โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

รื้อถอนอนุสาวรีย์ฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองสหรัฐ-และการชิงพื้นที่นิยามของฝ่ายขวา

Posted: 02 Jun 2017 12:19 PM PDT

เช่นเดียวกับหลายๆ ที่ในโลก สหรัฐอเมริกาก็มีประวัติศาสตร์ที่น่าอับอายอยู่เช่นกัน นั่นคือการใช้ทาสของสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ นำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ฝ่ายใช้ทาสพ่ายแพ้ แต่ฝ่ายขวาบางส่วนในปัจจุบันก็ไม่ยอมปล่อยให้ประวัติศาสตร์ความพ่ายแพ้เช่นนี้ถูกจารึกไว้เป็นบทเรียน พวกเขาพยายามยึดครองพื้นที่การอธิบายประวัติศาสตร์ในแบบที่เข้าข้างตัวเอง และแสดงออกถึงการคุกคามต่อผู้ที่ต้องการรื้อถอนอนุสาวรีย์ของพวกเขา

(ซ้าย) นายพลโรเบิร์ต อี ลี แม่ทัพของฝ่ายสมาพันธ์ ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา (ขวา) การรื้อถอนอนุสาวรีย์นายพลโรเบิร์ต อี ลี ของฝ่ายสมาพันธ์ ที่นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ที่มา:  The Library of Congress Prints & Photographs Online Catalog และ Infrogmation of New Orleans/Wikipedia)

ในรายงานของวอชิงตันโพสต์เมื่อ 30 พ.ค. ระบุถึงการถกเถียงเกี่ยวกับการถอดถอนอนุสาวรีย์ผู้ที่ฝ่ายสนับสนุนทาสยกให้เป็นวีรบุรุษออก ถึงแม้ว่าสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ จะจบลงเป็นเวลานานมากกว่า 150 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีความขัดแย้งด้านมรดกทางความคิดและอนุสาวรีย์ที่เป็นตัวแทนฝ่ายสมาพันธรัฐ

กรณีการถกเถียงที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาเมื่อมิทช์ แลนดรูว์ นายกเทศมนตรีเมืองนิวออร์ลีนส์มีกระบวนการนำอนุสาวรีย์ฝ่ายสมาพันธ์ทั้ง 4 แห่งออกไป โดยมองว่าอนุสาวรีย์เหล่านี้คืออนุสาวรีย์ของผู้นำคนขาวที่มองตัวเองเป็นเผ่าพันธ์ที่สูงสุด (white supremacists) และเป็นอนุสาวรีย์ที่ถุกนำมาใช้ยกย่องว่าพวกเขาเป็น "กบฏ" ที่ทำการกบฏต่อประเทศเพื่อต่อต้านการเลิกทาสไม่สำเร็จ

แลนดรูว์พูดถึงความพร่ำเพ้อของฝ่ายสนับสนุนสมาพันธ์ที่มองเรื่องนี้เป็นตำนานการกบฎที่น่ายกย่องว่า "เป็นการเก็บซ่อนความจริงที่ว่าฝ่ายสมาพันธ์อยู่ในฝ่ายที่ผิดในแง่ของความเป็นมนุษย์" การถอนอนุสาวรีย์ฝ่ายสมาพันธ์รัฐโดยแลนดรูว์เป็นผลสำเร็จในที่สุด แต่ก็ไม่ได้สำเร็จได้โดยง่ายเพราะต้องเผชิญแรงต้านจากฝ่ายขวา เช่น บริษัทแรกที่ทำสัญญากับเมืองนิวออร์ลีนในการนำอนุสาวรีย์ออกถูกฝ่ายขวาข่มขู่เอาชีวิตและถึงขั้นถูกเผารถยนต์ขู่ และก่อนที่จะได้ดำเนินการเช่นนี้แผนการขอนำอนุสาวรีย์เหล่านี้ออกก็ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาเป็นเวลา 2 ปี ต้องรอการลงมติจากสภาเมืองและมีการโต้แย้งทางกฎหมายจำนวนมาก

การต่อต้านของฝ่ายขวาในรัฐตอนใต้ยังถึงขั้นมีการใช้คำที่แสดงความรุนแรงในประวัติศาสตร์ เมื่อมีการนำรูปปั้นของ นายพล โรเบิร์ต อี  ลี นักการเมืองฝ่ายสมาพันธรัฐออก มีนักการเมืองจากรัฐมิสซิสซิปปีรายหนึ่งบอกว่าคนที่ผลักดันให้มีการนำรูปปั้นนี้ออกไปจะต้อง "ถูกรุมประชาทัณฑ์" (lynched) โดยที่คำว่า "lynch" นี้เองเคยเป็นวิธีการลงโทษแบบนอกกฎหมายอย่างป่าเถื่อนด้วยการที่กลุ่มคนจำนวนมากเป็นสักขีพยานในการจับคนแขวนคอ คนขาวในสหรัฐฯ เคยกระทำการลงทัณฑ์โหดร้ายเช่นนี้กับคนดำในยุคสมัยช่วงสงครามกลางเมือง ในบางยุคสมัยยังกระทำกับเชื้อชาติอื่น อย่างชนพื้นเมืองอเมริกัน ชาวเม็กซิกัน หรือชาวจีน ด้วย

แลนดรูว์ชี้ว่าการใช้คำของนักการเมืองคนนี้เองที่ชี้ชวนให้มองว่ารูปปั้น อนุสรณ์ต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่หินแค่เหล็กหรือความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นภัยอะไร แต่มันเป็นอนุสรณ์ที่สร้างความทรงจำเทียมขึ้นมาทำให้ฝ่ายสมาพันธ์รัฐดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยไม่สนใจว่าจริงๆ แล้วมันคืออนุสรณ์ตัวแทนของความตาย การใช้ทาส และการสร้างความหวาดกลัว

วอชิงตันโพสต์ระบุว่า ไม่เพียงแค่ในนิวออร์ลีนส์เท่านั้น นายกเทศมนตรีของบอลติมอร์ก็กำลังหวังว่าจะหาวิธีจัดการกับรูปปั้นสมาพันธ์รัฐเหล่านี้ได้เช่นกัน

นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ประเทศอื่นๆ ก็เริ่มมีการชำระประวัติศาสตร์ความผิดบาปในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในสเปนที่การลงมติเชิงสัญลักษณ์ให้มีการขุดซากอดีตจอมเผด็จการฟรานซิสโก ฟรังโก ขึ้นมาจากแหล่งท่องเที่ยว เพราะต้องการให้แหล่งอนุสรณ์นี้เป็นพื้นที่รำลึกผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองที่โหดร้ายของสเปน ไม่ใช่พื้นที่รำลึกถึงเผด็จการโหดผู้ชนะในสงคราม

ในเยอรมนีและฝรั่งเศสเองก็มีความไม่พอใจจากฝ่ายขวาจัดที่ต้องแบกรับความผิดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 จากผ่านไปแล้วมากกว่าครึ่งศตวรรษก็ตาม

กรณีของสหรัฐฯ เองการสร้างอนุสาวรีย์รำลึกถึงผู้นำฝ่ายสมาพันธ์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันทีลังจบสิ้นสงคราม โมนิกา เฮสเส นักข่าวและนักเขียนสหรัฐฯ กล่าวว่าอนุสาวรีย์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นหลายสิบปีหลังจากจบสงคราม พวกมันเป็นอนุสาวรีย์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในสหรัฐฯ ในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ก่อร่างสหรัฐฯ ขึ้นมา

ในวันที่ 29 พ.ค. ของทุกๆ ปี เป็นวันที่สหรัฐฯ จะรำลึกผู้ที่เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองโดยที่ครอบครัวหรือเพื่อนของผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายจะทำการตกแต่งประดับประดาหลุมฝังศพของผู้ล่วงลับ แต่ขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นพื้นที่ของนักการเมืองในรัฐทางใต้ที่พยายามสร้างภาพให้กับฝ่ายสมาพันธรัฐ รูปปั้นบางแห่งที่ตั้งไว้ในสุสานกำลังจะถูกนำออกเช่นรูปปั้นของลี รูปปั้นของลีนี้ยังถูกฝ่ายขวาพยายามโยงเข้ากับบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ แม้ว่ามันจะถูกสร้างสร้างหลังการถือกำเนิดของจอร์จ วอชิงตัน บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ ตัวจริง 152 ปี

เดวิด ไบรท ศาตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยลเปิดเผยว่าอนุสาวรีย์ของฝ่ายสมาพันธรัฐถูกสร้างขึ้นมาบูชาประหนึ่งเป็น "พ่อ-ลูก" ผู้ปกปองสิ่งที่คนเล่านั้นเชื่อว่าเป็น "เสรีภาพแบบอเมริกัน" ด้วยการเล่าประวัติศาสตร์แบบแปลกๆ ให้ผู้นำฝ่ายสมาพันธรัฐดูมีสถานะ "เทียบเท่าพระเจ้า" ในยุคสมัยของคนเหล่านั้น เฮสเสบอกว่าผู้สร้างความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ใช่พวกลูกหลานหรือคนรักของทหารผ่านศึกที่เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองแต่เป็นคนรุ่นหลังจากนั้นที่ไม่ยอมอ่อนข้อทางความเชื่อ

ไบรทเปิดเผยอีกว่าการสร้างตำนานให้ผู้นำสมาพันธรัฐสนับสนุนทาสเหล่านี้เองปูทางให้ยุคต่อๆ มามีการเหยียดเชื้อชาติในระดับที่ถูกทำใเป็นสถาบัน รวมถึงจากข้อความหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ เองด้วย เขาเคยอ้างใช้วาทกรรมที่ว่า "พวกสมาพันธรัฐ" ยุคใหม่มีความเจ็บปวดในแบบของคนขาวที่ไม่พอใจประวัติศาสตร์ของผู้ชนะ ท่าทีของทรัมป์ในการวางพวงหรีดแสดงการรำลึกที่สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็พูดถึง "ความกล้าหาญ" ของทหารผู้ออกรบและช่วยกันสร้างชาติโดยไม่ได้ระบุฝ่าย

เทียบกับสุนทรพจน์ของนักปลดปล่อยทาสชื่อเฟรเดอริค ดักลาส ที่สุสานแห่งเดียวกันในปี 2424 ที่ไม่ได้ยกย่องความกล้าหาญแต่พูดถึงความสำคัญของการปกป้องประเทศสหรัฐฯ จากน้ำมือของกลุ่มกบฏที่พยายามสร้างสถาบันทาส แนวคิดเช่นนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในหัวของประธานาธิบดีคนปัจจุบันแต่ดูเหมือนจะตกทอดมาถึงแลนดรูว์

"มันเป็นสิ่งที่จะฉีกประเทศเราออกเป็นชิ้นๆ และกดขี่สหายชาวอเมริกันให้กลายเป็นทาส นี่คือประวัติศาสตร์ที่พวกเราไม่ควรจะลืมแล้วก้เป็นประวัติศาสตร์ที่พวกเขาไม่ควรจะเอาขึ้นไปไว้บนหิ้งเพื่อยกย่องบูชาด้วย" แลนดรูว์กล่าว

เรียบเรียงจาก

The debate over Confederate monuments shows how far the U.S. has to go, Washington Post, 30-05-2017

'It's shameful for Franco's victims': Spanish MPs vote to exhume dictator, The Guardian, 11-05-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"บอกทุกคนบนรถไฟว่าผมรักพวกเขา" คำพูดสุดท้ายของผู้ต่อสู้กับความเกลียดชังแห่งพอร์ตแลนด์

Posted: 02 Jun 2017 11:39 AM PDT

กรณี "ฮีโรแห่งพอร์ตแลนด์" ที่ชายสองคนถูกมีดแทงเสียชีวิตและอีกหนึ่งคนที่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากพวกเขาพยายามปกป้องเยาวชนหญิงชาวมุสลิม ที่กำลังถูกโจมตีจากคนที่เหยียดเชื้อชาติบนรถไฟในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ด้านสื่อท้องถิ่น Oregon Live นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากคำของผู้เห็นเหตุการณ์และพยายามช่วยเหลือ เธอเล่าถึงคำพูดสุดท้ายของฮีโรคนหนึ่งว่า "บอกกับทุกคนบนรถไฟนี้ว่าผมรักพวกเขา"

ช่อดอกไม้ไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิต 2 ราย จากเหตุการณ์ปกป้องเยาวชนหญิงมุสลิม และเยาวชนผิวดำ ที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา (ที่มา: Ninjanabe/Wikipedia)

2 มิ.ย. 2560 "ฮีโรแห่งพอร์ตแลนด์" ผู้ปกป้องคนที่กำลังถูกโจมตีจากการเหยียดเชื้อชาติได้แก่ ทาลิเอซิน เมิร์ดดิน นัมไคเมเช (Taliesin Myrddin Namkai Meche) อายุ 23 ปี ริค เบสต์ (Rick Best) อายุ 53 ปี ทั้งสองคนนี้ถูกแทงเสียชีวิตหลังจากพยายามเข้าสกัดกั้นผู้มีแนวคิดคนขาวอยู่เหนือเชื้อชาติอื่นที่กำลังตะโกนคำที่ยั่วยให้เกิดความเกลียดชังหรือ "เฮชสปีช" ใส่เยาวชนหญิงชาวมุสลิม 1 ราย และเพื่อนของเธอที่เป็นเยาวชนหญิงผิวดำ ที่โดยสารรถไฟ ส่วนอีกคนหนึ่งที่ถูกแทงคือ มิคาร์ เดวิดโคล เฟลตเชอร์ (Micah David-Cole Fletcher) อายุ 21 ปีถูกส่งไปรักษาพยาบาล

