โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ประชาไทสนทนา 'ฮิตเลอร์ หรือ ฮีโร่'

Posted: 22 Jul 2013 12:49 PM PDT

จากกรณีรูปวาดจอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าบรรดาซูเปอร์ฮีโร่อเมริกัน เช่น ซูเปอร์แมน แบทแมน ไอรอนแมน ยักษ์ร่างเขียว ฮัล์ค และซูเปอร์ฮีโร่สัญชาติญี่ปุ่นอย่างคาเมน ไรเดอร์ ในคัตเอาท์แสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนก่อให้เกิดความไม่พอใจและความโกรธเคืองจากองค์กรชาวยิว ทั้งยังเป็นคำถามและประเด็นถกเถียงต่อมาในโซเชียลมีเดีย รวมถึงมีการนำเสนอข่าวแพร่หลายไปในสื่อต่างๆ

ประชาไทขอนำเสนอบทสนทนาผ่านกรณีดังกล่าวว่าด้วย 'ฮิตเลอร์ หรือฮีโร่' จากมุมมองของสองนักวิชาการปรัชญาที่ศึกษาประวัติศาสตร์และการเมือง รศ.ดร.โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักปรัชญารุ่นใหม่ ปราชญ์ ปัญจคุณาธร มามองความรับรู้เกี่ยวกับฮิตเลอร์ในสังคมไทย มองการนำเสนอภาพฮิตเลอร์ปะปนกับซูเปอร์ฮีโร่ผู้กอบกู้โลก หรือการแต่งกายด้วยเครื่องแบบนาซีของเด็กนักเรียนไทย มีเหตุผลใดบ้างที่พอจะสนับสนุนได้ และทำไมชาวยิวและชาวตะวันตกจึงไม่สามารถมองเรื่องดังกล่าวให้เป็นเป็นเรื่องเบาสมอง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต. เขมรชี้ สม รังสี ไม่มีสิทธิลงแข่งเลือกตั้งทั่วไป

Posted: 22 Jul 2013 12:28 PM PDT

ประธาน กกต. กัมพูชา ระบุว่า สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านพรรคสงเคราะห์ชาติ (CNRP) ซึ่งเพิ่งกลับมายังกัมพูชา หลังลี้ภัยการเมืองนาน 4 ปี มีคุณสมบัติไม่ครบที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง

คณะกรรมการจัดการเลือกตั้งกัมพูชา ชี้ สม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคสงเคราะห์ชาติ (CNRP)  ของกัมพูชา ที่เพิ่งเดินทางกลับเข้าประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการได้รับการอภัยโทษ ไม่มีสิทธิในการลงแข่งเลือกตั้งทั่วไป โดยประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อิ่ม สุสดี ระบุว่า นายสม รังสี มีคุณสมบัติไม่ครบตามที่กำหนดไว้สำหรับการจดทะเบียนเป็นผู้สมัครการเลือกตั้งได้ 
 
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว สม รังสี ถูกถอนสิทธิจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากถูกตัดสินจำคุก 11 ปี จากคดีที่เขาระบุว่าเป็นคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เขาลี้ภัยออกนอกประเทศเมื่อปี 2552 หลังจากถูกตัดสินในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง และยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธ์
 
ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งระบุว่า เนื่องจากทางพรรค มิได้ส่งชื่อสม รังสี เป็นผู้สมัครตั้งแต่แรก จึงไม่มีสิทธิลงสมัคร และช้าเกินไปแล้วหากจะยื่นในตอนนี้ ในขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 28 ก.ค. ที่จะถึงนี้
 
ด้านตัวแทนฝ่ายค้าน มองว่าการตัดสินดังกล่าวของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นการบงการของพรรคประชาชนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น ผู้ปกครองกัมพูชามาแล้ว 28 ปี 
 
ก่อนหน้านี้ สม รังสี เคยให้สัมภาษณ์กับเรดิโอ ฟรี เอเชียด้วยว่า หากตนเองไม่ได้รับสิทธิในการลงสมัครเลือกตั้ง ประชาชนจะลุกขึ้นมาประท้วง และประชาคมนานาชาติจะมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สองบล็อกเกอร์มาเลเซียถูกจับหลังโพสต์รูปชวนกินบักกุ๊ดเต๋

Posted: 22 Jul 2013 11:15 AM PDT

สองเซ็กส์บล็อกเกอร์ชาวมาเลเซีย ซึ่งโพสต์ภาพเชิญชวนรับประทาน "บักกุ๊ดเต๋" หรือซุปตุ๋นกระดูกหมู ในช่วงเดือนรอมฎอน ถูกจับกุมและตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายว่าด้วยความสามัคคีระหว่างเชื้อชาติศาสนา กฎหมายปลุกระดมยุยง ฯลฯ อัตราโทษรวมกันสูงถึง 10 ปี โดยทั้งคู่จะไม่ได้รับการประกันตัวจนกว่าศาลจะเริ่มพิจารณาคดี 23 ส.ค.

เซ็กส์บล็อกเกอร์ชาวมาเลเซีย โพสต์พร้อมภาพขณะกำลังรับประทานบักกุ๊ดเต๋ พร้อมเขียนคำบรรยายว่า "หยุดถือศีลอดอย่างมีความสุข กับบักกุ๊ดเต๋  หอม อร่อย น่ากินมาก" และติดเครื่องหมายฮาลาลในรู

ภาพดังกล่าวถูกตีความว่าล่วงเกินอย่างรุนแรง เพราะเนื้อหมูเป็น "ฮะรอม" หรือต้องห้ามสำหรับมุสลิม และภาพดังกล่าวมีสัญลักษณ์ "ฮาลาล" หรือการอนุญาต ติดที่อยู่ที่มุมซ้ายล่าง แม้ทั้งสองจะอ้างว่าภาพดังกล่าวทำขึ้นเพื่อความขบขัน แต่มันถูกมองว่าไม่ให้ความเคารพอย่างรุนแรง นอกจากนี้สิ่งที่น่าจะทำให้คนไม่พอใจมากขึ้นไปอีก คือผู้โพสต์มีอาชีพเป็นนักจัดรายการเกี่ยวกับเซ็กส์บนยูทูบ

บล็อกเกอร์ทั้งสองคนถูกขังและไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว จนกว่าศาลจะพิจารณาอีกครั้งในเดือนหน้า (23 ส.ค.) และถูกตั้งข้อหาตามกฎหมาย 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.เซ็นเซอร์ภาพยนตร์ (Film Censorship Act) กฎหมายอาญามาตรา 298A ว่าด้วยความสามัคคีระหว่างเชื้อชาติศาสนา และ พ.ร.บ.การปลุกระดมยุยง (Sedition Act) มีโทษสูงสุดรวมกัน 10 ปี ปรับไม่เกิน 55,000 ริงกิต (ประมาณ 535,000 บาท)

ทั้งนี้ ช่วงดังกล่าวอยู่ในช่วงรอมฎอน หรือช่วงถือศีลอดของผู้นับถือศาสนาอิสลาม
 

 

ข่าวจาก : The Huffington Post 

ที่มา: Thai Netizen Network

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ฮิตเลอร์

Posted: 22 Jul 2013 09:23 AM PDT

ประกาศไว้ก่อนเลยครับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจุฬาฯ เพราะจุฬาฯ ได้รับสารภาพไปแล้วว่าตัวรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไร้เดียงสา หากจะเกี่ยวข้องบ้างก็คงเป็นองค์กรต่างๆ ที่ชอบประเมินอันดับมหาวิทยาลัย เพราะจุฬาฯ ถูกประเมินเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ แห่งหนึ่งของไทย

มันจึงเจ็บปวดมากหน่อย

ผมเพียงแต่ไม่อยากเห็นสังคมไทยเดือดเนื้อร้อนใจกับการประท้วงของสมาคมยิวในสหรัฐเกี่ยวกับฮิตเลอร์มากเกินไป เพราะผมคิดว่าฮิตเลอร์กลายเป็นบุคคลที่ถูกบังคับลืมอย่างไร้เหตุผล และในระยะยาวอาจเป็นอันตรายต่อสังคมที่ลืมเขาเสียด้วย

ผู้สำเร็จการศึกษาระดับสูงจากเยอรมนีบอกผมว่า ในเยอรมนีเองก็มีกฎหมายอาญาห้ามแสดงสัญลักษณ์นาซีหรือยกย่องสรรเสริญฮิตเลอร์ (ห้ามอะไรบ้างผมอาจจำผิด เอาเป็นว่าห้ามในสิ่งที่ผมไม่เห็นว่าน่าจะห้าม) เป็นกฎหมายอาญาก็หมายความว่าใครฝ่าฝืนทำก็จะมีโทษ

แล้วก็มีสมาคมยิวในสหรัฐ ที่คอยประท้วงคนทั้งโลก ถ้าใครเอ่ยเรื่องฮิตเลอร์ หรือแสดงเครื่องหมายสวัสดิกะ

ในกรณีเยอรมนีนั้นผมพอจะเข้าใจได้ หลังสงคราม เยอรมนีต้องแสดงให้คนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่ตัวเคยไปรุกรานไว้มั่นใจว่า เยอรมนีจะไม่หวนคืนกลับไปเป็นอาณาจักรไรซ์ใหม่อีกแล้ว ส่วนกรณีสมาคมยิวในสหรัฐ ก็คงมีเหตุผลอะไรในสังคมยิวอเมริกันที่ทำให้เขาต้องกระตือรือร้นคอยขัดขวางความทรงจำของคนอื่นเกี่ยวกับฮิตเลอร์

ในเมืองไทยนั้น เสรีภาพการแสดงออกถูกขัดขวางมากและบ่อยเสียจน ผมไม่อยากเห็นการเพิ่มประเด็นห้ามโน่นห้ามนี่เข้าไปอีก แค่นี้ก็ถึงคอหอยแล้วนะครับ

