โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

พบพกปืนเข้าคูหาเกลื่อน อัลเฟรลจวกผิดหลักสากล

Posted: 02 Jul 2011 10:46 AM PDT

อัลเฟรลส่งทีมสังเกตเลือกตั้งชายแดนใต้ เผยวันลงคะแนนล่วงหน้า พบมีแต่คนพกปืนเข้าคูหา ถึงแม้มีเหตุการณ์รุนแรงกว่าในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ไม่ได้มีคนแบกปืนเข้าคูหาเลือกตั้ง ชี้ผิดหลักสากลร้ายแรง

เช็คมูฮัมมัด อัลตาฟูร เราะห์มาน 

เช็คมูฮัมมัด อัลตาฟูร เราะห์มาน ชาวบังกลาเทศ หนึ่งในทีมงานสังเกตการณ์การเลือกตั้งจากองค์กรเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หรือ อัลเฟรล (ANFREL) ประจำพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า จากการสังเกตการณ์เลือกตั้ง ส.ส.ล่วงหน้า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา พบว่า มีข้อกังวล 2 ประการ ประการแรก คือ จำนวนสถานที่เลือกตั้งต่อจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ไม่สัมพันธ์กัน เนื่องจากมีผู้มาใช้สิทธิจำนวนมากจนต้องมีการต่อแถวยาวเหยียด เพราะต่างคนต่างก็รีบไปธุระอื่นต่อ

เช็คมูฮัมมัด เปิดเผยต่อไปว่า ประการที่สอง คือ ทุกหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า มีคนพกพาอาวุธปืนเข้าไปในคูหาเลือกตั้ง ซึ่งขัดกับหลักการเลือกตั้งสากลอย่างร้ายแรง

“มันแปลกกว่าประเทศอื่นๆ เช่น การเลือกตั้งในอัฟกานิสถาน แม้มีเหตุการณ์รุนแรงกว่าในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ไม่ได้มีคนแบกปืนเข้าคูหาเลือกตั้ง ทั้งที่ระบบการรักษาความปลอดภัยในการเลือกตั้งที่นี่เข้มงวดกว่าที่อัฟกานิสถานมาก” เช็คมูฮัมมัด กล่าว

เช็คมูฮัมมัด เปิดเผยด้วยว่า ส่วนในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส.) ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 อัลเฟรลได้ส่งทีมงานสังเกตการณ์ต่างหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว

เช็คมูฮัมมัด เปิดเผยต่อไปว่า การสังเกตการณ์เลือกตั้งครั้งนี้ เน้น 2 ประการ ได้แก่ เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย โดยทีมสังเกตการณ์มาจากหลายประเทศ ซึ่งพวกเขาจะนำข้องสังเกตที่ได้จากการเลือกตั้งในประเทศไทยไปเผยแพร่ในประเทศของตัวเองต่อไป ซึ่งจะทำให้ทราบว่า รูปแบบของประชาธิปไตยในแต่ละประเทศเป็นอย่างไร

เช็คมูฮัมมัด เปิดเผยด้วยว่า ข้อมูลและข้อสังเกตที่ได้จากการเลือกตั้งครั้งนี้ อันเฟรลจะทำรายงานส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งของประเทศไทย และส่งไปให้สื่อมวลชนทุกแขนงเพื่อทำการเผยแพร่ต่อไป โดยหลังเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการประชุมเพื่อประมวลภาพรวมการเลือกตั้งทั้งประเทศที่กรุงเทพมหานคร

เช็คมูฮัมมัด เปิดเผยเสริมว่า อัลเฟรลไม่ได้สังเกตการณ์เลือกตั้งเฉพาะประเทศที่มีปัญหาทางการเมืองเท่านั้น แต่จะส่งคงไปสังเกตการเลือกตั้งทุกประเทศในทวีปเอเชีย แม้ว่าแต่ละประเทศจะให้ความร่วมมือแตกต่างกัน เช่นการเลือกตั้งที่ประเทศมาเลเซียและอินเดีย แม้รัฐบาลไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากนัก แต่อัลเฟรลก็จำเป็นที่จะต้องส่งคนไปสังเกตการเลือกตั้งทุกครั้ง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชายชุดดำบุกเผาบ้าน กลุ่มสภาประชาชนเครือข่าย 4 ภาค

Posted: 02 Jul 2011 08:38 AM PDT

กลุ่มชายฉกรรจ์ใส่ชุดดำจำนวน 200 คน บุกเข้าไปภายในโรงงานไทยเมล่อน โรงงานร้าง ที่ภายในโรงงานมีการปลูกกระท่อมของ "กลุ่มสภาประชาชนเครือข่าย 4 ภาค" เผาวอดไปแล้วหลายหลัง ทั้งสองฝ่ายยิงปะทะกัน

2 ก.ค. 54 - มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ใส่ชุดดำจำนวน 200 คน ได้บุกเข้าไปภายในโรงงานไทยเมล่อน ซึ่งเป็นโรงงานร้างโดยภายในโรงงานมีการปลูกกระท่อมในลักษณะมุงจากเอาไว้ ประมาณ 200 หลัง และมีชาวบ้านอยู่ด้านในประมาณ 40-50 คน ซึ่งกลุ่มชาวบ้านดังกล่าวใช้ชื่อว่า กลุ่มคนไทย 4 ภาค ทั้งนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวได้บุกเข้าไปพร้อมกับจุดไฟเผากระท่อมไปแล้วประมาณ 4-5 หลัง โดยส่วนใหญ่เป็นกระท่อมที่ปลูกติดอยู่กับถนนพหลโยธินขาออก ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบริษัท สามารถคอปเรชั่น หมู่ 11 ต.คลอง 1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

หลังการปะทะกันระหว่างกลุ่มชายฉกรรจ์กับชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว ได้มีเสียงดังคล้ายระเบิดและเสียงดังคล้ายปืนเป็นระยะๆ โดยที่กลุ่มชาวบ้านมีการตอบโต้ด้วยการขว้างไม้และหินกลับมา ส่วนกลุ่มชายฉกรรจ์นั้นส่วนใหญ่จะสวมชุดดำและผูกผ้าพันคอสีเขียว ซึ่งหลังจากที่กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ก่อเหตุประมาณ 1 ชัวโมง ก็ได้ถอนตัวออกไป จากนั้นไม่นานนักกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดที่ 2 ประมาณ 50 คน พร้อมด้วยอาวุธมีดดาบแบบยาวก็ได้ทำการคุมเชิงอยู่ที่บริเวณด้านนอก

ผู้สื่อข่าวรายงานเป็นที่น่าสังเกตว่า การปะทะกันในครั้งนี้จนทำให้เกิดเพลิงไหม้ และมีเสียงปืนและเสียงระเบิดนั้น ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแล หรือเข้ามาระงับเหตุแต่อย่างใด จนทำให้การจราจรติดขัดยาวประมาณ 3-4 กิโลเมตร ทั้งนี้ ทราบว่า กลุ่มชาวบ้านดังกล่าวได้บุกรุกที่ดินแห่งนี้มานานกว่า 2 เดือนแล้ว โดยสร้างที่พักแบบมุงจากคล้ายชุมชนกว่า 200 หลัง

สำหรับที่ดินเป็นของบริษัทสินทรัพย์ไทย หรือ บสท. จำนวน 616 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ทั้งนี้ ที่ดินบริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ดินของโรงงานไทยอเมริกัน เท็กซ์ไทล์ จำกัด และโรงงานแมล่อน เท็กซ์ไทล์ จำกัด หลังจากเลิกกิจการ กลุ่มสภาประชาชนเครือข่าย 4 ภาค ได้จับจองปลูกสร้างที่พักอาศัย พร้อมทำการเกษตรอย่างเป็นระบบ โดยประชาชนที่อาศัยบริเวณนี้บางรายกล่าวว่า มีบุคคลที่มีอำนาจบริเวณนั้นขับไล่ พร้อมขู่ถ้าไม่ย้ายออกจะเผาไล่ที่

ที่มา: มติชนออนไลน์

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รวมบทกวี "คนที่กวีเลือก"

Posted: 02 Jul 2011 08:15 AM PDT

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 54 ที่ผ่านมาที่ร้านเฮมล็อค ถนนพระอาทิตย์ กลุ่มศิลปินได้ร่วมกันอ่านบทกวี "คนที่กวีเลือก"

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"สุเทพ" เชื่อ "เพื่อไทย" เตรียมโวยวายถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้ และจะออกมาเคลื่อนไหว

Posted: 02 Jul 2011 03:20 AM PDT

"สุเทพ เทือกสุบรรณ" โวยพรรคเพื่อไทยพยายามออกข่าวว่าถ้าชนะ 1-2 คะแนนก็มีสิทธิ์ตั้งรัฐบาล ทั้งที่เป็นเรื่องของใครรวมเสียงได้ก็จัดตั้งรัฐบาล ถ้าแพ้เพื่อไทยก็จะโวยวายว่าถูกโกง ถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้ คนของเพื่อไทยจะออกมาเคลื่อนไหว

เนชั่นทันข่าว รายงานวันนี้ (2 ก.ค.) ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตอบคำถามที่ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้คนทั้งประเทศมองว่าทั้งสองพรรคกำลังตั้งรัฐบาลแข่งกัน โดยนายสุเทพกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องการตั้งแข่งกัน แต่เป็นเรื่องของใครตั้งได้ คือถ้าตั้งแข่งก็เท่ากับไปแย่งชิงกันมาตั้ง แต่ใครตั้งได้ก็หมายความว่าพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงได้เพียงพอก็ สามารถไปจัดตั้งรัฐบาล วิธีจัดตั้งคือไปเริ่มต้นในสภาผู้แทนฯก่อน ฉะนั้นคะแนนที่ทรวบรวมได้จะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

นายสุเทพกล่าวว่า ทุกพรรคตระหนักดีอยู่แล้วว่าพรรคเพื่อไทยยังเป็นปัญหาบ้านเมือง นโยบายที่เสนอให้ลบล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อย รวมทั้งกระบวนการที่ทำกันไว้ ทั้งเสื้อแดงเสื้อดำก็เป็นปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ตั้งแข่งใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่าต้องดูว่าคะแนนทีได้เป็นอย่างไร ไม่จำเป็นว่าต้องใช้เวลากี่วัน จะกี่วันก็ได้จนกว่าวันที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะนัดประชุมเพื่อให้สมาชิก ออกเสียงสนับสนุนคนเป็นนายกฯ

