โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'คำสัญญา' กสทช. ลั่นกำกับ 'ค่าบริการ 3G' ลง 15-20%

Posted: 22 Oct 2012 11:18 AM PDT

หลังกระแสวิพากษ์วิจารณ์ผลการประมูลใบอนุญาต​ให้บริ​การ 3G คลื่น​ความถี่ 2.1GHz อย่างหนัก วันนี้ (22 ต.ค.55) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช.) โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) แถลงข่าวประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณชนในการคุ้มครองผู้ใช้บริการ

โดยผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. พร้อมด้วย พ.อ.เศรษฐพงค์  มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. และประธาน กทค., พล.อ.สุกิจ  ขมะสุนทร กสทช., สุทธิพล  ทวีชัยการ กสทช. และ ฐากร  ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.

อนึ่ง บอร์ด กทค. ประกอบด้วย พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ, พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร, สุทธิพล ทวีชัยการ, ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์  และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา โดย กสทช. ประเสริฐ และ นพ.ประวิทย์ ไม่ได้ร่วมการแถลงข่าว

พ.อ.เศรษฐพงค์  มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. และ ประธาน กทค. กล่าวคำประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณชนในการคุ้มครองผู้ใช้บริการ ดังนี้

  1. จะกำกับดูแลอัตราค่าบริการทั้งประเภทเสียงและข้อมูลของบริการ 3G บนย่านความถี่ 2.1 GHz ให้ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 – 20 ของอัตราค่าบริการในปัจจุบัน
  2. จะกำกับดูแลให้คุณภาพการให้บริการเป็นไปตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทข้อมูลสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างเคร่งครัด และให้มีมาตรการติดตามคุณภาพของการให้บริการอย่างต่อเนื่อง
  3. จะกำกับดูแลให้ผู้รับใบอนุญาตจัดทำแผนความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility – CSR) และแผนคุ้มครองผู้บริโภคก่อนเริ่มให้บริการ รวมทั้งให้มีมาตรการติดตามการดำเนินการของผู้รับใบอนุญาตให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด
  4. จะมีการตรวจสอบพฤติกรรมการเสนอราคาของผู้เข้าร่วมการประมูลในระหว่างการประมูลคลื่นความถี่ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2555 เพื่อให้เกิดความชัดเจนอีกครั้งหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตต่อไป
  5. จะมีการปรับปรุงกระบวนการรับเรื่องและพิจารณาเรื่องร้องเรียนตามประกาศ กทช. เรื่อง การรับเรื่องร้องเรียน และกระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน พ.ศ. 2549 โดยเน้นกระบวนการในการพิจารณาและแก้ไขปัญหาของประชาชนให้ทันท่วงที
  6. จะมีการใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมและผู้ร้องเรียน พ.ศ. 2555 ให้เกิดประสิทธิภาพ และสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

ทั้งนี้การดำเนินการในข้อ 1 – 3 ผู้ผ่านการประมูลจะต้องรับเงื่อนไขดังกล่าวก่อนให้บริการ

จึงแถลงการณ์ให้สาธารณชนเกิดความเชื่อมั่นว่า กสทช. ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และจะกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ

"อยากให้สื่อมวลชนและประชาชนมีความมั่นใจว่า กสทช. ไม่ได้รีบร้อนในการให้ใบอนุญาต และในการรับรองผลการประมูลที่ผ่านมา เป็นการรับรองตามกำหนดการที่ตั้งไว้ ไม่ได้เป็นการเร่งรีบ ดังนั้นในการออกใบอนุญาตจะต้องมีความโปร่งใส และประโยชน์จะต้องเกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ ขอให้มั่นใจว่ากระบวนการทุกกระบวนการมีการดำเนินการอย่างระมัดระวัง" พ.อ.เศรษฐพงค์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า กสทช. จะกำกับดูแลอัตราค่าบริการทั้งประเภทเสียงและข้อมูลของบริการ 3G บนย่านความถี่ 2.1 GHz ให้ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของอัตราค่าบริการในปัจจุบัน โดยการลดลงของอัตราค่าบริการ จะส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G โดยรวมทั้งประเทศได้รับประโยชน์จากการมีค่าบริการที่ถูกลงหรือสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนในการให้บริการที่ลดลง และระดับการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นในตลาด

ฐากร กล่าวว่า หากอัตราราคาค่าบริการลดลง 15% จะได้ผลประโยชน์คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 4,571.25 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 54,855 ล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็นผลประโยชน์ทั้งหมดประมาณ 822,825 ล้านบาทภายในระยะเวลา 15 ปี และหากอัตราราคาค่าบริการลดลง 20% จะคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 6,095.22 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 73,142.64 ล้านบาทต่อปี และประมาณ 1,097,145 ล้านบาทภายในระยะเวลา 15 ปี ทั้งนี้ผลประโยชน์จากการใช้บริการ 3G จากอัตราค่าบริการที่ลดลงได้พิจารณาอ้างอิงจากราคาค่าบริการ 3G ในปัจจุบันในอัตราประมาณ 899 บาทต่อเดือน

สุทธิพล  ทวีชัยการ กสทช. กล่าวถึงประเด็นที่จะมีการตรวจสอบพฤติกรรมการเสนอราคาของผู้เข้าร่วมการประมูลในระหว่างการประมูลคลื่นความถี่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนอีกครั้งหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตต่อไป โดยได้มีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายของสำนักงาน กสทช. ทั้งในเรื่องของ พ.ร.บ.ความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งในส่วนของระบบ และซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการประมูล ซึ่งก็ได้มีการยืนยันในส่วนของสำนักงานและบริษัทที่ปรึกษาฯ ในการประมูลว่าระบบการทำงานไม่ได้มีพฤติกรรมในการสมยอม

สุทธิพล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีกระแสข่าวในเรื่องของพฤติกรรมการเสนอราคาของผู้เสนอราคาในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความชัดเจน สำนักงาน กสทช. จะได้มีการจัดตั้งคณะทำงานซึ่งจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มาตรวจสอบอีกครั้ง และจะได้มีการเชิญผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการประมูลมาสอบถามอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าในการพิจารณาออกใบอนุญาตจะมีความโปร่งใสมากที่สุด ทั้งนี้ระยะเวลาในการตรวจสอบนั้นจะต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุดคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณไม่เกิน 15 วัน หลังจากนั้นจะนำเสนอที่ประชุม กทค. เพื่อพิจารณาต่อไป

 

บอร์ด กสท.มีมติเอกฉันท์ ขอทราบรายละเอียดประมูล 3G

สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. ซึ่งเป็น 1 ใน 5 บอร์ดกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ทวีตผ่าน @supinya ว่า วันนี้บอร์ดกระจายเสียง (กสท.) 5 คนมีมติเอกฉันท์ว่าจะทำหนังสือถึงประธาน กสทช. เพื่อขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลย่าน 2.1 กิกะเฮิร์ตซ หรือใบอนุญาต 3G ของบอร์ด กทค. เพื่อขอทราบข้อเท็จจริง กระบวนการและขั้นตอนการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าว ตลอดจนเหตุผลการใช้ดุลพินิจในการรับรองผลการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าว เหตุผลในการชี้แจงต่อกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อนำมาใช้พิจารณาโดยมุ่งหวังให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดำเนินการของ กสทช. ต่อไป

"ในทางกฏหมาย ที่ผ่านมาบอร์ดกระจายเสียง (กสท.) ไม่ทราบการดำเนินการต่างๆ ในการจัดประมูลของบอร์ด กทค. จึงมีมติขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาต่อไป" สุภิญญาทวีต

สุภิญญาให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์เพิ่มเติมว่า จากการประชุม กสท.วันนี้ มีความเห็นร่วมกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และผลการประมูลที่ออกไปก็ออกไปในนาม กสทช.ทั้งหมด ดังนั้นเราจึงควรแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ด้วย แต่ก่อนที่จะแสดงจุดยืนจะต้องดูข้อมูลรายละเอียดที่เป็นทางการก่อน

"ที่ผ่านมาเราเคยตกลงกันไว้ว่า แต่ละบอร์ด คือ กทค.และ กสท.จะมีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง แต่หากเรื่องใดที่เป็นเรื่องใหญ่จะให้อีกบอร์ดมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วยก็ได้ และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ความรับผิดรับชอบกระทบมาถึงบอร์ดอีกฝ่าย เราจึงคิดว่าเราควรจะมีท่าทีในเรื่องนี้ แม้ว่าทางบอร์ด กทค.เห็นว่าเป็นอำนาจของเขาและได้ตัดสินไปแล้ว แต่เราก็ควรที่จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาเพื่อแสดงจุดยืนว่าเราเห็นอย่างไร"

ทั้งนี้ สุภิญญาระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา ตนเองเคยเสนอว่าประธานควรจะเรียกประชุมบอร์ดใหญ่เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ เพราะประธานเป็นคนเดียวที่จะสามารถเรียกประชุมบอร์ดใหญ่ได้ แต่ประธานก็กลับไม่ทำ

 


กมธ.สอบทุจริตฯ วุฒิสภา เตรียมเรียก กทค.-นักวิชาการ-คลัง แจง 25 ต.ค.นี้

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาธิบาล วุฒิสภา ที่มี สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี เป็นประธานคณะกรรมาธิการ โดยมีวาระการประชุมพิจารณาตรวจสอบ เรื่องการประมูลคลื่นความถี่ 3G ซึ่ง ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ. กล่าวในที่ประชุมโดยเห็นว่า การกระทำของ กสทช.เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เกิดการฮั้วประมูลหรือไม่ เพราะการตั้งราคาประมูลเบื้องต้น แสดงให้เห็นเจตนาที่ไม่มีความถูกต้อง

ด้านคำนูญ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ. กล่าวว่า การที่รัฐเสียรายได้กว่า 1.6 หมื่นล้านบาทนั้น นักวิชาการหลายคนก็ออกมาให้ข้อมูลว่า หากนำฐานรายได้ที่เอกชนจ่ายให้รัฐมา เปรียบเทียบกับการเปิดประมูลใหม่รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 7 แสนล้านบาท ดังนั้น แม้คนไทยต้องการใช้ระบบ 3G แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและประโยชน์ที่คนทั้งประเทศจะได้รับเป็นที่ตั้ง มากกว่าประโยชน์ที่จะไปตกกับผู้ประกอบการเอกชน อีกทั้งพฤติกรรมของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมหรือ กทค. ก็มีลักษณะเร่งรีบ และเร่งรัดให้การประมูลเสร็จสิ้นภายในสองวัน ซึ่งเป็นเหตุผิดปกติ ทั้งที่กฎหมายระบุว่า สามารถใช้เวลาประมูลได้ 7 วัน ดังนั้น จึงต้องการให้คณะกรรมาธิการพิจารณาข้อมูลที่มีการเสนอเรื่องเข้ามา และขอให้ประธาน กสทช. พิจารณาทบทวนความสูญเสียของประเทศว่า มีมากน้อยเพียงใด

