โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คุกคึกคัก! กิจกรรม ‘ของขวัญสีแดง’ เยี่ยมนักโทษครึ่งร้อย ตกค้างเรือนจำกรุงเทพ

Posted: 25 Jul 2011 12:01 PM PDT

 25 ก.ค.54 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทนายจากสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์และทีมอาสาสมัคร จัดกิจกรรม “ของขวัญสีแดง แด่เพื่อนสีแดง” โดยเปิดรับบริจาคเพื่อนำเงินมาซื้ออาหารและของใช้ให้แก่ผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่ต้องหาคดีตั้งแต่หลังสลายการชุมนุมปีที่แล้ว ส่วนใหญ่มีความผิดในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคดีอื่นๆ สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง บางส่วนตัดสินคดีแล้ว บางส่วนยังอยู่ระหว่างพิจารณาคดี

ยุทธการ โสภัณนา ทนายจากสำนักราษฎรประสงค์ กล่าวว่า กิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากนายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ผู้ต้องขังโทษ 13 ปี คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นต้นคิด เริ่มเปิดรับการบริจาคไม่กี่วันก่อนหน้านี้ และมียอดบริจาคเกือบ 6 หมื่นบาท จากนั้นจึงนัดหมายกันทางเฟซบุ๊คเพื่อมาทำกิจกรรมเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทั้งหมดที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จำนวน 49 คน และผู้ต้องขังหญิงในทัณฑสถานหญิงจำนวน 4 คน ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่เรือนจำเป็นอย่างดีแม้ไม่ได้มีการประสานงานกันไว้ล่วงหน้าก็ตาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปร่วมกิจกรรมเข้าเยี่ยมนักโทษการเมืองในครั้งนี้เกือบ 50 คน โดยเดินทางมาจากในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงตั้งแต่เช้า และรอจนกระทั่งบ่ายจึงจะสามารถเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทั้งหมดได้ โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 20 นาที ยกเว้นนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เดินทางไปขึ้นศาล โดยบรรยากาศในการเข้าเยี่ยมเป็นไปอย่างคึกคัก หลายคนพูดคุยกับผู้ต้องขังแล้วพากันร้องไห้ นอกจากนี้ยังมีการซื้อของกินของใช้ให้ผู้ต้องขังทุกรายรายละ 1 ถุง มูลค่าประมาณ 600 บาทด้วย

ทั้งนี้ ผู้จัดงานมีกำหนดจะจัดกิจกรรมนี้อีกครั้งในเดือนหน้า  วันที่ 19 ส.ค.54

“ผมดีใจมาก ไม่คาดคิดมาก่อน ตอนแรกผมแค่เสนอว่าพี่น้องข้างในขาดสิ่งของเครื่องใช้อำนวยความสะดวก ขนม นม เนย อาหารแห้งนะ เราอยู่กันอย่างลำบากมาก ตอนแรกหวังเพียงว่าซื้อของซื้ออะไรเข้ามา นี่พาพี่น้องเสื้อแดงเข้ามาเยี่ยมกันข้างในได้ขนาดนี้ เกินคาดจริงๆ พวกผมดีใจมากๆ และขอบคุณแทนพวกเราทุกๆ คนที่อยู่ในนี้มากๆ ที่ทุกคนมากันในวันนี้ ถือว่าเป็นกำลังใจ ช่วยต่ออายุให้พวกผมที่ยังต้องติดคุกอยู่ข้างในอีกไม่รู้ถึงเมื่อไร กำลังใจที่พี่น้องเสื้อแดงมาเยี่ยมกัน สิ่งนี้เหมือนต่ออายุพวกเราได้จริงๆ” ธันย์ฐวุฒิกล่าวขณะออกมาพบปะกับผู้เข้าเยี่ยม

“เราคุยกันมานานแล้วว่า ควรจะมาเยี่ยมผู้ต้องขังอื่นๆ ที่ไม่ใช่แกนนำ เป็นคนธรรมดาที่ติดคุกเพราะออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเรียกร้องประชาธิปไตยด้วย แต่เราไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ไม่มีรายชื่อ และไม่รู้ด้วยว่ามีจำนวนมากขนาดนี้ พอมีคนจัดกิจกรรมครั้งนี้ก็รู้สึกดีใจมาก อยากจะมาอีก อยากเอารายชื่อไปกระจายให้คนอื่นๆ ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคนในนี้” สมศักดิ์ เปลี่ยนชื่น ชายวัย 60 กว่าปี ชาวจังหวัดฉะเชิงเทราที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมเยี่ยมผู้ต้องขังกล่าว

ทางด้านผู้ต้องขังบางรายที่ไม่เคยมีญาติมาเยี่ยม เช่น นายเพชร แสงมณี แรงงานชาวกัมพูชาที่โดนจับกุมในข้อหาวางเพลิงธนาคารกรุงเทพ สาขาพระโขนง และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี ได้กล่าวถึงความรู้สึกกับคนที่เข้าเยี่ยมว่า เขารู้สึกดีใจมาก เพราะไม่เคยมีใครมาเยี่ยม เมื่อเห็นคนเสื้อแดงมาเยี่ยมก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ตนเป็นแรงงานต่างด้าว ขาดแคลนทุกอย่าง และอยู่อย่างยากลำบากในเรือนจำ กิจกรรมในวันนี้ทำให้ตนมีกำลังใจขึ้นมาก

นายยุทิน สีหมาศ ผู้ต้องขังคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และลักทรัพย์ ถูกตัดสินโทษ 2 ปีกล่าวว่า อยากให้รัฐบาลใหม่ช่วยเรื่องความเป็นอยู่ เพราะญาติอยู่จังหวัดร้อยเอ็ดเดินทางมาเยี่ยมลำบากและนานๆ จะมาทีหนึ่ง นอกจากนี้ยังรู้สึกดีใจที่คนเสื้อแดงมาเยี่ยม และอยากให้มาอีกบ่อยๆ ส่วนนายนคร สังข์สุวรรณ ผู้ต้องขังคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต และรับของโจร ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 6 เดือน ระบุว่าหลังจากถูกคุมขังก็เป็นวัณโรค ซึ่งเป็นมาราว 1 ปีแล้ว ทางเรือนจำให้ยาแต่อาการดูเหมือนไม่ค่อยดีขึ้น เพราะไม่มีญาติมาเยี่ยม ทำให้ไม่ได้รับอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ สุขภาพเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตลอดเวลา เมื่อมีคนมาเยี่ยมจึงรู้สึกดีใจมาก ส่วนนายจ๋า จักราช ผู้ต้องขังคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ระบุว่าไม่เรียกร้องอะไร เพราะรัฐบาลก็ยังไม่สามารถจะเอาตัวรอดได้ ตนออกมาชุมนุมด้วยใจ และดีใจที่พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล อยากให้ได้เป็นรัฐบาลไปนานๆ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายแรงงานหนุน "นโยบาย300 บาท" แนะเลิกใช้แรงงานราคาถูก

Posted: 25 Jul 2011 11:52 AM PDT

(25 ก.ค.54) ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เครือข่ายองค์กรแรงงานเพื่อการปฏิรูประบบค่าจ้างเพื่อความเป็นธรรมในสังคม นำโดย ชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย แถลงท่าทีต่อนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทของพรรคเพื่อไทย โดยระบุสนับสนุนและเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยยืนหยัดในนโยบายดังกล่าวตามที่ได้หาเสียงไว้

นอกจากนี้ เครือข่ายองค์กรแรงงานฯ ระบุด้วยว่า เข้าใจในความกังวลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต่อผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามนโยบายนี้ ซึ่งควรจะร่วมหาแนวทางช่วยเหลือเยียวยาเป็นกรณีๆ ไป พร้อมชี้ว่าทั้งสององค์กรไม่ควรมองข้ามความทุกข์ยากของผู้ใช้แรงงานซึ่งมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเช่นกัน

เครือข่ายองค์กรแรงงานฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการพัฒนาประเทศจากการเน้นการเจริญเติบโตด้วยการส่งเสริมปกป้องอุตสาหกรรมส่งออกที่อาศัยการใช้แรงงานเข้มข้นราคาถูก มาสู่นโยบายการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยใช้ค่าจ้างที่เป็นธรรมเป็นเครื่องมือ ซึ่งจะทำให้ไทยสร้างอำนาจซื้อและตลาดภายในให้เข้มแข็ง ส่งผลต่อความมีเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเกิดการกระจายรายได้และความเป็นธรรมทางสังคม

ทั้งนี้ เพื่อให้การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและการกำหนดค่าจ้างแรงงานในสถานประกอบการโดยทั่วไปในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีเหตุผลและสามารถสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เครือข่ายองค์กรแรงงานฯ เสนอให้มีการปฏิรูประบบการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ โดยเปลี่ยนนิยามของคำว่า "ค่าจ้างขั้นต่ำ" ใหม่ ให้หมายถึงค่าจ้างสำหรับลูกจ้างไร้ฝีมือแรกเข้าทำงาน 1 ปีแรก ซึ่งสามารถครองชีพได้เพียงพอสำหรับตนเองและครอบครัวอีกสองคน

รวมถึงยกเลิกอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำประจำจังหวัด ซึ่งเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และความไม่เป็นธรรมในสังคม ในอนาคตควรจัดให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเปอร์เซ็นต์อัตราเดียวเท่ากันทั้งประเทศ หรือตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นประจำทุกปี ปฏิรูประบบเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้าง-ลูกจ้าง ให้โปร่งใสและสะท้อนความเป็นตัวแทนของคนงาน ตกลงร่วมกันให้ชัดว่าจะใช้ตัวเลขอะไรจากแหล่งไหนเป็นตัวชี้ขาดโดยไม่ต้องต่อรองว่าต้องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเท่าไร และปรับปรุงโครงสร้างการบริหารกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ให้มีคณะกรรมการประจำ เพื่อศึกษาพิจารณาข้อมูลประกอบการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการปรับค่าจ้างประจำปีในสถานประกอบการ เสนอให้รัฐออกกฎหมายกำหนดให้สถานประกอบการต้องปรับค่าจ้างเป็นประจำทุกปี โดยรัฐต้องเร่งส่งเสริมระบบการเจรจาต่อรองทำข้อตกลงร่วมระหว่างสหภาพแรงงานกับนายจ้าง ยกเลิกการจ้างงานที่จ่ายค่าจ้างเป็นรายวัน รายชั่วโมงหรือรายผลงาน ให้รัฐเร่งให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 และ 98 ว่าด้วยสิทธิการรวมตัวและเจรจาต่อรอง

นอกจากนี้ เครือข่ายองค์กรแรงงานฯ ได้เสนอว่า รัฐบาลควรจัดตั้งคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้แทนทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคแรงงาน นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ร่วมทำงานเพื่อหาแนวทางดำเนินการให้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเป็นจริงและช่วยกันคิดค้นเพื่อนำสู่การปฏิรูประบบการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและการกำหนดค่าจ้างแรงงานให้มีประสิทธิภาพและความเป็นธรรมยิ่งขึ้น

 

อนึ่ง เครือข่ายองค์กรแรงงานเพื่อการปฏิรูประบบค่าจ้างเพื่อความเป็นธรรมในสังคม ประกอบด้วยองค์กรแรงงานระดับสภาองค์การลูกจ้าง องค์กรแรงงานระดับสหพันธ์แรงงาน กลุ่มสหภาพแรงงานย่านอุตสาหกรรมต่างๆ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงาน
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ยืนยัน ไทยต้องชำระค่าชดเชยตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ

Posted: 25 Jul 2011 11:10 AM PDT

สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ยืนยัน คำตัดสินของศาลเป็นอันสิ้นสุด และจะไม่มีการสืบพยานใดๆอีกที่จะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินดังกล่าว วอนประเทศไทยชำระเงินที่ค้างไว้เพื่อคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการ “ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมันและจากประเทศอื่นๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย”

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก “เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่าการบังคับคดีในเรื่องนี้สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลลานด์ชูตใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะโบอิ้ง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินลำดังกล่าวออกมา ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนทากของเยอรมนีรายงานคำพูดของแวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นคู่พิพาทกับรัฐบาลไทย ว่า “เรากำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยด้วย” ทำให้วานนี้ (25 ก.ค.) ทางรัฐบาลไทย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาปฏิเสธการดำเนินการดังกล่าวจากทางเยอรมัน และกล่าวว่า และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และคดีทั้งหมดเป็นเรื่องของบริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งมีข้อมูลที่จะใช้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทนี้ต่อไปด้วย
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อัยการสั่งฟ้อง ‘สมยศ’ ศาลนัดพร้อม 12 ก.ย.

Posted: 25 Jul 2011 10:32 AM PDT

25 ก.ค.54 ที่ศาลอาญา รัชดา พนักงานอัยการ สำนักงานอยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นคำฟ้องต่อศาล คดีที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นจำเลยในคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2962/2554 และศาลได้เรียกตัวนายสมยศ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมารับฟังคำฟ้อง และมีการนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐาน นัดหมายสืบพยานในวันที่ 12 ก.ย.54

ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า จำเลยได้กระทำความผิดสองกรรม คือ เมื่อวันที่ 15 ก.พ.53 จำเลยทำความผิดตามกล่าวหา โดยการจัดพิมพ์ จำหน่ายและเผยแพร่นิตรยสาร VOICE OF TAKSIN: เสียงทักษิณ ปีที่1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลักกุมภาพันธ์ 2553 บทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่อง แผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น อีกกรรมหนึ่งคือ เมื่อวันที่  1 มี.ค.53 จำเลยทำความผิดตามกล่าวหา โดยการจัดพิมพ์ จำหน่ายและเผยแพร่นิตยสารฉบับเดียวกัน ในฉบับที่ 16 บทความของผู้เขียนคนเดิม เรื่อง 6 ตุลา แห่ง พ.ศ.2553 จึงส่งฟ้องต่อศาลตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91, 112 พระราชบัญญิแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (25 ก.ค.) มีผู้เดินทางมาให้กำลังใจนายสมยศบริเวณที่คุมขังใต้ถุนศาลอาญาจำนวนมาก โดยนายสมยศในชุดนักโทษพร้อมตรวนได้ตะโกนพูดคุยกับผู้คนที่มาให้กำลังใจพร้อมระบุว่าเขายังคาดหวังว่าตนและนักโทษทางการเมืองจะได้รับสิทธิในการประกันตัวเพื่อออกไปสู้คดีอย่างเป็นธรรม แม้ว่าที่ผ่านมาจะยื่นประกันตัวไปแล้วถึง 3 ครั้งและได้รับการปฏิเสธทั้งหมด นอกจากนี้น้ำหนักตัวของเขายังลดลง 7 กิโลกรัมเนื่องจากสภาพยากลำบากในเรือนจำ ซึงเขาเห็นว่ารัฐควรปรับปรุงให้นักโทษมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนเชียงดาวโวย เมื่อรัฐผุดโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน (2)

Posted: 25 Jul 2011 10:01 AM PDT

 

คนเชียงดาวโวย เมื่อรัฐผุดโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน (2)

 

กว่าจะมาเป็นชุมชนบ้านโป่งอาง

เดิมทีนั้น ชุมชนแห่งนี้เคยเป็นชุมชนของชนชาวไทยใหญ่ ดินแดนแห่งนี้จึงถูกเรียกขานกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่า โป่งอาง เป็นชื่อที่เรียกตามชื่อของโป่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณฟากขวามือทางเข้าหมู่บ้าน จะมองเห็นโป่ง มีลักษณะภูผาสีแดงรูปร่างสีสันแปลกตา ชาวไทยใหญ่ จึงเรียกกันว่า อาง ซึ่งหมายถึงยันต์ เนื่องจากดูคล้ายผ้ายันต์นั่นเอง ลักษณะดังกล่าวอาจเกิดจากการผกผันทางธรรมชาติที่อยู่ใต้ผิวดิน ที่ทำให้บริเวณดังกล่าว มีความร้อน และเกิดขึ้นมาในลักษณะของโป่ง

ดังนั้น คำว่า โป่ง รวมกับคำว่า อาง (เป็นภาษาไทยใหญ่) จึงกลายเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านโป่งอาง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

จตุกร กาบบัว ผู้ใหญ่บ้านโป่งอาง บอกว่า หมู่บ้านโป่งอาง เป็นชุมชนที่มีทั้งชาวไทยพื้นราบ ชาวไทยใหญ่ และชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง มีการตั้งรกรากถิ่นฐานมานับร้อยปี