ผมไม่ปฏิเสธว่า ฮิตเลอร์เป็นคนไม่ดี อย่างเดียวกับพระเทวทัตก็เป็นคนไม่ดี นายพลปิโนเชต์ก็ไม่ดี โรเบสปิแอร์ก็ไม่ดี นโปเลียนก็ไม่ดี แต่เอ๊ะเดี๋ยวก่อน หากไม่มีกฎหมายและศาสนาบังคับไว้ จะว่าคนเหล่านี้ไม่ดี คงมีคนเถียงอยู่ไม่น้อย ไม่ได้เถียงว่าเขาดีนะครับ แต่เถียงว่าในท่ามกลางสิ่งไม่ดีที่เขาทำไว้นั้น บางเรื่องเป็นรากฐานของรัฐชาติในปัจจุบัน บางเรื่องเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ โดยผู้ทำเองไม่ได้ตั้งใจ

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มีเหตุผลบางอย่างในประวัติศาสตร์ที่ทำให้สิ่งไม่ดีที่เขาทำนั้น เป็นผลรวมจากเงื่อนไขอื่นๆ อีกหลายอย่างมากกว่าการตัดสินใจทำของเขาคนเดียว ผมขอยกตัวอย่างนโปเลียนซึ่งเที่ยวรุกรานไปทั่วยุโรป จนทำให้เกิดยุคแห่งสงครามนองเลือดที่น่าเศร้ายุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุโรป แต่ความเป็นศัตรูระหว่างมหาอำนาจอื่นในยุโรปต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส นโปเลียนไม่ได้ก่อขึ้น จะมีหรือไม่มีนโปเลียน ประเทศราชาธิปไตยต่างๆ (ไม่รวมอังกฤษ แต่รวมอังกฤษ) ก็พยายามทำสงครามโค่นล้มฝรั่งเศสที่ปฏิวัติลงให้ได้

ยิ่งกว่านี้ ผู้นำฝรั่งเศสหลังปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นโปเลียนหรือใครก็ตาม ย่อมรู้สึกเหมือนกันว่าฝรั่งเศสได้ค้นพบระบอบปกครองที่ยุติความอยุติธรรมลงได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งประเทศอื่นน่าจะนำไปใช้ นี่คิดแบบบริสุทธิ์ใจนะครับ คนที่คิดว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมืออย่างดีในการขยายอำนาจของฝรั่งเศส หรือแม้แต่ขยายอำนาจของตนเอง ก็มีอีกแยะ และน่าจะแยะกว่าพวกที่คิดเชิงอุดมการณ์บริสุทธิ์ด้วยซ้ำ

นโปเลียนก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่คิดอย่างนั้น แต่แม้ไม่มีนโปเลียน โบนาปาร์ต ก็คงมีใครอีกสักคนที่พบว่า ประชาธิปไตยของรัฐชาติทำให้สามารถเกณฑ์ทัพได้จากมวลชน สร้างกองทัพประจำการแบบใหม่ที่มีฐานจากมวลชนขึ้นมา ถึงรบไม่เก่งเท่านโปเลียนก็คงปราบกองทัพโบราณของปรัสเซียและออสเตรียลงได้ไม่ยาก และก็อาจเผลอใจว่าจะปราบรัสเซียได้เหมือนนโปเลียนด้วย

ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อชวนตั้งคำถามว่า ความดี-ความชั่วของบุคคลในประวัติศาสตร์นั้น เป็นผลผลิตของบุคคลผู้นั้น หรือของประวัติศาสตร์กันแน่

ตอบแบบไทยๆ คือไม่เอากับข้างไหนฝ่ายเดียว แต่ขอเลือกเส้นกลางๆ ไว้ก่อนก็คือ เป็นทั้งสองอย่าง ประวัติศาสตร์ก็มีส่วนผลิตความชั่วนั้นขึ้นมา เท่าๆ กับคนเลวก็ผลิตขึ้นมาด้วย เพียงเท่านี้ฮิตเลอร์ก็รับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเพียงครึ่งเดียวแล้ว (ครึ่งนี่แบ่งกันแบบง่ายๆ นะครับ อาจเกินครึ่งหรือน้อยกว่าครึ่งก็ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ)

ด้วยเหตุดังนั้นผมจึงอยากชวนตั้งคำถามต่อไปว่า หากฮิตเลอร์เกิดใหม่ จะสามารถทำให้เยอรมนีในปัจจุบันสถาปนาอาณาจักรไรซ์ขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ ผมคิดว่าไม่ได้ เพราะขาดเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ-สังคม-การเมืองบางอย่าง ที่ทำให้คนเยอรมันพร้อมจะกลายเป็นมวลชนเซื่องๆ ของฮิตเลอร์ หรือยิ่งไปกว่านั้น หากฮิตเลอร์เกิดเป็นคนอังกฤษ, ฝรั่งเศส, อเมริกัน, ไทย, จีน ฯลฯ จะสามารถเปลี่ยนรัฐเหล่านั้นไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จได้สมบูรณ์อย่างที่ทำในเยอรมนีช่วงนั้นได้หรือไม่ ผมคิดว่าก็ไม่ได้อีก ด้วยเหตุผลเดียวกัน

ฮิตเลอร์เป็นคนชั่วแน่ แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าใจอดีตเพียงการตัดสินคนในประวัติศาสตร์ว่าดีหรือชั่ว เพราะไม่ทำให้เราเข้าใจได้ถ่องแท้เลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น เกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขทางสังคม, วัฒนธรรม, เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างไร ได้แต่นั่งท่องจำรายชื่อคนดีคนชั่วไว้ฉลองกัน กลายเป็นพิธีกรรมของชาดกแห่งชาติ

ถ้ามองฮิตเลอร์ในฐานะปรากฏการณ์ เขาพัฒนาระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จได้สมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่ามุสโสลินีในอิตาลี และยิ่งกว่าสตาลินในโซเวียตเสียอีก เผด็จการเบ็ดเสร็จเป็นปรากฏการณ์ซึ่งเกิดขึ้นหลังประมาณทศวรรษ 1930 เป็นระบอบและเป็นสังคมที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เพราะเผด็จการเบ็ดเสร็จไม่ได้เพียงแต่ยึดอำนาจรัฐไว้เฉยๆ หากเป็นระบอบที่พยายามจะเปลี่ยนทั้งธรรมชาติของรัฐและคนในรัฐ ด้วยการทำให้มวลชนยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่ (ด้วยการปลุกระดมอย่างเข้มข้นบวกกับการทำให้กลัว... ที่น่าสนใจคือไม่ใช่กลัวอำนาจรัฐนะครับ แต่กลัวเพื่อนไม่คบ กลัวเพื่อนบ้านรายงาน กลัวถูกออกจากงาน ฯลฯ กลัวตัวเองแหละครับ)

เผด็จการเบ็ดเสร็จตายจากเราไปเรียบร้อยแล้ว หรือยังอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง ถ้าดูจากความพยายามหรือความผันผวนในหลายประเทศทั่วโลก ก็จำเป็นต้องกล่าวว่า มันยังไม่ได้ไปไหนไกล หลายเงื่อนไขที่เกิดขึ้นแม้ในเมืองไทยเราเอง ก็อาจนำไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จหรือเงาของมันได้ อย่างเช่นเมื่อคุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง พูดว่า แผ่นดินนี้เป็นของพ่อ ใครไม่รักพ่อก็ออกไปจากแผ่นดินนี้ ผู้คนปรบมือกันเกรียว สื่อกระแสหลักรายงาน โดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นเป็นอื่น ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับคุณพงษ์พัฒน์อย่างนั้นจริง ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ผมไม่เชื่อว่าคนพร้อมเพรียงกันเห็นด้วยเช่นนั้น เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ของคนที่ไม่เห็นด้วยกลัวตัวเองเกินกว่าจะเปล่งเสียงอะไรได้ บรรยากาศของการทำให้ผู้คนกลัวตัวเองจะกลายเป็น "อื่น" ในสังคมนี่แหละครับ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดเผด็จการเบ็ดเสร็จหรือเงาของมันได้ดี

และด้วยเหตุดังนั้น ฮิตเลอร์และนาซีจึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ ควรศึกษา เพื่อธำรงรักษาสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์เอาไว้ จะใส่ใจศึกษาได้ก็ต้องไม่ตกอยู่ใต้กระบวนการบังคับลืม การแสดงภาพฮิตเลอร์และนาซีอย่าง "รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไร้เดียงสา" ที่นักเรียนไทยตั้งแต่ระดับมัธยมถึงมหาวิทยาลัยกระทำนั้น คือผลของกระบวนการบังคับลืมไม่ใช่หรือ

ยิวและยิปซีคือเหยื่อ ปัญหาคือเหยื่อของใคร? เรามักคิดว่าเป็นเหยื่อของนาซี แต่ที่จริงแล้วก่อนจะตกเป็นเหยื่อของนาซี พวกเขาตกเป็นเหยื่อของสังคมเยอรมันก่อน กล่าวคือในท่ามกลางความอับจนในทุกหนทาง ไม่ว่าเงินเฟ้อจนเงินกลายเป็นเศษกระดาษ, ความไร้อำนาจของรัฐชาติ, ความวุ่นวายปั่นป่วนที่เกิดขึ้นแทบทุกวันในสังคม ฯลฯ คนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จะเหลือความเชื่อมั่นตนเองได้อย่างไร นอกจากสร้างแพะขึ้นมารับบาป ยิวเป็นแพะที่เหมาะเจาะที่สุด ดังนั้นทฤษฎีเชื้อชาติอภิชนและเชื้อชาติมลทินของนาซีจึงฟังขึ้น และเป็นฐานให้แก่การขจัดยิวให้หมดไปจากสังคม จะขจัดอย่างไร ผู้คนก็พร้อมจะหลับตาเสีย ขอให้ขจัดออกไปเท่านั้น