ด้าน รสนา โตสิตระกูล ส.ว. สรรหา กล่าวว่า การประมูลครั้งนี้เป็นการประมูลเทียมที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ไปอย่างมหาศาล เพราะทรัพยากรความถี่ที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐจะต้องมีวิธีการคิดใหม่และควรมองว่าการประมูลเอกชนได้กำไรเท่าไหร่ ที่เหลือต้องตกเป็นประโยชน์ของประเทศและไม่ควรกลัวว่า ถ้าตั้งราคาสูงแล้วจะไม่มีใครประมูล อีกทั้งมีการตั้งข้อสงสัยในการประชุมของคณะกรรมการ กทค. ว่า เมื่อมีมติฯ แล้วต้องแจ้งให้ผู้ประมูลทราบ เพื่อจ่ายเงินภายใน 90 วัน แต่ในข้อเท็จจริงวันดังกล่าว มีการมารอเพื่อจ่ายเงินเลย ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการผูกมัดไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น อีกทั้งมองว่า การกระทำดังกล่าวของ กทค.อาจมีความผิด

ทั้งนี้ ประธาน กมธ. ได้ขอมติที่ประชุมว่า ควรเร่งนำเรื่องส่งต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยนำข้อมูลการร้องเรียนมาประกอบกับข้อมูลที่ กมธ. ได้ศึกษาแนบส่งไปด้วย ซึ่งที่ประชุมก็เห็นด้วย พร้อมกับเห็นว่า ต้องเชิญ กทค.คณะผู้วิจัย ตัวแทนผู้ตรวจการแผ่นดิน ตัวแทนการตรวจเงินแผ่นดิน ตัวแทนเอกชน 3 ราย รวมไปถึง สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง มาประชุมพร้อมกันในวันพฤหัสที่ 25 ตุลาคมนี้ พร้อมกับทำหนังสือไปยัง ประธาน กสทช. ให้เข้ามาชี้แจงกับกรรมาธิการด้วยว่า ได้มอบอำนาจให้ กทค. ไปดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน


 

 

ที่มา: Press Release กสทช., กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรรค 'สามัญชน' จัดกิจรณรงค์ค้านเขื่อนห้วยสามหมอ

Posted: 22 Oct 2012 10:58 AM PDT

รู้จักพรรคสามัญชน พรรคของขบวนการคนหนุ่มสาวที่อยากเห็นความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม  และคัดค้านการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2555 พรรคสามัญชนและเครือข่ายคนหนุ่มสาวจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ  จัดกิจกรรมรณรงค์คัดค้านโครงการธนาคารน้ำ ซึ่งจะมีการก่อสร้างเขื่อนห้วยสามหมอที่มีปริมาณเก็บกักน้ำกว่า 60,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (ประมาณ 4 เท่าของความจุเขื่อนภูมิพล)  กินเนื้อที่กว่า 4 แสนไร่ ครอบคลุม 8 ตำบลของอำเภอแก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

โดยได้มีการจัดขบวนป้ายผ้า และการรณรงค์แจกใบปลิวชี้แจงข้อมูลข้อดีข้อเสียของโครงการเขื่อนห้วยสามหมอ ณ บริเวณ ตลาดแก้งคร้อ และหน้าที่ว่าการอำเภอแก้งคร้อ นอกจากนี้ยังมีการแจกสติ๊กเกอร์และใบปลิวในบริเวณชุมชนรอบๆ ตลาดอีกด้วย

ด้านนายกรชนก แสนประเสริฐ เลขาธิการพรรคสามัญชนกล่าวว่า  การรณรงค์ในครั้งนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวบ้านในอำเภอแก้งคร้อ เพราะชาวบ้านตระหนักในส่วนผลกระทบของการสร้างเขื่อนอยู่แล้ว แต่อาจขาดข้อมูลเชิงลึก ซึ่งชาวบ้านไม่ค่อยเชื่อว่า เขื่อนจะเกิดขึ้นจริง ดังนั้นการรณรงค์ครั้งนี้จึงทำให้ชาวบ้านตื่นตัวมากขึ้น

ในส่วนของการจัดค่ายเรียนรู้ปัญหาเขื่อนพรรคสามัญชนนั้น พยายามสร้างพื้นที่ในการจัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้เรียนรู้ประเด็นปัญหาในพื้นที่จริง และคิดว่า ประเด็นเขื่อนห้วยสามหมอยังไม่มีกระแสในสังคม เราจึงคิดว่า การพานักศึกษามาลงพื้นที่และปฏิบัติการรณรงค์ในครั้งนี้ เป็นการเปิดประเด็นนี้ต่อสาธารณะด้วย

ด้านนายชูเวช เดชดิษฐรัก์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะผู้เข้าร่วม มีความเห็นว่า  การรณรงค์ในครั้งนี้ถือเป็นการเรียนรู้ของนักกิจกรรมรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้ว่า ชุมชนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีเขื่อน หรือบางคนรู้แต่ไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง เพราะรัฐปกปิด  รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมกิจกรรมกับพรรคสามมัญชนและหวังว่าชาวบ้านจะตื่นตัวในการต่อสู้เพื่อคัดค้านเขื่อนจนได้รับชัยชนะ

ในส่วนของางสาววศินี บุญที นักศึษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า โครงการเขื่อนห้วยสามหมอเป็นโครงการที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ วิถีชีวิต ที่อยู่อาศัย วัฒนธรรม อาชีพและความเป็นมนุษย์ของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้เป็นผู้กำหนดอนาคตชีวิตของตนเอง เราจึงคัดค้านโครงการนี้ ในส่วนพรรคสามัญชนเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่จุดไฟความหวังของคนรุ่นใหม่ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หนูรู้สึกมีความหวังในการทำงานเพื่อสังคมต่อไปโดยมีพรรคสามัญชนเป็นหลังพิง เป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่อีกหนึ่งหลัง

"ทั้งนี้ พรรคสามัญชนเป็นพรรคของขบวนการคนหนุ่มสาวที่อยากเห็นความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความธรรมทางด้านการเมือง เศราฐกิจ สังคม หรือด้านสิ่งแวดล้อม เราคัดค้านการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นกรณีเขื่อนห้วยสามหมอ หรือเขื่อนแม่วงก์ หรือเขื่อแก่งเสือเต้น หรือการพัฒนาจากรัฐอื่นๆที่ไม่เกิดประโยชน์จริงต่อคนส่วนใหญ่" นายกรชนก กล่าวทิ้งท้าย

 

............................................................................

 

แถลงการณ์พรรคสามัญชน

หยุดเขื่อนห้วยสามหมอ
หยุดการพัฒนาอัปยศ บนคราบน้ำตาประชาชน

 

เนื่องด้วยได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2553 ให้ทำการศึกษาพื้นที่อำเภอแก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เพื่อดำเนินโครงการธนาคารน้ำ ซึ่งจะมีการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 4 แสนไร่ ครอบคลุม 8 ตำบลของอำเภอแก้งคร้อ หากสร้างเสร็จจะเป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีปริมาณเก็บกักน้ำกว่า 60,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (ประมาณ 4 เท่าของความจุเขื่อนภูมิพล) เป็นผลให้ประชาชนจำนวนกว่า 20,000 ครอบครัว ต้องอพยบจากบ้านเกิดตัวเองที่อยู่มาหลายชั่วอายุคน และส่งผลต่อทรัพยกรธรรมชาติ วิถีชีวิต รวมถึงอัตรลักษณ์ท้องถิ่นที่มีทั้งหมดสูญหายไป

พวกเราคนหนุ่มสาวจากภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ ในนามพรรคสามัญชนได้ทำการศึกษาข้อมูลของโครงการตลอดจนผลกระทบต่างๆ ทั้งยังได้ลงดูพื้นที่ก่อสร้างจริง และมีความเห็นว่า การสร้างเขื่อนห้วยสามหมอไม่เอื้อประโยชน์แก่คนในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเกษตรกรรม แต่กลับเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนบางกลุ่มตามแผนพัฒนาประเทศแบบดำเนินอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้เงินภาษีซึ่งเป็นหยาดเหงื่อของประชาชนในการทำการศึกษาถึงกว่า 3.6 ล้านล้านบาท

เราจึงขอแสดงจุดยืนในการคัดค้านเขื่อนห้วยสามหมอ และโครงการการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมอื่นๆ ที่ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

                                                                                             หยุดการพัฒนาบนคราบน้ำตาประชาชน
                                                                                             หยุดเขื่อนห้วยสามหมอ

                                                                                             พรรคสามัญชน
                                                                                             21 ตุลาคม 2555

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความรุนแรงของการปฏิวัติ กับโลกขั้วเดียวที่การขอแบ่งปันอำนาจอย่างสันติเป็นไปได้

Posted: 22 Oct 2012 10:43 AM PDT

เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจมากที่จะมีการกล่าวถึง "การปฏิวัติจำต้องรุนแรง" ในบทความ "การปฏิวัติจำต้องรุนแรงหรือ? วิพากษ์ลัทธิปฏิวัติปีกซ้ายไร้เดียงสา" ของ ดร.เกษียร เตชะพีระ ในโลกยุคปัจจุบัน ที่เป็นโลกขั้วเดียวภายใต้ระบบทุนนิยมที่มีสหรัฐเป็นผู้นำ นับตั้งแต่โลกสังคมนิยมล่มสลาย ความสำเร็จในการปฏิวัติด้วยความรุนแรงของฝ่ายประชาชนเกือบจะไม่มี แม้กระทั่งกรณีเนปาล การโค่นระบบกษัตริย์เนปาลก็ไม่ได้เป็นผลงานของพรรคเหมาอิสต์เนปาล

การเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของฮูโก ชาเวต แห่งเวเนซูเอลา ผู้นำแนวทางสังคมนิยมรัฐสภาก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามกับระบบทุนนิยม เพียงแบ่งปันความมั่งคั่งโดยไม่ได้แตะต้องการขูดรีดของระบบทุนนิยม ชาเวตทำเพียงแค่โอนการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นรัฐก็ถูกชนชั้นกลางในประเทศต่อต้าน สังคมนิยมทุกวันจึงเป็นเพียงขอพื้นที่เล็กๆ ในระบบทุนนิยมเท่านั้น

