามของ อ.เกษียร) แต่ในทัศนะส่วนตัวของผมความทรงจำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ได้ดีขึ้น และเป็นการส่งต่อ หรือผลิตซ้ำ Plot ประวัติศาสตร์ไทยแบบเดิมๆ
    
ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องบาป อะไรที่แกนนำ นปก. (ชื่อแรกของนปช.) จะเคยโพกผ้าเหลือง ใส่เสื้อรักในหลวงต่อต้านรัฐประหาร หากย้อนไป ช่วง 14 ตุลาคม 2516 ขบวนการนักศึกษายังถือธงชาติพร้อมพระบรมฉายาลักษณ์เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องความผิดอะไรในแง่ของประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเจตนาของคนไม่กี่คนหากแต่มีปัจจัยทางสังคมทั้งแนวดิ่งและแนวราบ (เหตุการณ์สะสมในอดีต และเหตุการณ์ร่วมสมัยในปัจจุบัน) ดังนั้นเรามิควรเหมารวมและลดทอน ทั้งในประเด็น "คนเสื้อแดง" หรือ "การใช้สีแดง" เพราะมันเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจต้นตอที่มาของปัญหาของขบวนการ
    
ที่จริงแล้วการอธิบาย สังคมวิทยาว่าด้วยคนเสื้อแดง ถูกอธิบายโดยพิสดารโดยนักวิชาการทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งมิจำเป็นต้องพูดในที่นี้ เช่นเดียวกับเรื่องการใช้ "สีแดง"ในฐานะสัญลักษณ์ทางการเมืองไทยก็มีการพูดกันมากมายในงานวิชาการทั้งไทยและเทศเช่นเดียวกัน แต่เรื่อง "ความทรงจำร่วม" เป็นเรื่องใหญ่ อีกสิบปีข้างหน้า เราจะจำคนเสื้อแดงอย่างไร สิ่งที่อยากชี้ให้เห็นคือ ไม่ว่าเสื้อแดงจะเป็น "คนที่เสียสละเพื่ออุดมคติ" ตามคำอธิบายของเสื้อแดงกระแสหลัก หรือ "ชาวบ้านที่ถูกหลอกมาตาย" ตามคำอธิบายของฝ่ายต้านเสื้อแดงกระแสหลัก ก็ไม่พ้นเรื่องการนำสู่การจำแบบเหมาๆ Plot เดิมๆ การจัดการความจริงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อเนื่องไม่ว่าจะกลุ่มฝ่ายขวา หรือฝ่ายก้าวหน้าก็ตาม
 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำไม 6 ตุลาฯ จึงจำยาก ?(จำนวน 20 หน้า ปีที่พิมพ์:2539) เกษียร เตชะพีระ
http://www.2519.net/autopage/show_page.php?t=10&s_id=4&d_id=12

บันทึกถึงพวก "แดงความจำสั้น", "แดงแกล้งลืม" และ "แดงมาทีหลัง" Chotisak Onsoong
http://blogazine.in.th/blogs/iskra/post/3635
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: จะระลึก ๖ ตุลากันอย่างไร

Posted: 06 Oct 2012 03:01 AM PDT

วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ จะเป็นวันครบรอบที่เหตุการณ์ ๖ ตุลา ผ่านมาแล้วถึง ๓๖ ปี แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ ๖ ตุลาก็เป็นหนึ่งในกรณีประวัติศาสตร์ที่ยังไม่จบ และในปีนี้ ก็คงจะต้องมาย้อนรำลึกเหตุการณ์นี้อีกครั้ง

กรณี ๖ ตุลา หลายครั้งจะถูกเอ่ยถึงโดยคนรุ่นหลังว่า "เหตุการณ์ ๑๖ ตุลา" ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการผสมจินตภาพของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ กับ เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ซึ่งมีระยะห่างราว ๓ ปี อันที่จริงเหตุการณ์ ๒ กรณีนี้ ก็มีความเกี่ยวพันกัน เพราะในกรณี ๑๔ ตุลาคม ขบวนการนักศึกษาเป็นแกนนำในการต่อต้านเผด็จการ และประสบความสำเร็จในการขับไล่รัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร และฟื้นฟูประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ส่วนกรณี ๖ ตุลาคม หมายถึง ๒ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือ การเข่นฆ่าสังหารนักศึกษาประชาชนที่เกิดขึ้นในเวลาเช้าตรู่ กับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเวลาเย็นวันนั้น จึงน่าที่จะต้องหันมาพิจารณาเหตุการณ์นี้อีกครั้ง

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลา สังคมไทยสมัยนั้น มีความแตกต่างทางความคิดเป็นสองแนวทางอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพราะหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างสำคัญ โดยเฉพาะการเติบโตของแนวคิดแบบสังคมนิยม ซึ่งเตยเป็นแนวคิดต้องห้ามในสมัยเผด็จการ แนวคิดสังคมนิยม ก็คือ แนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจชุดหนึ่งที่เกิดจากการวิพากษ์สังคมเก่า เห็นว่าสังคมเก่าที่ใช้วิธีการแบบทุนนิยมเป็นหลักนั้นไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจทุนนิยมทั่วโลกย่อมนำมาซึ่งช่องว่างทางชนชั้นอันแก้ไขไม่ได้ ดังนั้น แนวคิดสังคมนิยมจึงนำเสนอให้สร้างสวัสดิการโดยรัฐ เพื่อให้โภคทรัพย์กระจายไปสู่ชนชั้นล่างของสังคม อันได้แก่กรรมกร ชาวนา และประชาชนทั่วไป

แนวคิดเช่นนี้เผยแพร่ โดยการมีการพิมพ์หนังสือที่เสนอแนวทางสังคมนิยม และลัทธิมาร์กซ ออกวางแผงขายเป็นจำนวนมาก และเป็นที่นิยมทั่วไป แนวคิดสังคมนิยมยังเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสวัฒนธรรมใหม่ เช่น วรรณกรรมเพื่อชีวิต เพลงเพื่อชีวิต การต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี การอนุรักษ์ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม และการเกิดขององค์การพัฒนาเอกชนที่ทำงานกับประชาชนระดับล่าง เป็นต้น นอกจากนี้ก็คือ เกิดการจัดตั้งพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมมาต่อสู้ทางรัฐสภา มีการส่งผู้สมัครสังคมนิยมลงแข่งขันในการเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายสังคมนิยมชนะเลือกตั้งถึง ๓๕ เสียงในสภาผู้แทน

กระแสความคิดเช่นนี้ ก่อให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากในหมู่ประชาชนระดับล่าง กรรมกรและชาวนาที่เคยต่ำต้อยน้อยหน้า และไม่เคยได้รับสิทธิอันควร ต่างก็ก่อการนัดหยุดงานและชุมนุมประท้วง เพื่อเรียกร้องสิทธิของตน รวมทั้งมีการตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาจำนวนมากเพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ในกลุ่มชาวนา ก็ได้ตั้งองค์กรสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ เพื่อประสานการต่อสู้เรียกร้องของชาวนา ส่วนขบวนการนักศึกษา ก็ได้ยกระดับการต่อสู้ไปสู่ปัญหาเอกราช นั่นคือการขับไล่ฐานทัพอเมริกาที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย และสามารถทำได้สำเร็จใน พ.ศ.๒๕๑๙

การพัฒนาของแนวคิดสังคมนิยมและกระแสการต่อสู้ของประชาชนระดับล่างดังกล่าว ก่อให้เกิดความวิตกอย่างมากในกลุ่มชนชั้นนำไทยที่มีลักษณะอำมาตยาธิปไตยและคุ้นเคยกับแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมเจ้า ทั้งที่ในสังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ความแตกต่างทางความคิดนั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในยุโรปตะวันตกทุกประเทศต่างก็มีพรรคสังคมนิยม พรรคสังคมประชาธิปไตย หรือ พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคเหล่านี้กับพรรคอนุรักษ์นิยมและฝ่ายขวาก็ต่อสู้กันด้วยวิธีการประชาธิปไตย ขึ้นกับว่าประชาชนจะให้ความนิยมพรรคไหน ดังนั้น จึงมีหลายประเทศ ที่พรรคสังคมนิยม หรือ สังคมประชาธิปไตยได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศตามกลไกประชาธิปไตย จึงไม่เกิดความรุนแรงและการเข่นฆ่าสังหาร แต่ในกรณีของประเทศไทย ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไม่ได้คิดเช่นนั้น และไม่เห็นว่าวิธีการประชาธิปไตยจะเป็นการแก้ปัญหาทางความแตกต่างทางความคิด แต่คุ้นเคยกับการที่บีบบังคับและมอมเมาให้ประชาชนเชื่อและศรัทธาแบบอนุรักษ์นิยมเจ้า เห็นความคิดแบบอื่นเป็นความเบี่ยงเบน ที่จะต้องเข่นฆ่าทำลาย เพื่อหวังให้สังคมไทยกลับมาราบรื่นสุขสงบแบบที่พวกตนคุ้นเคย

ภายใต้กรอบแนวคิดอันคับแคบเช่นนี้ ชนชั้นนำไทยก็เริ่มใช้วิธีการหลายอย่างในการต่อต้านขบวนการนักศึกษา ตั้งแต่ใช้สื่อมวลชนกระแสหลักสร้างภาพใส่ร้ายป้ายสีขบวนการนักศึกษา ให้เห็นว่าเป็นคอมมิวนิสต์และก่อความวุ่นวาย ตั้งองค์กรฝ่ายขวาขึ้นมาเผชิญหน้า และใช้ความรุนแรงคุกคาม เช่น การเข่นฆ่าสังหารผู้นำนักศึกษา ผู้นำชาวนา การปล่อยให้องค์กรอันธพาล เช่น กระทิงแดง ใช้อาวุธปืนและระเบิดคุกคามการชุมนุมทางการเมืองของฝ่ายประชาชน เป็นต้น

เมื่อสร้างกระแสใส่ร้ายป้ายสีปลุกระดมจนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดไปทั่วแล้ว ก็สร้างเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง โดยอ้างเหตุว่า นักศึกษาก่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปลุกประชาชนฝ่ายขวาให้มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้น ในเวลาเช้ามืด วันที่ ๖ ตุลาคม ฝ่ายอำมาตยาก็ก่อการกวาดล้างปราบปราม โดยนำเอากำลังตำรวจตระเวนชายแดนติดอาวุธพร้อม มาระดมยิงเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า ๔๐ คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก จากนั้น ก็จับกุมผู้ชุมนุมจำนวน ๓,๐๘๔ คน เข้าคุก แล้วเปิดทางให้คณะทหารที่เรียกว่า "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" ก่อการรัฐประหารในเวลาเย็น

การรัฐประหารในวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ รักษาจารีตเดิมของฝ่ายอนุรักษ์นิยมไทยทุกประการ คือ ล้มเลิกรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ล้มเลิกรัฐสภา ล้มเลิกรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย แต่คงให้ศาลและองคมนตรีดำรงอยู่ต่อไป คณะรัฐประหาร ได้เชิญนายธานินทร์ กรัยวิเชียร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ใช้สภาแต่งตั้ง ใช้ธรรมนูญชั่วคราวในการปกครอง ให้อำนาจเผด็จการแก่รัฐบาลธานินทร์ จนขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐบาลพลเรือนที่เผด็จการขวาจัดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย แทนที่รัฐธานินทร์จะจัดการกับกลุ่มฝ่ายขวาที่เป็นฆาตกรฆ่าประชาชน กลับดำเนินคดีกับฝ่ายนักศึกษา โดยทำการคุมขังและฟ้องผู้นำนักศึกษา ๑๙ คน ผู้นำนักศึกษาเหล่านี้ต้องถูกจำคุมเกือบ ๒ ปี จึงได้รับการนิรโทษกรรมและปล่อยตัวในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๒๑ สมัยรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