อย่างที่คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ หลับตาให้แก่การสังหารหมู่คนเสื้อแดงกลางเมือง และพร้อมจะรับทฤษฎีคนชุดดำทันที หรือหลับตาให้แก่ความอยุติธรรมที่ชาวมลายูมุสลิมได้รับจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือปลาบปลื้มกับการฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด

ทั้งโลกเราเวลานี้ มีคนที่ถูกผลักให้เป็นแพะอยู่เต็มไปหมด หากเราอยากขจัดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริง เราต้องไม่ลืมฮิตเลอร์และนาซี เพราะฮิตเลอร์และนาซีบอกให้เรารู้ว่า ความไร้ระเบียบที่กินเวลานานๆ นั้นเป็นอันตรายในตัวของมันเอง เพราะมันเปลี่ยนให้เรากลายเป็นคนฆ่าแพะ

อนึ่ง "ล้างเผ่าพันธุ์" (ethnic cleansing) ในโลกปัจจุบันอาจผิดฝาผิดตัว ในโลกทุกวันนี้มีการฆ่าล้างผลาญคนต่างศาสนา แม้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ต่างความเห็นทางการเมือง ต่างรัฐ ต่างค่าย ฯลฯ อย่างเปิดเผยเสียยิ่งกว่าค่ายกักกันที่แอบสร้างอยู่ตามราวป่าของนาซีเสียอีก

เพื่อจะโค่นซัดดัม กองเรือที่หกของสหรัฐส่งเครื่องบิน จรวด และปืนใหญ่ถล่มอิรักเหมือนพลุในงานฉลองวันชาติ แต่เป็นพลุที่จุดตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลาหลายวัน มีเหยื่อพลเรือน "เด็ก ผู้หญิง คนชรา และชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ประกันขนมปังให้ครอบครัว" เป็นแสนที่ถูกล้างผลาญ แน่นอนสหรัฐไม่ได้มีเจตนา "ล้างเผ่าพันธุ์" แต่มันมีอะไรต่างกันหรือ เช่นเดียวกับการตอบโต้การก่อการร้ายด้วยการทำอย่างเดียวกันกับเลบานอนและปาเลสไตน์ โดยไม่อาจหาเป้า "ทางทหาร" ที่แน่นอนชัดเจนได้ จึงต้องปูพรมไว้ก่อน มันมีอะไรต่างกันกับการฆ่า "ล้างเผ่าพันธุ์" โดยสาระหรือ

ผมไม่ปฏิเสธว่า การก่อการร้ายเช่นถล่มตึกทำลายชีวิตคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เป็นพัน หรือระเบิดพลีชีพเพียงเพื่อให้ "ฝ่ายเขา" ต้องตายเกลื่อนคือการฆ่าล้างผลาญอย่างหนึ่ง

ยิ่งกว่านี้ ผมไม่มีเจตนาจะบอกว่า เพราะอิสราเอลฆ่าล้างผลาญชาวอาหรับในปาเลสไตน์และเลบานอน เราจึงควรยกย่องฮิตเลอร์ที่เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ตรงกันข้ามเลย เราต้องพยายามทำความเข้าใจการกระทำของฮิตเลอร์ให้ดี เพื่อที่ว่าเราจะพบหนทางยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือการฆ่าล้างผลาญที่ไม่จำเป็นนี้ลงให้ได้ ไม่ว่าจะกระทำโดยชาวเยอรมัน, อเมริกัน, อาหรับ, ยิว หรือทหารไทย

โดยไม่มีเจตนาจะปกป้อง "ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไร้เดียงสา" แต่ผมอยากพูดว่า กระบวนการบังคับลืมฮิตเลอร์และนาซีต่างหากที่ทำให้เรายิ่งอยู่ไกลจากเป้าหมายยุติการฆ่าล้างผลาญให้หมดไปโดยสิ้นเชิง

 

 

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การจัดตั้งแรงงานนอกระบบ: เกร็ดเบื้องต้นเกี่ยวกับ ‘SEWA’ การรวมตัวของคนงานหญิงในอินเดีย

Posted: 22 Jul 2013 07:32 AM PDT

"สหภาพแรงงานคือการมารวมตัวกัน ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านใคร เพียงแค่มารวมตัวกันเพื่อตัวเองเท่านั้น"

 

Ela Bhatt
ผู้ก่อตั้งสมาคมคนงานหญิงที่ทำงานแบบเหมาช่วง
(Self-Employed Women's Association of India - SEWA)

 

เช่นเดียวกับในหลายภูมิภาคของโลก "แรงงานนอกระบบ" ในอินเดียต้องเผชิญกับปัญหาค่าจ้างต่ำ ไม่มีสัญญาจ้าง ไร้สวัสดิการ และไม่มีนายจ้างชัดเจนที่จะเรียกร้องให้ปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะแรงงานหญิงที่ยากจน ถูกกีดกันจากการบริการทางสังคม และด้วยสถานะแรงงานนอกระบบในฐานะคนทำงาน "รับเหมา" ที่มักจะถูกเรียกอย่างสวยหรูว่าการเป็น "นายของตัวเอง" แต่กลับไร้ตัวตนในกฎหมายแรงงาน ซึ่งแรงงานหญิงเหล่านี้ถือว่าเป็นแรงงานที่อ่อนแอที่สุด (เมื่ออยู่อย่างปัจเจก) ไม่มีศักยภาพต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง นายหน้ารับเหมา หรือรัฐได้

เอลา ภัทร (Ela Bhatt) ผู้ก่อตั้ง SEWA

ปัญหาเหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้ เอลา ภัทร (Ela Bhatt) นักกฎหมายประจำสมาคมแรงงานสิ่งทออินเดีย (Textile Labour Association - TLA) ได้เชิญชวนคนงานและผู้ประกอบการขนาดเล็กที่เป็นผู้หญิงมารวมกลุ่มกันจัดตั้งสมาคมคนงานหญิงที่ทำงานแบบเหมาช่วง (Self-Employed Women's Association of India - SEWA) ขึ้นมา

SEWA เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1972 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Ahmedabad รัฐ Gujarat ถึงแม้จะมีลักษณะการจัดการองค์กรแบบสหภาพแรงงาน แต่ก็ยังมีการปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น สหกรณ์คนงาน ธนาคารสำหรับคนงาน (จากนั้นจึงแตกตัวออกมาเป็นองค์กรพี่น้องในภายหลัง) ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจยกระดับมาตรฐานชีวิตของคนงาน โดย SEWA ได้พัฒนามาถึงจุดที่มีสมาชิกที่จ่ายค่าบำรุงสมาคมถึง 966,139 คน เลยทีเดียว (ในปี ค.ศ. 2008) 

นอกจากนี้ SEWA ยังมีกิจกรรมการสอนหนังสือให้กับสมาชิก ฝึกอบรมทักษะในด้านต่างๆ หาช่องทางทำการตลาด การให้บริการด้านอื่นๆ รวมทั้งเป็นองค์กรที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับการผลักดันนโยบายคุ้มครองคนงานทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติอีกด้วย

เป้าหมายของ SEWA ไปไกลกว่าการส่งเสริม "การจ้างงานเต็มที่" และการ "พึ่งพาตนเอง" ของคนงาน แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องสวัสดิการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร, ที่พักอาศัย, การเลี้ยงดูบุตร, สวัสดิการด้านสุขภา, การประกันสังคม และที่สำคัญที่สุดที่ SEWA เล็งเห็นก็คือการ "เพิ่มอำนาจต่อรอง" ให้กับคนงานหญิง

ดังคำกล่าวของเอลา ภัทร ที่ว่า"สหภาพแรงงานคือการมารวมตัวกัน ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านใคร เพียงแค่มารวมตัวกันเพื่อตัวเองเท่านั้น" โดยปัญหาสำคัญของการรวมตัวแบบ "สหภาพแรงงาน" เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นจะต้องมีคู่เจรจา แต่สำหรับคนงานเหมาช่วงก็มักจะมีคำถามว่าต้องเจรจากับใคร เพราะส่วนใหญ่มักจะต้องทำงานภายใต้ลักษณะที่ไม่มีนายจ้างอย่างชัดเจน

ดังนั้นการมารวมตัวกันเฉยๆ ก็ยังไม่อาจจะทำให้ค่าแรงและสวัสดิการของคนงานเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ SEWA จึงต้องหาทางเจรจากับใครสักคนหรือมากกว่านั้น โดยในช่องทางกรอบกฎหมายนั้น SEWA พยายามชี้ให้เห็นถึงประเด็น "การอยู่ใต้บังคับ" (subordination) ให้คนงานพยายามพิสูจน์ต่อความเชื่อมโยงในการทำงานของตนกับนายหน้าและนายจ้างเจ้าของสินค้าที่จ้างคนงานผลิต

รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ให้ความสะดวกและเป็นธรรมแก่คนงานทั้งในและต่างประเทศ (SEWA ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลก) นอกจากนี้ SEWA ยังได้ส่งตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมการไตรภาคีในการปฏิรูปกฎหมายแรงงานเพื่อให้ความคุ้มครองแก่แรงงานนอกระบบอีกด้วย

SEWA ยังได้ใช้ช่องทางมากกว่ากรอบกฎหมาย (ที่ไม่เอื้อแรงงานนอกระบบเปิดโต๊ะเจรจาต่อรอง) ควบคู่กันไปด้วย ในการสร้างช่องทางเจรจาต่อรองโดยมุ่งเป้าไปที่ฐานอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น การกดดันให้นักการเมืองท้องถิ่นใช้ระบบไตรภาคีเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อต่อรองกับรัฐบาลและนายจ้าง (ผู้จ้างผลิตสินค้า)

ทั้งนี้ในการรณรงค์ของ SEWA นอกจากจะเพิ่มความตระหนักรู้ให้มวลสมาชิกแล้ว ยังมีเป้าหมายในการหาสมาชิกใหม่ๆ รวมทั้งกดดันให้นักการเมืองรัฐบาลและนายจ้างมาเจรจาต่อรอง เพื่อกำหนดในเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการ และการเข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐ

แผนภูมิภาพความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรพี่น้อง (SEWA's Sister Organizations)

ตัวอย่างของการขยายงานแตกตัวออกมาเป็นองค์กรพี่น้องของ SEWA (SEWA's Sister Organizations) เพื่อสนับสนุนการรวมตัวของคนงานและผู้ประกอบการรายย่อย ก็มีอาทิเช่น ธนาคาร SEWA (SEWA Bank) แหล่ง "ออมเงินและเงินทุน" สำหรับสมาชิก เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยแพง ก่อตั้งเริ่มแรกจากการเก็บเงินสมาชิกคนละ 10 รูปี ปัจจุบันมีเงินหมุนเวียนในธนาคารมากกว่า 350 ล้านรูปี สถาบันฝึกฝน SEWA (SEWA Academy) แหล่งบ่มเพาะให้สมาชิกกลายเป็น "นักกิจกรรม" ให้ทั้งการศึกษาและฝึกฝนความเป็นผู้นำในชุมชน หน่วยวิจัย SEWA (SEWA Research) ผลิตงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการทำงานให้กับ SEWA เป็นต้น

SEWA กลายเป็นแรงบันดาลให้กับองค์กรที่ทำงานกับแรงงานนอกระบบอีกหลายองค์กร อาทิ เครือข่ายจัดตั้งผู้หญิงในเศรษฐกิจนอกระบบ (Women in Informal Employment: Globalizing and Organizing - WIEGO) ซึ่ง SEWA เองก็มีส่วนในการก่อตั้ง WIEGO ด้วย ทั้งนี้องค์กรที่ทำงานใกล้ชิดกับ WIEGO ได้แก่ Home Net อันเป็นการรวมตัวกันของแรงงานที่รับงานไปทำที่บ้าน และ Street Net อันเป็นองค์กรที่คนค้าขายหาบเร่แผงลอยและอาชีพอิสระอื่นๆ มารวมตัวกัน

 

สรุปประเด็นสำคัญในการจัดตั้งของ SEWA

- มีการเก็บค่าสมาชิกอย่างจริงจัง

- ดำเนินกิจกรรมในหลายมิติ โดยสร้างองค์กรพี่น้องรับผิดชอบเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะในแต่ละเรื่อง

- เชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนงานเหมาช่วงกับผู้ว่าจ้างผลิต เพื่อนำไปสู่การหาคู่เจรจาต่อรอง

- ใช้ช่องทางการเรียกร้องทั้งตามกรอบกฎหมาย และนอกกรอบที่ระบุไว้ตามกฎหมาย

- สร้างโอกาสเจรจาต่อรองกับผู้มีอำนาจทางการเมือง

 

 

เรียบเรียงจาก:

ความยุติธรรมถ้วนหน้า แนวปฏิบัติเพื่อสิทธิคนงานยุคเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ (โซลิแดริตี้ เซ็นเตอร์, 2006)

http://en.wikipedia.org/wiki/Ela_Bhatt (เข้าดูเมื่อ 22/7/2013)

http://en.wikipedia.org/wiki/Self-Employed_Women's_Association_of_India (เข้าดูเมื่อ 22/7/2013)

http://www.sewa.org/ (เข้าดูเมื่อ 22/7/2013)

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 16 - 22 ก.ค. 2556

Posted: 22 Jul 2013 03:30 AM PDT

การ์เมนต์เหนืออ่วมพิษต้นทุนพุ่งแห่ย้ายฐานซบกัมพูชา 


นายวีระยุทธ สุขวัฑฒโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอนเฟ็ดเดอร์เรท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำขึ้นเป็น 300 บาท รวมถึงต้นทุนการผลิตทั้งระบบที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจสิ่งทอ-ตัดเย็บเสื้อ ผ้าเพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น ทำให้ผู้ประกอบการเร่งปรับตัวและเตรียมแผนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อน บ้าน เพื่อพึ่งพาแรงงานที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า

นอกจากนี้ ล่าสุดกลุ่มบริษัทที.เค. การ์เม้นท์ ผู้ผลิตและส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ได้เข้าไปลงทุนเพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาดย่อมในประเทศกัมพูชา เพื่อรองรับธุรกิจเอสเอ็มอีจากประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ราวปี 2557 โดยมีกลุ่มการ์เมนต์และรองเท้าที่สนใจจะย้ายฐานการผลิตไปยังกัมพูชาประมาณ 20 ราย

"เรามีแผนจะย้ายไปเช่นกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างหาผู้ร่วมทุนในฝั่งกัมพูชา หากเป็นไปตามแผนคาดว่าจะย้ายเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวปลายปี 2557 เรามีต้นทุนค่าขนส่งเฉลี่ยกว่า 10 ล้านบาทต่อปี เมื่อย้ายฐานการผลิตไปยังกัมพูชาต้นทุนจะลดเหลือเพียง 5 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ค่าแรงงานมีต้นทุนอยู่ราว 26 ล้านบาทต่อปี หากย้ายฐานไปอาศัยแรงงานกัมพูชาต้นทุนจะอยู่ที่ 8 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น"

นาย วีระยุทธกล่าวว่า ตอนนี้บริษัทได้ลดพนักงานแผนกตัดเย็บลงไปจำนวนหนึ่ง จากเดิมมี 145 คน เหลือ 133 คน และเตรียมจะลดจำนวนพนักงานอีกในช่วงหลังเดือนกันยายน เพราะหลังจากที่บริษัทได้ปรับราคาสินค้าใหม่ตามต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำเข้าจากเยอรมนีที่ค้าขายกันมานานปฏิเสธที่ จะสั่งซื้อสินค้าในปีนี้ และหันไปสั่งซื้อสินค้าจากจีนที่มีต้นทุนค่าแรงถูกกว่าแทน

"เมื่อปี 2554 เรามีลูกค้าต่างประเทศ 5 ราย แต่หลังจากมีการปรับค่าแรงงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ลูกค้าได้หยุดการสั่งซื้อไปถึง 4 ราย เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น และปีนี้เหลือเพียง 1 รายเท่านั้น"

ขณะนี้นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เค.การ์เม้นท์ จำกัด ผู้รับจ้างผลิตเสื้อผ้ายี่ห้อดังของต่างประเทศ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 600 ล้านบาท เพื่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ บนเนื้อที่ 350 ไร่ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ศรีโสภณ อินดัสเทรี่ยล พาร์คจำกัด ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ภาคตะวันตกของประเทศกัมพูชา ซึ่งจะสามารถรองรับโรงงานได้ 30 แห่ง

ขณะ นี้ก่อสร้างไปแล้ว 30-40% มียอดจอง 10% ระยะเวลาเช่า 40 ปี ราคา 1,050-1,350 บาท/ตารางวา กำหนดแล้วเสร็จกลางปี 2557 ขณะนี้มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอในไทยเข้าไปจองแล้ว 3 ราย ที่เหลือเป็นโรงงานจากญี่ปุ่นและยุโรป โดยกฎหมายการลงทุนกัมพูชาอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้น 49% คาดว่าใน ช่วงต้นปี 2558 จะมีโรงงานจากไทยย้ายหนีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะค่าแรง ไปเช่าพื้นที่ตั้งโรงงานถึง 80% โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องหนัง หากการจองเต็ม 100% ก็ยังสามารถขยายพื้นที่ในนิคมได้อีก 500 ไร่ หรือสามารถรองรับโรงงานเพิ่มอีก 40 แห่ง

"ตอนนี้รัฐบาลกัมพูชาได้ อำนวยความสะดวกให้นักลงทุน เช่น การสร้างถนนใหม่ ระบบน้ำประปา ไฟฟ้า เข้าถึงนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งได้เตรียมแรงงานไว้รองรับถึง 2 แสนคน นอกจากนี้ จากการทยอยปรับราคาของผู้ประกอบการไทยจากผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทเสื้อผ้าแบรนด์ดังจากยุโรปและอเมริกาทยอยลดการจ้างบริษัทในไทย ผลิตสินค้าลง และหันไปจ้างผู้ผลิตในเวียดนามและอินเดียที่มีค่าจ้างแรงงานถูกกว่าไทยแทน

นาย ทวีกิจกล่าวต่อไปว่า สำหรับโรงงานผลิตเสื้อผ้าของ ที.เค.การ์เม้นท์ในจังหวัดตาก จะยังคงดำเนินกิจการต่อไป แต่จะไม่มีการลงทุนเพิ่ม และจะเน้นให้ความสำคัญกับการลงทุนใหม่ที่กัมพูชามากกว่า เพราะค่าแรงเพียง 70-80 บาท/วัน และแรงงานหาง่าย

ด้านนายชัยวัฒน์ วิทิตธรรมวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เปิดเผยว่า ตั้งแต่รัฐบาลประกาศนโยบายค่าแรง 300 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2555 จนถึงขณะนี้มีโรงงานที่ใช้แรงงานเข้มข้นในจังหวัดตากได้รับผลกระทบปิดกิจการ ไปแล้ว 14 แห่ง แบ่งเป็นแม่สอด 12 แห่ง อำเภอเมือง 2 แห่ง

ปัจจุบัน จังหวัดตากมีโรงงานอุตสาหกรรม 658 แห่ง เม็ดเงินลงทุน 1.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ อ.แม่สอด 353 แห่ง อ.เมือง 144 แห่ง อ.บ้านตาก 30 แห่ง อ.วังเจ้า 39 แห่ง อ.พบพระ 26 แห่ง อ.แม่ระมาด 21 แห่ง อ.ท่าสองยาง 18 แห่ง อ.สามเงา 17 แห่ง และ อ.อุ้มผาง 10 แห่ง มีแรงงานกว่า 5.4 หมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นโรงงานเอสเอ็มอีที่ใช้แรงงานเข้มข้น และมีโอกาสปิดกิจการสูงจากการได้รับผลกระทบนโยบายค่าแรง 300 บาท

(ประชาชาติธุรกิจ, 16-7-2556)

 

จัดหางานลำปางเตือนเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดน-ฟินแลนด์

นางพรปวีณ์ วิชิต จัดหางานจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี จะเป็นช่วงฤดูกาลจัดเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ และในแต่ละปีมักจะมีคนหางานถูกหลอกลวงจากสายนายหน้าจัดหางานให้เดินทางไป เก็บผลไม้ป่า กรมการจัดหางานจึงได้กำหนดมาตรการในการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดน มี 2 วิธีคือ การเดินทางโดยนายจ้างพาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2537 ซึ่งการเดินทางไปทำงานในลักษณะนี้คนงานไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับรัฐบาล สวีเดน และนายจ้างจะต้องกำหนดรายได้ขั้นต่ำเดือนละ 18,975 โครนาสวีเดน หรือประมาณ 85,388 บาท ไว้ในสัญญาจ้าง รวมทั้งต้องประกันรายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่า จำนวนเดือนละ 85,000 บาท เมื่อลูกจ้างครบสัญญาจ้าง


อีกวิธีหนึ่งคือ การแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานโดยตรง และสวีเดน ซึ่งคนหางานต้องรับภาระเสียภาษีให้กับรัฐบาลสวีเดนร้อยละ 25 ของรายได้ และนายจ้างต้องเสียภาษีประกันสังคม ร้อยละ 32 ส่วนการเดินทางไปเก็บผลไม้ในประเทศฟินแลนด์ จะใช้วิธีการแจ้งเดินทางไปทำงานด้วยตนเองวิธีเดียว โดยต้องมีหนังสือเชิญจากบริษัทที่รับซื้อผลไม้ในต่างประเทศ และใช้วีซ่าเชงเกนในการแจ้งการเดินทางโดยคนหางานไม่ต้องเสียภาษีใดๆ

จัดหางานจังหวัดลำปางยังกล่าวต่อไปอีกว่า การเก็บผลไม้ป่าต้องเสี่ยงกับปัญหาสภาพอากาศในแต่ละปีซึ่งไม่แน่นอนส่งผลต่อ ปริมาณผลไม้ป่าที่อาจมีน้อยจนไม่สามารถเก็บมาขายได้ตามจำนวนที่ต้องการ นอกจากนี้ การเก็บผลไม้ป่ายังเป็นงานที่หนัก เนื่องจากต้องเก็บผลไม้ป่าในสภาพอากาศที่หนาวเย็นท่ามกลางหิมะ สภาพพื้นที่ลาดชันเป็นภูเขา อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้สำหรับผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง เป็นสาเหตุให้ไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประเทศสวีเดนและ ฟินแลนด์

สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปางจึงขอแจ้งเตือนคนที่จะประสงค์เดินทางไป เก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ ได้ทราบถึงหลักเกณฑ์และควรไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงาน เพราะทุกปีที่ผ่านมามักจะมีคนหางานมาร้องทุกข์ว่าถูกกลุ่มบุคคลชักชวนให้ เดินทางไปทำงานและเรียกรับเงินค่าบริการและค่าใช้จ่ายจากคนหางานเป็นจำนวน เงินค่อนข้างสูง จากนั้นก็ให้คนหางานแจ้งเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง ซึ่งการเดินทางไปทำงานในลักษณะนี้คนหางานต้องรับผิดชอบตนเอง หากพบเห็นผู้มีพฤติกรรมหลอกหลวงคนหางาน สามารถแจ้งเบาะแสหรือสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการไปทำงานต่างประเทศ ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปาง หมายเลขโทรศัพท์ 054-265-051-2 ในวันและเวลาราชการ

(บ้านเมือง, 16-7-2556)

 

"ร.ต.อ.เฉลิม" ย้ำคนไทยจะต้องมีงานทำ-รับปากแก้ปัญหาค้ามนุษย์

กระทรวงแรงงาน 16 ก.ค.-"ร.ต.อ.เฉลิม" ย้ำคนไทยจะต้องมีงานทำ รับปากแก้ปัญหาจัดหางาน และการค้ามนุษย์ พร้อมปัดกรณีถูกกลุ่มสมานฉันท์แรงงานไทยจับตาการทำงาน หากผลงานไม่เข้าตาเตรียมประท้วงขับไล่ เชื่อเป็นการสร้างสีสัน

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินทางมอบนโยบายที่กรมการจัดหางาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อรับฟังภารกิจผลการดำเนินงาน ยุทธศาสตร์การทำงาน โดยพอใจการวางแผน และการเตรียมงานของกรมการจัดหางาน พร้อมยืนยันว่า จะหางานให้คนไทยทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มีการปิดกั้นการทำงานของแรงงานจากต่างประเทศ แต่แรงงานที่มาจะต้องผ่านขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ จะหมดเขตการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว ที่มาลงทะเบียน 600,000 คน แต่สามารถจัดการเอกสารได้เพียง 300,000 คน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจะขอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในแรงงานกลุ่มนี้อยู่ในประเทศได้อีก 1 ปี เพื่อรอการพิสูจน์เอกสาร ส่วนแรงงานผิดกฎหมายจากประเทศลาว และกัมพูชา จะเข้าพูดคุยกับสถานทูตเพื่อทำความเข้าใจ และขอให้ทำถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของแรงงาน ส่วนคนไทยไปทำงานมาเลเซีย ที่ร้านอาหารต้มยำกุ้ง มากถึง 1,500 แห่ง มีแรงงานไทย 150,000 คน ส่วนใหญ่เป็นคนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และสงขลา ขณะนี้พบว่าทางการมาเลเซีย เข้มงวด หากไม่มีใบอนุญาตการทำงานจะให้กลับประเทศ เตรียมเดินทางไปมาเลเซีย เพื่อพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต เนื่องจากมีราคาแพงถึง 20,000 บาท ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพแม่บ้านไทย จ่ายเพียง 7,000 บาท จึงอยากให้มีค่าธรรมเนียมที่ราคาใกล้เคียงกัน

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ในการแก้ไขการค้ามนุษย์ การข่มเหงแรงงานต่างด้าว จะทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีกระแสใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ระนอง สุราษฎร์ธานี เพื่อให้ช่วยกันตรวจสอบแก้ไข พร้อมกล่าวว่าไม่กังวลกับกรณีที่กลุ่มคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ประกาศจับตาดูผลงานตน 3 เดือน หากผลงานไม่เข้าตา รวมกลุ่มประท้วงขับไล่ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการออกมาให้ข่าวเพื่อสร้างสีสัน ส่วนปัญหาเรื่องงบประมาณปี 2557 ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ถูกตัดลดลง ทำให้แรงงาน ได้รับการบริการไม่ทั่วถึง ส่วนปัญหาความก้าวหน้าศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด ไม่ได้เป็นหน่วยงานถูกต้องตามกฎกระทรวง ทำให้ขาดขวัญกำลังใจ และกฎหมายคุ้มครองการประกอบการอาชีพที่เป็นอันตรายจากการทำงาน ซึ่งรับปากจะจะพัฒนาแก้ไขให้ดีที่สุด

(สำนักข่าวไทย, 16-7-2556)

 

นำร่องนัดพบแรงงานคนพิการ เตรียมขยายผลช่วยคนตกงานทั่วประเทศ

กรมการจัดหางาน จัดงานนัดพบแรงงานคนพิการครั้งยิ่งใหญ่ เดือนสิงหาคมนี้เผยเป็นตัวกลางประสานระหว่าง พม.ที่จะพาคนพิการมาสมัครงาน กับเซ็นทรัลเวิล์ด ที่ประกาศรับสมัครคนพิการมาทำงาน 140 อัตราเชิญชวนคนพิการมาสมัครงาน โดยจะประกาศผลทันทีหลังการสัมภาษณ์ ระบุชัดหากได้ผลดีจะขยายไปจัดร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ ที่มีนิคมอุตสาหกรรม ทั่วประเทศ

นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ กรมการจัดหางานจะจัดงานนัดพบแรงงานคนพิการร่วมกับบริษัทในเครือเซ็นทรัล ที่ห้างเซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพ ซึ่งผู้พิการสามารถเดินทางมาได้หลายวิธีทั้งรถประจำทาง รถแท๊กซี่ รถไฟฟ้าบีทีเอส

ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน โดยกรมกรมการจัดหางานได้ประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ (พม.) เพื่อให้จัดหาคนพิการเข้ามาสมัครงานในวันนัดพบแรงงานดังกล่าว โดยในส่วนของเครือเซ็นทรัล ได้จัดตำแหน่งงานว่างของบริษัทในเครือทั่วประเทศไว้จำนวน 142 อัตรา โดยจะรับสมัคร สัมภาษณ์ และประกาศผลการคัดเลือกในวันนั้น?โดยไม่ต้องกลับไปรอโดยไม่รู้ว่าจะได้งาน หรือไม่

นายประวิทย์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่าง ๆ เพื่อจะได้มีงานทำ มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ที่สำคัญคือเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะเมื่อคนพิการได้โอกาสในการทำงาน เขาก็จะสามารถยืนได้ด้วยตนเอง เกิดความภาคภูมิใจที่สามารถเลี้ยงตนเอง และดูแลครอบครัวได้ โดยไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นภาระของสังคม แต่พวกเขาคือคนที่มีศักยภาพ เพียงแต่อาจจะขาดโอกาสในการหางานทำ

ทั้งนี้ในฝ่ายของนายจ้างหลายๆ แห่งเองก็เคยแจ้งมาว่าประสบปัญหาการหาคนพิการเข้ามาทำงาน คือประกาศแล้วแต่ไม่ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งอาจจะเนื่องจากต่างฝ่ายต่างหากันไม่เจอ ดังนั้นกรมการจัดหางานจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดนัดพบแรงงานคนพิการ เพื่อให้นายจ้าง และคนพิการได้มาเจอกัน