"ผมเรียนตามตรงว่าพรรคเพื่อไทยมีเล่ห์เหลี่ยมมากไปหลายวิธีในวันนี้ไม่ว่าจะ เป็นการพยายามออกข่าวไว้ก่อนว่าถ้าหากชนะประชาธิปัตย์ แม้จะชนะเพียง 1-2 คะแนนก็เป็นสิทธิที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความถูกต้องของระบอบประชาธิปไตย เขาอาจจะชนะหรือแพ้ผม 5 คะแนน แต่หากใครรวมคะแนนเสียงได้ก็จัดตั้งรัฐบาล นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยจะพยายามออกข่าวเรื่องการตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้ง หากแพ้เมื่อไหร่ก็จะโวยวายว่าถูกโกง เจ้าหน้าที่เข้าข้างรัฐบาลต้องมีแน่นอน นอกจากนี้ถ้าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ คนของเขาก็จะออกมาเคลื่อนไหว ผมก็บอกแล้วว่าถ้าสู้กันตามกระบวนการประชาธิปไตย สู้กันให้ขาวสะอาดอย่ามีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงมาสร้างความวุ่นวายให้บ้าน เมืองอีกต่อไป" นายสุเทพกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กกต. คาด 3 ทุ่มรู้ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

Posted: 02 Jul 2011 03:18 AM PDT

"ประพันธ์" คาด 3 ทุ่มรู้ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการได้แล้ว ปัดข่าวซื้อ กก.ยกหน่วย คืนหมาหอนส่งเจ้าหน้าที่ กกต.ชุดป้องปรามการหาข่าวลงไปทุกพื้นที่แล้ว เล็งแก้ กม.ให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้ารายครั้ง หลังพบมีปัญหา ประชาชนไม่สะดวก

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่สำนักงานเขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เข้าตรวจเยี่ยมการรับมอบหีบบัตรเลือกตั้งและวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งของเขตเลือกตั้งที่ 9 (เขตจตุจักร) มอบนโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะจะเป็นการชี้อนาคตให้กับประเทศไทย ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง และขอกำชับให้ กปน.ศึกษาคู่มือการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้ง โดยเฉพาะวิธีการและขั้นตอนของการนับคะแนน

จากนั้นนายประพันธ์ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดการเลือกตั้งทั่วไปว่า การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคมจะมีความสะดวกมากกว่าวันเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน เพราะมีหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศทั้งสิ้น 90,854 หน่วย ใช้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจำนวน 1,200,000 คน สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดไว้ จะใช้สิทธิในวันที่ 3 กรกฎาคมไม่ได้แล้ว ดังนั้นจะต้องแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อรักษาสิทธิไว้ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตนั้น หากยังไม่ไปใช้สิทธิก็สามารถไปใช้สิทธิได้ในวันเลือกตั้ง

นายประพันธ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.ได้ร่วมมือกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทีวีพูล) จะรายงานผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ประชาชนจะสามารถติดตามผลการนับคะแนนได้หลังจากปิดหีบเลือกตั้ง โดยคาดว่าจะทราบผลคะแนนเลือกตั้งทั่วไปอย่างไม่เป็นทางการได้ภายในเวลา 21.00 น. ของวันเลือกตั้ง ในเวลาดังกล่าวก็น่าจะรู้ผลการจัดตั้งรัฐบาลได้

ส่วนกระแสข่าวว่ามีการซื้อกรรมการยกหน่วยนั้น นายประพันธ์กล่าวว่า ผู้ที่พูดบางทีไม่มีข้อมูล ตนยืนยันว่ากรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) มีทั้งหมด 12 คน มีการดูแลซึ่งกันและกันตลอด รวมทั้งบัตรเลือกตั้งมีการประทับตรา ไม่สามารถนำบัตรอื่นมาเปลี่ยนได้ จึงอยากเชิญชวนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง และมาสังเกตการณ์การนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งด้วย ในส่วนของการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในคืนหมาหอน กกต.ได้เฝ้าระวังและส่งเจ้าหน้าที่ กกต.ชุดป้องปรามการหาข่าวลงไปทุกพื้นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ด้วย สำหรับเรื่องร้องเรียนที่แจ้งเบาะแสเข้ามาในขณะนี้มีประมาณ 400 เรื่อง และเรื่องที่รับไว้พิจารณา 120 เรื่อง โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการแจกเงินเพื่อซื้อเสียง และเจ้าหน้าที่ข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง

เล็งแก้ กม.ให้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้ารายครั้ง

นอกจากนี้นายประพันธ์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมว่า ในการประชุม กกต.ที่ผ่านมาได้มีการหารือถึงปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้งหมดในครั้งนี้ และได้มีมติเห็นว่า จะเสนอให้แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการจัดการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ในมาตรา 97 วรรคสอง เกี่ยวกับการลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด และมาตรา 101 การลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร เพราะที่ผ่านมาประชาชนบางคนไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ประกอบกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้เคยบอกให้ กกต.แก้ไขปัญหาการลงทะเบียนนอกเขตจังหวัดที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า หากไม่ไปใช้สิทธิให้มาใช้ในวันเลือกตั้งจริงได้ ซึ่งปัญหานี้ กกต.ไม่สามารถที่จะออกระเบียบได้ มีทางเดียวคือการแก้ไขกฎหมาย โดยจะเสนอแก้ไขให้เป็นการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นรายครั้ง เมื่อการเลือกตั้งเกิดขึ้นก็ไปลงทะเบียน เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งครั้งนั้นให้ถือว่า การลงทะเบียนนั้นสิ้นสุดลงด้วย

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าเพียง 1 วัน จากเดิมที่จัด 2 วัน มีปัญหาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจำนวนผู้ที่มาลงทะเบียนขอใช้สิทธิล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ไปใช้สิทธิไม่ทัน ซึ่ง กกต.เห็นว่าวันเดียวน้อยเกินไป จึงจะขอเสนอแก้ไขกฎหมายให้ กกต.สามารถออกระเบียบเกี่ยวกับการเลือกตั้งล่วงหน้าได้ โดยประกาศเป็นการเลือกตั้งต่อครั้งไป เพื่อความเหมาะสมในสถานการณ์แต่ละครั้ง ส่วนเรื่องเวลาเลือกตั้งที่กำหนดเวลา 08.00-15.00 น.นั้น กกต.ไม่ติดใจ ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง กกต.จะดำเนินการเสนอเรื่องการแก้ไขกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 26 มิ.ย. - 2 ก.ค. 2554

Posted: 02 Jul 2011 02:26 AM PDT

แรงงานนิคมลำพูนใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 08.00 น.วันนี้ (26 มิ.ย.)เป็นต้นมา มีประชาชนเดินทางออกไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้า ที่หน่วยเลือกตั้งนอกเขตและในเขตจ.ลำพูน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานภาคอุตสากรรมที่มาทำงานในการนิคมอุตสาหกรรมภาคภาค เหนือ และสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ รองลงมาเป็นข้าราชการที่ทำงานวันที่เลือกตั้ง 3 ก.ค.มาใช้สิทธิ์จำนวนมาก ท่ามกลางการจราจรติดขัดและฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

เบื้องต้น สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต จ.ลำพูนที่ได้ลงทะเบียนไว้เพื่อขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 1 ประกอบด้วย อ.เมืองลำพูน บ้านธิ และอ.แม่ทา จำนวน 1,129 คน ลงคะแนน ณ หอประชุมอำเภอเมืองลำพูน อ.เมือง เขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วย อ.ป่าซาง บ้านโฮ่ง ทุ่งหัวช้าง ลี้ และ อ.เวียงหนองล่อง จำนวน 730 คน ไปลงคะแนน ณ หอประชุมอินทนิล โรงเรียนธีรกานท์บ้านโฮ่ง อ.บ้านโฮ่ง ส่วนผู้ใช้สิทธิลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง จำนวน 23,838 คน ไปลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้ง ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ ร.ร.ส่วนบุญโญปถัมภ์ ลำพูน อ.เมือง จ.ลำพูน

(เนชั่นทันข่าว, 26-6-2554)

เลือกตั้งล่วงหน้าที่เบตงแรงงานไทยในมาเลย์กลับมาใช้สิทธิคึกคัก

26 มิ.ย. 54 - บรรยากาศการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าที่ อ.เบตง จ.ยะลา ที่สถานที่เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดและสถานที่เลือกตั้งล่วงหน้าในเขต จังหวัดเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนในพื้นที่และแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในมาเลเซียเดินทางมาใช้สิทธิ อย่างต่อเนื่อง
      
โดยบรรยากาศการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัด ที่ศาลาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาในเขตเทศบาลเมืองเบตงนั้น จากการที่ประชาชนจำนวนมากทยอยเดินทางมาใช้สิทธิ อีกทั้งยังมีทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ต่างเดินทางมาใช้สิทธิเลือก ตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดอีกด้วยซึ่งประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ล่วงหน้ามีจำนวน 3,654 คน
      
ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้งได้จัดพื้นที่สำหรับตรวจสอบลำดับที่ใน บัญชีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ทั้งการค้นด้วยตนเองและค้นผ่านระบบอินเตอร์เน็ต รวมทั้งระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ตำรวจ ทหาร และอาสาสมัครภาคประชาชน คอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เข้ามาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ทำให้การลงคะแนนเสียงยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยังไม่ประสบปัญหาแต่ ประการใด
      
สำหรับปัญหาที่พบในช่วงเช้าที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จากการเข้าใจผิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเอง อย่างเช่นมาโดยไม่ทราบว่าต้องมีการลงทะเบียนก่อน หรือเข้าใจผิดว่าตนเองต้องใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง ทั้งที่มีรายชื่อครบถ้วนและมีสิทธิเลือกตั้งในเขตพื้นที่ที่อาศัยอยู่แล้ว
      
อย่างไรก็ตาม ถือว่าในภาพรวมแล้วการเลือกตั้งล่วงหน้ายังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น และผู้ที่ได้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าไว้กับทาง กกต. แล้วสามารถใช้สิทธิได้ทุกคน

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-6-2554)

เผยอัตราว่างงาน เมษายน 285,000 คน ลดลง 0.8% จบป.ตรี เตะฝุ่น เฉียด 8 หมื่น

นายวิบูลย์ทัต สุทันธนกิตติ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยถึง จำนวนผู้ว่างงานล่าสุดในเดือนเมษายน 2554 ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 285,000 คน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 0.8 ลดลงจากปีก่อน 166,000  คน แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2554 ประมาณ 9,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 199,000 คน ส่วนผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนมีจำนวน 86,000 คน ซึ่งผู้ว่างงานมาจากภาคการบริการและการค้ามากที่สุด  88,000 คน ภาคการผลิต 69,000 คน และภาคเกษตรกรรม 42,000 คน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาระดับการศึกษาของผู้ว่างงาน พบว่าผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากที่สุดจำนวน 79,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.2  รองลงมาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 66,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 52,000 คน หรือร้อยละ 1 ระดับประถมศึกษา 49,000 คน หรือร้อยละ 0.6 และผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 39,000 คน หรือร้อยละ 0.3