“จากประวัติ บอกว่า สมัยก่อนมีพ่ออุ้ยพรมมา จองจาย และพ่ออุ้ยพรมมา พรมทอง ซึ่งเป็นผู้เฒ่าไทยใหญ่ได้เข้ามาบุกเบิกและอาศัยอยู่มา เพราะเห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีน้ำปิงไหลผ่าน”

หากใครมีโอกาสมาเยือนหมู่บ้านโป่งอาง ก็จะเห็นสภาพพื้นที่ตั้งของชุมชนแห่งนี้ ว่าคนในอดีตนั้นเข้าใจและมองการณ์ไกล เพราะทำเลที่ตั้งนั้นอยู่ในหุบเขา และมีแม่น้ำปิงไหลผ่าน จึงเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชน ที่จะต้องอาศัยและพึ่งพาระบบนิเวศน์จาก ดิน น้ำ ป่าไม้อย่างสัมพันธ์กันและกัน

นอกจากนั้น ยังถือว่าเป็นหมู่บ้านแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตลุ่มน้ำห้วยหก ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาย่อยของแม่น้ำปิงตอนบน อันเกิดจากแนวเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนรอยต่อระหว่างเทือกเขาดอยปุกผักกา แนวเขตบ้านโป่งอาง และบ้านแกน้อย ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ลำน้ำห้วยหกได้ไหลลงสู่แม่น้ำปิงทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน

 

คนเชียงดาวโวย เมื่อรัฐผุดโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน (2)

คนเชียงดาวโวย เมื่อรัฐผุดโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน (2)

จตุกร กาบบัว
ผู้ใหญ่บ้านบ้านโป่งอาง

 

ความสำคัญของโป่งอาง เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ คือความสมดุลแบบพึ่งพาและยั่งยืน

จากการสำรวจ พบว่า พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยหก มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 27,500 ไร่ ซึ่งเป็นผืนป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของพรรณพืช พันธุ์สัตว์นานาชนิด เนื่องจากสภาพพื้นที่ป่าเป็นบริเวณป่าต้นน้ำ เป็นลักษณะป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณตามลำดับชั้นของป่า

ส่วนพื้นที่ป่าบริเวณรอบๆ หมู่บ้านจะเป็นป่าโปร่งที่มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ขึ้นประปราย อาทิเช่น ไม้เต็ง รัง ประดู่ ไม้สัก กล้วยป่า ไผ่ พืชสมุนไพร เห็ดชนิดต่างๆ นอกจากนั้น ผืนป่าแห่งนี้ยังอุดมไปด้วยสัตว์ป่าหลากหลาย อาทิเช่น หมูป่า ไก่ป่า กระต่าย กระรอก และงูชนิดต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกื้อกูลกันทางระบบนิเวศวิทยาของคนกับป่าที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลเลยทีเดียว

“เรื่องอาหารการกินจากป่า จากแม่น้ำปิงของคนที่นี่มีให้กินเหลือเฟือตลอดปี ที่ขึ้นชื่อที่สุด ก็คือ อี่โอ๋น หรือลูกอ๊อด ตัวอ้วนใหญ่มาก ที่ชาวบ้านโป่งอางจะลงไปช้อนเอาในลำน้ำปิง ในช่วงเดือน พ.ย.-ม.ค.ของทุกปี กลายเป็นอาหาร เป็นอาชีพเสริมได้เลยหละ” ผู้ใหญ่บ้านโป่งอาง บอกเล่า

ว่ากันว่า ‘อี่โอ๋น’ หรือลูกอ๊อดกบแม่น้ำปิง นั้นเป็นที่รู้จักเลื่องลือไปทั่วอำเภอเชียงดาว ถึงขั้นมีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามารับซื้อถึงภายในหมู่บ้านเลยทีเดียว

“ลองคิดคำนวณกันง่ายๆ อี่โอ๋น ขายกิโลละ 140 บาท วันหนึ่ง ชาวบ้านหาอี่โอ๋นได้รวมกัน 30 กิโลต่อวัน เดือนหนึ่งคิดเป็นจำนวนเท่าไร สามเดือนจะได้ทั้งหมดเท่าไร”

เพียงแค่ อี่โอ๋น สำหรับชาวบ้านนั้นหมายถึงอาหาร และรายได้เสริมให้กับครอบครัวแล้ว อี่โอ๋น ยังบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บ้านโป่งอางได้เป็นอย่างดี

เมื่อพูดถึงผืนป่าบริเวณบ้านโป่งอาง ซึ่งมีการแบ่งโซนเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าป่าชุมชน ป่าใช้สอย และป่าต้นน้ำ อันเป็นหัวใจสำคัญของคนอยู่กับป่า ที่จะต้องช่วยกันรักษาเอาไว้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป

“พูดได้เลยว่า ในพื้นที่ตำบลเมืองนะ นี้ ผืนป่าโป่งอางนี้มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว” จตุกร กาบบัว ผู้ใหญ่บ้านโป่งอาง ยืนยัน

จู่ๆ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่น้ำปิงตอนบน ของกรมชลประทาน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเขื่อนกั้นแม่น้ำปิง ก็รุกเข้ามาโดยไม่ได้ชี้แจงบอกอธิบายความจริงอย่างชัดแจ้ง หากยังคงเดินหน้าเข้ามาเงียบๆ และปกปิดอำพรางมาหลายครั้งติดต่อกัน

ผู้ใหญ่บ้านโป่งอาง เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้น ได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ปิง 3 ครั้งที่ผ่านมา ครั้งที่ 1 เดือนมกราคม 2554 ครั้งที่ 2 วันที่ 5 เมษายน 2554 และครั้งที่ 3 วันที่ 24 มีนาคม 2554

“แต่ละครั้ง เจ้าหน้าที่เขาไม่ได้เอ่ยถึงว่าจะมาสร้างเขื่อน แต่จะสอบถามเรื่องการทำการเกษตร การใช้น้ำ ซึ่งเราก็บอกไปว่า ในหมู่บ้านเรามีฝายชลประทานอยู่แล้ว แต่มีปัญหาเรื่องดินตะกอนในหน้าฝาย ทำให้เก็บน้ำได้น้อย ถ้าเป็นไปได้อยากให้ขุดลอกเท่านั้น นอกจากนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจสัตว์ในแม่น้ำแล้วก็กลับออกไป”

 

คนเชียงดาวโวย เมื่อรัฐผุดโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน (2)

คนเชียงดาวโวย เมื่อรัฐผุดโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำปิงตอนบน (2)

สิงห์คำ เขื่อนเพชร
ชาวบ้านโป่งอาง และเป็นสมาชิกเทศบาลตำบลเมืองนะ

 

ความแตก! เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสุขภาพ ถามชาวบ้านเรื่องเวนคืน อพยพหมู่บ้าน!?

“ชาวบ้านมาเริ่มเอะใจ ผิดสังเกตก็ตอนที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสุขภาพคนในหมู่บ้าน ตรวจไปตรวจมา แล้วจู่ๆ ก็ถามชาวบ้านว่า สมมุติถ้ามีการเวนคืนที่ ชาวบ้านจะพร้อมยินยอมอพยพออกไปหรือไม่ ทุกคนก็ตกใจว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการตรวจสุขภาพอย่างใดเลย ก็เริ่มตื่นตัว จับกลุ่มคุยกันและมารู้ตอนหลังว่า พวกเขาจะมาสร้างเขื่อนที่นี่” สิงห์คำ เขื่อนเพชร ชาวบ้านโป่งอาง และเป็นสมาชิกเทศบาลตำบลเมืองนะ บอกเล่าให้ฟังถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการของรัฐ

ชาวบ้านจึงตื่นรู้ว่า แท้จริงแล้ว กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการเข้ามาทำการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปิงตอนบน อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยเบื้องต้น ทางคณะศึกษาฯร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ

ซึ่งเมื่อชาวบ้านศึกษาข้อมูล โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปิงตอนบน แล้ว ทุกคนไม่เชื่อว่านี่คืออ่างเก็บน้ำ หากมันคือ เขื่อน เพราะมีความสูงถึง 62.5 เมตร ความจุ 50 ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่าตึกสูง 20 ชั้น

เมื่อเดินสำรวจดูพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ได้ปักหมายเขตก่อสร้างโครงการแล้ว จึงพบว่า พื้นที่ดังกล่าว ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก โดยมีแม่น้ำปิงไหลผ่านตรงกลาง แน่นอนว่า หากมีการก่อสร้างจริง แม่น้ำปิงต้องเปลี่ยนทิศ และภูเขา ผืนป่าหลายหมื่นไร่จะถูกน้ำเอ่อล้นท่วมและจมไปอยู่ใต้น้ำในที่สุด

จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมากมายขนาดไหน?! แล้ววิถีชุมชน วิถีชีวิตของคนบ้านโป่งอางจะเป็นเช่นไร?! เมื่อเขื่อนกั้นแม่น้ำปิง ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนเพียง 1 กิโลเมตร!!

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

Posted: 25 Jul 2011 09:26 AM PDT

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเพื่อไทย หรือประชาธิปัตย์ คุณก็อยู่ในระดับของคนชั้นนำของประเทศ คุณไม่ใช่คนระดับกลาง ล่าง หรือรากหญ้า ถึงแม้ว่าคุณจะพูดแทนคนรากหญ้า คุณก็ไม่ใช่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะเกี๊ยะ เซี๊ยะกัน แต่การเกี๊ยะเซี๊ยะกันข้างบนนี้ จะใช้ได้หรือไม่ สำหรับสังคมโดยรวม และเป็นที่ยอมรับของคนข้างล่างได้หรือไม่ เพราะสังคมไทย เปลี่ยนไป และไปไกลมากแล้ว

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ: 'นิรโทษกรรม-เกี๊ยะเซียะ'

สุรีรัตน์ ตรีมรรคา: นโยบายด้านสังคมที่จำเป็นในรัฐบาลใหม่

Posted: 25 Jul 2011 09:08 AM PDT

การได้รัฐบาลใหม่เป็นความหวังของประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งทางตรง ในขณะที่ความตื่นตัวในการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประชาชนเองก็แสดงออกด้วยการเฝ้าจับตามองนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ รวมทั้งการเป็นนายกรัฐมนตรี การมีรัฐมนตรีในกระทรวงที่ขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเมือง และด้านสังคม

แต่สิ่งที่สื่อกระแสหลักเฝ้าติดตามกันทุกวันเกี่ยวกับนโยบายด้านสังคมมีเพียงเรื่องเดียวคือ “คุณภาพชีวิตแรงงาน” และเพียงเสี้ยวเดียวของการดำรงชีวิตคือ “ค่าแรงวันละ 300 บาท” แม้จะได้ค่าแรงวันละ 300 บาทก็ไม่ทำให้ชีวิตแรงงานมีคุณภาพขึ้นมาได้ เนื่องจากยังไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และรายจ่ายได้ ค่าแรงที่ได้พอแค่มีอาหารกิน มีที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายเพื่อมีชีวิตรอดได้ในแต่ละเดือน ไม่สามารถพูดถึงการได้รับโอกาสอื่นๆ การเลี้ยงดูลูกให้ได้รับการศึกษาเพื่อยกระดับฐานะ การพักผ่อนหย่อนใจ การมีสุนทรียในการดำรงชีวิต การมีความมั่นคงในชีวิตยามแก่ชรา การมีหลักประกันเรื่องที่อยู่อาศัยของตนเองที่เหมาะสม มีหลักประกันรายได้พื้นฐานของประชาชนทุกคน
 
พรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลใหม่ควรมีนโยบายด้านสังคมที่เป็นหลักประกันการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนและให้ความสำคัญเท่าเทียมกับนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้อย่างแท้จริง
 
นโยบายรัฐสวัสดิการ เป็นนโยบายที่สำคัญในการสร้างมาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม เป็นธรรม นโยบายพื้นฐานเเกี่ยวกับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วคือ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ   ระบบหลักประกันการศึกษา ระบบบำนาญชราภาพ เพียงแต่รัฐบาลใหม่หรือพรรคเพื่อไทยจะส่งเสริมและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น
 
อย่าหลงทาง กลับหลังหันเรื่องรื้อฟื้น “30 บาทรักษาทุกโรค “ ในขณะที่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยควรทำ คือต่อยอดความสำเร็จที่ตนเองได้สร้างขึ้นมาแล้วกับโครงการ 30 บาทที่ได้กลายเป็น “ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” มีกฎหมายรองรับและได้พิสูจน์ว่า ประเทศไทยจัดระบบรัฐสวัสดิการได้จริง ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนได้ เพราะลดการเป็นหนี้สิน ลดการล้มละลายของประชาชนจากการต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ (ดูงานวิจัยของ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ทีดีอาร์ไอ)
นั่นคือ ต้องรวมระบบหลักประกันสุขภาพที่มีหลายระบบให้เป็นระบบเดียว โดยเฉพาะระหว่าง สิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลของแรงงานที่เป็นลูกจ้างในกฎหมายประกันสังคม กับระบบบัตรทอง (ไม่ต้องจ่าย 30 บาทที่หน่วยบริการ เพราะประชาชนจ่ายเป็นภาษีทางตรงทางอ้อมแล้ว) และการรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายของข้าราชการ และค่อยๆ ปรับนิสัยความฟุ่มเฟือยในการรักษาของทั้งตัวข้าราชการและหมอให้อยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช่ยอมเป็นหนูทดลองยาใหม่ๆ ยาที่ถอนทะเบียนออกจากตลาดแล้วก็ยังดื้อใช้กันอยู่ ยาที่ไม่ใช่ยาและมีผลข้างเคียงสูง ทำให้ประเทศชาติสูญเสียเงินไปมหาศาล (กรณีกลูโคซามีน[1])
 
สิ่งที่นโยบายรัฐบาลต้องระบุไว้คือ “การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้เป็นระบบที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพระบบเดียวกันทั้งประเทศ” มากกว่าจะมาพูดว่า จะเก็บเงิน 30 บาท เนื่องจากการคำนวนการเก็บเงิน 30 บาทตามเดิมนั้น มีข้อยกเว้นคือ คนแก่อายุ 60 ปีขึ้นไปไม่ต้องจ่าย คนจน คนพิการ ก็ไม่ต้องจ่าย เอาเข้าจริงที่สถานีอนามัยแห่งหนึ่งๆ ในชุมชน รักษาคนวันละ 30 คน อาจได้เงินจากคนไม่ถึง 10 คน/วัน ไม่ควรเสียเวลามาคอยจัดว่า ใครคือคนจน ใครคือคนควรได้รับการสงเคราะห์ แต่ควรใช้ภาษีประชาชนทั้งหมดในการจัดระบบหลักประกันสุขภาพอย่างสมศักดิ์ศรีไม่ดีกว่าหรือ รวมทั้งขยายผลการคุ้มครองสิทธิประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการับบริการสาธารณสุขให้ได้รับการชดเชย
ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ การทำธุรกิจโรงพยาบาล ก็ต้องแสดงให้เห็นความรับผิดชอบและโปร่งใสต่อสังคมด้วย (Accountability) การคืนกำไรให้สังคมโดยการจัดตั้ง “กองทุนชดเชยความเสียหายแก่ผู้รับบริการสาธารณสุข” ที่ร่างกฎหมายกำลังรอการรับรองจากรัฐสภา ซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญของรัฐบาลใหม่
 
นโยบายหลักประกันทางการศึกษา ควรเป็นอีกนโยบายด้านรัฐสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นั่นคือประชาชนแต่แรกเกิดได้รับหลักประกันว่า จะได้เข้าถึงการศึกษาทุกคน แม้รัฐธรรมนูญจะประกันว่า ต้องได้รับการศึกษาฟรี 12 ปี แต่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการขยายผลให้ครอบคลุมตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาตรี ปรับโครงการกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เป็นกองทุนหลักประกันการเข้าถึงการศึกษา แก้ไขระบบดอกเบี้ย ระบบการใช้คืนกองทุน กยศ.ให้มีความเป็นธรรม เป็นไปได้จริง ไม่ต้องมีการมาฟ้องร้องทวงหนี้นักศึกษาที่เรียนจบแล้ว แต่ยังมีงานทำไม่มั่นคง มีรายได้ไม่ถึงแม้แต่การเสียภาษีรายได้ แต่ต้องมาใช้หนี้กองทุนพร้อมดอกเบี้ย รัฐบาลใหม่จึงต้องอาศัยความกล้าหาญในการจัดทำนโยบายรัฐบาลที่มุ่งมั่นเอาจริงในเรื่องนี้
 
