โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

นิธินันท์ ยอแสงรัตน์

Posted: 19 Oct 2012 09:43 AM PDT

"ความจำข้าพเจ้ายังไม่เสื่อม และความจริงก็ควรได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ แต่โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมกันและกัน"

19 ต.ค.55 ผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์เดือนตุลา, สเตตัสแชร์ข่าว "ศาลสั่ง "พลโท อุทาร สนิทวงศ์ฯ" เป็นคนไร้ความสามารถ สมองเสื่อม"

ยิ่งลักษณ์ร่วมพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ยันสัมพันธ์ไม่กระทบกระเทือน

Posted: 19 Oct 2012 09:00 AM PDT

ชาวเน็ตกัมพูชาพอใจนายกไทยร่วมพิธีพระบรมศพ ขณะยิ่งลักษณ์เผยยืนยันกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วยความจริงใจในการแก้ไขสถานการณ์ ระบุฝ่ายกัมพูชาเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ต้องให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศ และประเด็นดังกล่าวไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา

เดลินิวส์รายงานว่า วันนี้ (19 ต.ค.) ที่ท่าอาศยานทหารอากาศ กองบิน 6  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายรัฐมนตรี พร้อมคณะ กล่าวภายหลังเดินทางกลับจากประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ว่า ได้เข้าเยี่ยมสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยสมเด็จฮุนเซน ได้กล่าวแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ สำหรับพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมถึงกล่าวขอบคุณสำหรับสาส์นแสดงความเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ จากนายกรัฐมนตรีและประชาชนไทยด้วย

นายกฯกล่าวต่อว่า ตนได้แสดงความเสียใจในนามของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและประชาชนไทยต่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับการแสวงหาความร่วมมือ และการกระชับความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมยืนยันว่าจะร่วมกันผลักดันความร่วมมือในทุกมิติในการประชุมอาเซียนซัมมิทที่ประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งคาดหวังว่าการประชุมดังกล่าวจะได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี รวมถึงการที่ไทยและกัมพูชาจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมในเดือนธันวาคมนี้ ที่กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน

สำหรับกรณีปัญหาของนางสาวฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวไทย นายกฯกล่าวว่า ตนได้เรียนยืนยันกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วยความจริงใจในการแก้ไขสถานการณ์ ฝ่ายกัมพูชาเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ต้องให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศ และรัฐบาลของทั้งสองประเทศมีความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา

สำหรับเพจ I Love Cambodia  ซึ่งเป็นเพจที่จุดประเด็นภาพปัญหาขึ้นมา วันนี้ ได้แชร์ภาพน.ส. ยิ่งลักษณ์ ในพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อย่างต่อเนื่อง โดยผู้เล่นเฟซบุ๊กชาวกัมพูชาที่ติดตามเพจดังกล่าวเข้าไปแสดงความพอใจต่อการที่นายกรัฐมนตรีของไทยร่วมพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และพอใจที่ผู้นำของไทยแสดงความเคารพในสถาบันกษัตริย์ของประเทศเพื่อนบ้าน

ภาพจากเพจ Yingluck Shinawatra

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2012

Posted: 19 Oct 2012 08:54 AM PDT

ในช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ผมได้รับเชิญจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประจำปี 2012 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ในฐานะนักวิชาการ(ที่ต้องระบุว่าในฐานะนักวิชาการก็เพราะเดี๋ยวจะมีปัญหาเหมือนกรณีคณะของรัฐสภาไทยที่ไปอังกฤษเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาน่ะครับ)โดยตระเวนไปตามเมืองต่างๆที่สำคัญๆ ผมจึงถือโอกาสเขียนถึงกระบวนการการเลือกตั้งประธานาธิบดีและข่าวสารในแง่มุมต่างๆต่อผู้อ่านจนกว่าจะได้รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะระหว่างโอบามากับกับมิตต์ รอมนีย์

ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้น มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร แม้แต่ชาวอเมริกันเองบางคนก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน เมื่อถูกขอให้อธิบายระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขา แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนทุกอาชีพที่สุจริต มีโอกาสได้เป็นประธานาธิบดี ตัวอย่างเช่น

นายแบบ-เจอร์รัลด์ ฟอร์ด ,คนเก็บขยะ-ลินดอน จอห์นสัน, นักธรณีวิทยา-เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ,คนงานบนเรือเฟอร์รี-เจมส์ การ์ฟิลด์, นักสำรวจ-จอร์จ วอชิงตัน} นักแสดง-โรนัลด์ เรแกน ,ชาวไร่ชาวนา เช่น มิลเลิร์ด ฟิลมอร์ อับราฮัม ลินคอล์น ยูลิซิส เอส แกรนท์ เบนจามิน แฮริสันวอร์เรน ฮาร์ดิง แคลวิน คูลลิดจ์ แฮร์รี ทรูแมน และจิมมี คาร์เตอร์ หรือแม้กระทั่งคนผิวสีลูกครึ่งมุสลิมชาวเคนยาอย่างประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็มีโอกาสเป็นประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน

คุณสมบัติของผู้สมัครประธานาธิบดี

รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า ต้องอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้รับสัญชาติอเมริกันโดยกำเนิด (โรบินฮู้ดหรือคนไทยที่อพยพแล้วได้สัญชาติอเมริกันภายหลังนั้นหมดสิทธิ) อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกามาไม่น้อยกว่า 14 ปี ไม่เคยเป็นประธานาธิบดีมาแล้ว 2 สมัยติดต่อกัน ฯลฯ

ขั้นตอนการหยั่งเสียง ปัจจุบันมี 3 วิธี คือ

1) primary ซึ่งหมายถึง การจัดการเลือกตั้งขั้นต้นขึ้นในมลรัฐ วิธีการแบบ primary นี้คนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เชียงใหม่พยายามนำเสนอต่อพรรคเพื่อไทยให้นำมาใช้ในการคัดเลือกตัวผู้สมัคร แต่ก็ยังไม่เป็นผล แต่อนาคตข้างหน้าก็อาจจะเป็นจริงได้หากพรรคเพื่อไทยเห็นความจำเป็น(เพราะปัจจุบันนี้แต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นตัวแทนของพรรคจนชาวบ้านสับสนไปหมดแล้วว่าตกลงว่าอย่างไรกันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเมืองระดับท้องถิ่น)

2) caucus คือ การประชุมกลุ่มย่อยของสมาชิกพรรคในแต่ละระดับ ตั้งแต่หน่วยเล็กสุดขึ้นมา เพื่อเสนอความคิดเห็น

3) state-covention ที่หมายถึง การประชุมใหญ่ของพรรคในระดับมลรัฐ เพื่อคัดเลือกผู้ที่ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดเป็นตัวแทนพรรค

จาก 1 ใน 3 วิธีข้างต้น จะทำให้ได้ผู้แทน หรือที่เรียกว่า delegates จำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของพรรค (National Convention) ให้เหลือตัวแทนพรรคเพียงคนเดียว ถ้าสามารถเลือกผู้แข่งขันได้ในครั้งแรกของการประชุมพรรค จะเรียกว่า first ballot victory

การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ "วันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายนของปีที่มีการเลือกตั้ง"(วันอังคารแรกอย่างเดียวยังไม่ได้นะครับต้องหลังวันจันทร์แรกเท่านั้น) เป็นวันลงคะแนนเสียงสำหรับผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้วในเขตเลือกตั้งของตน ซึ่งครั้งนี้ตรงกับวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2555 โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็คือ มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสัญชาติอเมริกัน มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ฯลฯ

สหรัฐอเมริกาไม่มี กกต.แบบบ้านเรา ผู้ทำหน้าที่ดำเนินการเลือกตั้งในทุกระดับคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่รัยกว่า County และไม่มีการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น ประชาชนจะต้องลงทะเบียนก่อนจึงจะมีสิทธิเลือกตั้ง โดยจะลงทะเบียนในพื้นที่ที่ตนพำนักอยู่ หากย้ายที่อยู่ใหม่ก็ต้องลงทะเบียนใหม่ ในกฎหมายการขึ้นทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ ปี 1993(National Voter Registration Act,1993)ช่วยให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนเพื่อออกเสียงเลือกตั้งได้ทุกครั้งที่ต่อใบอนุญาตขับขี่ที่รัฐออกให้อีกด้วย

ในสหรัฐอเมริกามีอุปกรณ์ลงคะแนนเลือกตั้งหลายแบบ และลักษณะของเทคโนโลยีการลงคะแนนก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา ปัจจุบันนี้มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังมีการลงคะแนนเสียงด้วยการใช้บัตรกระดาษลงคะแนนที่ต้องทำเครื่องหมายกากบาทข้างชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างที่เคยทำในอดีต อย่างไรก็ตามในปัจจุบันที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ก็ยังใช้บัตรกระดาษที่มีการระบายทึบ จากนั้นนำไปสแกนเพื่อบันทึกการลงคะแนนเสียง  ซึ่งแนวโน้มในปัจจุบันก็คือการใช้เครื่อง Direct Recording Electronic(DRE) ซึ่งเป็นเครื่องที่มีจอสัมผัสที่คล้ายกับเครื่องมือที่ใช้ในธนาคาร ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่ผมไปสังเกตการณ์ก็เริ่มมีการใช้บ้างแล้ว

ผลการเลือกตั้ง

จะมี 2 แบบ เรียกว่า popular vote กับ electoral vote เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้นมิใช่การเลือกตั้งโดยตรง แต่ประชาชนจะไปเลือกผู้แทนของเขา (popular vote) เพื่อไปเลือกตั้งประธานาธิบดี (electoral vote) อีกทีหนึ่ง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จึงเป็นการเลือกตั้งโดยอ้อม คนที่ได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องชนะในส่วนของ electoral vote โดยคณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) จะมีจำนวนเท่ากับจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกับจำนวนวุฒิสมาชิกในมลรัฐของตน ที่มีอยู่ในสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นอยู่ว่าปัจจุบันนี้การสื่อสารคมนาคมทันสมัยแล้วแต่อเมริกาก็ยังไม่ยอมเลิกวิธีการนี้

ประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ใช้คณะผู้เลือกตั้งนี้ คือ กติกาที่ว่า ผู้ชนะได้ไปทั้งหมด (winner-take-all) ซึ่งหมายความว่า ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงส่วนมากจากประชาชนในมลรัฐ ก็จะได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งไปทั้งหมด ดังนั้น มลรัฐที่มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งมากๆ ก็จะเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้สมัคร เช่น แคลิฟอร์เนีย (55) เท็กซัส (34) นิวยอร์ก (31) ฟลอริดา (27) เพนซิลวาเนีย (21) เป็นต้น

ซึ่งก็มีหลายครั้งที่คนชนะ popular vote แต่ไปแพ้ electoral vote ก็อดเป็นประธานาธิบดี เช่น แอนดรู แจ็กสัน แพ้ต่อ จอห์น อดัมส์, แซมมวล ทิลเดน แพ้ต่อ รูเธอฟอร์ด เฮย์ กริฟเวอร์ คลีฟแลนด์ แพ้ต่อ เบนจามิน แฮริสัน และล่าสุดก็คือ อัล กอร์ ก็แพ้ต่ออดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช จนมีเรื่องมีราวไปถึงศาลสูง (supreme court) นั่นเอง

การรับตำแหน่ง

การรับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ จะรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคมของปีถัดไป โดยประธานาธิบดีคนเก่าจะอยู่ในตำแหน่งจนถึงเวลาเที่ยงตรงของวันที่ 20 มกราคม

ที่กล่าวมาพอสังเขปนี้คงพอทำความเข้าใจในเบื้องต้นของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้บ้าง อย่างน้อยก็สามารถติดตามข่าวสารการเลือกตั้งได้อย่างมีรสชาตินะครับ

------------------

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 17 ตุลาคม 2555

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เรื่องของคนเดือนตุลา

Posted: 19 Oct 2012 08:43 AM PDT

อาจจะให้ความหมายได้ว่า "คนเดือนตุลา" คือ คนกลุ่มหนึ่งที่มีประสบการณ์ร่วมกัน คือเคยผ่านการเคลื่อนไหวทางการเมืองในสมัย 14 ตุลา 2516 จนถึง6ตุลา 2519 และปัจจุบัน หลายคนก็ยังมีบทบาทอยู่ แม้ว่าจะเป็นที่กล่าวถึงมากเท่าในระยะก่อนหน้านี้ก็ตาม
 
และที่น่าสนใจคือ คนเดือนตุลาที่ในอดีตอาจจะเคยมีอุดมการณ์สังคมนิยมแบบเดียวกัน และเคยต่อสู้ร่วมกันมา แต่ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา คนเดือนตุลาแตกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน หลายคน เช่น ธีรยุทธ บุญมี  สุรชัย จันทิมาธร พลเดช ปิ่นประทีป ประสาร มฤคพิทักษ์ ชัยวัฒน์ สุรวิชัย ประยูร อัครบวร เป็นต้น อยู่กับฝ่ายที่โน้มไปทางเสื้อเหลือง สนับสนุนสถาบันหลัก และต่อต้านคนเสื้อแดง อีกส่วนหนึ่ง เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง สุธรรม แสงประทุม เหวง โตจิระการ พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช อดิสร เพียงเกษ และ วิสา คัญทัพ เป็นต้น ยืนอยู่กับฝ่ายทักษิณ และโน้มไปทางคนเสื้อแดง
 
ความเป็นมาและบทบาทของคนเดือนตุลานั้น ได้มีผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจัง และทำเป็นงานวิจัยฉบับใหญ่ คือ กนกรัตน์ เลิศชูสกุล .ในชื่อเรื่องว่า "การเติบโตของคนเดือนตุลา: อำนาจและความขัดแย้งของอดีตนักกิจกรรมปีกซ้ายในการเมืองไทยสมัยใหม่" (The Rise of the Octobrists: Power and Conflict among Former Left Wing Student Activists in Contemporary Thai Politics) เสนอต่อวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน ซึ่งถือเป็นงานที่น่าสนใจมาก เพียงแต่งานชิ้นนี้ยังเป็นภาษาอังกฤษ
 
ในงานวิจัยนี้ กนกรัตน์ได้อธิบายว่า กลุ่มคนเดือนตุลาเริ่มมีบทบาททางสังคมและการเมืองอย่างชัดเจนมาตั้งแต่หลัง พ.ศ.2530 โดยมีบทบาททั้งในภาคการเมืองรัฐสภา ภาคธุรกิจ และภาคสังคม และมีกลุ่มคนเดือนตุลาบางส่วนกลับเข้ามามีบทบาทในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง เช่น กรณีพฤษภาประชาธรรม พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของกลุ่มชนชั้นกลางในเมือง และนำมาสู่การผลักดันการปฏิรูปการเมือง ต่อมา ในช่วงที่พรรคไทยรักไทยเริ่มก่อร่างสร้างพรรค กลุ่มคนเดือนตุลาส่วนหนึ่งก็ได้เข้าร่วมผลักดัน และมีบทบาทอย่างมากในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เมื่อเกิดการต่อต้านรัฐบาลทักษิณเมื่อ พ.ศ.2549 คนเดือนตุลาจึงได้แยกข้าง และได้มีบทบาทในการสร้างวาทกรรมแห่งเหตุผลเพื่อยืนยันในหลักการของฝ่ายตนเอง พร้อมกับโจมตีคนเดือนตุลาที่อยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง
 
ในงานวิจัยนี้ ได้อธิบายต่อไปว่า กลุ่มคนเดือนตุลา เคยมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ในในยุคของขบวนการนักศึกษา เป็นผู้รับและเผยแพร่อุดมการณ์แบบสังคมนิยม และมีบทบาทในการต่อสู้หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ.2519 ด้วยการเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต่อมา หลัง พ.ศ.2525ขบวนการฝ่ายซ้ายล่มสลาย แต่กลุ่มคนเดือนตุลาก็ยังสามารถรักษาบทบาท และขยายบทบาทในสังคม ส่วนหนึ่งก็มาจากการให้ความหมายและตีความประวัติศาสตร์เดือนตุลาใหม่ โดยการอธิบายให้เห็นว่า การต่อสู้ ของขบวนการเดือนตุลา เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ลดวาทกรรมของแนวทางแบบซ้ายปฏิวัติสังคม และเล่าเรื่อง 6 ตุลาในฐานะของเหยื่อที่ถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงอย่างไม่เป็นธรรม วีรชนเดือนตุลาจึงเป็นวีรชนประชาธิปไตย ที่เสียสละเพราะต่อต้านเผด็จการ ด้วยการอธิบายในลักษณะนี้จึงประสานเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยตั้งแต่หลัง พ.ศ.2520 ที่มีการพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น และการพัฒนาของประชาธิปไตยนี้เอง กลายเป็นโอกาสทางการเมืองแบบใหม่ของเหล่าคนเดือนตุลาด้วย
 
การที่คนเดือนตุลาซึ่งพ่ายแพ้ในการปฏิวัติพร้อมกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ยังสามารถที่จะกลับมาสร้างที่ยืนในสังคมและมีบทบาทอันสำคัญในทางการเมืองและสังคมได้ เพราะคนเดือนตุลามีความสามารถอันพิเศษ ที่คนกลุ่มอื่นไม่มี และเป็นที่ต้องการของกลุ่มพลังทั้งหลาย นั่นคือ คนเดือนตุลามีความเข้าใจการเมืองของชนชั้นนำ และสามารถทำงานกับคนยากจนที่เป็นรากหญ้าได้ ในทางการเมือง ทุกพรรคการเมืองขณะนั้นก็ต้องการบุคลากรที่เข้าถึงประชาชนชั้นล่าง คนเดือนตุลาจึงสามารถที่จะเข้าไปมีบทบาทในพรรคการเมืองทุกพรรคและกลายเป็นนักการเมืองที่มีบทบาทหลายคน ในส่วนนอกรัฐสภา การขยายตัวของธุรกิจสมัยใหม่ การเติบโตของหนังสือพิมพ์ และการขยายตัวขององค์กรพัฒนาเอกชน หรือ เอ็นจีโอ. ก็ได้สร้างพื้นที่ให้คนเดือนตุลาเข้าไปทำงาน และกลายเป็นที่ยอมรับอย่างมาก รวมทั้งการที่คนเดือนตุลาอีกส่วนหนึ่ง ได้เข้ามาเป็นนักวิชาการและกลายเป็นนักวิชาการชั้นแนวหน้าที่มีบทบาทสำคัญ กลุ่มคนเดือนตุลาจึงกลายเป็นข้อต่อสำคัญอันหนึ่งในสังคมระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจเอกชนและประชาชนชั้นล่าง และภายใต้การขยายบทบาทเช่นนี้ คนเดือนตุลาได้สร้างสิ่งสำคัญขึ้นใหม่นั่นคือ "เครือข่าย" ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป การเป็นเครือข่ายของคนเดือนตุลากลับมีความสำคัญมากไปกว่าอุดมการณ์ร่วม ซึ่งมีความหมายลดลงทุกที
 
แต่ในที่สุด เมื่อเกิดวิกฤตไทยรักไทย ความขัดแย้งในกลุ่มคนเดือนตุลาก็เห็นได้ชัด กนกรัตน์ได้อธิบายให้เห็นว่า ความขัดแย้งในกลุ่มคนเดือนตุลาไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแด่มีมาตั้งแต่ต้น ความเป็นคนเดือนตุลา เป็นเพียงความผูกพันแบบหลวม ที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างมาก เพราะการจัดตั้งอันเข้มแข็งสิ้นสุดไปตั้งแต่การสลายของขบวนการคอมมิวนิสต์ แต่ความขัดแย้งของคนเดือนตุลาก่อนหน้านี้ อาจจะประนีประนอมกันได้ เพราะสถานการณ์ยังไม่แหลมคม แต่เป็นที่สังเกตว่า ตั้งแต่เมื่อพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ความขัดแย้งระหว่างคนเดือนตุลาในภาครัฐและนอกภาครัฐ เริ่มเห็นได้ชัดเจนแล้ว เพราะสภาพของความจำเป็นในการประนีประนอมหมดสิ้นไป และเมื่อหลังรัฐประหารกันยายน พ.ศ.2549 ความขัดแย้งของกลุ่มคนเดือนตุลาสองฝ่าย ก็ถึงจุดแตกหักที่ประนีประนอมกันไม่ได้
 