ส่วนจำนวนผู้มีงานทำในเดือนเมษายน นั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 37.37 ล้านคน แยกเป็นผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรม 12.66 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 180,000 คนที่มีจำนวน 12.48 ล้านคน ขณะที่ผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรกรรม 24.71 ล้านคน ลดลง 70,000 คน จาก 24.78 ล้านคน เหลือ 24.71 ล้านคน ซึ่งการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่ลดลงส่วนใหญ่ลดลงในสาขาการขายส่ง ขายปลีก ซ่อมยานยนต์ จำนวน 550,000 คน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า 230,000 คน สาขาการก่อสร้าง และสาขางานด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ลดลงเท่ากัน 90,000 คน สาขาที่เพิ่มขึ้นได้แก่การบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ 250,000  คน สาขากิจกรรมบริการด้านอื่น เช่น กิจกรรมบริการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย การบริการซักรีดและซักแห้ง การซ่อมเครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น 210,000 คน สาขาการศึกษา 80,000 คน และที่เหลือกระจายอยู่ในสาขาอื่น

(มติชนออนไลน์, 26-6-2554)

ทีดีอาร์ไอวิจารณ์นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำเป็นไปไม่ได้ เตือนแรงงานคิดให้ดีก่อน

27 มิ.ย. 54 - นายสราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)  เปิดเผยว่า การจัดทำนโยบายเรื่องการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ หรือเพิ่มเงินเดือนให้กับแรงงานระดับปริญญาตรี หรือการจัดทำกองทุนจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง เป็นต้น ถือเป็นนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองนำเสนอเพื่อขอคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้ ใช้แรงงานในการเลือกตั้งที่จะมาถึง 3 ก.ค.นี้  ซึ่งในแง่หนึ่งถือเป็นเรื่องดีที่พรรคการเมืองให้ความสำคัญกับแรงงาน  แต่ขณะเดียวกันแรงงานต้องพิจารณาให้ดีว่าเป็นนโยบายที่สามารถทำได้จริง

นอกจากนี้ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคี ที่ประกอบด้วยนายจ้าง ลูกจ้างและตัวแทนรัฐ ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และคณะกรรมการค่าจ้างต้องเป็นผู้ประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ หรืออัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือโดยเสนอต่อ ครม.

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ แล้ว เช่น การกำหนดเป้าหมายเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ25 ในเวลา 2 ปี  พอจะมีความเป็นไปได้ เพราะเพิ่มจาก 221 บาท เป็น 276 บาท และใช้เวลา 2 ปี แต่ที่ยากกว่าคือ การจะเพิ่มจาก 221 บาท เป็น 300 บาท เท่ากับเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 35.7  แต่ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้เมื่อใด ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 41-54 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในไทยไม่เคยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 โดยมีอัตราเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.4 เท่านั้น สูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 9.1 ในปี 2550-2551 รองลงมาคือ ร้อยละ 7 ในปี 2553-2554 เท่านั้น

ส่วนประเด็นเรื่องเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท  อาจมีทางเป็นไปได้ในภาคเอกชน สำหรับผู้จบการศึกษาสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ ส่วนภาคราชการยังต่ำกว่าอยู่มาก ซึ่ง ปัญหาที่แท้จริงเป็นความแตกต่างระหว่างเงินเดือนปริญญาตรี กับผู้จบระดับมัธยมปลาย ปวช. และ ปวส. เท่านั้น  ขณะเดียวกันปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นความขาดแคลนแรงงานระดับล่างและระดับกลางมาก  ขณะที่แรงงานระดับปริญญามีมากเกินไปจนว่างงานจำนวนมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะช่องว่างของค่าจ้างเงินเดือนสำหรับผู้จบมัธยม หรือ ปวช.ต่ำกว่าระดับปริญญามาก (ข้าราชการบัญชีเก่า ปวช. 5,760 บาท ปวส. 7,100 บาท และ ปริญญาตรี 7,940 บาท ปรับใหม่ปี 2554 ปวช. 6,100 บาท ปวส. 7,300 บาท และ ปริญญาตรี 8,700 บาท) จึงทำให้ใช้แรงงานระดับล่างและระดับกลางพยายามไขว่คว้าหาปริญญา และเกิดปัญหาความไม่สอดคล้องของโครงสร้างแรงงาน  นโยบาย ที่น่าจะเหมาะกับสถานการณ์แรงงานของประเทศไทยจึงน่าจะเป็นการยกระดับเงิน เดือนแรงงานระดับกลางให้สูงขึ้น และไม่ต่างจากแรงงานระดับปริญญาจนเกินไป

นอกจากนี้ การจ้างกองทุนจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่มีการ ว่างงาน โดยสหรัฐอเมริกา ถือว่าอัตราการว่างงานธรรมชาติ คือ ร้อยละ แต่ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานอยู่ที่กว่าร้อยละ 1 ถือว่าต่ำ นอกจากนี้ นโยบายนี้ไม่ชัดเจนว่าจะจ้างงานเป็นเวลากี่วัน กี่เดือน หรือนานเท่าใด  ทันทีที่ครบกำหนดจ้างก็จะมีการว่างงานเกิดขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่กองทุนจะสามารถจ้างงานได้ตลอดไป (เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนมิยาซาวา ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ) กองทุนจ้างงานที่พูดถึงยังเป็นการซ้ำซ้อนกับการประกันสังคมกรณีการว่างงาน ซึ่งมีกฎ กติกา มารยาท ที่เริ่มเข้าที่เข้าทางดีอยู่แล้ว

(สำนักข่าวไทย, 27-6-2554)

ปชช.ร้อง สปส.รักษาแย่ 406 ราย ด้าน สปส.ขู่ฟัน รพ.เห็นแก่เงิน

นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ผอ.สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน (รง.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สปส.มีโรงพยาบาลรัฐและเอกชน คลีนิคที่เป็นเครือข่ายสถานพยาบาลในระบบประกันสังคมทั้งสิ้น 2,120 แห่ง โดยในช่วงตั้งแต่เดือนม.ค.2553 จนถึงเดือนพ.ค. 2554 มีผู้ประกันตนร้องเรียนเรื่องการรักษาพยาบาลทั้งหมด 406 ราย ส่วนใหญ่ร้องเรียนใน 3 ประเด็นได้แก่ 1.การบริหารจัดการ 2.พฤติกรรมการให้บริการ และ 3.มาตรฐานการให้บริการโดยเฉพาะมาตรฐานการให้บริการนั้นมีการร้องเรียนมากที่ สุด เช่น ตรวจรักษาไม่ละเอียดทำให้ไม่พบโรค รักษาล่าช้าเช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจควรผ่าตัดทำบายพาสแต่กลับไม่ผ่าตัด ไม่ยอมส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นซึ่งกรณีนี้ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งบางแห่งทำเพื่อต้องการเงินจากประกันสังคม
      
นพ.สุรเดชกล่าวอีกว่า หาก สปส.ตรวจสอบพบว่าโรงพยาบาลประกันสังคมรักษาไม่ได้มาตรฐานการให้บริการ เช่น ไม่ยอมส่งต่อผู้ป่วย จะมีบทลงโทษตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ ลดโควตาผู้ประกันตนและยกเลิกสัญญา ที่ผ่านมามีโรงพยาบาลถูกยกเลิกสัญญา 3 ราย ส่วนกรณีโรงพยาบาลประกันสังคมตรวจรักษาคนไข้ไม่ละเอียด ทำให้ไม่พบโรคและผู้ประกันตนไปรักษาโรงพยาบาลอื่นๆ แล้วพบโรค หากตรวจสอบแล้วพบข้อบ่งชี้ว่าโรงพยาบาลประกันสังคมรักษาไม่ได้มาตรฐานการให้ บริการ โรงพยาบาลประกันสังคมแห่งนั้น จะต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาให้แก่ผู้ประกันตน
      
ส่วนกรณีโรงพยาบาลประกันสังคมรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ ส่งผลให้ผู้ประกันตนต้องพิการหรือเสียชีวิตจากการรักษาพยาบาลซึ่งที่ผ่านมา มีกรณีเสียชีวิต 1 ราย สปส.จะส่งเรื่องต่อไปยังกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาว่า จะให้โรงพยาบาลช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนหรือญาติอย่างไรโดยให้ทั้งสอง ฝ่ายมาเจรจากันนพ.สุรเดชกล่าว
      
นพ.สุรเดชกล่าวด้วยว่า การพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์นั้นสปส.ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีโรคและยา ที่เสียค่าใช้จ่ายสูง เช่น โรคไต โรคเรื้อรัง ทันตกรรม ยาราคาแพง และเตรียมจะเพิ่มสิทธิประโยชน์กายอุปกรณ์ เช่น ลิ้นหัวใจ สายสวนหัวใจด้วย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกันตน และจัดระบบตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการโดยเฉพาะกระบวนการให้บริการเข้มข้นมาก ขึ้น รวมทั้งให้ผู้แทนผู้ประกันตนกับโรงพยาบาลมาพูดคุยกันถึงปัญหาต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจและแก้ปัญหาร่วมกัน


(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 27-6-2554)

แรงงานชาวไทยในประเทศมาเลเซียเตรียมลางานเพื่อเดินทางมาใช้สิทธิเลือกตั้ง วันที่ 3 ก.ค.นี้

กลุ่มแรงงานชาวไทยบางส่วนที่ไปประกอบ อาชีพรับจ้างกรีดยาง ลูกจ้างตามร้านอาหาร และทำงานตามโรงงานต่างๆในพื้นที่รัฐกลันตัน และตรังกานู ประเทศมาเลเซียเตรียมลางานวันที่2ก.ค.54เพื่อกลับออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ทั่วไปยังภูมิลำเนาของตนเองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันอาทิตย์ที่ 3ก.ค.นี้แล้ว โดยได้มีการโทรศัพท์มาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และขั้นตอนการใช้สิทธิเลือกตั้งผ่านทางสวท.สุไหงโก-ลก ในช่วงของรายการรอบบ้าน สวท.ซึ่งเป็นรายการเฉพาะกิจที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งในภาคภาษามลายู ท้องถิ่น ทำให้เห็นถึงความตื่นตัวของคนไทยที่แม้ต้องไปทำงานต่างแดนก็ยังต้องการใช้ สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมาเป็นผู้แทนของตนเองบนเวทีการเมืองไม่ต่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ ในประเทศไทย

ด้านนายอาลาวี อูมาร์ นายสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ยืนยันการรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมให้บริการประชาชนที่เตรียมเดินทางขาไปและ ขากลับจาก อ.สุไหงโก-ลกเพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้งยังภูมิลำเนาของตนเองอย่างเต็มที่ โดยรถไฟชั้น3 ขบวนรถเร็ว สุไหงโก-ลก-กรุงเทพฯ และรถไฟขบวนท้องถิ่นทุกขบวนยังคงให้บริการฟรีซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ ขยายผลโครงการลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาลที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้ไป อีก6เดือน และจะมีการพิจารณานโยบายดังกล่าวอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม2554