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเรื่อง “โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต” และ นโยบาย “ปรับหนี้ กยศ.” ที่ควรเสนอเป็นนโยบายรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจน มีแผนการดำเนินการเป็นขั้นตอนให้เห็นๆ จะได้เป็นเสาหลักของนโยบายด้านสังคมต่อไป
 
นโยบายหลักประกันชราภาพพื้นฐาน ควรเป็นนโยบายที่เป็นธงนำของรัฐบาลใหม่ชุดนี้ เพราะจะเป็นการสร้างหลักประกันสำหรับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม เป็นธรรม อีกครั้งหนึ่งที่จะกล้าทำ กล้าลงทุน เพราะจะแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลใหม่มุ่งมั่นเอาจริงในการคิดใหม่อีกครั้งที่จะไปไกลกว่านโยบายสงเคราะห์เบี้ยยังชีพคนชราที่พรรคที่เคยเป็นรัฐบาลก่อนหน้าทำไว้ ไม่ต้องเหนียมอายที่จะต่อยอดการจ่ายเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญชราภาพพื้นฐาน และยกระดับจาก 500 บาทต่อเดือน เป็นไม่น้อยกว่าเส้นความยากจน มีกฎหมายบำนาญชราภาพพื้นฐานรองรับ เพื่อให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับบำนาญพื้นฐานทันที ซึ่งจะเป็นผลดีต่อคนจนที่เป็นผู้สูงอายุในปัจจุบัน ไม่ใช่ให้ออมเงินวันละบาทสองบาท เพื่อจะได้บำนาญในอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า และในจำนวนที่น้อยจนน่าใจหาย แต่ควรเป็นนโยบายทันที เพราะจะพิสูจน์ว่า รัฐบาลใหม่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทันทีเช่นกัน
 
การกล้าจะมีนโยบายด้านภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ภาษีในตลาดหุ้น  เพื่อมาใช้ในการจัดรัฐสวัสดิการ เพื่อการกระจายรายได้ การลดช่องว่าง ทั้งนี้ การจัดบำนาญชราภาพพื้นฐานทันที จะทำให้คนจนมีรายได้เป็นเงินสดหมุนเวียนในแต่ละเดือน สามารถจ่ายดำรงชีวิตและเป็นเงินออมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ ทั้งของตนเองและคนในครอบครัวได้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ควรทบทวนและพิจารณากฎหมายการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้มีความเหมาะสมในการสมทบของรัฐบาลที่ใช้กระตุ้นให้คนพร้อมจะออมในแต่ละเดือนตามสัดส่วนการออมของแต่ละคนด้วย เพื่อให้บำนาญจากการออมในอนาคต มีจำนวนที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต
 
ทั้งนี้ ระบบบำนาญชราภาพพื้นฐานเป็นของประชาชนทุกคน สำหรับคนที่เป็นข้าราชการ คนที่อยู่ในกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบข.) คนที่อยู่ในกองทุนบำนาญชราภาพของประกันสังคม ก็ยังได้รับบำนาญในส่วนนั้นด้วยเหมือนเดิม ต่อยอดจากบำนาญพื้นฐานดังกล่าว สำหรับคนจนที่ไม่เป็นข้าราชการ ไม่อยู่ในประกันสังคม อย่างน้อยก็ได้บำนาญชราภาพพื้นฐานรายเดือนไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ที่อาจมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนได้ทุกๆ 3 ปี 5 ปี
 
รัฐบาลใหม่ควรมีชุดนโยบายด้านสังคมที่ครอบคลุม ไม่ใช่เน้นเรื่องค่าแรงวันละ 300 บาท แต่ไม่ลดความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆ ควรเพิ่มสวัสดิการที่สำคัญอย่างน้อย 3 เรื่อง คือหลักประกันสุขภาพ หลักประกันการเข้าถึงการศึกษา และหลักประกันชราภาพพื้นฐาน เพื่อให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรม บริการ การเกษตร และพลเมืองทุกคน ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเท่าเทียมกันที่มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อลดรายจ่ายและใช้รายได้เพื่อคุณภาพชีวิตได้อย่างแท้จริง
 

 


[1] http://www.hisro.or.th/csmbs/download/Glucosamine.pdf
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประวิตร โรจนพฤกษ์: สถานการณ์ที่หม่นหมองของสื่อมวลชน

Posted: 25 Jul 2011 08:50 AM PDT

เมื่อนักรณรงค์ทางด้านเสรีภาพในการแสดงออก และนักข่าวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ มารวมตัวกันในเมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซียเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ละคนต่างก็มีเรื่องราวอันสำคัญจะบอกให้โลกได้รับรู้

ในพม่า นักข่าววีดีโอ 17 คน ถูกคุมขังเดี่ยวและทรมาน ในฟิลิปปินส์ มีนักข่าวมากกว่า 121 คนถูกสังหารตั้งแต่ปี 2529 และจนปัจจุบัน มีเพียงสิบคดีเท่านั้นที่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ ในอินโดนีเซีย เกิดเหตุการณ์ที่กลุ่มศาสนานิยมหัวรุนแรง โจมตีนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน เนื่องด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรักร่วมเพศ ศาสนา และสิทธิของชนพื้นเมือง โดยตำรวจอินโดนีเซียถูกกล่าวหาว่ามี “ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด” กับกลุ่มที่ก่อการโจมตี

ในมาเลเซีย สื่อถูกสั่งห้ามล้อเลียนและวิจารณ์ศาล ในขณะที่กลุ่มสตรีมุสลิมที่ต่อสู้เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ กลับถูกตราหน้าว่าเป็นพวกบ่อนทำลายล้างศาสนาอิสลาม ในสิงคโปร์ ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในประเทศ ที่สามารถประท้วงได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาล และในประเทศไทย ไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอนเกี่ยวกับสิทธิของผู้ต้องขังในกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และคำถามที่ว่าพวกเขาควรถูกจัดให้เป็นนักโทษการเมืองหรือไม่ นอกจากนี้ ข้อหาที่เขาใช้จับกุมก็มีความคลุมเครือมาก

แฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก กล่าวต่อที่ประชุมว่า เมื่อเป็นเรื่องของการสื่อสารแล้ว “การควบคุมไม่เคยทำได้สำเร็จ” หากแต่นักข่าว และนักรณรงค์เพื่อเสรีภาพในการแสดงออกยังคงถูกจำคุก ทำร้าย แม้แต่สังหาร

การสัมมนาดังกล่าว กลายเป็นเวทีรวมตัวสำหรับผู้ที่มองว่าเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศตนเองถูกจำกัดอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ เวทีดักล่าวจัดโดยฟอรั่ม เอเชีย ซึ่งเป็นเอ็นจีโอระดับภูมิภาค ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และพันธมิตรเพื่อสื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Press Alliance - SEAPA) ร่วมกับมหาวิทยาลัยพารามาดินาในจาการ์ตา และอื่นๆ

“ในพม่า ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกเลยแม้แต่น้อย และความจริงมีอยู่เพียงชุดเดียวเท่านั้น” Toe Zaw Tatt กล่าว เขาเป็นหัวหน้าของสถานี เดโมคราติก วอยซ์ ออฟ เบอร์ม่า ผู้ซึ่งขณะนี้ลี้ภัยและอาศัยอยู่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ เมลินดา ควินโต เดอ จีซัส ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อเสรีภาพสื่อและความรับผิดชอบ (Centre for Media Freedom and Responsibility) ในกรุงมะนิลา กล่าวว่า ความล้มเหลวของการไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดในการสังหารนักข่าวฟิลิปปินส์ “อาจเป็นสาเหตุมาจากสภาวะความไร้ขื่อแปของกฎหมายทีดำรงอยู่ในประเทศ”

ในมาเลเซีย สตรีบางคนที่พยายามจะเปลี่ยนแปลง “มโนทัศน์ของสตรีมุสลิม” กลับถูกทำให้เงียบงัน ยาสมิน มาสิดี กล่าว เธอเป็นผู้จัดการการสื่อสารของกลุ่ม “Sisters in Islam” ซึ่งเป็นกลุ่มสตรีที่ทำงานร่วมกันเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ มาซีดีกล่าวว่าสตรีมุสลิมบางคน ยังถูกส่งไปยัง “ค่ายบำบัด” เนื่องจากประพฤติตนไม่เหมาะสมตามหลักและอัตลักษณ์ของศาสนาอิสลาม

กลุ่มดังกล่าวได้ผลิตหนังสือเล่มเล็กที่ชื่อว่า “ผู้หญิงและผู้ชายเท่าเทียมกันต่อหน้าพระอัลเลาะห์หรือไม่” และถูกทางการมาเลเซียสั่งห้าม โดยมาซีดีกล่าวว่าเป็นเพราะ หนังสือดังกล่าว “ทำให้สตรีมุสลิมเกิดความสับสน โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีความเชื่อศาสนาที่ไม่ลึกมากนัก”

ในประเทศไทย นักรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ สุภิญญา กลางณรงค์ ขึ้นพูดในฐานะตัวแทนของเครือข่ายพลเมืองเน็ต และเสนอว่าถึงแม้สื่อไทยจะถูกทำให้เซ็นเซอร์อย่างเป็นระบบ แต่โซเชียลมีเดียอย่างเช่นทวิตเตอร์และบล็อก ถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ท้าทายสื่อแบบเก่าที่ทำตัวเป็นผู้ควบคุมข้อมูลข่าวสาร และผู้เขียน ในฐานะผู้พูดคนที่สองจากประเทศไทย ได้กล่าวถึงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ทำให้การพูดคุยเรื่องสถาบันกษัตริย์เป็นไม่ได้ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นภัยต่ออนาคตของสังคมและประชาธิปไตยไทยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การจับกุมด้วยกฎหมายดังกล่าวน่าจะยังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนอย่างน้อย 11 คนที่ถูกจับกุมด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในเรือนจำที่กรุงเทพฯ แล้วก็ตาม นอกจากนี้ ความกลัวในหมู่ฝ่ายนิยมสถาบันฯ ก็ยังเพิ่มขึ้นรื่อยๆ เนื่องมาจากพระชนมพรรษาที่มากขึ้น และสุขภาพที่เปราะบางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในการประชุมเชิงปฏิบัติการระยะเวลาสองวันนี้ ยังมีเรื่องราวจากเนปาล ปากีสถาน บังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ที่เสริมเข้ามาในบรรยากาศที่น่าหดหู่ เช่น ปากีสถานกลายเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในโลกสำหรับนักข่าว โดยในระยะหกเดือนที่ผ่านมา มีนักข่าวถูกสังหารไปแล้ว 7 ราย และจนปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ต่อกรณีดังกล่าว

แฟรงค์ ลา รู ผู้ซึ่งท่วมท้นไปด้วยการร้องขอเสรีภาพและความช่วยเหลือ กล่าวและเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันต่อสู้ และในประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย เขากล่าวว่า “นี่เป็นกฎหมายที่เราจะต้องวิพากษ์วิจารณ์และประณาม” และคนที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ “ควรจะต้องถูกนับเป็นนักโทษการเมือง” ลา รู กล่าว และเสริมด้วยว่า ทางสหประชาชาติ จะออกแถลงการณ์ว่าด้วยกฎหมายดังกล่าวในเร็วๆ นี้

ลารู ยังกล่าวให้คนทั่วไประลึกด้วยว่า ในระบบประชาธิปไตย “สาธารณะชนต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจว่าเขาอยากอ่านอะไร และไม่อ่านอะไร ไม่ใช่รัฐบาล เพราะเมื่อ [รัฐบาล] กลายเป็นผู้ตัดสินใจแล้ว มันจะเป็นผลประโยชน์ที่ตกอยู่กับผู้มีอำนาจทางการเมือง และกลายเป็นระบบอำนาจนิยม”
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ 2 ต่อในนอร์เวย์ยอมรับสารภาพแล้ว

Posted: 25 Jul 2011 08:45 AM PDT

24 ก.ค. 2553 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุรุนแรงในนอร์เวย์ 2 ครั้งซ้อนจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 ราย ได้ยอมรับสารภาพแล้ว

ผู้ที่มามอบตัวชื่อว่า แอนเดอร์ เบอห์ริง บรีวิค อายุ 32 ปี ถูกควบคุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยยิงคนอย่างน้อย 85 รายเสียชีวิตในค่ายยุวชนพรรคแรงงาน และวางระเบิดรถยนต์สังหารผู้คนอีก 7 ราย ในกรุงออสโล

กีรํ ลิปส์แตด ทนายความของเขาบอกว่า เบอห์ริง ยอมรับว่าตนเป็นผู้กระทำ และวางแผนการนี้มานานแล้ว 

โดยเบอห์ริงได้ถูกตำรวจจับกุมตัวตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ตำรวจบอกว่าจากการตรวจสอบหน้าโปรไฟล์ของ Facebook ของเขา พบว่าเขาโพสท์ 'คริสตชนดั้งเดิม' ลงในหมวดศาสนาและมีความเห็นทางการเมืองที่ 'เอียงขวา' แต่ทางตำรวจก็เตือนว่าแม้จะมีหลักฐานชี้ว่าเขามีความคิดทางการเมืองเอียงขวาและแสดงการต่อต้านชาวมุสลิม มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่านี้เป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุ

ทางด้านซีฟ เจนเซน หัวหน้าพรรคโปรเกรส (FrP) พรรคฝ่ายขวาของนอร์เวย์ ออกแถลงแสดงความเสียใจที่พบว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้เคยเป้นสมาชิกพรรคของพวกเขามาก่อนเมื่อปี 1999 ถึง 2006 ในฐานะสมาชิกยุวชน

"คนที่รู้จักผู้ต้องสงสัยรายนี้ขระที่เขายังเป็นสมาชิกพรรคจะรู้ดีว่า เขาดูเป็นคนเรียบร้อยและแทบจะไม่เข้าร่วมถกเถียงทางการเมืองเลย" ซีฟ กล่าวผ่านแถลงการณ์ในเว็บไซต์พรรค

เบอห์ริง บรีวิค เป็นสมาชิกกระดานข่าวกลุ่มนีโอนาซีที่ชื่อ Nordisk ซึ่งพูดคุยเกี่ยวกับเพลงแสดงพลังคนผิวขาวไปจนถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองในการโค่นล้มประชาธิปไตย เขาเคยโพสท์ในเว็บ www.document.no ในปี 2009 แสดงความไม่พอใจที่พรรคโปรเกรสพยายามอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการของนโยบายพหุวัฒนธรรม

เขาบอกอีกว่าเขาเป็นเจ้าของไร่ออร์แกนิคที่ชื่อ บรีวิค จีโอฟาร์ม ซึ่งทำให้เขามีวัตถุดิบในการผลิตระเบิดรวมถึงมีรายงานว่าเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาเขาได้ซื้อปุ๋ยเป็นจำนวน 6 ตัน ด้านการบันทึกภาษีซึ่งเป็นเรื่องเปิดเผยสำหรับประเทศนอร์เวย์ มีการแสดงให้เห็นว่าผู้ต้องสงสัยไม่มีรายได้เลยในปี 2009 และมีรายได้เล็กน้อยในปีก่อนหน้านี้

Norway suspect admits responsibility, 24-07-2011, Sky News
http://www.skynews.com.au/topstories/article.aspx?id=641833&vId=

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประเทศไทย: แดนสวรรค์ของเหล่านักโทษหลบหนี

Posted: 25 Jul 2011 08:45 AM PDT

กรุงเทพฯ - ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ายา นักฟอกเงิน หรือนักโทษที่กำลังหลบหนีที่โหยหาเสรีภาพ... ก็มาเถิด มายังประเทศไทย...

