ประชาไท | Prachatai3.info |
- เครือข่ายประชาชนปราจีนบุรี-สระแก้ว-ชลบุรี ทวงสัญญารัฐฯ เร่งประกาศผังเมืองรวมจังหวัด
- ชาวบางสะพานจี้ ‘กนอ.’ ยกเลิกสัญญาร่วมสหวิริยาตั้ง ‘นิคมฯ เหล็ก’
- เรื่องจริงไม่อิงนิยายของราชสำนักกัมพูชา (2): ชายาของพ่อ
- ศาลปล่อยตัว 2 ผู้เข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 คืนสู่สังคม
- งานวิจัยเผยคนงานอังกฤษเกือบ 5 ล้าน รายได้ต่ำกว่าค่าครองชีพ
- 1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชน สู่ความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
- จอน อึ๊งภากรณ์: หลักประกันสุขภาพของไทย จากอดีดสู่อนาคต
- เครือแพนเอเชียฟุตแวร์ เลิกจ้างอีกแห่ง คราวนี้โรงงานระยอง
- รายงาน: ประสบการณ์จาก 3 รพ.นำร่อง มาตรการใช้ยาสมเหตุผล
- มูลค่าการประมูลคลื่น 3G ของไทยเหมาะสมแล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ?
- 'มิเชล มาส' นักข่าวดัตช์ที่ถูกยิง 19 พ.ค. เข้ามอบหลักฐานดีเอสไอ
- เกาหลีเหนือผลิต "แท็บเล็ต" ใช้เองหลายรุ่น
เครือข่ายประชาชนปราจีนบุรี-สระแก้ว-ชลบุรี ทวงสัญญารัฐฯ เร่งประกาศผังเมืองรวมจังหวัด Posted: 29 Oct 2012 01:56 PM PDT
ภาคีเครือข่ายประชาชน ปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี บุกทำเนียบเร่งประกาศใช้ผังเมืองรวม 3 จังหวัด เผยล่าช้าเปิดช่องนายทุนกว้านซื้อที่ดินเก็งกำไร ลั่นหากยังไม่เร่งดำเนินการยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไป ผังเมืองรวมเมืองชลบุรี วันนี้ (29 ต.ค.55) ดร.สมนึก จงมีวศิน ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 ต.ค.55 เวลา 10.00 น.ภาคีเครือข่ายประชาชนของทั้งสามจังหวัดจะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าหนังสือถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ดำเนินการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี จากกรณีความล่าช้าของการประกาศใช้ผังเมืองรวมได้ก่อให้เกิดปัญหาความเดือดร้อนขึ้นในพื้นที่อย่างมากมาย อาทิ การกว้านซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตเกษตรกรรม และเขตชุมชนตามแบบผังเมืองใหม่ที่ยังไม่ได้มีการประกาศใช้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.54 กลุ่มประชาชนภาคตะวันออกจากจังหวัดระยอง สระบุรี และปราจีนบุรี จำนวนประมาณ 900 คน เดินทางมาร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีขอให้เร่งรัดการประกาศใช้ผังเมืองรวมในจังหวัดดังกล่าวข้างต้นโดยเร็ว เนื่องจากความล่าช้าได้ก่อให้เกิดช่องว่างของกฎหมายในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับเรื่องแทน และได้กล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าจะเร่งรัดให้มีการประกาศใช้โดยเร็ว โดยขอเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่รับหนังสือ อย่างไรก็ตาม จากเวลา 45 วัน ตามที่รับปากไว้ จนถึงปัจจุบันถือเป็นความล่าช้าเกินสมควร และได้ส่งผลเสียหายอย่างมากมายต่อประชาชน ดังนั้นภาคีเครือข่ายประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว และชลบุรี จึงเรียกร้องให้เร่งรัดและประกาศบังคับใช้ผังเมืองรวมของจังหวัดปราจีนบุรีให้เป็นตัวอย่างของความเอาจริงเอาจังที่จะปกป้องสิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินที่สอดคล้องกับบริบท และเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเร่งรัดให้ขั้นตอนการประกาศใช้ผังเมืองรวมของจังหวัดสระแก้วและชลบุรีนั้นเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในพื้นที่ตามเจตนารมณ์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ทั้งนี้ จากการติดตามการประกาศใช้ผังเมืองรวมจังหวัด ทำให้ภาคีเครือข่ายประชาชนของทั้งสามจังหวัดทราบว่าการดำเนินการของจังหวัดปราจีนบุรีอยู่ในขั้นตอนที่ 23 ส่วนการดำเนินการของจังหวัดสระแก้วและชลบุรีอยู่ในขั้นตอนที่ 20 จากทั้งหมด 24 ขั้นตอน โดยเฉพาะผังเมืองรวมของจังหวัดปราจีนบุรีนั้นเหลือเพียงรอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามในประกาศกฎกระทรวงฯ เพื่อจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายประชาชนฯ ระบุด้วยว่าหลังจากยื่นหนังสือแล้ว หากภายในวันที่ 30 พ.ย.55 ยังไม่มีการประกาศใช้ผังเมืองรวมของจังหวัดปราจีนบุรี และการเร่งรัดที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนของผังเมืองรวมจังหวัดสระแก้วและจังหวัดชลบุรี โดยยึดถือเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากทางนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ทางภาคีเครือข่ายประชาชนทั้งสามจังหวัดก็จะมีมาตรการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นในลำดับต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ชาวบางสะพานจี้ ‘กนอ.’ ยกเลิกสัญญาร่วมสหวิริยาตั้ง ‘นิคมฯ เหล็ก’ Posted: 29 Oct 2012 12:20 PM PDT เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางสะพานพบการนิคมฯ ร้องยกเลิกสัญญาร่วมดำเนินการกับบริษัทสหวิริยา ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ ชี้ที่ดินในโครงการบางส่วนได้มาโดยมิชอบ และกรมที่ดินได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว วันนี้ (29 ต.