เมื่อเวลาผ่านมา ก็จะเป็นที่เห็นพ้องกันว่า วิธีการดำเนินการในกรณี ๖ ตุลา ทั้งการเข่นฆ่าสังหารประชาชน และการก่อการรัฐประหาร ไม่ได้เป็นวิธีการแก้ปัญหาอันถูกต้องและเป็นอารยะ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยไทยไม่รู้จักสรุปบทเรียน ในที่สุดก็ดำเนินการให้ฝ่ายทหารก่อการรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตยเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ และสนับสนุนให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข่นฆ่าประชาชนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และการเข่นฆ่าสังหารนั้น ก็ยังเกิดขึ้นภายใต้กรอบแบบเดิม คือ ได้มีการกุเรื่องผังล้มเจ้าขึ้นมาใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายประชาชนคนเสื้อแดง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการเข่นฆ่าสังหาร แต่กระนั้น กรณีสังหารหมู่ประชาชนเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๓ ก็ยังคงเป็นตราบาปใหญ่ ที่ต้องหาทางแก้ต่างกันมาจนถึงขณะนี้

สรุปแล้ว เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม คือ มลทินครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของชนชั้นนำไทย เพราะเป็นการชี้ให้เห็นว่า ชนชั้นอำมาตยาธิปไตยไทยนั้น มีจิตใจอันเหี้ยมโหด ชอบแก้ปัญหาโดยการเข่นฆ่าประชาชน ไม่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ชอบสนับสนุนการรัฐประหาร เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในวันนี้ คงยากลำบากมากขึ้น วันเวลาที่พวกอำมาตย์ไทยจะมีบทบาทครอบงำทางการเมืองสั้นลงทุกวัน

ประวัติศาสตร์ ๖ ตุลาได้บ่งชี้ว่า ประชาชนไทยจะชนะในที่สุด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับหนุ่มยะหาขู่ให้หยุดวันศุกร์ แนะทหารถอยให้ชาวบ้านคุมกันเอง

Posted: 06 Oct 2012 02:47 AM PDT

รวบ 2 วัยรุ่น ต้องสงสัยข่มขู่ห้ามขายวันศุกร์ ผู้นำศาสนาแนะให้ทหารต้องเปิดช่องผู้นำชุมชนให้ชาวบ้านดูแลกันเอง สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ย้ำทำงานวันศุกร์ไม่ผิดหลักศาสนา ผู้ประกอบการทำป้ายโปสเตอร์โองการอัล-กุรอานให้ขายวันศุกร์ ผู้ว่าฯ สงขลา ซักซ้อมแนวปฏิบัติแก้ทางห้ามค้าขายวันศุกร์ ถ่ายรูปเป็นเรื่อง คุมหนุ่มนราฯ ไปบันทึกประวัติ

รวบ 2 วัยรุ่น ต้องสงสัยข่มขู่ห้ามขายวันศุกร์

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2555  ที่สถานีตำรวจภูธรยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา นายเดชรัฐ สิมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมด้วย นายศุภณัฐ หิรัณธวิเนติ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาบุคลากร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พ.ต.อ.สันติ เหล่าประทาย ผู้กำกับการ สภ.ยะหา  นายปรีชา ธนกิจกำจร นายอำเภอยะหา จ.ยะลา ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุม ผู้ต้องสงสัยข่มขู่ผู้ประกอบการร้านค้าในย่านชุมชนตลาดเก่า อ.เมือง จ.ยะลา และปั๊มน้ำมัน อ.ยะหา จ.ยะลา หลังจากชาวบ้านผู้ประกอบการแจ้งความดำเนินคดี กับผู้ต้องสงสัยโดยแจ้งหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ผู้ก่อเหตุ จากการสอบสวนทราบชื่อคือ นายฮาซัน ปานาวา อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษาของโรงเรียนเชคดาวุดอัลฟานอ และนายอับดุลรอเซะ ยูโซ๊ะ อายุ 25 ปี

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายฮาซันได้ขับรถจักรยานยนต์เข้าไปสอบถามผู้ประกอบการร้านค้าย่านธุรกิจแถวตลาดเก่าว่าปิดร้านวันไหน ทำไมไม่ปิดร้านวันศุกร์ แล้วขับรถจักรยานยนต์ออกไป สร้างความหวาดกลัวต่อชาวบ้านผู้ประกอบการ จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ ทางด้านนายอับดุลรอเซะได้ขับรถจักรยานยนต์ทำทีขอกินน้ำที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งตัว อ.ยะหา และพูดจาข่มขู่พนักงานปั๊มน้ำมันว่าให้ปิดร้านวันศุกร์หากไม่กระทำตามจะไม่รับรองความปลอดภัยของพนักงานปั๊ม

โดยเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้กระทำการจริง แต่ที่ทำลงไปเพราะความคึกคะนองไม่คาดว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ทางด้านนายอับดุลรอเซะนั้นเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสารเสพติดในร่างกายเพราะอยู่ในอาการมึนเมา และทำการสอบสวนในขั้นต่อไปว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มกระบวนการก่อเหตุรุนแรงที่ข่มขู่ประชาชนไม่ให้ออกมาประกอบอาชีพในวันศุกร์หรือไม่

นายเดชรัฐกล่าวว่าอยากให้ผู้ประกอบการร้านค้ามีความมั่นใจ ส่วนการค้าขายในวันศุกร์นั้น ศอ.บต.ได้ทำหนังสือถึงจุฬาราชมนตรีเพื่อสอบถามว่าผิดหลักศาสนาหรือไม่ ทางด้านสำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกประกาศชี้แจงแล้วว่าการประกอบอาชีพหรือการทำงานในวันศุกร์ไม่ได้ผิดหลักศาสนาแต่อย่างใด ขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจ ทั้งนี้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต.ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกันสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยการเดินให้กำลังใจบริเวณย่านธุรกิจการค้า พร้อมกับกองกำลัง 3 ฝ่ายและผู้นำศาสนาในพื้นที่อีกด้วย

จับวัยรุ่นยะหา ขู่ปั้มน้ำมันห้ามเปิดวันศุกร์

ส่วนปฏิบัติการและรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทางยุทธวิธี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) รายงานว่าเนายอับดุลรอเซะขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปในปั้มน้้ามัน ในพื้นที่บ้านพงกูแว หมู่ที่ 3 ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา พูดจาข่มขู่ น.ส.อุไรวรรณ จินทพันธ์ พนักงานปั้มไม่ให้เปิดขายในวันศุกร์

ทั้งนี้ เขาใช้ข้อความว่า "เปิดมั้ยวันศุกร์ ไม่กลัวเหรอ ถ้าไม่ปิดระวังจะโดน ไม่ดูข่าวทีวีบ้างเหรอ ถ้าไม่ปิดได้ลงข่าวออกทีวีว่า ปั้มน้้ามันกับเด็กปั้มโดนระเบิด ที่อื่นเค้าปิดกันหมด" และก่อนจะขับรถจยย. ออกไปก็พูดอีกครั้งพร้อมกับชี้หน้าว่า "ถ้าไม่ปิด โดนแน่ ไม่ศุกร์นี้ก็ศุกร์หน้า"

ต่อมาเวลา 10.00 น. วันที่ 5 ตุลาคม 2555 หน่วยเฉพาะกิจ 48 ร่วมกับตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรยะหาและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมกันควบคุมตัวนายอับดุลรอเซะโดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกเพื่อมาดำเนินกรรมวิธีซักถามขยายผลต่อไป 

ผู้นำศาสนาแนะทหารถอยเปิดทางชาวบ้านคุมกันเอง

นายอับดุลอาซิซ เจ๊ะมามะ รองประธานกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาสกล่าวกับ DSJ ถึงเรื่องข่าวลือให้หยุดงานวันศุกร์ว่า การที่ประชาชนเชื่อข่าวลือดังกล่าวไม่ใช่เพราะเห็นว่าผิดหลักการศาสนา เนื่องจากศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามตามคำขู่ดังกล่าว แต่เป็นเพราะประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะอำนาจรัฐอ่อนแอ ซึ่งในเรื่องนี้เคยมีข้อเสนอที่เป็นไปได้คือการให้อำนาจผู้นำชุมชนมาดูแลชุมชนเอง

"กองกำลังของรัฐอาจถอยไปก้าวหนึ่งแล้วให้อำนาจกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาดูแลชาวบ้านกันเอง จึงจะแก้ปัญหาเรื่องหยุดวันศุกร์ได้ เมื่อกำนันบอกว่าขายได้เขาจะดูแล ทุกคนก็กล้าขาย ปัญหาคือวันนี้เจ้าหน้าที่ไม่ยอมถอย เคยมีข้อเสนอให้กำนันหาชาวบ้านมาดูแลชุมชนให้มีสวัสดิการ มีค่าตอบแทนก็ไม่มีใครรับ ซึ่งถ้าชาวบ้านดูแลกันเอง เขาจะรู้ว่าใครเป็นใคร แต่ตอนนี้มีคนจากสุดชายแดนอีสานมาอยู่ แล้วเขาจะดูแลใคร" นายอับดุลอาซิซ กล่าว

"วันนี้แค่ข่าวลืออำนาจรัฐสยบไม่ได้ ถ้าให้อำนาจให้ภาระงานกับกำนันผู้ใหญ่บ้านก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้ากำนันผู้ใหญ่บ้านประกาศว่าวันศุกร์นี้ผมจะดูแลเอง ทุกคนก็กล้าขาย" รองประธานกรรมอิสลามจังหวัดนราธิวาสกล่าว

ด้านผู้ประกอบการร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี ได้พิมพ์โปสเตอร์ที่มีเนื้อหาโองการจากคัมภีร์อัล-กุรอานที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการค้าขายในวันศุกร์จากบทอัลยุมอัต โองการที่ 9 และ 10 ความว่า "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเมื่อมีเสียงอาซานเพื่อทำการละหมาดวันศุกร์ พวกท่านจงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺ และจงละทิ้งการค้าขายเสียก่อน"

"เมื่อการละหมาดวันศุกร์เสร็จสิ้นแล้วก็จงแยกย้ายกันไปในแผ่นดิน และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ"  ซึ่งป้ายดังกล่าวถูกติดไว้ที่หน้าร้านพร้อมแผ่นกระดาษปิดประกาศว่า วันศุกร์ปิดละหมาดเวลา  11.30 น. ถึง 13.30 น. ในขณะที่ชาวบ้านที่มุงดูต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นหลักการที่ถูกต้องของศาสนาอิสลาม

ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านในตัวเมืองปัตตานีรายหนึ่งกล่าวว่า วันศุกร์นี้เจ้าของร้านค้าต่างๆ บอกว่าจะหยุดขาย เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย โดยชาวบ้านกล่าวอย่างมีอารมณ์ขันว่าก่อนถึงวันศุกร์คงต้องซื้อของกักตุนไว้ก่อนเมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ลำบาก

ชายแดนใต้ยังเงียบ ร้านตลาดโหรงเหรง

ตลาดยี่งอ จ.นราธิวาส

แม้แต่ปั้มน้ำมันในเขต อ.เมืองปัตตานีก็ยังปิด

ตลาดสดในเขตเทศบางเมืองปัตตานี ปิดเงียบ

 

เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2555 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมกับนายประมุข ลมุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองลงพื้นที่เดินแจกสารของจุฬาราชมนตรี เกี่ยวกับรายละเอียดหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่ชี้แจงว่าการประกอบกิจการใดๆ ในวันศุกร์ไม่ผิดหลักคำสอน พร้อมกับเดินตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบรรดาร้านค้า ร้านขายอาหารยามเช้าในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี

ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการให้กำลัง 3 ฝ่าย จัดกำลังคุมเข้ม ป้องกันเหตุความไม่สงบที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน ร่วมไปกับการขอความร่วมมือประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาแจ้งข่าวสิ่งผิดปกติที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุความรุนแรง ตลอดจนแจ้งข่าวหากพบเห็นกลุ่มคนที่ยังคงออกข่มขู่ชาวบ้านห้ามไม่ให้ขายของและทำงานในวันศุกร์

สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไปใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา และอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะในเขตเทศบาลและตามพื้นที่ชุมชน ส่วนใหญ่ยังปิดทำการมากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดได้ลงสำรวจพื้นที่ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีการรณรงค์ให้พ่อค้าแม่ค้าออกมาขายของตามปกติ

ทั้งชาวบ้านบางส่วนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ได้ออกมาซื้อสินค้าและกับข้าวกักตุนไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เนื่องจากเกรงว่าจะไม่มีร้านค้าร้านอาหารเปิดทำการ

 สงขลาสั่งสู้ ให้หน่วยงานซื้อของวันศุกร์

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2555 นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ลงพื้นที่ อำเภอสะบ้าย้อย เพื่อซักซ้อมมาตรการที่จะรักษาความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ให้สามารถทำมาหากินได้อย่างเป็นปกติ ไม่หวาดกลัวต่อคำขู่ที่ห้ามค้าขายในวันศุกร์ของผู้ก่อความไม่สงบ โดยสั่งให้นายอำเภอจัดกำลังตำรวจ ทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ออกดูแลความปลอดภัยบริเวณตลาดนัดชุมชน อำเภอ หรือ เทศบาล พร้อมดำเนินมาตรการให้เกิดการค้าการขายตามปกติในวันศุกร์และทุก ๆ วัน เช่น ให้ส่วนราชการที่ต้องซื้อสินค้าไว้ใช้ในแต่ละหน่วย สั่งซื้อในวันพฤหัสบดี และนัดรับสิ่งของหรืออาหารที่สั่งในวันศุกร์

 ถ่ายรูปเป็นเรื่อง คุมหนุ่มนราฯบันทึกประวัติ

ในขณะที่ร้านค้าต่างๆ ปิดทำการจนทำให้บรรยากาศในตัวเมืองหลายแห่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และบางส่วนของจังหวัดสงขลาเงียบเหงา ทำให้ประชาชนบางส่วนที่มีกล้องถ่ายรูปได้ออกมาถ่ายภาพบรรยากาศดังกล่าวเก็บไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องออกมาห้ามโดยให้เหตุผลว่าทำให้ผู้ประกอบการหวาดกลัว และเกรงว่าจะนำรูปถ่ายไม่ทำมิดีมิร้าย

ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มสื่ออิสระในพื้นที่ได้ออกมาถ่ายรูปบรรยากาศในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส แล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกถาม พร้อมแจ้งว่าการถ่ายรูปดังกล่าวทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว จากนั้นตำรวจพักเชิญไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาส เพื่อถ่ายรูปและบันทึกประวัติ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดูงาน หรือผลาญงบ?

Posted: 06 Oct 2012 01:40 AM PDT

การที่ กมธ.กิจการสภาฯ ไม่(สามารถ)เอาผิดเรื่องการไปดูงานที่อังกฤษของประธานรัฐสภาและคณะ เป็นสิ่งที่คาดเดาได้อยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องไปให้กรรมาธิการจริยธรรมพิจารณา เพราะไม่ใช่เรื่องศีลธรรม ดี ชั่ว แต่เป็นเรื่องการขาดกลไกตรวจสอบ และขาดความเข้าใจที่เหมาะสมในอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบของสถาบันรัฐสภาไทยโดยรวม เพราะการเดินทาง "ไปดูงาน" โดยเอางบประมาณจากภาษีประชาชนจ่ายให้สื่อมวลชนและแขกรับเชิญเกิดขึ้นสม่ำเสมอ 

 
รัฐบาลนี้ทำ รัฐบาลที่แล้วก็ทำ รัฐบาลก่อนหน้านี้ก็ทำ ทั้งไปต่างประเทศและแหล่งพักผ่อนต่างจังหวัด ทำกันจนเป็นปกติ คิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้
 
เรื่องนี้ไม่ควรจบลงแบบเงียบ ๆ หรือไปขุดคุ้ยเอาผิดกับผู้คนที่ร่วมเดินทาง 
 
แต่ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องตั้งคำถามว่า ประชาชนเจ้าของภาษี เจ้าของอำนาจอธิปไตย และเลือกพวกท่านเข้ามาเป็นตัวแทนจะมีมาตรการควบคุมการใช้จ่ายเงินที่ไม่เกิดประโยชน์แก่สังคมได้อย่างไร เช่น สร้างมาตรการควบคุมว่าต้องไป "ทำงาน" ไม่ใช่แค่ดูงาน ใช้งบได้เท่าไหร่ ใครจะเซ็นต์รับงบก้อนนี้ได้บ้าง และมีโครงการพัฒนาสังคมใดบ้างที่นำเอาความคิด นวัตกรรมของประเทศที่ไปดูงานกลับมาใช้ ทั้งนี้ไม่ใช่เฉาะรัฐสภาและรัฐบาลที่ชอบไปดูงานกันจัง องค์กรอิสระทั้งหลายและอีกหลายหลายหน่วยงานก็หมดงบประมาณจำนวนมากไปกับการไปดูงานเช่นกัน
 
ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่เคยรวบรวมไว้ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา
 
I. ข้อมูลงบประมาณและการเบิกจ่ายงบประมาณดูงานต่างประเทศของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการ 
 
1.ค่าใช้จ่ายด้านกิจการต่างประเทศของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา 
พ.ศ. 2551: 45,671,903 บาท พ.ศ. 2552: 34,304,954
2.ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษาดูงานและเจรจาธุรกิจในต่างประเทศของคณะกรรมาธิการ 
พ.ศ. 2551: 93,722,838 บาท พ.ศ. 2552: 110,695,634 บาท
รวมยอดปี 2551 139,394,741 บาท รวมยอดปี 2552 145,000,588 บาท
(ที่มา: ศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางราชการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร)
 
II. ข้อมูลการดูงานต่างประเทศของวุฒิสภาและกรรมาธิการวุฒิสภาประจำปีงบประมาณ 2552
 
1. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมนานาชาติ ไปเยือนต่างประเทศและรับรองแขกต่างประเทศของประธานวุฒิสภาและคณะ เป็นเงินรวม 15,945,317.00 บาท
2. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมนานาชาติ ไปเยือนต่างประเทศและรับรองแขกต่างประเทศของรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และคณะ เป็นเงินรวม 4,269,157.00 บาท
3. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมนานาชาติ ไปเยือนต่างประเทศและรับรองแขกต่างประเทศของรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 และคณะ เป็นเงินรวม 4,178,570.00 บาท
4. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมนานาชาติ ไปเยือนต่างประเทศและรับรองแขกต่างประเทศของสมาชิกวุฒิสภา เป็นเงินรวม 361,691.45 บาท
5. ใช้จ่ายในการเดินทางไปเยือนและศึกษาดูงานต่างประเทศของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาชุดต่างๆ เป็นเงินรวม 51,283,505.31 บาท
ยอดรวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมนานาชาติ ไปเยือนต่างประเทศและรับรองแขกต่างประเทศของวุฒิสภาปี 2552 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,038,240.76 บาท
(ที่มา: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา)
 
นอกจากเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งหรือเงินเพิ่มแล้ว ส.ส.และ ส.ว. สามารถขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูเกียรติ และยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ดังนี้ 
 
1. เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการครั้งละ 800 บาท เบี้ยประชุมกรรมาธิการครั้งละ 1,200 บาท และประธานกรรมาธิการครั้งละ 1,500 บาท
2.ได้รับการประกันสุขภาพในระหว่างการดำรงตำแหน่ง 
3.ค่าเดินทางในประเทศ เดินทางโดยรถไฟ หรือรถโดยสารของรัฐฟรี ขณะที่การเดินทางทางเครื่องบินเฉพาะภายในประเทศได้นั่งชั้นธุรกิจ 
กรณีไปปฏิบัติภารกิจต่างจังหวัดได้ค่าที่พักในประเทศแบบเหมาจ่ายไม่เกิน 1,200 บาท/วัน/คน หรือเบิกในลักษณะจ่ายจริงไม่เกิน 2,500/วัน/คน
4.เดินทางไปต่างประเทศโดยเครื่องบินชั้นหนึ่ง ค่าที่พักเบิกจ่ายตามจริงไม่เกิน 10,000 บาท/วัน/คน(ประเภท ก.) 7,000 บาท/วัน/คน(ประเภท ข.) และ 4,500 บาท/วัน/คน (ประเภท ค.)* 
ค่าเบี้ยเลี้ยงการเดินทางเหมาจ่ายไม่เกิน 3,100 บาท/วัน/คน หรือเบิกตามจริงไม่เกิน 4,500 บาท/วัน/คน ค่าทำความสะอาดเสื้อผ้าเบิกตามจริงไม่เกิน 500 บาท/วัน/คน และค่าใช้สอยเบ็ดเตล็ดเหมาจ่ายไม่เกิน 500 บาท/วัน/คน ค่าเครื่องแต่งตัวในการเดินทางไปราชการเหมาจ่าย 9,000 บาทต่อคน
 
 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์: 6 ตุลา 2519 กับอุดมการณ์คนรุ่นหลัง 6 ตุลา

Posted: 05 Oct 2012 10:31 PM PDT

อภิปรายความทรงจำของคนรุ่นหลังต่อ 6 ตุลาที่บางอย่างถูกเลือกให้ "จำ" และ "ลืม" ในขณะที่ประชาธิปไตย กลายเป็นสิ่งที่เชื่อว่าต้องเป็นแบบ "ครึ่งใบ" ซึ่งเป็นผลทำให้ความรุนแรงจากการปราบปรามปชช. หลายครั้ง เป็นสิ่งที่ "เป็นไปได้" และ "คิดได้" 

6 ต.ค. 55 - ในงานรำลึก 36 ปี 6 ตุลา 2519 ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการกล่าวปาฐกฐาโดยพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในหัวข้อ 6 ตุลา 2519 กับอุดมการณ์คนรุ่นหลัง 6 ตุลา โดยพิชญ์อภิปรายแนวคิดเรื่องอุดมการณ์ ในฐานะความคิดหรือแม้แต่ "ความจริง" ที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งมีนัยยะของการต่อสู้และปฏิบัติการทางการเมือง อาจจะมีความหมายในแง่บวก ลบ หรือกลางๆ ก็ได้

 
 
ต่ออุดมการณ์ของคนรุ่นหลัง 6 ตุลา  พิชญ์กล่าวว่า ด้วยการสร้างความทรงจำต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ยังสรุปชัดเจนไม่ได้ว่าจะไปในทางบวกหรือทางก้าวหน้า คำว่า "16 ตุลา" จึงเกิดขึ้นมาจากความเข้าใจที่รวมเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 และ 6 ต.ค. 2519 เอาไว้ในโครงเรื่องเดียวกัน ที่นักศึกษาลุกฮือขึ้นต่อต้านเผด็จการทหาร ทั้งนี้ เขาชี้ว่า การสร้างพื้นที่ให้กับความทรงจำเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ยังคงมีอยู่ ตราบใดที่ไม่แตะต้องสถาบันพระหากษัตริย์และไม่เปลี่ยนแปลงรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจไปจากที่เป็นอยู่ ซึ่งเขาใช้คำว่า "ความสมานฉันท์หลัง 6 ตุลา 19" 
 