ผู้ก่อเหตุในครั้งนี้คือ เจเรมี โจเซฟ คริสเตียน อายุ 35 ปี ถูกจับกุมตัวฐานเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมจากการทะเลาะวิวาท พยายามฆ่า ข่มขู่คุกคาม และพกพาอาวุธ เขาถูกจับไม่นานหลังเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ในสื่อท้องถิ่น Oregon Live นำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดจากปากคำของ ราเชล มาซี อายุ 45 ปี ที่อยู่บนรถไฟขบวนที่เกิดเหตุ เธอเล่าว่าคริสเตียนทำเสียงดังโหวกเหวกและใช้วาจาหยาบคายขณะขึ้นรถไฟที่สถานีลอยด์เซนเตอร์เมื่อคืนวันที่ 26 พ.ค. ที่แม้กระทั่งมาซีที่กำลังใส่หูฟังอยู่ยังได้ยิน "เขาตะโกนว่าเขาเป็นคนจ่ายภาษีและพวกคนผิวสีทั้งหลายก็กำลังทำให้ประเทศนี้พังลงและอ้างว่าเขามีสิทธิตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ" มาซีกล่าว

มาซี ซึ่งมีเชื้อสายของชนพื้นเมืองอเมริกัน เล่าต่อไปว่าหลังจากนั้นคริสเตียนก็ใช้คำใส่ร้ายต่อต้านชาวมุสลิม เธอกลัวเขาเพราะตัวเธอเองก็เป็นคนผิวสีเลยพยายามไม่มองหน้าเขา บรรยากาศในตอนนั้นตึงเครียดมาก ในตอนนั้นที่นั่งบนรถไฟเต็มหมดแล้วผู้โดยสารคนอื่นๆ ยืนกันหมด มาวีบอกว่าเธอเริ่มรู้สึกผิดสังเกตเมื่อเห็นชายคนหนึ่งพยายามออกห่างจากคริสเตียนซึ่งต่อมาทราบว่าชชายคนนั้นคือ นัมไคเมเช อายุ 23 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิต

ในตอนนั้นผู้ที่อยู่ใกล้กับคริสเตียนที่สุดคือเบสต์ ผู้เสียขีวิตอีกรายหนึ่ง เขาพยายามทำให้คริสเตียนสงบสติอารมณ์ลงและบอกว่าเขาได้ยินสิ่งที่คริสเตียนพูดแล้ว เช่นบอกว่า "ผมรู้ว่าคุณเป็นคนจ่ายภาษีแต่การทำให้ผู้คนกลัวก็เป็นเรื่องไม่โอเค" แต่คริสเตียนก็ยังคงตะโกนต่อไปเหมือนกับไม่ฟังใครแล้วก็พูดเสียงดังกว่าเดิม ในช่วงนั้นเองมีการประกาศจากผู้ปฏิบัติการรถไฟออกทางเครื่องขยายเสียงว่าใครที่ก่อความวุ่นวายจะถูกเชิญให้ออกจากรถไฟในสถานีถัดไป คริสเตียนได้ยินดังนั้นก็ตะโกนว่าเขาจะออกจากรถไฟในขบวนถัดไปและใครก็ตามที่ตามเขามาจะต้องตาย

จากนั้นนัมไคมาเชก็เข้าไปพูดเสียงดังกับคริสเตียนว่าเขาควรจะออกจากรถไฟขบวนนี้ ในตอนนั้นทั้งเบสต์ มันไคเมเช และเฟลตเชอรืต่างก็พยายามลดความตึงเครียดในขบวนรถไฟลงด้วยพยายามให้คริสเตียนลงจากรถไฟ

ตัวมาซีเองบอกว่าเธอไม่ได้เห็นชัดเจนว่าหญิงชาวมุสลิมสองคนที่ถูกคริสเตียนข่มเหงเป็นคนไหนกันแน่ในหมู่ผู้โดยสารที่นั่งอยู่แต่คนที่ถูกแทงเสียชีวิตต่างก็พยายามสกัดกั้นคริสเตียนไว้ไม่ให้เขาเข้าหาผู้หญิงทั้ง 2 คน ซึ่งทำให้คริสเตียนไม่พอใจและขู่ว่า "ถ้าแตะต้องผมอีก ผมจะฆ่าคุณ" ในขณะนั้นเองนัมคเมเชก็ยังคงถือโทรศัพท์อยู่โดยไม่แน่ใจว่าเขากำลังค้นหาอะไรสักอย่างจะให้คริสเตียนดูหรือกำลังบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในจุดนั้นเองที่คริสเตียนปัดโทรศัพท์ออกจากมือของนัมไคเมเชและแทงเขาที่คอ มาซีบรรยายว่าฉากที่เห็นเหมือนกับฝันร้าย

หลังจากก่อเหตุแทงผู้คนคริสเตียนก็ตะโกนด่าทอผู้โดยสารคนอื่นๆ แล้วก็พยายามหลบหนี ในตอนนั้นเองมาซีเห็นเบสต์เดินมาไม่กี่ก้าวแล้วก็ล้มลง เธอเข้าไปปลอบโยนเขาว่า "อยู่กับพวกเรา คุณเข้มแข็ง อยู่กับพวกเรา"

ไม่เคิล เคนเนดี ผู้เห็นเหตุการณ์อีกรายหนึ่งที่เดินผ่านผู้คนที่กำลังวิ่งหนีระบุถึงเหตุการณ์ว่าเขาและคนอื่นๆ พยายามเข้าไปปั้มหัวใจให้กับเบสต์จนกระทั่งหน่วยฉุกเฉินมาถึง

ในตอนนั้นเองมาซีก็เห็นนัมไคเมเชล้มลงเสื้อเปื้อนเลือด บอกว่า "ผมกำลังจะตาย" ในตอนนั้นมาซีนั่งลงกับพื้นแล้วบอกให้นัมไคเมเชนอนลงจากนั้นจึงพยายามปฐมพยาบาลด้วยการเอาเสื้อดล้ามของเธอห้ามเลือดจากคอของนัมไคเมเช ในตอนนั้นมีอรกคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นทหารผ่านศึกพยายามปลอบโยนนัมไคเมเชเพื่อไม่ให้เขาตื่นตระหนก บอกว่าหัวใจเขายังเต้นอยู่และพูดว่าได้ยินเสียงไซเรนรแล้วมีคนกำลังจะมาช่วย ขณะที่มาซีบอกเขาซ้ำๆ ว่า "คุณไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียว พวกเราอยู่นี่แล้ว" และ "สิ่งที่คณทำเป็นความการุณย์ คุณเป็นคนที่จิตใจดีงามมาก ฉันเสียใจที่โลกนี้มันชางโหดร้าย"

จากนั้นมาซีก็สวดภาวนาพอเธอบอกให้นัมไคเมเชภาวนาตามไปด้วยเขาก็หลับตาลงแล้วพยายามที่จะหายใจ ส่วนเฟลตเชอร์เดินโซเซออกจากรถไฟในขณะที่กุมคอตัวเองไว้

มาซียังคงอยู่บนรถไฟจนกระทั่งตำรวจและหน่วยแพทย์ฉุกเฉินมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่แพทย์พยายามช่วยเหลือเบสต์อย่างเต็มความสามารถแต่เขาก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนนัมไคเมเชถูกนำขึ้นเปลไปโดยมีมาซีอยู่ข้างๆ ข้อความสุดท้ายที่นัมไคเมเชพูดกับมาซีคือ "บอกทุกคนบนรถไฟว่าผมรักพวกเขา"

มาซีทิ้งสัมภาระของตนไว้แล้วเดินกลับเข้าไปในรถไฟในจุดที่เบสต์นอนอยู่ เธอสวดภาวนาให้เขาและครบครัวของเขา "พระผู้สร้าง ได้โปรดปลอบโยนครอบครัวของเขาที่ไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่นี่" เจ้าหน้าที่เข้ามาบอกกับมาซีว่า "คุณทำได้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้แล้ว ถึงเวลาออกจากรถไฟแล้ว"

หลังงจากนั้น 20 นาที เธอก็ได้รับรู้จากเจ้าหน้าที่ว่านัมไคเมเชเสียชีวิตแล้ว ในคินถัดจากวันเกิดเหตุพ่อแม่ของนัมไคเมเชจัดรำลึกที่จุดรอรถไฟ มาซีนำหินทาสีม่วงรูปหัวใจซึ่งเป็นหินที่เธอใช้สวดภาวนามอบให้ครอบครัวของนัมไคเมเช ครอบครัวขอบคุณเธอที่อยู่กับลูกของพวกเขาในช่วงก่อนเสียชีวิตแะบอกว่า "เธอดูเหมือนแม่สำหรับลูกของพวกเขาในช่วงเวลานั้น"

มาซีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูก 5 คน เธอกำลังศึกษาจิตวิทยาอยูที่วิทยาลัยคาสเคดแห่งพอร์ตแลนด์และต้องอาศัยรถไฟขบวนดังกล่าวเดินทางไปกลับเพื่อเรียนในวิทยาลัย เธอเล่าว่าเธอแค่ทำในสิ่งที่เธอคิดว่าควรที่จะทำ เธอคิดเสมอว่า "คนๆ นี่เป็นลูกของใครคนหนึ่ง" มาซียังบอกอีกว่าเหล่าฮีโรแห่งพอร์ตแลนด์เหล่านี้เป็นเสมือนเทวทูตในหมู่ผู้คนเพราะพวกเขาลุกขึ้นเสี่ยงตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่นจากคนเหยียดเชื้อชาติ ขณะที่เธอพูดถึงคริสเตียนว่าเขาเป็นคนที่ทำตัวมุทะลุและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเลย ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้า

เรียบเรียงจาก

Portland MAX hero's last words: 'Tell everyone on this train I love them', Oregon Live, 30-05-2017

'He will remain a hero': families and friends mourn victims of Portland stabbing, The Guardian, 28-05-2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จัดหางานเผย ปี 59 คนไทยค่าจ้างเฉลี่ย 9,801 บ. เพิ่มจากปี 58 ส่วนใหญ่อยู่ภาคอุตฯ-บริการ

Posted: 02 Jun 2017 08:43 AM PDT

กรมการจัดหางาน เผยค่าจ้างรายอาชีพปี 59 พบค่าจ้างเฉลี่ย 9,801 บาท ซึ่งมากกว่าปี 58 โดยอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการสูงสุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและภาคกลางมากสุด แนะเรียนสายอาชีพ หางานง่าย รายได้ดี  
 
2 มิ.ย. 2560 รายงานข่าวจากกรมจัดหารงาน กระทรวงแรงงาน ระบุว่า วรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน โดยกองบริหารข้อมูลตลาดแรงงานได้รวบรวมข้อมูลตำแหน่งงานว่างจากการให้บริการจัดหางานในประเทศมาทำการวิเคราะห์และจัดทำค่าจ้างรายอาชีพปี 2559 ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าคนไทยได้รับค่าจ้างต่อเดือนสูงสุด 45,000 บาท ต่ำสุด 7,800 บาท และค่าจ้างเฉลี่ย 9,801 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 พบว่าค่าจ้างต่อเดือนสูงสุดเพิ่มขึ้นจากปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 18.42 ที่ได้รับค่าจ้างต่อเดือนสูงสุด 38,000 บาท ขณะเดียวกันค่าจ้างเฉลี่ยยังเพิ่มขึ้นจากปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 0.73 ซึ่งมีค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 9,730 บาท โดยค่าจ้างต่อเดือนสูงสุดอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ 45,000 บาท รองลงมาภาคเกษตรกรรม 40,000 บาท อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดในปริมณฑลและภาคกลางมากสุด ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุดอยู่ในหมวดอาชีพผู้บัญญัติกฎหมาย ข้าราชการอาวุโส ผู้จัดการ 14,841 บาท รองลงมาผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่าง ๆ 12,758 บาท ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 10,749 บาท เสมียน เจ้าหน้าที่ 10,072 บาท ตามลำดับ
 
สำหรับอาชีพที่มีค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนมากที่สุดคือวิศวกรเหมืองแร่ทั่วไปและผู้ติดตั้งเครื่องเจาะ (การเจาะบ่อน้ำมัน) 40,000 บาท ช่างทอพรมด้วยเครื่องจักร 26,000 บาท นักอินทรีย์เคมีและผู้ประมาณการ (งานวิศวกรรม)  25,000 บาท ต้นเรือ 22,000 บาท และนักเภสัชวิทยา 21,900 บาท ตามลำดับ 
 
วรานนท์ กล่าวอีกว่า จากการวิเคราะห์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดแรงงานมีความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ทั้งยังมีรายได้สูงอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเรียน นักศึกษาในการตัดสินใจเลือกเรียนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน และได้รับอัตราค่าจ้างที่สูง โดยเฉพาะสายอาชีพจะมีโอกาสที่หลากหลายในการทำงาน โดยผู้เรียนสามารถเลือกออกไปทำงานหรือเรียนไปทำงานไปด้วยก็ได้ กล่าวคือเป็นการเรียนที่นำไปใช้ในชีวิตจริงได้เลย เพราะจะได้ทั้งความชำนาญในงานและประสบการณ์จากการทำงานควบคู่กันไป อย่างไรก็ตาม นอกจากเลือกเรียนตรงกับตลาดต้องการแล้วยังต้องพัฒนาทักษะของตนเองด้วย เช่น ภาษาต่างประเทศ การใช้เทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสการมีงานทำให้กับตนเองต่อไป 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กก.สอบ ชี้ ไทยพีบีเอส สามารถลงทุนหุ้นกู้ซีพีเอฟ ได้