ถึงแม้ว่าประเทศไทย จะไม่เคยโฆษณาตัวเองว่าเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าอาชญากรที่กำลังหลบหนี แต่เหล่านักโทษของโลกที่ร้องหาเสรีภาพ ต่างปรากฏตัวขึ้นที่ประเทศนี้อย่างไม่หยุดหย่อน

นักท่องเที่ยวจำนวนหลายล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะปราศจากประวัติอาชญากรรมนั้น เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยทุกๆ ปี เนื่องจากถูกใจอาหารที่อร่อย ชีวิตกลางคืนที่มีสีสัน และทะเลที่สวยใส นักโทษหลบนีจำนวนมากก็เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยด้วยสาเหตุเดียวกัน พร้อมกับความประสงค์ในการกำจัดชนักที่ติดหลัง

โทรเลขเดือนมีนาคม 2552 ของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ที่ปล่อยจากวิกิลีกส์ระบุว่า “ประเทศไทยกลายเป็นประเทศระดับต้นๆ ที่มีจำนวนอาชญากรที่ต้องส่งกลับไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุด” โทรเลขดังกล่าวนี้ มีรายชื่อของอาชญากรหลบหนีจำนวนมากที่ถูกจับได้ในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นนักโทษจากคดีการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ผู้ค้ายาเสพติด การฟอกเงิน หรืออาชญากรรมไซเบอร์

โทรเลขดังกล่าว ระบุว่าอาชญากรที่ถูกส่งกลับสหรัฐฯ จากประเทศไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีจำนวน 135 ราย และอีกจำนวนกว่า 20-30 คนที่ถูก “เนรเทศโดยตรง”

อย่างไรก็ตาม หากดูการพาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์ของไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าอาชญากรของสหรัฐเป็นเพียงติ่งจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น จากจำนวนนักโทษทั้งหลายที่กำลังหลบหนีไปทั่วโลก

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา สื่อในเมืองไทย รายงานการจับกุมของชาวเยอรมันที่ต้องการตัวในข้อหาฉ้อโกงและหนีภาษี, ชายที่สงสัยว่าอาจเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียเกาหลีใต้, ชาวเช็คที่ต้องการตัวในข้อหาปล้นธนาคารมูลค่าหลายล้านยูโร (และหลบหนีมายังประเทศไทยหลังจากหนีประกันในระหว่างการยื่นฎีกา), ชาวปากีสถานที่ปลอมพาสปอร์ต, ฆาตกรชาวฟิลิปปินส์ที่ต้องการตัวที่สุดในประเทศ แต่กลับมาทำงานในประเทศไทยเป็นคนขายเครื่องประดับ, ชาวฝรั่งเศสที่ค้ายา ผู้ซึ่งหวังว่าจะหลอกตำรวจได้โดยใช้พาสปอร์ตของพี่ชาย, หัวหน้าแก๊งอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น, นักโทษชาวอิสราเอล ซึ่งต้องการตัวในข้อหาฆาตกรรมสองคดีในเบลเยี่ยม และเดินทางโดยพาสปอร์ตมัลดีฟปลอม, ชาวออสเตรเลียที่ต้องสงสัยว่าฆาตกรรมครอบครัวสามคน, และอื่นๆ อีกมากเกินกว่าจะนับได้

จากลิสต์ที่กล่าวไปนี้ ยังรวมถึงวิคเตอร์ บูต ที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ค้าอาวุธระหว่างประเทศ ซึ่งถูกส่งตัวไปให้สหรัฐอเมริกาแล้วในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากการต่อสู้ทางคดีความอันยืดเยื้อในประเทศไทย

อาชญากรจำนวนมาก มาพักอาศัยอยู่ที่เมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพฯ และเลื่องลือเรื่องบาร์และผู้หญิง โทรเลขของสหรัฐอีกฉบับหนึ่งระบุว่า อาชญากรสหรัฐได้ “ลงหลักปักฐานที่พัทยาในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับเหล่าคนที่น่าจะได้รับการรักษาอาการทางจิต แต่ไม่ได้รับ”

จอห์น เบอร์เด็ต นักเขียนชาวอังกฤษที่เขียนนวนิยายอาชญากรรมเกี่ยวกับประเทศไทย และศึกษาสังคมนอกกฎหมายในไทย กล่าวว่า สังคมไทยอันปราศจากกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด การบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวม และค่าครองชีพที่ค่อนข้างถูก ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเหล่าอาชญากรจากหลายประเทศ

“มีทั้งสาเหตุทั่วไป และสิ่งที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหล่าอาชญากรที่กำลังหลบหนี รู้สึกห้ามใจไม่ได้ในการหลบหนีเข้ามาประเทศไทย” เบอร์เด็ตกล่าวในอีเมลล์ “เหตุผลเล็กๆน้อยก็เช่น ปืน ผู้หญิง การพนัน กัญชา และชายหาดที่สวยงาม โดยเฉพาะสำหรับพวกที่หลุดออกมาจากการจองจำ”

แต่ชื่อเสียงที่ทำให้ประเทศไทยน่าดึงดูดเป็นพิเศษ “ไม่ว่าอยากจะได้หรือไม่ก็ตาม คือ ชื่อเสียงระดับนานาชาติเรื่องตำรวจที่ว่าง่ายและสามารถติดสินบนได้”

ผู้นำของประเทศไทยได้ยอมรับกลายๆ ว่าก็มีปลาที่เน่าอยู่ในเข่งบ้างในหมู่ตำรวจ แต่บางคนก็บอกว่าปลาที่เน่าดังกล่าวกลับมีเป็นกะตั้ก

พลตำรวจโทวิบูลย์ บางท่าไม้ หัวหน้าตำรวจฝ่ายคนอพยพเข้าเมือง กล่าวในการสัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ชายแดนที่ห่างไกล มักประสบปัญหาทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อมีคนที่ถือเงินจำนวนมากโผล่มาที่ชายแดนไทยและต้องการจะเข้ามาชายแดนไทยอย่างผิดกฎหมาย

“เจ้าหน้าที่ที่จุดตรวจชายแดนเล็กๆ จะปิดระบบคอมพิวเตอร์และยอมให้คนพวกนั้นเขามา” พลตำรวจโทวิบูลย์กล่าว
โทรเลขของสหรัฐระบุว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อน การที่ประเทศเต็มไปด้วยปัญหาทางการเมือง และสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวยมากนัก โดยโทรเลขปี 2552 ดังกล่าว ระบุว่า “ชายแดนของประเทศไทยค่อนข้างยาว และสามารถแทรกซึมเข้ามาได้ง่าย ประเทศไทยจึงเปราะบางต่อการอาชญากรรมระหว่างประเทศแทบจะทุกชนิด”

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไทยประสบปัญหาในการแก้ไขปัญหาอาชญากรเหล่านี้ เนื่องมาจากว่า การกำจัดสิ่งที่ดึงดูดต่อนักโทษที่ต้องการตัวมากที่สุดเหล่านี้ อาจส่งผลประทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่มีลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป ทัศนคติของประเทศไทยแบบ “อะไรก็ได้” ยังปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูด “เดอะ แฮงโอเวอร์ II” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อในการเป็นเจ้าภาพที่ดี โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังและโฉมหน้าของชาวต่างประเทศไม่ว่าจะคนไหนๆ

ในย่านไฟแดงของกรุงเทพฯ ต่างเต็มไปด้วยชาวต่างประเทศที่กรึ่มเบียร์เต็มท้อง ที่อาจจะไม่ได้ดูแตกต่างใบหน้าของเหล่าอาชญากรที่ต้องการตัวในโปสเตอร์ของสำนักงานตำรวจมากนัก แต่อย่างที่เจ้าหน้าที่ทางการไทยได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ในการแยกเหล่าอาชญากร ออกจากนักลงทุนทางธนาครที่มาพักผ่อนในวันหยุด ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก (ในบางกรณี ทั้งสองรายอาจะเป็นคนเดียวกันก็ได้)

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทย กล่าวว่า ทางสำนักงานกำลังจะปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ในสองเดือนข้างหน้า โดยจะอัพเกรดให้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าออกประเทศมารวมอยู่ในที่เดียวกัน เนื่องจากในขณะนี้ ข้อมูลของคนเข้าออกประเทศอื่นๆ ถูกเก็บแยกออกจากข้อมูลขาเข้าและออกที่สนามบินสุวรรณภูมิ

อาชญากรเหล่านี้ “จะเข้าประเทศได้ยากขึ้น” พลตำรวจตรีมนู เมฆหมอก ผู้บังคับการสืบสวนและสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง “พูดง่ายๆ คือว่า คนเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปที่อื่น”

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การเปลี่ยนระบบการตรวจคนเข้าเมือง ไม่น่าจะสามารถกำจัดเหล่าอาชญากรเหล่านี้ออกนอกประเทศได้ ดังจะเห็นจากจากการไปเยี่ยมเยือนเร็วๆนี้ ที่ศูนย์บัญชาการเพื่อสืบสวนอาชญากรระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในอาคารของรัฐบาล พบว่าศูนย์ดังกล่าวกลายเป็นตึกที่มืดทึม เหม็นอับ และว่างเปล่าไปเสียแล้ว เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เป็นเพราะขาดงบประมาณที่เพียงพอ

และถึงแม้ในคดีที่เป็นที่รู้จักกันดี ผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในเมืองไทย ก็กลับหายไปเฉยๆ เช่น ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชายจากประเทศสหรัฐเอมิเรตส์ ถูกจับกุมในข้อหาลักลอบสัตว์หายากที่สนามบินดอนเมือง โดยชายดังกล่าวได้พยายามลักลอบลูกเสือดาวสี่ตัว ลูกหมี และลิงตัวเล็กๆ อีกสองตัว กรณีดังกล่าวขึ้นหน้าหนึ่งในเมืองไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอุกอาจที่พยายามจะลักลอบสัตว์หายากจำนวนมาก ผ่านทางระบบความปลอดภัยของสนามบิน

อย่างไรก็ตาม สองอาทิตย์ถัดมา ตำรวจกล่าวว่าผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวไม่ได้ไปขึ้นศาลตามกำหนด และหนีออกนอกประเทศไปเสียแล้ว และตำรวจมิได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม

ที่มา: แปลจาก New York Times. Fugitives, and Others, in Pursuit of Vice Find Thailand’s Liberties to Be a Virtue. 20/07/54
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ปฏิทรรศน์’ ในคำสอนของพุทธศาสนา

Posted: 25 Jul 2011 08:42 AM PDT

คำสอนของพุทธศาสนามากไปด้วยลักษณะ “ปฏิทรรศน์” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า paradox หรือ ลักษณะย้อนแย้งในตัวเอง เช่น พุทธศาสนาบอกว่าสรรพสิ่งเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรที่อาจยึดถือได้ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา แต่พุทธศาสนาก็บอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

แต่ที่จริงลักษณะย้อนแย้งในตัวเองก็มีอยู่ในความรู้อื่นๆ ด้วย เช่นLeontief'sparadox คือ ปัญหาว่าทำไมประเทศที่อุดมด้วยปัจจัยทุนจึงมีการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นหลัก Giffen'sparadox ปัญหาว่าทำไมบางสินค้า ยิ่งขึ้นราคา คนยิ่งซื้อ (เช่น ขนมปัง ในยามสงคราม) Diamond-waterparadox (paradox of value) ปัญหาว่าทำไมน้ำจึงถูกกว่าเพชร ทั้งๆ ที่คนต้องการน้ำมากกว่า
 
ฉะนั้น ภาวะย้อนแย้งในตัวเองไม่ใช่ปัญหาที่อธิบายไม่ได้เสมอไป และนอกจากจะอธิบายได้แล้ว ดูเหมือนพุทธศาสนาจะยืนยันด้วยซ้ำไปว่า สัจธรรมหรือความจริงมันมีลักษณะปฏิทรรศน์ หรือย้อนแย้งในตัวเองเช่นนั้นเอง (ตถตา)
 
เช่น โดยความจริงตามกฎธรรมชาติ (ไตรลักษณ์) สรรพสิ่งเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรที่อาจยึดถือได้ว่าเป็นตัวฉัน หรือของฉัน เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้น แปรเปลี่ยน และเสื่อมสลายไปตามวิถีทางของธรรมชาติ แต่ทว่าการที่จะเข้าถึงหรือรู้แจ้งความจริงตามกฎธรรมชาติดังกล่าวที่มีผลต่อการสลายความยึดถือว่ามีตัวฉัน ของฉันได้ จำเป็นต้องเดินตามหลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” อย่างเข้มงวด
 
ถึงตรงนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน” ที่พูดถึงได้สามความหมายแล้ว 1) ในความหมายทางอภิปรัชญา หรือ “ปรมัตถสัจจะ” สรรพสิ่งเป็นอนัตตาไม่มีตัวตนที่อาจยึดถือว่าเป็นตัวฉัน ของฉันได้ 2) ในความหมายตามสมมติ หรือ “สมมติสัจจะ” ตัวตนคือ “จินตภาพ” ที่เราสร้างขึ้น และเราก็ยึดมั่นว่าตัวตนตามจินตภาพนั้นคือตัวฉัน หรือตัวตนของฉัน และ 3) ตัวตนทางศีลธรรม (moral self) คือ ตัวตนในความหมายของ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ซึ่งได้แก่คุณลักษณะทางจิตปัญญาบางอย่าง ที่สามารถเข้าใจสัจธรรมตามกฎธรรมชาติ และสลายความยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกว่าเป็นตัวฉัน ของฉัน ได้
 
ตัวตนในสามความหมายนี้ มีลักษณะย้อนแย้งในตัวเองอย่างชัดเจน แต่ลักษณะย้อนแย้งมันคือความจริงตามกฎธรรมชาติใช่หรือไม่ เช่น ธรรมชาติสร้างชีวิตเรามาให้ต้องแก่ เจ็บป่วย และตาย อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ธรรมชาติก็สร้างจิตใจเราให้มีเสรีที่จะไม่ยอมรับความจริงนั้น ฝืน หรือต่อต้านความเป็นจริงนั้น คนเรานั้นรู้ทั้งรู้ว่าผลสุดท้ายของการดิ้นรนเพื่อที่จะมีจะเป็น หรือยื้อแย่ง แข่งขัน กดขี่เบียนเบียนกันและกันคือ “ความว่างเปล่า” แต่ชีวิตจริงก็ดำเนินไปเช่นนี้ ขัดแย้งกับวิถีของธรรมชาติเช่นนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย และโลกก็ถูกออกแบบให้เป็นเวทีแห่งการดิ้นรน แข่งขันกันเช่นนี้ตลอดมา
ความจริงแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์ก็ยิ่งมีลักษณะย้อนแย้งในตัวเองอย่างซับซ้อนยิ่ง มนุษย์เป็น “สัตว์ที่มีเหตุผล” จริงหรือ? ทำไมในนามของพระเจ้า ในนามของศาสนา ศีลธรรม เราจึงมีสงครามและการเข่นฆ่า บางครั้งมนุษย์ก็ทำสงครามในนามของความรักและสันติภาพ มนุษย์ปรารถนาความมั่นคงและสันติภาพ แต่เขาก็สร้างอาวุธและสิ่งที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงและสันติภาพขึ้นมามากมาย มนุษย์อาจจะสาดห่ากระสุนและทิ้งระเบิดถล่มฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม ขณะเดียวกันเขาก็หลั่งน้ำตาให้กับการบาดเจ็บและความตายของพวกเดียวกัน
 
ภาวะย้อนแย้งในตัวเองแห่งธรรมชาติของมนุษย์ดังกล่าวเป็นต้นนี้ อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น “ภาวะขัดแย้งในตัวเอง” (self conflict) ที่พุทธศาสนาอธิบายว่าเป็น “ทุกขสัจจะ” ของชีวิตและโลก คือชีวิตและโลกมันก็เป็นของมันเช่นนี้ ดำเนินไปบนความทุกข์หรือความขัดแย้งเช่นนี้
 
แต่พุทธศาสนาก็มองว่า ทุกขสัจจะเป็นความจริงที่เราต้องเผชิญ เรียนรู้และอยู่กับมันหรือจัดการกับมันอย่างตรงตามเงื่อนไขหรือเหตุปัจจัย เช่น ทุกข์ในทางจิตใจเป็นเรื่องที่ปัจเจกบุคคลควรสร้างคุณลักษณะทางจิตปัญญาบางอย่างเพื่อสลายความรู้สึกยึดมั่นในตัวฉัน ของฉัน ทุกข์ทางสังคมเป็นเรื่องที่สังคมต้องสร้างระบบหรือกติกาที่ยุติธรรมในการอยู่ร่วมกัน
 