พิชญ์กล่าวถึงความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงจากรัฐว่า มีการปลุกระดมอย่างต่อเนื่องโดยสื่อมวลชนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และการใช้ข้อกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมเป็นคน "อื่น" ไม่ใช่คนไทย และไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการล้อมปราบในเหตุการณ 6 ต.ค. 2519 เช่นเดียวกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมในเดือนเม.ย. - พ.ค. 2553 โดยในสภาวะที่ผู้เห็นต่างทางความคิดทางการเมือง ภายใต้การบีบคั้นจากกฎหมายความมั่นคงและกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชนุภาพ รัฐก็ยังไม่มีกลไกป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงต่อผู้ที่มีความคิดหลากหลาย 
 
นอกจากการจะค้นหาความจริงเพื่อความยุติธรรมแล้ว พิชญ์กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญ คือต้องให้ทุกเรื่องราวที่คลางแคลงใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และกดดันด้วยการนำหลักฐานมาเปิดเผยอย่างโปร่งใส ด้วยหลักการที่ว่าทุกคนไม่มีข้อยกเว้นในการไม่ถูกกล่าวหา มากกว่าจะมาอธิบายว่าทุกฝ่ายมีส่วนผิดกันทั้งหมด 
 
0000
 
"6 ตุลา 2519 กับอุดมการณ์คนรุ่นหลัง 6 ตุลา" 
ปาฐกถาในงานสัปดาห์รำลึก 36 ปี 6 ตุลา 2519 
โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
 
ก่อนจะเข้าเรื่องที่จะพูดในวันนี้ กระผมขอกล่าวขอบคุณทางคณะผู้จัดที่ให้เกียรติเชิญผมมาพูดในวันนี้ ซึ่งกระผมตอบรับคำเชิญด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้มีส่วนในการระลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งในฐานะนักรัฐศาสตร์แล้ว กระผมถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อทั้งพัฒนาการทางการเมือง และการเมืองเรื่องภูมิปัญญากับการเมืองเรื่องวัฒนธรรมธรรมในสังคมไทย และจนถึงวันนี้ก็นับได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่เป็นปมปัญหาสำคัญยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย ในหลายๆมิติ ดังที่ได้มีการกล่าวถึงกันมาโดยตลอดในทุกๆปี 
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อแรกเริ่มที่ได้รับคำเชิญนั้น ตัวกระผมน่าจะได้สร้างความผิดหวังให้กับคณะผู้จัดอยู่มิใช่น้อย เพราะเดิมนั้นชื่อหัวข้อที่ได้รับเชิญก็คือ "6 ตุลา กับอุดมการณ์กรรมกรชาวนา" ซึ่งเป็นหัวข้อที่กระผมไม่สามารถที่จะพูดได้ ก็เลยขอเปลี่ยนหัวข้อที่พอจะใกล้ตัวกว่า นั่นก็คือการพูดถึงความเชื่อมโยงและไม่เชื่อมโยงของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 กับอุดมการณ์ของคนรุ่นหลัง 6 ตุลา ทั้งนี้โดยพยายามที่จะคงเอาไว้ซึ่งความมุ่งหมายเดิมของคณะผู้จัดทั้งในประเด็นของความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ และประเด็นเรื่องของ "อุดมการณ์" แต่เปลี่ยนแปลงตัวผู้ที่เป็นองค์ประธานของเรื่อง จาก กรรมกร และ ชาวนา มาสู่เรื่องของคนรุ่นหลัง 6 ตุลา
 
โดยในการพูดในครั้งนี้ กระผมจะขอแบ่งการพูดออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ หนึ่ง ส่วนของการพูดถึงแนวคิดเรื่องอุดมการณ์ สอง การพูดถึงสิ่งที่กระผมขอนิยามว่าเป็นปรากฏการณ์ "หลัง 6 ตุลา" รวมทั้ง "คนหลัง 6 ตุลา" และ ส่วนสุดท้่ายก็คือเรื่องของการพิจารณาเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ในฐานะของอุดมการณ์และการต่อสู้ทางด้านอุดมการณ์ที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องดังกล่าวจากอดีตถึงปัจจุบัน  
 
ส่วนที่หนึ่ง - มิติเรื่องอุดมการณ์: 
 
ในการพูดของกระผมในวันนี้ กระผมจำต้องขอกล่าวถึงการให้คำนิยามของคำว่าอุดมการณ์สักเล็กน้อย ว่าคำๆนี้มีการใช้ในหลายความหมายด้วยกัน ทั้งในความหมายบวกและความหมายลบ อย่างไรก็ดีก่อนที่จะอธิบายเรื่องนี้ต่อไป กระผมอยากชี้ให้เห็นว่าเหตุผลหนึ่งที่จำเป็นจะต้องนำเอาเรื่องของอุดมการณ์มาพูดถึงในการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นก็เพราะมักจะมีการพูดถึงเรื่องของ "เหตุการณ์เดือนตุลา" ซึ่งมักเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันระหว่าง 14 ตุลา 2516 มาจนถึง 6 ตุลา 2519 ในฐานะของการเมืองที่กำกับโดยอุดมการณ์ที่ต่างชุดกันไป และมักจะมีข้อโต้เถียงกันเสมอว่า ตกลงการเมืองที่กำกับด้วยอุดมการณ์นั้นเป็นการเมืองที่พึงปรารถนาหรือไม่? อาทิ เป็นการเมืองที่ถูกชักจูงโดยผู้อื่น หรือเป็นการเมืองในอุดมคติของคนรุ่นใดรุ่นหนึ่งและในช่วงชีวิตหนึ่งๆ รวมทั้งการตั้งคำถามในแง่ของการเสนอและการวิพากษ์วิจารณ์ถึงอุดมการณ์ที่เหมาะสมกับการเมืองไทยในยุคต่อมา 
กล่าวโดยสรุป ผมขอแบ่งเรื่องคำนิยามของอุดมการณ์ออกเป็นสักสี่ประการเพื่อชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของความหมายในเรื่องนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ให้เราตั้งหลักในเรื่องของอุดมการณ์อย่างรอบด้านและมีความเข้าอกเข้าใจในเรื่องนี้จากหลากหลายมุมมอง
 
หนึ่ง อุดมการณ์ในความหมายบวก เป็นความหมายของชุดความคิดในสังคมใหม่ที่เป็นอิสระจากชุดความคิดทางศาสนา และสังคมศักดินา
สอง อุดมการณ์ในความหมายที่ไม่บวกไม่ลบ แต่หมายถึงชุดความคิดที่กำกับการมองโลกและการเปลี่ยนโลกของเรา ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ต่างๆที่เรายึดถือ เช่น อุดมการณ์เสรีนิยม อุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม อุดมการณ์สังคมนิยม และอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แต่หากมองในเรื่องนี้อีกที อุดมการณ์อาจหมายถึงสิ่งที่มีความเป็นบวกมากกว่าลบ ในความหมายว่า คนเราจำเป็นต้องมีบางอย่างยึดถือยึดเหนี่ยวเอาไว้และคงเส้นคงวาทางความคิด มากกว่าพวกที่ไม่มีอุดมการณ์ แต่ในอีกมุมหนึ่ง อุดมการณ์อาจมีความหมายในทางลบมากกว่าบวก ในความหมายว่า เพราะมีอุดมการณ์จึงมองไม่เห็นความเป็นจริงของสังคมที่อาจไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่ฝันเอาไว้ ในแง่นี้อุดมการณ์อาจหมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ และการมีอุดมการณ์กำกับการกระทำอาจสร้างปัญหาเสียมากกว่า
สาม อุดมการณ์อาจหมายถึงสิ่งที่ครอบงำเรา เป็นสิ่งที่หลอกลวงเรา ทั้งจากผู้คนที่คิดอุดมการณ์นั้นขึ้นมา หรือจากสภาพทางสังคมที่จำเป็นจะต้องหลอกลวงเรา เพื่อให้เรานั้นสืบสานความสัมพันธ์ทางสังคมบางอย่างต่อไป ในความหมายนี้เราอาจนึกถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่ถูกผลิตจากนักการเมืองหรือกลุ่มทางการเมือง หรือเราอาจหมายถึงอุดมการณ์ในความหมายที่เป็นควมจำเป็นในการสืบสานความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่มหรือบางชนชั้นก็เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ เรามิได้หมายความว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ในการต่อสู้โค่นล้ม หรือท้าทาย รวมทั้งต่อรองกับอุดมการณ์เหล่านั้นได้
สี่ หมายถึงการตั้งคำถามว่าความจริง โดยเฉพาะความจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่าข้อเท็จจริงนั้นอาจจะเป็นอุดมการณ์ก็ได้ นั่นก็คือความจริงหรือการแสวงหาข้อเท็จอาจทำหน้าที่บางอย่าง ยิ่งในวันนี้เราจะยิ่งพบว่า การพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า "ความจริงเพื่อความปรองดอง" นั้นกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการแสวงหาความจริงและข้อเท็จจริง ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งที่ว่าความจริงนั้นเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด หรือเป็นบางส่วนเพื่อนำไปสู่ความปรองดองแต่ก็ปกปิดอีกหลายส่วนเอาไว้
มาจนถึงส่วนนี้กระผมก็ขอโทษท่านผู้ฟังที่ได้อภิปรายเรื่องราวของหลักวิชาบางประการเสียจนยืนยาว และบางทีอาจจะดูไม่เกี่ยวกับหัวข้อและบรรยากาศ รวมทั้งความคาดหวังของผู้ฟังมากนัก แต่กระผมก็ตั้งใจที่จะชี้ให้ท่านผู้ฟังเข้าใจว่า เมื่อพูดถึงคำว่าอุดมการณ์นั้น คำว่าอุดมการณ์นั้นมีความสลับซับซ้อน ในแง่ของทั้งการวิเคราะห์ และการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งสิ่งที่มีเสน่ห์อย่างมากของคำว่าอุดมการณ์ก็คือการมีนัยยะของการต่อสู้และปฏิบัติกาทางการเมืองอยู่ในนั้นด้วย นั้นหมายความว่า เมื่อพูดถึงอุดมการณ์ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบ เราก็มักมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างอุดมการณ์ใหม่ๆขึ้นมาด้วย ไม่ว่าจะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่ได้ตั้งใจ อาทิ การวิพากษ์วิจารณ์อุดมการณ์ หรือวิจารณ์ว่าบางอย่างนั้นเป็นอุดมการณ์หรืออุดมคติมากไป เราก็แฝงนัยยะของอุดมการณ์แบบอื่นๆอยู่เบื้องหลังอยู่ดี
 
ส่วนที่สอง - ว่าด้วยเรื่องคนรุ่นหลัง 6 ตุลา 
 
ในส่วนนี้จะว่าด้วยเรื่องของการนิยามความหมายของ "คนรุ่นหลัง 6 ตุลา" ซึ่งมีทั้งนัยยะของความหมายทางประวัติศาสตร์ และความหมายในแง่คิดเชิงทฤษฎีสักเล็กน้อย
ในแง่ความหมายทางประวัติศาสตร์ คนรุ่นหลัง 6 ตุลา หมายถึงอะไรที่ตรงตัวมากๆ นั่นก็คือคนที่เกิดหลังจากเหตุการณ์ ซึ่งถ้าจะนับว่าเหตุการณ์นั้นเกิดมา 36 ปีแล้ว ก็ย่อมหมายถึงว่ามีคนจำนวนมากมายมหาศาลที่ไม่ได้ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนั้น มิพักต้องกล่าวถึงผู้คนที่เกิดอยู่ในยุคนั้นแต่อายุยังน้อย หรือไม่มีสถานภาพของนักศึกษา หรือผู้ที่มีตำแหน่งแห่งที่ทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องด้วย 
 