นายประวิทย์ กล่าวต่อไปว่า ตามกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบกิจการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบกิจการจะต้องนำส่งเข้ากองทุน ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2554 กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไปต้องรับลูกจ้างที่เป็นคนพิการเข้าทำงาน 1 คน มิฉะนั้นจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามอัตราส่วนที่กำหนด คืออัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คูณจำนวน 365 วัน จะเท่ากับจำนวนเงินที่สถานประกอบกิจการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนในปีนั้น ต่อคนพิการ 1 คน

ทั้งนี้ตำแหน่งงานของเครือเซ็นทรัล จะมีหลากหลายมาก ตั้งแต่พนักงานออฟฟิศ เช่นเจ้าหน้าที่พัสดุ แคชเชียร์ รับโทรศัพท์ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ซ่อม ซึ่งบางทีคนทั่วไปอาจจะคิดว่าคนพิการทำไม่ได้ แต่จริงๆแล้วเขาสามารถทำได้ และบางคนอาจจะมีศักยภาพสูงกว่าคนที่มีร่างกายปกติ

โดยงานบางประเภทคนพิการสามารถทำได้ เช่นพนักงานรับโทรศัพท์นั้น ผู้พิการทางสายตา สามารถทำได้ ซึ่งพม.จะมีทะเบียน และรายชื่อคนพิการบางส่วนแล้วว่า รายไหนต้องการทำงาน และสามารถทำงานตำแหน่งไหนได้ ตลอดจนโซนที่พักกับโซนที่ทำงานที่ใกล้เคียงกันแต่ก็ขอเชิญชวนคนพิการเตรียม ตัวเข้าร่วมงานนัดพบแรงงานในครั้งนี้โดยจะมีการประชุม และกำหนดวันจัดงานที่แน่นอนอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป

"กรมการจัดหางานขอเชิญชวนนายจ้าง และเจ้าของสถานประกอบกิจการทุกแห่งด้วยว่า การเปิดโอกาสรับคนพิการเข้าทำงานตามกฎกระทรวงนั้น จะช่วยให้คนพิการได้มีงานทำ มีรายได้จุนเจือครอบครัว ทำให้พวกเขามีความภูมิใจในตนเอง ที่เข้ามาอยู่ในระบบเศรษฐกิจ เป็นการช่วยส่งเสริมคนพิการให้มีงานทำได้ตรงกว่าการจ่ายเงินสมทบเข้ากอง ทุน??ขณะที่นายจ้างเองก็ได้ลูกจ้างเข้ามาทำงาน" อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว

ทั้งนี้หากโครงการนำร่อง จัดนัดพบแรงงานคนพิการร่วมกับเครือเซ็นทรัลประสบความสำเร็จ ก็จะขยายไปยังภาคเอกชนอื่น ๆ ในภูมิภาคทั่วประเทศ ที่มีความสนใจให้กรมการจัดหางานเข้ามาช่วยจัดนัดพบแรงงาน คนพิการในลักษณะนี้ ต่อไป

 

(แนวหน้า, 17-7-2556)

 

"ร.ต.อ.เฉลิม" ให้นโยบาย กสร.จังหวัดถกกันเดือนละครั้ง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) โดยมี นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดี กสร. พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการบรรยายสรุปภารกิจและการดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งมีภารกิจหลักใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการคุ้มครองแรงงาน ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงาน ด้านแรงงานสัมพันธ์ ด้านสวัสดิการแรงงาน และด้านมาตรฐานแรงงานไทย ซึ่งการทำงานจะสอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของ ร.ต.อ.เฉลิม ทั้งการป้องกันแก้ไขการค้ามนุษย์และยาเสพติดในสถานประกอบกิจการ โดยเน้นกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป จำนวน 91,017 แห่ง ลูกจ้างกว่า 6,615,809 คน
 
ทั้งนี้ เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม  รับฟังและสอบถามการดำเนินงานต่าง ๆ ได้แนะให้ กสร.ประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ประชุมกันเดือนละ 1 ครั้ง ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับทราบปัญหาในแต่ละภาคส่วน

(สำนักข่าวไทย, 17-7-2556)

 

"เฉลิม" คุยปลัดแรงงาน ปัดไม่นั่ง ปธ.บอร์ด สปส.

ที่กระทรวงแรงงาน  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง  รมว.แรงงาน กล่าวถึงการแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคม ในวาระที่  2  ชั้นคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญ ได้มีการแปรญัตติร่างพ.ร.บ.ฉบับแก้ไขที่ให้รมว.แรงงาน ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการประกันสังคม จากที่กฎหมายเดิมกำหนดให้ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานคณะกรรมการประกันสังคม และคาดว่าจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร วาระ 3 ในเร็วๆนี้ ทำให้ผู้ใช้แรงงานเกรงว่าฝ่ายการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการบริหารกองทุนประกัน สังคม และเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ว่า  ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆก่อน เรื่องนี้อย่าเพิ่งเอาเป็นเอาตาย  ไม่มีใครกล้าทำผิด ตนมาเป็นรัฐมนตรีก็ไม่กล้าทำผิด

"ผมขอหารือเรื่องนี้กับนพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ก่อนเพื่อสอบถามรายละเอียด และจะพิจารณาว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป  อย่างไรก็ตาม นิสัยของผมไม่อยากเข้าไปมีอำนาจในทางลึก เพราะผมเห็นว่าคนที่มานั่งเป็นปลัดกระทรวงได้ ไม่ใช่ธรรมดา รับราชการมากว่าจะเติบโตมาได้ขนาดนี้   ผมเคยเป็นข้าราชการมาก่อนเข้าใจดี  ส่วนนักการเมืองเหมือนละครเรื่องอีสา บินมาก็บินไป เราก็ต้องให้เกียรติข้าราชการ"รมว.แรงงาน กล่าว

(เดลินิวส์, 17-7-2556)

 

แรงงานไทยนำเงินเข้าประเทศ 3.5 หมื่นล้าน 


ข้อมูลจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ระบุว่า แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ สร้างรายได้ให้กับประเทศแล้วกว่า 3.57 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เดือน ม.ค. 7,379 ล้านบาท ก.พ. 7,847 ล้านบาท  มี.ค. 7,691 ล้านบาท เม.ย. 6,247 ล้านบาท และ พ.ค. 6,625 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลจากสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ระบุว่า จำนวนแรงงานไทยในต่างประเทศ ณ เดือน พ.ค. มีทั้งสิ้น 4.39 แสนคน ประกอบด้วย ซาอุดิอาระเบีย(ริยาด) 1.52 หมื่นคน สหรัฐอาหรับฯ (อาบูดาบี) 3 หมื่นคน ญี่ปุ่น 1.98 หมื่นคน ฮ่องกง 3,972 คน ไต้หวัน (ไทเป) 4.36 หมื่นคน ไต้หวัน (เกาสง) 1.89 หมื่นคน สิงคโปร์ 4.15 หมื่นคน บรูไน 3,237 คน มาเลเซีย 2.04 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานผิดกฎหมายถึง 1.95 แสนคน อิสราเอล 2.35 หมื่นคน เกาหลี 1.92 หมื่นคน เยอรมันนี 1.35 หมื่นคน และลิเบีย 2,427 คน

นอกจากนี้ ข้อมูลการร้องทุกข์ของแรงงานไทยที่ทำงานในต่างประเทศ เดือน พ.ค. พบว่ามีการร้องเรียนกว่า 1 หมื่นราย แบ่งเป็นกรณีร้องเรียนที่ไม่เกี่ยวกับเงินสิทธิประโยชน์ 5,355 ราย และเกี่ยวกับเงินสิทธิประโยชน์ 4,820 ราย รวมเป็นยอดเงินกว่า 100 ล้านบาท โดยมีแรงงานในประเทศอิสราเอลร้องเรียนสูงสุด 25 ล้านบาท รองลงมาคือสิคโปร์ 22 ล้านบาท เกาหลีและไต้หวัน (เกาสง) อีกแห่งละ 16 ล้านบาท

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน มอบนโยบายสำนักงานประกันสังคม (สปส.) วันที่ 18 ก.ค. โดยกำชับ สปส.ปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ ใช้แรงงาน โดยเฉพาะการรักษาพยาบาล รวมทั้งต้องมีการรวบรวมข้อมูลการใช้สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนอย่างชัดเจน ส่งเสริมความเข้าใจแรงงานนอกระบบให้เห็นประโยชน์ในการประกันตนแล้วเข้าสู่ ประกันสังคมมาตรา 40 ให้มากขึ้น

ขณะที่ การร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประกันสังคม ที่ในการพิจารณาในวาระ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร และมีการแก้กฎหมายให้รัฐมนตรีแรงงาน นั่งเป็นประธานคณะกรรมการสปส. จากเดิมที่เป็นปลัดกระทรวงนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ระบุ ปลัดกระทรวงแรงงานเหมาะสมแล้วที่จะทำหน้าที่นี้ เพราะหากนักการเมืองมานั่งเป็นประธาน ประชาชนบางส่วนอาจมองว่าเข้ามาหาผลประโยชน์

(โพสต์ทูเดย์, 18-7-2556)

 

'เฉลิม' กำชับ 'สปส.' เพิ่มสิทธิประโยชน์แรงงาน 


18 ก.ค.56 - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) กล่าวในการรับฟังภารกิจและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารและข้าราชการสำนักงานประกัน สังคม (สปส.) ที่สำนักงานใหญ่ จังหวัดนนทบุรีว่า กรณีที่มีการแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคม ซึ่งเป็นการพิจารณาในวาระที่ 2 ชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญได้มีการแปรญัตติร่างพ.ร.บ.ฉบับแก้ไขให้รมว.แรงงานดำรงตำแหน่งเป็น ประธานคณะกรรมการประกันสังคมจากที่กฎหมายเดิมกำหนดให้ปลัดกระทรวงแรงงานนั่ง เป็นประธานคณะกรรมการประกันสังคมและคาดว่าจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 3 ในเดือนส.ค.นี้นั้นว่า เจตนาของตนไม่มีความคิดที่จะไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมการ สปส. เพราะไม่อยากให้มีข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการทำงานก็ซ้ำซ้อน เนื่องจากรัฐมนตรีทั้งพิจารณาเรื่องและเซ็นอนุมัติเป็นการทำงานถึง 2 ครั้ง รัฐมนตรีควรดูนโยบายภาพรวมของ สปส. งานที่ลงลึกในทางปฏิบัติควรให้ปลัดกระทรวงแรงงานทำหน้าที่จะดีที่สุดเพราะมี ความรู้ความเข้าใจงานประกันสังคมเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าปลัดกระทรวงแรงงานนั่งเป็นประธานบอร์ดสปส.นั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
                     
