ประชาไท | Prachatai3.info |
- ช่างภาพเกาหลีเปิดเผยรูปจากเหตุลอบสังหาร ปธน.เกาหลีใต้ที่พม่าเมื่อ 29 ปีก่อน
- วิโรจน์ ณ ระนอง
- รัฐบาลซีเรียปฏิเสธ ข้อตกลงหยุดยิงจากยูเอ็น
- MIO: คุยกับจอม เพ็ชรประดับ ในวันรายการหลุดผัง (อีกแล้ว)
- ศาลปกครองขอเวลาพิจารณาไต่สวนฉุกเฉิน "ประมูล 3G" นัดฟังคำตัดสินภายหลัง
- ศาล ปค.ชี้ ร่าง พ.ร.บ.ทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ประชาชนไม่มีสิทธิเสนอ
- ยธ.ทุ่ม 25 ล้านช่วยลูกหนี้-ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมสู้คดี
- กพย.หนุนคลัง เลิกให้เบิกกลูโคซามีน ชี้คุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่การรอนสิทธิผู้ป่วย
- "โม่ เหยียน" นักเขียนจีน คว้ารางวัลโนเบลวรรณกรรมปีล่าสุด
- สมชายรับ รายงาน คอป.ไม่ได้เสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด
- ซีรีส์จำนำข้าว (2) พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ : จำนำดีกว่าประกันรายได้ รอพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล
- เลขาฯอาเซียนแนะเดินหน้า 3G ต่อ ชี้ข้อมูลข่าวสารคืออำนาจ
- จี้ยุติการแต่งงานในเด็ก เนื่องในวันเด็กผู้หญิงสากล
- นักข่าวพลเมือง: วิกฤตเบอร์รี่ปี 2555 ปัญหาคนงานเบอร์รี่ยังไม่จบง่ายๆ
- เมื่อลาวติดปีก : ธุรกิจสายการบินลาวทะยานสู่น่านฟ้าเอเชีย
ช่างภาพเกาหลีเปิดเผยรูปจากเหตุลอบสังหาร ปธน.เกาหลีใต้ที่พม่าเมื่อ 29 ปีก่อน Posted: 11 Oct 2012 01:56 PM PDT นสพ.โชซอน อิลโบ ตีพิมพ์ชุดภาพเหตุลอบวางระเบิดประธานาธิบดีชุน ดู ฮวาน ระหว่างเยือนพม่าในปี 2526 ซึ่งไม่เคยเผยแพร่มาก่อน โดยเป็นฝีมือของช่างภาพเกาหลีใต้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ โดยมอบให้ นสพ. นำไปใช้ระดมทุนสร้างอนุสาวรีย์ให้เหยื่อจากเหตุระเบิดดังกล่าว (ภาพบน) นายคิม ซัง ยอง ช่างภาพที่รอดจากเหตุระเบิดลอบสังหารประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระหว่างเยือนพม่าเมื่อ 9 ต.ค. 2526 หรือเมื่อ 29 ปีที่แล้ว ระหว่างให้สัมภาษณ์โชซอนทีวี โดยเขาได้มอบชุดภาพเหตุการณ์ดังกล่าว (ภาพล่าง) ซึ่งไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อนให้กับหนังสือพิมพ์โชซอน อิลโบ (ที่มา: Chosun TV) สามารถชมชุดภาพและการให้สัมภาษณ์ของเขาได้ที่นี่
เหตุลอบวางสังหารนายชุน ดู ฮวาน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ขณะเยือนพม่าเมื่อปี 2526 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน รวมทั้งรัฐมนตรีเกาหลีใต้ 4 รายด้วย ส่วนประธานาธิบดีรอดหวุดหวิดเนื่องจากมาช้าไม่กี่นาที โดยเหตุการณ์นี้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของซีรีย์ City Hunter ภาคภาษาเกาหลี เมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์โชซอน อิลโบของเกาหลีใต้ได้ตีพิมพ์ชุดภาพถ่ายเหตุการณ์วางระเบิดลอบสังหารนายชุน ดู ฮวาน (Chun Doo-Hwan) อดีตประธานธิบดีเกาหลีใต้ ระหว่างการเยือนนครย่างกุ้ง ประเทศพม่าเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ปี 2526 หรือเมื่อ 29 ปีมาแล้ว โดยเป็นชุดภาพถ่ายที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน โดยชุดภาพถ่ายนี้ถ่ายโดยช่างภาพของทางการเกาหลีใต้ชื่อนายคิม ซัง ยอง (Kim Sang-Yeong) ซึ่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ชุน ดู ฮวาน ในขณะนั้นขอร้องให้เขาเก็บภาพถ่ายนี้ไว้เพื่อไม่ให้ญาติของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ขุ่นเคือง ทั้งนี้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่สุสานนายพลออง ซาน อนุสรณ์สถานวีรชน ใกล้กับเจดีย์ชเวดากองในนครย่างกุ้ง เมื่อ 9 ต.ค. ปี 2526 เกิดขึ้นในช่วงที่คณะของประธานาธิบดีเกาหลีใต้มีกำหนดเยือนพม่า และเดินทางไปเคารพสุสานของนายพลออง ซาน ผู้ก่อตั้งประเทศพม่า เมื่อ 9 ต.ค. ปี 2526 โดยเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน ในจำนวนนี้ 17 คนเป็นชาวเกาหลีใต้ซึ่งมี 4 รัฐมนตรีและทูตเกาหลีใต้ประจำพม่าเสียชีวิตด้วย โดยประธานาธิบดีชุน รอดจากเหตุระเบิดหวุดหวิดเนื่องจากมาถึงสุสานนายพลออง ซาน สายไม่กี่นาที โดยภาพถ่ายที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์โชซอน อิลโบเผยให้เห็นร่างที่เหวอะหวะ มีเลือดไหลนองจากบาดแผลที่ถูกสะเก็ดระเบิด นอนเรียงรายท่ามกลางซากปรักหักพังของอนุสรณ์สถานวีรชน ขณะที่เจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีใต้เร่งหาผู้รอดชีวิต ในรายงานของโชซอน อิลโบ คิมเล่าว่าเห็นรัฐมนตรีในสภาพใกล้เสียชีวิต ในขณะนั้นเขาคิดว่า "พระเจ้า เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงรีบกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ และหลังจากที่เขามอบกล้องให้กับเจ้าหน้าที่ รปภ. เขาก็หมดสติและมาฟื้นอีกทีในโรงพยาบาล ทั้งนี้หนังสือพิมพ์โชซอน อิลโบ เคยจัดรณรงค์สร้างอนุสาวรีย์ให้กับเหยื่อระเบิด โดยคิมกล่าวว่าจะมอบชุดภาพถ่ายให้กับหนังสือพิมพ์เพื่อใช้ระดมทุน โดยชุดภาพถ่ายที่ปรากฎในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์โชซอน อิลโบ มีการตีพิมพ์ภาพเป็นสีขาว-ดำ และปกปิดใบหน้าของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ตามที่ช่างภาพคิม ร้องขอ ขณะที่ภาพสีอื่นๆ มีภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของพม่ากำลังประคองนักข่าวชาวเกาหลีหน้าตาโชกเลือด ซึ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว สำหรับเหตุการณ์ซึ่งภายหลังเรียกว่า "Rangoon bombing" นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพม่าสืบทราบต่อมาว่ามีสายลับชาวเกาหลีเหนือสามรายลอบเข้ามาที่ย่างกุ้งทางเรือ และได้รับระเบิดมาจากสถานทูตเกาหลีเหนือในพม่า โดยสองวันหลังเกิดเหตุระเบิด สายลับสองรายถูกจับ อีกรายพยายามที่จะยิงต่อสู้กับทหารพม่าขณะถูกไล่จับกุม จึงถูกยิงเสียชีวิต ทั้งนี้ผู้ถูกจับกุมสองราย มีรายหนึ่งต่อมาเสียชีวิต อีกรายหนึ่งชื่อคัง มิน ชุล ได้โทษจำคุกตลอดชีวิตภายหลังจากสารภาพว่าทำตามคำสั่งของเปียงยาง และต่อมาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับเมื่อปี 2551 โดยตั้งแต่เหตุลอบสังหารดังกล่าว ทำให้พม่าได้ตัดความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ และเพิ่งมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2550 และพม่าได้เริ่มซื้ออาวุธจากเกาหลีเหนือ และถูกตั้งข้อสงสัยว่ากำลังจัดหาเทคโนโลยีพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือ ส่วนเกาหลีใต้ เพิ่งมีการเยือนของประธานธิบดีลี เมียง บักเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (ข่าวที่เกี่ยวข้อง) โดยเป็นการเยือนระดับประธานาธิบดีเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี หลังเหตุการณ์ลอบสังหารดังกล่าว และระหว่างการเยือน ลี เมียง บักได้กล่าวชื่นชมความพยายามของประธานาธิบดีเต็ง เส่งของพม่าในการสร้างประชาธิปไตย พร้อมกำชับรัฐบาลของเต็ง เส่งให้ "ระงับกิจกรรมใดๆ" กับเกาหลีเหนือที่พิจารณาแล้วว่าจะละเมิดมติของสหประชาชาติ"
ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Chosun TV, 2012 Oct 11 http://news.tv.chosun.com/site/data/html_dir/2012/10/11/2012101102559.html Graphic images of N. Korean 1983 bombing published, Channel News Asia, 11 October 2012 http://www.channelnewsasia.com/stories/afp_asiapacific/view/1230770/1/.html Rangoon Bombing, Wikipedia http://en.wikipedia.org/wiki/Rangoon_bombing ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 11 Oct 2012 11:43 AM PDT |