อย่างไรก็ตาม โดยที่พุทธศาสนามีพัฒนาการมาภายในบริบทของสังคมแบบราชาธิปไตย ซึ่งความมั่นคงของพุทธศาสนาขึ้นอยู่กับ “ราชูปถัมภ์” ในเรื่องการแก้ทุกข์ทางสังคม คำสอนพุทธศาสนาจึงถูกนำเสนอ และตีความสนับสนุนความสำคัญของ “ตัวบุคคล” มากกว่าความสำคัญของ “ระบบ” คือความสงบสุขของบ้านเมืองขึ้นอยู่กับคุณธรรมของตัวบุคคลที่เป็น “ธรรมราชา” หรือผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรม
 
แต่เราอาจเข้าใจได้ว่า ในยุคที่พระราชามีอำนาจสูงสุด หรือมีสถานะเป็นเสมือน “รัฐ” นั่นอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่พุทธศาสนาจะเสนอหลักศีลธรรมสำหรับผู้ปกครอง เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองในยุคนั้นๆ
 
เมื่อปัจจุบันนี้ โลกเปลี่ยนไปแล้ว สังคมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องการ “ระบบที่ดี” ที่สร้างขึ้นบนหลักเสรีภาพ และความเสมอภาค หากพุทธศาสนายังเสนอหลักศีลธรรมทางการเมืองเหมือนสมัยราชาธิปไตย คือเสนอเพื่อ “ยกย่องตัวบุคคลเหนือระบบ”
 
เช่น อ้างเรื่อง “เผด็จการโดยธรรม” ที่ถือว่า ผู้ปกครองที่มีคุณธรรมหรือธรรมราชาสามารถใช้อำนาจเผด็จการเพื่อให้เกิดความถูกต้อง หรือเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนได้ เป็นต้น ก็จะกลายเป็น “ข้อเสนอผิดยุค” ที่อาจสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา ดังในความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นมา ฝ่ายพันธมิตรมีการอ้างวาทกรรม “เผด็จการโดยธรรม” ของท่านพุทธทาสเป็นวาทกรรมหลักอย่างหนึ่งในการต่อสู้เรียกร้อง “อำนาจพิเศษ” เข้ามาแก้ปัญหาการเมือง เป็นต้น
 
แท้จริงแล้ว คำสอนของพุทธศาสนามีลักษณะปฏิทรรศน์หรือ “ย้อนแย้งในเชิงความหมาย” ในหลายเรื่องมาก หากไม่พิจารณาให้ดี เราอาจนำสิ่งที่ “ย้อนแย้งเชิงความหมาย” มาสร้าง “ความขัดแย้งกับโลกที่เป็นจริง” หรือ “โลกที่ควรจะเป็น” ได้ง่ายๆ หรืออย่างไม่มีเหตุผลได้เช่นกัน
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พฤกษ์ เถาถวิล: คำถามถึงนักปฏิรูป...ก่อนจะปฏิรูปกันต่อไป

Posted: 25 Jul 2011 08:36 AM PDT

เมื่อไม่นานนี้ ผู้เขียนได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรในการประชุมของเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทย[1] ทำให้ทราบว่า เครือข่ายปฏิรูปกำลังพยายามผลักดันวาระการเคลื่อนไหวในโอกาสใหม่ในชื่อ “โครงการรณรงค์ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม” การไปร่วมงานครั้งนี้ผู้เขียนยังได้รับเอกสารข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทยซึ่งเป็นผลงานที่สำคัญของคณะกรรมการฯมาด้วย เมื่อได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาก็พบว่า การเคลื่อนไหวของครือข่ายปฏิรูป - ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ และการเคลื่อนไหวในอนาคตจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็ตามที่ - มีนัยสำคัญสูงต่อการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ผู้เขียนยังคิดว่า ประเด็นที่ผู้เขียนนำเสนอในการประชุมครั้งนั้น น่าจะมีประโยชน์ในการกระตุ้นให้ผู้สนใจการเมืองภาคประชาชนได้ทบทวนถกเถียงกัน จึงขอเรียบเรียงมานำเสนอในวงกว้างในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง

ในหมู่คนทำงานการเคลื่อนไหวภาคประชาชน เมื่อกล่าวถึงความขัดแย้งทางการเมือง จะมีแนวคิดที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ความขัดแย้งทางการเมือง เป็นความขัดแย้งของชนชั้นนำ ซึ่งไม่มีฝ่ายใดดีไปกว่ากัน แนวคิดนี้นำไปสู่สมมุติฐาน ซึ่งแทบจะกลายเป็นทฤษฎี กำหนดการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนว่า ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง  ภาคประชาชนไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจะกลายเป็นเครื่องมือของเขาไปเสียเปล่าๆ แต่ภาคประชาชนควรมีการเมืองของตัวเอง คือมีวาระการต่อสู้ และมีจังหวัดการเคลื่อนไหวของตัวเอง จากนั้นในทางปฏิบัติก็พบว่า จังหวะการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด ก็คือจังหวะที่รัฐ/รัฐบาลอยู่ในฐานะเป็นรองทางการเมือง นั่นคือนาทีทองที่ภาคประชาชนจะช่วงชิงโอกาสเข้าไปกดดันให้รัฐ/รัฐบาลตอบสนองข้อเรียกร้องของตน

ผู้ที่มีประสบการณ์ร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการชาวบ้านรากหญ้า จะเข้าใจจุดแข็งและสัมฤทธิผลของทฤษฎีนี้ดี กรณีชาวปากมูล และสมัชชาคนจน ซึ่งเคลื่อนไหวภายใต้ทฤษฎีนี้มาโดยตลอด ยืนยันให้เห็นการเป็นขบวนการประชาชนที่ท้าทายอำนาจรัฐไม่ว่าในยุครัฐบาลใดอย่างไม่หวั่นเกรง และแสดงให้เห็นพลังที่เข้มแข็งของภาคประชาชนในยุคที่ผ่านมา ดังคำขวัญที่สะท้อนจุดยืนและเจตนารมณ์ได้อย่างหนักแน่นที่รู้จักกันดีว่า “การเมืองที่เห็นหัวคนจน” และ “ประชาธิปไตยที่กินได้”

แต่ปรากฏการณ์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ทฤษฏี “ไม่เป็นเบี้ยล่างในการเมืองของชนชั้นนำ แต่ช่วงชิงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์” ซึ่งได้กลายเป็นบรรทัดฐานการเมืองภาคประชาชน จะต้องถูกทบทวน

การเกิดขึ้นของเครือข่ายปฏิรูปนั้น อาจจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดตามทฤษฎี เราคงจำได้ว่า ในช่วงเดือนเมษายน 2553 ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กำลังฮึกเหิม และดูเหมือนจะเป็นต่อทางการเมือง ข้อต่อรองระหว่างคนเสื้อแดงกับรัฐบาลในเรื่องการยุบสภากำลังถูกผลักดันไปสู่การเป็นคำตอบสุดท้ายของทางออกจากการเผชิญหน้าในครั้งนั้น แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง ที่เกิดทางเลือกที่สามที่ว่า การยุบสภาไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง แต่ต้องปฏิรูปประเทศไทย ในช่วงนั้นปัญญาชน นักกิจกรรม และ ngos หลายท่านประสานเสียงกันผลักดันทางเลือกที่นี้ โดยอาศัยสื่อมวลชนคือโทรทัศน์ช่องทีวีไทยเป็นหนทางสำคัญ 

เราอาจถือว่านั่นคือจุดก่อตัวของขบวนการปฏิรูป ผู้เขียนคิดว่า การก่อตัวของขบวนการปฏิรูปมีลักษณะเป็นไปเองตามสถานการณ์ และตระหนักว่าเป็นการรวมตัวกันอย่างหลวมๆมีความสัมพันธ์กันมาก่อนของกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย ไม่ได้เป็นเอกภาพ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาวบ้านหลากหลายกลุ่มหลายหลายประเด็นปัญหา ngos นักวิชาการ นักกิจกรรม ปัญญาชนสาธารณะผู้มีชื่อเสียง แต่สิ่งที่นำพวกเขามารวมกันก็คือทฤษฎีดั้งเดิมที่ตกผลึกในความคิด พวกเขามีแนวโน้มไปในทางที่เห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงนั้นเป็นการช่วงชิงอำนาจของชนชั้นนำ  พวกเขาจึงไม่เข้าข้างมวลชนสีใดๆ และพวกเขาก็มองเห็นว่าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังเผชิญศึกหนัก คือเวลาสำคัญที่จะผลักดันวาระทางการเมืองของตน

แน่นอน คัมภีร์การเคลื่อนไหวทำงานได้สัมฤทธิ์ผลอีกครั้ง ดังที่เกิดขบวนการปฏิรูปที่มีบทบาทสำคัญมาจนทุกวันนี้ แต่ความสำเร็จของขบวนการปฏิรูปได้ทำให้เกิดผลอย่างไรบ้างต่อภาคประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นได้ผลคุ้มค่าหรือไม่ เป็นประเด็นที่เราควรจะประเมินกันให้ชัดเจน

ในด้านสิ่งที่ได้มา ต้องยอมรับว่าได้เกิดผลดีต่อภาคประชาชนอย่างมาก นั่นก็คือวาระของภาคประชาชนได้ถูกผลักดันเข้ามาเป็นวาระสำคัญของสังคมไทย ปัญหาเชิงโครงสร้างที่นำมาซึ่งกรณีปัญหาต่างๆได้รับการรับฟัง เกิดการอภิปรายในโอกาสต่างๆอย่างกว้างขวางจริงจัง เกิดแนวร่วมระหว่างปัญญาชนชนชั้นนำ ชนชั้นกลาง และชาวบ้าน เกิดการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูประดับชาติ กิจกรรมการปฏิรูปได้รับงบประมาณสนับสนุนก้อนโตจากรัฐ เกิดเครือข่ายการทำงานภาคประชาชนกว้างขว้าง เกิดแกนนำชาวบ้านที่โดดเด่นหลายท่าน และไม่มีครั้งใดที่ภาคประชาชนจะมีพื้นที่ในสื่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากเท่านี้ โดยเฉพาะในรายการของสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ต้องนับว่าเป็นภาวะอุดมคติที่ภาคประชาชนอยากจะเห็นมานาน

แล้วอะไรบ้างที่ภาคประชาชนจะต้องจ่ายไป ประการแรกได้เกิดการแบ่งแยกระหว่างภาคประชาชนสายปฏิรูปการเมือง กับภาคประชาชนคนเสื้อแดง ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นมวลชนชาวบ้านส่วนใหญ่ของสังคมไทย การชูธงปฏิรูปในจังหวะที่การต่อสู้ของอีกฝ่ายกำลังจะออกหัวออกก้อย ผลักให้ชาวบ้านซึ่งที่จริงก็คือผู้มีชะตากรรมเดียวกัน กลายเป็นคนละฝักฝ่าย ไม่ว่าเครือข่ายปฏิรูปจะมีเจตนาให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นหรือไม่ก็ตาม แต่คนทำงานภาคประชาชนควรคิดเรื่องนี้ให้จงหนัก เฉพาะเรื่องนี้จุดประเด็นถกเถียงหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมโนธรรมสำนึกของการเคลื่อนไหวทางการเมือง การช่วงชิงใช้โอกาสผลักดันวาระทางการเมืองดังที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสมควรหรือไม่ ? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในทางปฏิบัติของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน คำถามคือใครคือภาคประชาชน คนเสื้อแดงเป็นภาคประชาชนหรือไม่? ในภาวะที่ภาคประชาชนเกิดการแบ่งแยกแบบมองหน้ากันไม่ติดนี้ อนาคตภาคประชาชนจะเป็นอย่างไร ?

สิ่งที่ภาคประชาชนต้องจ่ายในประการต่อมาก็คือ การรับรองความชอบธรรมให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ จริงอยู่เครือข่ายปฏิรูป (โดยเฉพาะกลุ่ม P-MOVE) ไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนรัฐบาล หนำซ้ำยังไปกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาหลายครั้งหลายครา กระนั้นก็ดีความหมายทางการเมืองมันก็คือการยอมรับสถานภาพรัฐบาลในการเป็นผู้แก้ไขปัญหา ซึ่งก็เท่ากับรับรองการคงอยู่ของรัฐบาล ที่สมควรจะต้องพ้นจากอำนาจ ในฐานะผู้รับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น (ไม่ว่ารัฐบาลจะมีส่วนทำให้เกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม) แต่การคงอยู่ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งมีฐานะเป็นคู่กรณีของเหตุความรุนแรง ทำให้การทำงานของสถาบันต่างๆบิดเบี้ยวไปหมด ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันในประการต่อมาก็คือ ภายใต้โครงสร้างอำนาจรัฐที่มีรัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นฉากหน้านี้ ประชาธิปไตยไทยได้ถอยหลังไปไกลสุดกู่กองทัพและเครือข่ายอำนาจของชนชั้นสูงกลับมามีบทบาทสูงยิ่ง บรรยากาศทางการเมืองขวาจัดและชาตินิยมคลั่งชาติโหมกระพือ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพเพิ่มสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเซนเซอร์และตรวจจับการแสดงความคิดเห็นในอินเตอร์เน็ต การตั้งข้อหาตามมาตรา 112 ยังไม่นับสิทธิมนุษยชนแบบเลือกปฏิบัติอันน่าอดสู   

ทั้งหมดนี้คือราคาที่สังคมไทยต้องจ่าย ซึ่งต้องนำมาชั่งวัดกับสิ่งที่ขบวนการปฏิรูปได้มาว่าคุ้มค่าหรือไม่..

ผู้เขียนใคร่จะย้อนไปทบทวนสิ่งที่คิดว่าได้มาของขบวนการปฏิรูป เพราะอาจยังมีภาพลวงตาของความสำเร็จ  การประเมินความสำเร็จของการเคลื่อนไหวภาคประชาชนควรจะมีเกณฑ์ชี้วัดที่ชัดเจนและมีเหตุผล ซึ่งผู้เขียนเสนอว่า ความสำเร็จของภาคประชาชนน่าจะชี้วัดกันว่า อำนาจต่อรองของภาคประชาชนสูงขึ้นหรือไม่

ขอยกประเด็นชวนพิจารณา 2-3 กรณี ในฐานะคนนอกที่ไม่รู้ว่าภายในขบวนการมีตื้นลึกหนาบางอย่างไร จึงไม่ขอสรุปตัดสินใดๆ แต่ขอยกเป็นคำถามชวนแลกเปลี่ยน

กรณีแรก เรื่องที่ดินและปากมูล ทราบข่าวว่าผลสรุปทั้งสองเรื่องไม่คืบหน้านัก กรณีที่ดิน ดูเหมือนว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์กลายเป็นผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์แก้ไขปัญหานี้ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีความก้าวหน้านัก โฉนดชุมชนได้รับการรับรองในภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พื้นที่ที่ทำโฉนดชุมชนได้คือพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และกระทรวงทรัพยากรฯก็ยังไม่เอาด้วย ในขณะที่ขบวนการก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักในการผลักดันหัวใจของปัญหาที่ดิน คือความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ผู้เขียนเคยได้ยินการเปิดเผยว่ามีนักการเมืองเป็นผู้ถือครองที่ดินจำนวนมาก แต่ก็ไม่เคยได้ยินการกล่าวถึงกลุ่มเจ้าที่ดินที่เป็นตัวปัญหาตัวจริงในเมืองไทย ในกรณีปากมูล ทราบว่ามีการประชุมใหญ่กันหลายรอบ ท่านสาทิตย์เกือบจะเป็นขวัญใจคนใหม่ของชาวบ้าน แต่เรื่องก็จบเอาดื้อๆ เพราะสั่ง กฟผ. ไม่ได้ และเกิดการเบี่ยงประเด็นไปว่าการเปิดเขื่อนปากมูลอาจทำให้กระทบต่อระดับแม่น้ำมูล กรณีที่ยกมานี้ เราจะบอกว่าขบวนการชาวบ้านเข้มแข็งขึ้นมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือเพลี่ยงพล้ำในเกมส์ของรัฐบาล ?  