ส่วนนายวิเชียร ศรีรักษ์ นายสถานีบริษัทขนส่งจำกัด สาขานราธิวาส เปิดเผยว่า จำนวนประชาชนที่มาจองตั๋วโดยสารขบวนรถโดยสารปรับอากาศ สุไหงโก-ลก-กรุงเทพ ที่เดินทาง5เที่ยวต่อวัน ในห้วงของวันเลือกตั้ง1-5ก.ค.นี้ ยังอยู่ในระดับปกติ ซึ่งหากผู้ใช้บริการมีความประสงค์ที่จะเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งในช่วง เวลาดังกล่าวกับบริษัทขนส่งจำกัดก็สามารถจองตั๋วโดยสารได้ ณ สถานีขนส่ง อ.สุไหงโก-ลก และอ.เมืองนราธิวาสได้ทุกวันในเวลาทำการ อย่างไรก็ตามจากจำนวนผู้ใช้บริการที่ไม่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นนั้นปัจจัยส่วน หนึ่งคาดว่ามาจากที่ประชาชนต่างภูมิลำเนาที่เข้ามาทำงานในพื้นที่จ.นราธิวาส ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าตั้งแต่วันที่26มิ.ย.ที่ผ่านมาแล้ว

(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 28-6-2554)

บริษัทจัดหางานฟ้อง NBT หมิ่นฯ ส่งแรงงานไทยไปลิเบีย เรียก 140 ล้าน

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 28 มิ.ย.นี้ บริษัทจัดหางานเงินและทองพัฒนา จำกัด มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ศันสนีย์ มีชูสาร ผู้ดำเนินรายการรู้ทันเล่ห์เลี่ยม ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์(NBT) กับพวกเป็นจำเลยที่ 1 – 9 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 140 ล้านบาท

กรณีรายการรู้ทันเล่ห์เลี่ยม นำคำสัมภาษณ์ของนายมานะ พึ่งกล่อม  และนายอำนวยพร ดาท่าราช 2 แรงงานไทยในประเทศลิเบีย จำเลยที่ 6  – 7 ในคดีนี้มาออกอากาศเมื่อวันที่ 28 พ.ค. และวันที่  4 มิ.ย. 2554 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง  จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษตามความผิดด้วย

ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2654/2554 เพื่อมีคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่ต่อไป

(แนวหน้า, 28-6-2554)

บอร์ดค่าจ้าง กทม.ยังสรุปตัวเลขขึ้นค่าจ้างไม่ได้ นัดถกอีกครั้ง 5 ก.ค.นี้

28 มิ.ย. 54 - นางอำมร เชาวลิต ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ กทม. ว่า ที่ประชุมวันนี้ยังไม่สามารถสรุปตัวเลขการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในส่วนของ กทม.ได้ เนื่องจากมีการท้วงติงจากหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาระบุว่าตัวเลขข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และอัตราค่าครองชีพยังไม่นิ่ง ประกอบกับตัวเลขค่าจ้างในส่วนของ กทม. ถือว่ามีความอ่อนไหว และมีส่วนผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง จึงให้แต่ละฝ่ายไปทบทวนตัวเลข ก่อนนำเข้าที่ประชุมฯ อีกครั้งในวันที่ 5 กรกฎาคม และสรุปตัวเลขเสนอให้คณะกรรมการค่าจ้างกลาง (บอร์ดค่าจ้าง) ที่จะนัดประชุมในวันที่ 6 กรกฎาคม โดยไม่ต้องผ่านคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรอง เนื่องจากเวลามีจำกัด

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการพิจารณาในครั้งนี้จะต้องมีการปรับขึ้นค่าจ้างแน่นอน เพราะที่ประชุมฯ มีมติไปแล้ว และจะนำกรอบการพิจารณาขึ้นค่าจ้างเดิมที่สรุปว่าจะปรับขึ้น 5-9 บาท มาร่วมพิจารณากับตัวเลขใหม่ด้วย

(สำนักข่าวไทย, 28-6-2554)

พนง. โรงงานเซรามิกประท้วงรัฐขึ้นราคาก๊าซ LPG

สมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง ได้นำพนักงานโรงงานเซรามิกกว่า 300 คน จาก 200 โรงงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลำปาง มาชุมนุมหน้าศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ ครม. มีมติขยับขึ้นราคาก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 นี้ โดยจะทยอยปรับราคาขึ้น ไตรมาสละ 3 บาท ไปจนถึง 12 บาท ดังนั้นผู้ประกอบการเซรามิกลำปางจึงเรียกร้องไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ให้นึกถึงผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรรมเซรามิก เพราะโรงงานเซรามิกลำปางใช้ก๊าซ LPG เป็นปัจจัยหลักในการ เผาอบผลิตภัณฑ์เซรามิก ซึ่งหากมีการปรับราคา LPG ขึ้นตามนี้ โรงงานเซรามิก จะปิดตัวลงกว่า 30 % ส่วนที่เหลือจะ ต้องลดกำลังการผลิตลงกว่า 50 % เมื่อโรงงานเซรามิกอยู่ไม่ไหว ทั้งปิดตัวลง และลดกำลังการผลิต แรงงานที่จ้างอยู่กว่า 40,000 คน ก็ต้องปรับลดตาม

ทั้งนี้ ทางกลุ่มเซรามิกลำปาง จึงต้องชุมนุมเรียกร้อง ให้ตรึงราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน โดยในวันนี้ได้มายื่นหนังสือ ผ่าน นายสุวรรณ กล่าวสุนทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เพื่อดำเนินการส่งหนังสือต่อให้รัฐบาล ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี และจะติดตามความคืบหน้า หลังยื่นหนังสือ หากทางรัฐบาลยังนิ่งเฉย หรือไม่มีมาตราใด ออกมาช่วยเหลือ ทางผู้ประกอบการ และพนักงานโรงงานเซรามิก จะออกมาเตรียมชุมนุมใหญ่อีกครั้ง

(ไอเอ็นเอ็น, 29-6-2554)

เผยแรงงานกินเงินค่าจ้างขั้นต่ำพุ่งเป็น 3.1 ล้านคน เหตุนายจ้างไม่ยอมขึ้นเงินประจำปีให้

นางเพชรรัตน์ สินอวย ผู้อำนวยการกลุ่มงานวิจัยและวางแผนกำลังแรงงาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากฐานข้อมูลการจ่ายเงินสมทบของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) พบว่า หลังจากปรับค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา มีแรงงานที่ได้รับผลตอบแทนการทำงานในอัตราขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจากในปี 2553 ที่มีอยู่ 2 ล้านคน เป็น 3.1 ล้านคนในเดือนปัจจุบัน ทั้งๆที่มีแรงงานใหม่เข้าระบบเพียง 4 แสนคนเท่าน้ัน

นางเพชรรัตน์ กล่าวว่า โดยหลักการเมื่อมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว จำนวนผู้มีรายได้ในอัตราขั้นต่ำควรมีจำนวนเท่าเดิมหรือน้อยลง แต่จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ามีแรงงานบางส่วนที่ได้รับผลกระทบ เพราะเดิมเคยมีรายได้มากกว่าอัตราขั้นต่ำ แต่เมื่่อปรับขึ้นค่าจ้างต้นปีแล้ว แทนที่นายจ้างจะปรับขึ้นเงินเดือนให้คนกลุ่มนี้ด้วยกลับไม่ปรับเพิ่มให้ ทำให้คนกลุ่มนี้มีรายได้ตกลงมาอยู่ในเกณฑ์ผู้มีรายได้ขั้นต่ำแทน

"อีกมุมหนึ่งสะท้อนว่าการขึ้นค่าจ้าง ขั้นต่ำไม่ได้ช่วยดันให้คนที่มีรายได้มากกว่ากรอบค่าจ้างขั้นต่ำได้รับการ ปรับเงินเดือนเพิ่มไปด้วย ตัวเลขจึงเพิ่มขึ้นแบบนี้"นางเพชรรัตน์ กล่าว

นางเพชรรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการค่าจ้างกลางอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับเพิ่มค่าจ้างกลางปี ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อมีการขึ้นค่าจ้างไปแล้ว ตัวเลขผู้ในรายได้ในเกณฑ์ขั้นต่ำจะสูงขึ้นอีกหรือไม่ แต่จะนำเสนอข้อมูลนี้ประกอบการพิจารณาของกรรมการด้วย

(โพสต์ทูเดย์, 29-5-2554)

ตัวแทนแรงงานรัฐวิสาหกิจร้อง พท.เรียกร้องยกเลิก 7 ประเด็นที่มีผลต่อการทำงานของรัฐวิสาหกิจ

1 ก.ค. 54 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ก.ค.) กลุ่มผู้ใช้แรงงานรัฐวิสาหกิจ ประมาณ 20 คน ใน 10 องค์กร ประกอบด้วย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนารัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำนักงานกินแบ่งรัฐบาล และกองทุนสงเคราะห์สวนยาง ยื่นข้อเสนอนโยบายด้านแรงงานรัฐวิสาหกิจให้กับพรรคเพื่อไทยพิจารณา ผ่านทางนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค โดยขอให้ยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะที่ผ่านการพิจารณาของสภาฯ แล้วในวาระที่ 2 แก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกประเภทของผู้ใช้แรงงานปีสุดท้ายก่อน เกษียณอายุ ขอให้ปรับเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมทุกระดับ ขอให้บิดา-มารดาที่อายุเกิน 60 ปีของพนักงาน มีสิทธิ์ใช้สวัสดิการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ และขอให้ผู้แทนพนักงานรัฐวิสาหกิจมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐวิสาหกิจ

(สำนักข่าวไทย, 1-7-2554)

พนง.ฮือประท้วง ผจก.โลตัส

พนักงานกว่า 150 คน มาชุมนุมบริเวณลานจอดรถเพื่อประท้วงขับไล่ นายอัฉรา โพธิ์นคร  ผจก.บริหารห้างโลตัส สาขาสระบุรี พร้อมกับยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1. ให้พนักงานตั้งครรภ์ทำงานได้ 2. ผจก.บริหารฯ พูดจาไม่สุภาพ 3.ให้ปรับปรุงกะทำงานพนักงานใหม่ และ4 หยุดพูดจาข่มขู่พนักงานและอื่น ๆ ส่วนด้านหน้าทางเข้าห้างฯ พนักงานได้นำเครื่องกีดกั้นมาขวางทางเข้าออก รถยนต์ ไว้
 