รัฐบาลซีเรียปฏิเสธ ข้อตกลงหยุดยิงจากยูเอ็น Posted: 11 Oct 2012 10:20 AM PDT บัง คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้ 11 ต.ค. 2012 - รัฐบาลซีเรียปฏิเสธข้อเรียกร้ จีฮาด มักดิสซี โฆษกกระทรวงต่างประเทศของซีเรี "แต่ฝ่ายกบฏฉวยโอกาสในการเพิ่ ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลก็ส่งรถถั อัลจาซีร่ารายงานว่ามี ฝ่ายกบฏพยายามต่อสู้เพื่อหยุดยิ ฝ่ายกบฏยังต้องรับศึ "หากกลุ่มกบฏที่สามารถยึด มารัท อัล-นูมาน และ ซาราเกบ สามารถยึดคาน ชีคคุน ได้อีก พวกเขาจะทำให้กองกำลังของรั บัง คี มูน ร้องฝ่ายรัฐบาลหยุดยิง ก่อนหน้านี้ในวันที่ 9 ต.ค. บัง คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติได้เรียกร้ "มันเป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้ บัง คี มูน บอกว่า "กองกำลังฝ่ายต่อต้านรั สหรัฐฯ ส่งทหารไปจอร์แดนเตรียมรับวิ ทางด้านสหรัฐฯ เลขาธิการกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวว่าทีมวางแผนของกองทัพสหรั เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ไม่ระบุนามกล่าวว่า มีทีมวางแผนเล็กๆ ไมได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับปฏิบั ทางกองทัพของจอร์แดนปฏิเสธผ่ ฝ่ายกบฏพยายามสร้างเขตกันชนให้ ทางด้านกองกำลังฝ่ มีกลุ่มกบฏหลายกลุ่มที่รวมกำลั ที่มา เรียบเรียงจาก Syria rejects UN calls for unilateral truce, Aljazeera, 10-10-2012 Syrian rebels seek to create buffer zone, Aljazeera, 11-10-2012 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
MIO: คุยกับจอม เพ็ชรประดับ ในวันรายการหลุดผัง (อีกแล้ว) Posted: 11 Oct 2012 10:02 AM PDT Media Inside out สัมภาษณ์จอม เพ็ชรประดับ หลังรายการหลุดผังจาก Voice TV แม้เขาจะอธิบายว่าการ "หลุดผัง" ครั้งนี้จะเป็นการ "จากกันด้วยดี" และ "เข้าใจ" แต่มีคำถามอย่างสำคัญประการหนึ่งคือ สำหรับสื่อที่ต้องการดำรงวิชาชีพสื่อของตนอย่างซื่อตรงนั้น หาที่อยู่ที่ยืนยากขึ้นหรือไม่เพียงใดในวันที่สื่อแบ่งสีและเป็นธุรกิจที่ต้องแคร์เรตติ้ง "ผมเป็นพิธีกรที่ไม่เรียกเรตติ้ง ไม่ได้ทำให้คนดูเฮโลสาระพา" จอมพูดตอนหนึ่งในการสัมภาษณ์เพื่ออธิบายเหตุผลถึงรายการ Hot Topic และ Intelligence ถูกถอดรายการออกจากผังของวอยซ์ทีวี ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค. 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งนั่นอธิบายตามมาด้วยหลักวิชาชีพในการทำงานของเขาที่ถูกท้าทายว่าจะยืนหยัดหรือมีที่ยืนได้หรือไม่มาอย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว การไม่เรียกเรตติ้งนั้นอาจจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจ และการ "ไม่ผ่อนสั้นผ่อนยาว" ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลในเชิงการเมือง ซึ่งทั้งสองเหตุผลสะท้อนกลับมาชวนให้ตั้งคำถามในวันที่สื่อมีทั้งสีทางการเมืองและมีผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ต้องดูแล Media Inside Out สนทนากับเขาในบ่ายวันที่ 9 ต.ค. แม้เขาจะอธิบายว่าการ "หลุดผัง" จากวอยซ์ ทีวีครั้งนี้จะเป็นการ "จากกันด้วยดี" และ "เข้าใจ" แต่มีคำถามอย่างสำคัญประการหนึ่งที่ Media Inside Out อยากจะชวนพูดคุยกับเขาคือ สำหรับสื่อที่ต้องการดำรงวิชาชีพสื่อของตนอย่างซื่อตรงนั้น หาที่อยู่ที่ยืนยากขึ้นหรือไม่เพียงใดในวันที่สื่อแบ่งสีและเป็นธุรกิจที่ต้องแคร์เรตติ้ง
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ Media Inside out ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลปกครองขอเวลาพิจารณาไต่สวนฉุกเฉิน "ประมูล 3G" นัดฟังคำตัดสินภายหลัง Posted: 11 Oct 2012 09:02 AM PDT กรณีที่นักวิชาการยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ กสทช.ยุติการประมูล 3 จี ไว้ก่อน ศาลปกครองขอนำข้อมูลที่ได้รับจากทั้งฝ่ายผู้ร้องและ กสทช.ไปวินิจฉัยร่วมกัน ก่อนนัดฟังคำตัดสินอีกครั้ง
โดย นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. ในฐานะผู้แทน เป็นผู้ชี้แจงในฝ่ายกสทช. มีรายงานว่า ช่วงหนึ่ง นายสุทธิพล บอกว่า นายอานุภาพไม่ใช่ผู้เสียหายตรง หาก กสทช.ทำตามผู้ร้อง จะเป็นการบังคับให้ กสทช.ทำผิดกฎหมาย เช่น กำหนดอัตราขั้นสูงล่วงหน้า และถ้าประมูลไม่ได้ จะมีความเสียหาย 8 เดือน 5.1 หมื่นล้านบาท หรือใน 1 ปี เสียหาย 7.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ หลังการไต่สวน ปรากฎว่า ยังไม่มีคำชี้ขาดใดๆ ออกมา โดยศาลปกครองขอนำข้อมูลที่ได้รับจากทั้งฝ่ายผู้ร้องและ กสทช.ไปวินิจฉัยร่วมกัน และจะนัดทั้ง 2 ฝ่ายฟังคำตัดสิน ทั้งนี้ยังไม่กำหนดวัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาล ปค.ชี้ ร่าง พ.ร.บ.ทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ประชาชนไม่มีสิทธิเสนอ Posted: 11 Oct 2012 08:53 AM PDT ตุลาการศาลปกครองแถลงความเห็น ระบุร่างกฎหมายนี้อยู่ในรั ตุลาการศาลปกครองแถลงความเห็นว่า คำสั่ 11 ตุลาคม 2555 ศาลปกครองนัดพิจารณาคดี กรณีคำสั่ คดีนี้เริ่มต้นจากกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 นายชัย ชิดชอบ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานรั นายจักรชัย โฉมทองดี ในฐานะผู้แทนการเข้าชื่ นายจักรชัย กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เกี่ยวกับสิ ขณะที่นายสมชาติ ธรรมศิริ กล่าวว่า เรื่องการรับฟังความคิดเห็ หลังคู่กรณีแถลงการณ์ด้ ตุลาการผู้แถลงคดีกล่าวต่อว่า จากการพิจารณาสาระสำคัญของร่ คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง หลังจากนั้นตุลาการเจ้าของคดี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ยธ.ทุ่ม 25 ล้านช่วยลูกหนี้-ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมสู้คดี Posted: 11 Oct 2012 07:49 AM PDT การอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลื ศนธ.ยธ. เป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงยุ ผอ.ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ กล่าวว่า ผลดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2522 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีประชาชนที่ได้รับความเดื ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯยั สำหรับในปีนี้ศูนย์ช่วยเหลือลู สำหรับลูกหนี้หรือประชาชนที่ไม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กพย.หนุนคลัง เลิกให้เบิกกลูโคซามีน ชี้คุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่การรอนสิทธิผู้ป่วย Posted: 11 Oct 2012 07:34 AM PDT ชี้ประสิทธิภาพของยาไม่แน่ชัด ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายสูง จึงไม่คุ้มค่าที่จะใช้ อาจก่อผลเสียในการทำให้ผู้ป่วยได้รั ตามที่กระทรวงการคลังได้ "เมื่อทบทวนผลการศึกษาวิจัยเท่ ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้ "เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่ การออกมาประกาศไม่ให้ราชการเบิ ทางด้านนายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่ "การประกาศครั้งนี้ถือเป็
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