ในความหมายเชิงทฤษฎีในระดับที่ง่ายที่สุด คนรุ่นหลัง 6 ตุลา ก็คือคนที่เป็นผลผลิตจากการต่อสู้ทางการเมืองและการต่อสู้ทางอุดมการณ์จากเหตุการณ์ในยุคนั้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้นั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลงเสียทีเดียว ดังที่ผู้ที่สนใจในเรื่องดังกล่าวได้พบว่าเรื่องราวของเหตุการณ์ 6 ตุลา นั้นไม่ได้ถูกกลบฝังลงอย่างง่ายๆ แต่ขณะเดียวกันเส้นทางการสถาปนาความทรงจำและอุดมการณ์ของเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าจะมีทิศทางไปในทางก้าวหน้าหรือทางบวกเสมอไป
ในส่วนนี้จะขอขยายรายละเอียดอยู่สักหน่อย อย่างในกรณีกระผมเองนั้น ก็เกิดขึ้นมาในครอบครัวของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ในปี 2514 และไม่ได้มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์เดือนตุลา ทั้ง 2516 และ 2519จนถึงระดับมัธยมปลาย สักตอนต้นทศวรรษที่ 2530เมื่อมีโอกาสเริ่มสนใจการศึกษาประวัติศาสตร์การเมือง และเริ่มที่จะสนใจเรื่องราวของเหตุการณ์เดือนตุลาเข้าจริงๆก็เมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
 
กระผมยังจำได้ดีว่าในสมัยที่กระผมนั้นเป็นนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น คือในช่วง 2531-2533 งานรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลาฯที่จุฬานั้นเป็นงานที่จัดขึ้นล่วงหน้าเดือนตุลาจริงๆเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ด้วยเหตุผลที่ได้รับฟังมาว่า เพราะว่าถ้าจัดในเดือนตุลานั้นจะเป็นช่วงเวลา "ปิดเทอม" ดังนั้นอาจจะไม่มีคนสนใจมากนัก อีกทั้งในความรู้สึกของผมเองนั้น หากจะเข้าถึงการระลึกถึงเหตุการณ์เดือนตุลาจริงๆแล้ว ก็จะต้องมาเข้าร่วมงานที่ธรรมศาสตร์ แต่ผมจำรายละเอียดเหตุการณ์ได้ไม่มากนัก จำได้ว่าไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากนักในบางส่วน แต่ในบางส่วนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก
 
ผมขอยกตัวอย่างความประทับใจในเหตุการณ์การรำลึกในยุคนั้นๆ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากจนถึงช่วงก่อน 2535 นั่นก็คือ การรำลึกถึงเหตุการณ์เดิอนตุลานั้นจัดร่วมกันทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 คือมองว่าเป็นเรื่องของเหตุการณ์เดือนตุลา และเนื้อหาของงานนั้นก็จะมีทั้งการรำลึกถึงเหตุการณ์ การพยายามพูดถึงการแสวงหาความจริงของเหตุการณ์ รวมทั้งมีการนำเสนอบทกวีและการแสดงดนตรีเพื่อชีวิต และในยุคก่อนที่สื่อด้านอื่นๆจะมีอิทธิพล การหาซื้อสมุดภาพเหตุการณ์ที่บันทึกเรื่องราวซึ่งไม่สามารถรับรู้ได้จากสื่อสาธารณะ หรือจากตำราเรียน ทำให้รู้สึกว่าเราได้เข้าถึงความจริงที่ถูกปกปิด และรู้สึกถึงความเลวร้ายของระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะการปกครองของทหาร และทัศนคติของทหารต่อการเมือง แต่กระนั้นก็ตามก็ต้องเน้นยำ้ตามความทรงจำว่า การระลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มักจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ตุลาโดยรวม เหมือนกับเป็นจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เสียมากกว่าที่จะพูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ในลักษณะอื่นๆและใหม่ๆ ดังที่จะพูดถึงในลำดับต่อไป
 
  นอกจากนี้แล้ว สำหรับคนรุ่นใหม่กลุ่มเล็กๆในสมัยนั้น งานระลึกถึงเหตุการณ์ก็เป็นโอกาสที่จะได้มาสะสมหนังสือทฤษฎีวิพากษ์วิจารณ์สังคม หรือที่เรียกว่าทฤษฎีฝ่ายซ้ายด้วย รวมทั้งชีวประวัติของวีรบุรุษเดือนตุลาของเราหลายๆคน 
สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในตัวการรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งผมอยากจะกล่าวเพิ่มเติมในช่วงที่สามนั้น ในทัศนะของผมก็คือ การกลับมาของอดีตคนหกตุลา ซึ่งกลายมาเป็นผู้นำของการเมืองทางภูมิปัญญาทางรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย ซึ่งทำเกิดการตั้งคำถามใหม่ๆกับความรู้และการเมืองของประเทศ และในขณะเดียวกันความเปลี่ยนแปลงในแนวคิดทฤษฎีในการเข้าใจและเปลี่ยนแปลงสังคมก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของแนวคิดด้านมาร์กซิสม์ ซึ่งมีทั้งในส่วนของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการนำเข้าทฤษฎีใหม่ๆที่พ้นไปจากทฤษฎีมาร์กซิสม์ แต่ก็ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการตั้งคำถามสำคัญต่อเรื่องอุดมการณ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องของอุดมการณ์ชาตินิยม อุดมการณ์กษัตริย์นิยม อุดมการณ์ประฃาธิปไตย และอุดมการณ์ทุนนิยม 
 
นอกจากนี้แล้วหากเราพิจารณาตัวเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ในของการรำลึกถึงเหตุการณ์นั้นเราก็จะพบว่ามีความเป็นพลวัตรสูง จาก ในยุคที่ไม่ได้มีการรำลึกถึงเหตุการณ์ (ซึ่งสำหรับประสบการณ์ของผมนั้นอาจจะไม่ได้ชัดเจนมากนัก เพราะในการรับรู้เรื่องราวตั้งแต่สมัยสัก 2531 มาแล้ว ก็มีการพูดถึงได้มากขึ้น) มาจนถึงการรำลึกถึงเหตุการณ์มากขึ้น และมาถึงการตั้งคำถามกับเรื่องราวในระดับอุดมการณ์ของประเทศนี้ จนบางทีผมอาจจะคิดเลยเถิดไปว่า ในด้านหนึ่งการระลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เองอาจจะไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ด้วยเงื่อนไขหลายๆด้านที่พูดได้หรอพูดได้แต่เสียง แต่ในอีกด้านหนึ่งการต่อสู้ทางอุดมการณ์อันเป็นผลผลิตจากเหตุการณ์ 6 ตุลาเองนั้นอาจทำหน้าที่ใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงสำหรับคนรุ่นใหม่และในสถานการณ์ใหม่ๆ อาทิ การตั้งคำถามถึงความรุนแรงในเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 และ เมษา-พฤษภา 2553 เป็นต้น ทั้งนี้เพราะว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นกลายเป็นว่าไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดความรุนแรงและสูญเสียกับประชาชนและกับทุกฝ่าย (ซึ่งหมายถึงการสูญเสียความชอบธรรมในการครองความคิดในระยะยาวอย่างต่อเนื่องของฝ่ายที่เชื่อว่าตนได้รับชัยชนะในช่วงแรกด้วย) ดังที่ได้กล่าวถึงแล้่วว่ามีอีกหลายเหตุการณ์หลังจากนั้นที่ดูจะร่วมสมัยมากกว่า แต่ทั้งนี้กระผมก็ยังคิดว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นมีนัยยะสำคัญยิ่งต่อความเข้าใจต่อปรากฏการณ์และการต่อสู้ทางการเมืองจากวันนั้นจนถึงวันนี้
ในอีกด้านหนึ่ง หากจะมองถึงผลผลิตจากการต่อสู้ในเรื่องของความทรงจำของเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ของคนรุ่นหลัง 6 ตุลาในภาพกว้าง ก็คงไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นไปในลักษณะของการจดจำไม่ได้ หรือไม่รับรู้เสียทีเดียว หรืออยู่ในสภาวะที่รับรู้อย่างสลับซับซ้อน อิหลักอิเหลื่ออย่างที่ปัญญาชน 6 ตุลา ได้ถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง กล่าวคือ สิ่งที่ปรากฏตัวขึ้นของรูปการณ์จิตสำนึกของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นดูราวกับได้กระทำหน้าที่ทางประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์แล้วในยุคของการเริ่มต้นพัฒนาประชาธิปไตยใหม่หลังจาก 2531 ที่มีรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง และแม้จะมีการสะดุดหยุดลงไปบ้างในช่วง 2534 ผ่านการรัฐประหารของ รสช ก็จะพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วง 2535 ก็ทำให้วิถีการโคจร (trajectories) ของประชาธิปไตยนั้นดูเหมือนจะย้อนกลับได้ยาก แม้ว่าจะต้องเผชิญกับ การรัฐปะรหารอีกครั้งในปี 2549 ก็ตาม 
 
ด้วยวิธีการมองเช่นนี้ ที่มองว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา นั้นถูกจดจำมาบ้างแล้วนั่นก็คือ เหตุการณ์ 6 ตุลาได้หน้าที่ที่สมบูรณ์แล้ว นั่นก็คือการเป็นที่มาของประชาธิปไตยในวันนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของพัฒนาการของประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งถือเป็นระบอบการปกครองที่เป็นการประนีประนอมอำนาจกันระหว่างอำนาจเผด็จการทหารและข้าราชการกับพลังประชาธิปไตยในระดับที่เหมาะสมจนแทบจะเป็นฉันทามติในวงการรัฐศาสตร์ในช่วงก่อน 2531 โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับความสำเร็จทางการเมืองและเศรษฐกิจของพลเอกเปรมในยุคนั้น ผ่านนโยบาย 66/23 และ การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจด้วยคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน 
 