ค.55) เวลา 9:00 น. เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางสะพาน เดินทางไปยังการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ถนนนิคมมักกะสัน กรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกสัญญาร่วมดำเนินการกับบริษัทสหวิริยาในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเหล็กที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากที่ดินที่จะใช้ในโครงการบางส่วน ได้มาโดยมิชอบ และกรมที่ดินได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว จากกรณีเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ฯ บางสะพานได้รับทราบข่าวว่า กนอ.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพาน เนื่องจากที่ดินที่จะใช้ในโครงการบางส่วนเป็นที่ดินที่ได้มาโดยมิชอบและกรมที่ดินได้มีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว โดย กนอ.จะกันพื้นที่บางส่วนออกและให้บริษัทสหวิริยาดำเนินโครงการต่อไป นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรม กล่าวชี้แจงถึงการที่ไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที ตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง เนื่องจากข้อมูลทุจริตที่ดินที่ชาวบ้านเปิดเผย เกิดขึ้นก่อนคณะกรรมการชุดนี้รับตำแหน่ง และกรรมการหลายคนไม่ได้รับรู้ข้อมูลนี้มาก่อน จึงต้องขอเวลาพิจารณา ขณะที่เบื้องต้นทางการนิคมอุตสาหกรรมรับว่าจะปรับลดพื้นที่ โดยกันพื้นที่ 1,997 ไร่ ที่มีปัญหาออก เหลือพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม 4,406 ไร่ ด้านนางจินตนา แก้วขาว แกนนำชาวบ้านแสดงความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวยังคงเป็นการเปิดช่องให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมเหล็กได้ โดยนอกจากโครงการนี้จะขัดหลักธรรมาภิบาล ยังอาจส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เพราะพื้นที่โครงการติดกับพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญ หากเกิดเขตอุตสาหกรรมหนักจะส่งผลเสียหายต่อการประกอบอาชีพเกษตร และการท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้หลักของชาวบ้าน ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพาน เนื้อที่ประมาณ 6,400 ไร่ ในพื้นที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีปัญหาการออกเอกสารสิทธิมิชอบ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตวนอุทยาน โดยกรมที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิจำนวน 52 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 712 ไร่ ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.53 แต่จนถึงปัจจุบัน กนอ.ยังคงไม่ทบทวนสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทสหวิริยา ที่มา: เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจากผู้จัดการออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เรื่องจริงไม่อิงนิยายของราชสำนักกัมพูชา (2): ชายาของพ่อ Posted: 29 Oct 2012 12:10 PM PDT
พระบาทสมเด็จสุรมฤต และพระนางกุสุมะ นารีรัตน์ ในพิธีราชาภิเษก ปี พ.ศ.2498 กษัตริย์สีหนุ กับพระบิดาและพระมารดา
หลังจากที่เจ้ารณฤทธิ์ประสูติ มารดาของท่านได้อำลาจากที่พำนักบนถนนสุธารถไปใช้ชีวิตอยู่ในเมือง สนมคนงามวัย 22 ปี ผู้จดทะเบียนสมรสกับกษัตริย์สีหนุ ในปี 2485 ไม่ได้รับการเหลียวแลจากสามีที่หันไปหลงใหลสตรีอื่น ในที่สุด เนียก โมเนียง พัต กันฮอล มารดาของเจ้ารณฤทธิ์ตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับกษัตริย์สีหนุ และแต่งงานใหม่กับนายทหารชื่อจาบ ฮวด (Chap Huot) ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 5 คน ลูก 4 คนของทั้งสองตายในช่วงการยึดครองของเขมรแดง ลูกคนเดียวที่เหลือรอดชีวิตมาได้คือ จาบ เนลีวอล (Chap Nhalyvoul) ส่วนพัต กันฮอลเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ในปี พ.ศ.2512 ในวัย 49 ปี ร่างของเธอถูกฝังไว้ที่กรุงพนมเปญ จาบ ฮวด สามีใหม่ของเธอตายในปีต่อมาในเหตุการณ์ลอบวางระเบิดก่อนที่กษัตริย์สีหนุจะถูกโค่นราชอำนาจในปีเดียวกัน จาบ เนลีวอล น้องชายต่างบิดาของเจ้าชายรณฤทธิ์ เกิดในปี พ.ศ.2495 ตอนที่สูญเสียทั้งบิดามารดานั้นเขายังอยู่ในช่วงเป็นวัยรุ่น เนลีวอลได้รับการศึกษาในฝรั่งเศสเช่นเดียวกับเจ้ารณฤทธิ์ และได้เข้าร่วมในการต่อต้านการปกครองของระบอบเฮง สัมริน ที่สนับสนุนเวียดนาม หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ.2541 เนลีวอลได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมเรียบ เขาเล่าให้ Harish C. Mehta ผู้เขียนหนังสือ "Warrior Prince" ฟังว่าในช่วงเวลานั้น "เสียมเรียบของเรากำลังคืนกลับมาสู่ความมีชีวิตชีวา มีนักท่องเที่ยวหลายพันคนแห่กันมาดูซากปรักหักพังของนครวัด" เมื่อเติบโตและหันไปมองย้อนอดีตความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและมารดา เจ้ารณฤทธิ์พบว่ามีเหตุผลมากมายที่กษัตริย์สีหนุจะไม่สนใจที่เหนี่ยวรั้งมารดาของท่านไว้ในฐานะพระสนมของพระเจ้าแผ่นดินอีกต่อไป "โอ! ถ้าคุณมีภรรยา 6 คนนี่ มีเหตุผลมากพอทีเดียว...มีคนบอกกับข้าพเจ้าว่าพ่อมีเหตุผลมากพอทีเดียว และท่านมีภรรยาแค่ 6 คน เพราะปู่ของข้าพเจ้ามีสนมตั้ง 360 คน มีเวลาว่างแค่ 5 วันในหนึ่งปี" พระคลังหลวงตั้งงบประมาณไว้สำหรับค่าใช้จ่ายและการเลี้ยงดูชายาและสนมรวมทั้งโอรสและธิดาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นภาระที่หนักมากของพระคลัง กษัตริย์สีหนุมีชายาและสนม 6 คน และมีโอรสธิดารวม 14 คน ชายาที่ให้กำเนิดโอรสและธิดากับกษัตริย์สีหนุมากที่สุด คือ เจ้าหญิงพงสานมุนี ผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าน้าของพระองค์ด้วย ทั้งสองสมรสกันปี 2485 และหย่าขาดจากกันปี 2494 มีโอรสธิดาด้วยกันรวม 7 คน เจ้าหญิงพงสานมุนี สิ้นในปี พ.