เมื่อกล่าวถึงการปฏิวัติในอดีตแล้วต้องเข้าใจว่า การปฏิวัติมีเป้าหมายในการสร้างสังคมใหม่ ความสัมพันธ์ทางการผลิตใหม่ขึ้น จึงต้องมุ่งทำลายกลไกรัฐเก่าเพราะเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำในการควบคุมประชาชน ด้วยการทำให้ศิโรราบผ่านการครอบงำทางอุดมการณ์ ใช้ความรุนแรงผ่านกองทัพ กฎหมาย ตุลาการ เพื่อทำให้ประชาชนหวาดกลัวและยอมสยบ ก่อนการเปลี่ยนแปลงนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การขจัดความหวาดกลัวของประชาชนภายใต้รัฐนั้นให้หมดไป

ในรัสเซีย การปฏิวัติกุมภาพันธ์ 1917 เริ่มต้นด้วยการเรียกร้องอย่างสันติเพื่อยุติสงคราม ซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามจนมีคนล้มตายมากมาย แต่ในที่สุด ซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ แล้วคาเรนสกี้จากเมนเชวิกได้ขึ้นสู่อำนาจ ก่อนหน้านี้ในปี 1905 ซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ใช้ทหารปราบปรามประชาชนที่มาเรียกร้องให้ยุติสงครามกับญี่ปุ่น และปรับสภาพการทำงานของกรรม จนมีคนตายจำนวนมากมายเช่นกัน ในการปฏิวัติตุลาคม 1917 ของพรรคบอลเชวิค ที่ใช้กองกำลังติดอาวุธเข้ายึดอำนาจ จากคาเรนสกี้ กลับมีการหลั่งเลือดน้อยกว่าการปฏิวัติ 1905 และการปฏิวัติกุมภาพันธ์ 1917

ในจีน การจัดตั้งกองทัพปลดปล่อยของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ในปี พ.ศ. 2470 ฝ่ายเจียงไคเช็คได้กำลังปราบปรามกรรมกรและมวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีการประเมินว่าการสังหารอย่างต่อเนื่องที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์นี้ มีคนตายไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ขณะเดียวกัน การจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธนี้ทำให้สามารถระดมคนสนับสนุนได้มากขึ้นอย่างกว้างขวาง จนนำไปสู่ชัยชนะเหนือกองทัพก๊กมิ่นตั๋งและเจียงไคเช็คอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งยุติลง กองกำลังนี้นอกจากจะใช้การตอบโต้กับฝ่ายตรงข้าม แต่สิ่งสำคัญคือได้สร้างความเชื่อมั่นและขจัดความหวาดกลัวของผู้สนับสนุน

ในอิหร่าน การปฏิวัติปี 1979 เริ่มจากความไม่พอใจของประชาชนต่อค่าครองสูงชีพจากความมั่งคั่งของราคาน้ำมันแพงในปี 1975 ผู้ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันแพงคือ ตระกูลของกษัตริย์ชาห์ ปาลวี มีการประเมินว่าตระกูลมีสินทรัพย์ประมาณ 20, 000 ล้านเหรียญ (มูลค่าปัจจุบันประมาณ 2 ล้านล้านบาท) เมื่อการประท้วงของประชาชนมากขึ้น รัฐบาลกษัตริย์ชาห์ ใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง เช่น การประท้วงของนักศึกษาที่เมือง Qom มีการสังหารนักศึกษาและผู้นำศาสนาหลายพันคน รัฐบาลกษัตริย์ชาห์ได้ใช้ตำรวจลับ และทหารตามสังหารฝ่ายต่อต้านอย่างต่อเนื่อง

การประท้วงในอิหร่านได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงเหตุไฟไหม้โรงภาพยนตร์ Cinema Rex ในเมืองอบาดาน มีคนตาย 400 คน พร้อมกับข่าวลือว่า รัฐบาลกษัตริย์ชาห์ อยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านผ่านการสวดมนต์ในมัสยิดทุกวันศุกร์ทั่วประเทศ จนกระทั่งวันที่ 10 และ 11 ธันวาคม 1978 ประชาชน 6 ถึง 8 ล้านออกมาชุมนุมทั่วประเทศ เมื่อกษัตริย์ชาห์ สั่งให้ทหารออกมาปราบปรามการชุมนุม แต่ไม่มีกระสุนออกมาจากฝ่ายทหาร ในที่สุด กษัตริย์ชาห์ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ การปฏิวัติอิหร่านจึงเป็นการปฏิวัติอย่างสันติ แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดขึ้น ประชาชนที่ต่อสู้อย่างสันติได้ตายไปเป็นจำนวนมากมาย จนทำให้ทุกคนไม่พอใจระบบปกครองของกษัตริย์ชาห์

ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่การยึดอำนาจ แต่อยู่ที่การรักษาอำนาจหลังการปฏิวัติ แม้กระทั่งในการปฏิวัติอิหร่าน ฝ่ายโคไมนี่ ได้อาศัยช่วงสงครามกับอิรัก กวาดล้างฝ่ายอื่น เช่น พรรคคอมมิวนิสต์อิหร่าน ผู้สนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์ถูกสังหารประมาณ 30,000 คน ผู้นำศาสนา อยาโตเลาะคาเซม ชาเรียมาดาริ (Kazem Shariatmadari) ถูกควบคุม ผู้สนับสนุนในเมือง ทาบริซ (Tabriz) ถูกโคไมนี่ ส่งรถถังและทหารเข้ากวาดล้าง แต่คาเซม สั่งกองกำลังทหารตัวเองวางอาวุธ เพราะไม่ต้องการรบกันเอง นักการเมืองเสรีนิยมหลายคนต้องหนีจากประเทศ ในที่สุดการปฏิวัติอย่างสันติ ก็นองเลือด

การล่มสลายรัฐสังคมนิยมได้โยนความผิดให้กับสตาลิน แน่นอนความผิดพลาดมีทั้งแนวทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่ถูกต้อง ที่กำหนดมาจากชนชั้นนำ ในทางเศรษฐกิจอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง การวางแผนเศรษฐกิจไม่ได้คำนึงกลไกตลาดในฐานะที่กลไกตลาดเป็นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่กำหนดมาจากความหวังดีของชนชั้นนำ และการจัดสรรทรัพยากรของสังคมตามความหวังดีของพวกเขาในขยายพื้นที่และรักษารัฐสังคมนิยมด้วยการทำสงครามตลอดกาล แต่ทำให้ประชาชนอดยาก ในทางการเมืองชนชั้นนำสังคมนิยมอีกนั่นแหละเป็นกำหนดความถูกต้อง ผู้เห็นต่างคือศัตรูของรัฐ และสมควรถูกกำจัด จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับประชาชนหลายสิบล้านคนได้อุทิศชีวิตให้กับสังคมนิยม เมื่อสังคมนิยมที่พวกเขาปรารถนาได้กลายเป็นรัฐทรราชย์

ย้อนกลับมาที่ ฮูโก้ ชาเวต ในตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของเขาเต็มไปด้วยยากลำบากจากการต่อต้านของชนชั้นกลางจำนวนมาก เขาได้โอนกิจการน้ำมันมาเป็นของรัฐ และจัดสรรทรัพยากรให้กับคนจนมากขึ้น ความลำบากของเขาถึงขั้นถูกรัฐประหาร แต่การรอดพ้นไม่แน่ว่าเป็นเพราะประชาชนสนับสนุนเขาอย่างล้นหลาม เพราะคนพาเขาออกมาก็นายทหารที่สนับสนุนเขา

เพื่อนร่วมแนวทางของเขา เช่น อีวา โมลาเลส แห่งโบลิเวีย เผชิญการต่อต้านจากชนชั้นกลางเช่นเดียวกัน แต่ที่เลวร้ายกว่าคือ มานูเอล เซลายา แห่งฮอนดูรัส ประธานาธิบดีผู้ได้รับการนิยมชนชั้นล่าง แต่ถูกต่อต้านจากชนชั้นกลางและกองทัพ ก็ถูกรัฐประหาร ถึงจะมีการชุมนุมต่อต้านของผู้สนับสนุนเซลายา แต่เพียงพอในการเอาชนะกระบอกปืนของกองทัพฮอนดูรัส

นโยบายการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของ ชาเวต และแนวคิดสังคมนิยมแบบเขา ไม่สามารถเกิดได้เมื่อ 40 ปี ในปี 1970 พรรคสังคมนิยมของ ซัลวาดอร์ อัลเยนเด้ ชนะเลือกตั้ง และเขาได้กิจการเหมืองแร่ทองแดงเป็นของรัฐ ชะตากรรมของคือ การรัฐประหารนองเลือด นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคโลกสองขั้ว ซึ่งตรงวลีของ จอร์จ บุช ในการประกาศสงครามอิรัก "ใครที่ไม่อยู่กับเรา (สหรัฐและทุนนิยม) เป็นศัตรูของเรา" คนที่เป็นกลางจริงๆ อย่าง ฆวน เปรอง ก็ถูกรัฐประหารโค่นล้ม

ภายหลัง โลกทุนนิยมเอาชนะเหนือโลกสังคมนิยม ตั้งแต่การพังทลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1979 สหรัฐและพรรคพวกจึงยินยอมให้แนวคิดอื่นๆ เกิดขึ้น เพราะไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกแล้ว สังคมนิยมที่มีอยู่จึงเป็นแค่การต่อรองขออยู่ในซอกหลืบของทุนนิยมเท่านั้น

การยกตัวอย่างเสื้อแดงกับชัยชนะในเลือกตั้งปี 2554 กับการเคลื่อนไหวชุมนุมในเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2553 ที่นำไปสู่การใช้กองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ถ้าพิจารณาการเรียกร้องในการชุมนุมเป็นเพียง "ยุบสภา" เท่านั้น การเคลื่อนไหวไม่ควรนำไปสู่การสูญเสียแม้แต่น้อย

แต่ระบบปกครอง "อำมาตย์" ที่ครอบงำประเทศไม่เคยคิดวางมือจากอำนาจ ถ้ามีการท้าทาย พวกเขาก็พร้อมจะใช้ทุกวิธีการกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ถ้าจะใช้สันติวิธีแบบอิหร่านในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจะเป็นไปได้แค่ไหน ในขณะที่ประเทศไทยมีสถานการณ์เหมือนกับเวเนซูเอลาและลาตินอเมริกา เมื่อชนชั้นล่าง (ไพร่และเสื้อแดง) มีความขัดแย้งกับชนชั้นนำ (อำมาตย์) และชนชั้นกลาง (สลิ่ม) โอกาสที่จะเรียกร้องให้ชนชั้นกลางมาเข้าร่วมกับเสื้อแดงคงจะไม่ง่ายนัก การเปลี่ยนแปลงอย่างสันติแบบอิหร่านคงจะไม่ได้อยู่ใกล้

การเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยรักษาอำนาจด้วยการไม่แตะต้องกองทัพ ไม่เผชิญหน้ากับอำมาตย์ ไม่รักษาหลักการประชาธิปไตย ถอยทุกครั้งเมื่อพบการต่อต้านจากฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นขอแค่ซอกเล็กๆให้อาศัยเหมือนที่ชาเวตและเพื่อนสังคมนิยมในลาตินอเมริกาพยายามทำตามแบบที่ฟูโกเสนอให้ขอพื้นที่เล็กๆ พออยู่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบ แล้วสิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำในขณะนี้จะเพียงพอหรือในการทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รักษ์ชาติ์ วงศ์อธิชาติ

Posted: 22 Oct 2012 09:16 AM PDT

"..ประเทศนี้แปลกชอบใช้ตรรกะที่ว่า "คุณทำให้ได้เท่าXก่อนเหอะแล้วค่อยมาวิจารณ์X" คือผมต้องไปสร้างหนังก่อนหรอผมถึงจะบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้ห่วยแตก ผมต้องไปเป็นอธิการพูดอะไรเท่ๆก่อนหรอ ผมถึงจะวิจารณ์การทำงานของอธิการได้ คราวหน้าถ้าผมจะวิจารณ์ฮิตเล่อร์ ผมแม่งคงต้องไปรมแก๊ซยิวก่อนสินะ"

โพสต์ในสถานะตนเองบนเฟสบุ๊ค

เพชรเกษม 41 เคลื่อนรับ ‘ครม.สัญจรสมุย’ ขู่ปฏิบัติการ หากอนุมัติเมกะโปรเจ็กต์ใต้

Posted: 22 Oct 2012 05:03 AM PDT

 

เครือข่ายปฏิบัติการเพชรเกษม 41 เคลื่อนไหวภาค 3 ติดตาม ครม.สัญจรสมุย เผย สผ.ส่งหนังสือ "เจ้าท่า" ขอยกเลิกอีไอเอท่าเรือน้ำลึกปากบารา ชี้เดินหน้าต้องทำ EHIA อำเภอละงูปล่อยข่าวเลิกโครงการไร้เอกสารยืนยันคนสตูลระแวงจัด
 
นายทรงวุฒิ พัฒแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายปฏิบัติการเพชรเกษม 41 นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 ตุลาคม 2555 ที่ร้านกาแฟโกปี้ ข้างศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช เครือข่ายภาคประชาชนภาคใต้ ประกอบด้วย แกนนำเครือขายท่าศาลารักษ์บ้านเกิด แกนนำเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช แกนนำเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล ประมาณ 50 คน ร่วมหารือเพื่อหามติร่วมกันในการเคลื่อนไหวปฏิบัติการเพชรเกษม 41 ภาค 3 ยุทธการต้มปูแดง เพื่อติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีแนวโน้มว่าจะมีการอนุมัติโครงการเมกะโปรเจ็กต์ในภาคใต้ 
 
นายทรงวุฒิ เปิดเผยต่อไปว่า เบื้องต้นมติในการหารือออกมาว่า แกนนำเครือข่ายปฏิบัติการเพชรเกษม 41 จะประกาศจุดยืนคัดค้านการอนุมัติโครงการเมกะโปรเจ็กต์ในภาคใต้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่เกาะสมุย ในวันที่ 21ตุลาคม 2555 ที่ศาลาประดู่ 6 เยื้องประตูเมืองนครศรีธรรมราช และจะเคลื่อนไหวต่อจนเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร 
 
ศาลาประดู่ 6 เยื้องประตูเมืองนครศรีธรรมราช สถานที่เครือข่ายปฏิบัติการเพชรเกษม 41 จะประกาศจุดยืนคัดค้านการอนุมัติโครงการเมกะโปรเจ็กต์ในภาคใต้ (ภาพจากเฟสบุ๊ค: ทรงวุฒ พัฒแก้ว)
 
 
นายทรงวุฒิ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 21ตุลาคม 2555 จะไม่เดินทางเพื่อยื่นหนังสือต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ในวัดบรมธาตุวรมหาวิหาร ในเวลา 09.00 น. โดยจะปักหลักที่ศาลาประดู่ 6 จนภารกิจของนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นและจะเคลื่อนไหวตลอดการประชุม โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนจับตาและสนับสนุนการเคลื่อนไหวหากคณะรัฐมนตรีสัญจรมีมติอนุมัติโครงการเมกะโปรเจ็กต์ในภาคใต้
 
"จังหวัดนครศรีธรรมราช มีประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหินท่าศาลา โรงไฟฟ้าถ่านหินหัวไทร และท่าเรือเชฟรอน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน และจะเคลื่อนไหวต่อสู่ถึงที่สุด โดยมีข้อเสนอของภาคประชาชนให้ผลักดันให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ทั้งหมดเป็นพื้นที่ผลิตอาหารให้คนนครศรีธรรมราช คนไทย และคนทั้งโลก ซึ่งแนวทางการพัฒนานี้ จะเป็นแนวทางที่ทุกคนยอมรับได้ และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและได้ประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย" นายทรงวุฒิ กล่าว
 
นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี คณะทำงานเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายปฏิบัติการเพชรเกษม 41 จังหวัดสตูล เปิดเผยว่า เครือข่ายชาวบ้านจังหวัดสตูลไม่ขอเปิดเผยจำนวนผู้เดินทางมาร่วมปฏิบัติการเพชรเกษม 41 สมทบกับเครือข่ายภาคประชาชนภาคใต้ อย่างไรก็ตามเครือข่ายฯ มีความกังวลว่าท่าเรือน้ำลึกปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) สงขลา- สตูล จะถูกอนุมัติโครงการฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่เกาะสมุย
 
นายวิโชคศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้มีหนังสือถึงเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล และกรมเจ้าท่า เรื่องขอให้ยกเลิกรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา และให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มาตรา 67 วรรค 2 เนื่องจากเข้าข่าย 1 ใน 11 โครงการที่ส่งผลกระทบรุนแรง หากกรมเจ้าท่าจะดำเนินการโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบาราต่อจะต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA)
 
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 อำเภอละงูได้แจ้งกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในอำเภอละงู ว่ารัฐมีมติยกเลิกท่าเรือน้ำลึกปากบาราแล้ว โดยไม่มีเอกสารทางราชการยืนยัน ทำให้เครือข่ายชาวบ้านไม่เชื่อและยังมีความกังวลในระดับหนึ่ง กอปรกับกรมเจ้าท่ายังไม่มีการตอบรับว่าจะดำเนินการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่อย่างใด
 
"หากรัฐมีมติยกเลิกท่าเรือน้ำลึกปากบาราจริง ตามที่ทางอำเภอละงูแจ้ง และหากกรมเจ้าท่าทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็พร้อมกับประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอละงู และจังหวัดสตูล ผลักดันอ่าวปากบารา และใกล้เคียงเป็นเขตคุ้มครองทางสิ่งแวดล้อมต่อไป แต่อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังระแวงอยู่ หากอนุมัติท่าเรือน้ำลึกปากบารา พร้อมปฏิบัติการเพชรเกษม 41 จนถึงที่สุด" นายวิโชคศักดิ์ กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประกาศการยกเลิกหมอบคลาน

Posted: 21 Oct 2012 11:58 PM PDT

วันที่ 23 ตุลาคม คือวันปิยะมหาราช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นองค์กษัตริย์ที่ทรงทำคุณประโยชน์ให้กับสยามประเทศอย่างมาก และหนึ่งในพระราชดำริของพระองค์ที่นับได้ว่าเป็นการปฏิรูปทางการเมืองและวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในการปรับเปลี่ยนให้สยามมีความเป็นศิวิไลซ์ ก็คือ การยกเลิกการหมอบคลาน

ในโอกาสวันปิยะมหาราชนี้ ผมขอนำหนังสือราชกิจจานุเบกษา ประกาศการยกเลิกการหมอบคลาน มาเผยแพร่ ณ ที่นี้ ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง
....................................
หนังสือ ราชกิจจานุเบกษานี้ ตีพิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวงในพระบรมหาราชวัง จะออกเดือนละ ๔ ครั้ง ตามกำหนดทุกเดือน ราคาตลอดปี ๔๘ ฉบับ สองตำลึง ครึ่งปี ๒๔ ฉบับ ราคา ห้าบาท สามเดือน ๑๒ ฉบับ ราคา สามบาท ใบหนึ่งจนถึงสามใบๆ ละสลึงเฟื้อง ถ้าต้องไปส่งถึงบ้าน ปีหนึ่งค่าจ้างกึ่งตำลึง ครึ่งปี หกสลึง สามเดือน บาทหนึ่ง ถ้าผู้ใดจะต้องการก็ให้มาที่โรงพิมพ์หลวงในพระบรมมหาราชวังเทอญ ฯะ

ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

ศุภ มัศดุ จุลศักราช ๑๒๓๕ กุกุฏสังวัจฉระกะติกะมาศ กฤษณปักษพาระสีดิถี รวิวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเดจพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุศยรัตนราชรวิวงษ วรุตมพงษบริพัต วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิ ราชสังกาศบรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจออกณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มหัยสวริยพิมาน โดยสฐานอุตราภิมุข พระบรมวงษานุวงษ แลท่านเสนาบดีข้าราชการ ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ฝ่ายทหาร พลเรือน เฝ้าพร้อมกันโดยลำดับ จึ่งมีพระบรมราชโองการ มารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ทรงประกาศ แก่พระบรมวงษานุวงษแลข้าทูลอองธุลีพระบาท ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ให้ทราบทั่วกันว่า ตั้งแต่ได้เสดจเถลิงถวัลยราชสมบัติมา ก็ตั้งพระราชหฤไทย ที่จะทำนุบำรุงพระราชอาณาจักร ให้มีความศุกความเจริญแก่พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งสมณชีพราหมณ์ ประชาราษฎรทั้งปวงทั่วไป การสิ่งไรที่เปนการกดขี่แก่กันให้ได้ความยากลำบากนั้น ทรงพระดำริห์จะไม่ให้มีแก่ชนทั้งหลายในพระราชอาณาจักรต่อไป ด้วยได้ทรงพระราชดำริห์เหนว่า ในมหาประเทศต่างๆ