รูปธรรมที่สำคัญก็คือประสบการณ์ในการเรียนการสอนของผมในคณะรัฐศาสตร์ ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับนิสิตนับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ก็จะพบกับการพูดถึง "เหตุการณ์ 16 ตุลา" ในความหมายของการควบรวมเวลาและสถานที่ (ภาษาที่ดัดจริตหน่อย อาจจะหมายถึง time-space compression) ของเหตุการณ์เดือนตุลาทั้งสองเหตุการณ์เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยโครงเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือ เป็นเหตุการณ์ต่อต้านเผด็จการทหาร ที่เกิดจากการลุกฮือขึ้นของนักศึกษา และการล้อมปราบนักศึกษา แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมกลายเป็นอดีต ที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกเขา ซึ่งในแง่หนึ่งเราอาจจะมองได้ว่า แม้ว่าในรายละเอียดของเหตุการณ์นั้นอาจจะไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด แต่รูปการณ์จิตสำนึกเช่นนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นความคาดหวังหรือเป้าหมายของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือคนรุ่นตุลา ไปเสียทั้งหมด แต่ผมกลับรู้สึกว่าในระดับหนึ่ง เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้ถูกประทับเข้าไปไว้ในความทรงจำบางส่วนของคนรุ่นหลัง 6 ตุลา ผ่านการกล่าวถึงในตำราเรียน และในความทรงจำในสาธารณะในระดับหนึ่งไปแล้ว แม้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นไปในแบบที่เป็นไปตามข้อเท็จจริง หรือเป็นไปในแบบที่คนรุ่น 6 ตุลาต้องการไปเสียทั้งหมด 
ในอีกมุมหนึ่ง หากมองถึงพัฒนาการของรูปการณ์จิตสำนึกของขบวนการนักศึกษาในภาพรวมนับตั้งแต่ยุค 2519 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในยุคสมัยนับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมา ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดน้อยถอยลงของขบวนการนักศึกษาเสียทีเดียว หากแต่การเคลื่อนไหวในเรื่องของสิ่งแวดล้อมดูจะมีบทบาทสำคัญและนำไปสู่การทำความเข้าใจมิติของการเมืองในความหมายอื่นๆที่เหนือไปจากเรื่องของรัฐธรรมนูญ อำนาจรัฐและรูปแบบการปกครอง แต่เพียงเท่านั้น (นอกจากนี้แล้ว งานวิจัยชิ้นใหม่ๆ อย่างงานวิทยานิพนธ์ล่าสุดของ ภาคิไนย ชมสินมั่น ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ชี้ให้เห็นว่า บทบาทของขบวนการนักศึกษาในเมืองนับจาก 2520 หรือนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าป่า นั้นก็มีส่วนสำคัญในการประคับประคองขบวนการนักศึกษาและต่อรองกับกระบวนการจรรโลงประชาธิปไตยนับจากการล้อมปราบเมื่อ 6 ตุลา 2519 และการเข้าป่าของแกนนำนักศึกษาจำนวนไม่น้่อย) ผมจึงคิดว่าใช่ว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นจะไม่ถูกจดจำ หรือจดจำได้ลำบาก หากแต่เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้ถูกจดจำไปแล้วในแบบที่ "น้อยที่สุด" ที่จะไม่สร้างปมปัญหาใดๆให้กับการดำเนินต่อไปในสังคมในวันนี้เสียมากกว่า โดยเฉพาะยิ่งเมื่อมีการเสียดเย้ยกันทั่วไปว่า คนในยุคนั้นจำนวนหนึ่งที่เคยเป็นศัตรูกัน ก็สามารถที่จะย้ายขั้วย้ายข้างกันได้ ดังกรณีของ คุณสมัคร หรือ คุณจำลองเป็นต้น ก็ยิ่งทำให้การรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 อยู่ห่างไกลจากเหตุการณ์ในวันนี้มากไปทุกที จนดูเหมือนว่าการไปรื้อฟื้นเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมากลับจะยิ่งทำให้การเดินหน้าของสังคมนั้นเป็นไปได้ลำบากในสังคม "ชาตินิยม" และ "สามัคคีนิยม" อย่างที่เป็นอยู่
 
รูปธรรมที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการตอกหมุดทองไปที่ผนังของตึกหนึ่งของอาคาร สำราญราษฎรบริรักษ์ หรือตึกหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงหลัง 2540 (ในยุคสมัยที่ ศ.ดร. ชัยวัฒน์ ค้ำชูเป็นคณบดี) เพื่อระลึกถึงศิษย์เก่าหนึ่งท่านที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 (หมายถึงคนที่ถูกแขวนคอในภาพ) นั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้ เทียบเท่าหรือเสมอกับการระลึกถึงศิษย์เก่าสามคนที่เสียชีวิตกับการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ แต่หากดูในรายละเอียดแล้วไม่ได้มีรายละเอียดในการบันทึกว่า ศิษย์เก่าที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นเสียชีวิตเน่ืองจากเหตุการณ์นั้นมีรายละเอียดอย่างไร 
ในอีกด้านหนึ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่าการมีที่ทางเล็กๆหรือน้อยที่สุดของเหตุการณ์ 6 ตุลา 19ไว้ในเหตุการณ์ "16 ตุลา" นั้นก็ดูจะสอดคล้องกันดีกับภาพรวมทางรัฐศาสตร์ในยุคสมัยทศวรรษที่่ 2520 ทีื่มุ่งเน้นการเสริมสร้างสถาบันทางการเมืองในความหมายของการกำหนดกฏเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญให้พรรคการเมืองในระบบเลือกตั้งนั้นมีบทบาทนำภายใต้ทฤษฎีความทันสมัยทางการเมืองในฐานะเสถียรภาพทางการเมือง และการก่อให้เกิดการร่วมงานระหว่างรัฐและเอกชนในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจภายใต้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกภายใต้ทฤษฎี Corporatism ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้นเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบค่อยเป็นค่อยไป และการวางความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบเห็นพ้องต้องกันระหว่างแนวทางประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง และ การพัฒนาทุนนิยม แต่ต้องไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่เปลี่ยนแปลงรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจพ้นไปจากแนวทางการพัฒนาประเทศที่เป็นอยู่ (หรือเราอาจจะเรียกว่าความสมานฉันท์หลัง 6 ตุลา 2519 – The Great Post- 6 October 1976 Consensus) ดังนั้นการมีที่ทางขั้นต่ำที่สุดหรือน้อยที่สุดของเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ในความทรงจำสาธารณะจึงเป็นไปได้ แต่ต้องไม่มากนัก และมีไว้เพื่อเตือนใจถึงสภาวะที่ล้ำหน้า และมากเกินไปของการเมืองเชิงอุดมการณ์ที่ ไม่เข้าใจ "ความเป็นจริงทางสังคม" ของประเทศ เสียมากกว่าการปฏิเสธเหตุการณ์ในครั้งนั้นเอาเสียเลย
 
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องไม่ลืมที่จะตั้งคำถามว่าฉันทามติทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังหกตุลานั้นได้พังทายลงหลายรอบ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแต่โลกาภิวัฒน์เท่านั้น ดังที่เงื่อนไขของการต่ออายุราชการของพเอกเปรมนั้นพังทลายลง ความพยายามในการทำรัฐประหารในยุคพลเอกเปรมถึงสองครั้งที่ผูกโยงกับความขัดแย้งกับราชสำนัก การถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่งของพลเอกเปรมจากปัญญาชน วิกฤติเศรษฐกิจ และความพยายามสถานาอำนาจของชนชั้นกลางผ่านระบอบปฏิรูปการเมืองแทนการใช้รัฐประหาร รวมทั้งรูปแบบการต่อรองใหม่ๆของขบวนการประชาชนและกำเนิดประชาสังคม รวมทั้งระบอบการเลือกตั้งและประชานิยมสมัยของทักษิณ ก็ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ฉันทามติของการเมืองและเศรษฐกิจหลัง 6 ตุลาคม นั้นเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย
 
กระผมขอย้ำก่อนว่าที่ได้กล่าวมาจนถึงบรรทัดนี้ ก็ไม่ได้ต้องการจะชี้ว่า สิ่งที่กระผมเสนอไปนั้นเป็นความถูกต้อง แต่ต้องการจะบอกว่าเรามาถึงวันนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะจากมุมมองของคนๆหนึ่งที่ไม่ได้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาโดยตรง แต่จากวันนี้ไปจนถึงวันข้างหน้า คนแบบกระผมก็คงจะต้องมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นก็จะยิ่งดูไกลตัวไปมากขึ้นเรื่อยๆ ในด้านหนึ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ในส่วนที่สามซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของการพูดของกระผมในวันนี้ กระผมคงจะได้อธิบายเพิ่มเติมไปว่า มีประเด็นอะไรที่เราเรียนรู้จากเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และการระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในฐานะการต่อสู้ทางอุดมการณ์มาจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
 
ส่วนที่สาม - เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ในฐานะของอุดมการณ์ และการต่อสู้ทางด้านอุดมการณ์จาก ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 จนถึงปัจจุบัน 
 
ดังที่กระผมได้กล่่าวไปแล้วในช่วงต้นในส่วนของความสลับซับซ้อนของความหมายของคำว่าอุดมการณ์ กระผมก็อยากจะตอกย้ำให้เห็นว่าเมื่อพูดถึง เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และปรากฏการณ์คนรุ่นหลัง 6 ตุลา นั้นก็จะพบว่า กระบวนการสร้างความทรงจำและย้อนรำลึกถึงตัวเหตุการณ์เองไม่ว่าจะด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์ และการจัดงาน รวมทั้งการวิเคราะห์เหตุการณ์นั้นมีนัยยะของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในความหมายเชิงบวก เชิงลบ หรือนัยยะที่มีความก้ำกึ่งกัน แต่กระนั้นก็ตาม กระผมอยากจะหยิบยกเอามิติสำคัญสักสี่มิติมาอภิปรายเพิ่มเติม ในการพูดครั้งนี้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดนี้กระผมคิดขึ้นเอง หากแต่กระผมคิดว่ากระผมได้พยายามทำหน้าที่รวบรวมและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เข้ากับ เรื่องของคนรุ่นหลัง 6 ตุลา และความร่วมสมัยของเหตุการณ์ในวันนี้
โดยกระผมขอเสนอมิติสำคัญในเรื่องการต่อสู้ทางอุดมการณ์ 4 มิติ ซึ่งแม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ก็มีความโดดเด่นเป็นตัวเองด้วย ได้แก่ 1. ว่าด้วยเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยและขบวนการเคลื่อนไหวของประชาธิปไตย 2. ว่าด้วยเรื่องของการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ 3. ว่าด้วยเรื่องของอนาคตของการรำลึกถึงตัวเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เอง และ 4. ว่าด้วยเรื่องบทเรียนของเหตุการและการรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 กับสถานการณ์ความปรองดองในวันนี้
 
3.1ว่าด้วยการทำลายเอกภาพของการรำลึกเหตุการณ์เดือนตุลากับการตั้งคำถามกับพัฒนาการของประชาธิปไตยไทย
เดิมทีนั้น เหตุการณ์ เดือนตุลา หรือการจดจำเหตุการณ์เดือนตุลาของคนรุ่นหลังเดือนตุลานั้นดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบในตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยการเฉลิมฉลองให้วันที่ 14 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันประชาธิปไตยของชาติ (แม้ว่าจะเรียกว่า 14 ตุลา ประชาธิปไตย) และการเฉลิมฉลองว่าบรรดา "คนเดือนตุลา" นั้นได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างเปิดเผยในสังคมประชาธิปไตยเลือกตั้ง และการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยโดยเฉพาะนับจากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม จะพบว่าการต่อสู้เรียกร้องในการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้นำไปสู่พัฒนาการทางภูมิปัญญาของการวิเคราะห์การเมืองและพัฒนาการทางการเมืองที่กว้างขวางลึกซึ้งขึ้นไปจากการเรียกร้องในระดับของการบันทึกเหตุการณ์ความสูญเสีย (หรือรายชื่อและสมุดภาพ) มาสู่การตั้งคำถามถึงลักษณะเฉพาะในทางประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยในแบบ 14 ตุลา 2516 มากกว่าการมองแบบรัฐศาสตร์ในแบบเดิมในความหมายของการลุกฮือขึ้นของประชาชนในการได้มาซึ่งประชาธิปไตยในแบบที่เป็นสากล
 
กล่าวคือจากเดิมที่การศึกษาลักษณะสำคัญของพัฒนาการประชาธิปไตยในช่วงนั้นตกอยู่ในการศึกษาในแบบที่ว่า ประชาธิปไตย 2516 นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากเป็นสิ่งที่ฝืนกาลเวลา ด้วยว่าเกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและแช่แข็งทางการเมืองเอาไว้นับเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจากยุคสฤษดิ์เป็นต้นมา และขณะเดียวกันลักษณะความเป็นสากลของประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจและชนชั้นใหม่นั้นก็จำเป็นจะต้องปะทะกับความเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทยที่ไม่สามารถที่จะไปไกลไปกว่านี้ (นั่นคือเป็นสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ไม่ได้ หรือเลือกตั้งทั้งหมดโดยทันทีไม่ได้) ดังนั้นประชาธิปไตยไทยจึงจำต้องมีลักษณะของสภาวะครึ่งใบและค่อยเป็นค่อยไป การตั้งคำถามใหม่ๆย้อนกลับไปต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นเริ่มยกระดับจากการอธิบายในแบบเดิมมาสู่ความเข้าใจในลักษณะของความขัดแย้งทางชนชั้น (หรือสภาวะลงแดงหรือโหยหาความมั่นคงทางการเมืองของบางชนชั้น) หรือรวมถึงการเริ่มอธิบายถึงชุดความคิดและอุดมการณ์บางประการที่ทำให้การใช้ความรุนแรงในการล้อมปราบประชาชนนั้น "เป็นไปได้" และ "คิดได้" แทนที่จะมองแค่ว่าการใช้ความรุนแรงนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะบ้านเมืองนั้นเกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่เกินไปจากสิ่งที่เป็นสมดุลย์ของสังคม ดังนั้นจึงพบว่าการตั้งคำถามกับความยอกย้อนของความเป็นไทยหรือชาตินิยมที่ในทางรัฐศาสตร์เคยมองว่าเป็นพลังเชิงบวกที่หล่อหลอมผู้คนเข้าด้วยกัน ได้กลายเป็นการวิเคราะห์ว่าเป็นพลังในทางการทำลายล้างผู้คนในชาติเดียวกันเสียมากกว่า 
 
นอกจากนั้นแล้ว อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาพัฒนาการของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นได้เริ่มตั้งคำถามกับคำอธิบายและความคาดหวังของการเข้ามามีบทบาทเชิงรุกของพระมหากษัตริย์ต่อพัฒนาการประชาธิปไตยก็มีมากขึ้น นับเนื่องมาจากการอธิบายภาพบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในสมัย 14 ตุลา 2516 และ พฤษภาทมิฬ2535 นับตั้งแต่การมองว่าประชาธิปไตยและการเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การได้มาซึ่งประชาธิปไตยในแบบ 14 ตุลา 2516 นั้นไม่สามารถแยกออกจากการผลิตอุดมการณ์ความเชื่อมโยงประชาธิปไตยกับบทบาทเชิงรุกของสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเรื่องของการเรียกร้องประฃาธิปไตยซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนได้รับจากพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ รวมทั้งการแต่งตั้งคนดีอย่างอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีและองคมนตรีในระยะต่อมา และการริเริ่มให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญจากกลุ่มตัวแทนที่หลากหลายในสมัย 2517 การตั้งคำถามถึงลักษณะของประชาธิปไตยแบบพิเศษที่ยึดโยงกับพัฒนาการของประวัติศาสตร์ของไทยเองที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบราชาชาตินิยมจึงเป็นคำอธิบายที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นกว่าการทำความเข้าใจว่าประชาธิปไตยแบบ 2516 นั้นมีลักษณะสากลแต่ไม่ยั่งยืนจนกว่าจะต้องทำให้เป็นครึ่งใบภายใต้ทุนนิยม (The Post October 1976 Consensus) มาสู่การอธิบายว่าประชาธิปไตยแบบ 2516 นันไม่ได้มีความเป็นสากลตั้งแต่แรก และพลังเคลื่อนไหวประชาธิปไตยได้ประกอบสร้างความเป็นท้องถิ่น/ความเป็นไทยเข้าไปในการเคลื่อนไหวตั้งแต่แรก 
 
นัยยะสำคัญในส่วนนี้ทำให้เกิดคุนูปการสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์พัฒนาการของประชาธิปไตยไทย จากสำนักคิดที่มองว่าเหตุการณ์เดือนตุลาทั้งก้อนนั้นเป็นความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์ที่สามารถมองว่าเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องหนึ่งเดียวและสะท้อนซึ่งความก้าวหน้าของสังคมที่สะดุดชงักลงเพราะพลังเผด็จการที่ฝืนกระแส มาสู่การตั้งคำถามถึงปมปัญหาของพัฒนาการของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยของไทย โดยเฉพาะในหมู่ของนักศึกษา-ปัญญาชนนับจากยุคนั้นมาจนถึงยุค "นายกพระราชทาน" เมื่อไม่นานมานี้ 
 
ดังนั้นการทำความเข้าใจพัฒนาการประชาธิปไตยของไทยนับจากการย้อนรำลึกและลงหลักปักฐานของประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 2519 นั้นจึงทำให้เรามีความเข้าใจที่ซับซ้อนถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยมากขึ้นและไม่มองว่าทิศทางของการพัฒนาทางประวัติศาสตร์นั้นมีองค์เอกภาพเดียว หากแต่เต็มไปด้วยรอยปริของความไม่เป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น และการมองเช่นนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสิ่ที่ทำให้ฉันทามติของการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 นั้นเปราะางและพังทลายลง
 
3.2 ว่าด้วยการปลุกระดม และการเชื่อมโยงพระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์กับการเมือง
นอกเหนือจากการกล่าวถึงความคาดหวังในเชิงบวกและการอธิบายบทบาทในเชิงบวกของสถาบันกษัตริย์ในการพัฒนาการทางการเมืองไทยหลังจาก 14 ตุลา 2516แล้ว คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะไม่กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ใบอนุญาติใช้ความรุนแรงของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นก็คือการปลุกระดมให้เกิดการมองสถานการณ์และการใช้ความรุนแรงโดยสื่อมวลชน โดยเฉพาะในเหตุการณ์การตีความเรื่องของกรณีการแสดงละครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจงใจหมิ่นองค์รัชทายาท รวมทั้งการกล่าวหาว่าผู้ที่มาชุมนุมนั้นไม่ใช่คนไทย และไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ
 
ในรายละเอียดนั้นมีการค้นพบเพิ่มเติมว่าประเด็นเรื่องของการตัดต่อภาพนั้นไม่ใช่เรื่องหลักเท่ากับการปลุกระดมอย่างต่อเนื่องของทั้งกลไกรัฐและสื่อมวลชนทั้งรูปแบบของวิทยุและสิ่งพิมพ์
อย่างน้อยในระยะ 36 ปีที่ผ่านมานั้น แม้ว่าในส่วนของการคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19นั้นอาจไม่ได้รับการเยียวยาตามความเข้าใจและการปฏิบัติในยุคปัจจุบัน แต่อย่างน้อยข้อกล่าวหาในเรื่องของการล้มล้างสถาบันของผู้ชุมนุมนั้นก็ได้หายไปแล้วเป็นส่วนมาก (อย่างน้อยในระดับของการกล่าวหาถึงการเป็นกองกำลังติดอาวุธ หรือขบวนการจัดตั้งในหมู่ผู้ชุมนุม) และที่สำคัญก็คือการอธิบายถึงบทบาทของกลไกรัฐและสื่อที่ทำการปลุกระดมจนนำไปสู่ความรุนแรงนั้นก็ไม่สามารถจะถูกปฏิเสธต่อไปได้อีกต่อไป แต่คำถามที่ต้องคิดเอาไว้ก็คือ เท่าที่ทราบนั้นไม่ได้มีการดำเนินคดีหรือตั้งข้อหากับการปลุกระดมและการจัดตั้งกลไกต่างๆของรัฐในการใช้ความรุนแรงกับความคิดเห็นที่แตกต่างในสังคมได้ และดูเหมือนกับว่าสิ่งนี้จะยังสามารถดำเนินต่อไปในสังคมได้จนถึงวันนี้ในรูปแบบที่เหมือนเดิม หรือซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
 
กล่าวให้ชัดขึ้นก็คือ เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยากว่าสังคมนั้นจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง หรือมีความเห็นที่แตกต่างในระดับที่ไม่ได้เห็นพ้องต้องกัน หากแต่ความคิดเห็นที่แตกต่างนั้นควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะผดุงเอาไว้ซึ่งความชอบธรรมและเป็นธรรมในสังคม มาจนถึงวันนี้นับเนื่องจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มาจนถึงความล่าช้าในการดำเนินคดีในหลายคดีในปัจจุบัน สิ่งที่เราพบก็คือการปลุกระดมในระดับที่โกหก หรือกล่าวหาผู้อื่นนั้นดูจะเป็นสิ่งที่รับได้ในสังคมไทย เท่าที่ยังอ้างได้ว่าการกระทำทั้งหมดทำไปเพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ โดยไม่ได้เห็นเลยว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะความคิดเห็นที่แตกต่างกันของประชาชนก็ควรถูกนับเข้าเป็นสถาบันหลักของชาติด้วย
 
และด้วยเงื่อนไขของการไม่ระงับยับยั้ง หรือระงับชั่งใจกับเงื่อนไขและวิธีการในการใช้ความรุนแรงทางกายภาพและความรุนแรงทางภาษากับความคิดเห็นที่แตกต่าง ภายใต้โครงสร้างของกฏหมายความมั่นคงและกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่บ่อยครั้งอาจส่งผลที่กระทบกระเทือนถึงพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์มากขึ้นนับจากการบริหารจัดการความเห็นต่างที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับหลายฝ่ายที่มากขึ้นเรืื่อยๆ ย่อมไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า วัฒนธรรมการวิจารณ์และการวิเคราะห์ต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่หมินเหม่ไปถึงการแตะต้องสถาบันนั้นปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ และแยกออกได้ยากระหว่างความอาฆาตมาดร้าย การวิพากษ์วิจารณ์ตามหลักวิชา และสมัยนิยมของการวิพากษ์วิจารณ์ จนเรื่องทั้งหมดยากที่จะอธิบายว่าตกลงไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่
 
3.3 ว่าด้วยอนาคตของเหตุการณ์และการรำลึกถึง 6 ตุลา 2519 
ผมไม่แน่ใจว่าการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 นั้นจะสามารถไปถึงความจริงได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แล้วในวันนี้สักเท่าไหร่ หรือกล่าวอีกนัยยะหนึ่ง ผมไม่ได้คิดว่า เรามีกรอบง่ายๆในการมองเรื่องของ 6 ตุลา 19 เหมือนในยุคแรก นั่นก็คือ การปกปิดความจริงกับการเปิดเผยความจริง ทั้งนี้เพราะตัวอย่างกรณีข้อถกเถียงเรื่องของการจัดทำสารคดี 2475 ของโทรทัศน์สาธารณะช่องหนึ่งก็น่าจะเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าเราสามารถหาความจริงและเล่าเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้แค่ไหน และจากมุมของใคร
 
ผมกำลังพูดถึงบทเรียนของการเปลี่ยนผ่านที่หลีกเลี่ยงได้ยากของการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่ว่า การรำลึกถึง 6 ตุลา 2519 กำลังเข้าไปอยู่ในมือของคนรุ่นหลัง 6 ตุลา มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า การรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 อาจจะไม่ได้อยู่ในความหมายของขั้วสองขั้ว คือ การปกปิดความจริงของผู้มีอำนาจที่มีชัยชนะในวันที่ 6 ตุลา และการเปิดเผยความจริงมากขึ้นของผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์ 6 ตุลา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตัวแบบของการเขียนตำรา สร้างอนุสาวรีย์ หอประติมากรรม หรือเอกสารข้อมูลความจริงนั้นอาจไม่ใช่เรื่องทั้งหมดของหมุดหมายในการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา จากวันนี้ไปถึงวันข้างหน้า
 