ศ.2517 พระญาติอีกสองท่านที่กลายมาเป็นชายาของกษัตริย์สีหนุ คือ เจ้าหญิงมุนีเกสร (Princess Monikessan) และเจ้าหญิงถาเวท นรลักษณ์ (Norodom Thavet Norleak) เจ้าหญิงนรลักษณ์ได้หย่ากับเจ้านโรดม วกรีวรรณ (Norodom Vakrivan) ในปี พ.ศ.2488 และเสกสมรสกับกษัตริย์สีหนุในปีต่อมา ความทรงจำในวัยเด็กของเจ้ารณฤทธิ์ต่อบรรดาชายาและพระสนมของพระบิดา คือ "ต่างคนต่างอยู่ ไม่สมาคมกัน ข้าพเจ้าไม่เคยพบเจ้าหญิงมุนีเกสร เพราะท่านสิ้นตอนที่นรธีโป (Naradipo) เกิดเมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้ารู้สึกใกล้ชิดกับภรรยาของพ่อทุกคน ซึ่งทุกคนเมตตาข้าพเจ้ามาก เป็นความโชคดีของข้าพเจ้า" ส่วนความสัมพันธ์ในระหว่างพี่น้องร่วมพระบิดา คือ เจ้าชายนรทีโป เจ้าชายจักรพงศ์ (Prince Chakkrapong) เจ้าหญิงอรุณรัศมี (Princess Arunrasmey) และเจ้าหญิงสุชาตา (Princess Suchata) นั้น เจ้าชายรณฤทธิ์เล่าว่า "ตอนเป็นเด็ก พวกเราพบกันบ่อย ข้าพเจ้าสนิทกับอรุณรัศมีและสุชาตามาก เราโตมาด้วยกัน เพราะตอนที่พ่อพาหม่อมมุนีวรรณ (Princess Mam Manivann) ซึ่งเป็นมารดาของทั้งสองคนมาจากลาวนั้น พ่อเอาหม่อมมาฝากไว้ในความดูแลของเจ้าย่า" ในปี พ.ศ.2544 ที่กษัตริย์สีหนุและพระราชินีโมนิกประทับอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ชายาอีกท่าน คือ เจ้าหญิงถาเวท นรลักษณ์ อยู่ที่ฝรั่งเศสด้วย แต่ท่านมีปัญหาด้านสุขภาพ จึงมีเพียงราชินีโมนิกที่อยู่เคียงข้างกษัตริย์สีหนุตลอดเวลา เจ้าชายรณฤทธิ์เล่าว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนนั้นราบรื่น เจ้าหญิงนรลักษณ์ ยังคงติดต่อกับสมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ ทั้งสองเขียนจดหมายถึงกันตลอดช่วง 30 ปีนับตั้งแต่กษัตริย์สีหนุถูกยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.2517 ข้าราชบริพารใกล้ชิดของกษัตริย์สีหนุ เล่าว่า "เจ้าหญิงนรลักษณ์ส่งของขวัญวันเกิดและในวาระพิเศษอื่นๆ เช่น เทศกาลปีใหม่ของกัมพูชา มาถวายสมเด็จนโรดม สีหนุ อยู่เสมอ และพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงส่งของขวัญวันเกิดและเงินไปให้อดีตชายาอยู่เสมอเช่นกัน" ส่วนราชินีโมนิกนั้นเปิดพระทัยกว้างและไม่เคยขัดขวางการติดต่อทางจดหมายระหว่างกษัตริย์สีหนุและอดีตชายา บางครั้งพระนางยังได้เขียนข้อความต่อท้ายและร่วมลงพระนามในจดหมายที่สมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ เขียนถึงเจ้าหญิงนรลักษณ์ด้วย ราชินีโมนิก เกิดในปี พ.ศ.2479 เป็นสาวงามที่โดดเด่นอยู่ในสังคมพนมเปญด้วยความงามจากสายเลือดผสมอิตาเลี่ยน-ฝรั่งเศส (Franco-Italian) ของบิดา Francois Izzi และเลือดผสมเขมร-เวียดนาม ของมารดา ปอมมี เป็ง (Pomme Peang) ความงามเจิดจรัสจับตาในวัยสาวของพระนางโมนิกทำให้กษัตริย์แห่งกัมพูชาคลั่งไคล้หลงใหลนับแต่แรกพบ บรรยากาศในพระราชวังนั้นเต็มไปด้วยพิธีรีตอง การเข้าเฝ้าของบรรดาโอรสธิดาจะต้องได้รับพระราชทานอนุญาตจากกษัตริย์สีหนุก่อน พระบิดามักโปรดให้โอรสธิดาร่วมเสวยพระกายาหารกลางวันและมื้อค่ำ และมักจะทรงเล่นแซกโซโฟนให้ลูกๆ ฟัง สมเด็จนโรดม สีหนุไม่โปรดอาหารเขมร พระองค์ทรงโปรดอาหารฝรั่งเศส และอาหารบนโต๊ะเสวยจะเป็นอาหารฝรั่งเศสทั้งหมด เจ้ารณฤทธิ์ก็โปรดอาหารฝรั่งเศสเช่นเดียวกับพระบิดา เจ้ารณฤทธิ์ไปที่พระราชวังบ่อย แต่ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าพระบิดา ท่านไปเยี่ยมสมเด็จปู่และสมเด็จย่า คือ สมเด็จเจ้าสุรมฤต และพระนางกุสุมะ นารีรัตน์ ทั้งสองพระองค์โปรดปรานรักใคร่เจ้าชายรณฤทธิ์และเจ้าหญิงบุปผาเทวีมาก นอกจากสืบสายเลือดศิลปินจากมารดาแล้ว เจ้าหญิงบุปผาเทวียังได้รับอิทธิพลจากสมเด็จย่าที่อนุรักษ์นาฏศิลป์เขมรราชสำนักไว้ กษัตริย์สีหนุเป็นผู้ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่วรวมทั้งคลั่งใคล้ความเป็นฝรั่งเศส ซึ่งได้ตกทอดมาถึงลูกๆด้วย ความทรงจำในวัยเด็กของเจ้ารณฤทธิ์ที่มีต่อความสัมพันธ์กับพ่อ คือ ลูกๆ ของกษัตริย์สีหนุถูกเข้มงวดในเรื่องการศึกษา และไม่ค่อยมีโอกาสได้ตามเสด็จพระบิดา "พ่อไม่เคยพาพวกเราออกไปทานอาหารนอกบ้านเหมือนพ่อแม่คนอื่น" ครั้งหนึ่ง เจ้ารณฤทธิ์มีโอกาสตามเสด็จไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศสไตล์ฝรั่งเศส ริมทะเล Kep และเกาะรอบๆ ที่อยู่ในภาคใต้ของกัมพูชา "พวกเราไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันเป็นส่วนตัวแบบพ่อลูก ข้าพเจ้าจะติดตามไปพร้อมกับหม่อมมุนีวรรณ หรือไม่ก็พระนางโมนิก กับพ่อนี่ พวกเราไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนแสดงความเห็นได้เลย พ่อพูดมากและคุ้นเคยกับการแสดงความเห็นของตัวเองให้ผู้ติดตามฟัง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเบื่อกับประเด็นสนทนาของพ่อ เพราะข้าพเจ้าสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว" แต่สิ่งที่ร้าวรานอยู่ในความทรงจำของเจ้ารณฤทธิ์นั้น คือ พระบิดาไม่เคยพูดจาสื่อสารตรงกับท่านแบบพ่อกับลูกชายเลย "พ่อจะพูดกับลูกทั้งหมดพร้อมๆ กัน พ่อรักการเมืองมาก พระองค์เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของกัมพูชา แต่พ่อไม่ต้องการให้ลูกๆ เข้ามาสู่การเมือง จึงมักจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องการเมืองกับพวกเรา" เจ้ารณฤทธิ์ถูกส่งเข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนประถมศึกษาของกัมพูชา ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับบ้านบนถนนสุธารถ ท่านได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ไม่มีการจัดเตรียมห้องเรียนพิเศษ หรือครูพิเศษสำหรับท่านเป็นการเฉพาะ ต่อมา ท่านถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนนโรดม ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมศึกษาที่มีการเรียนการสอนระบบฝรั่งเศส และย้ายไปเรียนที่ Lycee Descartes เจ้ารณฤทธิ์ทำคะแนนได้ดีในวิชาวรรณคดี ประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ แต่ได้คะแนนต่ำมากในวิชาคณิตศาสตร์และเคมี ท่านเป็นนักกีฬาเช่นเดียวกับพระบิดา เจ้ารณฤทธิ์ชอบเล่นฟุตบอลและบาสเกตบอล เจ้าชายรณฤทธิ์มีชันษาเพียง 11 ปีเมื่อพระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุทรงสละราชสมบัติครั้งแรกในปี 2498 เจ้าชายจำได้ว่าวันนั้นน้ำตาท่วมวัง "สิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้คือทั้งเจ้าปู่และเจ้าย่าร้องไห้อย่างหนัก ได้ยินเสียงร่ำไห้ทุกที่ ไม่มีใครอยากให้พ่อสละราชย์" แต่กษัตริย์สีหนุตัดสินพระทัยแน่วแน่ที่จะลงไปเล่นการเมืองกับสามัญชน ทรงยกราชบังลังก์กัมพูชาให้กับพระบิดาของพระองค์ คือ เจ้าชายสุรมฤต ส่วนพระองค์ที่กลายเป็นอดีตกษัตริย์สีหนุเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ชื่อ พรรคสังคมราษฎรนิยม (Sangkum Reastr Niyum) ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา และทรงชนะเลือกตั้งในปีนั้นเอง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลปล่อยตัว 2 ผู้เข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 คืนสู่สังคม Posted: 29 Oct 2012 07:51 AM PDT แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรให้กับผู้สำเร็จการฝึกอบรมแทนการฟ้อง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 21 ตามนโยบายการเมืองนำการทหารแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศให้เป็นพื้นที่ใช้กฎหมายทางเลือกด้วยการอบรมแทนการฟ้องคดี 29 ต.ค. 2555 เวลา 13.30 น. พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์/โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ที่ศาลจังหวัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนาทวี ได้มีคำพิพากษาระงับการฟ้องคดีและปล่อยตัว 2 ผู้เข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 ซึ่งได้ดำเนินการอบรมแทนการฟ้องตามหลักสูตรสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่27 เมษายน 2555 สิ้นสุดการฝึกอบรม เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ที่ผ่าน ทั้งนี้ศาลนาทวีอ่านคำสั่งปล่อยตัวผู้เข้ารับการอบรมแทนการฟ้อง ในวันที่ 29 ตุลาคม 2555 จำนวน 2 รายคือ นายรอยาลี บือราเฮง อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 244/2554 ลง 28 กันยายน 2554 สถานีตำรวจภูธรเทพา คดีร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน พฤติกรรมเมื่อ 25 สิงหาคม 2554 เวลา 17.45 น. ร่วมกับพวกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองหมู่บ้านเกาะแลหนัง ตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ทำให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นาย คือ อาสาสมัครทหารพราน บาราเหม แฉะ และอาสาสมัครทหารพรานมะนาวี อาหะมะ และผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ นายนูรดีน แม ผู้ต้องหารายที่ 2 คือ นายยาซะ เจะหมะ อายุ ๒๕ ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ 611/2551 ลง 9 กรกฎาคม 2551 สถานีตำรวจภูธรสะบ้าย้อย ร่วมกันก่อการร้าย พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พฤติกรรม เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2547 เวลาประมาณ 19.30 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงนายสุชาติ อุดม อายุ 45 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบริเวณริมถนนสายอำเภอสะบ้าย้อย-คูหา หมู่ 1 ตำบลสะบ้าย้อย อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายการเมืองนำการทหารเข้ามาในการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้ประกาศให้ อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ใช้กฎหมายทางเลือกที่นำมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการอบรมแทนการฟ้องคดี เป็นบทบัญญัติที่มุ่งแก้ไขความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้โอกาสผู้ต้องหาคดีความมั่นคงเข้ารับการอบรมตามคำสั่งศาล แทนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ แต่โอกาสนี้จะมีให้ก็แต่ผู้ที่ได้กระทำความผิดเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยหลงผิด และต้องได้ความว่า ผู้กระทำผิดเหล่านี้ ต้องการกลับใจและเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บทบัญญัติมาตรา 21 เป็นมิติใหม่ในการบริหารงานยุติธรรม ซึ่งเป็นการอำนวยความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นทั้งกับผู้ต้องหาและผู้ที่ได้รับผลกระทบ สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือ บทบัญญัตินี้ให้ผู้ต้องหาเข้ารับการอบรมแทนการฟ้อง ก็ต่อเมื่อผู้ต้องหายินยอมเท่านั้น ไม่มีบุคคลใดสามารถใช้อำนาจบังคับได้โดยเด็ดขาด มาตรา ๒๑ จึงเป็นกฎหมายทางเลือกเพื่อมุ่งสู่ความสมานฉันท์อย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายสานใจสู่สันติ ของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ต้องการให้ทุกคนกลับสู่สังคม กลับสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องหลบหนีอีกต่อไป ในการนี้ พลโท อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรให้กับผู้สำเร็จการฝึกอบรมแทนการฟ้อง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาตรา 21 โดยมี พันเอก ชัชภณ สว่างโชติ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า รายงานการฝึกอบรมหลักสูตรสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง และเรียนเชิญ นางอารี เตชะวันโต ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดนราธิวาส มอบวุฒิบัตรการฝึกอบรมวิชาชีพช่างถ่ายภาพ,ช่างตัดผม และช่างซ่อมคอมพิวเตอร์แก่ผู้สำเร็จการอบรม และได้เรียนเชิญประธานในพิธี มอบวุฒิบัตรและอุปกรณ์การประกอบอาชีพ แก่ผู้สำเร็จการอบรมหลักสูตรสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง และให้โอวาทแก่ผู้สำเร็จการอบรมพร้อมทักทายญาติผู้สำเร็จในครั้งนี้ด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
งานวิจัยเผยคนงานอังกฤษเกือบ 5 ล้าน รายได้ต่ำกว่าค่าครองชีพ Posted: 29 Oct 2012 07:44 AM PDT เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าว The Independent ของอังกฤษ เปิดเผยผลสำรวจว่ รายงานผลสำรวจจากบริษัทบัญชี KPMG เปิดเผยว่า คนงานเครือสหราชอาณาจักรเกือบ 5 ล้านคน ได้รับค่าแรงขั้นต่ำเพียง 8.30 ปอนด์ (ราว 410 บาท) ต่อชั่วโมงในลอนดอน และ 7.30 ปอนด์ (ราว 360 บาท) ต่อชั่วโมงนอกเมืองหลวง ทั้งคนทำงานดูแลผู้สูงอายุ พนักงานบาร์ บริกร และพนักงานขายของ ต่างก็ได้รับผลกระทบหนักที่สุ การวิจัยในครั้งนี้เผยแพร่ก่ มีลูกจ้างจำนวนหนึ่งที่ยอมรั ผลการวิจัยครั้งนี้เปิดเผยอีกว่ แต่ในรายงานผลการวิจัยก็บอกว่ วัดตามอัตราส่วนประชากรแล้ว ไอร์แลนด์เหนือมีอั กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่ำกว่ ฟรานเซส โอ'เกรดดี้ เลขาธิการสภาองค์การลูกจ้ ฟรานเซสกล่าวเสริมว่า "ค่าแรงที่สามารถดำรงชีพได้ ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย และหมายความว่าคนงานที่ได้รับค่ "ในตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่นายจ้ รีส มัวร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิลีฟวิ่ มาเรียน ฟอลลอน หัวหน้าฝ่ายกิจการบรรษัทของ KPMG บอกว่า มันมีเหตุผลที่ดีทางธุรกิ ที่มา Scandal of 5m on less than the living wage, The Independent, 28-10-2012 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชน สู่ความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ Posted: 29 Oct 2012 07:09 AM PDT เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ในโอกาสครบรอบ 10 ปี การจัดรัฐสวัสดิการด้านสุขภาพระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เครือข่ายคนรักหลักประกันสุขภาพ ออกคำประกาศและข้อเสนอนโยบาย 1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชนสู่ความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
0 0 0 คำประกาศและข้อเสนอนโยบาย1 ทศวรรษ การมีส่วนร่วมของประชาชน |
จอน อึ๊งภากรณ์: หลักประกันสุขภาพของไทย จากอดีดสู่อนาคต Posted: 29 Oct 2012 06:49 AM PDT ระบบหลักประกันสุขภาพของไทย หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์และคณะ เป็นผู้คิดริเริ่มศึกษาวิจัย และแสดงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน 11 เครือข่าย เป็นผู้ออกแบบระบบในหลักการสำคัญ โดยการร่างเป็นกฎหมายประชาชนที่มีเนื้อหานวัตกรรม (รวมทั้งมาตรา 41 ที่เลื่องลือ) และได้ขับเคลื่อนรณรงค์ทั่วประเทศจนได้ลายเซ็นสนับสนุนพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านกว่า 9 หมื่นคน พรรคไทยรักไทยโดยการผลักดันของหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และความเห็นชอบของคุณทักษิณ ชินวัตร ได้กำหนดไว้เป็นนโยบายของพรรคภายใต้คำขวัญ "30 บาทรักษาทุกโรค" และได้นำเอาร่างกฎหมายของภาคประชาชนไปดัดแปลงบางส่วน แล้วผลักดันเป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลผ่านรัฐสภาจนคลอดเป็นระบบหลักประกันสุขภาพของไทยเมื่อสิบปีที่แล้วพอดี สิบปีที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนก้าวหน้าไปกว่าระบบการรักษาพยาบาลของประกันสังคม และมีประสิทธิภาพมากกว่าสวัสดิการรักษา พยาบาลของข้าราชการ ในปัจจุบันสิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติครอบคลุมถึงการรักษาโรคที่รักษาแพงเช่นโรคไตวายเรื้อรัง โรคเอดส์ และมะเร็งต่างๆ ซึ่งมีผลช่วยชีวิตคนจำนวนนับแสนที่สมัยก่อนอาจต้องเสียชีวิตไปเพราะไม่มีเงินค่ารักษา ระบบหลักประกันสุขภาพยังได้ช่วยครอบครัวรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจำนวนมาก ให้สามารถหลีกเลี่ยงการล้มละลายหรือการสูญเสียที่ดินหรือทรัพย์สินจำนวนมาก เพื่อรักษาสมาชิกครอบครัวที่เป็นโรคเรื้อรังรักษาแพง ทั้งยังได้ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนได้ตรวจสุขภาพและอาการที่ไม่ปกติต่างๆตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อรักษาให้ทันท่วงที ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยเป็นการยืนยันหลักการว่า การรักษาสุขภาพเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่บริการที่จะจำหน่ายให้ตามจำนวนเงินในกระเป๋า มาตรฐานและคุณภาพการรักษาย่อมเท่าเทียมกันทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน และมุ่งสู่การรักษาให้สามารถคงคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกคนจะได้รับการรักษาสุขภาพตามความจำเป็น โดยทุกคนได้จ่ายค่าประกันสุขภาพตามกำลังความสามารถของตนในรูปแบบของภาษี เมื่อเครือข่ายภาคประชาชนได้ผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพของไทยให้คลอดจนสำเร็จ ในส่วน การเข้าไปมีส่วนร่วมของภาคประชาชนก็ได้มีการพัฒนามาโดยตลอด ตั้งแต่การเลือกผู้แทนเข้าไปมีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข การจัดตั้งศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนและหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระทั่วประเทศ ตลอดจนการรวมตัวกันเป็นกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพในทุกภูมิภาคเพื่อพิทักษ์รักษาระบบไม่ให้ถูกกลุ่มผลประโยชน์ด้านการขายบริการทางการแพทย์มาทำลาย เพื่อเป็นการสาธิตบทบาทของภาคประชาชนในพื้นที่ ผมขอคัดข้อความจากรายงานทางอีเมล์ที่ส่งในเครือข่ายภาคประชาชนเมื่อไม่นานมานี้มาให้อ่าน จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจน กรณีนี้เป็นเรื่องหมอไล่คนไข้กลับบ้าน คือไปรักษาด้วยอาการเบาหวานขึ้นสูง ไปโรงพยาบาลติดกัน 3 ครั้งด้วยอาการเดิมและหนักขึ้น โดยรพ.ไม่รับเป็นผู้ป่วยใน แต่อาการกลับแย่ลง จนกระทั่งครั้งที่ 4 อาการหนักขึ้น เมื่อพาไปถึงโรงพยาบาลแพทย์ทำการช่วยเหลือและพบว่าเสียชีวิตแล้ว ศูนย์ฯ(ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน) รับเรื่องแล้วรีบลงไปพื้นที่ "เห็นแล้วก็สังเวชมากตอนเอาศพไปไว้ที่วัดลูก 8 เดือนพยายามคลานไปเปิดนมกิน เขาจนมาก เจ้าหน้าที่ศูนย์ต้องร่วมลงขันเพื่อช่วยเหลือ แล้วก็ช่วยทำหนังสือร้องไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) แต่เนื่องจากกรณีนี้ไม่ได้ตายที่โรงพยาบาลเพราะไปไม่ถึง(ตายกลางทาง) เจ้าหน้าที่สสจ.และอนุกรรมการมาตรา41 ประสานเสียงยืนยันว่าจ่ายไม่ได้ (หมายถึงเงินช่วยเหลือเบื้องต้นที่ให้แก่ผู้รับบริการ ในกรณีที่ผู้รับบริการได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล) เพราะไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาล มีเราคนเดียวในฐานะอนุกรรมการ ม.41 ยืนยันว่าจ่ายได้ แต่อนุกรรมการ ม.41 จังหวัดไม่ยอม ศูนย์ฯเลยอุทรณ์จนได้รับเงินเยียวยามาสองแสน แต่ศูนย์ก็ยังไม่หมดภาระ เพราะผัวมีเมียใหม่แล้ว แม่คนตายก็ยังอยู่ ย่าที่เลี้ยงหลานอีก งานนี้ศูนย์เลยใช้วิธีเชิญทั้งผัว แม่ตัว แม่ผัวของคนตายมาคุยกัน แล้วก็ตั้งคำถามว่าใครจะเป็นผู้เลี้ยงเด็กทั้งสองคน ปรากฎว่าผัวบอกเลี้ยงไม่ไหว แม่ตัวก็เลี้ยงไม่ไหว แม่ผัวเป็นผู้รับเลี้ยง ก็เลยให้ทั้งสองคนเซ็นเอกสารสละสิทธิ์ให้แม่ผัวเซ็นรับไปดูแลหลานและให้เงินไปทั้งหมด 2 แสนบาท นอกจากนั้นศูนย์ยังประสานงานไปที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.)ให้เข้าไปช่วยเหลืออีกทา เรื่องค่านมเด็ก ..." แม้ว่าการต่อสู้จนได้มาซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและผลักดันพัฒนาสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสุขภาพจนสำเร็จหลายส่วน ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่น่าภูมิใจสำหรับภาคประชาชน แต่ยังมีภารกิจอีกมากมายที่จะต้องบรรลุให้ได้ต่อไปข้างหน้า เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพได้ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทั่วถึงมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพที่พึงปรารถนา ในความเห็นของผม เรื่องสำคัญๆ ที่ยังต้องต่อสู้ให้บรรลุต่อไป ได้แก่ 1. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องทำให้ครอบคลุมประชาชนผู้อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกส่วน รวมทั้งแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่ครอบคลุมเฉพาะผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย นี่เป็นหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เป็นความประสงค์แต่แรกของภาคประชาชน และจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวม (เช่นช่วยในการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ) 2. ประชาชนที่เคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยและถิ่นที่ทำงานจำนวนนับล้านคนจะต้องมีวิธีการย้ายหน่วยบริการรักษาพยาบาลปฐมภูมิได้อย่างสะดวกรวดเร็วและโดยกึ่งอัตโนมัติ เช่นโดยการแจ้งย้ายถิ่นทางสายด่วน 1330 หรือเมื่อมารับบริการครั้งแรกในถิ่นใหม่ ปัจจุบันยังมีคนนับแสนหรือนับล้านเข้าไม่ถึงบริการเพราะอยู่ในต่างถิ่นจากหน่วยบริการของตน นี่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงบริการ 3. ระบธุรกิจรักษาพยาบาลของเอกชนได้แย่งทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ทั้งแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรส่วนอื่นๆจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การแก้ปัญหานี้ทำได้หลายทาง