สรุปแล้ว งานของกนกรัตน์ เลิศชูสกุล เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่อธิบายวิเคราะห์คนเดือนตุลาได้ละเอียด ชัดเจนที่สุด แม้ว่าอาจจะมีมุมมองหลายอย่างที่ยังมีความไม่สมบูรณ์ หรือเป็นที่โต้แย้งได้ เช่น ยังไม่อธิบายชัดเจนถึงการเสื่อมสลายทางอุดมการณ์ที่ทำให้คนเดือนตุลาจำนวนหนึ่งกลายเป็นกลุ่มนิยมเจ้า เป็นต้น แต่งานชินนี้ ก็มีความน่าสนใจในตัวเอง และมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ภาพทางการเมืองสมัยใหม่ในระยะ 36 ปีหลัง 6 ตุลา มีความชัดเจนมากขึ้น
 
 
 

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
 
 
 
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 382 วันที่20 ตุลาคม พ.ศ.2555
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองกำลังว้า แอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากไทย กักตุนใช้ฉุกเฉิน

Posted: 19 Oct 2012 08:22 AM PDT


ช่องทางกิ่วผาวอก หรือ BP-1 จุดผ่านแดนไทย - พม่า (รัฐฉาน) ด้านอ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

กองกำลังว้า UWSA สังกัดหน่วยเหว่ยเซียะกัง ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากไทยวันละไม่ต่ำ 6 พันลิตร เผย ได้สิทธิ์พิเศษนำเข้าจากเจ้าหน้าที่พม่าในท้องที่ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบ รัฐ เชื่อกักเก็บใช้ยามฉุกเฉิน ....

มีรายงานจากแหล่งข่าวชายแดนว่า ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนมาจนถึงปัจจุบัน กองกำลังว้า UWSA หน่วยพื้นที่ 171 ของเหว่ยเซียะกัง ซื้อนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทดีเซลจากไทยผ่านช่องทางชายแดนไทย-พม่า (รัฐฉาน) ด้านช่องทางกิ่วผาวอก หรือ BP-1 บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ อย่างต่อเนื่อง ในแต่ละวันนำเข้าไม่ต่ำกว่า 6,000 ลิตร โดยนำไปกักเก็บไว้ที่ฐานบัญชาการที่บ้านห้วยอ้อ ในพื้นที่อำเภอเมืองโต๋น จังหวัดเมืองสาด ภาคตะวันออกของรัฐฉาน 

ทั้งนี้ การซื้อนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากไทยของกองกำลังว้านี้ไม่เป็นไปตามระเบียบของทางการพม่า เป็นการขอความอะลุ่มอล่วยจากเจ้าหน้าที่พม่าในพื้นที่โดยจ่ายเงินใต้โต๊ะก่อนนำเข้า ซึ่งทราบว่าทางกองกำลังว้าได้มีการจ่ายเงินให้แก่เจ้าหน้าที่ด่านตรวจของพม่าช่องทาง BP-1 ฝั่งพม่า ลิตรละ 2 บาท ซึ่งการน้ำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทางด้านนี้ประชาชนคนธรรมดาไม่สามารถทำได้ 

แหล่งข่าวเผยว่า จนถึงขณะนี้กองกำลังว้า UWSA ยังคงนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันดีเซลจากไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกะปริมาณนับตั้งแต่เริ่มนำเข้าตั้งแต่กลางเดือนกันยายนมาจนถึงขณะนี้แล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 2 แสนลิตร โดยน้ำมันที่ถูกนำเข้านั้นทางกองกำลังว้านำไปกักเก็บใช้เอง เช่นใช้เป็นเชื้อเพลิงเครื่องจักรทำไร่ยางพารา ใช้กับยานยนต์ของกองทัพ และเชื่อว่าอาจกักเก็บไว้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงใช้ในยามฉุกเฉินด้วย 

พ่อค้าในพื้นที่คนหนึ่งเปิดเผยว่า ในช่วงที่กองพันทหารราบ 225 ของพม่าดูแลในพื้นที่ กลุ่มติดอาวุธในสายรัฐบาลพม่าได้สิทธิพิเศษลักลอบนำเข้าสินค้ารวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงจากไทยผ่านช่องทางกิ่วผาวอก ในขณะที่ประชาชนทั่วไปถึงแม้จะเป็นพ่อค้าก็ไม่มีสิทธิ์ ซึ่งประชาชนหวังว่าหากมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่พม่าจะทำให้เรื่องการเอารัดเอาเปรียบเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีก แต่หลังจากกองพัน 65 เข้ามาดูแลรับผิดชอบพื้นที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม กองกำลังว้ามีสิทธิเหนือกว่าประชาชนในพื้นที่ ทุกวันนี้กองกำลังว้านำเข้าน้ำมันดีเซลจากไทยวันละ 2 คันรถบรรทุก ขนถ่ายกันในช่วงเย็นและเดินทางในช่วงค่ำมืด  

ด้านสมาชิกรัฐสภาจากพรรคการเมืองหนึ่งของชาติพันธุ์ในพื้นที่ กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่พม่าปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้า น้ำมันเชื้อเพลิงเช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาลและประชาชน ซึ่งหากต้องการนำเข้าจริงๆ ก็น่าจะเปิดเป็นทางการและเก็บภาษีเข้าเป็นรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่นจะดีกว่า ทุกวันนี้ภาษีจากการค้าต่างๆ ที่ผ่านเข้าออกชายแดนเพื่อนบ้านที่ติดกับรัฐฉาน รัฐบาลรัฐฉานที่แต่งตั้งหลังการเลือกตั้งไม่มีส่วนรับบริหารด้วย

 

ที่มา: ฅนเครือไทย http://www.khonkhurtai.org

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.ร้อง 'ปลัดคลัง' พิจารณาการกระทำของรองปลัด ที่บอกประมูล 3G มีปัญหา

Posted: 19 Oct 2012 03:27 AM PDT

กสทช. ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงปลัดกระทรวงการคลัง ขอให้พิจารณาการกระทำของรองปลัด สุภา ปิยะจิตติ ที่ทำหนังสือ-ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่าการประมูล 3G มีปัญหา ทำ กสทช.เสียหาย

จากกรณีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการระเบียบพัสดุจัดซื้อจัดจ้าง (คกพ.) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ส่งหนังสือ "ด่วนที่สุด" ที่ กค (กพวอ) 0421.3/42301 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2555 ถึงประธาน กสทช. โดยอ้างถึงการประมูลไลเซ่นส์ 3G ไม่มีการแข่งขันราคาอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และอาจมีลักษณะการสมยอมราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) ที่จะส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล และ กสทช.อาจอยู่ในข่ายต้องรับผิดตามกฎหมาย

ล่าสุด (19 ต.ค.55) ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. โดยความเห็นชอบของประธาน กสทช. ได้ทำหนังสือด่วนทื่สุด ที่ สทช. 5011/18583 ลงวันที่ 19 ตุลาคม ถึงปลัดกระทรวงการคลัง เรื่องขอให้พิจารณาการกระทำของ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ที่ทำหนังสือดังกล่าว รวมถึงเผยแพร่และให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหลายแขนงทำให้ กสทช. และสำนักงาน กสทช. ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง และผิดพลาดในข้อกฎหมาย ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า กสทช. และสำนักงาน กสทช. ทำผิดกฎหมาย เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในการประมูลคลื่นความถี่ 2.1GHz  รวมถึงการที่ น.ส.สุภา อ้างว่าปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงการคลังด้วยนั้นเป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมต่อตำแหน่งหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ กสทช. และสำนักงาน กสทช. รวมถึงสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดกับประชาชนทั่วไป จึงขอให้ท่านพิจารณาดำเนินการกับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และให้ น.ส.สุภา รับผิดชอบต่อการกระทำที่เจตนาสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อบุคคลอื่นต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิวยอร์กไทมส์: กัมพูชาที่โศกเศร้า มองไปสู่อนาคต

Posted: 19 Oct 2012 01:55 AM PDT

นสพ. นิวยอร์กไทมส์รายงานบรรยากาศงานศพของเจ้านโรดม สีหนุ พร้อมมุมมองปชช. กัมพูชาต่ออนาคตของประเทศ หลังการสวรรคตของสมเด็จสีหนุ ซึ่งบางส่วนมองอาจเกิด "สุญญากาศ" และเปิดเกียร์ว่างให้แก่ "ฮุน เซ็น" อย่างเต็มที่ 

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 55 หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ได้ตีพิมพ์บทความ "Cambodia, Mourning, Casts Eye to the Future" โดยโทมัส ฟุลเลอร์ รายงานบรรยากาศพิธีพระศพของสมเด็จนโรดม สีหนุในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และได้สัมภาษณ์ประชาชนชาวกัมพูชาถึงอนาคตของประเทศภายใต้การปกครองของสมเด็จนโรดม สีหมุนี รัชทายาทของสมเด็จนโรดม สีหนุและกษัตริย์องค์ปัจจุบัน โดยบางส่วนมองว่า อาจจะทำให้เกิดบรรยากาศทางการเมืองที่เป็นสุญญากาศ เนื่องจากกษัตริย์องค์ต่อไปอาจจะเทียบ "บารมี" เท่ากับสมเด็จนโรดม สีหนุได้ยาก และมองว่า นายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น ที่ปกครองประเทศมากว่า 3 ทศวรรษ สามารถใช้อำนาจได้อย่างอิสระมากขึ้นโดยไม่มีใครทัดทาน
 