กรณีการมีพื้นที่ในสื่อ โดยเฉพาะในรายการของสถานีที่เรียกตัวเองว่าทีวีสาธารณะ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่สถานีโทรทัศน์นำเสนอสารประโยชน์ และให้เวลากับเรื่องราวของประชาชนสามัญ รวมทั้งการพัฒนาทางเลือกอย่างมาก จนมีแซวกันว่าเป็นช่อง NGOs แต่ถ้ามองให้ลึกจะพบว่า สถานีได้ทำหน้าที่ชำระล้างประเด็นทางการเมืองที่พวกเขาเห็นว่าอันตรายออกไป และก็จะเลือกสรรประเด็นการเมืองที่เห็นว่าสมควร ผู้เขียนอยากจะเรียกว่าการพาสเจอไรส์ (Pasteurization) ประเด็นทางการเมือง 

โดยรวมๆ เราจึงเห็นสารคดีชาตินิยมล้าหลังแบบเนียนๆ สารคดีชีวิต/ชุมชน/การพัฒนาทางเลือกแบบโรแมนติก  การสนทนาประเด็นปัญหาที่วิพากษ์การพัฒนาอย่างเป็นนามธรรม ซึ่งมักจะด่าฝรั่งและความหลงผิดของคนไทย หากจะมีการวิจารณ์การเมืองก็จะมุ่งไปที่นักการเมือง แต่น้อยนักที่จะแตะต้องกลุ่มอำนาจในวงราชการและเครือข่ายอำนาจของชนชั้นสูง และแขกรับเชิญในรายการก็มักจะเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงภาคประชาชนของพวกเขา  ทั้งหมดนี้คงจะไม่ผิดถ้าจะบอกว่าสถานีนี้ได้ทำหน้าที่ โรงละครที่ตอบสนองรสนิยมของชนชั้นกลางชาวเมืองผู้มีการศึกษาที่สมาทานอุดมการณ์ชาตินิยมกระแสหลัก คำถามก็คือพื้นที่ในสื่อแบบนี้  ทำให้ขบวนการชาวบ้านเข้มแข็ง/มีอำนาจต่อรองมากขึ้นจริงหรือ ?

กรณีสุดท้าย ผลงานชิ้นสำคัญของคณะกรรมการปฏิรูป ที่จัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อว่า แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้เลือกตั้ง ซึ่งรวบรวมข้อเสนอการปฏิรูปสังคมไทยอย่างรอบด้าน ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อเสนอหลายๆเรื่องในเอกสารนี้ แต่ก็ประหลาดใจว่า ทั้งๆที่เห็นกันชัดๆว่าท่ามกลางวิกฤตสังคมไทยในหลายปีที่ผ่านมา  มีการตั้งคำถามกับสถาบันสำคัญที่น่าสงสัยว่ามีการใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมและขาดความเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ สถาบันในกระบวนการยุติธรรม องค์มนตรี รวมทั้งกฎหมายที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ อย่างเช่น มาตรา 112  แต่การที่ไม่มีข้อเสนอปฏิรูป หรือแม้แต่กล่าวพาดพิงถึงสถาบันเหล่านี้เลย เครือข่ายปฏิรูปจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร ? คำถามสุดท้ายก็คือ เรามีข้อเสนอปฏิรูปอะไรต่อมิอะไรทุกด้านไปหมด แต่เราไม่แตะต้องอำนาจของชนชั้นนำที่เล่นการเมืองอยู่เหนือระบอบประชาธิปไตยเลย การปฏิรูปแบบนี้ ทำให้ภาคประชาชนเข้มแข็งได้จริงหรือ?

ก่อนจะปฏิรูปกันต่อไป ใช่หรือไม่ คำถามเหล่านี้ต้องการการใคร่ครวญหาคำตอบอย่างจริงจัง.



[1] การเสวนาในหัวข้อ “สถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้ง สถานการณ์ขบวนประชาชน ทิศทางการรณรงค์เพื่อลดความเลื่อมล้ำกับการสร้างความเป็นธรรมในการแก้ไขปัญหาปากท้องชาวบ้าน” วิทยากรโดย : คุณพรชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, อ.พฤกษ์ เถาถวิล ,คุณปรีดา คงแป้น เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2554 ที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี การเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมในโครงการ “โครงการรณรงค์เพื่อลดความเลื่อมล้ำของสังคมหลังการเลือกตั้ง 2554” จัดโดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(P-move), สำนักงานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และองค์กรพันธมิตร อนึ่งในที่นี้ผู้เขียนจะเรียกภาคประชาชนกลุ่มนี้รวมๆกันว่า เครือข่ายปฏิรูปเนื่องจากเห็นว่า “การปฏิรูปประเทศไทย” เป็นประเด็นหลักที่นำพวกเขามาร่วมงานกัน
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ: 'นิรโทษกรรม-เกี๊ยะเซียะ' ความจริงการเมืองหลัง 'ปรากฏการณ์ยิ่งลักษณ์'

Posted: 25 Jul 2011 08:11 AM PDT

ปรากฎการณ์ “ยิ่งลักษณ์” ฟีเวอร์
คนมักจะใช้คำว่า “กระแส” ยิ่งลักษณ์ฟีเวอร์ ถล่มทลาย แต่ผมคิดว่าเผลอๆ ต้องใช้คำว่า “สึนามิ” เป็นสึนามิทางการเมือง ที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกๆคน และในฐานะที่ผมสอนประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่มา 30-40 ปี ไม่เคยคิดไปถึงขนาดเมืองไทยจะสามารถมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงได้ เพราะเราก็เชื่อกันแบบเก่าๆ ในเรื่องของช้างเท้าหน้า ช้างเท้าหลัง และในเรื่องของชายชาติทหาร ชายชาตรีอะไรทำนองนั้น เราไม่ค่อยจะเชื่อในศักยภาพของผู้หญิงเท่าไร อันนี้ เป็นสิ่งที่ตัวผมเอง รู้สึกประหลาดใจมากๆ

แต่เอาเข้าจริง ก็อาจเป็นเพราะเรามองข้ามบทบาทของสตรี มองข้ามวิชาประวัติศาสตร์ไปก็ได้ เพราะว่า เอาเข้าจริงแล้ว เวลาสังคมไหนก็ตาม มีวิกฤต ผู้ที่ออกมาเป็นผู้นำสังคมได้เป็นอย่างดี และสามารถพาสังคมฝ่าข้ามไปได้หลายครั้ง เป็นผู้หญิง และผมก็คิดว่า ยิ่งโลกปัจจุบันนี้ ไม่ต้องพูด ผู้หญิงที่ขึ้นมาเป็นผู้นำ ก็หลายประเทศ เกือบ 20 ประเทศ ยกตัวอย่างกรณีของวิกฤตอันรุนแรง ในฟิลิปปินส์ มันก็จบลงด้วยการที่คอรี่ อาคีโนขึ้นมา และผู้หญิงโดยมาก มาก็มาด้วยความเป็นภริยา ก็เลยได้มา หรือเป็นลูกสาว ก็ได้มา

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น เมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี มองในแวดวงอาเซียนของเรา  ด้วยความที่เป็นลูกสาวประธานาธิปดีซูการ์โน ก็เลยขึ้นมา  แต่กรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กลายเป็นน้องสาว  ตรงนี้ เป็นปรากฎการณ์ที่น่าสนใจมากๆ แล้วมันกลับไปยังประเด็นของเวลา ที่สังคมมีปัญหา มีวิกฤต ถึงทางตัน บางครั้ง ผู้หญิงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชาย  ถ้าเราดูอย่างกรณีของอังกฤษ  ซึ่งอังกฤษเมื่อเป็นมหาอำนาจ คือ รัชสมัยของควีนส์อลิซาเบธที่ 1 และขึ้นสูงสุดในช่วงที่เป็นจ้าวโลก ก็ในสมัยของควีนส์วิคเตอเรีย หรือกรณีของอเมริกา ผมก็เชื่อว่าไม่นาน เขาจะต้องมีประธานาธิบดีเป็นผู้หญิง

เมื่อผู้หญิงเป็นผู้นำประเทศได้แล้ว ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป  ผมว่าก้าวแรกสำคัญมาก ในส่วนของเมืองไทย ก็ถือว่าไปไกลพอสมควร และในอุษาคเนย์ หรือในกลุ่มอาเซียน ผมอยากจะเชื่อว่าประเทศไทยของเราเป็น ประเทศที่อาจจะ ถ้าพูดแบบเป็นคำชม ก็บอกว่ารักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ได้เป็นอย่างดีแต่ถ้าพูดลึกๆ อีกที ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่อนุรักษ์นิยมสูง หัวเก่ามากๆ ถึงแม้ดูโดยโฉมหน้าแล้วเราจะดูทันสมัย  นำในแง่ของแฟชั่น เทคโนโลยีหลายอย่าง แต่ในความเป็นจริง ผมว่าเรายังอนุรักษ์และมีหลายอย่างที่ล้าหลังมาก

ดังนั้น เมื่อผู้หญิงขึ้นมาในระดับการเป็นผู้นำ  เราก็ตามเขา  เราไม่ได้นำเขา เพราะว่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ศรีลังกา อินเดีย เขาไปหมดแล้ว  เราตามเขาด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงของไทย และผมเชื่อว่า จะทำอะไรๆ ดูมีความหวังมากขึ้น บางท่านที่พอคุ้นเคยกับคำสัมภาษณ์ของผมมาก่อน คงจะเห็นว่า  ผมมองอะไรหลายอย่างในแง่ร้าย  ผมมองว่าจะเป็นจลาจลมากกว่า ที่เป็นมา จะเป็นสงครามกลางเมือง จะเป็นกลียุค แต่พอมาถึงตรงนี้ ผมมีความรู้สึกว่า มันจะทำให้เราหยุดหายใจได้ อย่างน้อยก็ซัก 6 เดือน

จากนั้น ก็พยายามหาทางว่า เราจะออกจากทางตันตรงนี้ได้อย่างไร ผมคิดว่าความเป็นผู้หญิง ในเรื่องของเพศสภาวะ มันอาจจะมาเปลี่ยนบริบททางการเมืองของไทยมากมหาศาลเลย  แน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นน้องสาวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และปฏิเสธไม่ได้ว่าตรงนี้เป็นโลโก้ หรือแบรนด์ของพ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งต่อให้ถูกตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน คือ จะเปลี่ยนชื่อ แบรนด์ โลโก้ ก็ยังชนะอยู่ ตรงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นผลต่อเนื่องมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ

ถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นโคลนนิ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ตอบว่า ใช่ก็ได้ เหมือนกับที่นายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็บอกว่า เป็นนอมินี  แต่คำนั้น ใช้ไม่ได้แล้ว เพราะใช้บ่อยๆ มันจืดก็เปลี่ยนมาเป็นโคลนนิ่ง แต่คำว่าโคลนนิ่ง คนก็บอกว่า ใช่  เพราะเป็นน้องสาว แต่ถ้าเราจะแฟร์กับน.ส.ยิ่งลักษณ์  สิ่ง ที่เราอาจตั้งคำถามว่า แน่นอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นน้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ มาด้วยแบรนด์ของพรรคเพื่อไทย แต่มันมีอะไรบางอย่าง ในความเป็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ใช้เวลาแค่ 6 สัปดาห์ ก็ก้าวขึ้นมาได้ขนาดนี้  ซึ่งมีมากกว่าเรื่องหน้าตาดี

สถานการณ์ของรัฐบาลชุดใหม่
ผมก็มองอย่างที่หลายๆ คนมอง ผมคิดว่าในแง่นี้ต้องใช้คำว่า  เขาก็ต้องเกี๊ยเซี๊ยะกัน หมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทย รวมทั้งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จะเกี๊ยะเซี๊ยะอย่างไร กับฝ่ายตรงข้าม และสิ่งที่เราเรียกว่า อำนาจพิเศษ และจะเกี๊ยะเซี๊ยะอย่างไร กับสิ่งที่เราเรียกว่า สถาบันของชาวกรุงทั้งหลาย  เพราะฝ่ายนี้ เขาเสนอตัวว่าเป็นตัวแทนของชาวบ้าน เป็นตัวแทนของคนรากหญ้า และเป็นตัวแทนของคนนอกกรุงเทพฯ มากกว่า จึงต้องจับตาดูว่าเขาจะเกี๊ยะเซี๊ยะกันอย่างไร

ผมคาดว่า เขาคงเกี๊ยะเซียะกัน อาจจะเกี๊ยะเซี๊ยะกันในแง่ที่ว่า ไม่แตะต้องสถาบันทหาร ปล่อยให้ทหารดำเนินการไป  อาจเกี๊ยะเซียะไปถึงขั้นที่ว่า อาจไม่ดำเนินการอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองเดือน เม.ย.-พ.ค.2553  ซึ่งอาจไปถึงขนาดนั้นก็ได้ หรืออาจผลักดันให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ของ ดร.คณิต ณ นครไป โดยผลักดันให้เรื่องไปถึงระดับที่นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม  ทนายความ ดำเนินการไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศก็ได้ ในทางนี้ ก็อาจไม่ทำอะไรมากนัก  ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเกี๊ยะเซียะ

ผมยังคิดว่า เขาอาจเกี๊ยะเซียะกัน โดยฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง อาจจะต่อรอง เกี๊ยะเซียะว่า ไม่แก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112  ขอย้ำว่า วิธีการเกี๊ยะเซียะ คือการต่อรองกันอย่างล่าสุด ถ้าเราดูแล้ว นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขาก็สลายตัว และบอกว่า เขาจะเคลื่อนไหวเพียง 2 ประเด็น คือ เรื่องนิรโทษกรรม กับประเด็นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเสนอไว้ 2 ประเด็น แต่ต่อรองกันได้ ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ ต่อรองกัน หลายคนก็พยายามยืนยันว่า ตัวเองมีหลักการ แต่การเมืองจบลงด้วยการต่อรอง

คนแบบนายสนธิลิ้ม หรือคนแบบพ.ต.ท.ทักษิณ ในความที่เป็นพ่อค้าด้วย เขายิ่งจะต่อรอง ส่วนฝ่ายที่อาจเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า อำมาตย์ ทหาร สถาบันอะไร อาจจะไม่ต่อรองเท่าไรนัก ยกเว้นว่า ไม่สามารถจะฝืนกระแสได้ อย่างตอนนี้ ถ้าคุณอยากจะทำรัฐประหาร คุณก็จะฝืนกระแสไม่ได้ เพราะสภาพความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้นในแง่นี้ ผมคิดว่าใน 6 เดือน 1 ปี เขาก็คงต่อรองกัน เพราะวิธีการ ถ้าเราดูจากการแสดงท่าที  การสัมภาษณ์อะไรก็ตาม แต่ละฝ่ายก็พยายามเผยท่าทีว่า  ตรงนี้ต่อรองได้ นายสนธิลิ้มออกมาบอกว่าเหลือ 2 ประเด็นส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คำคมว่า ถ้าเป็นตัวปัญหา ก็ยังไม่กลับประเทศไทย หรือรอก็ได้ อะไรทำนองนี้ ผมเชื่อว่าเป็นการต่อรองกัน แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ข้อเท็จจริง มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง  เพราะในที่สุดแล้วสังคมก็ต้องปรองดองกัน ต้องให้อภัย และอโหสิซึ่งกันและกัน  แต่ในแง่หนึ่ง ผมคิดว่า เรื่องคดีความ มันก็ควรจะดำเนินไปถึงบั้นปลายของมัน  คดีความของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกพิพากษา 2 ปี มันก็น่าดำเนินต่อไป เพราะยังมีศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ก็จะเดินไปตามกระบวนการของกฎหมาย  ผมคิดว่า ถ้าชิงนิรโทษกรรม แปลว่าเขาก็จะต้องต่อรองว่า นิรโทษกรรมอะไร

ที่สำคัญ นิรโทษกรรมทุกเรื่อง ใช่หรือไม่ เวลาที่จะนิรโทษกรรม เผลอๆ มีการนิรโทษกรรมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อ กล่าวหา ที่ว่า เผาบ้านเผาเมือง หรือเผาห้างสรรพสินค้า จะเป็นเรื่องยึดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ก็กลายเป็นว่า ถ้าจะนิรโทษกรรม ต้องนิรโทษกรรมหมดน่ะ  ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ผมคิดว่าสังคมไทยก็จะไม่มีบทเรียน ถ้าเผื่อให้กฎหมายผ่านได้ มันจะต้องทำให้เกิดความราบรื่น ดังนั้น ถ้าจะนิรโทษกรรม มันก็จะจบลงว่าเจ๊าหมด สังคมนี้ ก็จะไม่มีบทเรียน แต่ว่ามันต้องเอาความจริงขึ้นมาให้ปรากฎ แล้วถึงจะมาทำการให้อภัยกัน ไม่เช่นนั้น สังคมจะไม่มีบทเรียน