"โม่ เหยียน" นักเขียนจีน คว้ารางวัลโนเบลวรรณกรรมปีล่าสุด Posted: 11 Oct 2012 06:56 AM PDT นับเป็นนักเขียนสัญชาติจีนคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม โดยได้รับการยกย่องจากงานเขียนว่าด้วยชีวิตชาวนาในชนบทจีน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างตำนาน ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวร่วมสมัย 11 ต.ค. 55 - สถาบันสวีดิช อคาเดมี่ ซึ่งเป็นสถาบันที่คัดเลือกรางวัลโนเบลวรรณกรรม ประกาศวันนี้ว่า "โม่ เหยียน" (Mo Yan) นักเขียนวรรณกรรมของจีน เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปีล่าสุด จากงานเขียนแนว "สัจนิยมหลอน" ที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยเขาเป็นนักเขียนคนแรกคนจีนที่ได้รับรางวัลดังกล่าว "ด้วยการผสมผสานระหว่างแฟนตาซี ความจริง และมุมมองทางประวัติศาสตร์และสังคม โม่ เหยียนได้สร้างโลกที่มีความซับซ้อนที่คล้ายคลึงกับงานเขียนของวิลเลียม ฟอล์คเนอร์ และเกเบรียล การ์เซีย มาเคซ ในขณะเดียวกันก็มีจุดที่แตกต่างในแบบของวรรณกรรมจีนแบบเก่าและจารีตแบบมุขปาฐะ" สวีดิช อคาเดมี่ระบุ โม่ เหยียน มีชื่อจริงว่า กว่าน โหมเย่ (Guan Moye) เกิดเมื่อปี 2498 ในจังหวัดกาโอมี ประเทศจีน โดยในชีวประวัติของเขาในเว็บไซต์รางวัลโนเบล ระบุว่า เขาเป็นลูกชายในครอบครัวชาวนา ที่ต้องออกจากโรงเรียนในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนเพื่อไปทำงานเป็นเกษตรกร จากนั้นได้เป็นเป็นแรงงานในโรงงาน ต่อมาในปี 2519 เขาเข้าร่วมกับกองกำลังปลดปล่อยประชาชนจีน และเริ่มศึกษาวรรณกรรมพร้อมๆ กับการเขียน โดยงานเขียนชิ้นแรกของเขา ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวรรณกรรมของจีนในปี 2534 ชีวประวัติดังกล่าวยังระบุว่า นวนิยายเรื่องต่างๆ ของเขา ที่ต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ อาทิ Red Sorghum ที่ตีพิมพ์ในปี 2536 The Garlic Ballads ตีพืมพ์ในปี 2538 ถูกมองว่ามีเนื้อหาที่บ่อนเซาะประเทศ เนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์สังคมจีนร่วมสมัยในงานเขียนของเขา ส่วนงานเขียนเรื่องอื่นๆ ของโม่ เหยียน มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และการเมืองจีนเป็นส่วนใหญ่ อาทิ การปฏิวัติปี 1911 (พ.ศ. 2454) ที่มีซุน ยัดเซ็นเป็นผู้นำ โค่นล้มราชวงศ์ชิง, การบุกของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลก, นโยบายปฏิรูปที่ดินของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ล้มเหลวในทศวรรษ 2490 และการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมา เจ๋อ ตุง ในปี 2509 -2519 นวนิยายเล่มล่าสุดของเขาที่ชื่อ "Frog" ถูกมองว่ามีเนื้อหาที่ท้าทายมากที่สุดเล่มหนึ่ง โดยเกี่ยวข้องกับนโยบาย "One Child" ซึ่งมุ่งจำกัดจำนวนประชากรของจีน โดยถ่ายทอดการดำเนินนโยบายของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการบังคับทำแท้งและทำหมัน ถึงแม้ว่าโม่จะเป็นนักเขียนสัญชาติจีนคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม แต่ก่อนหน้านี้ ก็มีนักเขียนชาวจีนสัญชาติฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลเดียวกันในปี 2543 คือ เก๋า ซิงเจียน สำหรับงานเขียนแนวเพ้อฝัน โดยเฉพาะนวนิยายเรื่อง Soul Mountain งานของเขาเต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนและถูกสั่งห้ามในประเทศจีนด้วย ทั้งนี้ รางวัลโนเบลวรรณกรรม เป็นรางวัลโนเบลสาขาที่่ 4 ที่มีการจับตามากที่สุด ซึ่งประกาศหลังจากรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ฟิสิกส์ และเคมีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรางวัลดังกล่าวมีมูลค่าราว 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 36 ล้านบาท)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สมชายรับ รายงาน คอป.ไม่ได้เสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด Posted: 11 Oct 2012 06:10 AM PDT สำนักข่าวอิศรา สัมภาษณ์ สมชาย หอมลออ ประธาน อนุกรรมการค้นหาความจริงกรณีการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 ซึ่งจากที่ผ่านมาประเด็นดังกล่าวเป็นข้อถกเถียงที่ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ประชาไทจึงได้นำบทสัมภาษณ์ดังกล่าวมานำเสนออีกครั้ง ***************************** การค้นหา "ข้อเท็จจริง" ในเหตุการณ์ความรุนแรง ปี 2553 ยังไม่จบ แม้ว่า "คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)" จะปิดรายงานฉบับสมบูรณ์ไปแล้ว
โดยเฉพาะ "แกนนำเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย (พท.)" ที่ไม่พอใจ ผลสรุป คอป.อย่างยิ่ง และยื่นเรื่องให้รัฐบาลของเขาไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้ ประเด็น "ชายชุดดำ" ที่ คอป.สรุปว่า มีส่วนสร้างความรุนแรงและสังหารไป 9 คน ระหว่างเหตุการณ์ "เม.ย.-พ.ค.เลือด 53" ยังคงร้อนเมื่อฝ่าย นปช.ตอบโต้ว่า ชุดดำไม่มีจริง ถ้ามีแต่ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่บริหารประเทศครั้งนั้น ก็ใช้รายงาน คอป. ทำกิจกรรมตามล่าหาชายชุดดำต่อไป "ทีมข่าวอิศรา" สนทนากับ "สมชาย หอมลออ" อดีตกรรมการ คอป. ซึ่งรับผิดชอบผลสอบข้อเท็จจริงความรุนแรง 53 ล่าสุดเจ้าตัว เดินทางไปชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดข้อมูลใหม่ ยืนยันว่า คนชุดดำนอกจากโยงใย พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ยังมีความเกี่ยวพันกันกับทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา ด้วย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ยังมีข้อมูลอะไรที่ คอป.มีอยู่ในมือ แต่ไม่ถูกเปิดเผยออกมา ??? .......................................................
ผมขอท้าวความก่อน ในแง่การตรวจสอบค้นหาความจริงและทางทฤษฎี เราก็ระบุชัดเจนว่า ความจริงมันมีหลายชุด แต่สิ่งที่เราทำ เราพยายามรวบรวบรวมความจริงโดยการรับฟังจากทุกฝ่าย ไม่เฉพาะฝ่าย นปช.เท่านั้น เรารับฟังฝ่ายรัฐบาลขณะนั้น สื่อมวลชน นักกิจกรรมด้านสันติวิธี รวมทั้งคนที่อาจเกี่ยวพันกับคนชุดดำด้วย ความจริงที่เราเสนอมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ออกมาชุดหนึ่ง และเราก็บอกว่า ความจริงอันนี้มันอาจมีความจริงที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกก็ได้ เพราะเหตุการณ์ผ่านไป การรับรู้ของคน การเปิดเผยข้อมูลของคนอาจมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเราไม่ได้บอกว่า เราเป็นความจริงหนึ่งเดียวเที่ยงแท้แน่นอน เพราะไม่มีความจริงอะไรที่สมบูรณ์แน่นอน แต่เราคิดว่าทุกคนสามารถโต้แย้งเสนอความจริง พยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่ก็ต้องโดยเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ที่น่าเสียดายคือ การวิจารณ์รายงาน คอป.ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของการใช้อารมณ์ คนจำนวนมากพูดถึงรายงานฉบับนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่านเลย เพียงแต่ฟังเขาอีกที และที่น่าเสียใจคือ ในส่วนของนักวิชาการ ผมไม่ได้ห่วงตัวนักวิชาการนะ แต่ห่วงตัวลูกศิษย์ของนักวิชาการเหล่านี้ เพราะการวิจารณ์ของนักวิชาการกลุ่มนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชา และคนเหล่านี้ก็เป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไทย แล้วอย่างนี้ในมหาวิทยาลัยไทยมันจะเป็นอย่างไรในอนาคต ก็เป็นเรื่องน่าห่วงมากนะ