00000
 
"กัมพูชา ที่โศกเศร้า มองไปสู่อนาคต"
โดย โทมัส ฟุลเลอร์ 
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 18 ต.ค. 55 
 
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ถนนหนทางของกรุงพนมเปญคับคั่งไปด้วยผู้ที่มาไว้อาลัยการกลับมาครั้งสุดท้ายของสมเด็จนโรดมสีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์ของกัมพูชา และผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหา 
 
แปดปีหลังสละราชสมบัติให้แก่พระราชโอรส พระบรมศพของสมเด็จสีหนุ ผู้ซึ่งเสียชีวิตในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถูกนำพากลับมาสู่กรุงพนมเปญด้วยเครื่องบินของสายการบินแอร์ ไชน่า ต่อด้วยรถยนต์ที่ขับมาท่ามกลางแดดร้อนแผดเผา
 
"ท่านคือบิดา ส่วนเราคือลูกๆ" พิช ราวี พ่อค้าขายผักกล่าว เขาได้เดินทางไปพระราชวัง ที่ที่พระบรมศพของสมเด็จสีหนุจะถูกเก็บไว้เป็นเวลาสามเดือน และกล่าวต่อว่า "ท่านเป็นหนึ่งในพระราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกัมพูชา" 
 
การสวรรคตของสมเด็จสีหนุด้วยพระชนมายุ 89 ปี หลังการมีบทบาทในทางการเมืองหลังได้รับเอกราชของกัมพูชา นับเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยของกัมพูชาที่เต็มไปด้วยสงครามและการปกครองที่นองเลือดของระบอบเขมรแดง 
 
แต่ยุคสมัยใหม่ และสถาบันกษัตริย์จะเป็นอย่างไรต่อไป ได้กลายเป็นวาระการถกเถียงที่ร้อนแรงภายในประเทศ ท่ามกลางการกล่าวยกย่องเชิดชูและการรำลึกเมื่อวันพุธ ชาวกัมพูชาพูดคุยกันเรื่องวิสัยทัศน์ถึงอนาคตของพระมหากษัตริย์องค์ต่อๆ ไป 
 
สำหรับประชาชนบางส่วน ความตายของสมเด็จสีหนุได้ทำให้นึกถึงอดีตที่สะท้อนถึง "พระมหากษัตริย์แอคติวิสต์" ที่เส้นแบ่งระหว่างพระมหากษัตริย์และนักการเมืองไม่ชัดเจน 
 
สำหรับผู้อื่น การเสียชีวิตของพระองค์ ได้สร้างสุญญากาศของอำนาจทางศีลธรรม และตอกย้ำอำนาจที่เข้มข้นและเอียงกะเท่ของนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น ผู้ซึ่งปกครองรัฐบาลกัมพูชามากว่าสามทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งที่นานที่สุดของโลก
 
"นี่เป็นยุคสมัยใหม่สำหรับฮุน เซ็น" ลาว เมือง เฮย์ อดีตข้าราชการและศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ "ไม่มีแรงไหนๆ ที่สามารถต้านทานเขาได้อีกแล้ว มันมีความเสี่ยงสำหรับประเทศ" 
 
เจ้าชายสีโสวัธ โธมิโก ราชเลขาธิการส่วนพระองค์และหลานชายของสมเด็จนโรดม กล่าวว่า ชาวกัมพูชาบางส่วนมีความกังวลและกลัวหลังการเสียชีวิตของสมเด็จสีหนุ
 
"ท่านมีบารมีที่มากเหลือเกิน" เขากล่าวในระหว่างสัมภาษณ์ในพระราชวัง "และตอนนี้ มันก็จะมีเหมือนกับการหยุดชะงัก ประชาชนของกัมพูชาจำเป็นต้องรอบุคคลต่อไปที่จะมีอำนาจในทางศีลธรรมที่เทียบเท่ากัน" 
 
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สมเด็จสีหนุ ผู้ได้ขึ้นครองราชลับบังค์ในปี 1941 ได้ค่อยๆ ถอยตัวเองออกจากชีวิตสาธารณะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในสมัยการปกครองของเขาในฐานะกษัตริย์และนักการเมืองซึ่งยาวนาน มีสีสัน และซับซ้อน เขาได้รับการชื่นชมอย่างมากสำหรับบทบาทในการต่อสู้อย่างสันติเพื่อให้ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส ในขณะเดียวกันก็ถูกวิจารณ์สำหรับการให้ความชอบธรรมระบอบเขมรแดงและส่งเสริมให้พวกเขาขึ้นสู่อำนาจ มีการประมาณการณ์ว่า ราว 1.7 ล้านคนได้เสียชีวิตจากการปกครองในระบอบเขมรแดงในทศวรรษที่ 1970
 
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผู้ที่มาไว้อาลัย สมเด็จสีหนุถูกจดจำโดยคนส่วนใหญ่ ในฐานะที่เป็นผู้ห่วงใยในชะตากรรมของผูที่ยากไร้และปราศจากอำนาจ 
 
"พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชน" สม เสร เปา วัย 49 ปี ซึ่งเดินทางไปไว้อาลัยที่พระราชวังกับลูกๆ อีกสามคนในวันพุธ "ท่านได้เสียสละตนเองเพื่อประชาชน" 
 
โลงศพของกษัตริย์ที่มีการประดับประดาไปด้วยธงของราชวงศ์สีน้ำเงิน และเต็มไปด้วยดอกไม้ ถูกวางไว้บนขบวนรถเคลือบทองที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนสัตว์คล้ายนกจากนิยาย ผู้ไว้อาลัยต่างกำธูปเทียนและดอกบัวไว้ในมือ ในขณะที่ขบวนรถวิ่งผ่าน พวกเขาต่างนิ่งเงียบและแสดงความเคารพ บางคนลงคุกเข่ากับพื้น
 
ที่ตามหลังขบวนรถมา เป็นรถเมอร์ซิเดสสีดำของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน สมเด็จนโรดม สีหนุ ผู้ที่สืบราชบัลลังค์จากพระบิดาของพระองค์ในปี 2547 สมเด็จพระบรมนาถสีหมุนี ด้วยพระชนมายุ 59 พรรษา เคยเป็นครูสอนบัลเลต์และอยู่ภายใต้เงาของบิดาอันยาวนาน ท่านไม่ได้อภิเสกสมรส และไม่น่าจะมีทายาท ถึงแม้ว่ากษัตริย์จะสามารถเลือกจากผู้สืบทอดของกษัตริย์องค์ก่อนหน้านี้หลายร้อยคน แต่การไม่มีผู้สืบทอดต่อจากสมเด็จสีหมุนีก็ได้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ราชวงศ์
 
โสน สาวแบต หนึ่งในองคมนตรีในกษัตริย์องค์ปัจจุบัน กล่าวถึง "สุญญากาศ" ที่จะเกิดขึ้นหลังการสวรรคตของสมเด็จสีหนุ เขาอธิบายถึงลักษณะนิสัยที่เงียบๆ และสงวนท่าทีในหลายประเด็นมากกว่าบิดาของเขา 
 
"กษัตริย์องค์ปัจจุบันของเราเป็นกลางมากจนเขาไม่เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย" โสนกล่าว "ท่านอยู่ตามบทบาทที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ" 
 
สำหรับพันธมิตรของนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็นแล้ว นี่เป็นวิถีตามแบบที่มันควรจะเป็นเลยทีเดียว 
 
เภย์ สีพัน ประธานสภาแห่งรัฐมนตรี  กล่าวถึงยุคสมัยใหม่ของสถาบันกษัตริย์ในกัมพูชา ซึ่งระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี 1993 
 
"กษัตริย์ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง" เภย์ สีพันกล่าว "กษัตริย์มิได้ปกครองประชาชน แต่กษัตริย์ได้รับความเคารพจากประชาชน" 
 
เขากล่าวถึงสมเด็จสีหนุว่าเป็น "นักการเมืองที่ได้รับความเคารพ" และ "เจ้าพ่อแห่งกัมพูชา" แต่เขากล่าวต่อว่า ประเทศชาติได้ก้าวต่อไปแล้ว 
 
ผู้ที่วิพากษ์รัฐบาลฮุนเซ็นมองว่า เกิดความพยายามที่จะรวบอำนาจทางการเมืองและสถาบันกษัตริย์ไว้ที่เพียงฝ่ายเดียว
 
สถาบันกษัตริย์ของกัมพูชาไม่ได้ร่ำรวยและถือครองที่ดินจำนวนมหาศาล ต่างจากสถาบันกษัตริย์ไทยหรืออังกฤษ พระมหากษัตริย์ต้องพึ่งพางบประมาณจากรัฐเป็นส่วนใหญ่สำหรับพระราชกรณียกิจต่างๆ  รัฐบาลจึงมีอำนาจพอสมควรในการคานกับสถาบันกษัตริย์
 
นายกรัฐมนตรีฮุน เซ็นและพันธมิตรของเขา อาจจะสามารถกำหนดได้ว่าใครควรจะเป็นกษัตริย์ต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าการสืบสันตติวงศ์จะเป็นช่วงเวลาใด รัฐธรรมนูญได้ระบุอำนาจการกำหนดกษัตริย์องค์ต่อไปที่สภาการสืบสันตติวงศ์ (Throne Council) ซึ่งมีสมาชิก 9 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงจากสภาแห่งชาติและวุฒิสภา โดยทั้งสองอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น 
 

 

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก 
 
Cambodia, Mourning, Casts an Eye to the Future
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'กัมพูชา' ออกแถลงการณ์ เข้าใจ 'ฐปณีย์' ไม่เจตนาหมิ่น

Posted: 19 Oct 2012 01:11 AM PDT

เมื่อวันที่ 18 ต.ค. โฆษกหน่วยข่าวกรองและตอบโต้ด่วนของคณะรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ กรณีมีการเผยแพร่ภาพ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวช่อง 3 ผ่านทางเฟซบุ๊ก จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยระบุว่า ต่อกรณีดังกล่าว ทั้งตัวผู้สื่อข่าวและผู้แทนสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ของไทย ได้แสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และได้ทำการขออภัยโทษต่อรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา นอกจากนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้โทรศัพท์ถึงสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แสดงความเสียใจต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และทำความเข้าใจต่อกันแล้ว

โดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ของไทยได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่ามิได้มีเจตนาที่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือแสดงความไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพรักของประชาชนกัมพูชา นอกจากนี้ รูปภาพที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊กนั้นเป็นภาพที่ถ่ายจากด้านข้างเยื้องมาทางด้านหลัง ทำให้ดูเหมือนของทั้งหมดอยู่ใกล้กับเท้า

ดังนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในช่วงเศร้าเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนโรดมสีหนุฯ จะเข้าใจต่อเหตุการณ์ความเป็นจริง และหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดจากการยุยงส่งเสริมของผู้ไม่ประสงค์ดีที่ประสงค์จะสร้างความไม่สงบในสังคม และสร้างความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ตลอดจนการสร้างความเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ

 

เนื้อหาแถลงการณ์ (ถูกแปลจากภาษากัมพูชา) มีดังนี้

แถลงการณ์กองการข่าวและโต้ตอบเร็ว

เมื่อวันที่ 16 และ 17 ต.ค. 55 หลังจากมีการเผยแพร่รูปภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ที่เคารพรักของประชาชนกัมพูชาใต้เท้าของผู้สื่อข่าวประจำสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ของไทย น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย และที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี (อคติ) และกลุ่มที่ชอบสร้างกระแสบางกลุ่มได้โพสต์รูปตามเว็บไซต์สังคมออนไลน์ Facebook ซึ่งแสดงเกินความเป็นจริง อันอาจทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด ดังนั้น โฆษกกองการข่าวและโต้ตอบเร็วขอกราบเรียนสาธารณชนให้ทราบ ดังนี้

1.ตามแหล่งข่าวความเป็นจริง ทราบว่าในความเป็นจริงผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวได้ขอยืมหนังสือพิมพ์ 1 ฉบับจากผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชาเพื่อนำไปศึกษาเกี่ยวกับชีวประวัติของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวไทยคนดังกล่าวได้เริ่มต้นรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปของพระราชพิธีฯ ในขณะนั้น ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวได้วางหนังสือพิมพ์พร้อมกับสมุดบันทึกและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนบนพื้นเพื่อทำการรายงานข่าว หลังจากนั้น ในช่วงกลางวันได้มีข่าวรูปพระบรมฉายาลักษณ์ปรากฏใต้เท้าของผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวเผยแพร่ทาง Facebook

หลังจากที่ได้รับข่าวที่เผยแพร่ทาง Facebook นี้ ที่อาจกระทบจิตใจประชาชนกัมพูชาและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น รวมทั้งโดยกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองประเทศ ผู้สื่อข่าวไทยคนดังกล่าวมีความกังวลและหวาดกลัวอย่างมาก และได้เดินทางไปกราบขอพระราชทานอภัยโทษต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ที่บริเวณหน้าพระบรมมหาราชวังโดยทันที

2.เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 55 เมื่อเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวไทย (คนดังกล่าว) น.ส. ฐปณีย์ เอียดศรีไชย และนายมงคล เจริญ รองผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 ของไทย ได้เดินทางไปคุกเข่ากราบขอพระราชทานอภัยโทษและขอโทษต่อประชาชนกัมพูชาเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ณ สถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงเทพฯ

3.ในวันเดียวกันนั้น สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ของไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงความเป็นจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่ามิได้มีเจตนาที่จะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือแสดงความไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพรักของประชาชนกัมพูชา เพราะ ณ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวพระราชพิธีพระบรมศพที่ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวต้องวางสัมภาระส่วนตัวต่างๆ โดยมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ สมุดบันทึก และหนังสือพิมพ์ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ที่ตีพิมพ์หลังจากที่เสด็จสวรรคต และวางบนพื้นโดยไม่เจตนา ซึ่งได้วางห่างจากตัวพอสมควร แต่รูปภาพที่มีการเผยแพร่ทาง Facebook เป็นภาพที่ถ่ายจากด้านข้างเยื้องมาทางด้านหลัง ทำให้ดูเหมือนของทั้งหมดอยู่ใกล้กับเท้า

อย่างไรก็ดี ทั้งผู้สื่อข่าว น.ส. ฐปณีย์ฯ และผู้แทนสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ของไทย ได้แสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และได้ทำการขออภัยโทษต่อรัฐบาลและประชาชนกัมพูชา และหวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง

เกี่ยวกับปัญหาที่อ่อนไหวนี้ เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 55 ฯพณฯ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้โทรศัพท์ถึงสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แสดงความเสียใจต่ออุบัติเหตุที่มิได้เกิดจากความตั้งใจนี้ และผู้นำของประเทศทั้งสองได้ทำความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ต.ค. ดังกล่าว

โฆษกกองการข่าวและโต้ตอบเร็วของสำนักนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในช่วงเศร้าเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนโรดมสีหนุฯ จะมีความเข้าใจต่อเหตุการณ์ความเป็นจริง และหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดจากการยุยงส่งเสริมของผู้ไม่ประสงค์ดี (ผู้มีอคติ) ที่ประสงค์จะสร้างความไม่สงบในสังคม และสร้างความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ตลอดจนการสร้างความเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองของคนบางกลุ่ม เพื่อหลอกลวงความเห็นของสาธารณชนและทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนและรัฐบาลของกัมพูชาและไทย

ราชธานีพนมเปญ

18 ตุลาคม 2555

 

 

ที่มา: ครอบครัวข่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“กรีซ-สเปน” ประชาชนยังลุกฮือ ผลพวงพิษวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป

Posted: 19 Oct 2012 12:16 AM PDT

ผลจากการใช้นโยบาย "รัดเข็มขัด" เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศยุโรป ล่าสุดประชาชนยังแสดงความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องทั้งที่กรีซและสเปน สองประเทศที่อาการโคม่าที่สุดในขณะนี้

ชาวกรีกหลายหมื่นประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด

มาชาวกรีกหลายหมื่นคน ได้ชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ เมื่อวันพฤหัสบดี เพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และส่งผลให้เครือข่ายขนส่งของประเทศต้องปิดให้บริการไปโดยปริยาย (ที่มาภาพ: Riot TV)

19 ต.ค. 55 – เนชั่นทันข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมาชาวกรีกหลายหมื่นคน ได้ชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ เมื่อวันพฤหัสบดี เพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และส่งผลให้เครือข่ายขนส่งของประเทศต้องปิดให้บริการไปโดยปริยาย

มีการปะทะกันที่กรุงเอเธนส์ หลังจากผู้ประท้วงขว้างปาก้อนหินและขวดเข้าใส่ตำรวจ และร้องตะโกนคำขวัญว่า ไม่มีที่ให้ตำรวจในการประท้วงอย่างสันติ โดยการประท้วงครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่บรรดาผู้นำชาติยุโรป กำลังประชุมกันที่กรุงบรัสเซลล์ของเบลเยียม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกยูโรโซน ท่ามกลางวิกฤติหนี้ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตแบบยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี อันโตนิส ซามารัส ของกรีซ ได้รับการคาดหมายว่าจะโต้แย้งว่า ยังพอมีเวลาสำหรับกรีซ ที่จะดำเนินมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายตามความต้องการของยุโรป เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลืองวดล่าสุุดที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการกอบกู้วิกฤติหนี้ของประเทศ

นายซามารัส กล่าวว่า ได้ใช้มาตรการรัดเข็มขัดไปแล้ว ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนจำนวนมาก ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ซึ่งมีตัวเลขการว่างงานพุ่งเกินกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

การประท้วงเมื่อวันพฤหัสบดี เป็นการประท้วงใหญ่ครั้งที่สองในระยะเวลา 1เดือน ตามคำเรียกร้องของสหภาพต่าง ๆ ที่ระบุว่า ถ้ามีการตัดค่าแรงหรือบำนาญรอบใหม่ ก็จะเจ็บปวดเกินไปสำหรับชาวกรีกที่ต้องทนแบกรับความทุกข์อยู่ในเวลานี้ ซึ่งความไม่พอใจในมาตรการรัดเข็มขัด ได้ส่งผลให้เกิดการประท้วงรุนแรงตามท้องถนนมาแล้วหลายครั้ง

การประท้วงล่าสุดในกรุงเอเธนส์ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 30,000 คน ตำรวจสามารถจำกัดความรุนแรงได้ หลังจากดำเนินอยู่นาน 90 นาที ซึ่งผู้ประท้วงได้สลายตัวจากจตุรัสซินแท็กม่า ในช่วงบ่าย มีรายงานว่า มีชายวัย 65 ปีคนหนึ่ง เสียชีวิตหลังจากเป็นลมหน้ามืดในระหว่างการชุมนุมแม้ว่าแพทย์ของสหภาพจะพยายามช่วยชีวิตเขา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

การชุมนุมยังมีขึ้นตามเมืองใหญ่ ๆ รวมทั้ง เธสซาโลนิกี้ และ ปาทรัส หรือแม้กระทั่งเกาะครีทผู้ประท้วงบางคน ได้โบกธงชาติสเปนและโปรตุเกส ร่วงกับธงกรีซ เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นเอกภาพด้านแรงงาน ที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน ภายใต้มาตรการรัดเข็มขัด ร้านค้าพากันปิดทำการ เช่นเดียวรถไฟและท่าเรือหลายแห่ง ส่วนโรงพยาบาลหลายแห่งได้รับผลกระทบในส่วนของแผนกจัดกระดูกและการขนส่ง.