ด้านนางหยาดฝน ชัยภูมิ พนักงานตั้งครรภ์ 7 เดือน กล่าวว่า ขอความเป็นธรรมกับ สำนักงานใหญ่ กทม.ด้วย ถึงจะตั้งครรภ์ก็ทำงานได้อย่างเต็มที่      ขณะเดียวกันพนักงานพยายามติดต่อให้ ผจก.คนดังกล่าว มาเจรจา แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ กลุ่มที่มาประท้วงกล่าวว่าถ้าพนักงานไม่ได้รับคำตอบจาก สำนักงานใหญ่ กทม.เสนอให้ย้าย ผจก.ฯ เผด็จการณ์ออกไปจากพื้นที่ พนักงานทั้งหมดจะหยุดงาน

(โพสต์ทูเดย์, 1-7-2554)

 

มูลนิธิเพื่อนหญิงเรียกร้องให้ผู้หญิงกว่า 24 ล้านคน ใช้สิทธิเลือกตั้ง

2 ก.ค.- นางสาวธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิงภาคใต้ เปิดเผยว่า มูลนิธิเพื่อนหญิงร่วมกับองค์กรเครือข่ายผู้หญิงจากทุกภาคของประเทศไทย อาทิ เครือข่ายผู้หญิง 50 เขต กทม. เครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย เครือข่ายต่อต้านการค้ามนุษย์ เครือข่ายพลังแม่ เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ และเครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ รณรงค์ให้ผู้หญิงกว่า 24.4 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นพลังบริสุทธิ์ ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ (3 ก.ค.) อย่างพร้อมเพรียงกัน เนื่องจากเป็นวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย โดยประกาศข้อเรียกร้องไปยังพี่น้องประชาชนและพรรคการเมืองต่าง ๆ 4 ข้อ คือ เรียกร้องให้ผู้หญิงทั่วประเทศ สร้างกระแสการเลือกตั้งอย่างสร้างสรรค์ ไม่ซื้อสิทธิ ขายเสียง เลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขปัญหาของประชาชน ไม่สร้างภาระหนี้สินเพิ่ม เรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ เห็นความสำคัญในบทบาทหญิง-ชาย กำหนดเป็นนโยบายหลักในการพัฒนา วางแผนเพื่อสร้างความสมดุล เสมอภาค และเป็นธรรมในสังคม เรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัคร ส.ส. ที่มีจริยธรรมดี รักครอบครัว มีวิสัยทัศน์การทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และขอให้องค์กรเครือข่ายผู้หญิงทั่วประเทศติดตาม ตรวจสอบ การทำงานของพรรคการเมือง และนักการเมือง หลังการเลือกตั้ง ว่าแต่ละพรรค แต่ละคน ทำตามนโยบาย พันธสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่

 (สำนักข่าวไทย, 2-7-2554)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พนักงานฮือประท้วง ผจก.โลตัส ปลดคนท้อง

Posted: 02 Jul 2011 01:55 AM PDT

พนักงานรวมตัวประท้วงขับไล่ผู้จัดการบริหารห้างโลตัสสระบุรี เนื่องจากไม่พอใจปลดพนักงานหญิงตั้งครรภ์ออกจากงานและพูดจาข่มขู่

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า พนักงานกว่า 150 คน มาชุมนุมบริเวณลานจอดรถเพื่อประท้วงขับไล่ นายอัฉรา โพธิ์นคร  ผจก.บริหารห้างโลตัส สาขาสระบุรี พร้อมกับยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1. ให้พนักงานตั้งครรภ์ทำงานได้ 2. ผจก.บริหาร พูดจาไม่สุภาพ 3.ให้ปรับปรุงกะทำงานพนักงานใหม่ และ4 หยุดพูดจาข่มขู่พนักงานและอื่นๆ ส่วนด้านหน้าทางเข้าห้างฯ พนักงานได้นำเครื่องกีดกั้นมาขวางทางเข้า–ออก รถยนต์ ไว้
 
ด้านนางหยาดฝน ชัยภูมิ พนักงานตั้งครรภ์ 7 เดือน กล่าวว่า ขอความเป็นธรรมกับ สำนักงานใหญ่ กทม.ด้วย ถึงจะตั้งครรภ์ก็ทำงานได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันพนักงานพยายามติดต่อให้ ผจก.คนดังกล่าว มาเจรจา แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ กลุ่มที่มาประท้วงกล่าวว่าถ้าพนักงานไม่ได้รับคำตอบจาก สำนักงานใหญ่ กทม.เสนอให้ย้าย ผจก.ฯ เผด็จการออกไปจากพื้นที่ พนักงานทั้งหมดจะหยุดงาน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

โค้งสุดท้ายในชายแดนใต้ 2 พรรคยึดมัสยิด 300 ปีหาเสียง

Posted: 02 Jul 2011 01:19 AM PDT

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งในชายแดนใต้ 2พรรคยึดมัสยิด300 ปีหาเสียง เพื่อไทยขายนครปัตตานี ความหวังใหม่ชูปัตตานีรายา ภูมิใจไทยของแก้ปัญหายุติธรรมยาเสพติดก่อนหวังผลไฟใต้ดับ

เวลา 18.30 น. วันที่ 30 มิถุนายน 2554 นายอาแซ หรือ อัสโตรา โต๊ะราแม ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส.) เขต 4 จังหวัดนราธิวาส พรรคความหวังใหม่ และนายอับดุลเร๊าะห์มาน อับดุลสมัด ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์)พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปหาเสียงที่มัสยิด 300 ปี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยได้ร่วมละหมาดฮายัติพร้อมชาวบ้าน ในคืนวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นคืนที่สำคัญที่สุดในรอบสัปดาห์ของชาวมุสลิม

หลังละหมาดนายอับดุลเร๊าะห์มาน เป็นผู้กล่าวปราศรัยหาเสียงก่อนเป็นภาษามลายูถิ่น หรือภาษายาวี โดยกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การกำหนดเป็นเขตปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ นครปัตตานี ซึ่งเป็นนโยบายสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้

จากนั้นนายอัสโตรา ขึ้นกล่าวปราศรัยหาเสียงต่อ โดยกล่าวว่า นโยบายการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรความหวังใหม่คือ การปกครองพิเศษ ใช้ชื่อภาษามลายูว่า negeri patani raya โดยผนวกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางส่วนในสงขลาและสตูล เรียกเป็นเขตปกครองเดียวกัน

นายอัสโตรา กล่าวสโลแกนเป็นภาษามลายูว่า “tradisi baru yang kami akan cipta” หมายถึง วัฒนธรรมใหม่ที่พวกเรากำลังจะสร้างขึ้น คือวัฒนธรรมการหาเสียงในมัสยิดอย่างที่เคยมีในสมัยกลุ่มวะห์ดะห์รุ่งเรืองเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เนื่องจากมัสยิดเป็นสถานที่ขอพรเพื่อความเป็นมงคล

นายอัสโตรา กล่าวว่า การเลือกคืนวันศุกร์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งหลังละหมาดปกติต่อด้วยการละหมาดฮายัตเพื่อขอให้อัลลอฮฺประทานความสำเร็จและอ่านอัลกุรอาน เป็นความเชื่อของชาวมุสลิมว่าจะเป็นสิริมงคล

นายอัสโตรา กล่าวว่า การซื้อเสียง ตามหลักการอิสลามถือเป็นบาป ผู้ขายเสียง ผู้ซื้อและหัวคะแนน ต้องถูกไต่สวนจากพระเจ้า ดังนั้นตัวเองจึงต่อต้านสิ่งเหล่านี้ และหวังว่าประชาชนจะร่วมต่อต้านสิ่งนี้

นายมูหาหมัด หะยีมะ ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์พรรคความหวังใหม่ กล่าวว่า ทุกวันนี้การเมืองที่มีอิทธิพลมากกว่าศาสนา ทั้งที่ควรจะเป็นศาสนานำการเมือง สังคมทุกวันนี้จึงมีสิ่งไม่สิ่งดี มีความกดขี่ข่มเหงเกิดขึ้น จึงควรสร้างการเมืองที่ควบคุมโดยศาสนา เพื่อให้ความไม่เป็นธรรมหมดไป

ในส่วนผู้นำศาสนาประจำมัสยิด 300 ปี เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกที่เห็นนักการเมืองพรรคต่างๆ พูดถึงการปกครองในรูปแบบพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ การหาเสียงในมัสยิด เป็นการส่งสัญญาณว่าสิ่งที่พูดจะต้องรักษาและทำตาม

ภูมิใจไทยแก้ยุติธรรมยาเสพติดหวังดับไฟใต้

ขณะที่นายอรุณ เบ็ญจลักษณ์ ผู้สมัครส.ส.เขต 1จังหวัดปัตตานี พรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่หาเสียงในเขตตัวเมืองปัตตานี โดยนายอนุสรณ์กัลยาภิรักษ์ ที่ปรึกษานายอรุณ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยมองว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มี3 ประเด็นหลักที่เป็นสาเหตุของการเกิดความไม่สบง ได้แก่ ความอยุติธรรมยาเสพติดและปัญหาเศรษฐกิจ

นายอนุสรณ์ เปิดเผยว่า พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายที่จะแก้ปัญหา3 ประเด็นนี้เป็นหลัก โดยจะไม่พูดถึงโมเดล(รูปแบบ)ทางการเมืองการปกครองอย่างที่พรรคการเมืองอื่นๆ เสนอเพราะมองว่าเป็นได้ยากมาก

นายอนุสรณ์ กล่าวว่าปัญหาเรื่องความยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 คือ มิติของความรู้สึก และมิติด้านกระบวนการทางกฎหมาย การแก้ปัญหาในมิติของความรูสึกได้นั้นจะต้องใช้เวลานาน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยย่อมรับว่า การแก้ปัญหาในมิตินี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทางพรรคภูมิใจไทยจำเป็นที่จะต้องทำ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่าส่วนการแก้ปัญหาด้านมิติทางกฎหมายนั้นจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเป็นมาตรฐานเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในส่วนปัญหายาเสพติดพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายที่จะต้องแก้อย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่การปราบปรามเท่านั้น แต่พรรคมีนโยบายให้ผู้ที่เสพยายาเสพติดได้รับการเยียวยาและการบำบัดที่ถูกต้องด้วย

นายอนุสรณ์ กล่าวว่าส่วนปัญหาด้านเศรษฐกิจพรรคภูมิใจไทยมองว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากยังมีปัญหาความขัดแย้งอยู่ ดังนั้นต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ก่อน จึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ สภาพเศรษฐกิจในพื้นที่ก็จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาทันทีโดยการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นายอนุสรณ์ กล่าวว่าส่วนเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลโดยภาพรวมพรรคภูมิใจไทยเห็นด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือ ต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ให้ได้ก่อนเช่นกัน เพราะตราบใดที่ความขัดแย้งยังมีอยู่ในพื้นที่ก็จะไม่มีแหล่งทุนใดกล้าที่จะมาลงทุนในพื้นที่อย่างแน่นอน