เรื่องที่ว่าเราไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรืออคติ จริงๆ แล้วก็ต้องพูดมาว่า หลักฐานของเราไม่ถูกอย่างไร แล้วเขามีหลักฐานที่ถูกต้องอย่างไร ก็ต้องเสนอมา เพื่อทำให้ความจริงมันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้ง กระทั่งเอาเรื่องส่วนตัว ประวัติของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นของผม หรือ อ.คณิต ณ นคร ประธาน คอป. ออกมาวิจารณ์ ซึ่งมันไม่ถูก เพราะรายงานฉบับนี้ไม่ได้เกิดจากผมคนเดียว หรือจาก อ.คณิตกับผม แต่มันเป็นการทำงานร่วมกันของคนนับร้อยคนและประชุมนับร้อยครั้ง กระทั่งออกมาโจมตีว่า มีคนเสื้อเหลืองอยู่ในกรรมการ ซึ่งความจริงแล้วมันก็มีคนหลากหลายอยู่ในคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ดังนั้น อย่ามาพูดแบบตัดตอนหรือบิดเบือน สิ่งที่เราต้องการชี้ให้เห็นก็คือ ข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาล ฝ่ายค้าน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเพื่อให้เกิดการผลักดัน เปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งส่วนนี้สำคัญมากนอกจากนี้ จากการตรวจสอบค้นหาความจริง เราพบว่า ทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่นี้ ใช้กำลังเกินแก่เหตุในหลายกรณี เช่นมีการใช้อาวุธสงคราม มีการนำเอารถหุ้มเกราะออกมา รวมทั้งเราได้ศึกษาลักษณะการปฏิบัติการธรรมชาติต่างๆ ของทหารแล้ว ก็นำมาสู่ข้อเสนอของเราที่บอกว่า หากเกิดการชุมนุมในอนาคต รัฐบาลต้องไม่นำทหารออกมาใช้ในการควบคุมฝูงชนอีก เพราะการใช้กำลังทหารโดยธรรมชาติแล้ว ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ควบคุมฝูงชน ไม่เฉพาะเหตุการณ์ปี 2553 เท่านั้น เหตุการณ์ก่อนๆ นั้นมันก็พิสูจน์ในจุดนี้อยู่ เราจึงมีข้อเสนอจุดนี้ออกมาเพื่อวางแนวทางให้รัฐบาลต่อไป เราจึงมีข้อเสนอที่ว่า ต้องมีการสร้างหน่วยดูแลฝูงชน เช่น ตำรวจที่ได้รับการฝึกเป็นอย่างดี ซึ่งน่ายินดีที่รัฐบาลชุดนี้ได้ตอบสนองเรื่องนี้ และมีการจัดตั้งหน่วยตำรวจฝึกดูแลฝูงชน บางคนบอกว่า ข้อเสนอของเราเป็นข้อเสนอปกติ ก็อาจจะใช่ แต่สำหรับ นปช.อาจไม่ใช่ข้อเสนอที่เป็นปกติก็ได้ เพราะ นปช.ยืนยันมาตลอดว่า การชุมนุมของตัวเองเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่จากการตรวจสอบของเรามันต่างจากที่เขายืนยัน และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่า ผู้นำ นปช.บางส่วนไม่พอใจ เพราะสิ่งที่เราเสนอนั้น มันตรงข้ามกับสิ่งที่เขาโฆษณามาตลอด รวมทั้งเรื่องคนชุดดำด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเมื่อมีการเสนอความจริงที่แตกต่างไปจากที่เขาพูด @ แกนนำ นปช.ไม่เห็นด้วยกับ รายงาน คอป.ระบุว่า คอป.มีธง และมีอคติ เฉพาะบางคน แค่คู่ผัวเมียคู่หนึ่ง แต่แทนที่เขาจะพูดมาว่า ข้อมูลเราไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอย่างไร กลับมาบอกว่า คอป.รับคำสั่งใครมาหรือไม่ ผมบอกเลยว่า ผมกับเหวง ก็เคยอยู่พรรคคอมมิวนิสต์มาด้วยกัน แต่ผมไม่เคยเปลี่ยนไปอยู่พรรคนายทุน ผมไม่เคยเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง @ เสียงตอบรับเป็นไงบ้าง มีแกนนำเสื้อแดงโทรมาบ้างไหม ของผมยังดีนะ ผมไม่เคยถูกคุกคามหรือถูกข่มขู่ แต่ที่ผ่านมาก็มีโทรไปด่าที่ออฟฟิศ คอป. 1-2 ราย ถ้าอ่านรายงาน คอป.โดยละเอียดจะเห็นชัดว่า เราก็มีพยานหลักฐานชัดเจนเป็นรูปถ่าย และยังมีการปรากฏตัวของกลุ่มนี้ในหลายๆ ที่ ถ้าบอกว่า เป็นเรื่องของทหาร แต่สิ่งที่เรากำลังตรวจสอบคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน เช่น ผู้ชุมนุมหรือประชาชนที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุม แต่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมกับรัฐ ยกตัวอย่างเช่น การที่ เสธ.แดงออกมา วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาที่เป็นผู้นำกองทัพ และปฏิบัติงานในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ หมายถึงอะไร หมายถึง เสธ.แดงเป็นตัวแทนของกองทัพ ที่แตกแยกกันหรือ อันนั้นก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลของ เสธ.แดง ไม่ใช่ในนามของกองทัพ ซึ่งในกลุ่มชายชุดดำนั้น อาจมีบางคนที่มีแบ๊คกราวน์เป็นทหารพราน แต่การปฏิบัติการของชายชุดดำไม่ได้ปฏิบัติในฐานะ "รัฐ" หรือ หน่วยงานของรัฐ ถ้าจะบอกว่า เป็นแผนการณ์หรือนโยบายของกองทัพ ที่ส่งคนแบบนี้ออกมาเพื่อสร้างสถานการณ์ เราก็ไม่มีพยานหลักฐานที่จะโยงไปถึงขนาดนั้นได้ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายมีหลักฐานว่า กองทัพเป็นผู้จัดตั้งคนชุดดำออกมาเพื่อปฏิบัติการบางอย่าง ก็ต้องแสดงออกมา แต่เราไม่พบ ไม่ว่าทางการข่าวหรือพยานหลักฐานต่างๆ มันก็เป็นเรื่องของบุคคล ทั้งเป็นบุคคลที่อยู่ในกองทัพบางคน หรือบุคคลที่อยู่นอกกองทัพรวมตัวกันปฏิบัติการโดยใช้อาวุธสงครามต่อต้านการปฏิบัติการของรัฐ ซึ่งในอนาคตเรื่องเหล่านี้ จะค่อยๆ พิสูจน์เอง แต่ที่แน่ๆ คือ มันมีกลุ่มบุคคลหนึ่งที่โจมตีทหารในพื้นที่ด้วยอาวุธสงคราม และคนกลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.บางส่วน เรามีข้อยืนยันแน่นอน @ เสื้อแดงวิจารณ์ว่า รายงาน คอป.เป็นอนุญาตสั่งฆ่าประชาชน ผมเข้าใจ... เพราะสิ่งที่เราเสนอนั้นมันขัดแย้งกับสิ่งที่เขาโฆษณา และสิ่งที่เขาโฆษณานั้น เขาไม่ได้โฆษณาให้สังคมเชื่อเขานะ เขาโฆษณาให้คนของเขาเชื่อเขา ดังนั้น เมื่อเราเสนอข้อเท็จจริงในลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนก็อาจจะกลัวว่า คนในกลุ่มเขาอาจจะแตกแถวออกมา ดังนั้น เวลาเขาให้สัมภาษณ์สื่อ เขาไม่ได้โจมตีผมนะ แต่เขาพูดให้คนของเขาฟังเพื่อต้องการที่จะรักษาขบวนของเขาไว้ @ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ควรมีท่าทีหรือจุดยืนอย่างไรต่อรายงาน คอป.หลังจาก แกนนำรัฐบาลส่งสัญญาณว่าไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้ ขณะที่เสื้อแดงฉีกรายงานทิ้ง และยื่นเรื่องให้รัฐบาลปรับปรุงรายงาน คอป.ใหม่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งได้แถลงนโยบายชัดเจนต่อรัฐสภา นอกจากนั้นยังได้แถลงในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติในหลายการประชุมด้วยว่า สนับสนุนการทำงานของ คอป. ดังนั้น ในแง่นี้รัฐบาลก็คงต้องทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้โดยนำข้อเสนอของ คอป.ไปปฏิบัติ ก็จะถือว่า เป็นการสนับสนุน คอป. เนื่องจาก คอป.มีรายงานที่หนา 300 หน้า แน่นอน นายกฯคงต้องใช้เวลาศึกษา ซึ่งก็มอบหมายให้ "คณะกรรมการติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคอป." หรือ ปคอป.ที่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะนำข้อเสนอของ คอป. ไปปฏิบัติเป็นการเฉพาะ เท่าที่ทราบ ปคอป.ได้ประชุมแล้วมีมติว่า จะเอาข้อเสนอแนะของ คอป.ไปปฏิบัติ ในเรื่องนี้ก็ต้องชมรัฐบาลว่า ข้อเสนอหลายข้อของ คอป.เขาก็เอาไปปฏิบัติแล้ว ไม่ว่าเรื่องการเยียวยา การควบคุมตัวจำเลยในคดีที่เกี่ยวกับการเมือง การย้ายที่คุมขัง กระบวนการสานเสวนา ที่รัฐบาลได้อนุมัติงบ 90 ล้านบาทเพื่อการนี้โดยให้กรมพัฒนาชุมชนดำเนินการ รวมถึง ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่เราเสนอให้ชะลอไปเพื่อให้เป็น พ.ร.บ.ปรองดองจริงๆ รวมทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นข้อเสนอเพื่อนำไปสู่การปรองดองของคนในชาติ นายกฯเองก็ประกาศหลังจาก คอป.เปิดเผยรายงานมาว่า อยากให้มีการปรองดองเกิดขึ้น ดังนั้น ผมก็มีความเชื่อว่า รัฐบาลคงจะนำข้อเสนอของ คอป. ไปปฏิบัติ และผมก็เชื่อว่า จะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายค้านและประชาชนทั่วไปรวมทั้ง นปช.ด้วย ผมเชื่อว่า จะมีคนเพียงจำนวนน้อยที่พยายามไม่สนใจรายงาน คอป. ข้อเสนอที่ด่วนที่สุดที่เราอยากให้รัฐบาลดำเนินการ คือรัฐบาลต้องดูแลหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมโดยต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันและเที่ยงธรรม ผู้นำรัฐบาลต้องไม่แสดงท่าที ส่งสัญญาณ ที่ทำให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดก่อน คอป.ก็พยายามท้วงติงว่า ความยุติธรรมนั้นจะต้องมีให้กับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลด้วย ก็คือ นปช. แต่ตอนนี้รัฐบาลที่ นปช.สนับสนุนขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องอย่าละเลยที่จะให้ความยุติธรรมกับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย เช่น ปัญหาผู้เสียชีวิต บาดเจ็บกับประชาชนที่อยู่ตรงข้ามกับ นปช. ชาวบ้าน ร้านค้า ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม แต่ว่าที่ผ่านมา ผู้นำรัฐบาลบางคนยังส่งสัญญาณที่ทำให้มองเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมชั้นต้นถูกแทรกแซง และถูกใช้เพื่อประโยชน์ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มเท่านั้นทำให้กลุ่มอื่นสงสัย ซึ่งรัฐบาลจะต้องเรียกความเชื่อมั่นในส่วนนี้คืนมา เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลของทุกคน ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของนปช. ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมนั้น คอป.เน้นมาก เช่น ฝ่ายการเมืองต้องไม่ออกมาพูดถึงการชี้นำในคดีให้กับเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอ หรือ สตช. ต้องให้เขาทำงานเป็นอิสระและเป็นมืออาชีพจริงๆ กล่าวคือ ในขณะที่ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ ก็ต้องไม่ออกมาพูดในทำนองที่ทำให้ผู้ที่กำลังแสวงหาความยุติธรรมนั้นเสียกำลังใจ แต่ผมก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังหาตัวผู้ที่กระทำความผิดอยู่ เช่น คนที่ยิง M79 ยิง RPG ใส่จนทหารตายหลายคน และทำให้กลุ่มคนรักสีลมเสียชีวิต แต่ว่าในส่วนนี้ก็คงได้รับความร่วมมือจากผู้ชุมนุมด้วย ในวงการทูตในประเทศไทยเขาสนใจและให้การสนับสนุนข้อเสนอของ คอป.และเขาก็เห็นว่า สิ่งที่ คอป.ตีแผ่ออกไปนั้นเรียกว่า เป็นประวัติศาสตร์ของสังคมไทยก็ได้ คือได้ตีแผ่ข้อเท็จจริงออกไปต่อสังคมซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีใครตีแผ่ข้อเท็จจริงที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งมาเลย และเขายังให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะของเรามาก เพราะเราต้องการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในอนาคต เป็นการเสนอแนะเพื่อสร้างพื้นฐานของประชาธิปไตยให้เข้มแข็งขึ้น ข้าหลวงใหญ่ของสหประชาชาติก็ออกมาสนับสนุนชัดเจน ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็รับปากแล้วว่า จะเอาข้อเสนอของ คอป.ไปปฏิบัติ รัฐบาลก็ต้องรักษาคำมั่นสัญญานี้ต่อสังคมนานาชาติ อย่างที่บอก คอป.ไม่ได้ทำงานคนเดียว และประธาน คอป.ก็ไม่ใช่คนกำหนดหรือชี้ขาดอะไรได้ แม้แต่เรื่องที่บอกว่า คุณทักษิณยังไม่ควรกลับมาเมืองไทย อันนี้ก็ความเห็นของประธาน คอป. ไม่ใช่ของ คอป. ส่วนเรื่องที่คุณทักษิณกับ อ.คณิต จะมีความสัมพันธ์กันอย่างไรในอดีตหรือในปัจจุบัน อันนี้ก็คงไม่สามารถพูดได้ ผมคิดว่ากระบวนการปรองดองมันต้อง inclusive คือ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เห็นขัดแย้งกัน ได้มีพื้นที่ในกระบวนการนี้ ต้องไม่ใช่เป็นกระบวนการ exclusive คือกีดกันคนบางคนออกไป อันนี้ต้องคิดกันเองเพราะหน้าที่ของ คอป.หมดแล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ฝ่ายค้าน ภาคประชาสังคม ต้องไปพูดคุยกัน @ จากการค้นหาความจริงมา 2 ปี ส่วนตัวได้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้ ได้ความรู้ใหม่ ประสบการณ์ในการตรวจสอบ ยิ่งทำเราได้เรียนรู้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เราเริ่มทำจากการที่เราไม่มีบทเรียนประสบการณ์เลย เราอาศัยนักวิชาการของไทยส่วนหนึ่ง และการสนับสนุนของยูเอ็นดีพี ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ ไอทีซีเจ สถานทูตสวิสเซอร์แลนด์ ในการเรียนรู้ประสบการณ์จากที่อื่น ปีแรกเราจึงคลำทาง ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ อีกอัน เราไม่มีอำนาจ เราก็เลยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่า เราพยายามทำงานอย่างเป็นทางการ ฉะนั้น ช่วงแรกๆ ก็เป็นการพบปะพูดคุยกับคนเยอะแยะไปหมด ส่วนการตรวจสอบ ค้นหาความจริง ก็เริ่มปีหลัง ช่วงแรกความร่วมมือจากหลายฝ่ายน้อย รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็บอกว่าให้ความร่วมมือ แต่เอาเข้าจริง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ ทหารเราได้รับความร่วมมือบ้าง ส่วนตำรวจเราไม่ได้รับความร่วมมือเลย ก็มาในช่วงหลังนี้ที่ได้รับความร่วมมือมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เต็มที่ นปช.ก็ให้ความร่วมมือ แต่ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้มาพบกับ คอป. หรือในหลายกรณี เราก็ไม่มีอิสระที่จะสัมภาษณ์โดยตรง เพราะมีแกนนำในบางระดับ ก็มานั่งอยู่ด้วย ช่วงหลังเราได้สัมภาษณ์เหยื่อ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับบาดเจ็บมากขึ้น แต่ก็เป็นข้อมูลที่ไม่เต็มที่ เพราะเราตรวจสอบค้นหาความจริง ในขณะที่การดำเนินคดีอาญาควบคู่กันไป คนที่จะเป็นพยานหรือผู้เสียหาย หรือ ผู้ละเมิดคดีก็มีความระมัดระวังในการที่จะให้ข้อเท็จจริงกับเรา ดังนั้น เราจึงไม่สามารถพึ่งข้อเท็จจริงจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ ก็ต้องเอาหลายส่วนมาประกอบกัน จนกระทั่งเอาผู้เชี่ยวชาญไปดูสถานที่เอง นอกจากนี้ พยานหลักฐานชิ้นสำคัญถูกทำลายไปเยอะ ด้วยเหตุต่างๆ เช่น หลักฐานจำนวนมาก ผู้ชุมนุมเก็บไปเพราะคิดว่า นี่แหละจะใช้เป็นหลักฐานเอาตัวผู้ฆ่ามาดำเนินคดี เช่น ปลอกกระสุนในพื้นที่ แต่หารู้ไม่ว่า เก็บไปมันใช้ไม่ได้ในทางพยานหลักฐาน กระนั้น รายงานหลายอย่างเราได้มาและเราเองก็ตรวจสอบได้เป็นประโยชน์มาก เช่น ทิศทางของกระสุนที่ยิงมาจากทิศทางไหน จากทหาร หรือมีทิศทางที่สวนกันไหมกับทหาร แต่ก็น่าเสียดายที่บางพื้นที่ เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูล จะเรียกว่าเป็นข้อมูลด้านเดียวก็ได้ในบางรายงาน เช่น แถวบ่อนไก่ มีการตรวจทิศทางกระสุนที่มาจากทหารเท่านั้น แต่ไม่ตรวจว่า มีทิศทางกระสุนที่มาจากทิศทางตรงข้ามหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้เหตุผลว่า เพราะพนักงานสอบสวนบอกให้เก็บในส่วนนี้ มันก็ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการอย่างเที่ยงธรรมไหม สิ่งที่เราได้คือ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น เช่น ทำไมผู้ชุมนุมบางกลุ่มจึงมีความรู้สึกว่าคนชุดดำเป็นคนที่มาคุ้มครอง ปกป้องเขา บางคนถึงกับบอกว่า ถ้าไม่มีคนชุดดำมาช่วย คนชุดดำจะตายมากว่านี้ เพราะว่าเขามีความเชื่อ จากการโฆษณาหรือการพูดกรอกหูของคนบางกลุ่มจากสื่อต่างๆ เช่น วิทยุชุมชน แกนนำบางคนของผู้ชุมนุม ทำให้เขาเชื่อว่า ทหารที่ออกมานั้น จะมาปราบฆ่าเขา รวมทั้งการที่ทหารเอารถหุ้มเกราะ มีอาวุธสงครามออกมา ก็ยิ่งทำให้เขาเชื่ออย่างนั้นมากยิ่งขึ้น อันนี้เราก็ต้องเสนอออกไปว่า การที่เจ้าหน้าที่มาดูแลการชุมนุมจะต้องทำให้ผู้ชุมนุมเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่เป็นมิตร ไม่ใช่มาปราบ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องไม่ใช้ทหาร เพราะทหารเป็นนักสู้ และต้องไม่นำอาวุธสงครามออกมา สำหรับเจ้าหน้าที่ก็เหมือนกัน ทำไมเขาถึงต้องยิงไปในทิศทางนั้น เพราะความเชื่อและประสบการณ์เขา หรือการข่าวที่เจ้าหน้าที่ได้รับมาว่า จะมีเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งการที่เจ้าหน้าที่ถูกยิงตายไปหลายคนในวันที่ 10 เม.ย.2553 รวมทั้งถูกยิงด้วย M79 อีกไม่ว่าจะที่แยกศาลาแดงหรือบ่อนไก่หรือถนนราชปรารภ มันก็ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าใจได้ว่า เขากำลังตกเป็นเป้าของการโจมตี @ ถ้ายังมีเวลาในการค้นหาความจริงอีก ในใจลึกๆแล้วหรืออยากรู้ความจริงหรือ เคลียร์จุดไหนเป็นพิเศษ ....................................................... ที่มา:สำนักข่าวอิศรา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ซีรีส์จำนำข้าว (2) พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ : จำนำดีกว่าประกันรายได้ รอพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล Posted: 11 Oct 2012 04:50 AM PDT