 

สเปนประท้วงนักเรียน-นักศึกษาประท้วงรัฐบาลตัดลดการใช้จ่ายด้านการศึกษา

นักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายพันคน ร่วมเดินขบวนตามเมืองต่างๆ หลายสิบแห่งทั่วสเปนเพื่อแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลที่ตัดลดการใช้จ่ายด้านการศึกษา (ที่มาภาพ: Riot TV)

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่านักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายพันคน ร่วมเดินขบวนตามเมืองต่างๆ หลายสิบแห่งทั่วสเปนเพื่อแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลที่ตัดลดการใช้จ่ายด้านการศึกษา ที่รัฐบาลมีเป้าหมายลดการขาดดุลสาธารณะ

"เอาเงินจากพวกธนาคารนั่นแหละมาให้โรงเรียนของรัฐ" ผู้ประท้วงต่างพากันตะโกนขณะที่เดินผ่านท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงมาดริด อ้างถึงเงินจำนวนแสนล้านยูโรที่รัฐบาลอัดฉีดช่วยเหลือธนาคารต่างๆ ที่กำลังร่อแร่ แต่อีกด้านหนึ่งกลับดำเนินการตัดลดการใช้จ่ายต่างๆทางสังคม

ในบาร์เซโลนา เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของสเปน ตำรวจเปิดเผยว่ามีนักเรียนราว 3,000 คน เดินขบวนไปตามท้องถนนหลายสาย นอกจากนี้ยังพบเห็นการประท้วงที่มีผู้เข้าร่วมหลายพันคนทั้งในบาเลนเซียและเมืองอื่นๆ

การเดินขบวนเป็นส่วนหนึ่งของแผนประท้วง 3 วันของเหล่านักเรียนนักศึกษา ซึ่งจะมีไปจนถึงวันพฤหัสบดี (18 ต.ค.) ขณะที่มีรายงานว่าการชุมนุมในกรุงมาดริดนั้น มีเหล่าผู้ปกครองและพวกครูบาอาจารย์เข้าร่วมด้วย "โรงเรียนของฉัน มีครูถูกปลดไปแล้ว 7 คนในปีนี้ หลังจากปีที่แล้วโดนไปทั้งหมด 16 คน" ซารา ดิอาซ นักเรียนมัธยมรายหนึ่งเผยระหว่างร่วมชุมนุมในเมืองหลวง      

ด้านลีโอนอร์ อันเดรส วัย 50 ปี ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมในมาดริด พร้อมกับลูกสาววัย 14 ปี บอกว่าแผนตัดลดงบประมาณด้านการศึกษาส่งผลประทบต่อขนาดชั้นเรียนและบีบให้สถาบันการศึกษาต่างๆต้องยกเลิกกิจกรรมทั้งหลายแหล่

นอกจากนี้แล้ว ผู้ประท้วงบางส่วนยังคร่ำครวญว่าแผนลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ยังนำมาซึ่งค่าเล่าเรียนที่แพงขึ้นในระดับมหาวิทยาลัย "ค่าเทอมพุ่งพรวด ปีที่แล้วฉันเสียค่าเทอมแค่ 700 ยูโร (28,000 บาท) แต่ปีนี้ขึ้นไปเป็น 1,300 ยูโร (52,000 บาท)" ลอรา รุยส์ นักศึกษาสื่อสารมวลชนวัย 21 ปีกล่าว     

ข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการสเปนระบุว่างบประมาณด้านการศึกษาในปีนี้ถูกปรับลดจากปี 2011 กว่า 1,000 ล้านยูโร และตามสถาบันการศึกษารัฐบาล ระหว่างปีการศึกษา 2011-12 มีการจ้างงานครูลดลงเกือบ 3,000 ตำแหน่ง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร ร้อง จนท.อุทยานภูผาเหล็กบุกทำลายต้นยาง สุมไฟความขัดแย้ง

Posted: 19 Oct 2012 12:08 AM PDT

ปมขัดแย่งที่ดินเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กระอุ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าฟันต้นเสียหาย 21 ไร่ เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนครออกแถลงการณ์ประณามทำเกินกว่าเหตุฝืนมติข้อตกลงคณะทำงานแก้ปัญหา

 
 
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.55 เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนครออกแถลงการณ์ เรียกร้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กยุติการดำเนินการคุกคาม จับกุม ทำลายอาสินของชาวบ้านในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างเขตอุทยานฯ กับพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน จนกว่ากลไกการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะได้ข้อยุติ พร้อมประณามการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการบุกทำลายต้นยางพาราของชาวบ้าน ระบุเป็นการกระทำเยี่ยงโจร โหดเหี้ยม ไร้ความปราณี
 
สืบเนื่องจาก เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 12 ต.ค.55 หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก นำกำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 40 นาย เข้าตัดฟันต้นยางพาราชาวบ้านในเขตพื้นที่ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร จำนวน 2 แปลง รวมพื้นที่เสียหาย 21 ไร่ โดยการปฏิบัติการบุกทำลายของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้าระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐ
 
 
ทั้งนี้ เมื่อปี 2553 เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เรื่องการแก้ปัญหากรณีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างเขตอุทยานฯ กับพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน มีการแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครเป็นประธาน ซึ่งกลไกดังกล่าวมีหน่วยงานทุกภาคส่วนเป็นคณะทำงานร่วม และการทำงานที่ผ่านมา มีข้อตกลงเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา คือ 1.ให้ชะลอการจับกุม ดำเนินคดีกับชาวบ้าน 2.ให้ชาวบ้านสามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของตนได้ 3.ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการถือครองในพื้นที่ทับซ้อน
 
นายสวาท อุปฮาด ผู้ประสานงานเครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิ สกลนคร กล่าวว่า การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2552 นั้น ไม่มีการกันพื้นที่ทำกินชาวบ้านออกจากพื้นที่ รวมทั้งไม่มีการทำประชาพิจารณ์ผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่กลับใช้อำนาจข่มขู่ คุกคาม จับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้าน ข้อหาบุกรุกอุทยานฯ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านอาศัยทำกินก่อนประกาศเขตอุทยานฯ
 
"ข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหา อยู่ในระหว่างการดำเนินการตามข้อตกลง กระทั่งปี 2554 นายวสันต์ ปิ่นเงิน เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าอุทยานฯ แทนคนเดิม กลับไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงของคณะทำงานแก้ไขปัญหาของชาวบ้านเครือข่ายไทบ้านฯ แต่ใช้กฎหมายเข้าดำเนินการจับกุมชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศอุทยานฯ รื้อถอน ทำลายพืชผลทางการเกษตร รวมถึงการนำกำลังเข้าบุกตัดฟันต้นยางพาราของชาวบ้าน ในคืนวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่าน"นายสวาท  กล่าว
 
นายสวาท กล่าวด้วยว่า เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร เป็นการรวมกลุ่มของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กทับที่ทำกินและที่ดิน ผู้เดือดร้อน 5  อ. ได้แก่ อ.กุดบาก อ.นิคมน้ำอูน อ.วาริชภูมิ อ.ส่องดาว จ.สกลนคร และ อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้รับทราบ และให้มีการดำเนินการร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ต่อไป
 
ทั้งนี้ แถลงการณ์เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร มีรายละเอียดดังนี้
 
 
 
แถลงการณ์เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร
 
            สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ เวลา๒๐.๓๐ น. ได้มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กพร้อมกำลังประมาณ ๔๐ นาย เข้าตัดฟันต้นยางพาราชาวบ้านในเขตพื้นที่ อ.วาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร จำนวน ๒ แปลง รวมพื้นที่เสียหาย ๒๑ ไร่ การปฏิบัติการบุกทำลายของเจ้าหน้าที่อุทยานฯในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้าระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมาเครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เรื่องการแก้ปัญหากรณีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างเขตอุทยานฯกับพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน มีการแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครเป็นประธาน กลไกนี้มีหน่วยงานทุกภาคส่วนเป็นคณะทำงานร่วม การทำงานที่ผ่านมา มีข้อตกลงเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ๑.ให้ชะลอการจับกุม ดำเนินคดีกับชาวบ้าน ๒.ให้ชาวบ้านสามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของตนได้ ๓. ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการถือครองในพื้นที่ทับซ้อน
 
            ปลายปี ๒๕๕๔ นายวสันต์ ปิ่นเงิน รับตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก แทนคนเดิม ไม่ดำเนินการตามมติข้อตกลงในการแก้ไขปัญหา แต่กลับไปใช้มาตรการทางกฎหมายข่มขู่ คุกคาม จับกุม ดำเนินคดีกับชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงการบุกตัดฟันต้นยางพาราในคืนวันที่ ๑๒ ดังกล่าว
 
            เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร เห็นว่าการกระทำดังกล่าว ไม่ใช่แนวทางในการแก้ไขปัญหามีแต่จะสร้างความขัดแย้งและจะนำไปสู่การเผชิญหน้า จึงให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ยุติการดำเนินการคุกคาม จับกุม ทำลายอาสินของชาวบ้าน จนกว่ากลไกการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะได้ข้อยุติ
 
            เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร ประณามการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการบุกทำลายต้นยางพาราในครั้งนี้ เป็นการกระทำเยี่ยงโจร โหดเหี้ยม ไร้ความปราณี
 
เครือข่ายไทบ้านผู้ไร้สิทธิสกลนคร
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕
 
 
000
 
 
 
กรณีปัญหาการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก
 
ความเป็นมาของปัญหา
 
ในช่วงปี พ.ศ.2537 อธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนั้น (นายผ่อง เล่งอี้) ได้มีคำสั่งให้มีการสำรวจพื้นที่เพื่อเตรียมประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยให้อยู่ในความดูแลของหน่วยป้องกันและรักษาป่า ที่ สน.8 โดยใช้ชื่อว่า อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก – ภูผาหัก ต่อมาได้มีอนุมัติให้ตัดคำว่า ภูผาหัก ออก และในปี 2539 รัฐโดยกรมป่าไม้ โดยสำนักงานป่าไม้เขตอุดรธานี ได้ดำเนินการสำรวจและรังวัดขอบเขตพื้นที่เพื่อเตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก เพิ่มเติม คือ ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงพระเจ้า ป่าดงพันนา ป่าแก่งแคน ป่าภูวง ป่ากุดไหนาใน ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้และสัตว์ป่าให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 เรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์
 