บทบาทกองทัพไว้ใจได้หรือไม่
ผู้นำของกองทัพ ก็มักจะบอกว่า เขาจะไม่รัฐประหารแน่ๆ ไม่ยึดอำนาจแน่ๆ แต่ก็ยึดทุกครั้งไป เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว ซึ่งบทเรียนทางประวัติศาสตร์ บอกว่า ในที่สุดแล้วเป็นเรื่องที่ทหาร เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากมหาศาล ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย เราอาจจะไม่ไปไกลจนถึง กบฎรศ.130 เราไม่ไปไกลถึงการปฏิวัติ 2475 แต่เอาใกล้ๆตัว เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 แล้วถอยกลับไปอีก ก็มี รสช.2534 – 2535 ถอยกลับไปอีกเมษาฮาวายก็ดี เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ถอยกลับไปอีกรัฐประหาร 2490 ของจอมพลผิน ชุณหะวัณ ปี 2491 จี้นายควง อภัยวงศ์ออก

เหตุการณ์ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นประวัติศาสตร์ ที่บันทึกว่าทหารเข้ามายึดอำนาจอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ถามว่า มันจะหมดไปแล้วหรือ ผมคิดว่า ก็คงยังไม่หมด แต่ตอนนี้ ทำยาก เพราะกระแสมันแรงมาก แล้วผมคิดว่าการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา มองให้ลึกๆ มันเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี  มันไม่ได้เลือกพรรคอย่างแท้จริง  ผมว่าเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี  ว่าจะเอาน.ส.ยิ่งลักษณ์หรือเอานายอภิสิทธิ์  แล้วมองลึกๆอีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นการลงประชามติ โดยที่ไม่ได้เรียกว่าประชามติ  คือลงประชามติว่า  เอาทักษิณ หรือไม่เอาทักษิณ

อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่า ในฐานะที่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สนใจเรื่องปราสาทเขาพระวิหารเป็นพิเศษ ที่ผมทำวิจัยให้กระทรวงการต่างประเทศ  ผมคิดว่า การเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.เป็นการลงประชามติว่า ไม่ต้องการให้เอากรณีปราสาทเขาพระวิหาร มาเล่นการเมือง ที่อ้างเรื่องการรัก ชาติ อ้างเรื่องการเสียดินแดน  เพราะเห็นจากคะแนนโหวต ผมคิดว่าประชาชนชาวศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์และบางส่วนของประชาชน จ.บุรีรัมย์ ที่มีความใกล้ชิดแนบแน่นกับทางกัมพูชา เขาไม่เอานโยบายปลุกผีเขาพระวิหาร ของนายสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

สิ่งที่บอกคือ นายสุวิทย์ต้องหนี ไม่ลงสมัคร ส.ส.ในแถบอีสาน บ้านเกิดของตัวเอง ลง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ แล้วก็ไม่ได้ ผมคิดว่าอันนี้ เป็นประชามติ แต่ว่านายสุวิทย์ ก็เหมือนนักการเมืองหัวเก่า หัวอนุรักษ์นิยมบางกลุ่ม ที่ยังเชื่อ เหมือนๆ กับทหารบางกลุ่ม ที่ยังเชื่อมายาคติ ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทิ้งเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งจะไปเอาปราสาทเขาพระวิหาร กลับมาเป็นของชาติไทย แล้วยังเชื่อ เหมือนกับวาทกรรมของอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่บอกว่า เราไม่รับแผนที่ เรารับสันบันน้ำ ก็ยังเชื่ออย่างนี้

เพราะฉะนั้น ก็ยังเชื่อว่า เราเสียดินแดนไป ทั้งๆที่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ใช่ดินแดนของเรา มันเป็นดินแดนของเขา แย่งกันไปแย่งกันมา เราแย่งไม่ได้ มันต้องมองอย่างนี้ แล้วมันต้องจบ นี่เป็นความหลงผิด ประวัติศาสตร์แบบผิดๆ ที่ถูกสร้างเอาไว้โดยฝ่ายหนึ่ง คือ จอมพลสฤษดิ์ ทิ้งเอาไว้ และอีกฝ่ายหนึ่งทิ้งเอาไว้ คือ ม.ร.ว.เสนีย์ มันก็ทิ้งเอาไว้ในกลุ่มคน ที่มีความคิดแบบเก่า ในกลุ่มของทหารบางกลุ่ม ในกลุ่มของนักการเมืองบางกลุ่ม อย่างที่เราเห็น คือ ถ้าไม่แก้ตรงนี้ ก็ไม่มีทาง ก็จะต้องทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆ และเวลาทะเลาะแล้ว ถ้าพูดจริงๆ ไทยเราก็กลายเป็นฝ่ายถูกรุก

ในแง่ของการทูต เราถือว่าเสียมากเลย  เราบอกว่าทวิภาคี คือ 2 ฝ่าย คือ ไทยกับกัมพูชา เรื่องมันเดินไปจนถึงอาเซียน  ถึงศาลโลก และเรื่องมันเดินไปถึงคณะกรรมการมรดกโลก รวมถึงองค์กรสหประชาชาติหรือยูเอ็น แสดงว่า ในแง่เรื่องนโยบายต่างประเทศเรา  ล้มเหลว คือ ที่เราบอกว่า 2 ฝ่าย ขณะนี้มันเป็นร้อยฝ่ายไปแล้ว ซึ่งเราจะเป็น “แกะดำ” หนึ่งเดียวในโลกนี้  ผมเชื่อว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลไทยชุดใหม่ทำ ในแง่นโยบายต่างประเทศ ต้องได้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ ที่มีฐานะ และความสามารถ ที่จะยืนอยู่บนเวทีระหว่าง ประเทศได้ ไม่ใช่อยู่ในฐานะเล่นเกมท้องถิ่

รัฐมนตรี ต่างประเทศ ควรจะต้องเป็นตัวแทนของเรื่องนี้ใน เวทีระหว่างประเทศ คือ ไม่ใช่ไปนั่งแอบๆอยู่ที่ศาลโลก มันไม่ได้ รัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องออกไปอยู่ข้างหน้า และทำนโยบายต่างประเทศเชิงรุก แล้ว เป็นเกียรติเป็นศรี ไม่ใช่ทำให้เรากลายเป็นผู้ใหญ่เกเร หรือตลกร้ายในเวทีระหว่างประเทศ  สิ่งแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องทำ  คือ หาคนที่เป็นตัวแทนประเทศไทย ที่อยู่ในระดับอินเตอร์ และต้องยืนยันว่า ผลประโยชน์ของประเทศ  หน้าตาของประเทศ อยู่กับยูเนสโก ไม่ใช่เดินออกจากยูเนสโก รัฐบาลต้องนำไทย กลับเข้าสู่คณะกรรมการมรดกโลกอีกครั้ง เพราะจะเป็นการนำไทยไปสู่ความศิวิไลย์

เกรงจะถูกจุดกระแสต่อต้านรัฐ
ถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ นำไทยกลับเข้าสู่คณะกรรมการมรดกโลก อีกครั้ง จะถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน  กลุ่มพันธมิตรฯ หรือแม้กระทั่งกองทัพ ใช้เป็นประเด็นจุดกระแสต่อต้านทางการเมือง

ผมคิดว่า มันบอกได้ว่า การจุดประเด็นรักชาติ รักเขาพระวิหาร มันจุดติดเมื่อปี 2551 เพราะเป้าหมาย คือ การล้มรัฐบาลนายสมัคร กับนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ซึ่งตอนนั้น บอกว่าเป็นนอมินี ของพ.ต.ท.ทักษิณ มันจุดติด แต่พอมาล่าสุด การนำประเด็นเขาพระวิหารมาเล่นใหม่ ตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว

จนกระทั่งมีการสู้รบกันในเดือน ก.พ.และมีการสู้รบกันต่อในเดือน เม.ย.มีคนตายไป 20-30 คน แต่มันจุดไม่ติด มันไปไกลจนกระทั่งถึงนายวีระ สมความคิด ถูกจับ และปัจจุบันก็อยู่ในคุกที่กรุงพนมเปญ มันไปไกลถึงขนาดว่า นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ถูกจับและถูกปล่อยมาแล้ว มาลงเลือกตั้งครั้งนี้ ก็สอบตก มันแปลว่า ประชาชนได้ส่งเสียงสวรรค์ บอกว่า ไม่เล่นประเด็นนี้ ดังนั้น การที่จะไปนำกลับมา ก็คงนำกลับมาได้ แต่จะจุดติดหรือไม่ติด เป็นเรื่องการเมืองมากกว่า  แต่ปรากฎว่า ประชาชนไม่ได้มองเรื่องการเมืองแบบเก่า แต่มองการเมืองแบบใหม่ ที่ต้องการ สันติภาพ

ห่วงรัฐบาลใหม่อะไรมากที่สุด
ผมยังเป็นห่วงเรื่องการทำรัฐประหาร สิ่งนี้ไม่น่าจะหมดไปง่ายๆ แต่ตอนนี้ผมว่า  เขาคงมีการเกี๊ยะเซี๊ยะกัน ในระดับหนึ่ง พลังพิเศษ พลังนอกรัฐธรรมนูญ อาจรอดูกระแสก่อน  มันก็มีสัญญาณอะไร ที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่ เพราะการยึดอำนาจ อาจไม่ใช่การยึดอำนาจโดยทหาร ใช้รถถัง ใช้ปืนก็ได้ ในอดีต ก็มีการยึดอำนาจโดยการปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราในสมัยรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา  การเล่นใช้อำนาจทางศาล ก็มีมาแล้วที่เรียกว่า ตุลาการภิวัตน์  ซึ่งก็มีสิทธิ์ ในเรื่องกรณีที่นายแก้วสรร อติโพธิ แกนนำเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ (คนท.) ที่ยื่นเอาไว้ก็มีอยู่

การเมืองไทยจะนิ่งหรือไม่ ผมคงพูดไม่ได้  มันคงอาจจะชั่วคราว หยุดถอนหายใจ หยุดตั้งสติ แล้วเดินกัน ใหม่  แต่ว่ามันก็วางใจไม่ได้ ผมคิดว่าในส่วนที่นอกเหนือจากขั้วของนักการเมือง ขั้วของพรรค ในแง่ของผม ในฐานะเป็นนักวิชาการ เราก็คงติดตาม ศึกษามาเผยแพร่ความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับการเมืองต่อไป มันต้องหลายๆส่วน ที่จะต้องช่วยกันผลักดัน ส่วนเรื่องอนาคตของประเทศไทย หลังจากนี้ ต้องยอมรับว่าพูดยาก อย่างที่ผมบอกที่ผ่านมาทำให้เรามีทัศนคติในแง่ร้าย แต่ตอนนี้ อาจมีสัญญาณบางอย่าง การเมืองมันเปลี่ยน ดังนั้น ในระดับหนึ่ง คนที่เป็นคนชั้นนำ จะเกี๊ยะเซี๊ยะกัน

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นเพื่อไทย หรือประชาธิปัตย์ คุณก็อยู่ในระดับของคนชั้นนำของประเทศ คุณไม่ใช่คนระดับกลาง ล่าง หรือรากหญ้า ถึงแม้ว่าคุณจะพูดแทนคนรากหญ้า คุณก็ไม่ใช่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะเกี๊ยะ เซี๊ยะกัน แต่การเกี๊ยะเซี๊ยะกันข้างบนนี้  จะใช้ได้หรือไม่ สำหรับสังคมโดยรวม และเป็นที่ยอมรับของคนข้างล่างได้หรือไม่  เพราะสังคมไทย เปลี่ยนไป และไปไกลมากแล้ว มีคนใหม่ๆที่เกิดขึ้นมา ที่คิดไม่เหมือนกับคนอายุ60 – 70 คิดต่อไปแล้ว เป็นคนที่วิ่งระหว่างเมือง กับชนบท ขอเตือนว่า ถ้าข้างบน ชนชั้นนำเกี๊ยะเซี๊ยะกัน โดยมองข้ามหัวคนเหล่านี้ ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ยอมอย่างแน่นอน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประชาไทบันเทิง Amy Winehouse : Stronger Than Me

Posted: 24 Jul 2011 11:39 PM PDT

Amy Winehouse : Stronger Than Me

ประชาไทบันเทิง Amy Winehouse : Stronger Than Me

คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เหมือนจะเป็นค่ำคืนแห่งการอัพข้อความ ‘RIP’ บนหน้าวอลล์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ นอกจากการค้นพบศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกแล้ว ตกดึกยังมีข่าวน่าตกใจเมื่อสำนักข่าว Daily Mail แห่งอังกฤษรายงานว่านักร้องสาวเพลงโซลคนดัง เอมี่ ไวน์เฮาส์ เสียชีวิต โดยตำรวจพบศพในบ้านของเธอเอง ซึ่งคาดว่าสาเหตุของการเสียชีวิตน่าจะมาจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด อันเป็นปัญหาส่วนตัวที่คนทั้งโลกรู้มานานนมตั้งแต่ปี 2007 แล้วว่าเธอดื่มหนักและติดยา แต่ไม่มีใครคาดว่าเธอจะตายจริงๆ ด้วยสาเหตุนี้ (ดิฉันยังนั่งคิดไม่ตกว่า คนที่ติดยาขนาดนั้น ติดเหล้าขนาดนั้น มันมีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่จะตายด้วยอาการเสพยาเกินขนาด และก็เกิดเหตุการณ์นี้บ่อยๆ กับนักร้องคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แล้วทำไมเรา หรือคนใกล้ตัวยังปล่อยปะละเลย และปล่อยให้เธออยู่ตัวคนเดียว ถ้าหากเราเคารพในเจตจำนงในการเลือกใช้ชีวิตของปัจเจกแล้ว การมานั่งฟูมฟายเสียดายชีวิตและพรสวรรค์ในงานเพลงของเอมี่ ไวน์เฮาส์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึง) แม้จะเดินออกจากสถานบำบัดเป็นว่าเล่น แต่เธอก็ไม่เคย ‘ดีขึ้น’ จริงๆ เสียที

ดิฉันรู้จักงานเพลงของเอมี่ ไวน์เฮาส์ จากอัลบั้มแรก ‘Frank’ ซิงเกิลแรก ‘Stronger Than Me’ งานโซลจังหวะกลางๆ ที่แม้ไม่โดดเด่นมากนัก แต่เสียงอันมีเอกลักษณ์ของเธอก็ทำให้ต้องค้นหาว่าเธอเป็นใคร อะไร ยังไง เสียงโซลดำๆ ดิบๆ ของเอมี่ ทำให้งานเพลงในอัลบั้มแรกของเธอโดดเด่นขึ้นมาและเป็นที่จับตามอง เพราะถ้าพิจารณาในแง่เมโลดี้ มันก็ยังไม่โดดเด่นมากพอ จะติดหูเหมือนเพลงป๊อปก็ไม่ถึง จะโซลจ๋าก็ไม่ใช่ หรือจะมีลูกเล่นมีกิมมิคแพรวพราวก็ยังหาไม่เจอ แต่ที่ฮืฮอาวี้ดว้ายกันก็เพราะตอนนั้นศิลปินที่ทำเพลงโซลไม่ค่อยจะมี (โดยเฉพาะในอังกฤษด้วยแล้ว) และอีกอย่างเธอก็ไม่ใช่คนผิวสีเสียทีเดียว ที่เรามักจะติดป้ายเพลงโซลไว้กับคนผิวสี (ปราฏการณ์นี้เห็นได้จาก Duffy สาวเสียงโซลดำปี๋ แต่ผิวขาวจั๊ว ที่โด่งดังในอังกฤษและขยายไปทั่วโลก—เพียงแค่อัลบั้มแรกเท่านั้นแหละ) นอกจากเสียงที่มีเอกลักษณ์ เป็นคนขาวร้องเพลงโซล เธอยังมีเป็นศิลปินตัวจริง เพราะทำงานเพลงเอง เขียนเพลงเอง โปรดิวซ์เอง (บางเพลง บางส่วน) และเสียงร้องของเธอก็พิสูจน์ว่า ร้องเพลงเป็น ทั้งคีย์ต่ำที่ก้มลงไปแตะถึงหรือคีย์สูงที่โหนขึ้นแล้วทำให้เพลงน่าฟัง มีมิติมากขึ้น เอมี่จึงเป็นศิลปินที่มีวัตถุดิบพร้อมในการเป็นศิลปินตัวจริงได้อย่างไม่ยากเย็น