เช่นการเพิ่มค่าตอบแทนบุคคลากรในระบบบริการของรัฐ การแก้กฎหมายเกี่ยวกับโรงพยาบาลเอกชนเพื่อกำหนดให้ต้องรับคนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพส่วนหนึ่งทุกโรงพยาบาล (เช่นอย่างน้อย25% ของจำนวนคนไข้ทั้งหมด) และสำหรับแพทย์พยาบาลและบุคคลากรส่วนอื่นๆที่เรียนจบโดยทุนการศึกษาของรัฐ ใบประกอบโรคศิลป์ในระยะ 10-15 ปีแรกน่าจะระบุอนุญาตให้ประกอบโรคศิลป์เฉพาะในสถานพยาบาลที่เป็นของรัฐ ขององค์กรปกครองท้องถิ่น หรือของชุมชน 4. การบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพจะต้องสามารถลดระยะเวลาที่ประชาชนต้องรอรับบริการให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ใช่ใช้เวลากว่าครึ่งวันรอพบแพทย์แล้วรอรับยาต่อ ส่วนการรอการตรวจด้วยเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ และการผ่าตัดใหญ่ จะต้องไม่นานเกินควร 5. ทัศนคติและท่าทีของบุคคลากรต่อคนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพจะต้องพัฒนาไม่ให้ต่างกับในระบบการรักษาพยาบาลเอกชน 6. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรต้องส่งเสริมและพัฒนาหน่วยปฐมภูมิที่ก่อตั้งโดยชุมชน ที่ชุมชนร่วมกันจ้างบุคคลากรและพัฒนาบริการ เพื่อให้ชุมชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง 7. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรจะต้องขยายไปถึงผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม (โดยงดเก็บเบี้ยประกันสังคมในส่วนของการรักษาพยาบาล เพราะค่าประกันสุขภาพได้จ่ายเป็นภาษีอยู่แล้ว) และควรจะต้องเข้าไปทดแทนระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ โดยสรุปแล้วเราต้องช่วยกันพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้เป็นหลักประกันด้านการรักษาสุขภาพของทุกคน ที่ทุกคนพอใจที่จะเป็นเจ้าของ และที่ทุกคนพอใจที่จะใช้บริการ ไม่ใช่ระบบรักษาสุขภาพที่ผู้ใช้บริการโดยส่วนใหญ่ยังคงได้แก่ครอบครัวที่มีรายได้น้อยเท่านั้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือแพนเอเชียฟุตแวร์ เลิกจ้างอีกแห่ง คราวนี้โรงงานระยอง Posted: 29 Oct 2012 06:01 AM PDT คนงาน 'บ.เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์' ในเครือบริษัทแพนเอเชียฟุตแวร์ จ.ระยอง ประท้วง ชี้ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประกาศปิดกิจการโดยไม่แจ้งล่วงหน้าและประกาศจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างพนักงาน เพียงแค่ 30% ซ้ำรอยเป็นแห่งที่ 2 หลังจากที่เลิกจ้างคนงานที่ปราจีนบุรี
0 0 0
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รายงาน: ประสบการณ์จาก 3 รพ.นำร่อง มาตรการใช้ยาสมเหตุผล Posted: 29 Oct 2012 05:30 AM PDT
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มูลค่าการประมูลคลื่น 3G ของไทยเหมาะสมแล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ? Posted: 29 Oct 2012 02:15 AM PDT
เอกสารอ้างอิง: เอกสารอ้างอิงทั้งหมดสามารถดูได้จากบทความฉบับเต็มตีพิมพ์ใน www.thaipublica.org ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'มิเชล มาส' นักข่าวดัตช์ที่ถูกยิง 19 พ.ค. เข้ามอบหลักฐานดีเอสไอ Posted: 29 Oct 2012 12:23 AM PDT หลักฐานประกอบด้วยลูกกระสุนปืน M16 รูปภาพ และคลิปเสียงที่ 'มิเชล มาส' อัดไว้ในระหว่างเกิดเหตุ เตรียมเข้าให้ปากคำสน. พญาไทประกอบคดีการเสียชีวิตที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐอีก 3 คดี 29 ต.ค. 55 - ราว 10.30 น. มิเชล มาส นักข่าวชาวดัทช์ซึ่งถูกยิงบาดเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ได้เข้าพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อมอบกระสุนปืนและหลักฐานอื่นๆ ให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ. นนทบุรี โดยมี พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองหัวหน้าพนง.สอบสวนกรณีการสลายการชุมนุมเดือนเม.ย. -พ.ค. 53 เป็นผู้รับมอบหลักฐาน หลักฐานที่มาส นำเข้ามอบให้แก่เจ้าหน้าที่สอบสวน ได้แก่ กระสุนปืนที่ยิงเข้าสู่ร่างกายของเขา ซึ่งภายหลังแพทย์ได้ผ่าตัดนำออกมา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอระบุว่าเป็นกระสุนหัวขนาด .223 หรือ 5.56 มม. สามารถใช้กับปืนประเภท M16 นอกจากนี้ ยังมีวีซีดีแสดงการผ่าตัดนำกระสุนจากโรงพยาบาลสมิติเวช ภาพเอ็กซ์เรย์ปอดพร้อมกระสุน และยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ ประกอบด้วยภาพถ่าย ข้อความทางทวิตเตอร์ และเสียงการรายงานวิทยุของสถานี NOS ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมาส รายงานในขณะที่ถูกยิง โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา มิเชล มาส ได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อให้ปากคำกับดีเอสไอ ในฐานะพยานปากคำในคดีการเสียชีวิตของช่างภาพชาวอิตาลี ฟาบิโอ โปเลนกี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณแยกราชดำริเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ในวันพรุ่งนี้ มีรายงานว่า มาสจะเข้าให้ปากคำกับสำนักงานตำรวจพญาไท ในฐานะพยานประกอบคดีการเสียชีวิตของนายนรินทร์ ศรีชมพู นายถวิล คำมูล และชายไทยไม่ทราบชื่อ ซึ่งเสียชีวิตในระหว่างการสลายการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชดำริเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ใกล้กับจุดที่นายมาสถูกยิง