ในปี พ.ศ. 2544 หน่วยงานวิศวกรรมป่าไม้ กรมป่าไม้ ได้ดำเนินการรังวัดและปักหลักแนวเขตพื้นที่รอบนอกเพื่อจัดทำแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ โดยได้ผนวกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในบริเวณโดยรอบจำนวน 19 ป่า เข้าเป็นเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก รวมเนื้อที่ทั้งหมด ประมาณ 419 ตารางกิโลเมตร หรือ 261,875 ไร่ คลอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จ.สกลนคร จ.อุดรธานี และ จ.กาฬสินธุ์ ดังนี้
 
1.) จังหวัดสกลนคร ครอบคลุมพื้นที่สำรวจคิดเป็นร้อยละ 90 ประมาณ 377 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงพันนา ป่าสงวนแห่งชาติดงพระเจ้า เขต อ.สว่างแดนดิน และ อ.ส่องดาว ป่าสงวนแห่งชาติป่ากุดไฮ ป่าสงวนแห่งชาติป่านาใน และป่าสงวนแห่งชาติป่าโนนอุดม ท้องที่ อ.กุดบาก ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูวง ท้องที่ อ.วาริชภูมิ  อ.นิคมน้ำอูน และ  อ.กุดบาก จ.สกลนคร
 
2.) จังหวัดอุดรธานี ครอบคลุมพื้นที่ที่สำรวจคิดเป็นร้อยละ 4 ประมาณ 16.5 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าบะยาว ป่าสงสวนแห่งชาติป่าหัวนาคำ ป่าสงวนแห่งชาติป่านายูง ป่าสงวนฯ ป่าหนองกุงทับม้า ป่าสงวน ฯ ป่าหนองหญ้าไชย เขต อ.ศรีธาตุ ป่าสงวน ฯ ป่าบ้านจิต ป่าไชยวาน ป่าหนองหลัก ป่าดอนสาย  อ.หนองหาน  อ.ไชยวาน ป่าหนองหญ้าไซ ป่าท่าลาด ป่าวังชัย และป่าลำปาว ต.หนองหญ้าไซ  อ.วังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี
 
3.) จังหวัดกาฬสินธุ์ ครอบคลุมพื้นที่สำรวจคิดเป็นร้อยละ 6 ประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแก้งกะอาม ในต.ทุ่งครอง  อ.สหัสขันธ์ ต.แซงบาดาล  อ.สมเด็จ  (ปัจจุบันแยกเป็น อ.คำม่วง)
 
                                                                       
สภาพปัญหาและผลกระทบ
 
จากการรังวัดพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานนั้นได้ผนวกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติภูมผาเหล็ก นั้นได้ซ้อนทับที่ตั้งของชุมชน ที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกินของราษฎรจำนวน 6  อ. 9 ต. 3 จังหวัด 20 หมู่บ้าน โดยประมาณ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น
 
1.)   กระทบต่อที่ตั้งชุมชนและที่อยู่อาศัย ได้แก่
1.1.    บ้านบ่อแกน้อย บ้านหนองม่วง บ้านทรายทอง บ้านท่าวัด บ้านคำติ้ว ต.ปทุมวาปี อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
1.2.    บ้านหนองกุง บ้านชัยชนะ บ้านคำก้าว บ้านท่าศิลา บ้านภูตะคาม (ครอบคลุมทั้งหมู่บ้าน) ต.ส่องดาว ต.ท่าศิลา อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
1.3.    บ้านวังทอง บ้านสมสวัสดิ์ บ้านน้อยสุมณฑา ต.ผาสุก อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี
 
2.)   กระทบต่อที่ดินทำกินของชาวบ้าน ได้แก่
2.1) บ้านผาสุก ต.ผาสุก อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี
2.2) บ้านค้อเคียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร
2.3) ต.แซงบาดาล อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์
 
จากการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กทับที่ตั้งชุมชน ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของชาวบ้านนั้นได้ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา และเกิดความขัดแย้งในระดับพื้นที่ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ ได้แก่ เจ้าหน้าที่อุทยานในพื้นที่กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบเขตในการเข้าทำกินในที่ดินทำกิน โดยมีกระแสการข่มขู่ คุกคาม ขับไล่ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ ซึ่งจากการรังวัดและปักแนวเขตอุทยานนั้นหน่วยงานรัฐมิได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการชี้แนวเขต และการปักแนวเขตได้รุกล้ำที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน อีกทั้งการเข้าใช้ประโยชน์ในป่าที่ถูกกีดกันโดยในอดีตชาวบ้านสามารถเข้าเก็บหาของป่า หาฟืน เพื่อการยังชีพได้ ภายหลังมีการเตรียมการประกาศเขตอุทยานฯ และมีเจ้าหน้าที่เข้าไปอยู่ชาวบ้านไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้
 
การดำเนินการแก้ไขปัญหา
 
1.) วันที่ 19 มิถุนายน 2545 คณะกรรมเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ภูผาเหล็ก ได้รวมกันยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องการร้องเรียนเรียกร้องให้แก้ไขปัญหา ตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ให้เพิกถอนแนวเขตอุทยาน ให้เจ้าที่ในพื้นที่ยุติ การคุกคาม ข่มขู่ หรือ พูดจาไม่สุภาพกับชาวบ้าน และให้รื้อถอนสำนักงานที่ตั้งทับแหล่งน้ำซับของชาวบ้าน คณะกรรมการเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีอุทยานแห่งชาติทับที่ดินที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
 
2.) คณะกรรมการศูนย์ประสานงานเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ภูผาเหล็ก ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนให้แก้ไขปัญหาการประกาศอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กทับที่ดินของชาวบ้าน ต่อนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2545
 
3.) สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ มีหนังสือเลขที่ กษ 0100/4913 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2545 ถึงอธิบดีกรมป่าไม้ ให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหากรณีกลุ่มราษฎรและผู้นำท้องถิ่นได้ยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรฯ (นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์) เรื่องพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กทับที่ทำกินของชาวบ้านและกรณีเจ้าหน้าที่ป่าไม้พูดจาไม่สุภาพ ข่มเหงรังแกราษฎรและมีการก่อสร้างสำนักงานทับแหล่งน้ำซับของราษฎร
 
4.) หนังสือส่วนราชการสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ กษ 0100/ ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2545 ถึง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์) เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กตามข้อเรียกร้องของราษฎร ในวันที่ 19 มิถุนายน 2545 และขอแต่งตั้งคณะทำงาน ซึ่งสรุปผลได้ดังนี้ การปฏิบัติงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในวันที่ 15 สิหงหาคม 2545 โดยได้มีเวทีพบปะราษฎร อ.ส่องดาว จ.สกลนคร มีราษฎรเข้าร่วมจำนวน 400 – 500 คน โดยประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และมีข้อสรุปคือ ขอให้มีการปรับปรุงแนวเขตระหว่างอุทยานทับที่ทำกินของราษฎรและบางส่วนขอให้ยกเลิกเขตอุทยานและขอให้ไม่ให้จับกุมราษฎรที่เข้าเก็บหาของป่า
 
                        (1) กรณีสถานที่ก่อสร้างสำนักงานอุทยานฯ ได้มีการก่อสร้างไปแล้วและมีการก่อสร้างใกล้กับแหล่งนำซับของราษฎร ให้สำนักงานอุทยานแก้ไขโดยมีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านร่วมกับอุทยานดูแลไม่ให้มีน้ำเสียไหลลงสู่แหล่งน้ำกิน น้ำใช้ของราษฎร
 
                        (2) กรณีที่สำนักสงฆ์ อยู่ในเขตพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานเนื้อที่ 1,200 ไร่ ให้มีการแก้ไขโดยขอให้ทางอุทยานยกเลิกการกั้นทางขึ้นและให้ทำความเข้าใจกับเจ้าอาวาส เพื่อความร่วมมือในการทำงานและสำหรับพื้นทีวัดจะมีการเร่งเพื่อทำการประกาศให้ถูกต้อง
           
                        (3) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาให้ได้ข้อยุติและแก้ปัญหาได้เป็นการถาวร ให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาโดยให้ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(นายชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ) เป็นประธานและให้ข้าราชการในพื้นที่ ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่ร่วมเป็นคณะทำงาน
 
5.) หนังสือวันที่ 14 สิงหาคม 2545 นายแทน ขาวขันธ์ ผู้ใหญ่บ้านโคกตาดทอง ม. 5 ต.ค้อเคียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร และคณะกรรมการประสานงานกลุ่มอนุรักษ์ภูผาเหล็ก จำนวน 18 คน ร่วมด้วย นายสาคร พรมภักดี ส.ส. เขต 4 จ.สกลนคร นายจิต มีชาติ สมาชิกสภาจังหวัดสกลนคร ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนและคัดค้านกรณีการตั้งอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก พร้อมทั้งเสนอให้ตั้งเป็นเขตป่าชุมชนแทน
 
6.) หนังสือส่วนราชการ สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขที่ กษ 0100/6509 ลงวันที่ 23 กันยายน 2545 ลงชื่อ นายชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ เรื่องแจ้งให้ป่าไม้เขตอุดรธานี เข้าประชุมกรณีปัญหาพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก ในวันพุธ ที่ 25 กันยายน 2545 เวลา 10.00 น. ณ ห้องทำงานกระทรวงเกษตรฯ
 