ซึ่งเปนมหานครอัน ใหญ่ ในทิศตวันออก ตวันตก ในประเทศอาเซียนี้ ฝ่ายตวันออก คือประเทศจีน ประเทศญวน ประเทศยี่ปุ่น แลฝ่ายตวันตก คืออินเดีย แลประเทศที่ใช้การกดขี่ให้ผู้น้อยหมอบคลานกราบไหว้ต่อเจ้านายแลผู้มีบันดา ศักดิ ที่เหมือนกับธรรมเนียมในประเทศสยามนั้น บัดนี้ประเทศเหล่านั้นก็ได้เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมนั้นหมดทุกประเทศด้วยกัน แล้ว การที่เขาได้พร้อมกัน เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้นั้น ก็เพราะเพื่อจะให้เหนความดีที่จะไม่มีการกดขี่แก่กันในบ้านเมืองนั้นอีกต่อ ไป ประเทศใด เมืองใด ที่ได้ยกธรรมเนียม ที่เปนการกดขี่ซึ่งกันแลกัน ประเทศนั้นเมืองนั้น ก็เหนว่ามีแต่ความเจริญมาทุกๆ เมืองโดยมาก ก็ในประเทศสยามนี้ ธรรมเนียมบ้านเมือง ที่เปนการกดขี่แก่กัน อันไม่ต้องด้วยยุติธรรมนั้น ก็ยังมีอยู่อีกหลายอย่าง หลายประการ จะต้องคิดลดหย่อนผ่อนเปลี่ยนเสียบ้าง แต่การที่จะจัดผลัดเปลี่ยนธรรมเนียมจะให้แล้วไปในครั้งเดียวคราวเดียวนั้น ไม่ได้ จะต้องค่อยคิดเปลี่ยนแปลงไป ตามเวลาที่ควรแก่กาล ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ บ้านเมืองจึ่งจะได้มีความเจริญสมบูรณยิ่งขึ้นไป แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น ได้ความเหน็จเหนื่อยลำบาก เพราะจะให้ยศแก่ท่านผู้ใหญ่ ก็การทำยศที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมือง แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ผู้น้อยที่ต้องมาหมอบคลานกราบไหว้ให้ยศต่อท่านผู้ที่เปนใหญ่นั้น ก็ต้องทนลำบากอยู่ จนสิ้นวาระของตนแล้วจึ่งจะได้ออกมา พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอันนี้แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปนการกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉนั้นจึ่งจะต้องละพระราชประเพณีเดิม ที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย ด้วยทรงพระมหากรุณา ที่จะให้ท่านทั้งหลายได้ความศุข ไม่ต้องทนยากลำบากหมอบคลาน เหมือนอย่างแต่ก่อน แลธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนยืนเปนเดิน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมแลกราบไหว้นั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนก้มสีสะ ธรรมเนียมที่ยืนที่เดินแลก้มสีสะนี้ ไช้ได้เหมือนกับธรรมเนียมที่หมอบคลานถวายบังคมแลกราบไหว้ บางทีท่านผู้ที่มีบันดาศักดิ์ ซึ่งชอบธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ตามเดิม เหนว่าดีนั้นจะมีความสงไสยสนเท่ห์ว่า การที่เปลี่ยนธรรมเนียม หมอบคลาน ให้ยืนให้เดิน จะเปนการเจริญแก่บ้านเมืองด้วยเหตุไรก็ให้พึงรู้ว่า การที่เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ เลิกหมอบคลาน ให้ยืนให้เดินนั้น เพราะจะให้เหนเปนแน่ว่า จะไม่มีการกดขี่แก่กัน ในการที่ไม่เปนยุติธรรมอีกต่อไป เมืองใดประเทศใดผู้ที่เปนใหญ่ มิได้ทำการกดขี่แก่ผู้น้อย เมืองนั้นประเทศนั้นก็คงมีความเจริญเปนแน่ ตั้งแต่นี้สืบไป พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ซึ่งจะเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทในพระที่นั่ง แลที่เสดจออกแห่งหนึ่งแห่งใด จงประพฤติ ตามพระราชบัญญัติที่ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดไว้เปนข้อบัญญัติสำรับข้าราชการต่อไป จงทุกข้อทุกประการ จึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ สมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศย์รัตโนดม ผู้สำเรจราชการแผ่นดิน ตั้งเปนข้อพระราชบัญญัติไว้สำรับแผ่นดินต่อไปดังนี้ ฯะ

พระราชบัญญัติ์

ข้อ ๑ ว่าพระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน ผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งปวง เมื่อจะเข้าเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทในพระที่นั่งฤาที่เสดจออกแห่งใดๆ ก็ดี เมื่อเดินเข้าไปถึงน่าพระที่นั่งแล้ว ให้ก้มสีสะถวายคำนับครั้งหนึ่ง แล้วจึ่งเดินไปยืนที่ตำแหน่งของตนเฝ้า เมื่อไปถึงที่ยืนเฝ้าแล้ว ให้ก้มสีสะถวายคำนับอีกครั้งหนึ่ง แล้วยืนให้เรียบร้อยเปนปรกติ ห้ามมิให้เดินไปเดินมา แลยืนหันหน้าหันหลังในเวลาที่เสดจออก แลมิให้ยืนเอามือไพล่หลังแลท้าวเอว แลเอามือไปท้าวผนังแลเสาฤาที่ต่างๆ แลสูบบุหรี่ หัวเราะ พูดกันเสียงดัง ต่อน่าพระที่นั่ง ให้ยืนให้เรียบร้อยเปนลำดับตามบันดาศักดิ์ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ถ้ามีกิจราชการที่จะต้องกราบบังคมทูลพระกรุณา แล้วให้เดินออกมาจากที่เฝ้า ยืนตรงน่าพระที่นั่ง ก้มสีสะถวายคำนับแล้วจึ่งกราบบังคมทูลพระกรุณา เมื่อสิ้นข้อความที่กราบบังคมทูลพระกรุณาแล้ว ให้ก้มสีสะลงถวายคำนับ จึ่งให้เดินถอยหลังมาที่ยืนเฝ้าอยู่ตามเดิม ถ้าจะถวายหนังสือฤาสิ่งของ สิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อพระหัถ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วให้ถือสองมือ เดินตรงเข้าไป ถึงหน้าพระที่นั่งภอสมควร ก้มสีสะลงถวายคำนับก่อน จึ่งถวายของนั้นต่อพระหัถ ถ้าถวายของนั้นเสรจแล้ว ให้เดินถอยหลัง ถ้าเปนที่ใกล้ให้ถอยหลัง ๓ เก้า ฤา ๕ เก้า พอสมควร ถ้าเปนที่ไกลให้ถอยหลังออกมา ๗ เก้า จึ่งกลับหน้าเดินไปยืนตามที่ ถ้าจะมีพระบรมราชโองการดำรัสด้วยผู้หนึ่งผู้ใดที่ยืนอยู่ในที่เฝ้านั้น ก็ให้ผู้นั้นยืนคงอยู่ตามที่ ก้มสีสะถวายคำนับแล้ว จึ่งรับพระบรมราชโองการ เมื่อรับพระบรมราชโองการ กราบบังคมทูล สิ้นข้อความแล้วก็ให้ก้มสีสะลงถวายคำนับ อนึ่งพระบรมวงษานุวงษแลข้าทูลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งปวง ที่ได้เข้ามายืนเฝ้า ในเวลาที่เสดจออกอยู่นั้น ถ้ามีพระบรมราชโองการ โปรดพระราชทานเก้าอี้ให้นั่งจึ่งนั่งได้ ห้ามมิให้นั่งลงกับพื้น แลนั่งบนเก้าอี้ ฤานั่งที่แห่งใดๆ ตามชอบใจ ในเวลาที่เสดจออกต่อน่าพระที่นั่ง แลผู้ซึ่งทรงพระกรุณา โปรดให้นั่งเก้าอี้เฝ้าอยู่นั้น นั่งให้เปนปรกติ ห้ามมิให้ยกเท้าขึ้นภับบนเก้าอี้ แลไขว่ห้างเหยียดเท้าตะแคงตัว ทำกิริยาหาความสบายให้เกินกิริยาที่นั่งเปนปรกติเปนอันขาด เมื่อเวลาเสดจขึ้นก็ให้ยืนขึ้นถวายคำนับให้พร้อมกัน แต่แขกเมืองประเทศราช เมื่อจะเข้าเฝ้าทูลอองธุลีพระบาท ให้ทำกิริยาคาระวะ ตามเพศบ้านเมืองของตนก่อน เมื่อทรงพระกรุณาโปรดให้ยืน จึ่งยืนได้ ฯะ

ข้อ ๒ พระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัว เสดจพระราชดำเนินออก ประทับอยู่ที่แห่งใดๆ ก็ดี ข้าราชการแลมหาดเลกซึ่งเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทอยู่ในที่นั้น ถึงเสดจออกประทับอยู่ช้าหลายชั่วโมง ก็ห้ามมิให้ข้าราชการ แลมหาดเลกที่ยืนเฝ้าอยู่นั้น นั่งลงในที่แห่งใดๆ เปนอันขาด เว้นไว้แต่เปนที่กำบัง ลับพระเนตรสมเดจพระเจ้าอยู่หัวจึ่งนั่งได้ แลในเวลาที่เสดจออก ทรงประทับอยู่ ณ ที่แห่งใดๆ นั้น ข้าราชการแลมหาดเลก ยืนเฝ้าอยู่ในที่โดยลำดับแล้ว ผู้ซึ่งจะเข้ามาเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทภายหลัง ที่มิได้มีราชการที่จะกราบบังคมทูลพระกรุณา ห้ามมิให้เดินผ่านน่าพระที่นั่ง แลเดินผ่านหน้าข้าราชการที่ยืนเฝ้าอยู่ก่อนนั้น ให้เดินหลีกเลี่ยงเข้ายืนตามตำแหน่งของตนที่ควรจะยืน เว้นไว้แต่ผู้ที่รับพระบรมราชโองการ จึ่งเดินผ่านหน้าเพื่อนข้าราชการไปมาได้ ฯะ

ข้อ ๓ สมเดจพระเจ้าอยู่หัว เสดจพระราชดำเนิน ไปทางสถลมารค์ ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง ที่จะมาคอยดูกระบวนเสดจพระราชดำเนินก็ดี จะทรงช้าง ทรงม้า ทรงรถ ฤาจะทรงพระที่นั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี เมื่อเวลาเสดจพระราชดำเนิน มาถึงน่าผู้ที่ยืนคอยดูกระบวนเสดจพระราชดำเนินอยู่นั้น ให้คนเหล่านั้น ก้มสีสะถวายคำนับจงทุกคน ห้ามมิให้ นั่ง มิให้ ยืน ดูกระบวนเสดจพระราชดำเนินบนชานเรือน บนน่าต่างเรือน แลบนที่สูง ที่ไม่ควรจะนั่ง จะยืน ถ้าทรงม้า ทรงรถ ไม่มีกระบวนนำ กระบวนตามเสดจพระราชดำเนิน ผู้ซึ่งอยู่บนเรือนแลบนที่สูง ไม่ทันรู้ว่าเสดจพระราชดำเนิน แต่ภอแลเหนว่าเปนรถพระที่นั่ง ฤาม้าพระที่นั่ง ก็ให้ยืนขึ้นถวายคำนับ ห้ามมิให้นั่ง มิให้หมอบ เปนอันขาด แลในเวลาที่เสดจพระราชดำเนิน ทรงช้าง ทรงม้า ทรงรถ ฤาทรงพระที่นั่งอย่างหนึ่งอย่างใด มาในทางสถลมารค์ ถ้าผู้หนึ่ง ผู้ใด ไปบนหลังม้าฤาไปบนรถ ภบปะกระบวนนำเสดจพระราชดำเนิน ก็ให้หยุดม้า หยุดรถริมทาง ถ้าเสดจพระราชดำเนินมาถึงตรงหน้าแล้วให้ถอดหมวกก้มสีสะ ถวายคำนับอยู่บนรถบนหลังม้า ไม่ต้องลงจากรถ จากหลังม้า ต่อเสดจพระราชดำเนินไปสิ้นกระบวนแล้ว จึ่งให้ออกเดินรถ เดินม้าต่อไป ถ้าเสดจพระราชดำเนินทางชลมารค์ ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง ที่อยู่แพ อยู่เรือนริมน้ำ ให้ยืนขึ้นก้มสีสะถวายคำนับจงทุกคน ถ้ามาด้วยเรือภบกระบวนเสดจพระราชดำเนิน ถ้าเรือเลกยืนไม่ได้ ก็ให้ถอดหมวกก้มสีสะ ถวายคำนับในเรือไม่ต้องยืน ถ้าเปนเรือใหญ่ควรจะยืนได้ ก็ให้ยืนขึ้นถวายคำนับตามธรรมเนียม ฯะ