Posted: 02 Jun 2017 07:28 AM PDT

กก.สอบข้อเท็จจริง ชี้ 'ไทยพีบีเอส' สามารถ ซื้อตราสารหนี้ บ.ซีพีเอฟ ได้ ระบุยังไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน และไม่ได้ขัดแย้งกับหลักธรรมาภิบาล

2 มิ.ย. 2560 กรณีเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่าไทยบีพีเอสลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพีเอฟ) ล่าสุดวานนี้ (1 มิ.ย.60) เว็บไซต์ไทยพีบีเอส เผยแพร่ คำชี้อแจ้งของ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายได้มีคำสั่งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการซื้อตราสารหนี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) นั้น

บัดนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบาย และคณะกรรมการนโยบายเห็นว่าผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการนโยบายในคราวประชุมครั้งที่ 8/2560 เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2560 ดังนี้

ประการที่หนึ่ง พิจารณาจากพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 แล้ว ส.ส.ท. สามารถซื้อหุ้นกู้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ได้ แม้ว่าคณะผู้บริหารยังมิได้ดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วนทุกขั้นตอนตามที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้

ประการที่สอง การซื้อหุ้นกู้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่จะชี้ให้เห็นได้ว่า การซื้อหุ้นกู้ครั้งนี้มีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เนื่องจากราคาซื้อ-ขาย เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับรายอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน

ประการที่สาม การซื้อหุ้นกู้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ขัดแย้งกับหลักธรรมาภิบาล เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสื่อสาธารณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับองค์การฯ ว่าด้วยจริยธรรมของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน พ.ศ. 2551 และข้อบังคับองค์การฯ ว่าด้วยจริยธรรมของวิชาชีพเกี่ยวกับการผลิตและการเผยแพร่รายการ พ.ศ. 2552

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายกำลังดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ โดยเฉพาะ ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามและกลั่นกรองการบริหารจัดการ การเงินและการหารายได้แล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุมัติสงวนบ้านเก่าป้อมมหากาฬแล้ว 2 หลัง รอถกต่อ 16 หลังพรุ่งนี้

Posted: 02 Jun 2017 06:41 AM PDT

กทม. สมาคมสถาปนิกสยาม นักวิชาการ ตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬ เห็นพ้อง สงวนบ้านที่มีคุณค่าเอาไว้ วันนี้ได้ 2 หลัง รอถกกันต่อพรุ่งนี้ แจง ชุมชนป้อมฯ ร่ำรวยวัฒนธรรมหลายด้าน เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ตัวแทนชุมชนท้วง กทม. ทะเบียนราษฎร์ไม่อัพเดท ระบุบ้านว่างแต่จริงๆ คนยังอยู่


2 มิ.ย. 2560 มีการประชุมคณะกรรมการระบุคุณค่าป้อมมหากาฬ ครั้งที่ 5 เรื่องข้อมูลกรรมสิทธิ์ การถือครองและการออกแบบวิธีการในการสำรวจคุณค่า ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มีผู้เข้าร่วมประชุม 3 ฝ่าย ฝ่ายกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ธีรพันธุ์ มีชัย เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ณัฐนันทน์ กัลยศิริ ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่ากทม. เป็นต้น  ฝ่ายชุมชนและนักวิชาการ ได้แก่ ธวัชชัย วรมหาคุณ ประธานชุมชนป้อมมหากาฬ ผศ.สุดจิต สนั่นไหว อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.รังสิต อุปนายกฝ่ายกิจกรรมเมืองและนโยบายสาธารณะ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ. สุพิชชา โตวิวิชญ์ ประธานกรรมาธิการสถาปนิกเพื่อสังคมและเมือง สมาคมสถาปนิกสยามฯ ผศ.วิมลรัตน์ อิสระธรรมนูญ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ประภัสสร์ ชูวิเชียร อาจารย์คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร, ธนภณ วัฒนกุล สำนักบริการวิชาการ ม.ศิลปากร ,นายสานนท์ หวังสร้างบุญ กลุ่มมหากาฬโมเดล ,นางสาวอินทิรา วิทยาสมบูรณ์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ภารนี สวัสดิรักษ์ นักวิชาการอิสระ  ส่วนฝ่ายทหาร มีพ.ท. โชคดี อัมพรดิษฐ์ ผู้บังคับการกองพันทหารปืนใหญ่ที 1 รักษาพระองค์ ทั้งนี้ยังมีอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ เข้าร่วมประชุมด้วย

เห็นชอบร่วมสงวนบ้านที่มีคุณค่าเอาไว้ วันนี้อนุมัติ 2 หลัง คุยต่อพรุ่งนี้

อัชชพล กล่าวว่า หลังทำการประเมินคุณค่าของบ้าน พบว่ามีบ้านที่มีคุณค่าดังกล่าว 24 หลัง ทุบไปเหลือ 22 หลัง ส่วนการพัฒนาที่ตั้ง ผังเมือง ได้มองไปถึงพื้นที่ต่างๆข้างเคียง เช่น วัด บ้าน ถนน ตนเห็นว่าชุมชนควรเข้าใจว่า ชุมชนจะเปลี่ยนไปเป็นชุมชนอนุรักษ์ คนที่ยังอยู่ในชุมชนห้ามเปลี่ยนตัวบ้าน หรือลักษณะอาคาร ตนเชื่อว่าป้อมมหากาฬจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นในอนาคต และชาวบ้านจะยังได้อยู่ในพื้นที่ชุมชนอย่างสง่างามอีกด้วย ถ้า กทม. ทำสนามหญ้าจะไม่ได้อะไรนอกจากค่าคนสวนกับค่าน้ำ

ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันเบื้องต้น ให้สงวนบ้านที่ทรงคุณค่าเอาไว้จำนวน 22 หลัง จาก 33 หลัง โดยสองหลังแรกที่ได้อนุญาตให้สงวนไว้คือบ้านหลังที่ 97 และ 99 เป็นเรือนไม้กลางชุมชน และบ้านหลอมทองตามลำดับ ซึ่งเป็นบ้านที่มีมาตั้งแต่สมัย ร.5 ผ่านการประเมินคุณค่าและ กทม. อนุมัติให้สงวนไว้ ส่วนทางนักวิชาการได้ระบุว่าได้ทำการสำรวจบ้านในชุมชนมาแล้ว 4 หลัง และทาง กทม. ขอ "แขวน" ไว้ ยังไม่พิจารณา ส่วนบ้านอีก 16 หลังที่เหลือจะได้รับการพิจารณาในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ กระบวนการระบุคุณค่าจะต้องมีการไปลงพื้นที่พิสูจน์ร่วมกันก่อนว่ามีคุณค่าครบถ้วนเพียงพอใน 5 ด้าน ได้แก่ คุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ เขิงสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและผังเมือง เชิงสังคมและวิถีชีวิต เชิงโบราณคดีและการตั้งถิ่นฐาน และคุณค่าเชิงวิชาการ

ทีมนักวิชาการแจง ชุมชนป้อมฯ ร่ำรวยวัฒนธรรมเก่าแก่หลายด้าน เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต

ประภัสสร์ กล่าวถึงความสำคัญของชุมชนป้อมมหากาฬว่า ชุมชนเป็นแหล่งที่พักอาศัยตั้งแต่ตอนก่อตั้งกรุงเทพฯ เป็นทั้งพื้นที่พักอาศัยและจุดยุทธศาสตร์ทางการป้องกัน เป็นชุมชนทางยุทธศาสตร์ของกำแพงพระนคร ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่น้อยเต็มที ในส่วนของตัวบ้านเรือนนั้นมีคุณค่าในแง่เชิงช่างที่ต่างสมัย ภูมิปัญญาในการก่อสร้าง มีระบบการเข้าไม้ ตอกไม้ การเข้าเรือนอย่างไร ถ้าเป็นบ้านสมัย ร.5 ที่ตอนนี้เหลือสองหลังก็จะมีวิธีฉลุลายอีกแบบ

ในแง่โบราณคดี ให้คุณค่ากับการคงอยู่ของหลักฐานในพื้นที่ การมีบ้านอยู่ที่เดิมสะท้อนว่ามีคนทำกิจกรรมในพื้นที่ในอดีตอย่างไร ทั้งยังไม่ทราบว่าใต้ดินจะมีหลักฐานของการอยู่อาศัยเก่าอยู่หรือไม่อีกด้วย จากการสำรวจบ้านเบื้องต้นพบว่ามีวัตถุโบราณ ของเก่า ที่แสดงถึงกิจกรรมของผู้คนที่อาศัยในนั้น เช่นเบ้าหลอมทอง การทำเตา เครื่องมือเครื่องใช้ทำดนตรีไทย ซึ่งบางกิจกรรมยังคงทำอยู่ ทางยุทธศาสตร์ การเป็นชุมชนริมคลองแบบชุมชนป้อมมหากาฬเป็นภาพสะท้อนระบบผังเมืองยุคโบราณ รวมถึงระบบจัดการน้ำในชุมชน

อินทิรา กล่าวถึงชุมชนป้อมมหากาฬว่า เป็นชุมชนในพระนครที่ยังคงมีการคงอยู่อาศัยต่อเนื่อง ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเก่าแก่โดยรอบยังมี ไม่ได้เติบโตอย่างโดดเดี่ยว ชุมชน้อมฯ เป็นพื้นที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ด้วยมุขปาฐะ คนในชุมชนยังสามารถเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ได้ตรงตามที่บันทึกไว้ นอกจากนี้ ยังมีคุณค่าวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี ที่พบเห็นได้อยู่ในขณะที่ที่อื่นพบเห็นได้น้อยแล้ว ทั้งภูมิปัญญาทางอาชีพที่สืบทอดมาแต่โบราณ ตรงกับนโยบายรัฐเรื่องพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต

ภายในชุมชนแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชน แม่บ้าน สหกรณ์ออมทรัพย์ สะท้อนว่ามีกลไกในการอยู่ร่วมกัน และมีการรวมกลุ่มเพื่อเป็นต้นทุนในการจัดการป้อมมหากาฬในอนาคตได้ ทั้งยังมีภาคีร่วมคิดพัฒนาพื้นที่ป้อมมากมายจากนอกชุมชน ทีมนักวิชาการเชื่อว่าถ้าให้โอกาสสำรวจบ้านต่างๆ เพิ่มเติม คงจะได้พบคุณค่าต่างๆ ที่น่าสนใจในบ้านหลังอื่นเช่นกัน

ตัวแทนชุมชนท้วง กทม. ทะเบียนราษฎร์ไม่อัพเดท ระบุบ้านว่างแต่จริงๆ คนยังอยู่

สุทัศน์ รายงานภาพแปลงที่ดิน ข้อมูลผู้อยู่อาศัย เลขที่บ้านดังปรากฏในทะเบียน เทียบกับสิ่งปลูกสร้างในความเป็นจริง หลายพื้นที่เป็นที่ดินของวัดที่ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยโดยเช่าที่อยู่อาศัย หรือเช่าที่ดินแล้วปลูกบ้านอยู่ แต่ทางกรุงเทพฯ ได้เวนคืนและดำเนินการจ่ายเงินชดใช้อยู่ โดยการชดใช้ค่าที่ดินได้จ่ายให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ตามโฉนด ในส่วนสิ่งปลูกสร้างก็จ่ายตามกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนผู้เช่าอาศัยก็ได้รับเงินช่วยเหลือ ที่ประชุมพบปัญหาความคลุมเครือของข้อมูลผู้อยู่อาศัยและแปลงที่ดินตามระบุในทะเบียนราษฎร์กับที่เป็นอยู่จริง ธีรพันธ์ จึงได้สั่งการให้มีการไปตรวจสอบอีกครั้งในเรื่องการสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราว หรือสร้างขึ้นมาใหม่ในพื้นที่ ซึ่งตัวธวัชชัยได้แย้งว่า ทะเบียนราษฎร์ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่ทันสมัย ในความเป็นจริงไม่มีบ้านหลังไหนที่ว่าง ดังที่ระบุไว้ในทะเบียนราษฎร์เลย การตรวจสอบและพบมีบ้านว่างอาจเป็นเพราะไม่ได้ตรวจสอบชื่อผู้อาศัย แต่กลับตรวจสอบตามรายชื่อผู้เช่าที่ดินของวัด ซึ่งในปี 2535 ที่มีการเวนคืน ชาวบ้านในชุมชนไม่เคยย้ายออกไปแล้วกลับมาอยู่ใหม่ในพื้นที่สาธารณะดังที่กทม. แจ้งโครงการบ้านมั่นคงเป็นสิ่งที่ชุมชนเรียกร้องกันอยู่ และหวังว่าในอนาคตจะได้พิสูจน์เรื่องคุณค่าของบ้านและชีวิตคนในชุมชนที่ยืนหยัดกับปัญหาสิทธิที่อยู่อาศัยมากว่า 25 ปี

ธีรพันธ์ กล่าวว่า กทม. ได้ที่ดินมาจากสองวิธี ได้แก่ การจัดซื้อและกฎหมาย ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ภายใต้ความรับผิดชอบของเทศบาลพระนคร โดยในพื้นที่ชุมชนป้อมมหากาฬ ทาง กทม ได้จ่ายเงินให้เจ้าของบ้านทำการรื้อถอน และซื้อที่ดินเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2503 จนปี 2535 มีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินจึงมีกระบวนการได้ที่ดินเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วัฒนา-เอกนัฏ' วิวาทะ เพื่อไทย-ปชป. พรรคไหนสู้เพื่อประชาธิปไตย - ปฏิรูป

Posted: 02 Jun 2017 06:03 AM PDT

วัฒนา ถาม แกนนำ กปปส. ไหนเคยประกาศที่จะไม่หวนคืนการเมือง ยก 'เพื่อไทย' มีจุดยืนที่ชัดเจนมาตลอดว่าอยู่ข้างประชาธิปไตยตรงข้ามกับเผด็จการ ด้าน 'เอกนัฏ' สวนกลับถ้าไม่อยากถูกอ้างประชาธิปไตย อย่าเลือกเพื่อไทย ถ้าอยากได้ปฏิรูปเลือก ปชป.