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล เชิญ พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาพูดคุยเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เขาอธิบายเรื่องนี้อย่างเป็นระบบและง่ายต่อการทำความเข้าใจ มีประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการประกันรายได้สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ และโครงการรับจำนำในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งอาจเป็นมุมมองที่แตกต่างไปจากนักเศรษฐศาสตร์โดยทั่วไป หรือภาคประชาสังคม ที่เห็นกันว่าหากมีสองตัวเลือกโครงการประกันรายได้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
000000000
ปูพื้นภาพรวม เกษตรกรรมไทยอยู่ตรงไหน
คำถามเพิ่มเติม |
เลขาฯอาเซียนแนะเดินหน้า 3G ต่อ ชี้ข้อมูลข่าวสารคืออำนาจ Posted: 11 Oct 2012 02:17 AM PDT
ทั้งนี้ สุรินทร์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้อาเซียนกำลังพูดถึงเรื่อง connectivity คือการสร้างทางรถไฟ ถนน เชื่อมโยงเพื่อให้เกิดการขนส่งอย่างสะดวก เพราะการค้าเสรีหรือตลาดเดียวกันจะไม่มีผล ถ้าขนส่งสินค้าไม่ได้ แต่ข้อมูลข่าวสารนั้นสามารถไหลไปมาได้แล้ว โดยเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมทำให้เกิด Virtual community นี้ขึ้น เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า ประเทศที่พัฒนา 3G ไปแล้ว จะเกิดความคล่องตัวในการสื่อสาร กระจายข้อมูล เข้าถึงลูกค้า รักษาตลาดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าเราช้า ประสิทธิภาพในการแข่งขันภายในของเราจะไม่เพิ่มขึ้น และจะสูญเสียเนื้อที่ โดยต้องอย่าลืมว่าเขตแดนไม่มีความสำคัญอีกแล้ว มันไหล-เชื่อม ทุกอย่างได้ ดังนั้น โทรคมนาคมไทย ไม่ว่าธุรกิจ หรือสารัตถะของการสื่อสาร จะมีตลาดทั้งอาเซียน ต่อไปนี้ กสทช. ของแต่ละประเทศต้องคิดถึงตลาดอาเซียนทั้งหมด ถ้าเราไม่มีประสิทธิภาพ คนอื่นจะเข้ามาในพื้นที่ได้ ขณะที่เราออกไปพื้นที่เขาไม่ได้ สุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ไทยยังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้ไม่เต็มที่ ทั้งที่เทคโนโลยีมีมาหนึ่งทศวรรษแล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ โดยยังขัดแย้งกัน เช่น การฟ้องร้อง การยื่นประมูล TOR ไม่สมบูรณ์ต้องร่างใหม่ เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ กสทช.ที่ต้องทำให้กฎเกณฑ์ต่างๆ มีความโปร่งใส เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และไม่ให้มีการใช้กระบวนการอื่นนอกจากกฎหมายในการตัดสินใจ ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีผู้กล่าวว่าค่าใช้จ่ายในการลงทุนในประเทศไทยนั้นสูงถึง 30% นั่นเพราะมีกระบวนการอื่นที่ใช้ความใกล้ชิดทางการเมืองเป็นปัจจัยบีบคั้น บั่นทอนความสามรถในการแข่งขัน สุรินทร์ ระบุว่า จำนวนค่ายโทรคมนาคมของไทยที่มีเพียงสามรายนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือความเที่ยงธรรม โปร่งใส รักษาประโยชน์ชาติ มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน กสทช.ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลทำหน้าที่ให้เต็มที่ ไม่ถูกอำนาจอื่นเข้ามาชี้นำ จะก้าวไปอย่างราบรื่น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จี้ยุติการแต่งงานในเด็ก เนื่องในวันเด็กผู้หญิงสากล Posted: 11 Oct 2012 01:01 AM PDT
เนื่องในวันที่ 11 ต.ค.ของทุกปี ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติกำหนดให้เป็นวันเด็กผู้หญิงสากล เพื่อสร้างความตระหนักถึงสิทธิของเด็กผู้หญิงและความท้าทายพิเศษที่เด็กผู้หญิงทั่วโลกต้องเผชิญ องค์การสหประชาชาติผู้ริเริ่มให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิง เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และเอเชียใต้ (EAP/SA UNGEI) ได้ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้ยุติการแต่งงานในเด็กและเร่งพัฒนาความเท่าเทียมและเสมอภาคระหว่างเพศในการศึกษาภายในปี พ.ศ.2558
วันเด็กหญิงสากล ยุติการแต่งงานในเด็ก วันที่ 11 ตุลาคมมีความสำคัญยิ่งโดยเฉพาะสำหรับองค์การสหประชาชาติผู้ริเริ่มให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิง เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และเอเชียใต้ (EAP/SA UNGEI) การเริ่มเป็นทางการของ "วันเด็กผู้หญิงสากล" เป็นการรวมกันเป็นปึกแผ่นในการให้คำมั่นสัญญาทั่วโลกว่าจะมีความเสมอภาคสำหรับเด็กผู้หญิงไม่เฉพาะทางการศึกษาแต่สำหรับทุกด้านของชีวิต คำว่า "เด็กผู้หญิง" เจาะจงหมายถึงเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่มักต้องเผชิญกับความท้าทายที่มีลักษณะเฉพาะเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชายและสตรี ในวันนี้เราจะระลึกว่าเด็กผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์ในสิทธิมนุษยชน ได้รับการปฏิบัติและมีโอกาสอย่างเสมอภาค รวมถึงสิทธิที่จะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างครบถ้วนกระบวนการ อย่างไรก็ตามเรายังต้องเผชิญกับอุปสรรคเช่นความรุนแรงเกี่ยวกับทางเพศ แรงงานเด็ก ความมีอคติที่ฝังลึก การเลือกปฏิบัติ และการแต่งงานของเด็ก เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะที่เท่าเทียมสำหรับเด็กผู้หญิงในสังคม หัวข้อสำหรับ "วันเด็กผู้หญิงสากล" ในปีนี้มุ่งเน้นที่ผลเสียของการแต่งงานในวัยเด็กและความจำเป็นที่จะต้องยุติการกระทำนี้ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ได้ให้คำนิยามการแต่งงานของเด็กว่า "เป็นการแต่งงานอย่างเป็นทางการหรือการร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการของเด็กที่กำหนดว่ามีอายุต่ำกว่า 18 ปีกับผู้ใหญ่หรือเด็กอีกคนหนึ่ง" ถึงแม้ปัญหานี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย บ่อยครั้งจะพบว่าเด็กผู้หญิงถูกกระทบในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) ยอมรับในสิทธิเสรีภาพและการยินยอมอย่างเต็มใจของการแต่งงาน โดยระบุว่าการยินยอมนั้นจะไม่เป็นไปอย่าง "เสรีและสมบูรณ์" หากฝ่ายหนึ่งยังไม่เจริญวัยพอที่จะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลเกี่ยวกับคู่ชีวิต ส่วนมาตรา 16 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women (CEDAW) ได้ห้ามมิให้มีการแต่งงานในเด็กโดยบัญญัติว่า "การสัญญาว่าจะแต่งงานและการแต่งงานในเด็กนั้นไม่มีผลทางกฎหมาย" ในขณะที่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก Convention on the Rights of the Child (CRC) ถึงแม้จะไม่ได้อ้างถึงการแต่งงานในเด็กโดยตรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแต่งงานในเด็กมีความเชื่อมโยงกับสิทธิอื่นๆ ของเด็กเช่น สิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ได้รับการคุ้มครองจากการข่มเหงในทุกรูปแบบ และปกป้องจากการกระทำทารุณกรรมโดยพิธีทางประเพณี ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ถึงแม้ว่าการแต่งงานในเด็กในหลายชุมชนจะได้รับการสนับสนุนหรือถูกบีบบังคับจากครอบครัวจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ อาจเป็นวิธีปกป้องเด็กผู้หญิงจากความสำส่อน การถูกกระทำทารุณกรรมทางเพศและการถูกตัดขาดจากสังคมและหนทางป้องกันการตั้งครรภ์นอกสมรส แต่ผลจากการวิจัยอีกทั้งหลักฐานจากการบอกเล่าบ่งชี้ว่า การแต่งงานในเด็กนำภัยสู่เด็ก เช่นการทารุณ การหย่าร้าง การถูกทอดทิ้ง