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในส่วนงบประมาณที่ลงมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมากนั้น งบบางส่วนตกอยู่กับทหาร บางส่วนอยู่ที่ข้าราชการ จะทำอย่างไรที่จะให้งบประมาณเหล่านั้นลงไปถึงประชาชนระดับรากหญ้าจริงๆนั้น ดังนั้นจะต้องมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้มแข็ง และมีการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จังหวัดชายแดนภาคใต้จำเป็นต้องเลือกข้าง

Posted: 02 Jul 2011 12:31 AM PDT

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุข จงมีแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

หลังจากองค์กร ภาคประชาสังคมหลายองค์กรร่วมกันจัดเวทีสาธารณะหรือไปร่วมกับสื่อมวลชนต่างๆโดยเฉพาะไทยพีบีเอส “ไฟใต้ดับได้ด้วยการกระจายอำนาจหรือปัตตานีมหานคร ” ขึ้นในหลายเวทีและหลายจังหวัดของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้หลายพรรคการเมืองต้องอธิบายโมเดลการกระจายอำนาจในแนวคิดของพรรคตนเองโดยเฉพาะ ๒ พรรคการเมืองใหญ่ที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลแน่และมีอำนาจในการตัดสินใจในอนาคตของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย โดยมีพรรคมาตุภูมิเป็นตัวสอดแทรกหากได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลและคุมภาคใต้

โดยพรรคประชาธิปัตย์จะสานต่อการกระจายอำนาจในองค์กรที่เรียกว่าศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอบต.) อันเป็นการบริหารส่วนภูมิภาคโดยเปิดโอกาสให้สภาที่ปรึกษาซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากทุกสาขาอาชีพมีส่วนร่วมในการบริหารและสามารถทำได้ทันทีเช่น หนึ่งเรื่องการศึกษาท้องถิ่น อยากให้มีโรงเรียนสองภาษา คือ ภาษามลายูถิ่นควบคู่กับภาษาไทย สอง หลักสูตรที่ท้องถิ่นต้องการคือวิถีชีวิตมุสลิม  สาม การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ไร้แอลกอฮอล์ ปลอดอบายมุข ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตมุสลิมก็ทำได้ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล

ในขณะเดียวกันประชาธิปัตย์ค้านการกระจายอำนาจในรูปแบบ ปัตตานีมหานคร ซึ่งเป็นการ การปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษสู่การดูแลตัวเองภายใต้รัฐธรรมนูญไทย โดยนายถาวร เสนเนียมยืนยันว่า  ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก อันเนื่องมาจาก การรวม 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและ 4 อำเภอของสงขลา เป็นปัตตานีมหานครเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นใหญ่ซึ่ง มีพื้นที่รวม 11,000 ตารางกิโลเมตรเศษ เทียบกับกรุงเทพมหานครที่มีพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตร ต่างกันมาก ประชาชนใน 3 จังหวัด มี 1.8 ล้านคน กรุงเทพมหานครมีเกือบ 6 ล้านคน 3 จังหวัดมี 32 อำเภอ กรุงเทพมหานครมี 50 เขต และจะต้องออกกฎหมายใหม่ทำให้ช้าที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์สัญญาจะเพิ่มอำนาจอบจ. อบต. เพราะ อบจ. อบต. เทศบาล มี 200 กว่าภารกิจ ที่ส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่า ในท้องถิ่นมีพี่น้องมุสลิมเป็นผู้นำอยู่ ในเขตเทศบาลก็มีพี่น้องไทยเชื้อสายจีนเป็นผู้นำ ดังนั้นการกระจายอำนาจแบบนี้ดีกว่า ซึ่งทัศนะของพรรคประชาธิปัตย์ถูกขานรับจากกองทัพที่ออกมาแสดงความคิดเห็นความเป็นห่วงในปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้หากให้มีการกระจายอำนาจในรูปแบบ ปัตตานีมหานคร (โปรดดู http://www.prachatai.com/journal/2011/06/35583 )

สำหรับ พรรคเพื่อไทย สนับสนุนการกระจายอำนาจ  ในรูปแบบ ปัตตานีมหานคร ที่ให้บทบาทกับการปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้คนในพื้นที่ เลือกผู้นำสูงสุดเอง ซึ่งต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้บทบาทสูงสุดแก่ข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง แต่อาจจะแตกต่างในรายละเอียด ที่เสนอโดยภาคประชาชน (โปรดดู  http://www.deepsouthwatch.org/node/2019 )

โดยพรรคเพื่อไทยหากได้จัดตั้งรัฐบาลก็จะประกาศยกเลิก การบริหารราชการของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอบต.) และเสนอพระราชบัญญัติ การปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกว่า นครปัตตานี  ซึ่งคณะทำงานของพรรคได้ร่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วที่จะเสนอ  โดยมีมี "ผู้ว่าราชการนครปัตตานี" มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน และมี "สภานครปัตตานี" ที่มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งอำเภอละ 1 คน ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของผู้ว่าราชการนครปัตตานี

ร่างกฎหมายฉบับนี้มีความยาวถึง 121 มาตรา โดยในเอกสารประกอบร่างกฎหมายได้ระบุถึงเหตุผลและความจำเป็นในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการนครปัตตานีเอาไว้ว่า "โดยที่สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อ ความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องบูรณาการการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกรูปแบบ รวมถึงการกำหนดให้มีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและกำหนดยุทธศาสตร์ การพัฒนาให้บรรลุตามเป้าหมายในอันที่จะทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสงบ เรียบร้อยด้วย" (โปรดดู http://www.oknation.net/blog/print.php?id=701489)

สำหรับ พรรคมาตุภูมิ หากได้เป็นรัฐบาลและได้รับมอบอำนาจให้ดูแล จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะ ตั้งทบวงบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของสงขลา ผู้ที่เป็นหัวหน้าของทบวงต้องเป็นรัฐมนตรี มาประจำอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และข้าราชทุกระทรวงขึ้นตรงต่อทบวงนี้เพื่อเอกภาพในการบริหาร แต่จะไม่ไปแตะต้องในส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิม  โดยสัญญาว่าจะมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างจริงจัง

ครับก็เป็นหน้าที่สำหรับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ถึงแม้จะใช้เวลาแค่ ๔ วินาที) ที่จะตัดสินใจทางการเมืองด้วยสันติวิธีในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตนเอง (ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน) โดยการเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างชัดเจนระหว่างการกระจายอำนาจ ในรูปแบบ ศอ บต.  ทบวงบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อำนาจสูงสุดมาจากส่วนกลาง กับ นครปัตตานี ที่ผู้นำสูงสุดมาจากการเลือกตั้งของคนในพื้นที่

แต่หลังจากการเลือก องค์กรภาคประชาชนทุกเครือข่าย ก็จะต้องตรวจสอบ กดดันแต่ละพรรคที่ได้จัดตั้งรัฐบาล ว่าได้นำนโยบาย ที่หาเสียงไว้ไปปฏิบัติจริงหรือไหม และทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการต่อไปเพื่อรองรับทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ อย่างเช่น การนำ เสนอ โมเดล ปัตตานีมหานคร ที่เป็นการทำงานร่วมของ เครือข่ายประชาชนเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้และ คณะกรรมการภาคประชาสังคมซึ่งอยู่ภายใต้หลักวิชาการของ สภา พัฒนาการเมือง, สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า และศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้

สุดท้ายขอฝากทุกท่านให้เคารพกติกาการเลือกตั้งโดยไม่ซื้อสิทธิ ขายเสียง เพราะการซื้อสิทธิขายเสียงไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หัวคะแนนและประชาชนทั่วไป ตามทรรศนะอิสลามและหลักศาสนาถือว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ เป็นส่วนของการรับสินบน (ในหลักศาสนาเรียกว่า al-Rishwah) ตามที่พระเจ้าได้ทรงห้ามในคัมภีร์อัลกุรอ่าน (ซูเราะห์ อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 41) ในขณะศาสนฑูตมุฮัมมัดได้วัจนไว้ความว่า อัลลอฮฺทรงสาปแช่งผู้ที่ให้และรับสินบน (บันทึกโดยอิหม่ามตุรมีซีย์)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประจักษ์ ก้องกีรติ

Posted: 01 Jul 2011 11:40 PM PDT

ขอให้ระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนได้ทำงานบ้าง ให้การเลือกตั้งทำงาน เมื่อใครมาเป็นรัฐบาลกระบวนการตรวจสอบก็จะเกิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เราก็สู้กัน ตรวจสอบภายใต้กฎตามรัฐธรรมนูญ แต่อย่างน้อยให้ก้าวข้ามพ้นภาวะที่คนกลุ่มเล็กๆมากดปุ่มให้ผลเป็นไปตามใจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.

ใบตองแห้งออนไลน์:ชนะเป็นจ้าว แพ้เป็นโจร!

Posted: 01 Jul 2011 09:30 PM PDT

รำคาญนะครับ กับพวกที่ออกมาเรียกร้องให้ “ปรองดอง” แบบหน่อมแน้ม อย่างหมอประเวศ ที่บอกให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เชิญพรรคต่างๆ แม้แต่พรรคคู่แข่งเข้าร่วมรัฐบาลแห่งการปรองดอง “ควรถือว่าขณะนี้ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์พิเศษ ที่ต้องการความเสียสละและลดทิฐิมานะ” 

โอ้ ตอนอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ จากค่ายทหาร มีใครเรียกร้องให้ “ปรองดอง” อย่างนี้หรือเปล่า ตอนทหารทำรัฐประหารมีใครเรียกร้องให้ “ปรองดอง” หรือเปล่า นี่เห็นเค้าพรรคเพื่อไทยจะชนะละสิท่า ทั้งพวกเหลืองอำพรางและพวกขาวนวลกว่าต้ม ถึงได้ออกมาเรียกร้องให้ “ปรองดอง” กันยกใหญ่

ไอ้ที่ไล่บดขยี้บีฑาเขามา 5 ปี จะไม่ให้เขาเอาคืนบ้างเลยหรือ

สัจธรรมของสังคมไทยตั้งแต่โบราณกาลจวบปัจจุบันคือ “ชนะเป็นจ้าว แพ้เป็นโจร” ใครชนะคือฝ่ายถูกต้อง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยทุบกันด้วยท่อนจันทน์แล้ว ไอ้ที่อ้างคุณธรรมเมตตาธรรมมันก็แค่ทำให้ “เนียน” เท่านั้น ความเป็นจริงคือใครชนะก็กวาดต้อนลูกเมียข้าทาสบริวารไปเป็นของตัว ใครอยากได้ดิบได้ดีต้องทำตัวเป็นลูกขุนพลอยพยัก หรือที่สมัยใหม่เขาเรียกว่า “เนติบริกร”