2 มิ.ย. 2560 หลังจากเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา แกนนำ กปปส. และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นกลุ่ม กปปส. ได้เข้าพบ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรค เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้น เปิดเผยว่า กปปส. ทุกคนที่ไปทำกิจกรรมทางการเมือง ไม่มีใครลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค จะยังคงร่วมมือกันเหมือนเดิม คือ ลงสมัครรับเลือกตั้งตามโรดแมป และผลักดันให้การปฏิรูปประเทศสำเร็จตามที่เคยเรียกร้อง

วัฒนา ถามไหนเคยประกาศที่จะไม่หวนคืนการเมือง

กรณีดังกล่าวสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเชิงสนับสนุนและตั้งคำถามกับการเคลื่อนไหวของ กปปส. ทีผ่านมา โดยหนึ่งในนั้นคือ วัฒนา เมืองสุข จากพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Watana Muangsook' ในหัวข้อ "ชัดเจนเสียที" 

วัฒนา ระบุว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อดีตหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งได้ให้แนวทางการต่อสู้กับเผด็จการทหาร โดยเสนอให้ 4 พรรคการเมืองผนึกกำลังจัดตั้งรัฐบาลต่อสู้กับรัฐบาลทหารเพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นต้องทนอยู่กับรัฐบาลทหารตามยุทธศาสตร์ชาติอีก 20 ปี เสมือนเป็นสัญญาณที่ดีว่าพรรคการเมืองที่เคยได้รับการอุปถัมภ์จากทหารให้ตั้งรัฐบาล สมาชิกพรรคที่เคยออกมาก่อม็อบข้างถนนขับไล่รัฐบาลที่มาจากประชาชนและสนับสนุนให้ทหารออกมายึดอำนาจจนบ้านเมืองเสียหายยับเยิน จะสำนึกตัวกลับมายืนบนถนนสายประชาธิปไตยอีกครั้ง

ไม่ทันสิ้นเสียงของอดีตหัวหน้าพรรค ก็เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองหลายอย่างโดยบังเอิญ ได้แก่ อัยการสั่งไม่ฟ้องบริษัทรับเหมาในคดีฮั้วประมูลการก่อสร้างโรงพักร้าง 396 แห่งโดยเห็นว่าไม่มีเจตนาทุจริต ซึ่งต่อมาก็คงจะสั่งไม่ฟ้องอดีตเลขาธิการพรรคที่เชียร์หัวหน้า คสช. ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป จากนั้นก็เกิดการรวมตัวของแกนนำ กปปส. กับพรรคการเมืองดังกล่าวทั้งที่กลุ่มคนพวกนี้เคยประกาศที่จะไม่หวนคืนการเมือง ที่น่าชื่นใจคือรอง นรม. ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าทั้งหมดเป็นการมากินกาแฟกันธรรมดาไม่ใช่การรวมกลุ่มทางการเมืองเกินกว่า 5 คน ทั้งที่เรื่องที่คุยกันคือการเมืองล้วนๆ ตามมาด้วยหัวหน้าพรรคประกาศจุดยืนว่าพรรคมีเป้าหมายตรงกับ กปปส. นั่นคือการยึดแนวทาง กปปส. ต่อไป จึงเป็นอันสิ้นสงสัยว่าพรรคการเมืองนี้มีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร

วัฒนา โพสต์ด้วยว่า สำหรับพรรคเพื่อไทยก็คงไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย เพราะมีจุดยืนที่ชัดเจนมาตลอดว่าอยู่ข้างประชาธิปไตยตรงข้ามกับเผด็จการ แม้ราคาที่ต้องจ่ายจะมากมายมหาศาลถึงขั้นเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ต้องถูกอุ้มจนเสียอิสรภาพหลายครั้งก็ไม่เคยเปลี่ยนที่ยืน ที่เหลือคงเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะเลือกว่าจะให้ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในอนาคต ถ้าชอบเผด็จการหรือเห็นว่า คสช. บริหารประเทศดีบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ก็เลือกพรรคนี้ได้เลยเพราะแสดงตัวออกมาชัดเจนแล้ว ถ้าชอบประชาธิปไตยก็ไม่ต้องคิดเพราะมีพรรคเดียวที่ประกาศตัวว่าอยู่ตรงข้ามเผด็จการ

เอกนัฏแนะถ้าไม่อยากถูกอ้างประชาธิปไตย อย่าเลือกเพื่อไทย ถ้าอยากได้ปฏิรูปเลือก ปชป.

ขณะที่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และอดีตโฆษก กปปส. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ขิง)' โต้ วัฒนา ในหัวข้อ "ชัดเจนตรงไหน ?" 

"ผมไม่แน่ใจว่าคุณวัฒนาไม่ทราบจริงๆหรือแกล้งไม่ทราบ" เอกนัฏ โพสต์  พร้อมระบุว่า มวลมหาประชาชนเขาออกมาต่อสู้กับรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ เพราะเขาไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือให้พวกคุณเอาอำนาจของเขาไปใช้ออกกฏหมายล้างผิดให้คนโกง ไม่เคยมีใครขอร้องให้ล้มพรรคไหนเลือกพรรคไหน วันนั้นพวกคุณหูหนวกไม่รับฟังเสียงประชาชน วันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน

คุณยิ่งลักษณ์หลุดจากตำแหน่งจริงๆแล้วเป็นเพราะผลกรรมในอดีตที่ก่อไว้ ไปย้ายคุณถวิลฯ ออกเพื่อเปิดตำแหน่งให้กับคุณเพรียวพันธ์ขึ้นเป็น ผบ.ตร. จนศาลรัฐธรรมนูญชี้ผิด สิ้นสภาพความเป็นนายกตกจากเก้าอี้ในที่สุด เหตุที่ทหารต้องออกมาก็เพราะประชาชนที่ต่อสู้กับพวกคุณ เพื่อยับยั้งการออกกฏหมายล้างผิดคนโกง ถูกผู้ร้ายเข่นฆ่าทำร้ายด้วยปืนด้วยระเบิดบนท้องถนน โดยที่พวกคุณที่เป็นรัฐบาลไม่สนใจไยดีเลยแม้แต่น้อย กลับตอบโต้ถ้าทายเป็นรายวัน คิดเพียงแต่จะกอดอำนาจเอาไว

"คนหวังดีต่อประเทศเขาจะร่วมมือกันปฏิรูปประเทศ ทำไมพวกคุณจะต้องถ่วง มองโลกมืดสร้างวาทกรรมบิดเบือนข้อมูล ถ้ามีหัวใจเป็นประชาธิปไตยจริงก็ทำใจให้กว้างได้มั้ยครับ คอยบั่นทอนความเชื่อมั่นเรื่องเศรษฐกิจทั้งๆ ที่รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นจากสิ่งที่พวกคุณสร้างไว้ แค่ความเสียหายจากนโยบายจำนำข้าวอย่างเดียวก็ทำให้เศรษฐกิจถอยไปเท่าไหร่แล้ว" เอกนัฏ โพสต์ พร้อมระบุอีกว่า ประเทศไทยไปทำอะไรให้คุณคับแค้นใจนักหนา จะเลือกพรรคไหนในอนาคตเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่ที่แน่ๆ ถ้าไม่อยากให้ถูกแอบอ้างประชาธิปไตยหลอกเอาสิทธิพวกเราไปใช้เพื่อออกกฏหมายล้างผิดให้คนโกงบ้านโกงเมืองอีก ก็อย่าไปเลือกพรรคเพื่อไทย แล้วถ้าอยากได้ปฏิรูปภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่แท้จริง พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นทางเลือกให้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช. ตั้งศูนย์เฉพาะกิจรับมือแฮกเกอร์โจมตีไอทีภาครัฐ ช่วงรายการศาสตร์พระราชาฯ คืนนี้

Posted: 02 Jun 2017 05:17 AM PDT

กสทช. ตั้งศูนย์เฉพาะกิจติดตามสถานการณ์แฮกเกอร์โจมตีไอทีภาครัฐ พร้อมจับมือ 'ดีอี' และหน่วยงานความมั่นคงป้องกัน หลังแอนโนนีมัส ประกาศโจมตี เวลา 20.10 น. วันนี้ ช่วงรายการศาสตร์พระราชาฯ  ระบุตอบโต้ไทยดำเนินการซิงเกิลเกตเวย์ ครบรอบ 2 ปี

2 มิ.ย.2560 รายงานข่าวจาก สำนักสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) แจ้งว่า ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ตามที่ปรากฏข่าวกรณีศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) พบการเผยแพร่ข้อความผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก ชื่อ "Op Anonymous Greece" โดยมีการระบุว่าจะมีการโจมตีระบบสารสนเทศของหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย พร้อมระบุเวลาในการโจมตีขึ้นในวันศุกร์ที่ 2 มิ.ย. 2560 เวลา 20:10 น. - 21:00 น. นั้น สำนักงาน กสทช. ได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจคอยติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมีหนังสือสั่งการผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และผู้ให้บริการวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ (ไอไอจี) ทุกรายเฝ้าระวังความปลอดภัยเครือข่ายอย่างเข้มงวด รวมถึงเตรียมการรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

"สำนักงาน กสทช. พร้อมสนับสนุนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และหน่วยงานความมั่นคงซึ่งเป็นหน่วยงานรักษาการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่" ฐากร กล่าว

บีบีซีไทย รายงานว่า การโจมตีดังกล่าวกลุ่มออพ แอนโนนีมัส กรีซ อ้างว่าเพื่อตอบโต้การที่ประเทศไทยดำเนินการซิงเกิลเกตเวย์ ครบรอบ 2 ปี

สำรับเวลา เวลา 20:10 น. - 21:00 น. วันนี้ เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาการออกอากาศ รายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ณัฏฐา มหัทธนา

Posted: 02 Jun 2017 04:46 AM PDT

"ถ้าทหารมีวินัย ประเทศไทยไม่มีรัฐประหารค่ะ"

โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.60

Mad Mom and Dad: ภาวะสุดเอื้อมมือ เมื่อลูกยุคดิจิทัลไม่อยู่ในโลกของคุณอีกต่อไป

Posted: 02 Jun 2017 04:26 AM PDT

สัมภาษณ์ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ กับปรากฏการณ์เพจเลี้ยงลูกชื่อดัง เมื่อพ่อแม่ Gen X/Gen Y คิดว่าลูกในยุคดิจิทัลห่างไกลการควบคุมของตน อิทธิพลทางวัฒนธรรมและศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมลูก ในขณะที่อำนาจทางวัฒนธรรมของพ่อแม่กำลังถูกสั่นคลอนโดยคนรุ่นหลัง


ในฐานะพ่อแม่ คุณอาจกังวลว่าลูกคุณติดเกมมากเกินไป คุณอาจกังวลว่าในโลกโซเชี่ยลลูกคุณอยู่กับสื่อแบบไหน คุยกับใคร มีแฟนหรือยัง

แน่นอนคุณรักลูกของคุณ และปรารถนาดีต่อเขา คุณอยากเห็นเขาเดินไปบนหนทางที่คิดว่าจะทำให้เขาอยู่อย่างสุขสบาย

ดังนั้นคุณควรเตรียมความพร้อมแก่ลูกในทุกด้าน วางเป้าหมาย สร้างโอกาส สนับสนุน แนะแนวทาง เพื่อวันหนึ่ง ลูกจะเป็นในสิ่งที่คุณหวัง

"Dad Mom and Kids" เป็นเพจที่ก่อตั้งโดย นพ.อิทธิฤทธิ์ จุฬาลักษณ์ศิริบุญ แพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว และภรรยา พญ.สาริณี จุฬาลักษณ์ศิริบุญ แพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น มีจุดประสงค์เพื่อแบ่งปันวิธีการเลี้ยงลูกให้กับพ่อแม่ในปัจจุบัน โดยมีแนวคิดว่า

"FanPage นี้ จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ผ่านการคัดสรรว่า ดีที่สุด เชื่อถือได้ ผ่านการกลั่นกรองจากหมอทั้ง 2 คน เพราะจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด คือ ครอบครัว ดังนั้น ชีวิตคู่ที่ความสัมพันธ์ดี พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกได้อย่างถูกวิธี เด็กๆที่มีเป้าหมายในชีวิต เป็นสิ่งสำคัญมาก" (อ้างอิงจาก 'ความเป็นมา' ของเพจ)

แต่สิ่งที่ทำให้เพจนี้เป็นกระแสและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เอาเข้าจริงแล้ว กลับเป็นโพสต์ไม่กี่โพสต์ที่มีแนวทางชัดเจน เด็ดขาด เช่น คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก 14 ข้อ โดยหนึ่งในนั้นคือการทำตารางสำหรับกิจวัตรประจำวันของลูก หรือการห้ามให้ลูกเล่นเกม การห้ามให้ลูกมีแฟน ซึ่งสิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจในโลกโซเชียลเป็นวงกว้าง ทางเพจเองตอนแรกได้ออกมาตอบโต้ เช่น การขู่ว่าจะฟ้อง จนกลายเป็นกระแสต่อต้านลุกลาม มีการทำการ์ตูนล้อเลียน  หลายเพจออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จนกระทั่งล่าสุดวันที่ 30 พ.ค. 60 ทางเพจจึงได้ออกมาแถลงของดการเคลื่อนไหวหนึ่งเดือน

อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนคนกดไลก์เพจกว่าหนึ่งแสนคน อาจถือเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าแนวคิดเช่นนี้ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนไม่น้อยในสังคม แนวคิดที่ว่าพ่อแม่ซึ่งมีความรู้ ผ่านประสบการณ์ และปรารถนาดีต่อลูก ควรเป็นคนกำหนดเป้าหมายในชีวิตของลูก เพื่อให้ลูกเดินไปในทิศทางที่ควรจะเป็น และขณะเดียวกันเนื่องมาจากการเป็น "คุณหมอ" เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็ทำให้เพจนี้ได้รับความน่าเชื่อถือจากพ่อแม่จำนวนหนึ่ง

หากมองในภาพรวมที่กว้างไปกว่านั้น แนวคิดนี้อาจสะท้อนไปถึงการให้คุณค่าของคนในสังคมไทย "ระบบอาวุโส" "คนดี คนเก่ง" ควรมีสิทธิ์มีโอกาสที่จะตัดสิน ชี้นำ กำหนดเป้าหมายให้กับประเทศนี้จริงหรือไม่ ประชาไทสัมภาษณ์ ฟิล์ม เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้จัดการบ้านยังฟิล์มและแอดมินเพจเกรียนศึกษา ซึ่งมีความสนใจในบทบาทของคนรุ่นใหม่ สถาบันครอบครัว และโครงสร้างการศึกษาในสังคมไทย ชวนตั้งคำถามและวิพากษ์จากแนวคิดของสถาบันครอบครัวสู่แนวคิดทางอุดมการณ์ของการเมืองไทย

เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

ภาพรวมของเพจนี้สะท้อนแนวคิดอะไรในสังคมไทยปัจจุบัน?