ข้อ ๔ ข้าราชการเมื่อจะเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง แลจะออกจากพระบรมมหาราชวัง ฤาจะไปกิจธุระแห่งหนึ่งแห่งใดก็ดี ถ้าภบท่านผู้มีบันดาศักดิ์ที่ได้เคยทำคำนับยำเกรงตามธรรมเนียมเก่าฉันใด ก็ให้ทำคำนับยำเกรง อย่างธรรมเนียมใหม่ให้เหมือนกัน ธรรมเนียมที่ยืนเหมือนกับนั่ง เหมือนกับหมอบ ธรรมเนียมที่เปิดหมวกก้มสีสะ เหมือนกับกราบไหว้อย่างแต่ก่อนนั้น ถ้าผู้หญิงจะไปในที่เฝ้าแลภบท่านผู้ใหญ่ไม่ต้องเปิดหมวก เปนแต่ก้มสีสะลงคำนับ เมื่อกระทำคำนับแล้ว หมวกนั้นจะเปิดก็ได้ ไม่เปิดก็ได้ แลผู้คนข้าทาษที่ใช้ การงานอยู่ในบ้านเรือนนั้น ก็อย่าให้ท่านผู้ที่เปนเจ้าเปนนาย บังคับให้ข้าทาษหมอบคลาน ให้บังคับให้ข้าทาษใช้ยืน ใช้เดิน ตามพระราชบัญญัติ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งไว้นี้ ให้พระบรมวงษานุวงษข้าราการฝ่ายทหารพลเรือนฝ่ายน่าฝ่ายในในพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวร ให้กระทำตามพระราชบัญญัติ์ ประกาศนี้จงทุกประการ ประกาศมาณวันอาทิตย เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ ปีรกาเบญจศก ฯะ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประกาศการยกเลิกหมอบคลาน

Posted: 21 Oct 2012 11:56 PM PDT

เนื่องในวันที่ 23 ตุลาคมอันเป็นวันปิยะมหาราช ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ขอนำหนังสือราชกิจจานุเบกษา ประกาศการยกเลิกการหมอบคลาน มาเผยแพร่ ณ ที่นี้ ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง 

วันที่ 23 ตุลาคม คือวันปิยะมหาราช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นองค์กษัตริย์ที่ทรงทำคุณประโยชน์ให้กับสยามประเทศอย่างมาก และหนึ่งในพระราชดำริของพระองค์ที่นับได้ว่าเป็นการปฏิรูปทางการเมืองและวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในการปรับเปลี่ยนให้สยามมีความเป็นศิวิไลซ์ ก็คือ การยกเลิกการหมอบคลาน

ในโอกาสวันปิยะมหาราชนี้ ผมขอนำหนังสือราชกิจจานุเบกษา ประกาศการยกเลิกการหมอบคลาน มาเผยแพร่ ณ ที่นี้ ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง
....................................
หนังสือ ราชกิจจานุเบกษานี้ ตีพิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวงในพระบรมหาราชวัง จะออกเดือนละ ๔ ครั้ง ตามกำหนดทุกเดือน ราคาตลอดปี ๔๘ ฉบับ สองตำลึง ครึ่งปี ๒๔ ฉบับ ราคา ห้าบาท สามเดือน ๑๒ ฉบับ ราคา สามบาท ใบหนึ่งจนถึงสามใบๆ ละสลึงเฟื้อง ถ้าต้องไปส่งถึงบ้าน ปีหนึ่งค่าจ้างกึ่งตำลึง ครึ่งปี หกสลึง สามเดือน บาทหนึ่ง ถ้าผู้ใดจะต้องการก็ให้มาที่โรงพิมพ์หลวงในพระบรมมหาราชวังเทอญ ฯะ

ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่

ศุภ มัศดุ จุลศักราช ๑๒๓๕ กุกุฏสังวัจฉระกะติกะมาศ กฤษณปักษพาระสีดิถี รวิวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเดจพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุศยรัตนราชรวิวงษ วรุตมพงษบริพัต วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิ ราชสังกาศบรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสดจออกณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มหัยสวริยพิมาน โดยสฐานอุตราภิมุข พระบรมวงษานุวงษ แลท่านเสนาบดีข้าราชการ ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ฝ่ายทหาร พลเรือน เฝ้าพร้อมกันโดยลำดับ จึ่งมีพระบรมราชโองการ มารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ทรงประกาศ แก่พระบรมวงษานุวงษแลข้าทูลอองธุลีพระบาท ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ให้ทราบทั่วกันว่า ตั้งแต่ได้เสดจเถลิงถวัลยราชสมบัติมา ก็ตั้งพระราชหฤไทย ที่จะทำนุบำรุงพระราชอาณาจักร ให้มีความศุกความเจริญแก่พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งสมณชีพราหมณ์ ประชาราษฎรทั้งปวงทั่วไป การสิ่งไรที่เปนการกดขี่แก่กันให้ได้ความยากลำบากนั้น ทรงพระดำริห์จะไม่ให้มีแก่ชนทั้งหลายในพระราชอาณาจักรต่อไป ด้วยได้ทรงพระราชดำริห์เหนว่า ในมหาประเทศต่างๆ

ซึ่งเปนมหานครอัน ใหญ่ ในทิศตวันออก ตวันตก ในประเทศอาเซียนี้ ฝ่ายตวันออก คือประเทศจีน ประเทศญวน ประเทศยี่ปุ่น แลฝ่ายตวันตก คืออินเดีย แลประเทศที่ใช้การกดขี่ให้ผู้น้อยหมอบคลานกราบไหว้ต่อเจ้านายแลผู้มีบันดา ศักดิ ที่เหมือนกับธรรมเนียมในประเทศสยามนั้น บัดนี้ประเทศเหล่านั้นก็ได้เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมนั้นหมดทุกประเทศด้วยกัน แล้ว การที่เขาได้พร้อมกัน เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้นั้น ก็เพราะเพื่อจะให้เหนความดีที่จะไม่มีการกดขี่แก่กันในบ้านเมืองนั้นอีกต่อ ไป ประเทศใด เมืองใด ที่ได้ยกธรรมเนียม ที่เปนการกดขี่ซึ่งกันแลกัน ประเทศนั้นเมืองนั้น ก็เหนว่ามีแต่ความเจริญมาทุกๆ เมืองโดยมาก ก็ในประเทศสยามนี้ ธรรมเนียมบ้านเมือง ที่เปนการกดขี่แก่กัน อันไม่ต้องด้วยยุติธรรมนั้น ก็ยังมีอยู่อีกหลายอย่าง หลายประการ จะต้องคิดลดหย่อนผ่อนเปลี่ยนเสียบ้าง แต่การที่จะจัดผลัดเปลี่ยนธรรมเนียมจะให้แล้วไปในครั้งเดียวคราวเดียวนั้น ไม่ได้ จะต้องค่อยคิดเปลี่ยนแปลงไป ตามเวลาที่ควรแก่กาล ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ บ้านเมืองจึ่งจะได้มีความเจริญสมบูรณยิ่งขึ้นไป แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น ได้ความเหน็จเหนื่อยลำบาก เพราะจะให้ยศแก่ท่านผู้ใหญ่ ก็การทำยศที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมือง แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ผู้น้อยที่ต้องมาหมอบคลานกราบไหว้ให้ยศต่อท่านผู้ที่เปนใหญ่นั้น ก็ต้องทนลำบากอยู่ จนสิ้นวาระของตนแล้วจึ่งจะได้ออกมา พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอันนี้แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปนการกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉนั้นจึ่งจะต้องละพระราชประเพณีเดิม ที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย ด้วยทรงพระมหากรุณา ที่จะให้ท่านทั้งหลายได้ความศุข ไม่ต้องทนยากลำบากหมอบคลาน เหมือนอย่างแต่ก่อน แลธรรมเนียมที่หมอบคลานนั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนยืนเปนเดิน ธรรมเนียมที่ถวายบังคมแลกราบไหว้นั้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถเปนก้มสีสะ ธรรมเนียมที่ยืนที่เดินแลก้มสีสะนี้ ไช้ได้เหมือนกับธรรมเนียมที่หมอบคลานถวายบังคมแลกราบไหว้ บางทีท่านผู้ที่มีบันดาศักดิ์ ซึ่งชอบธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ตามเดิม เหนว่าดีนั้นจะมีความสงไสยสนเท่ห์ว่า การที่เปลี่ยนธรรมเนียม หมอบคลาน ให้ยืนให้เดิน จะเปนการเจริญแก่บ้านเมืองด้วยเหตุไรก็ให้พึงรู้ว่า การที่เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ เลิกหมอบคลาน ให้ยืนให้เดินนั้น เพราะจะให้เหนเปนแน่ว่า จะไม่มีการกดขี่แก่กัน ในการที่ไม่เปนยุติธรรมอีกต่อไป เมืองใดประเทศใดผู้ที่เปนใหญ่ มิได้ทำการกดขี่แก่ผู้น้อย เมืองนั้นประเทศนั้นก็คงมีความเจริญเปนแน่ ตั้งแต่นี้สืบไป พระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ซึ่งจะเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทในพระที่นั่ง แลที่เสดจออกแห่งหนึ่งแห่งใด จงประพฤติ ตามพระราชบัญญัติที่ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดไว้เปนข้อบัญญัติสำรับข้าราชการต่อไป จงทุกข้อทุกประการ จึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ สมันตพงษพิสุทธมหาบุรุศย์รัตโนดม ผู้สำเรจราชการแผ่นดิน ตั้งเปนข้อพระราชบัญญัติไว้สำรับแผ่นดินต่อไปดังนี้ ฯะ