โดยทั้งสามเป็นคดีที่ดีเอสไอส่งสำนวนสรุปว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เกาหลีเหนือผลิต "แท็บเล็ต" ใช้เองหลายรุ่น Posted: 28 Oct 2012 03:00 PM PDT เว็บรีวิวเทคโนโลยีเผย เกาหลีเหนือพัฒนา "แท็บเล็ต" ใช้เองหลายรุ่นโดยใช้ระบบ "แอนดรอยด์" และมีการนำมาแสดงในงานแสดงสินค้าในเปียงยาง อย่างไรก็ตามแอพลิเคชั่นในเครื่องเน้นรองรับการใช้งานแบบ "ออฟไลน์" เนื่องจากการข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในเกาหลีเหนือ เปิดตัว "ซัมจิยอน" และแท็บเล็ต "นิรนาม" อีกรุ่นในงานแสดงสินค้าที่เปียงยาง บล็อก "Northkoreatech" ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ ของเกาหลีเหนือ เผยแพร่บทรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่าบริษัทของเกาหลีเหนือแห่งหนึ่งได้พัฒนาคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตโดยใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ทั้งนี้จากข้อมูลในงานแสดงสินค้านานาชาติเปียงยาง ประจำฤดูใบไม้ร่วง ครั้งที่ 8 โดยภาพและข้อมูลจากสำนักข่าว AP และสถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือ KCTV ระบุว่าแท็บเล็ตดังกล่าวผลิตโดยบริษัท "โชซอนคอมพิวเตอร์" ซึ่งไม่เคยเป็นข่าวมาก่อนเลยทั้งในสื่อตะวันตกและสื่อของเกาหลีเอง คลิปจากสถานีโทรทัศน์กลางเกาหลี (KCTV) เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา รายงานข่าวแท็บเล็ตที่พัฒนาโดยบริษัท "โชซอนคอมพิวเตอร์" และมีการนำมาจัดแสดงในงานแสดงสินค้านานาชาติเปียงยาง ประจำฤดูใบไม้ร่วง ครั้งที่ 8 (ที่มา: youtube.com/Martyn Williams) ทั้งนี้ตัวแทนของกูเกิลกล่าวเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ว่าภาพแท็บเล็ตที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ของเกาหลีใต้บางฉบับ จากที่สำนักงานของกูเกิลในโซลให้ความสนใจดังกล่าวนั้น เป็นไปได้ที่บริษัทเกาหลีเหนือจะใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอย์อย่างถูกกฎหมาย เพราะมันเป็นซอฟแวร์แบบโอเพนซอร์ส ทั้งนี้บริษัทของเกาหลีเหนือดังกล่าวจะละเมิดสิทธิของกูเกิลต่อเมื่อใช้แอพลิเคชั่นและบริการที่กูเกิลเป็นเจ้าของอย่างเช่น จีเมล์ กูเกิลเพลย์ ในระบบแท็บเล็ตดังกล่าว แท็บเล็ตที่เป็นข่าวนี้ใช้ชื่อรุ่นว่า "ซัมจิยอน" (Samjiyon) โดยระบุตรงกล่องผลิตภัณฑ์ที่วางที่ซุ้มแสดงสินค้า และจากภาพในคลิปของสถานีโทรทัศน์ KCTV ที่รายงานข่าวแท็บเล็ต "ซัมจิยอน" ดังกล่าวดูเหมือนว่าหน้าจอของแท็บเล็ตจะไม่มีไอคอนสำหรับแอพลิเคชั่นของอีเมล์ เว็บ หรือแอพลิเคชั่นที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในเกาหลีเหนือ และดูเหมือนจะมีการแทนที่ด้วยแอพลิเคชั่นแบบออพไลน์มากกว่าเช่น แอพลิเคชั่นสำหรับอ่านหนังสือดิจิตอล เป็นต้น และ "ซัมจิยอน" ไม่ใช่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์รุ่นเดียวที่จัดแสดงในงานแสดงสินค้านานาชาติดังกล่าว แต่จากคลิปของสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือ ยังเผยให้เห็นภาพ เจ้าหน้าที่ประจำซุ้มของศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเปียงยาง (Pyongyang Informatics Center) เองก็กำลังสาธิตการใช้อุปกรณ์แท็บเล็ตพีซีรุ่นหนึ่ง
คลิปของสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา รายงานข่าวงานแสดงสินค้านานาชาติเปียงยาง ประจำฤดูใบไม้ร่วง ครั้งที่ 8 โดยตั้งแต่วินาทีที่ 27 - 36 เป็นภาพเจ้าหน้าที่ประจำซุ้ม "Pyongyang Informatics Center" กำลังสาธิตการใช้แท็บเล็ตพีซี ห้องแล็บและโรงงานผลิตแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งในเปียงยาง (ที่มา: KCTV) แท็บเล็ตหน้าจอ 7 นิ้วรุ่น "อาชิม" หรือ "ยามเช้า" (ที่มาของภาพ: KCNA)
สื่อเกาหลีเหนือระบุแท็บเล็ตรุ่น "อาชิม" เป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน โดยที่ "ซัมจิยอน" และแท็บเล็ตของ "Pyongyang Informatics Center" ไม่ใช่แท็บเล็ตรุ่นแรกๆ ที่พัฒนาโดยบริษัทในเกาหลีเหนือ ขณะที่ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือระบุว่า "อาชิม" (Achim) หรือ "ยามเช้า" แท็บเล็ตเพื่อการศึกษาที่ผลิตโดย "บริษัทพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์" ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ก็เป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน โดยแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว หนัก 300 กรัม ระบบควบคุมและแอพลิเคชั่นสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาเกาหลี อังกฤษ จีน และรัสเซีย สามารถใช้งานได้นาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ผู้ใช้สามารถที่จะใช้งานโปรแกรมการเรียนการสอน การอ้างอิง ดิกชั่นนารี และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากแท็บเล็ตหลากหลายวัตถุประสงค์นี้ รี ยอง ซุก ครูประจำโรงเรียนมัธยมเปียงยางที่ 1 กล่าวกับสำนักข่าวกลางเกาหลีว่า แท็บเล็ตนี้มีประโยชน์ในการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาสมรรถนะทางปัญญาของนักเรียน
ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
Samjiyon Android tablet debuts at Pyongyang trade fair, Northkoreatech, 28 Sept 2012 PAD 'Achim' Popular among Students, KCNA, 25 July 2012 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น