7.) วันที่ 25 มกราคม 2546 สำนักนายกรัฐมนตรีมีหนังสือ ที่ นร. 0104.33/1544 ลงวันที่ 24 มกราคม 2546 ถึง นายทองชัย ฟองชน (ประธานกลุ่มเครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก) โดยอ้างถึงหนังสือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ นร. 0108.33/27174 ลงวันที่ 10 กันยายน 2545 เรื่องแจ้งให้ทราบกรณีการร้องเรียนของราษฎรโดยได้ส่งเรื่องถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแก้ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรแล้วและรายงานผลการพิจารณาข้อเรียกร้องของราษฎร ตามรายละเอียดหนังสือจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ ทส. 0913/42 ลงวันที่ 3 มกราคม 2546 เรื่องการชี้แจงรายละเอียดประเด็นร้องเรียนของราษฎร ซึ่งกรมป่าไม้ได้พิจารณาแล้วแจ้งผลให้ราษฎรทราบ โดยมีรายละเอียด คือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ตรวจสอบแล้ว เรื่องร้องเรียนเป็นเรื่องที่ราษฎรได้ยื่นหนังสือร้องเรียน ฉบับที่ 18 มิถุนายน 2545 ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์) ขณะนั้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2545 ซึ่งกรมป่าไม้เดิม ได้ตรวจสอบและรายงานผลให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ทราบ ตามหนังสือกรมป่าไม้ ที่ กษ 0712.3/1469 ลงวันที่ 26 กันยายน 2545 สรุปดังนี้
 
  1. กรณีการประกาศพื้นที่และรังวัดปักแนวเขตในปี 2544นั้น กรมป่าได้ตรวจสอบแล้วและสรุปผลว่าไม่มีการทับที่ของชาวบ้านแต่ย่างใด เป็นแต่พียงการรังวัดพื้นที่รอบนอกซึ่งจะมีการรังวัดพื้นที่ทำกินที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติในลักษณะไข่แดงออกจากเขตอุทยานแห่งชาติในโอกาสต่อไป
 
  1. กรณีเจ้าหน้าที่อุทยาน ฯ พูดจาไม่สุภาพและการข่มขู่ คุกคาม และขับไล่ชาวบ้านนั้นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ชี้แจงว่าเป็นการจับกุมราษฎรที่เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่อนุรักษ์
 
  1. กรณีการสร้างที่ทำการอุทยาน ฯ กรมป่าไม้อ้างว่าจุดที่ก่อสร้างนั้นเป็นป่าเต็งรัง อยู่ต่ำกว่าแหล่งน้ำซับของราษฎรและอยู่ห่างจากแหล่งน้ำและสิ่งก่อสร้างมีระบบบำบัดน้ำเสียแบบไบโอเซฟทั้งหมดจึงไม่มีปัญหากระทบต่อสิ่งแวดล้อม
 
8.) วันที่ 27 กันยายน 2545 ตัวแทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พันเอกทรงบุญ วุฒวงศ์ และนายชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ) ลงพื้นที่เพื่อรับเรื่องร้องเรียนของราษฎร แต่ไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด
 
9.) วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 ตัวแทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดย พันเอกทรงบุญ วุฒิวงศ์ เป็นประธาน ได้ประชุมร่วมกับชาวบ้านที่ประสบปัญหาอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กประกาศทับที่ จาก ต.ศิลา ต.ปทุมวาปี ต.ส่องดาว จังหวัดสกลนคร และ ต.ผาสุก จังหวัด อุดรธานี จำนวน 50 คน โดยประมาณ และมีข้อสรุปคือ
 
1.กรณีการประกาศอุทยานฯ ตัวแทนกระทรวงทรัพยากรฯ ยืนยันว่ายังไม่มีการประกาศเขตอุทยานฯ และจะไม่มีการประกาศอุทยาน ฯ หากราษฎรไม่ยินยอม
 
2.กรณีการติดป้ายประกาศเขตอุทยานแห่งชาติให้มีการตั้งอนุกรรมการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่โดยประกอบด้วยตัวแทนชาวบ้านที่ประสบปัญหา 5 ต. ประกอบด้วย ต.ปทุมวาปี ต.ศิลา ต.ส่องดาว ต.ผาสุก และเจ้าหน้าที่อุทยาน ฯ ให้ประชุมเพื่อหามติแลแนวทางร่วมกันร่วมกัน
 
10.) วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 คณะกรรมการเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ภูผาเหล็ก โดยมีนายทองชัย ฟองชล เป็นประธาน ได้ประชุมเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องและข้อตกลงร่วมกันระหว่างตัวแทนกระทรวงทรัพยากรฯ ในวันที่ 19 ก.พ.2547 กรณีการปลดป้ายอุทยานฯ และการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกันในการติดตามการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานรัฐและได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐให้ดำเนินการปลดป้ายอุทยานฯ และป้ายจำแนกเขตออกทั้งหมดภายใน 15 วัน และให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยุติการข่มขู่ คุกคาม หรือหวงกันไม่ให้ราษฎรเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทำกิน
 
พร้อมทั้งมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานงานฝ่ายราษฎรเพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 12 คน
 
11.) หนังสือ จากอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก เลขที่ ทส 0923.605/76 ลงวันที่ 20 เมษายน 2547 เรื่องการแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาพื้นที่เตรียมการอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก ตามหนังสือเรียกร้อง ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 10 (จ.อุดรธานี) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อสรุปปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหา จำนวน 5 คน ตามคำสั่งสำนักฯ 10 ที่ 1182/2547 ลงวันที่ 2 เมษายน 2547 ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐโดยมี ผ.อ. ส่วนป้องกันและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ เป็นหัวหน้าคณะ และหัวหน้าอุทยานฯ ภูผาเหล็ก เป็นคณะทำงานและเลขานุการ ทั้งนี้คณะทำงานที่แต่งตั้งขึ้นไม่มีรายชื่อของคณะกรรมการเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ภูผาเหล็กจำนวน 12 คน ตามรายชื่อที่ส่งในวันที่ 24 ก.พ. 2547 แต่อย่างใด
 
ข้อเรียกร้อง
 
ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในการประกาศอุทยานฯ ได้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อยื่นของเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐ โดยมีข้อเรียกร้อง คือ
 
1.) กรณีการชี้แนวเขตอุทยานรุกล้ำทับที่ดินทำกินของราษฎร ให้มีการเพิกถอนแนวเขตอุทยานที่ทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของราษฎร
 
2.) ให้สิทธิกับประชาชนในการมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน ในการใช้ประโยชน์และจัดการทรัพยากร   โดยประชาชน
 
3.) ให้มีการรื้อถอนที่ทำการอุทยานที่ก่อตั้งทับแหล่งน้ำซับที่เป็นแหล่งนำกินน้ำใช้ของชาวบ้าน
 
สถานการณ์ปัจจุบัน
 
1.) ยังไม่สามารถระบุได้ว่าอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายหรือไม่
 
2.) ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนรอบพื้นที่รวมกันเพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกการประกาศอุทยานแห่งชาติภูผาเหล็กในพื้นที่โดยเด็ดขาด
 
3.) ราษฎรใน ต.ปทุมวาปี  อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ทุกหมู่บ้าน ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรชาวบ้านเครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก โดยมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและอนุรักษ์ป่า
           

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บริหารคดีใหม่ 6 ศพวัดปทุม ไต่สวนการตายทุกวันพฤหัส เสร็จ 18 ก.ค.56

Posted: 18 Oct 2012 11:29 PM PDT

ผลการบริหารการไต่สวนการตายคดี 6 ศพ วัดปทุมฯ ใหม่ จะมีการไต่สวนทุกวันพฤหัสบดี เริ่ม 13 ธ.ค.55 ถึง 18 ก.ค.56 ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งต่อไป ทนายญาติมองตัดพยานออก 50 ปากไม่มีผลต่อคดีในส่วนที่เป็นสาระ ทำให้เร็วขึ้น เผยเตรียมดำเนินการตอบโต้ ปชป. หลังออกมารณรงค์ 'ชายชุดดำ' ปัดไม่ใช่ฝีมือ จนท.ทหาร

 

วานนี้(18 ต.ค.55) ที่ศาลอาญา กรุงเทพใต้ ได้มีการนัดคู่ความในคดีไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิต 6 ศพ ภายในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อ 19 พ.ค. 53 เพื่อทำการบริหารคดีใหม่อีกครั้ง โดยการบริการคดีใหม่ทั้ง 4 ครั้งนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.55 ได้ข้อสรุปว่า ในส่วนพยานของพนักงานอัยการ จากเดิมวางไว้กว่า 100 ปาก เหลือ 50 ปาก  ส่วนพยานของทนายญาติผู้เสียชีวิตเหลือ 15 ปาก โดยจะมีการไต่สวนทุกวันพฤหัสบดี ของสัปดาห์ เริ่ม 13 ธ.ค.55 เรื่อยไปจนถึง วันที่ 18 ก.ค.56 ก่อนที่ ศาลจะมีคำสั่งต่อไป

นายณัฐพล ปัญญาสูง ทนายญาติผู้เสียกล่าวว่า ผลจากบริหารคดีใหม่นั้นไม่ได้มีผลต่อคดีในส่วนที่เป็นสาระ แต่ทำให้ระยะเวลาในการไต่สวนลดลงมาอีก 2 เดือน

ก่อนหน้านี้มีกรณีการเสียชีวิตของนายกิตติชัย แข็งขัน ผู้ถูกยิงที่หลังและมือในเหตุการณ์ได้ถูกวางไว้เป็นพยานปากสำคัญในคดี ในฐานะพยาน 1 ใน 50 ปากของอัยการที่เหลือ แต่ได้เสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ทนายญาติเห็นว่า การเสียชีวิตของนายกิตติชัยยังไม่ถึงกับทำให้ทิศทางในการไต่สวนคดีเสียไป เนื่องจากมีประจักษ์พยานปากอื่นประกอบอยู่แล้วในเหตุการณ์ อีกทั้งกิตติชัยยังเคยให้การในชั้นพนักงานสอบสวนไว้แล้ว

ทนายความ กล่าวอีกว่า กรณีการรณรงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ในกรณี 6 ศพ วัดปทุมฯ ไม่ได้เป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่ทหารนั้น ในวันนี้ทนายของนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของนางกมนเกด อัคฮาด หนึ่งในผู้เสียชีวิตในคดี ได้ยืนคำร้องต่อศาลขอให้พรรคประชาธิปัตย์หยุดการรณรงค์หรือว่าร้ายดังกล่าว โดยเฉพาะนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่ศาลได้ชี้แจงว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาล อย่างไรก็ตาม ทางทนายของนายพะเยาว์จะมีการดำเนินการในทางอื่นต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น