วิจารณ์โดยภาพรวม ไอเดียการเลี้ยงลูกของเขาก็มีระดับที่โดนวิจารณ์มาก ถ้าไปดูหนังคาราเต้คิด (The Karate Kid) หรือหนังในยุคนั้น ถ้าจำได้คือตัวเอกป่วยเป็นโรคหอบ แล้วก็ไปเรียนกับอาจารย์คนจีน คู่แข่งคนสำคัญของเขาเป็นเด็กเอเชียที่พ่อแม่ปลูกฝังมาอย่างดี ทุ่มเทและกดดันสุดๆ ให้ลูกชนะ แต่ท้ายสุดก็แพ้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว ตัวละครชาวเอเชียจะถูกทำให้มีภาพแบบนี้อยู่ตลอดเวลา การเรียนแข่งขันที่ไม่มีที่สิ้นสุด

เราคิดว่าไอเดียในภาพรวมมันมีปัญหาอยู่ 3 เรื่อง ประเด็นแรก วิธีคิดของพ่อแม่รุ่นนี้กับเด็ก ณ ปัจจุบัน เขารู้สึกว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เด็กคุมยากมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่แค่พ่อแม่คู่นี้รู้สึก ถ้าไปถามพ่อแม่คนอื่นๆ เขาก็จะรู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ตามลูกไม่ทัน อย่างโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ค หรือกรุ๊ปไลน์ เขารู้สึกว่าโลกของลูกเขาเป็นโลกที่ปิดกั้นตัวเขาออกไป ต่างจากยุคที่เขาโตมา ยุคที่พ่อแม่รุ่นนี้โตมา เขาก็ยังดูทีวีแบบเดียวกับพ่อแม่ปู่ย่า ก็เลยยังอยู่ในคอนโทรล (control) หรืออยู่ในภาษาที่พูดคุยกันได้

แต่เด็กรุ่นนี้กับพ่อแม่รุ่นนี้เขามีมาตรฐานอันหนึ่งคือมาตรฐานทางดิจิตอล พ่อแม่เป็น digital immigrant คือผู้อพยพมาใช้ดิจิตอล ในขณะที่เด็กรุ่นนี้เป็น digital native เป็นคนที่เกิดพร้อมเผ่าพันธุ์ดิจิตอล ดังนั้นความระแวดระวังของพ่อแม่ที่มีต่อเด็กรุ่นนี้จึงมีสูงผิดปกติเป็นธรรมดา

ทีนี้วิธีที่เขาจัดการลูกก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าเขาคอนโทรลลูกไม่ได้ เขาเลยยิ่งต้องตอกย้ำ อย่างเช่นการมีกฎระเบียบ ห้ามเล่นเกม ห้ามมีแฟน ในเมื่อลูกเป็นวัตถุที่ควบคุมยากเขาก็ควรจะต้องควบคุมลูกด้วยความรัก เขาทำบนฐานของความรัก ให้ลูกประสบความสำเร็จ โดยสรุปประเด็นที่หนึ่งก็คือเขารู้สึกว่าลูกเป็นอะไรที่ควบคุมยาก ถ้าสังเกตดีๆ เขาก็ไม่ได้ใช้แค่วิธีนี้ควบคุมลูกนะ เขาใช้วิธีนี้ตอบสนองต่อสิ่งอื่นที่เขาควบคุมไม่ได้ด้วย เช่น มือถือ จะสังเกตว่าพวกเครือข่ายผู้ปกครองต่อให้มีความรู้ ไปเข้ากระบวนการอบรมสสส. อะไรก็ตามแต่ วิธีที่เขาแนะนำกันโดยการให้ลูกรู้เท่าทันสื่อ ไม่ให้ไปเสพสื่อเลวๆ ก็คือว่า คอยดูมือถือลูก คอยดูว่าลูกเข้าเว็บอะไรบ้าง ซึ่งเขาไม่เคยรู้ว่าจริงๆ การดูมือถือลูกมันคือการละเมิดสิทธิที่ชัดเจนมาก

ประเด็นที่สอง เราคิดว่ามันเรื้อรังมากๆในสังคมไทย พ่อแม่ไม่ได้เป็นพ่อแม่โดยสายเลือดโดดๆ แต่ว่ามันมีอิทธิพลจากศาสนาและวัฒนธรรมด้วย ซึ่งก็เป็นปัญหาของประเทศไทย การมองพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ หรือการมองพ่อแม่เป็นอะไรที่ไม่ใช่แค่พ่อแม่ เป็นอะไรที่เหนือมนุษย์ พอเป็นลักษณะนี้แล้วลูกที่อยู่ในบ้านที่ถูกกดก็เป็นไปได้ยากที่จะพูดกับพ่อแม่ตรงๆ เพราะมันก็มีวาทกรรมลักษณะเช่น "แค่คิดก็บาปแล้ว" หรือ "ถ้าเถียงพ่อแม่จะปากเท่ารูเข็ม" วิธีคิดแบบนี้ก็เป็นวิธีคิดเชิงศาสนาที่ทำให้ลูกกลัวการเถียง พอลูกโดนกดมากๆ ในสังคมที่คนพูดคุยกันไมไ่ด้ เขาก็ต้องเลือกแสดงออกด้วยวิธีอื่นซึ่งหลายครั้งก็รุนแรง อาจจะเป็นเคสฆาตกรรม อาจจะเป็นเคสหนีออกจากบ้าน หรืออื่นๆ

ลูกเองก็กลัวพ่อแม่จนเกินเหตุ มันมีหนังมีสื่อที่วิพากษ์พ่อแม่เยอะ แต่ไม่ค่อยมีหนังหรือสื่อที่วิพากษ์ลูกบ้างว่าจริงๆ ลูกก็มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะไม่ชอบพ่อแม่ ที่จะคิดร้ายต่อพ่อแม่ ที่ไม่รุนแรงยังอยู่ในกฎหมาย เกลียดเขาในบางครั้งที่เขาทำอะไรที่ผิด

อย่างรุ่นเราเราอยู่กับปัญหาแบบนี้ เราเลยไม่ชัวร์ว่าเรามีสิทธิเกลียดพ่อแม่รึเปล่า สมมติว่าเราเกลียดพ่อแม่แต่เราพูดออกไปไม่ได้ว่าเราเกลียด เราเลยแสดงความเกลียดด้วยการอ่านหนังสืออย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์แทน คนยุคเราชอบอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ เพราะแฮร์รี่ พอตเตอร์พ่อแม่มันตาย ก็ชอบเพราะนี่คือความฝันลึกๆ แค่ไม่กล้าพูดมันออกไป ลูกเองก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธพ่อแม่และมันไม่ใช่เรื่องผิดบาป แต่ในรุ่นลูกๆ ของพ่อแม่ที่อยู่ในเพจ Dad Mom and Kids ถ้าเขาเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเมื่อไหร่เขาก็มีโลกที่ปลอดภัยของเขา

ประเด็นสุดท้ายคือประเด็นที่เราคิดว่าต้องเห็นใจพวกเขา เห็นใจไม่ใช่ไม่ทำอะไรนะ แต่วิพากษ์เขาด้วยความเมตตา ต้องเข้าใจว่าพ่อแม่ยุคนั้นคือพ่อแม่เราและถัดจากรุ่นเราลงมา ช่วงเบบี้บูมก็เสียทรัพยากรอย่างหนักหนามากๆ แล้วก็ถือครองอำนาจนานมากๆ อย่างยุคคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือคุณประยุทธ์ ก็ถือครองอำนาจมานานกี่ปีแล้ว ทีนี้รุ่นต่อมาที่เป็นเจนเอกซ์ หรือเจนวายที่เริ่มเป็นพ่อแม่คน กว่าที่เขาจะได้ถือครองอำนาจทางวัฒนธรรมเขาก็แก่มากแล้ว เขาก็สามสิบสี่สิบกว่าแล้ว ขณะเดียวกันเจนเอกซ์กับเจนวายก็มีความกลัวเพราะเด็กรุ่นใหม่อย่างเนติวิทย์ อย่างใครอีกหลายคนก็มีมันสมองมาก ดูเป็นเรี่ยวเป็นแรงของประเทศ เขาก็รู้สึกว่าอำนาจวัฒนธรรมเขากำลังสั่นคลอน เขาก็กลัวมากพราะตัวเขาก็แก่มากแล้ว กว่าจะได้มาอยู่ในอำนาจวัฒนธรรมอันนี้ แล้วเด็กรุ่นใหม่ยังเก่งกว่าเขาอีก

มันมีคำพูดหนึ่งที่เราเอามาโคว้ทเป็นของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ "มันเป็นความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องสร้างกำลังคนออกมารับใช้การพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้ต้องผลิตผู้มีวุฒิการศึกษาที่ไร้การศึกษาจำนวนมาก เป็นหมอ เป็นวิศวะ เป็นสถาปนิก เป็นนักการบัญชี เป็นนักนู้นนี่ แต่ไม่เป็นอะไรอื่นอีกเลย ไม่รู้และไม่รู้สึกอะไรอีก นอกจากความรู้เฉพาะด้านของตนเอง จึงดำรงทัศนคติทางการเมืองและสังคมที่ไร้เดียงสาของตนไว้ได้ด้วยเงินเดือนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ"

น่าสนใจมากๆ เพราะคนที่ออกไปเป่านกหวีด หรือคนที่สนับสนุนวิธีการเลี้ยงลูกแบบกดขี่แบบนี้ ถ้าในระดับอีลีทหรือชนชั้นกลางค่อนบนเนี่ยก็พบว่าทุกคนเป็นพวกมีวิชาชีพหมดเลย ยิ่งมีความกังวลว่าวิชาชีพของตัวเองจะสั่นคลอนกับการที่ลูกไม่ได้ดิบได้ดีในมาตรฐานของตัวเอง

แล้วปรากฎการณ์ที่มีคนจำนวนหนึ่งออกมาต่อต้านเพจนี้ก็อาจสะท้อนว่าสังคมเริ่มมีแนวคิดแบบวิพากษ์มากขึ้น?

ถ้าเป็นยุคก่อนหน้านี้การเป็นหมอมันก็ดูน่าศรัทธา เป็นอะไรที่มากกว่าหมอ มีนัยยะของการเป็นคนดี คนเก่ง ที่เราต้องเชื่อถือ ในบางหมู่บ้าน 40-50 ปีก่อน บางหมู่บ้านที่เริ่มมีแพทย์ชนบทไปลง บางเคสที่ชาวบ้านมีคดีเขาให้แพทย์ที่เป็นคนนอกเป็นคนช่วยตัดสินคดีให้ คือให้แพทย์ทำหน้าที่ผู้พิพากษา เพราะเข้าใจว่าแพทย์มีความรู้มากกว่าตนก็ย่อมมีความเป็นธรรมมากกว่า มันก็มีวิธีคิดแบบนี้ดำรงอยู่ แต่ว่าในยุคนี้ความเป็นหมอมันก็เริ่มถูกสั่นคลอนมากขึ้นเรื่อยๆ จากสังคมที่มันอุดมปัญญามากขึ้น หมอเองก็เป็นวงการที่ถูกตรวจสอบมากขึ้นด้วย

มองว่าเป็นการต่อสู้ของแนวคิดทางการเมืองรึเปล่า?