ถามว่าถูกต้องไหม ก็ไม่ถูกต้อง แต่นี่คือโลกที่เป็นจริง ใครชนะก็ต้องกวาดล้างฝ่ายแพ้ เป็นสัจธรรมแห่งอำนาจ เพราะถ้าเขาไม่กวาดล้าง ซักวันเขาก็จะโดนโค่นล้มอีก เพียงแต่ต้องทำให้เนียน และต้องประนีประนอมบ้างบางส่วนเพื่อลดศัตรู

เอ้า สมมติ ปชป.ชนะ คุณคิดว่า ปชป.จะปรองดองไหม ไอ้ที่เป็นรัฐบาลมา 2 ปีกว่า ปรองดองหรือยิ่งสร้างความแตกแยก เชื่อได้เลยว่าถ้า ปชป.ชนะ จะต้องไล่บี้เอาผิดยิ่งลักษณ์ฐานเบิกความเท็จ (แถมเล่นงาน กลต.ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่) จะต้องไล่จับพวกแกนนำ นปช.ตามผังล้มเจ้า โดยขยายผังลงไปทุกจังหวัดทุกอำเภอ จะต้องไล่บี้สื่อที่เอาใจออกห่าง ลงไปถึงเว็บไซต์ วิทยุชุมชน (และกรุงเทพโพลล์)

หมอประเวศแกจะสนใจอะไร เพราะอภิสิทธิ์ก็คงให้งบปฏิรูปประเทศไทยมาอีก 600 ล้าน

ฉะนั้นต้องยอมรับความจริงว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ ก็เป็นสิทธิของผู้ชนะ ที่จะกวาดล้างกลไกอำนาจรัฐฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่ามหาดไทย ตำรวจ ทหาร DSI กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 ฯลฯ พรรคเพื่อไทยสามารถที่จะตีเหล็กกำลังร้อน มี UN และสหรัฐฯ หนุนรัฐบาลจากการเลือกตั้ง โยกย้าย ผบ.ทบ.ผบ.ทอ.มาตบยุงที่ทำเนียบรัฐบาลได้ด้วยซ้ำ เพราะทหารไม่กล้ารัฐประหารแน่

ถ้าไม่ทำ คุณอาจสำนึกเสียใจภายหลัง เพราะข่าวที่ว่ามีการเจรจา 3 ฝ่าย จะไม่แตะต้องกองทัพนั้น ต้องถามว่าในรอบ 5 ปีทักษิณถูกหลอกมากี่ครั้งแล้ว

เชื่อได้เลย เดี๋ยวต้องมีคนยกตัวอย่างเนลสัน แมนเดลา ว่าติดคุกตั้ง 27 ปี กลับมาเป็นประธานาธิบดี กลับสามารถให้อภัย ไม่คิดแก้แค้น จนสามารถสร้างความปรองดองได้ ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยก็ควรจะทำอย่างนั้น

อ้าว ก็ไหนบอกว่าทักษิณไม่ใช่แมนเดลา แล้วตอนนี้จะเรียกร้องให้ทักษิณเป็นแมนเดลาซะยังงั้น ทักษิณมันก็คือทักษิณ มันไม่ใช่เทวดา มันไม่ใช่แมนเดลา ไม่ใช่อองซานซูจี ไม่ใช่ อ.ปรีดี ถูกต้องแล้ว แล้วคุณจะเรียกร้องอะไรนักหนา เพิ่งว่าเขาเป็นโจรเป็นยักษ์เป็นมารอยู่หยกๆ จะมาเรียกร้องให้เป็นพระซะแล้ว

อย่าลืมว่าแมนเดลาปรองดองสำเร็จ ก็เพราะอดีตประธานาธิบดีคนขาวร่วมมือด้วยนะครับ คนขาวในอาฟริกาใต้จำนวนไม่น้อยสำนึกผิด ที่กดขี่บีฑาคนดำมายาวนาน แต่นี่ “คนขาว” ในบ้านเรายังไม่เห็นสำนึกผิด ยังออกมาติดป้ายแจกสติกเกอร์กันโครมๆ ถามว่าจะปรองดองกับคนพวกนี้ได้ไง

สังคมไทยมันไม่สงบง่ายหรอก มันยังต้องปั่นป่วนไปอีก ยังต้องสู้รบกันอีก ยอมรับเสียเถอะ ถามว่าพวกอำมาตย์ยอมปรองดองไหม ปชป.ยอมปรองดองไหม พันธมิตรยอมปรองดองไหม สยามสามัคคียอมปรองดองไหม ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งบดขยี้อีกฝ่ายหนึ่งจนหมดประตูสู้เท่านั้น

ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้แปลว่าผมสนับสนุนการแก้แค้น เปล่า ผมแค่ยอมรับสัจธรรม ของการต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงอำนาจ ทั้งสองฝ่ายต่างก็จำเป็นต้องทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นเสี้ยนหนาม และผมยอมรับความจริง ที่ว่าไม่มีใครเป็นพระอรหันต์ ทุกคนล้วนเป็นปุถุชน

ฉะนั้นใครเรียกร้องให้ปรองดอง ผมก็จะไม่เรียกร้องด้วย และถ้ามีการ “ล้างบาง” กันในกลไกอำนาจ ผมก็จะยักไหล่ หรือเชียร์ด้วยซ้ำ ขอเพียงทำให้เนียนหน่อย เช่นถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาลตั้งณัฐวุฒิเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ รื้อผังช่อง 9 ถีบกนกกลับไปโยนกทีวี (มิพักต้องพูดถึงเจิมช่อง 11) ผมก็จะไชโยโห่ร้องด้วยความสะใจ ขอเพียงอย่าตามไปรังควานเขา ถ้าเขาไม่อยู่ในสื่อของรัฐ ก็ปล่อยให้เขามีสิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ในสื่อเอกชนที่ไม่มีโฆษณาหน่วยงานรัฐแม้แต่ชิ้นเดียว (ตัดแม่-ให้เหี้ยน ฮิฮิ)

ถามว่าชอบธรรมไหม ไม่รู้ แต่ทีฮูทีอิท เขาก็ทำกันมาอย่างนี้ ผู้คนทั้งหลายที่ได้ดีลอยหน้าลอยตามากับรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ก็ควรจะถูกล้างบางเสียบ้าง ถูกกรรมตามทันเสียบ้าง จะปล่อยให้กลไกต่างๆ อยู่อย่างเดิมได้อย่างไร

ผมจึงไม่เรียกร้องให้ปรองดอง แม้ถ้ายิ่งลักษณ์และทักษิณสามารถ “ลืมอดีต” ไม่คิดแก้แค้น สร้างความปรองดองได้จริง ก็จะนำไปสู่ความสงบดังที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่ผมไม่เชื่อว่าทำได้ ไม่เชื่อทั้งสองฝ่าย เพราะอีกฝ่ายก็จะตามราวีอยู่ไม่เลิกเช่นกัน

แต่สมมติเขาทำได้จริง สมมติยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ไม่คิดแก้แค้น สร้างความปรองดองได้จริง พวกที่เรียกร้องให้ปรองดองทั้งหลาย ก็ต้องนำคนไทยทั้งประเทศก้มกราบเขางามๆ เลยนะครับ ที่เขาสามารถก้าวข้ามความเป็นปุถุชน ไปบรรลุน้องๆ โสดาบัน

นี่ผมพูดให้ชัดเพื่อจะบอกว่าที่พวกคุณเรียกร้องน่ะยิ่งใหญ่แค่ไหน สำหรับคนที่ถูกกระทำมา 5 ปี ทั้งคุณทั้งผมไม่ได้โดนอย่างเขา จึงพูดง่ายสบายปาก ลองเปลี่ยนเป้นเรามั่งสิ จะไม่อยากเอาคืนมั่งหรือ

ฉะนั้นต่อให้พูดอะไรสวยหรู ความเป็นจริงของการเลือกตั้งวันอาทิตย์นี้คือ ถ้าไม่อยากเป็นโจร คุณก็ต้องเอาชนะ

 

เราเลือกเพื่อ...

แน่นอน ผมเลือกเพื่อไทย แต่เลือกเพื่อไทยเพื่อ....

ผมไม่ได้เลือกทักษิณ ไม่ได้เลือกยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เลือกพ่อไอ้ปื๊ด ไม่ได้เลือกนิติภูมิ นวรัตน์ ที่ปิ๊กไปปิ๊กมา ผมไม่ได้เลือกเพื่อประชานิยม ลดภาษีรถคันแรก ลดภาษีนิติบุคคล ค่าแรง 300 บาท บัตรเครดิตชาวนา ฯลฯ

ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่ได้คิดว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอะไรด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดว่าเป็นพรรคที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าหรอก

ผมเพียงแต่เลือกเพราะมันต้องเข้าไปสู้กับอำมาตย์ ต้องหักล้างอำนาจนอกระบบ ซึ่งในการสู้กับอำมาตย์เพื่อเอา “นายใหญ่” กลับบ้าน นี่แหละ ที่พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องอิงอุดมการณ์ประช่าธิปไตย อิงพลังมวลชนเสื้อแดง คนยากคนจนในชนบทที่ตื่นตัวขึ้นมา ต้องการมีส่วนร่วมในอำนาจ (ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่การทำเพื่อคนคนเดียว)

นี่พูดในเชิงสามานย์สุดขั้ว คือต่อให้พรรคเพื่อไทยไม่มีตัวดีซักตัว ผมก็จะเลือก แต่ความจริงในพรรคเพื่อไทยก็มีคนที่ต่อสู้จริงจังอยู่จำนวนหนึ่ง เช่นเดียวกับที่มีพวกหาผลประโยชน์ พวกโหนกระแส (เป็นธรรมดาของทุกขบวนการ ตั้งแต่ 14 ตุลามาถึงพันธมิตรและ นปช.)