"ได้ให้นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงานประสานไปยังกมธ.วิสามัญและสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแก้ไขร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมที่มีการแปรญัตติให้รมว.แรงงานนั่งเป็น ประธานบอร์ด สปส. เพื่อให้ปรับเนื้อหาร่างพ.ร.บ.ให้ปลัดกระทรวงแรงงานนั่งเป็นประธานบอร์ดเช่น เดิม แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้จริงๆ ผมจำเป็นต้องไปนั่งเป็นประธานบอร์ดก็ไม่ขัดข้อง แต่คงดูแค่เฉพาะนโยบายภาพรวม ส่วนงานปฏิบัติให้ปลัดกระทรวงแรงงานดูแลไป" รมว.แรงงาน กล่าว
                     
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ขอให้สปส.ปฎิบัติภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลโดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ ให้แก่ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตน โดยเฉพาะการรักษาพยาบาล และส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้แก่แรงงานนอกระบบ เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 มากขึ้น รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับระบบการบริการต้องดำเนินการให้สะดวก รวดเร็วเพราะเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญของประกันสังคม หากทำได้ดีจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ผู้บริหาร รัฐมนตรีและกระทรวงแรงงานให้เป็นที่ยอมรับของสังคม
                     
นอกจากนี้ ขอให้สปส.ไปรวบรวมข้อมูลผลงานของสปส.ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ เป็นรมว.แรงงานเพื่อที่รัฐบาลจะได้นำไปใช้เป็นข้อมูลแถลงผลงานในรอบ 1 ปี รวมทั้งเตรียมความพร้อมแรงงานไทยเพื่อรองรับการประชาคมอาเซียน(เอซี)โดยการ บูรณาการงานร่วมกับอีก 4 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และทำงานตามนโยบายหลัก 3 ข้อของตนเองคือ การไม่ให้มีปัญหากดขี่ผู้ใช้แรงาน การค้ามนุษย์ และยาเสพติดในสถานประกอบการ

(คมชัดลึก, 18-7-2556)

 

อาชีวะ 3 ชาติไทย-ลาว-เวียดนาม ร่วมสร้างทักษะแรงงานอาเซียน

เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้ร่วมคณะไปกับผู้บริหารวิทยาลัย ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ที่อยู่บริเวณชายแดนลุ่มน้ำโขง นำโดย ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เดินสายหารือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศึกษาแห่งเมืองวินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาและกีฬา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน(สปป.)ลาว เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือจัดการอาชีวศึกษา

ทริปนี้ชาวอาชีวศึกษาไทย ได้เดินทางโดยรถบัสยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง จากไทยผ่านสะพานมิตรภาพ 3 ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย ทางจังหวัดนครพนม กับ แขวงคำม่วน ประเทศลาว และใช้เส้นทางอาร์ 13 ผ่านป่า ลัดเลาะภูเขาที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ มุ่งหน้าสู่เมืองวินห์ บ้านเกิดของลุงโฮจิมินห์ รัฐบุรุษของประเทศเวียดนาม ซึ่งการเดินทางโดยรถบัสนี้ทำให้เราได้เห็นงานก่อสร้างทางที่กำลังขยายตัว บนเส้นทางโครงข่ายคมนาคมที่จะมีบทบาทสำคัญ ทั้งทางด้านการท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ในอนาคต และยิ่งคุ้มค่า เมื่อผลการหารือเป็นไปอย่างราบรื่น ได้รับการตอบรับที่ดี โดยทั้ง ดร.กาว เวียด ยู๋ง รองอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศึกษาแห่งเมืองวินห์ ประเทศเวียดนาม และนายหนูพัน อุตสา หัวหน้ากรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาและกีฬาแห่ง สปป.ลาว เห็นพ้องต้องกันว่า ไทย-ลาว-เวียดนาม จะร่วมพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษารองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตามข้อเสนอของไทย

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ บอกว่า ผลการหารือทั้งที่เวียดนาม และ สปป.ลาว มีความลงตัวใน 3 เรื่อง คือ 1. การแลกเปลี่ยนครู แลกเปลี่ยนนักศึกษา 2 . การร่วมวิจัยและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ และ 3.การทำโครงการผลิตผู้จบอาชีวศึกษาที่มีความพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานใน 3 ประเทศ ซึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า เราทั้ง 3 ประเทศจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กิจกรรมหนึ่งที่สำคัญมาก และส่งผลกระทบกับทุกประเทศ คือ การเคลื่อนย้ายของแรงงานระดับต่าง ๆ ซึ่งทุกประเทศต้องเตรียมรับ โดยเฉพาะทางด้านอาชีวศึกษา และขณะนี้แต่ละประเทศก็เตรียมความพร้อมในกำลังคนของประเทศตนเองอยู่แล้ว แต่การเตรียมความพร้อมในลักษณะ "ทวิภาคี" และ "ไตรภาคี" ด้านอาชีวศึกษายังไม่เกิด ดังนั้นจึงเป็นการริเริ่มใหม่ที่เราจะทำ

"การจัดหลักสูตรอาชีวศึกษา 3 ชาติ หรือ การเรียนการสอนอาชีวศึกษา ร่วม 3 ชาติ มีเป้าหมาย คือ ต้องการผลิตเด็กอาชีวศึกษา ที่มีความสามารถในการทำงานได้ ทั้ง 3 ประเทศ โดยทั้ง 3 ประเทศให้การรับรองวุฒิร่วมกัน เพื่อเป็นที่ยอมรับทั้งด้านวุฒิการศึกษา และมาตรฐานทักษะฝีมือ ซึ่งความจริงแล้วควรเป็นความร่วมมือกันของ 10 ประเทศในอาเซียน แต่นี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้น" ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวและบอกด้วยว่า ในต้นเดือนสิงหาคมนี้เวียดนาม และ ลาวจะมาหารือที่ไทย เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมของทั้ง 3 ประเทศ ในการพิจารณาเลือกสาขาวิชาที่เป็นความต้องการร่วมกันในการผลิตกำลังคน จากนั้นจะมากำหนดสมรรถนะร่วมกันว่าต้องมีสมรรถนะอะไรบ้าง ทำหลักสูตร กำหนดแผนการเรียนการสอนว่าช่วงไหนที่จะเรียนในประเทศตนเอง ช่วงไหนไปเรียนประเทศอื่น ๆ โดยหมุนเวียนเรียนทั้ง 3 ประเทศและไปกันทั้งกลุ่ม ซึ่งเด็ก ๆจะได้เป็นเพื่อนกันในอนาคต ทั้งนี้ คาดว่าจะรับเด็กเข้าโครงการฯในรุ่นแรกได้ประมาณ 20-30 คน โดยเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง

ดร.กาว เวียด ยู๋ง บอกว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศึกษาแห่งเมืองวินห์ เดิมเป็นโรงเรียนฝึกคนทำงานด้านเครื่องจักรกล ก่อนเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษา ที่ทำหน้าที่ฝึกหัดครูอาชีวศึกษา และมาเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีศึกษาฯ โดยปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งหมด 11,000 คน ในจำนวนนี้เรียนอาชีวศึกษา ประมาณ 3,000 คน ซึ่งในเวียดนามคนเรียนสายอาชีพยังมีน้อย ส่วนใหญ่อยากเรียนในมหาวิทยาลัยมากกว่า อย่างไรก็ตามไทยมีความพร้อมในเรื่องของสถานประกอบการที่จะรับเด็กเข้าฝึก ปฏิบัติงาน โดยมีรายได้ด้วย ดังนั้นความร่วมมือกับไทย จะเปิดโอกาสให้เด็กเวียดนามได้ไปฝึกงานในสถานประกอบการของไทยมากขึ้น

ขณะที่ นายหนูพัน อุตสา บอกว่า ยินดีที่ได้ร่วมมือกับไทยและเวียดนาม ซึ่งขณะนี้ สปป.ลาวกำลังอยู่ในระยะปฏิรูปงานอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ โดยจะมีการปฏิรูปหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน รวมถึงขยายสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษา และเพิ่มจำนวนผู้เรียนให้มากขึ้น เพราะขณะนี้เด็กของ สปป.ลาว ก็มีสัดส่วนในการเลือกเรียนสายอาชีพน้อยเช่นกัน

นายคำพูวา สีจันทะวง นักศึกษาชั้น ปวช.2 สาขาไฟฟ้าอุตสาหกรรม วิทยาลัยเทคนิควิชาชีพแขวงคำม่วน สปป.ลาว มองว่า ถ้ามีการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรอาชีวศึกษาร่วม 3 ชาติขึ้นจริงจะดีมาก ๆ ซึ่งถ้าตนมีโอกาสก็อยากจะเข้าไปทำงานในประเทศไทย เนื่องจากอยู่ใกล้กันเดินทางสะดวก พูดคุยกันก็รู้เรื่อง

การเยือน สปป.ลาว ครั้งนี้ ผู้อำนวยการวิทยาลัยในสังกัด สอศ.ของไทย กับ ผู้บริหารโรงเรียนเทคนิคและวิชาชีพของ สปป.ลาว ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจับคู่พัฒนา รวม 12 คู่ อาทิ วิทยาลัยอาชีวศึกษา (วอศ.)เชียงราย คู่กับ วิทยาลัยเทคนิคและวิชาชีพบ่อแก้ว, วิทยาลัยเทคนิค (วท.) เลย และ วท.น่าน คู่กับ โรงเรียนเทคนิควิชาชีพหลวงพระบาง, วอศ.อุดรธานีและวิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการนครพนม คู่กับ วิทยาลัยเทคนิคและวิชาชีพคำม่วน เป็นต้น

ทันทีที่หลักสูตรอาชีวะ 3 สัญชาติสำเร็จ จะเป็นจุดกำเนิดของแรงงานฝีมือ ที่มีมาตรฐาน ทักษะ ในแบบฉบับไทย-ลาว-เวียดนาม.