พระราชบัญญัติ์

ข้อ ๑ ว่าพระบรมวงษานุวงษ แลข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน ผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งปวง เมื่อจะเข้าเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทในพระที่นั่งฤาที่เสดจออกแห่งใดๆ ก็ดี เมื่อเดินเข้าไปถึงน่าพระที่นั่งแล้ว ให้ก้มสีสะถวายคำนับครั้งหนึ่ง แล้วจึ่งเดินไปยืนที่ตำแหน่งของตนเฝ้า เมื่อไปถึงที่ยืนเฝ้าแล้ว ให้ก้มสีสะถวายคำนับอีกครั้งหนึ่ง แล้วยืนให้เรียบร้อยเปนปรกติ ห้ามมิให้เดินไปเดินมา แลยืนหันหน้าหันหลังในเวลาที่เสดจออก แลมิให้ยืนเอามือไพล่หลังแลท้าวเอว แลเอามือไปท้าวผนังแลเสาฤาที่ต่างๆ แลสูบบุหรี่ หัวเราะ พูดกันเสียงดัง ต่อน่าพระที่นั่ง ให้ยืนให้เรียบร้อยเปนลำดับตามบันดาศักดิ์ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ถ้ามีกิจราชการที่จะต้องกราบบังคมทูลพระกรุณา แล้วให้เดินออกมาจากที่เฝ้า ยืนตรงน่าพระที่นั่ง ก้มสีสะถวายคำนับแล้วจึ่งกราบบังคมทูลพระกรุณา เมื่อสิ้นข้อความที่กราบบังคมทูลพระกรุณาแล้ว ให้ก้มสีสะลงถวายคำนับ จึ่งให้เดินถอยหลังมาที่ยืนเฝ้าอยู่ตามเดิม ถ้าจะถวายหนังสือฤาสิ่งของ สิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อพระหัถ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วให้ถือสองมือ เดินตรงเข้าไป ถึงหน้าพระที่นั่งภอสมควร ก้มสีสะลงถวายคำนับก่อน จึ่งถวายของนั้นต่อพระหัถ ถ้าถวายของนั้นเสรจแล้ว ให้เดินถอยหลัง ถ้าเปนที่ใกล้ให้ถอยหลัง ๓ เก้า ฤา ๕ เก้า พอสมควร ถ้าเปนที่ไกลให้ถอยหลังออกมา ๗ เก้า จึ่งกลับหน้าเดินไปยืนตามที่ ถ้าจะมีพระบรมราชโองการดำรัสด้วยผู้หนึ่งผู้ใดที่ยืนอยู่ในที่เฝ้านั้น ก็ให้ผู้นั้นยืนคงอยู่ตามที่ ก้มสีสะถวายคำนับแล้ว จึ่งรับพระบรมราชโองการ เมื่อรับพระบรมราชโองการ กราบบังคมทูล สิ้นข้อความแล้วก็ให้ก้มสีสะลงถวายคำนับ อนึ่งพระบรมวงษานุวงษแลข้าทูลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ ผู้น้อยทั้งปวง ที่ได้เข้ามายืนเฝ้า ในเวลาที่เสดจออกอยู่นั้น ถ้ามีพระบรมราชโองการ โปรดพระราชทานเก้าอี้ให้นั่งจึ่งนั่งได้ ห้ามมิให้นั่งลงกับพื้น แลนั่งบนเก้าอี้ ฤานั่งที่แห่งใดๆ ตามชอบใจ ในเวลาที่เสดจออกต่อน่าพระที่นั่ง แลผู้ซึ่งทรงพระกรุณา โปรดให้นั่งเก้าอี้เฝ้าอยู่นั้น นั่งให้เปนปรกติ ห้ามมิให้ยกเท้าขึ้นภับบนเก้าอี้ แลไขว่ห้างเหยียดเท้าตะแคงตัว ทำกิริยาหาความสบายให้เกินกิริยาที่นั่งเปนปรกติเปนอันขาด เมื่อเวลาเสดจขึ้นก็ให้ยืนขึ้นถวายคำนับให้พร้อมกัน แต่แขกเมืองประเทศราช เมื่อจะเข้าเฝ้าทูลอองธุลีพระบาท ให้ทำกิริยาคาระวะ ตามเพศบ้านเมืองของตนก่อน เมื่อทรงพระกรุณาโปรดให้ยืน จึ่งยืนได้ ฯะ

ข้อ ๒ พระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัว เสดจพระราชดำเนินออก ประทับอยู่ที่แห่งใดๆ ก็ดี ข้าราชการแลมหาดเลกซึ่งเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทอยู่ในที่นั้น ถึงเสดจออกประทับอยู่ช้าหลายชั่วโมง ก็ห้ามมิให้ข้าราชการ แลมหาดเลกที่ยืนเฝ้าอยู่นั้น นั่งลงในที่แห่งใดๆ เปนอันขาด เว้นไว้แต่เปนที่กำบัง ลับพระเนตรสมเดจพระเจ้าอยู่หัวจึ่งนั่งได้ แลในเวลาที่เสดจออก ทรงประทับอยู่ ณ ที่แห่งใดๆ นั้น ข้าราชการแลมหาดเลก ยืนเฝ้าอยู่ในที่โดยลำดับแล้ว ผู้ซึ่งจะเข้ามาเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทภายหลัง ที่มิได้มีราชการที่จะกราบบังคมทูลพระกรุณา ห้ามมิให้เดินผ่านน่าพระที่นั่ง แลเดินผ่านหน้าข้าราชการที่ยืนเฝ้าอยู่ก่อนนั้น ให้เดินหลีกเลี่ยงเข้ายืนตามตำแหน่งของตนที่ควรจะยืน เว้นไว้แต่ผู้ที่รับพระบรมราชโองการ จึ่งเดินผ่านหน้าเพื่อนข้าราชการไปมาได้ ฯะ

ข้อ ๓ สมเดจพระเจ้าอยู่หัว เสดจพระราชดำเนิน ไปทางสถลมารค์ ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง ที่จะมาคอยดูกระบวนเสดจพระราชดำเนินก็ดี จะทรงช้าง ทรงม้า ทรงรถ ฤาจะทรงพระที่นั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี เมื่อเวลาเสดจพระราชดำเนิน มาถึงน่าผู้ที่ยืนคอยดูกระบวนเสดจพระราชดำเนินอยู่นั้น ให้คนเหล่านั้น ก้มสีสะถวายคำนับจงทุกคน ห้ามมิให้ นั่ง มิให้ ยืน ดูกระบวนเสดจพระราชดำเนินบนชานเรือน บนน่าต่างเรือน แลบนที่สูง ที่ไม่ควรจะนั่ง จะยืน ถ้าทรงม้า ทรงรถ ไม่มีกระบวนนำ กระบวนตามเสดจพระราชดำเนิน ผู้ซึ่งอยู่บนเรือนแลบนที่สูง ไม่ทันรู้ว่าเสดจพระราชดำเนิน แต่ภอแลเหนว่าเปนรถพระที่นั่ง ฤาม้าพระที่นั่ง ก็ให้ยืนขึ้นถวายคำนับ ห้ามมิให้นั่ง มิให้หมอบ เปนอันขาด แลในเวลาที่เสดจพระราชดำเนิน ทรงช้าง ทรงม้า ทรงรถ ฤาทรงพระที่นั่งอย่างหนึ่งอย่างใด มาในทางสถลมารค์ ถ้าผู้หนึ่ง ผู้ใด ไปบนหลังม้าฤาไปบนรถ ภบปะกระบวนนำเสดจพระราชดำเนิน ก็ให้หยุดม้า หยุดรถริมทาง ถ้าเสดจพระราชดำเนินมาถึงตรงหน้าแล้วให้ถอดหมวกก้มสีสะ ถวายคำนับอยู่บนรถบนหลังม้า ไม่ต้องลงจากรถ จากหลังม้า ต่อเสดจพระราชดำเนินไปสิ้นกระบวนแล้ว จึ่งให้ออกเดินรถ เดินม้าต่อไป ถ้าเสดจพระราชดำเนินทางชลมารค์ ข้าราชการแลราษฎร ชาย หญิง ที่อยู่แพ อยู่เรือนริมน้ำ ให้ยืนขึ้นก้มสีสะถวายคำนับจงทุกคน ถ้ามาด้วยเรือภบกระบวนเสดจพระราชดำเนิน ถ้าเรือเลกยืนไม่ได้ ก็ให้ถอดหมวกก้มสีสะ ถวายคำนับในเรือไม่ต้องยืน ถ้าเปนเรือใหญ่ควรจะยืนได้ ก็ให้ยืนขึ้นถวายคำนับตามธรรมเนียม ฯะ

ข้อ ๔ ข้าราชการเมื่อจะเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง แลจะออกจากพระบรมมหาราชวัง ฤาจะไปกิจธุระแห่งหนึ่งแห่งใดก็ดี ถ้าภบท่านผู้มีบันดาศักดิ์ที่ได้เคยทำคำนับยำเกรงตามธรรมเนียมเก่าฉันใด ก็ให้ทำคำนับยำเกรง อย่างธรรมเนียมใหม่ให้เหมือนกัน ธรรมเนียมที่ยืนเหมือนกับนั่ง เหมือนกับหมอบ ธรรมเนียมที่เปิดหมวกก้มสีสะ เหมือนกับกราบไหว้อย่างแต่ก่อนนั้น ถ้าผู้หญิงจะไปในที่เฝ้าแลภบท่านผู้ใหญ่ไม่ต้องเปิดหมวก เปนแต่ก้มสีสะลงคำนับ เมื่อกระทำคำนับแล้ว หมวกนั้นจะเปิดก็ได้ ไม่เปิดก็ได้ แลผู้คนข้าทาษที่ใช้ การงานอยู่ในบ้านเรือนนั้น ก็อย่าให้ท่านผู้ที่เปนเจ้าเปนนาย บังคับให้ข้าทาษหมอบคลาน ให้บังคับให้ข้าทาษใช้ยืน ใช้เดิน ตามพระราชบัญญัติ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งไว้นี้ ให้พระบรมวงษานุวงษข้าราการฝ่ายทหารพลเรือนฝ่ายน่าฝ่ายในในพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวร ให้กระทำตามพระราชบัญญัติ์ ประกาศนี้จงทุกประการ ประกาศมาณวันอาทิตย เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ ปีรกาเบญจศก ฯะ

เลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2012: เดโมแครตจับกลุ่มเป้าหมายคนหนุ่มสาว