อาจพูดว่าเป็นการต่อสู้ของคนที่มีวิธีเลี้ยงลูกแบบเปิดกว้าง กับคนที่มีวิธีการเลี้ยงลูกแบบปิด พูดตรงๆก็เป็นแบบโซตัส แต่กลุ่มพ่อแม่ที่เข้าไปเถียงในเพจจำนวนไม่น้อยก็เป็นกลุ่มที่มีตังค์ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนทางเลือกที่ราคาเป็นหมื่นเป็นแสน ได้รับการเรียนการสอนที่ไม่กดดัน เลี้ยงลูกด้วยความสุข เป็นแบบวอร์ดอฟสคูล หรือแบบซัมเมอร์ฮิลล์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ก็เป็นชนชั้นกลางระดับบนซึ่งเข้าถึงทรัพยากรและแน่นอน เป่านกหวีด ดังนั้นไม่ได้แปลว่าคนที่สนับสนุนคุณหมอเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงเท่านั้น หรือคนที่เห็นต่างก็อาจจะไม่ได้เป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงด้วย

เรื่องประเด็นการศึกษา อยู่ที่มองการศึกษาแบบไหน วิธีการเลี้ยงลูกมองการศึกษาผ่านฮาร์ดแวร์  คือมองผ่านตัวเลข ชั่วโมงการเรียน รูปแบบการเรียนรู้ ส่วนใหญ่คนที่ออกนโยบายหรือคนที่เข้าถึงแหล่งทุนเขามองแบบฮาร์ดแวร์ จะสังเกตว่ามีแต่คนที่เคลื่อนไหวในเชิง ลดเวลาเรียน เปลี่ยนการปิดเทอม แต่ไม่มีใครเคลื่อนไหวในเชิงซอฟท์แวร์ ในเชิงวัฒนธรรม เช่น เราควรยกเลิกผมเกรียน คนที่เคลื่อนไหวเรื่องราวเหล่านี้ก็เข้าไม่ถึงแหล่งทุน เช่น เนติวิทย์

ถ้ามองเชิงซอฟท์แวร์ก็ค่อนข้างพูดได้ว่าคนที่เห็นด้วยกับซอฟท์แวร์ที่มันลิเบอรัลก็อาจเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงหรือกลุ่มคนที่หัวก้าวหน้ามากกว่า

จริงๆ เราว่ามันเป็นการต่อสู้ทางการเมืองเชิงอายุ สังเกตว่าคนที่เข้าไปคอมเมนต์ในเชิง radical แล้วได้รับความนิยมเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีลูก คนรุ่นใหม่ทั้งนั้น แล้วกลุ่มพ่อแม่ก็จะไปคอมเมนต์อีกแบบหนึ่ง แบบ 'อยู่เป็น' หน่อย

เราพบว่าสังคมไทยเองหรือองค์กรที่ทำงานด้านนี้ก็ไม่มีใครพูดประเด็นนี้เท่าไหร่ เรื่องการเหยียดอายุ เรื่องอายุกับโครงสร้างอำนาจ จะสังเกตว่ามันมีศูนย์บริการให้คำปรึกษาหรือคลินิกเยอะมากเลยที่พ่อแม่พาลูกไปแก้ไข กลัวลูกเป็นตุ๊ด หรือกลัวลูกติดยาก็พาไปแก้ไขได้ แต่ไม่เห็นมีศูนย์ไหนให้ลูกพาพ่อแม่ที่สงสัยในเพศสภาพ ทัศนคติ หรือไลฟ์สไตล์ในตัวลูก ไปให้หมอวินิจฉัย (หัวเราะ) พ่อแม่ก็อยู่ในสถานะที่ควบคุมลูก แล้วเอาเข้าจริงก็มีเสื้อแดงที่เหยียดคนรุ่นใหม่ เหยียดเพศอยู่ดี

ดูมีความย้อนแย้งในตัวเองจนเราไม่สามารถเหมารวมอะไรได้เลยรึเปล่า?

จริงๆ เราพูดเป็นเซ้นส์ได้ มันเป็นท่าทีเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือเขาก็เรียกมันว่าเป็น Zeitgeist หรือ จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย อำนาจที่เป็นอำนาจหลักของประเทศนี้กำลังถูกท้าทายมากขึ้น อำนาจที่มันน่ากลัวที่สุดในประเทศนี้ไม่ใช่อำนาจรัฐหรือไม่ใช่สถาบันหลักหรือไม่ใช่อำนาจทุน มันคืออำนาจพ่อแม่นี่แหละ เพราะมันผูกกับศาสนา ผูกกับความเชื่อ ผูกกับสายเลือดอยู่ เพราะรัฐบาลกลัวที่จะปกครองประชาชน หมายถึงรัฐบาลไม่มีเสรีภาพพอที่จะกดขี่ประชาชนแบบเกาหลีเหนือแล้ว เขาเลยต้องถ่ายเทอำนาจบางประการของเขาให้พ่อแม่ช่วยกดดันลูกแทน

คนรุ่นใหม่มันอันตราย ดังนั้นถ้าควบคุมพวกมันได้ตั้งแต่อยู่ในบ้าน เขาก็จะไม่ไปประท้วงเมื่อเขาโตขึ้น

แนวคิดการควบคุมโดยคนที่อาวุโสกว่าทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิแบบนี้มันรวมถึงความพยายามของผู้มีอำนาจที่จะควบคุม กำหนดทิศทางทางการเมืองด้วยรึเปล่า?

คิดว่าถ้ามีหมอสองคนนี้คิดกันแค่สองคนมันก็เป็นแค่ความคิดปัจเจก คืออาจจะยอมรับได้ในฐานะความแตกต่าง แต่มันไม่ใช่แค่หมอสองคนนี้คิด คือพอไปมองคนอื่นที่อยู่ในสถานะใกล้เคียงกับหมอ หรือมองวิธีคิดของเทคโนแครตเอง มันก็เป็นแบบนี้ แสดงว่ามันต้องมีปัจจัยทางวัฒนธรรมบางอย่างที่รองรับอยู่

อันหนึ่งที่น่าสนใจคือบิล คลินตัน เขาเป็นประธานาธิบดีจากฝั่งเดโมแครต ช่วงนั้นเดโมแครตแพ้การเลือกตั้งมายาวนานมาก แล้วมีคนไปเก็บสถิติช่วงปราศรัยก่อนจะถึงวาระของบิล คลินตัน ผู้แทนแต่ละคนเขาพูดอะไรกันบ้าง ก็พบว่าผู้แทนของเดโมแครตก็พูดแต่อะไรเชิงหลักการ นโยบายสวัสดิการ การศึกษา ประชาธิปไตย ในขณะที่ผู้แทนฝั่งรีพลับบลิกัน โรนัลด์ เรแกน พูดคำว่าพระเจ้าหรือ God เกือบ 30 ครั้งภายในครึ่งชั่วโมง คือเขาพูดอะไรที่เป็น hyper-reality มากๆ หรือพูดอะไรที่มัน collective มากๆ ถ้ามาเทียบกับพ่อแม่ในเพจนี้เขาก็มีวิธีคิดที่อิงกับอะไรแบบนั้น คือมันมีอำนาจสูงสุดบางอย่างควบคุมลูกๆ ควบคุมประชากรอยู่

บิล คลินตันเขาก็เลยคิดว่าจะทำยังไงให้ชนะการเลือกตั้งในยุคนั้นหลังจากเดโมแครตแพ้มานาน เขาก็เลยออกนโยบาย "คุณพ่อรู้ดี" ในทางปฏิบัติมันมีหลายอย่างมาก แต่คือเรื่องการตรวจสอบ เช่น การเข้าไปทำงานกับนโยบายการศึกษาให้พ่อแม่มีอำนาจในตัวลูกมากขึ้น รู้ว่าลูกเรียนอะไร ยุคนั้นบิล คลินตันก็เลยได้รับเลือกมา เพราะอะไรแบบนี้มันโรแมนติกสำหรับพ่อแม่ การได้ควบคุมลูก การรู้สึกว่าลูกได้รับช่วงต่อของตัวเองไป ก็จะเป็นวิธีคิดเดียวกับคนในประเทศเรา เช่น รัฐบาล หรือกลุ่มคนที่วางนโยบายอยู่ 20 ปีนี่เขาอยู่ไม่ถึงหรอก เป็นวิธีคิดที่ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมเดินลงจากเขา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

งดพูดการเมืองวันที่ 4 ประยุทธ์ ยันไม่เคยขวางเลือกตั้ง คำถาม 4 ข้อ แค่สร้างการเรียนรู้

Posted: 02 Jun 2017 04:04 AM PDT

หลังประกาศงดพูดการเมือง มา 4 วัน ประยุทธ์ ระบุคำถาม 4 ข้อ เพียงต้องการสร้างการเรียนรู้ไม่ใช่เน้นให้การเลือกตั้ง เพราะตามโรดแมปก็ต้องจัดการเลือกตั้งอยู่แล้ว ยันไม่เคยขัดขวางการเลือกตั้ง หรือก้าวก่ายการทำงานใคร

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

2 มิ.ย.2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (2 มิ.ย.60) เมื่อเวลา  09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2560 เพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณ และเผยแพร่ผลงานดีเด่นให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จัก ยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติงานด้านการเกษตร โดยมี ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกษตรกร ชาวนา องค์กรชาวนาที่ได้รับรางวัลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งถึง คำถามทั้ง 4 ข้อที่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นว่า การตั้งคำถามเพียงต้องการสร้างการเรียนรู้ไม่ใช่เน้นให้การเลือกตั้ง เพราะตามโรดแมปก็ต้องจัดการเลือกตั้งอยู่แล้ว เนื่องจากทุกคนเป็นผู้เลือกรัฐบาล และที่ได้พูดออกไปนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวกับตนเองทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่เคยขัดขวางการเลือกตั้ง และไม่เคยก้าวก่ายการทำงานหรือกติกาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. แต่เพียงเข้าแก้ปัญหาอดีตไปสู่อนาคต

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้คนไทยต้องสร้างหลักคิดที่ถูกต้อง ถ้าไม่สร้างจะถูกชักจูง จนทำอะไรไม่ได้เลย รัฐบาลก็ทำอะไรใหม่ๆไม่ได้ เพราะไม่เหมือนของเดิม ถ้าทำเหมือนของเดิม ก็ไม่เข้มแข็ง ไม่ยั่งยืน มันก็มีทุจริต

"ผมไม่ปฏิเสธว่าอาจจะยังมีคนชั่วอยู่ ไอ้คนทุจริตคือคนชั่ว ต้องไม่มีอีก วันนี้ผมประกาศไปทุกที่ แต่ก็ยังมีเล็ดรอดอยู่ ซึ่งมีอยู่ 2 อย่างคือเรียกร้องเอง และสมยอมให้กับเขา มันต้องแก้ทั้งสองอัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวใครทั้งสิ้น เพราะผมไม่เคยให้ใครไปเรียกใคร มีแต่ว่าช่วยเขา ให้เขา แต่อย่างว่าความจำเป็นคนไม่เท่ากัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 

พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบรางวัลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2560  จำนวน 25 ราย พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับเกษตรกรชาวนาไทยทุกคนที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมของไทยที่ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดการขยายตัวและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็น "วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ" เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนไทยที่มีความผูกพันกับการดำรงชีวิตของคนไทย  ซึ่งข้าวไทยยังเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้ด้วยเอกลักษณ์และความชำนาญจากบรรพบุรุษสู่รุ่นปัจจุบัน  ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ใช้ภูมิปัญญาและคุณสมบัติของข้าวไทยที่มีอยู่หลายชนิด ทำอย่างไรให้ข้าวเป็นที่นิยมและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก และจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถดำรงความเป็นผู้นำในด้านการผลิต และการส่งออกข้าวที่มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกมาอย่างยาวนาน

รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของชาวนาและองค์กรชาวนา ให้มีความเข้มแข็ง มีขีดความสามารถในการผลิตข้าวมากขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรไทยเปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ เพื่อก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ  เกี่ยวกับการเกษตร และใช้แนวทางประชารัฐ เพื่อต้องการให้ประเทศไทยเป็นผู้นำข้าวในตลาดโลก  โดยในปี 2560  รัฐบาลมีนโยบายจัดทำโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร วางแผนการผลิตข้าวให้มีคุณภาพและปลอดภัยได้มาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วโลก ได้ดำเนินนโยบายจัดทำโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร วางแผนการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วโลก โดยเน้นการเพิ่มคุณภาพ  ลดต้นทุนการผลิต  พร้อมกล่าวว่า  ในปีงบประมาณ 2560  รัฐบาลได้เร่งดำเนินการ 3 โครงการ ประกอบด้วย  1)  โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี 2) โครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และ 3) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรชาวนามีรายได้เพิ่มมากขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้  อีกทั้ง ดูแลเกษตรกรไทยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่  ทั้งนี้  เกษตรกรจะต้องมีการปรับตัวและใช้แนวทางของประชารัฐ   สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ของตนเองให้ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการสร้างชาวนารุ่นใหม่  โดยสนับสนุนให้เกษตรกรได้ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำเกษตรกรรมและพัฒนาต่อยอดการเกษตรแบบครบวงจร  เพื่อทดแทนชาวนาปัจจุบันที่มีอายุมาก และผลิตข้าวของประเทศไทยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทย 5  ปี (2560-2564) นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้แบ่งเป็น 8 ด้าน  ดังนี้ 1) ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชาวนาและองค์กรชาวนา 2) ยุทธศาสตร์การควบคุมพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิตข้าวให้เหมาะสม  3) ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว 4) ยุทธศาสตร์การยกระดับคุณภาพการผลิตและมาตรฐานสินค้าข้าว   5) ประเด็นยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ  ด้านระบบการจัดการการส่งสินค้าหรือโลจิสติกส์   6)  ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพและสร้างความเป็นธรรมในระบบการค้าข้าว 7) ยุทธศาสตร์สร้างค่านิยมการบริโภคข้าว   8) ยุทธศาสตร์วิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมข้าว   โดยแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรดังกล่าวมีตั้งแต่การผลิต การประมาณการการผลิต การเก็บเกี่ยว การตลาด โดยเน้นเรื่องการผลิตที่มีคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย   ในการปลูกข้าว  ซึ่งเป็นการกำหนดยุทธศาสตร์การผลิตและการค้าข้าว เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องกัน และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวนาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สอดรับกับแนวทางการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและผู้นำเข้าจากทั่วทุกภูมิภาคของโลก รวมทั้งเป็นการยืนยันว่าประเทศไทยจะคงความเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกข้าวคุณภาพเยี่ยม และเป็นผู้สร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาหลายสัปดาห์แล้ว และจะเลิกพูดไปอีก 2-3 สัปดาห์ สื่ออย่าคิดถึงก็แล้วกัน

 

ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล, สำนักข่าวไทย, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น และเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ.แจงมติเซ็ตซีโร่ กกต.หวั่นเป็นปลา 2 น้ำทำงานลำบาก ย้ำไม่มีใบสั่งจาก คสช.