(เดลินิวส์, 18-7-2556)

 

ผลสำรวจชี้นายจ้างกว่าครึ่งเชื่อลูกจ้าง ประเมินสวัสดิการบริษัทต่ำกว่าจริง

ผลสำรวจจากทาวเวอร์ส วัทสัน (NYSE, NASDAQ : TW) ที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กรระดับโลก ทำการสำรวจ Asia-Pacific Employee Benefit Trends ประจำปี 2556 ที่จัดทำ ขึ้นโดยการเก็บข้อมูลจากนายจ้างรวมทั้งสิ้น 1,066 รายทั่วภูมิภาค ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2556 ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ความเห็นของพนักงานที่มีต่อสวัสดิการไม่ได้ดีขึ้นไปตามระดับค่าใช้จ่ายด้าน สวัสดิการที่เพิ่มขึ้นของทางบริษัท

หมายความว่าเจ้าของกิจการอาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติในจุดนี้ได้ด้วยการลงทุนเพิ่มเติม

โดยเรื่องนี้ "แมทธิว แจ็คสัน" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาประสิทธิภาพสวัสดิการประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า เราพบนายจ้างหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านสวัสดิการมากขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถดึงดูดพนักงานใหม่ และรักษาพนักงานเดิมได้ดีขึ้น ปัจจุบันนายจ้างกว่า 81% ทำการวางกลยุทธ์ด้านสวัสดิการ เพื่อช่วยชี้นำการตัดสินใจในด้านดังกล่าว ขณะที่ในปี 2552 นั้นมีเพียง 66% เท่านั้น

"อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของเราทำให้เกิดข้อสงสัยในด้านประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของกลยุทธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง และยังมีองค์กรต่าง ๆ เข้าแย่งชิงคนมีความสามารถกันทั่วทั้งภูมิภาค"

นอกจากนั้น "แจ็คสัน" ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เราพบนายจ้างบางรายเลือกที่จะแก้ปัญหาเรื่องมุมมองด้านคุณค่าของระบบ สวัสดิการในหมู่พนักงานโดยการเพิ่มสวัสดิการให้มากขึ้น แต่วิธีนี้อาจทำให้ปัญหาแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมักจะมีความหลากหลายด้านกำลังคนสูงขึ้นอย่างต่อ เนื่อง และการสร้างระบบสวัสดิการเพียงระบบเดียวสำหรับพนักงานทุกคนมักจะไม่ใช่ นโยบายที่ดีที่สุด

"นายจ้างที่แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าจากการทบทวนและปรับปรุงระบบสวัสดิการของเดิม พร้อมกับเปิดโอกาสให้พนักงานมีทางเลือกในด้านสวัสดิการ แทนที่จะไปเพิ่มสวัสดิการให้กับทุกคน"

ผลสำรวจจากทาวเวอร์ส วัทสันยังพบข้อมูลอีกว่า จำนวนนายจ้างที่มีแผนจะปรับให้ระบบสวัสดิการของตนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นนั้น จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีหน้า โดยนายจ้างจำนวน 32% จะเพิ่มความยืดหยุ่นในแผนสวัสดิการ (เทียบกับ 15% ในปีนี้) และอีก 23% จะเริ่มนำเอาแผนสวัสดิการแบบยืดหยุ่นมาใช้งาน (เทียบกับ 12% ในปีนี้)

ส่วนในด้านการสื่อสารเกี่ยวกับสวัสดิการพบว่า นายจ้างเกือบ 1 ใน 3 (31%) ยังไม่มีการสื่อสารกับพนักงานในเรื่องของสวัสดิการ ซึ่งแม้ว่าจะยังเป็นตัวเลขที่สูง แต่ยังน้อยกว่าสถิติ 55% จากการสำรวจในปี 2552

นอกจากนั้นผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างการสื่อ สารที่มีประสิทธิภาพ และมุมมองด้านคุณค่าของสวัสดิการที่ได้รับ โดยบริษัทที่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีพนักงานที่เห็นคุณค่า ของสวัสดิการมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

โดยเรื่องนี้ "คริส เมย์ส" ผู้อำนวยการฝ่ายสวัสดิการประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ข้อมูลตรงนี้มีความหมายมากทีเดียวสำหรับประเทศไทย เมื่อมองจากในบางด้าน นายจ้างในประเทศไทย

ถือว่ามีศักยภาพด้านสวัสดิการระดับเดียวกันกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ อย่างเช่นการที่นายจ้างเกือบ 40% มีการลงทุนด้านสวัสดิการสูงกว่า 20% ของค่าจ้างทั้งหมด

"ขณะเดียวกันเรากลับพบว่า นายจ้างกว่า 28% ไม่แน่ใจว่าพวกเขาใช้จ่ายในด้านนี้ไปทั้งหมดเท่าไร ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วงไม่น้อย และเราอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าบริษัทไม่รู้ว่าพวกเขามีค่าใช้จ่ายเท่าไร แล้วเราจะไปคาดหวังให้พนักงานมีความเข้าใจในด้านนี้ได้อย่างไร"

"ผลสำรวจของทาวเวอร์ส วัทสัน ในปีนี้ แสดงให้เห็นว่า บริษัทที่มีวิสัยทัศน์ในประเทศไทยกำลังพัฒนาศักยภาพด้านสวัสดิการของตนด้วย นวัตกรรม

ใหม่ ๆ การปรับแต่งให้เข้ากับพนักงานแต่ละกลุ่ม และการสื่อสารที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยราว 1 ใน 4 (26%) ของผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่า องค์กรของตนจะเพิ่ม

ความยืดหยุ่นในระบบสวัสดิการให้แก่พนักงาน เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเลือกสวัสดิการในแบบที่เข้ากับวิถีชีวิตของ ตน และมีมูลค่าสูงในสายตาของพวกเขา"

ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจยังแสดงข้อมูลของบริษัทหลายแห่งออกมาส่งเสริมประเด็นด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของพนักงาน โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามหลายรายที่มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการช่วยเหลือพนักงาน เว็บไซต์ข้อมูลด้านสุขภาพ และนโยบายรับรองพนักงานทุพพลภาพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในด้านการดูแลสุขภาพพนักงาน ควบคู่ไปกับการเพิ่มผลผลิต และความมีส่วนร่วมในการทำงานของพนักงาน

เฉพาะประเด็นนี้ "แอนดรูว์ เฮิร์ด" กรรมการผู้จัดการฝ่ายสวัสดิการภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อธิบายบอกว่า เพราะนายจ้างทุกคนจะต้องตระหนักถึงความหลากหลายด้านกำลังคนในองค์กร และมองเห็นว่าพนักงานแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่แตกต่างกันไป ระบบสวัสดิการแบบยืดหยุ่นถือเป็นคำตอบที่ดีสำหรับปัญหานี้ เพราะพนักงานจะสามารถเลือกสิทธิประโยชน์ที่ดูน่าสนใจสำหรับพวกเขาได้เอง

"แต่ความยืดหยุ่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของภาพรวมเท่านั้น โดยหากขาดความชำนาญด้านการสื่อสารและกลยุทธ์การบริหารงานที่เหมาะสม ความพยายามการวางระบบที่ดีอาจจะเสียเปล่าไปโดยไม่ได้อะไร นายจ้างควรจะพิจารณาระบบสวัสดิการของตนอย่างทั่วถึงด้วยมุมมอง

แบบองค์รวม เพื่อให้การลงทุนด้านสวัสดิการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างการรับรู้คุณค่าของสวัสดิการในหมู่พนักงานต่อไป"

(ประชาชาติธุรกิจ, 19-7-2556)

 

ไฟเขียวงบกลาง 169 ล้านสมทบช่วยแรงงานนอกระบบ 


ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.สัญจร ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 56 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 169 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสมทบช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของแรงงานนอกระบบ ที่สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 เป็นเวลา 5 เดือน (พ.ค.-ก.ย.56) ตามมติของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอครม.ด้านเศรษฐกิจ ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เสนอ หลังจากงบเดิมที่ได้รับการอนุมัติจากครม.มีจำนวนไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตามหากงบประมาณที่รับจัดสรรครั้งนี้มีไม่เพียงพออีกก็ขอให้ เบิกจ่ายจากงบปี 57 ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณให้สำนักงานประกันสังคมไว้รองรับค่าใช้จ่ายในการ บรรเทาภาระของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ไว้แล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานล่าสุด เมื่อเดือนมี.ค.56 มีผู้ประกันตนแล้ว กว่า 1.37 ล้านคน จากเป้าหมาย 1.4 ล้านคน ในเดือนก.ย.56 หรือคิดเป็น 98.42% ส่วนการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาลทั้งทางเลือกที่ 1 คือมีอัตราเงินสมทบ 100 บาทต่อเดือน รัฐบาลช่วยเหลือ 30 บาท ผู้ประกันตนจ่าย 70 บาท และทางเลือกที่ 2 มีอัตราเงินสมทบ 150 บาทต่อเดือน รัฐบาลช่วยเหลือ 50 บาท ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท ตั้งแต่เดือนก.ย.55-ก.พ.56 รวมระยะเวลา 6 เดือน คิดเป็นเงินทั้งหมด 215 ล้านบาท

(เดลินิวส์, 19-7-2556)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น