และความยากจน ซึ่งบ่อยครั้งเป็นการละเมิดสิทธิเด็กมากมาย สถิติที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการแต่งงานในเด็กมีน้อยมากเนื่องจากไม่มีการบันทึกและการมีลักษณะอย่างไม่เป็นทางการของการเก็บข้อมูล แต่จากรายงานที่มีอยู่ทำให้รู้ว่ากว่าครึ่งของเจ้าสาววัยใสในโลกนี้มีถิ่นฐานในเอเชียใต้ ซึ่งมีการแต่งงานในเด็กและแต่งงานเร็ว มากกว่าทุกภูมิภาคในโลกนี้ สตรีประมาณร้อยละ 46 หรือ 32.6 ล้านคน ในเอเชียใต้ ที่มีอายุ 20-24 ปีจะแต่งงานหรืออยู่ร่วมกันเมื่ออายุ 18 ปี ประเทศบังกลาเทศและเนปาลจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเด็กผู้หญิงแต่งงานก่อนอายุ 18 ปีซึ่งเป็นอายุตามที่กฏหมายกำหนดให้แต่งงานได้ ในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกปัญหานี้มีมากกว่าที่คิด โดยเด็กผู้หญิงเกือบหนึ่งในห้าคนแต่งงานก่อนอายุ 18 ปี สถิติการแต่งงานในเด็กสูงสุดสำหรับประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น วานูอาตู นาอูรู และหมู่เกาะมาร์แชลล์ ซึ่งแม้ว่ากฏหมายไม่รับรู้แต่ก็เป็นที่ยอมรับในทางประเพณี ทั่วโลกจะพบว่าในประเทศที่มีการแต่งงานในเด็กจะมีขึ้นในร้อยละ 20 ของประชากรที่ยากจนที่สุดซึ่งแสดงว่าความกดดันทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหนึ่งของการแต่งงานในเด็ก การแต่งงานในเด็กเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและตัดอนาคตของเด็กผู้หญิงในการที่จะได้รับการเสริมพลังเพื่อที่จะสามารถหาตัวเลือกในเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตเขา ผลจากงานวิจัยพบว่าเด็กผู้หญิงที่แต่งงานเร็วมักจะออกจากโรงเรียนและมีโอกาสในการตั้งครรภ์สูง หลักฐานจากการบอกเล่าบ่งว่าในชุมชนบางแห่งการเรียนในโรงเรียนไม่เหมาะสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วและผู้เป็นแม่ ซึ่งส่วนมากเกิดจากมาตรฐานและความคาดหวังทางสังคม ในวัยสาวที่สรีระยังไม่เจริญพอที่จะมีลูกมักพบความเสี่ยงในการเสียชีวิตของมารดาเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงในการเสียชีวิตของทารกที่เกิดจากมารดาที่มีอายุต่ำกว่า 18 มีเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เมี่อเทียบกับทารกที่เกิดจากมารดาที่มีอายุ 19 หรือแก่กว่า นอกจากนี้เจ้าสาววัยใสมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในแง่ของความทารุณในครอบครัว การข่มขืน การเป็นเครื่องมือเพื่อหาประโยชน์ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น รวมถืงการที่ถูกกีดกันจากสังคม จากข้อเสียเปรียบหลายประการและการเลือกปฏิบัติที่เขาต้องเผชิญ เจ้าสาววัยใสมักไม่ได้รับการศึกษาในชั้นนมัธยมต้น โดยเฉพาะหากเขาตั้งครรภ์ นอกจากนั้นหากเขายืนกรานที่จะเรียนต่อไปก็มักจะเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ ถูกรังแก หรือถูกกีดกันจากสังคม ความพยายามที่จะยุติการแต่งงานในเด็กต้องทำควบคู่กับการเพิ่มการศึกษาในเด็กผู้หญิงและเพิ่มความเข้าใจของสังคมถึงผลเสียของการแต่งงานในเด็ก การให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิงเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดที่ประเทศหนึ่งพึงทำได้ ซึ่งจะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม เด็กผู้หญิงที่ได้รับการศึกษามักจะหารายได้ที่สูงกว่าเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานช้าลง มีลูกน้อยกว่าและแข็งแรงกว่า มีอำนาจในการตัดสินใจที่ดีกว่าในครัวเรือนและมีความเคารพในตัวเองสูงกว่า การยุติการแต่งงานในเด็กทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายและสนับสนุนให้เขามีสิทธิ์ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับกลยุทธ์ในมุมกว้างที่จะส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาสังคมที่เป็นธรรม สิ่งที่องค์การสหประชาชาติผู้ริเริ่มให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิง เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และเอเชียใต้ (EAP/SA UNGEI) เรียกให้ลงมือทำใน "วันเด็กผู้หญิงสากล" เพื่อเป็นการยุติการแต่งงานในเด็กและเร่งพัฒนาความเท่าเทียมและเสมอภาคระหว่างเพศในการศึกษาภายในปี พ.ศ.2558 องค์การสหประชาชาติผู้ริเริ่มให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิง เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และเอเชียใต้ (EAP/SA UNGEI) เรียกร้องให้นานาประเทศที่จะ
จากที่ได้ทำนี้ UNGEI ยอมรับว่าสิทธิของเด็กทุกคนไม่สามารถแยกจากกันและมีความเกี่ยวพันกัน อีกทั้งความพยายามทุกวิถีทางเพื่อยุติการแต่งงานในเด็กควรมีส่วนส่งเสริมสิทธิของเด็กที่จะอยู่รอด รับการพัฒนา รับการปกป้อง และมีส่วนร่วม องค์การสหประชาชาติผู้ริเริ่มให้การศึกษาแก่เด็กผู้หญิง เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก และเอเชียใต้ The East Asia and Pacific Regional and South Asia Regional United Nations Girls' Education Initiative (EAP/SA UNGEI) ขอถือโอกาสในการเปิด "วันเด็กผู้หญิงสากล" เป็นทางการ ในการเน้นค่ามั่นสัญญาที่มีอย่างต่อเนื่องที่จะผดุงไว้ให้การศึกษาเป็นสิทธิมนุษยชนที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ อยากขอร้องให้ประเทศต่างๆ ให้ความมั่นใจว่าจะให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กทุกคน โดยไม่คำนึงถึงเพศ ชนกลุ่มน้อย วรรณะ ระดับรายได้ ความพิการหรือปัจจัยอื่นที่อาจหน่วงเหนี่ยวเขาจากการได้รับสิทธิ์ในการศึกษาที่มีคุณภาพ แถลงการณ์นี้เป็นการเรียกร้องไปยังทุกประเทศที่จะให้ความมั่นใจเคารพในสิทธิมนุษยชนของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายทุกคนในการได้รับการศึกษา ได้รับการปกป้องและเติมเต็ม รวมถึงการป้องกัน ต่อต้าน และยุติการแต่งงานในเด็ก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นักข่าวพลเมือง: วิกฤตเบอร์รี่ปี 2555 ปัญหาคนงานเบอร์รี่ยังไม่จบง่ายๆ Posted: 11 Oct 2012 12:38 AM PDT รายงานพิเศษจาก "ฟินแลนด์" โดย "จรรยา ยิ้มประเสริฐ" งานเสวนา "คนงานต่างชาติชาวเอเชียที่ฟินแลนด์" ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จัดโดย "เวทีประชาชนเอเชียยุโรป (AEPF) ปัญหาคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทย "แรงงานทาสยุคใหม่" ในวีซ่า "นักท่องเที่ยว"
* * * * * * * * ฟินแลนด์สัมมนา "คนงานต่างชาติชาวเอเชียที่ฟินแลนด์"เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2555 มีงานเสวนาที่สำคัญมากเรื่อง "คนงานต่างชาติชาวเอเชียที่ฟินแลนด์" ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จัดโดย "เวทีประชาชนเอเชียยุโรป (AEPF) ที่ร่วมนำเสนอและร่วมฟังโดยองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงานจนเต็มห้องประชุม จรรยา ได้นำเสนอเกี่ยวกับ "คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยที่แลปแลนด์" ทั้งนี้แลปแลนด์เป็นชื่อตอนเหนือของฟินแลนด์ที่เป็นเขตเบอร์รี่ป่า คำว่าแลปแลนด์ ช่างพาให้คิดถึงเมืองลับแล จริงๆ คือลับจากสายตาผู้คน และแลหาความช่วยเหลือจากใครไม่มี และก็คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทย "แรงงานทาสยุคใหม่" ในวีซ่า "นักท่องเที่ยว" จะถูกพาจากสนามบินไปยังแคมป์ที่พักทันทีที่เครื่องลงจอด และจะถูกพาจากแคมป์ แวะซื้อเสื้อผ้ามือสองระหว่างทางมาสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย โดยที่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตหรือสามารถทำตัวเป็น "นักท่องเที่ยว" ที่แท้จริงได้เลย อีกทั้งไม่เคยเห็นหรือเที่ยวดูแม้แต่เมืองหลวง "เฮลซิงกิ" ที่รถบัสพวกเขาวิ่งผ่านรอบนอก