Posted: 02 Jun 2017 04:01 AM PDT

กมธ.กฎหมายลูก กกต. แจงเหตุ เซ็ตซีโร่ กกต. หวั่นปัญหาปลา 2 น้ำ ทำงานลำบาก ปัดรับใบสั่ง คสช. ด้านมีชีชัยเชียร์เซ็ตซีโร่ยกชุด เชื่อไม่กระทบการทำงาน ระบุกมธ. ใจเด็ด ด้านสมชัยรับผลเซ็ตซีโร่ แต่ระบุเลวร้ายกว่าที่คิด แต่ไม่น้อยใจชิงลาออกก่อน เผยอาจกลับไปทำงาน 'พีเน็ต' ต่อ<--break- />

2 มิ.ย. 2560 พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ โฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชี้แจงกรณีที่กรรมาธิการฯ เสียงข้างมากมีมติให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดปัจจุบัน พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ หลังกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ว่า เนื่องจากตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ให้อำนาจ กกต. มากขึ้น ทั้งการจัดการเลือกตั้ง การไต่สวนสอบสอบ กรรมาธิการฯ จึงเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูป กกต. ใหม่

 "นอกจากนี้ หากให้ทำงานร่วมกับ กกต. ที่สรรหามาใหม่  ซึ่งคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จะเกิดปัญหาในการทำงานลักษณะปลา 2 น้ำ จะไม่เป็นผลดีต่อการทำงานในอนาคต  จึงได้กำหนดให้ กกต. ชุดปัจจุบัน ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะได้ กกต. ชุดใหม่ 7 คน" พล.ท.พิศณุ กล่าว พร้อมประเมินว่า จะได้ กกต. ชุดใหม่ หลังกฎหมายลูก กกต. มีผลบังคับใช้ใน 60 วัน

ส่วนข้อสังเกตที่ว่าความเห็นของกรรมาธิการฯ จะเป็นบรรทัดฐานการพิจารณากฎหมายลูกขององค์กรอิสระอื่นนั้น พล.ท.พิศณุ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละกรรมาธิการฯ และเห็นว่า การทำงานของแต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน  ไม่จำเป็นต้องเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน  และปฏิเสธว่า กรรมาธิการฯ ไม่ได้รับใบสั่ง หรือรับงานจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในการพิจารณาเรื่องนี้ เพื่อหวังเลื่อนการเลือกตั้ง

มีชีชัยเชียร์เซ็ตซีโร่ยกชุด เชื่อไม่กระทบการทำงาน ชมกมธ. ใจเด็ด

ด้านมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. เปิดเผยว่า ได้เห็นเนื้อหาของ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. โดยคร่าวๆ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาแล้ว หลักการเรื่องเซตซีโร่ให้สรรหา กกต.ใหม่ทั้งหมดนั้น กรธ.เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ยอมรับว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่พิจารณากฎหมายนี้มีความเด็ดขาดกว่า กรธ. เพราะเรื่องนี้มีปัญหาเนื่องจากโครงสร้างและจำนวน กกต.มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการให้เพิ่ม กกต.ขึ้นอีก 2 คน เพื่อให้มีบุคคลจากฝ่ายกฎหมายไว้ดูแลหลักเกณฑ์ให้เป็นไปตามที่ กกต.วางไว้ ให้การเลือกตั้งมีความเข้มแข็งและเด็ดขาด หากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้เลือกใหม่ทั้งหมด ความยุ่งยากในการสรรหา กกต.เพิ่มเติมก็จะไม่มีปัญหา

ส่วนจะเป็นการตัดสิทธิคณะกรรมการสรรหาเนื่องจากจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติของ กกต.นั้น มีชัยกล่าวว่า หากไม่ต้องพิจารณาเรื่องคุณสมบัติแล้ว คณะกรรมการสรรหาก็ไม่ต้องมาดูตรงนี้ แต่ให้สรรหาใหม่เลย และไม่ถือว่าเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าการจะดำรงอยู่ของกรรมการองค์กรอิสระให้เป็นไปตามกฎหมายลูก เนื่องจากองค์กรอิสระแต่ละองค์กรมีปัญหาและอำนาจหน้าที่ต่างกันไป ดังนั้น แม้จะมีหลักการเซตซีโร่ กกต. แต่ก็ต้องพิจารณาเป็นองค์กรไป อยู่ที่ความจำเป็นของแต่ละองค์กร ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีปัญหาอำนาจหน้าที่เหมือนเดิมก็ไม่มีเหตุ แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. อาจจะมีเหตุเป็นปัญหาอยู่ ที่มีปัญหาตอนสรรหาที่ไม่สอดคล้องตามหลักการว่าด้วยสถานะและหน้าที่ของสถาบันแห่งชาติเพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิ หรือหลักการปารีส ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะมีการเซตซีโร่

สมชัย รับผลเซ็ตซีโร่ ระบุเลวร้ายกว่าที่คิด แต่ไม่น้อยใจชิงลาออกก่อน เผยอาจกลับไปทำงาน 'พีเน็ต' ต่อ

ขณะเดียวกันสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีข้อเสนอเซตซีโร่ กกต.ทั้ง 5 คน ว่า เรื่องนี้เป็นสถานการณ์ที่ยิ่งกว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่ตนประเมินไว้ว่าอาจจะมีกรรมการที่ขัดคุณสมบัติต้องพ้นตำแหน่งแต่กรรมการที่คุณสมบัติครบก็ทำหน้าที่ต่อ แต่การที่ กมธ.มีมติให้เซตซีโร่ทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่เกินความคาดคิด แต่ก็ต้องขอขอบคุณ กมธ.ที่ยังให้ กกต.ชุดนี้ทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่าจะมี กกต.ชุดใหม่ คาดว่าจะมีเวลาทำงานที่เหลืออีก 4-6 เดือน ซึ่งในเวลานี้เราต้องทำงานให้เต็มที่และเตรียมการที่ดีที่สุด ส่งมอบงานที่สมบูรณ์ที่สุดให้ กกต.ชุดใหม่ ยืนยันว่า กกต.ชุดนี้จะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งจนถึงการทำงานวันสุดท้าย ไม่มีการอู้งาน ทั้งนี้ กกต.มีความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นกติกา เมื่อผู้ออกกฎหมายเห็นว่าเป็นแนวทางที่เป็นผลดี เราก็ยอมรับและต้องปฏิบัติตาม แต่ในแง่เหตุและผลตนมองว่าควรจะหาเหตุและผลให้ดีกว่านี้ เพราะการที่ กมธ.ให้เหตุผลว่าอำนาจ กกต.ตามรัฐธรรมนูญใหม่มีอำนาจมากขึ้นก็ต้องให้ กกต.ที่มีคุณสมบัติสูงมาทำหน้าที่ ทั้งที่ กกต.ปัจจุบันหลายคนยังมีคุณสมบัติครบตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ทำไมต้องให้ออกทั้งชุด ซึ่งรู้สึกว่าเป็นเหตุผลไม่เพียงพอ และ กมธ.ก็จะต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้ประชาชนเข้าใจว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าวันที่ 9 มิ.ย. นี้ สนช.คงจะมีมติเป็นไปตามที่ กมธ.เสนอ ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังว่า สนช.จะมีความเห็นต่างออกไปจาก กมธ.

สมชัยกล่าวต่อว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะเรียกประชุมผู้บริหาร และพนักงาน สำนักงาน กกต.เพื่อหารือว่าอะไรเป็นงานที่สำคัญอันดับต้นๆ และต้องเลือกทำให้สำเร็จ ซึ่งต้องยอมรับว่าระยะเวลาแค่นี้ไม่อาจทำทุกเรื่องได้ ต้องเลือกงานสำคัญที่เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การเลือกตั้งมีประสิทธิภาพ ก่อนส่งมอบงานให้ กกต.ชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่มี กกต.คนใดน้อยใจและชิงลาออกในระยะเวลารักษาการแน่นอน เพราะนอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังเป็นการเพิ่มปัญหา ซึ่งหากลาออกหลายคนอาจจะทำให้องค์ประชุมไม่ครบ ไม่สามารถประชุมได้ ดังนั้น ด้วยความรับผิดชอบ กกต.ก็จะเดินหน้าทำงานต่อไปอย่างเต็มที่

สมชัยกล่าวอีกว่า ส่วนตนหลังจากพ้นตำแหน่ง กกต.ก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบการเลือกตั้งในฐานะองค์กรเอกชนต่อไป ซึ่งตนจะหวนคืนสู่มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) และจะทำให้พีเน็ตเข้มแข็ง เพื่อตรวจสอบการเลือกตั้งในอนาคตให้สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งจะมีการประสานงานกับ กกต.ชุดใหม่ เพื่อให้การเลือกตั้งในอนาคตเกิดผลดีและมีประสิทธิภาพ

เมื่อถามว่า กกต.จะมีการทำความเห็นแย้งภายหลัง สนช.ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ตามกรอบเวลาหลังจากที่ สนช.มีมติผ่านกฎหมาย ก็จะต้องส่งร่างฯศาลรัฐธรรมนูญและกกต.ภายใน 15 วัน หลังจากนั้นหากเราตรวจสอบแล้วพบว่ามีประเด็นสาระที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของคุณสมบัติ ทาง กกต.ก็สามารถมีมติส่งเรื่องกลับไปยัง สนช.ภายใน 10 วัน ซึ่งตามขั้นตอน สนช.ก็จะพิจารณาเพื่อดูว่าเป็นไปตามข้อเสนอของ กกต.หรือไม่ภายใน 30 วัน ส่วน กกต.จะยื่นความเห็นแย้งหรือไม่คงตอบไม่ได้ ต้องรอดูกฎหมายก่อน ซึ่งเราจะต้องดูรายละเอียดบนพื้นฐานและเหตุผล ไม่ใช่บนพื้นฐานของประโยชน์ส่วนตัวเพื่อให้ประเทศชาติเป็นสังคมนิติรัฐปกครองด้วยกฎหมายอย่างแท้จริง ต้องมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

เมื่อถามว่า มองว่าข้อเสนอเซตซีโร่ครั้งนี้เป็นการตั้งธงไว้ตั้งแต่แรกหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า ต้องไปถามเขาตนตอบไม่ได้ แต่ประเด็นที่เราเป็นห่วงแต่ก็คิดว่าจะไม่เกิดขึ้นคือ การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นมาตรฐานกับองค์กรอิสระอื่นๆ หรือไม่ แต่องค์กรอื่นก็คงสบายใจได้ เพราะเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะใช้กับ กกต.เพียงองค์กรเดียว โดยอ้างว่า กกต.เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งจึงต้องดำเนินการเรื่องนี้ แต่การร่างกฎหมายที่เป็นมาตรฐานจะต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทุกองค์กร แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการนำโมเดลนี้มาใช้กับองค์กรอื่น อาจมีเหตุผลอื่นมากล่าวอ้างเพื่อลดมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่กระทบกับการเลือกตั้ง เพราะหาก กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำงานประมาณช่วงเดือนตุลาคมจะถือว่า กกต.ชุดใหม่มีเวลาทำงาน 1 ปี ในการเตรียมการจัดเลือกตั้ง

เรียบเรียงจาก: เว็บข่าวรัฐสภา , สำนักข่าวไทย , ผู้จัดการออนไลน์ , มติชนออนไลน์

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.รับหลักการ กม.พิจารณาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งกำหนดให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้

Posted: 02 Jun 2017 02:51 AM PDT

ที่ประชุม สนช. มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีชัยระบุได้กำหนดการไต่สวนของศาลฎีกาให้ชัดเจนมากขึ้น และให้ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้

2 มิ.ย. 2560 ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ประชุมได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. .... (พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ไว้พิจารณาด้วยคะแนนเห็นด้วย 190 เสียง ไม่มีเสียงไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง 4 เสียง ทั้งนี้ที่ประชุมได้กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา19 คน โดยมาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) 4 คน คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) 2 คน และ สมาชิก สนช. 13 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาดำเนินงาน 45 วัน

มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าวได้มีการรับฟังความเห็นจากประชาชน ทั้งการจัดสัมมนาและ นำขึ้นเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษา และส่งความคิดเห็นมายัง กรธ. จากนั้น กรธ.ได้นำความเห็นทั้งหมดมาประกอบการพิจารณาและจัดทำบทวิเคราะห์ส่งมาให้ สนช.แล้ว

มีชัย กล่าวว่า กรธ.ไม่ได้แก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้ จากที่ศาลฎีกาได้ยกร่างเบื้องต้นมา   เพียงเพิ่มเติม 2 ประเด็น เพื่อขจัดปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ คือ เพิ่มเติมการกำหนดวิธีการใช้ระบบไต่สวนของศาลฎีกาให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้การพิจารณาของศาล ไม่ใช่มีเพียงการเอาแพ้เอาชนะในเชิงเทคนิค หรือ ทนายความที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย และ เพิ่มการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย กรณีจำเลยหลบหนี  เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถดำเนินคดีได้  จึงได้ปิดช่องโหว่เรื่องนี้ โดยคำนึงถึงหลักสากล และประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งไม่ตัดสิทธิจำเลยที่ตั้งทนายมาต่อสู้คดี