Posted: 21 Oct 2012 11:40 PM PDT

สำนักข่าว The Independent ตั้งข้อสังเกต พรรคเดโมแครตซึ่งให้บิล คลินตัน ไปช่วยหาเสียงในงานประชุมของกลุ่มเยาวชน กำลังเจาะกลุ่มเป้าหมายหนุ่มสาว พร้อมสาเหตุว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงมีผลต่อคะแนนเสียง

21 ต.ค. 2012 - สำนักข่าว The Independent นำเสนอรายงานโดยผู้เขียน Guy Adams ที่บอกว่าพรรคเดโมแครตกำลังจับกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 30 โดยเชื่อว่าผู้ลงคะแนนวัยหนุ่มสาวเป็นกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะ

รายงานของ Guy Adams กล่าวถึงการที่บิล คลินตัน ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเดโมแครต ขึ้นเวทีที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย ในคืนวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีการเปิดเวทีถาม-ตอบ เป็นเวลา 45 นาที ทั้งในเรื่องนโยบายการศึกษา, ความเป็นธรรมในสังคม และเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับประเด็นสิทธิสตรีของมิตต์ รอมนีย์

Guy กล่าวในรายงานว่า บิล คลินตัน เป็นอดีตปธน. ที่มีชื่อเสียงของเดโมแครตและเป็นคนสำคัญที่มีส่วนในการหาเสียงให้พรรค เป็นเรื่องแปลกที่พวกเขาให้คลินตันไปหาเสียงในรัฐเพนซิลวาเนียซึ่งไม่ใช่สนามชิงชัยหลักๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งใด เขาตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงให้ดาวเด่นอย่างคลินตันไปหาเสียงในพื้นที่ที่ดูไม่มีความสำคัญ

แต่ Guy ก็ให้คำตอบในรายงานว่า คลินตัน ได้ไปหาเสียงในการประชุมประจำปีของเยาวชน วันยังเวิร์ลซัมมิท ซึ่งเปรียบเสมือนการประชุมการประชุมสุดยอดผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกสำหรับกลุ่มเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี และเยาวชนกลุ่มที่เข้าฟังนี้เองเป็นกลุ่มประชากรสำคัญต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง

รายงานกล่าวว่า หนุ่มสาวชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดขะตาการเลือกตั้งในปี 2008 พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เล่นทวิตเตอร์และเข้าดูเว็บยูทูบ จนทำให้โอบาม่าสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งได้ จอห์น ซอกบี้ ผู้ทำโพลล์สำรวจเปิดเผยว่ากลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ลงคะแนนเสียงเป็นอัตราส่วนร้อยละ 19 เที่ยบกับกลุ่มอื่น จากเดิมเมื่อสมัยปี 2004 มีอยู่ร้อยละ 17 จำนวนผู้มาลงคะแนนใช้สิทธิของคนกลุ่มนี้มีอยู่ร้อยละ 52 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการอนุญาตให้เยาวชนอายุ 18 ปัลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ในปี 1972

รายงานกล่าวต่ออีกว่า ในขณะที่ชาวอเมริกันที่อายุมากกว่ามีการแบ่งส่วนให้กับผู้ลงสมัครเท่ากันทั้งสองพรรค กลุ่มผู้ลงคะแนนคนหนุ่มสาวหลายล้านคนลงคะแนนให้โอบาม่า เป็นอัตราส่วนสองต่อหนึ่ง

แต่รายงานของ The Independent ก็เตือนว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวยุคนี้มองโลกในแง่ดีน้อยลง ผลมาจากการว่างงานของกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 25 มีอยู่ร้อยละ 13 ประชาชนมากกว่า 4 ล้านคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ต้องออกจากงาน หลายคนมีหนี้สินท่วมตัว นักศึกษาจบใหม่เป็นหนี้ค่าเล่าเรียนกว่า 27,000 ดอลลาร์ (ราง 831,000 บาท) ซึ่งโอบาม่าช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี เหล่านี้ซอกบี้เรียกว่า "เซนกาส์" คือกลุ่มคนที่จบจากวิทยาลัยมาและยังไม่มีหลักแหล่งของตน

"กลุ่มเด็กพวกนี้รู้สึกเบื่อหน่ายมากขึ้น และเป็นเสรีนิยมมากขึ้น จนถึงขั้นว่าพวกเขาไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาได้" ซอกบี้กล่าว "โอบาม่ายังคงมีคะแนนเสียงจากคนผิวดำ ยังมีคะแนนเสียงจากชาวฮิสปานิค และจากกลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์ แต่กลุ่มคนหนุ่มสาวผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งยังคงลังเลอยู่"

อย่างไรก็ตามแม้กลุ่มคนหนุ่มสาวบางส่วนอาจทิ้งโอบาม่า แต่พวกเขาก็ยังไม่ย้ายข้างไปหาค่ายรอมนีย์

ซอกบี้กล่าวว่า กลุ่มเสรีนิยมในหมู่หนุ่มสาวอาจไม่เลือกโอบาม่า แต่พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจกับการที่พรรคริพับลิกันแทรกแซงความเป็นส่วนตัวในประเด็นทางสังคม ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ต้องการลงคะแนนเสียงให้ใคร การที่โอบาม่าจะเอาชนะได้คือการโน้มน้าวพวกเขาไปใช้สิทธิ์ การที่ให้บิล คลินตันไปพูดกับกลุ่มที่มีอิทธิพลกับพวกเขาเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่โอบาม่าต้องทำมากกว่านี้

ซอกบี้บอกอีกว่าฝ่ายรอมนีย์เองก็มีปัญหาในการทำให้กลุ่มมวลชนของพวกเขาสนใจ กลุ่มคนขาวนิกายโปรแตสแตนท์ราวร้อยละ 10 ไม่สนับสนุนเขา หนึ่งในสามของกลุ่มคนเหล่านี้อ้างเหตุผลว่ารอมนีย์ถือนิกายมอร์มอน ซึ่งผู้มีสิทธิ์เหล่านี้ก็ดูเหมือนจะไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเช่นกัน

ในคืนที่คลินตันเปิดให้มีการถามตอบ เจเรมี่ เอปสไตน์ นักศึกษาอายุ 20 ปี จากนิวยอร์กที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเป็นครั้งแรกเป็นผู้ถามคำถามว่า ผู้สมัครแต่ละคนมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้เขาสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้หลังเรียนจบแล้ว ซึ่งเป็นคำถามที่ผู้ลงสมัครทั้งสองยังคลุมเครืออยู่

ในกลุ่มตัวแทนของวันยังเวิร์ล พวกเขามีความสับสนคล้ายๆ กัน ส่วนใหญ่ดูจะสนับสนุนโอบาม่า แต่ด้วยแนวคิดเชิงปฏิบัตินิยมมากกว่า ความกระตือรือร้นอย่างไร้ทิศทาง และแม้ว่าในที่ประชุมซัมมิทจะไม่มีพวกนักวิจารณ์ถากถางขึ้นพูด แต่แม้แต่สมาชิกพรรคเดโมแครตที่ถือไพ่เต็มมือยังสารภาพว่า การทำให้ผู้ฟังสนใจนั้นในตัวโอบาม่านั้นเป็นเรื่องเข็นครกขึ้นภูเขา

เบคกี้ ลินช์ กล่าวว่า แรงจูงใจให้กระตือรือร้นในตอนนี้กับครั้งที่แล้วมันต่างกัน "ครั้งที่แล้ว มันใหม่และเป็นประวัติการณ์มากที่ผู้คนเทคะแนนให้โอบาม่า กลุ่มคนพวกนั้นมีอยู่มากที่ยังสนับสนุนเขาอยู่ แต่ฉันก็เห็นหลายคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเสรีชน ซึ่งฉันคิดว่าพวกเขาก็แค่พวกชอบถากถางที่ไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของการรวมกลุ่มใดๆ และการใช้จ่ายของรัฐบาลก็ทำให้พวกเขาเลิกสนใจ"

เกล็น เกรย์สัน อายุ 20 กว่าๆ เป็นผู้จัดตั้งสหภาพแรงงานกล่าวว่า ใครที่หวังว่าโอบาม่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ชั่วข้ามคืนคงรู้สึกผิดหวัง เขาวิจารณ์ว่าพวกเราอยู่ในสังคมที่ต้องการอะไรแบบด่วนได้ "เมื่อพวกคุณต้องการค้นหาอะไร พวกคุณก็มีโทรศัพท์ใช้ค้นหาได้ คุณไม่ต้องรอกลับไปบ้านเพื่อเปิดอีเมลล์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างทันด่วน และผมคิดว่ามันมีผลเรื่องจิตวิทยาการเมืองด้วย เมื่อคนเราต้องการเปลี่ยนแปลงแบบด่วนได้"

The Independent เปิดเผยอีกว่า สิ่งที่ทำให้โอบาม่าเรียกคะแนนนิยมจากคนหนุ่มสาวได้คือนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของเขา ขณะที่รอมนีย์ดูจะมีมุมมองแบบที่คิดว่าชาวอเมริกันเป็นชนชาติพิเศษเหนือชนชาติอื่น (exceptionalism) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนมีอายุมากกว่า ขณะที่โอบาม่ามองว่าอเมริกาก็เป็นพลเมืองของโลก ซึ่งดูไปกันได้กับกลุ่มคนอายุ 20 กว่าๆ ที่เริ่มเข้าสู่ยุคเชื่อมต่อกับโลกมากกว่า

และแม้ทุกอย่างจะล้มเหลว โอบาม่าไม่สามารถจูงใจคนได้ อย่างน้อยก็ไม่มากเท่าช่วงปี 2008 เขายังไม่ได้ทำอะไรมากพอสำหรับวาระในการดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง แต่การนึดถึงภาพรอมนีย์ในทำเนียบขาวก็ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนหนุ่มสาวที่ยังลังเลใจรู้สึกหวาดผวาจนต้องไปเลือกตั้ง

รายงานของ Guy กล่าวว่าในช่วงไม่กี่วันนี้เราอาจได้เห็นทั้งสองฝ่ายหาเสียงแบบสาดโคลนใส่กัน แต่โอบาม่าที่หวังอาศัยฐานเสียงคนอายุ 20 กว่าๆ ที่ยังลังเล คงเน้นย้ำให้รอมนีย์ผู้ปฏิเสธการทำแท็งค์และการแต่งงานของเกย์ มีภาพของคนที่เป็นชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม

"มันคงจะไม่สง่างามนัก แต่หลังจากผ่านช่วง 4 ปีอันแสนสาหัสมาแล้ว คนที่เคยขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีได้จากคำว่าความหวัง ในคราวนี้คงจะพยายามต่อสู้การเลือกตั้งด้วยความกลัวแทน"

 

ที่มา Young voters hold the key to victory, The Independent, 21-10-2012 http://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-elections/young-voters-hold-the-key-to-victory-8219536.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น