ทั้งขาไปและขากลับสนามบิน ด้วยข้ออ้างจากพวกบริษัทนายหน้าว่า "ยุ่งยาก ในการจัดการ" พวกคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยจึงเหมือนกับ "ผี" ที่คนฟินแลนด์ไม่เคยเห็นตัว รู้แต่เพียงว่ามีจำนวน "นักท่องเที่ยว-จ้างงานตัวเอง-คนงานเก็บเบอร์รี่" 3,000 คน เดินทางจากประเทศไทยมาเก็บเบอร์รี่ แต่ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาและสภาพความเป็นอยู่และสภาพการทำงานเป็นอย่างไร จะไปพบเจอได้ที่ไหนบ้าง คนฟินแลนด์ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าแคมป์คนงานอยู่ ตรงไหนกันบ้าง เพราะบริษัทเบอร์รี่ ไม่เปิดเผยชื่อแคมป์ต่อสาธารณะ แม้แต่นักข่าวจะเข้าไปถ่ายทำสภาพปัญหา ก็ต้องขออนุญาต และขอที่อยู่จากบริษัท เวลาจะเข้าแคมป์ต้องบอกว่า "เราไม่ใช่ NGOs" เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าหัวหน้าแคมป์ (พวกสายและนายหน้า) รวมทั้งธุรกิจเบอร์รี่ไม่ชอบคนวิจารณ์และโยนความผิดให้ NGOs รับไปเต็มๆ คนที่เข้าไปถึงแคมป์และได้คุยกับคนงาน ต่างเล่าว่า เวลาคุยกับคนงาน จะอยู่ในสายตาที่จับจ้องของหัวหน้าแคมป์ และถ้าคุยนานก็จะเข้ามายืนฟัง และคอยสอดแทรกคำว่า "ไม่จริง" "ไม่ขาดทุน" เมื่อคนงานเปิดปากถึงสภาพปัญหาต่างๆ คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยช่างดูประหนึ่ง "แรงงานทาส" เป็นนักโทษในค่ายกักกันแรงงานเสียเหลือเกิน เมื่อพวกเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยพร้อม เรื่องราวความเจ็บปวดและสูญเสีย แดดสีทองแห่งมหานครเมืองเทพอมรดินแดนสุวรรณภูมิ ที่พวกเขาย่างเหยียบ ก็เผาสลายพวกเขา ราวกับแวไพร์ยามต้องแสงอาทิตย์ เมื่อไม่มีใครพยายามที่จะฟังความจริง พี่แมวพูดจับใจทุกคนว่า |
เมื่อลาวติดปีก : ธุรกิจสายการบินลาวทะยานสู่น่านฟ้าเอเชีย Posted: 11 Oct 2012 12:15 AM PDT ธุรกิจสายการบินเป็นธุรกิจหนึ่งที่ประสบภาวะซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง นับแต่การก่อวินาศกรรมโดยเครื่องบินในเหตุ 9/11 กับสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา ต้นทุนด้านการรักษาความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สายการบินต่างขาดทุน และทยอยปิดตัวลง สายการบินใหญ่ๆ เช่น United Airlines, Japan Airlines หรือแม้แต่การบินไทย มียอดขาดทุนสะสม ต้องปิดเส้นทางการบินที่ไม่ทำกำไรลงเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสายการบินชนิดต้นทุนต่ำ (Low cost airline) ได้เข้ามาแทนที่ความต้องการในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย ด้วยการลดบริการส่วนเกิน เช่น อาหารระหว่างเที่ยวบิน ลดขั้นตอนการเช็กอินและออกบอร์ดดิ้งพาสโดยให้ผู้โดยสารบริการตัวเอง สายการบินต้นทุนต่ำเช่น Ryan Air, Aerosvit จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเดินทางของผู้คนทั่วไป ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สายการบิน Air Asia ซึ่งมีฐานการบินที่มาเลเซีย ได้กระตุ้นกระแสสายการบินต้นทุนต่ำให้เกิดขึ้น จนหลายประเทศต่างก็มีสายการบินต้นทุนต่ำเป็นของตัวเอง เช่น นกแอร์ บางกอกแอร์เวย์ส เซบูแปซิฟิก เป็นต้น การเดินทางทางอากาศในลาวนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากถนนหนทางที่ยังไม่ทันสมัย เป็นหลุมบ่อ และสภาพภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาและภูเขาสลับไปมา เส้นทางคดเคี้ยวเลาะเลี้ยวไหล่เขามีอันตรายทั้งจากธรรมชาติ และอันตรายจากมิจฉาชีพที่ซุ่มซ่อนอยู่ เห็นได้จากที่ทางการลาวต้องส่งทหารไปเฝ้าระวังตามสะพานข้ามแม่น้ำลำห้วย และทางขึ้นเขาตามแขวงต่างๆ การเดินทางโดยเครื่องบินที่สะดวกสบายและรวดเร็วกว่า จึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่จำเป็นต้องเดินทางไปมาในประเทศลาว ก่อนหน้านี้ เครื่องบินที่ใช้เดินทางในประเทศลาวมักเป็นเครื่องเช่าเหมาลำ (Charter Flight) โดยผู้โดยสารต้องมีเส้นสายกับนายทหารหรือคนใหญ่โตในพรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงเดินทางได้ เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารไม่คุ้มค่าต่อการเปิดเส้นทางการบินพาณิชย์ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเดินทางท่องเที่ยวในลาวได้รับความนิยมมากขึ้น อีกทั้งธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าไปลงทุนตามแขวงเมืองต่างๆ เริ่มขยายตัว การเดินทางทางอากาศจึงเข้าสู่จุดคุ้มค่าในการประกอบกิจการพาณิชย์ มีสายการบินพาณิชย์หลายสัญชาติมุ่งจุดหมายปลายทางสู่ประเทศลาว โดยส่วนมากเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ บินระยะสั้นจากฮับการบินที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ได้แก่[1]
รัฐวิสาหกิจการบินลาว (Lao Airlines)[2] ซึ่งมีฐานการบินอยู่ ณ สนามบินนานาชาติวัดไต (Wattay International Airport : VTE) เป็นสายการบินที่รัฐบาลลาวถือหุ้น 100% เดิมการบริการจะเน้นการบริการแก่ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล เมื่อมีความต้องการเพิ่มเติมจึงขยายการบริการสู่เอกชน ในปัจจุบันที่การเดินทางทางอากาศเฟื่องฟู สายการบินลาวได้ปรับตัวให้ทันสมัยด้วยการนำเอาระบบซื้อและจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเองมาใช้งาน ประกอบกับการขยายเส้นทางการบินไปยังแขวงต่างๆ และวางแผนที่จะขยายเส้นทางการบินต่างประเทศเพิ่มเติมนอกจากไทย กัมพูชา เวียตนาม และมณฑลทางใต้ของจีน โดยสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A320 จำนวนสองลำ จากบริษัทแอร์บัสของฝรั่งเศส และเตรียมเพิ่งเที่ยวบินไปยังนครกวางโจวของจีน กรุงโซลและเมืองปูซานของเกาหลีใต้ และกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ท่านสะเหลิม ไตยะลาด หัวหน้าฝ่ายขายและการตลาดของรัฐวิสาหกิจการบินลาว ให้การชี้แจงว่า[3] "ປັດຈຸບັນນີ້ ເຮົາມີແຜນການທີ່ຈະບິນໄປກວາງໂຈວ "ปัจจุบันนี้ เรามีแผนการที่จะบินไปกวางโจว และก็บินไปโซล เกาหลีใต้ก็มีแผนอยู่ และพวกเราก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ว่าเราจะบินไปในช่วงใด ปฏิบัติการบินแบบเช่าเหมา หรือจะเอาแบบปกติก็ต้องดูก่อน เพราะเราต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้วย" โดยทางรัฐวิสาหกิจการบินลาวคาดว่า รายได้จากการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านดอลลาร์ ในปี 2015 ที่จะถึงนี้ ในส่วนสายการบินเอกชน ประเทศลาวมีสายการบินต้นทุนต่ำสองสายการบิน ให้บริการเส้นทางยอดนิยมเช่น กรุงเทพ-เวียงจันทร์-หลวงพระบาง-ปากเซ-ไซยะบุลี คือ สายการบิน Lao Central Airlines และสายการบิน Lao Air โดยสายการบิน Lao Central Airline เปลี่ยนชื่อจากสายการบินพงสะหวัน ในปี 2012 ให้บริการด้วยเครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 2 ลำ และ Sukhoi superjet อีก 3 ลำอยู่ระหว่างการสั่งประกอบ ส่วนสายการบิน Lao Air เป็นสายการบินภายในประเทศ บินด้วยเครื่อง Cessna 208 และบริการเฮลิคอปเตอร์ให้เช่า ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจในลาว จึงมีตัวเลือกในการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น และเสี่ยงต่ออุบัติภัยและโจรภัยน้อยลง
เกร็ดภาษาลาวประจำวันนี้ เสนอคำว่า ເຮືອບິນ (เฮือบิน) - เครื่องบิน, airplane งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะแท้จริงภาษาลาวเรียกเครื่องบินว่า ເຮືອບິນ
[1] http://worldaerodata.com/wad.cgi?id=LA11076&sch=VLVT [2] http://www.laoairlines.com/ [3] http://lao.voanews.com/content/laos-airlines-to-expand-its-international-flights-to-china-korea-and-japan/1519572.html
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น