ผมกลับเห็นว่าเค้ารางสำคัญอันหนึ่งของการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 จากวันนี้จนถึงอนาคตกลับอยู่ที่การสร้างสรรศิลปะในแบบพานิชย์ หรืองานทางวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มีจุดมุ่งหมายในเชิงพานิชย์และคามบันเทิงของคนหมู่มาก โดยเฉพาะบทบาทของภาพยนตร์และอาจจะไปถึงขั้นละคร ซึ่งตัวเหตุการณ์ 6 ตุลานั้นอาจจะไม่ใช่หัวใจสำคัญของเร่ืองราวเท่ากับการกลายเป็น "ฉากหลัง" ของเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ดังตัวอย่างของภาพยนตร์ไทยในหลายๆเรื่องที่อ้างอิงถึงตัวเหตุการณ์เดือนตุลาในภาพรวม หรือในความหมายของ "เหตุการณ์ 16 ตุลา" หรือการฉายภาพการอ้างอิงความสยองขวัญของเหตุการณ์เดือนตุลาในฉากของภาพยนตร์สยองขวัญ อย่างมหาวิทยาลัยสยองขวัญ และการฉายภาพความสนุกสนานและตลกรักโรแมนติคที่พัฒนาต่อเนื่องขึ้นมาของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 อย่างกรณี ฟ้าใสใจชื่นบาน เป็นต้น
 
ผมจึงมีประเด็นในเรื่องนี้ฝากเอาไว้ในแง่ของการรำลึกถึงเหตุการณ์ในสองเรื่องด้วยกัน หนึ่งก็คือ ผมนึกย้อนกลับไปถึงหน้าที่เดิมของการรำลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ในยุคที่ผมเติบโตขึ้นมา นั่นก็คือ การรำลึกถึงเหตุการณ์ รวมไปถึงการต่อสู้เรื่องของการเรียกร้องความจริงและประชาธิปไตยนั้นแยกไม่ออกกับการสร้างสรรและเผยแพร่ทฤษฎีทางสังคมที่ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคม และความใฝ่ฝันของเราที่จะมุ่งไปสู่สังคมบางอย่างไปด้วพร้อมๆกัน นั่นก็คือเราคงจะต้องพูดถึงทั้งตัวเหตุการณ์ และวิธีการมองเหตุการณ์ หรือไปถึงตัวทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของอุดมคติใหม่ๆของสังคมไปพร้อมๆกันในทุกๆครั้งที่เรารำลึกถึงเหตุการณ์ ทั้งในความหมายของการย้อนไปสู่ความเข้าใจที่มีต่ออดีต การทำความเข้าใจปัจจุบัน และ การมุ่งไปสู่อนาคต   
 
ผมนึกถึงคนอย่างอาจารย์ป๋วย ที่ท่านเป็นหนึ่งของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และผมนึกถึงสิ่งที่ท่านพูดถึงอุดมการณ์ที่เรียกว่าสันติประชาธรรม ซึ่งผมคิดว่าเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญว่า นอกเหนือจากการแสวงหาความจริงแล้ว เราคงต้องแสวงหาตัวแบบที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ดูจะห่างไกลจากความเป็นไปได้มากอยู่ 
สอง คือ ผมคิดว่าหน้าที่ของเหตุการณ์ 6 ตุลา ในการเป็นฉากหลังที่ส่งสารเรื่องอื่นๆต่อไปข้างหน้า ซึ่งอาจมีการอธิบายและตีความแตกต่างกันไปเรื่อยๆ ทั้งที่เคร่งครัดและเอาจริงเอาจัง หรือไม่เคร่งครัด ดังในกรณีของภาพยนตร์ต่างๆนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดูจะดำเนินสืบไปมากขึ้น และหลีกเลี่ยงได้ยาก และในความเห็นของกระผมนั้นก็ไม่ควรจะหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด หากแต่ควรจะเผชิญหน้าและเปิดเผยความรู้สึกและความเข้าใจของเราที่มีต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มากขึ้นเรื่อยๆ 
 
ตัวอย่างที่สำคัญล่าสุดที่น่าจะนำมาเทียบเคียงได้ ก็คือ ข้อถกเถียงและข้อเสนอต่างๆที่คณะนิติราษฎร์นั้นมีต่อปัญญาชนของระบอบรัฐประหาร ซึ่งทำให้เกิดการต่อสู้ทางความคิดของการอธิบายและตีความการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เสียใหม่ ด้วยในทางหนึ่งนั้นปัญญาชนของระบอบรัฐประหารก็พยายามอธิบายการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 เพื่อลดทอนข้อกล่าวหาในการทำลายประชาธิปไตยของพวกตน และถ้าย้อนดูดีๆ ก็จะพบว่าคณะนิติราษฎร์เองก็ไม่ได้ผู้ใดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ 2475 แต่ก็ได้อ้างอิงแรงบันดาลใจหลายประการจากการเคลื่อนไหวเมื่อ 2475  และเอาเข้าจริงคณะนิติราษฎร์นั้นก็เกิดหลังพวกที่ชอบอ้างอิง-ตีความ 2475 ในแง่ลดทอนเหตุการณ์ไปว่าเป็นการรัฐประหารไม่ต่างจากเหตุการณ์รัฐประหารอื่นๆเสียด้วยซ้ำ 
 
พูดง่ายๆก็คือ หนึ่งในแรงบันดาลใจที่สำคัญของการพูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่เรายังไม่ได้พูดกันก็คือเรื่องพื้นฐานสุดๆก็คือ สิทธิที่จะชุมนุมโดยสงบ สิทธิที่จะเห็นต่าง สิทธิที่จะต่อต้านเผด็จการ และการไม่ถูกล้อมปราบหรือถูกอธิบายด้วยสถานะของความเป็นอื่น หรือศัตรูของชาติ เรื่องนี้ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการค้นหาความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สั่งฆ่าประชาชน และนอกจากนั้นสิ่งที่เหตุการณ์ 6 ตุลาได้ฝากทิ้งไว้ให้เราด้วยดังที่มีการพูดถึงในปีก่อนๆ โดยเฉพาะปาฐกถาของพี่ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ก็คือเรื่องของทัศนะคติของเราหรือของสังคมที่มีต่อความรุนแรง  
 
3.4บทเรียนของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ถึงปรากฏการณ์ปรองดองธิปไตย 2555
หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญของยุคสมัยนี้ก็คือการพูดถึงการค้นหาความจริงเพื่อความปรองดอง ซึ่งอาจจะดูแตกต่างไปจากการเรียกร้องหาความจริงจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งมักจะเสนอเรื่องของความจริงเพื่อความยุติธรรม หรือการเดินหน้าไปสู่ความปรองดองโดยไม่ต้องพูดถึงความจริง แล้วปล่อยให้ความจริงนั้นถูกประกอบสร้างจากส่วนต่างๆของสังคมที่หลากหลาย และเดินทางไปตามยะถากรรมของมันเอง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญทั้งเกิดไปพร้อมๆกันของเหตุการณ์หลัง 6 ตุลา 2519 
 
ในอีกด้านหนึ่ง กระบวนเคลื่อนไหวในแง่ของการทวงคืนความทรงจำของเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เองนั้นในบางส่วนก็ก้าวหน้าไปจนถึงขั้นของการตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกทำให้ลืม อะไรคือสิ่งที่ถูกจดจำ และอะไรคือสิ่งที่ยังอิหลักอิเหลื่อในการจำและสภาวะของการจำไม่ได้ ลืมไม่ลง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ดูจะล่าช้าและเป็นคนละเรื่องกับกรอบการคิดใหม่ของเรื่องความปรองดองและการเยียวยาที่กำลังประสบอยู่ในปัจจุบันจากเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553  
 
ผมกลับรู้สึกว่าว่าบทเรียนสำคัญของเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็คือ แม้ว่าความยุติธรรม ความเยียวยาและความปรองดองของเหตุการณ์นั้นยังไม่บังเกิดและทำท่าจะแก่ชราไปด้วยตัวของมันเอง แต่การที่ไม่มีความจริงหนึ่งเดียวที่เห็นพ้องต้องกันกลับทำให้ความอิลักอิเหลื่อต่างๆนั้นมีชีวิตของมันต่อไปในแบบที่เป็นอยู่ แต่ก็เป็นความอิลักอิเหลื่อที่ประหลาดนั่นก็คือ ทำให้เกิดการอ้างอิงว่าเราไม่อยากให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่สิ่งนั้นอีก แต่เอาเข้าจริงโครงสร้างที่จะไม่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกนั้นไม่ได้มีการแก้ไขอะไรไปมากนัก โดยเฉพาะเรื่องที่ผมพูดไปแล้วคือ ทัศนคติที่มีต่อความเห็นต่าง ทัศนคติที่มีต่อความรุนแรงและใบอนุญาติในการใฃ้ความรุนแรง รวมถึงความเชื่อมั่นว่าการทำรัฐประหารนั้นเป็นวิธีที่จำเป็นในการแก้ปัญหาความไม่สงบทางการเมือง 
ผมไม่เชื่อว่าเราสามารถสร้างความจริงชุดเดียวที่เห็นตรงกันได้ภายหลังความรุนแรงทางการเมือง โดยเฉพาะการสร้างอภิมหาคำอธิบายถึงที่มาของเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรงทางการเมือง เพราะสิ่งเหล่านี้เกี่ยวเนื่องกับกรอบคิด และจุดยืนทางทฤษฎีและผลประโยชน์ที่แตกต่างกันของผู้คน แต่สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือการยืนยันหลักการที่จะต้องอยู่ร่วมกันภายใต้กฏกติกาบางอย่างที่เคารพถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการไม่ปกครองด้วยข้อยกเว้นเสียมากกว่าการมองว่าหน้าที่ของตนคือการกล่าวว่าทุกฝ่ายก็มีส่วนผิด ผมกลับรู้สึกว่าหน้าที่สำคัญของการสร้างความจริงเพื่อการปรองดองหรือเพื่อความปรองดองนั้นก็คือการยืนยันหลักการว่าทุกเรื่องราวที่คลางแคลงใจนั้นจะต้องนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและกดดันนำหลักฐานมาเปิดเผยด้วยหลักการที่ว่าไม่ให้มีใครได้รับข้อยกเว้นในการไม่ถูกกล่าวหาและดำเนิินคดีที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย มากกว่ามานั่งอธิบายว่าทุกฝ่ายมีส่วนผิด ส่วนเร่ืองการเยียวยาเบื้องต้นที่ทำอยู่นั้นผมคิดว่ากระบวนการที่ดำเนินอยู่นั้นเป้ฯสิ่งที่น่าชมเชยยกย่อง   
 
กล่าวโดยสรุป โจทย์ข้อใหญ่จากวันที่ 6 ตุลา 2519 มาจนถึง 6 ตุลา 2555 สำหรับผมจึงยังอยู่ที่บรรยากาศของความรู้สึกที่ว่าเมื่อความรุนแรงทางการเมืองกำลังจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเห็นต่าง บ้านเมืองก็ไม่ได้มีกลไกใดๆที่จะป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะโจทย์เดิมๆของการชุมนุมโดยสงบก็ยังถูกให้ภาพจากข้อกล่าวหาและกลไกจำนวนมากที่ไม่สามารถลดความรุนแรงได้เลยทั้งจากของรัฐเองและของภาคส่วนอื่นๆทั้งที่มีเจตนาไม่ดีในการเอาชนะทางอำนาจ และทั้งที่เจตนาดีแต่ไม่เข้าใจเงื่อนไขพื้นฐานในหลายๆข้อ และย้อนกลับไปคิดว่าสุดท้ายเราคงยังไม่พ้นที่จะกล่าวถึงเรื่องของอุดมการณ์อยู่ดี แต่พูดถึงอุดมการณ์ในลักษระที่ซับซ้อนและเข้าอกเข้าใจและระมัดระวังมากขึ้นกว่าการมองว่าอุดมการณ์นั้นจะมีแต่ผลบวกหรือมีแต่ผลลบเท่านั้น 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น