"หลักเกณฑ์การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ในกรณีที่จำเลยหลบหนี กำหนดอยู่ในมาตรา 26-28 โดยวางหลักไว้ว่า ตามปกติในวันที่ฟ้องคดี ผู้ฟ้องจะต้องนำตัวจำเลยมาที่ศาล แต่หากจำเลยไม่มาที่ศาล และมีหลักฐานว่าได้ออกหมายจับจำเลยแล้ว ไม่ได้ตัวจำเลยมา ก็ให้ศาลรับฟ้องและพิจารณาคดีได้ แต่ยืนยันว่า จะไม่ตัดสิทธิ์จำเลยที่ตั้งทนายความมาต่อสู้"มีชัยกล่าว

ด้านสมาชิก สนช.ได้อภิปรายและให้ความเห็นต่อร่างนี้อย่างหลากหลาย พร้อมสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ที่มองว่า น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีนักการเมืองที่ทำผิด แล้วเดินทางหลบหนีไปต่างประเทศ จนไม่สามารถดำเนินคดีได้ และเห็นว่าการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมต้องไม่ล่าช้าและควรมีกรอบเวลาให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี

ด้านมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด สมาชิกสนช. กล่าวว่า ส่วนตัวมีความสงสัยว่าการที่ร่างกฎหมายกำหนดระบบไต่สวนนั้นเป็นการกำหนดในลักษณะหน้าที่ว่าศาลต้องใช้ระบบไต่สวนเท่านั้นหรือเป็นการกำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าศาลจะใช้ระบบนี้หรือไม่ก็ได้ ขณะเดียวกันการกำหนดให้ศาลรับฟ้องหรือสืบพยานโดยไม่มีตัวจำเลยได้ตามที่กรธ.เสนอ ที่คิดว่าเป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ส่วนตัวคิดว่าอาจไม่เกิดประสิทธิผลตามที่ตั้งใจไว้ เพราะโดยทั่วไปแล้วหากจะทำให้การพิพากษานำไปสู่การยับยั้งไม่ให้เกิดการก่ออาชญากรรมก็จำเป็นที่ต้องได้ตัวจำเลยมารับโทษ แต่การทำเช่นนี้อาจส่งสัญญาณผิดกับสังคมว่าไม่จำเป็นต้องติดตามตัวจำเลยก็ได้ จึงคิดว่าหากจะแก้ไขปัญหาการไม่ได้ตัวจำเลยมาฟ้องคดี ก็ควรดำเนินการทางกฎหมาย เช่น การไม่ให้นับอายุความระหว่างหลบหนี และใช้กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน จะได้ประสิทธิผลในการป้องกันอาชญากรรมและการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในเวลาเดียวกัน

มีชัย ชี้แจงว่า กรธ.ยอมรับว่าในทางปฏิบัติคงไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาการทำงานตายตัวให้กับศาลได้ เนื่องจากการทำงานของศาลไม่เหมือนการทำงานตามปกติ ต้องไม่ลืมว่าระยะเวลาในการพิจารณาคดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การสืบพยานโจทย์และจำเลย ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เป็นต้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปกำหนดเวลาให้กับศาล อย่างน้อยที่สุดในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้กรธ.ได้บัญญัติหลักการให้ศาลพิจารณาถึงความรวดเร็วในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตาม กรธ.อาจพิจารณาเรื่องการกำหนดกรอบเวลาการทำงานไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทน ส่วนกำหนดให้ศาลสามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้นั้นกรธ.คิดว่าอย่างน้อยสังคมจะได้รู้ว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาผิดหรือถูกผ่านกระบวนการทางศาล นอกจากนี้ถ้าบุคคลดังกล่าวกระทำความผิดจริงจะนำไปสู่การขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย

เรียบเรียงจาก: เว็บข่าวรัฐสภา , สำนักข่าวไทย , มติชนออนไลน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เจียรวนนท์แชมป์เศรษฐีไทย มูลค่าอัพแสนล้าน - 3 ปี คสช. เศรษฐกิจชะลอตัว

Posted: 02 Jun 2017 02:19 AM PDT

ฟอร์บส์ จัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีของไทย ตระกูลเจียรวนนท์ แชมป์ ทรัพย์สินรวม 7.3 แสนล้าน เพิ่มจากมูลค่าของปีที่แล้ว ราวแสนล้าน ทักษิณหลุดท็อป 10 ขณะที่ ครบรอบ 3 ปีแห่งการทำรัฐประหารเศรษฐกิจรวมชะลอตัวลง ปี 56-59 ติดลบเฉลี่ยร้อยละ -2 ต่อปี

 

2 มิ.ย. 2560 เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ฟอร์บส์ เผยแพร่การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีของไทย ปรากฏว่า ตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพีของไทย ยังคงเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยมีทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 21,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.3 แสนล้านบาท) เพิ่มจากมูลค่าของปีที่แล้วกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวหนึ่งแสนล้านบาท

ขณะที่ เจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อแห่งวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังคงครองอันดับ 2 ด้วยทรัพย์สินรวมมูลค่า 15,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.24 แสนล้านบาท) ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่มีทรัพย์สินรวมมูลค่า 15,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.2 แสนล้านบาท) อันดับ 4 ได้แก่ เฉลิม อยู่วิทยา มีทรัพย์สินรวม 12,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.25 แสนล้านบาท) และอันดับ 5 ได้แก่ วิชัย ศรีวัฒนประภา ซึ่งมีทรัพย์สินรวมมูลค่า 4,700 ล้านดอลลาร์(ราว 1.59 แสนล้านบาท)

อันดับ 6 ได้แก่ กฤตย์ รัตนรักษ์ ทรัพย์สินรวม 3,900 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 แสนล้านบาท) อันดับ 7 ได้แก่ วานิช ไชยวรรณ ทรัพย์สินรวม 3,800 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.29 แสนล้านบาท) อันดับ 8 นายแพทย์ประเสริฐ ปราสาททองโอสถ ทรัพย์สินรวม 2,600 ล้านดอลลาร์ (ราว 8.8 หมื่นล้านบาท) อันดับ 9 สันติ ภิรมย์ภักดี ทรัพย์สินรวม 2,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.8 หมื่นล้านบาท) อันดับ 10 ได้แก่ อาลก โลเฮีย ซึ่งเป็นนักธุรกิจเชื้อสายอินเดีย ทรัพย์สินรวม 1,750 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.9 หมื่นล้านบาท) 

10 อันดับเศรษฐกิจที่มีสินทรัพย์สูงสุดของปี 2560
อันดับ รายชื่อ มูลค่าสินทรัพย์ (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ธุรกิจหลัก
1 ตระกูลเจียรวนนท์ 21.5 ธุรกิจกิจอาหาร
2 เจริญ สิริวัฒนภักดี 15.4 ธุรกิจเครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์
3 ตระกูลจิราธิวัตน์ 15.3 ธุรกิจค้าปลีก
4 เฉลิม อยู่วิทยา 12.5 ธุรกิจเครื่องดื่ม
5 วิชัย ศรีวัฒนประภา 4.7 ธุรกิจสินค้าปลอดภาษี
6 กฤตย์ รัตนรักษ์ 3.9 ธุรกิจสื่อและอสังหาริมทรัพย์
7 นายวานิช ไชยวรรณ 3.8 ธุรกิจประกันชีวิตและเครื่องดื่ม
8 ประเสริฐ ปราสาททองโอสถ 2.6 ธุรกิจโรงพยาบาล
9 สันติ ภิรมย์ภักดี 2.3 ธุรกิจเครื่องดื่มเบียร์
10 อาลก โลเฮีย 1.75 ธุรกิจปิโตรเคมี

ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจ และอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ถูกปรับอันดับลงหนึ่งอันดับ จากอันดับ 10 ในปีที่แล้วมาเป็นอันดับ 11 ในปีนี้ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

3 ปี คสช. เศรษฐกิจชะลอตัว

ขณะที่เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสการครบรอบ 3 ปีแห่งการทำรัฐประหารโดย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ได้จัดการแถลงข่าว ในหัวข้อ " '3 ปีที่เสียของ': 3 ปีแห่งการสูญเสียของสังคมไทยภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร" โดยประเด็นหนึ่งที่ คนส. แถลงคือ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทหารและ คสช. ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการเติบโตก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ในช่วง พ.ศ. 2541-2556 เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4-5 ต่อปี แต่ช่วง พ.ศ. 2557-2559 การเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 2-3 ต่อปี เช่นเดียวกับในส่วนของการส่งออกที่ในช่วง พ.ศ. 2550-2556 เคยเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9 ต่อปี ทว่าในช่วง พ.ศ. 2556-2559 กลับกลายเป็นติดลบเฉลี่ยร้อยละ -2 ต่อปี

นอกจากนี้ การลงทุนภายในประเทศของเอกชนที่เคยเติบโตร้อยละ 11.8 ใน พ.ศ. 2556 กลับกลายเป็นลดลง (ติดลบ) ร้อยละ -0.8 ใน พ.ศ. 2557 และลดลงอีกร้อยละ -2.2 ใน พ.ศ. 2558 ก่อนจะเติบโตขึ้นมาเพียงร้อยละ 1.8 ใน พ.ศ. 2559 เช่นเดียวกับในส่วนของเงินทุนระหว่างประเทศ ก่อน พ.ศ. 2556 เคยมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ ทว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมากลายเป็นเงินทุนไหลออกสุทธิอย่างต่อเนื่อง ใน พ.ศ. 2557 ไหลออกสุทธิ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ใน พ.ศ. 2558 ไหลออก 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ และใน พ.ศ. 2559 ไหลออก 2.6 หมื่นล้าน 

ขณะที่เงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่เคยสูงสุด 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ใน พ.ศ. 2556 ลดลงเหลือ 2,553 ล้านดอลลาร์ใน พ.ศ. 2559 โดยภายในกลุ่มอาเซียน ถึง พ.ศ. 2556 ประเทศไทยรับเงินลงทุนต่างชาติจากนอกอาเซียนสูงเป็นอันดับสอง รองจากสิงคโปร์ แต่ถึง พ.ศ. 2558 ประเทศไทยตกเป็นอันดับห้า รองจากสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย (รองจากไทยคือ ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา พม่า บรูไน)

นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวต่อเนื่อง เช่น 
- การขอใบอนุญาตพื้นที่ก่อสร้างจากที่ขยายตัวร้อยละ 10 ใน พ.ศ. 2556 กลับลดลง (ติดลบ) ร้อยละ -4.7 ใน พ.ศ. 2557 ลดลงร้อยละ -1.0 ใน พ.ศ. 2558 และลดลงอีกร้อยละ -8.7 ใน พ.ศ. 2559
- ดัชนีวัสดุก่อสร้างจากที่ขยายตัวร้อยละ 10 ใน พ.ศ. 2556 กลับลดลง (ติดลบ) ร้อยละ -1.7 ใน พ.ศ. 2557 ลดลงร้อยละ -2.4 ใน พ.ศ. 2558 และลดลงร้อยละ -2.0 ใน พ.ศ. 2559
เช่นเดียวกับรายได้ภาคเกษตรที่ลดลงต่อเนื่อง จากลดลง (ติดลบ) ร้อยละ -5.6 ใน พ.ศ. 2557 ลดลงอีกร้อยละ -10 ใน พ.ศ. 2558 และเพิ่มเพียงร้อยละ 1.3 ใน พ.ศ. 2559 ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ใน พ.ศ. 2556 ก็ชะลอลงเป็นร้อยละ 11 ใน พ.ศ. 2559

นอกจากนี้ การใช้จ่ายบริโภคสินค้าคงทนของประชาชนลดลง (ติดลบ) ทุกปี จากลดลงร้อยละ -15.3 ใน พ.ศ. 2557 เป็นร้อยละ -6.7 ใน พ.ศ. 2558 และร้อยละ -1.2 ใน พ.ศ. 2559 สะท้อนความไม่มั่นใจของผู้บริโภคและมาตรฐานการครองชีพที่ไม่กระเตื้องขึ้น ประเทศจึงเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมากในช่วงสามปีที่ผ่านมาหลังรัฐประหาร

ที่มา : บีบีซีไทยและมติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พลเมืองต่อต้านซิงเกิ้ลเกตเวย์: แนวรบออนไลน์ | กรงในกะลา #4

Posted: 02 Jun 2017 01:36 AM PDT

รัฐที่คิดจะคุมการสื่อสารด้วยการบังคับใช้ single gateway เป็นความคิดที่ไม่อิงกับโลกความเป็นจริง จึงโดนท้าทายโดยกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย การต่อสู้แย่งชิงเสรีภาพและความมั่นคงในโลกออนไลน์จึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ติดตามใน "พลเมืองต่อต้านซิงเกิ้ลเกตเวย์: แนวรบออนไลน์" ผลงานของ วรพล สัมมานนท์ พร้อมบทสัมภาษณ์พิเศษกลุ่มนิรนาม "พลเมืองต่อต้านซิงเกิ้ลเกตเวย์" ผ่านแสกน QR Code ท้ายคลิป

ประชาไท ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน เผยแพร่คลิปวิดีโอผลงานเยาวชนในประเด็น 'เสรีภาพออนไลน์ Online Freedom' ทั้งหมด 10 คลิป เช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ นักโทษการเมือง การอยู่ในโลกเสมือนจริง และ Single Gateway โดยก่อนหน้านี้มีการฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในงานมอบรางวัลให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานวิดีโอ ภายใต้ชื่องาน "กรงในกะลา"

รับชมคลิปจากงาน "กรงในกะลา" ที่ https://goo.gl/UkDElt

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น