ถามว่าผมเชื่อข่าวเจรจา 3 ฝ่ายที่บรูไนไหม ในเบื้องลึกไม่รู้ว่าจริงไม่จริง แต่ต่อให้จริงก็ไม่ผิดคาด เพราะทักษิณอยากประนีประนอมอยู่แล้ว ทักษิณไม่ใช่ผู้นำการปฏิวัติ ทักษิณไม่ใช่วีรบุรุษประชาธิปไตย ถ้ามีทางประนีประนอมได้ ทำไมทักษิณจะไม่ประนีประนอม

แต่ถามว่าเป็นไปได้ไหม ผมไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ ทักษิณถูกหลอกมากี่ครั้ง ไม่รู้จักจำ หรือต่อให้ไม่หลอก การประนีประนอมนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะมวลชนไม่ยอม ไม่ใช่แค่มวลชนเสื้อแดงไม่ยอมให้นิรโทษกรรมพฤษภาอำมหิต แต่มวลชนเสื้อเหลืองเสื้อหลากสีก็ไม่ยอมให้นิรโทษกรรมทักษิณเช่นกัน

ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ที่จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นนำ แต่นี่มันดึงมวลชนมากมายมหาศาลเข้ามามีส่วนร่วม

บอกแล้วว่ายังไม่มีทางปรองดอง มันยังต้องรบกันต่อ ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้เมื่อกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยและคืนความยุติธรรมให้ทุกฝ่าย

ฝ่ายอำมาตย์กุมกลไกสำคัญคือกองทัพ ตุลาการ และองค์กรอิสระ มีปืนกับมีกฎหมายในมือ ขณะที่พรรคเพื่อไทยถ้าได้เป็นรัฐบาลก็มีแต่มวลชนกับอำนาจทางการเมือง ถามว่าจะจัดการกับสมเจตน์ บุญถนอม, สมชาย แสวงการ, จรัญ ภักดีธนากุล ฯลฯ อย่างไร ก็มีแต่ต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ยกเลิก สว.สรรหา แก้ไขที่มาองค์กรอิสระ ลดอำนาจองค์กรอิสระ ไม่ให้เข้ามาล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยแทนประชาชน

พรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจนอกระบบ กองทัพ ตุลาการ ดังที่มีบทเรียนมาแล้วในรัฐบาลสมัคร-สมชาย ถ้าจะโง่เซอะให้เขาเล่นงานได้อีกทีก็คงต้องปลงอนิจจัง พรรคเพื่อไทยจะต้องหาทางลดอำนาจกองทัพ ถ่วงอำนาจ ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปศาล แยกกองทัพและศาลออกจากมือที่มองไม่เห็น ยกเลิก กม.ความมั่นคง ยุบ กอ.รมน.เพื่อให้มวลชนเติบโต ตลอดจนหาทางเข้าไปตรวจสอบรื้ออำนาจศาล

ผมไม่เชื่อว่าทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะกล้าแก้ ม.112 พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่โตเอิกเกริก เผลอๆ จะยิ่งกว่าเนวินจัดด้วยซ้ำ แต่ด้วยชนักที่ฝ่ายอำมาตย์ปักหลังไว้ พรรคเพื่อไทยก็ต้องเปิดทางให้ประชาชนได้เคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็น

ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าผมไว้วางใจพรรคการเมืองที่ยังเต็มไปด้วยตัวแทนทุนเสรีนิยม ตัวแทนทุนท้องถิ่น อิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งยังไม่ได้เป็นพรรคของมวลชนเสื้อแดงด้วยซ้ำ (หลายพื้นที่ พรรคคัดเลือกผู้สมัครโดยไม่ได้ซาวเสียงมวลชน แต่มวลชนจำต้องเลือก)

แต่ผมเชื่อว่าพลังของการปะทะจะสร้างสรรค์ให้มวลชนเติบโต อย่างที่เราเห็นในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มวลชนลุกขึ้นสู้แล้ว มวลชนจะไม่ถอย อย่างน้อยมวลชนจะไม่ยอมให้ประนีประนอมกัน อย่างที่มี “ปฏิญญาบรูไน” ทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยตัดสินใจแทนมวลชนไม่ได้

ผมไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลที่โปร่งใส มือสะอาด ปราศจากพ่อไอ้ปื๊ด แต่พรรคเพื่อไทยย่อมรู้ดีว่าถ้าพวกเขาจีดตั้งรัฐบาลหน้าตาอัปลักษณ์ ก็จะพังเสียก่อนได้พานายใหญ่กลับมางานแต่งลูกสาว และถ้าพวกเขาทุจริตฉาวโฉ่แบบการ “สวาปาล์ม” ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พวกเขาก็จะสูญเสียมวลชน ซึ่งเนสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขามีอำนาจ

ท้ายที่สุดแล้ว ผมไม่ได้เลือกเพื่อไทย ผมเลือกการหักล้างอำนาจกันมากกว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดคือเราต้องไม่ยอมให้เกิดการ “ฮั้วกัน” โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ นี่คือสิ่งที่ต้องพูดกันต่อไปถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง

 

เอาชาติวางยา

หลังเลือกตั้งปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยชนะถล่มทลาย ผมได้เอกสารลับมาปึกหนึ่ง เรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ของป๋าเหนาะ ซึ่งในฐานะสื่อ เมื่อเรื่องมีมูล เราก็เสนอข่าว

ด้วยจรรยาบรรณแพทย์ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าได้-เอ๊ย ด้วยจรรยาบรรณนักข่าวทำให้ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งข่าวได้ ฮิฮิ แต่แม้เด็กอมมือก็ยังรู้ว่าเป็นฝีมือพรรคการเมืองไหน ที่สมัยมีอำนาจไม่จัดการแต่เก็บข้อมูลไว้วางยา

รัฐบาลอภิสิทธิ์-สุวิทย์ ถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก โดยขั้นตอนยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลต่อไปจะต้องเข้ามารับภาระ อภิสิทธิ์ตีกินอย่างสง่าผ่าเผย พร้อมกับผลักภาระ ทำไมไม่มีนักข่าวถามบ้างว่า ถ้ากลับมาเป็นนายกฯอีก เมริงจะตัดสินใจอย่างไร

ถ้าถอนตัวออกจากมรดกโลก ด้วยพฤติกรรมและท่าทีเช่นนี้ มันไม่ใช่แค่มีผลกระทบต่อมรดกโลกอีกหลายแห่งในประเทศไทย โอเค ไม่ต้องพึ่งยูเนสโก เราก็ทนุบำรุงของเราได้ แต่คำถามใหญ่คือ ประเทศไทยจะอยู่ในสังคมโลกต่อไปอย่างไร จะมองหน้าอารยชนเขาได้อย่างไร (กระทรวงต่างประเทศเข้าใจดี เขาจึงไม้เห็นด้วยที่จะให้ถอน สังเกตดูสิ แม้แต่กษิต ภิรมย์ ปกติจะออกแอคชั่นคุยโม้ คราวนี้กษิตเงียบกริบ)

นี่คือการ “วางยา” ไว้ให้รัฐบาลใหม่ ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ถอนตัวจากมรดกโลกก็เสียหาย เสียเครดิตในสังคมโลก ถ้าไม่ถอนตัว ก็จะโดนพรรคประชาธิปัตย์และพวกเสื้อเหลืองคลั่งชาติกล่าวหาว่าจะฮั้วกับฮุนเซ็น ขายชาติ ยกแผ่นดินให้เขมร

มันคือการทุบหม้อข้าว เอาทุกอย่างเข้าแลกในสงครามครั้งสุดท้าย ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ถ้ารักษาสัตย์ว่าไม่ถึง 170 จะลาออก) เพียงแต่ไม่ใช่ทุบหม้อข้าวตีเมืองจันท์ เพราะไม่ใช่หม้อข้าวของมันเอง เป็นหม้อข้าวของส่วนรวม เป็นผลประโยชน์ของประเทศ ที่ถูกเอามาใช้เป็นเครื่อง “วางยา”

ผมจึงข้องใจว่า ทำไมไม่มีนักข่าวถามอภิสิทธิ์ ถ้ากลับมาเป็นนายกฯ จะตัดสินใจอย่างไร ถอน หรือไม่ถอน เพราะอภิสิทธิ์เองก็ตอบไม่ได้ และผมเชื่อด้วยซ้ำว่าถ้าไม่ใช่อยู่ในช่วงเลือกตั้ง ถ้าไม่ใช่เห็นลางว่าจะแพ้ อภิสิทธิ์ก็คงไม่กล้าให้สุวิทย์ถอนตัว

สุวิทย์ถอนตัวโดยอ้างว่ากรรมการมรดกโลกไม่ฟัง ดึงดันจะเอาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารเข้าที่ประชุมให้ได้ แต่จดหมายของ ผอ.ยูเนสโกยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่ในวาระการประชุม รัฐบาลกลับเอามาเรื่องนี้มาตีปี๊บทำนองว่า ถ้าไม่ถอนตัว กรรมการมรดกโลกก้ไม่ถอนวาระ “มาร์คเย้ยฮุนเซนหน้าแตก”

โอ้ ใครที่ไม่มีหน้าเหลืออยู่ เรื่องแบบนี้หลอกได้แต่พวกคลั่งชาติหยิบมือในบ้านเรา หลอกชาวโลกเขาไม่ได้ กรรมการมรดกโลกอีก 20 ประเทสเขารู้ดี

ปันคีมูนก็คงรู้ดี เลขายูเอ็นจึงต้องออกมาแสดงความเป็นห่วงการเลือกตั้งในเมืองไทย เพราะมันเล่นกันถึงขนาดนี้ ชาวโลกเขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

อภิสิทธิ์กล่าวหาว่ารัฐบาลสมัครโดยนพดล ปัทมะ ทำให้เสียดินแดน ออกแถลงการณ์ร่วมยอมให้เขมรเอาปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียน ฟังเตช บุนนาค หน่อยสิครับ เตชยืนยันว่ารัฐบาลสมัครดำเนินการถูกต้องแล้ว รู้ไหมว่าเตชเป็นใคร สมัครไปขอตัวเตชมาจากไหน เพื่อพยายามจะมาระงับปัญหาระหว่างประเทศที่พันธมิตรจุดชนวน

นพดลผิดตรงไหนที่ขีดเส้นในแผนผัง บอกว่า 4.6 ตร.กม.ไม่ใช่ของเขมร เขมรมีสิทธิแต่ตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ที่รัฐบาลสฤษดิ์กั้นรั้วให้ตามมติ ครม.เมื่อปี 2504 ส่วนเขาจะเอาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก็เรื่องของเขา เพราะที่ตรงนั้นมันเป็นของเขา กรรมการมรดกโลกจะอนุมัติหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของกรรมการมรดกโลก

นพดลผิดตรงที่ไปยอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรไงครับ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกไดโนเสาร์ฝ่ายความมั่นคงแผ่นเสียงตกร่องมา 50 ปีว่าประสาทพระวิหารเป็นของไทย แม้ศาลโลกพิพากษาไปแล้ว ที่ดินข้างใต้ก็ยังเป็นของไทย

แล้วโทษที อภิสิทธิ์กล่าวหาว่านพดลทำให้เสียดินแดน เข้าข่ายหมิ่นประมาท เพราะแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่กล้าวินิจฉัยว่าเสียดินแดน แต่เปิดพจนานุกรมเลี่ยงไปใช้คำว่า “อาจจะ”

ส่วนคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่สั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับแถลงการณ์ร่วม ก็อย่าลืมว่าท่านอักขราทร จุฬารัตน์ อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด ถูกกล่าวหาว่าสั่งเปลี่ยนองค์คณะที่พิจารณาทบทวนเรื่องนี้ ท่านอักขราทรถูกกล่าวหาไปยัง ปปช.แต่ศาลปกครองไม่ยอมให้ ปปช.เข้ามาตรวจสอบ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ยอมให้ตรวจสอบ

 

                                                                                    ใบตองแห้ง

                                                                                    2 ก.ค.54

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น