ซิลเกิลที่สาม ‘You Sent Me Flying’ ที่พิสูจน์เสียงร้องในเพลงช้าๆ ทำให้หลายคนหันมาสนใจเธอมากขึ้น แต่โดยส่วนตัวดิฉันชอบเพลง ‘Fuck Me Pumps’ งานเพลงสุด ‘ออหรี่’ ของเธอ ที่เนื้อเพลงได้ใจไปพร้อมกับภาพลักษณ์ (ที่ยังไม่ได้รีแบรนด์) สาวซอยคาวบอย ซอยนานา (ไม่ได้ Discriminate นะคะ เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ) อีกทั้งจังหวะยังสนุกสนาน ติดหู และอีกเพลงคือ ‘(There Is) No Greater Love’ ที่นำเพลงเก่าของบิลลี่ ฮอลลิเดย์ มาร้อง แม้จะเคารพในเมโลดี้แบบแจ๊ซเดี๊ยะๆ แต่เสียงร้องแบบโซลของเธอก็ทำให้เพลงนี้ไม่ขี้เหร่ และบิลลี่ ฮอลลิเดย์ ไม่ลุกขึ้น (จากหลุม) มาด่าได้

อัลบั้มชุดที่สอง (หรือชุดสุดท้าย) ‘Back To Black’ คืองานเพลงที่ทำให้เธอดังไปทั่วโลก จากซิงเกิลแรก ‘Rehab’ ที่ทุกคนรู้จักกันดี อย่างที่ยกตัวอย่างว่า Duffy นั้นดับสนิทในผลงานชุดที่สอง ทั้งๆ ที่เธอตีคู่มากับเอมี่ ไวน์เฮาส์ เลยก็ว่าได้ ทั้งแนวเพลงที่คล้ายคลึงและการเป็นศิลปินจากเกาะอังกฤษที่ผีผลงานดังไปทั่วโลกในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สาเหตุหนึ่งก็เพราะดัฟฟี่ย่ำอยู่กับงานเพลงในรูปแบบเดิมๆ อย่างเพลง ‘Mercy’ ที่เธอประสบความสำเร็จ และอย่างที่สองคือ ‘ภาพลักษณ์’ ของเธอ ที่ไม่ยอมเปลี่ยน หรือไม่มีการ ‘Re-Branding’ ตัวเอง

การ Re-Branding ตัวเอง นั้นสำคัญกับศิลปินเป็นอย่างมาก เพราะมันคือการสร้าง ‘ภาพจำ’ ให้กับคนดูคนฟัง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้าผม (สังเกตดูสิ โดยเฉพาะเสื้อผ้าของศิลปิน โดยเฉพาะศิลปินไทย ถึงช่วงต้องออกรายการโปรโมทเพลง เราก็จะเห็นเสื้อผ้าชุดเดิมที่ถ่ายบนปกเทป หรือถ่ายทำในมิวสิค วิดีโอ นั่นคือการพยายามตอกย้ำภาพจำให้เกิดซ้ำๆ จนคนติดตา แม้เพลงจะไม่ติดหู แต่คนก็ยังจำได้ว่าคนนี้เป็นใคร) ยกตัวอย่างง่ายๆ และคลาสสิกที่สุดก็คือ มาดอนน่า ที่เธอสามารถเวียนว่ายตายเกิดในวงการได้นานหลายทศวรรษและยังเป็นศิลปินขายดีอยู่เสมอ ก็เพราะการเล่นกับ ‘ภาพลักษณ์’ ของตัวเองโดยการ ‘Re-Brand’ ตัวเองในทุกๆ อัลบั้ม ทั้งการเชื่อมโยงกับผลงาน ตัวตน หรือการสร้างการตลาดของตัวเองขึ้นมาใหม่ (อย่างที่เลดี้ กาก้า ทำไงล่ะ) แม้ในยุคที่เราฟังเพลงผ่านมิวสิค วิดีโอ ทางโทรทัศน์ จนมาถึงคอมพิวเตอร์ทางยูทูบ การจะเป็นศิลปินตัวจริง (ที่ขายได้) นั้นมันต้องทำให้คนนึกออกว่า เมื่อนึกถึงคุณ นอกจากเพลงที่คุณน้อง คุณมีภาพอย่างไร ง่ายๆ เลย ถ้าคุณเป็นศิลปินแล้วสั่งให้นักวาดการ์ตูนวาดภาพคุณในแบบฉบับการ์ตูน ถ้สเขานึกไม่ออกว่าจะดึงอะไรออกมาให้เป็นจุดเด่น เป็นจุดที่ใครเห็นก็ต้องร้องอ๋อ...ว่านี่ใคร จำได้แล้ว นั่นหมายความว่า ในทางการตลาดคุณไม่ประสบความสำเร็จ

เอมี่ ไวน์เฮาส์ ก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการรีแบรนด์ตัวเอง (แน่นอน..ต้นทุนเธอมีอยู่แล้ว) ในอัลบั้มชุดที่สองเธอมาพร้อมกับทรงผมรังนกยกสูงยิ่งกว่าสาวยุค 50’s เสียอีก การเขียนอายไลเนอร์อันกลายเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของเธอไปแล้ว (และก็กลายเป็นเทรนด์ของโลกอยู่ช่วงหนึ่ง) ชุดเดรสสั้นเข้ารูปที่คาดด้วยเข็มขัดซูเปอร์เบลต์ ที่ทำให้สาวๆ ทั้งโลกหามารัดใต้อกกันเป็นแถว และลายสักพร้อมตามแขนที่โชว์เด่นหรา (นี่อาจจะมีอยู่แล้ว) ภาพของเอมี่ ไวน์เฮาส์ ในอัลบั้มชุดที่สอง แม้จะไม่ได้แตกต่างจากอัลบั้มแรกสิ้นเชิง (อัลบั้มแรกเธอปล่อยผมธรรมดาๆ และยังไม่เขียนอายไลเนอร์แบบนี้ เรียกว่า บ้านๆ ยังไม่มี ‘ลุค’) แต่ก็ได้สร้างภาพจำอย่างง่ายดายให้คนทั้งโลกจดจำและเลียนแบบ ‘ลุค’ ของเธอ เป็นการรีแบรนด์ตัวเองที่ประสบความสำเร็จ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรให้มาก (เหมือนอย่างมาดอนน่า หรือเลดี้ กาก้า) และไปกันได้ดีกับเพลงและสไตล์ของเธอ และจากลุคนี้ก็ทำให้เธอกลายเป็นแฟชั่นไอคอน ไปโดยปริยาย อายไลนเนอร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และสาวๆ ก็พากันบ้ากรีดอายไลเนอร์แบบเอมี่ ไวน์เฮาส์ แต่งตัวแบบเอมี่ ไวน์เฮาส์ (เหมือนอย่างในมิวสิค วิดีโอ Valerie ที่มาร์ค รอนสัน เหมือนจะล้อเลียนกระแสนี้อยู่ในที) คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ แห่งแบรนด์ชาเนล ชื่นชอบเธอ และยกย่องให้เธอเป็น Muse ในซีซั่นนั้น

ด้านงานเพลงเธอก็นำ ‘ภาพลักษณ์’ ของตัวเองมาขาย (หรือเป็นแรงบันดาลใจก็แล้วแต่) กับซิงเกิลแรก ‘Rehab’ ที่ยั่วล้อพฤติกรรมการติดเหล้าติดยาของตัวเอง และแม้จะมีใครบอกให้เธอไปบำบัดเธอก็ได้แต่บอกว่า ‘โน...โน...โน’ (ก็เพราะอย่างนี้ไง ถึงได้ตาย) ด้วยจังหวะโซลสนุกสนาน เนื้อหามีประเด็นที่เล่นกับภาพลักษณ์ของตัวเองได้ ทำให้เพลงนี้ดังอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งแน่นอนอย่างที่พูดไปทั้งหมดนั้นทำให้เห็นว่า...มันไม่ดังด้วยตัวเพลง หรือเสียงร้องที่ยอดเยี่ยมของมันเพียงอย่างเดียว

อัลบั้ม Back To Black ของเอมี่ ไวน์เฮาส์ ทำให้เห็นว่านอกจากเธอจะรีแบรนด์ตัวเองได้อย่างดี (มาก) แล้ว ในด้านงานเพลงยังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้จาก ทั้งเมโลดี้ที่เนี้ยบขึ้น โปรเฟสชั่นแนลมากขึ้น เสียงร้องของเธอที่โดดเด่นขึ้นจากอัลบั้มแรกอย่างเห็น (ฟัง?) ได้ชัด เข้มขึ้น เข้มแข็งขึ้น มีพลังและมีอารมณ์ในการถ่ายทอดมากขึ้น และมีลูกล่อลูกชนมากขึ้น โดยเฉพาะวิธีการร้องรั่วๆ คร่อมจังหวะของเธอที่กลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้วเวลาร้องสด (เหมือนมารายห์ แครี่ ที่ชอบเปลี่ยนโน้ต เปลี่ยนคีย์ การร้องเวลาร้องสด ที่กลายเป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของเธอ นอกจากเสียงนกหวีดแสบแก้วหูนั่น) และที่สำคัญคือเนื้อร้อง ที่เห็นว่ามีการนำเรื่องราวส่วนตัวมาเรียงร้อย เขียนเป็นเนื้อเพลง แม้ว่าจะยังเกาะเกี่ยวอยู่กับเรื่องความรัก แต่ก็ไม่ใช่วลีลอยๆ อย่างเธอรักฉัน ฉันรักเธอ โลกนี้สดใสเมื่อมีเธอ หรือ เธอไม่รักฉัน ฉันเสียใจ กลับมาได้ไหม ทำไมเราเลิกกัน ที่เป็นวลีที่ไม่มีความหมายอย่างที่เราได้ฟังกันดาษดื่น (เหมือนวลีธรรมะที่คนชอบโพสต์บนเฟซบุ๊กทุกวันนี้) ในเพลงรักหวานเลี่ยนทั่วไป

ซึ่งนักร้องสาวจากเกาะอังกฤษเช่นเดียวกันอย่างอะเดล ก็โดดเด่นมากในการถ่ายทอดงานลักษณะนี้ เพลงที่แทบจะไม่คล้องจอง ลงเสียงอย่างเพราะพริ้ง แต่กลับฟังแล้วรื่นหู ด้วยการร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในการถ่ายทอด ไม่จำเป็นต้องตะเบ็งเสียงเป็นดีว่า แตะโน้ตทุกคีย์เป๊ะๆ อย่างฟากอเมริกาที่ร้องดีแต่ไร้อารมณ์ นี่คือสาเหตุว่าท่ามกลางเพลงแดนซ์และแร็พ/ฮิพฮอพ ของอเมริกาที่ครองโลก ทำไมอะเดล (และเอมี่ ไวน์เฮาส์) ถึงข้ามฟากไปดังได้ และวิธีการเขียนเนื้อร้องอย่างอเมี่ ไวน์เฮาส์ หรืออะเดลนี้ ก็คงต้องขอบคุณต้นแบบที่เป็นคนริเริ่มแนวทางการเขียนเนื้อเพลงโดยนำเรื่องราวของตัวเองมาเล่า (ที่คนอื่นอาจจะเข้าถึงบ้าไม่ถึงบ้าง) แต่ยังถ่ายทอดออกมาในธีม ‘รัก’ ที่เป็นเรื่องสากลโลกได้อย่างดี อย่าง Joni Mitchell (หาอ่านกันได้ในหนังสือเรื่อง Fever)

เพลงอย่าง ‘Rehab’ และ ‘You Know I’m No Good’ พอจะทำให้เห็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี (กับเรื่องราวของสามีเก่าทั้งหลาย) และการทำเพลงโดยการใช้แซมเพิลเพลง หรือเมโลดี้ที่ติดหูจากเพลงเก่าๆ ก็ยังเป็นแนวทางที่ศิลปินในปัจจุบันใช้เพื่อทำให้เพลงตัวเองฟังง่ายและติดหูมากขึ้น อย่างในเพลง ‘Tear Dry On Their Own’ ของเอมี่ ก็ใช้แซมเพิลเพลงดังอย่าง ‘Ain’t No Mountain High Enough’ หรือ ‘He Can Only Hold Her’ ที่ออกมาแล้วใช้แซมเพิลเพลงเดียวกันกับเพลงของ John Legend อัลบั้มนี้ทำให้เธอดังสุดขีดกวาดราวัลแกรมมี่ไปถึง 5 ตัว จากการเข้าชิง 6 รางวัล แต่เธอก็ไม่มีโอกาสไปรับบนเวที เพราะว่าไม่สามารถบินเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากโดนโทษห้ามเข้าประเทศจากข้อหายาเสพติดนี่แหละ จึงมีการจัดงานคู่ขนาดอีกเวทีหนึ่งที่อังกฤษ เพื่อให้เธอขึ้นแสดง และยิงสัญญาณดาวเทียมข้ามไปข้ามมา

อีกหนึ่งเพลงที่พิสูจน์ให้เห็นความเป็นศิลปินตัวจริงของเธอก็คือ ‘Valerie’ ที่จริงเพลงนี้เป็นงานโปรดิวซ์ของมร์ค รอนสัน ในอัลบั้มของเขา แต่เชิญเอมี่ ไวน์เฮาส์ มาร้อง และเพลงนี้ก็เป็นเพลงเก่าของ The Zutons วงอินดี้ร็อกอังกฤษ และก่อนหน้านี้ในเวอร์ชั่นของ The Zutons ก็เป็นเพลงร็อกที่ดังพอสมควร แต่เมื่อกลายมาเป็นเวอร์ชั่นของเอมี่กับจังหวะโซลสนุกสนานด้วยการโปรดิวซ์ของมาร์ค รอนสัน แล้ว เธอก็แสดงให้เห็นว่าเธอสามารถทำให้มันเป็นเพลงของตัวเองได้อย่างไร กับวิธีการร้องที่เยี่ยมยอด มีลูกล่อลูกชนกว่าเพลงใดๆ ของเธอ

ก่อนหน้านี่เธอจะเสียชีวิต การแสดงของเธอที่ Belgrade นั้นเป็นสัญญาณอย่างดีว่า เอมี่ ไวน์เฮาส์ นั้นไม่ไหวแล้ว เธอขึ้นเวทีด้วยอาการมึนๆ จำเนื้อร้องไม่ได้ ร้องเพลงไม่ได้ หนีหายไปหลังเวที แต่ทุกคนก็คงคิดไว้แล้วว่านี่เป็นเหตุการณ์เดิมๆ เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรก เธอเป็นอย่างนี้มาหลายหน จนต้องยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ตบ่อยๆ ข่าวคราวของเธอก่อนหน้านี้ตั้งแต่การเข้าห้องอัดเตรียมทำอัลบั้มใหม่ (คาดว่าคงมีออกมาในเร็วๆ นี้ แม้จะไม่สมฐูรณ์ก็ตามที) หรือการไปเป็นดีไซเนอร์ให้กับเสื้อผ้าแบรนด์ Fred Perry ที่เธอใส่อยู่บ่อยๆ เหมือนเป็นตัวหลอกว่าชีวิตเธอดีขึ้น รวมถึงการขึ้นเวทีครั้งสุดท้ายเมื่อสองสัปดาห์ก่อนก่อนเสียชีวิตกับงาน iTune Music Awards ที่เธอขึ้นแสดงกับลูกสาวบุญธรรม Dionne Bromfield สาวสียงโซลที่อาจจะเป็นตัวแทนของเอมี่ในอนาคต ก็ทำให้หลายคนหายห่วงกับชีวิตของเธอ จนเมื่อมีข่าวว่าเธอเสียชีวิตในวันที่ 23 ที่ผ่านมา

ตัวเลข 27 อายุของเธอถูกนำไปโยงกับการตายของศิลปินคนอื่นๆ ที่ตายตอนอายุ 27 ปีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Janis Joplin, Kurt Cobain หรือ Jamie Hendrix เลข 27 อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เพราะเมื่อสืบไปยังอดีต นักร้องหรือนักแสดงที่เสียชีวิตเพราะยาเสพติดนั้นมีเป็นร้อย...หลายร้อยคน สาเหตุการติดยาก็ไม่แตกต่างกัน บางคนล้มเหลวเรื่องชีวิต อาชีพที่ไม่รุ่งโรจน์ บางคนก็ล้มเหลวเรื่องความรัก (ข่าวบอกว่าที่เอมี่เป็นอย่างนี้เพราะเลิกกับแฟนหนุ่ม แต่ได้ข่าวว่าตอนที่เป็นแฟนกันอยู่สภาพก็ไม่ต่างกัน) บางคนก็อ้างว่านี่เป็นทางออกในการทำงานเพลง (ซึ่งมีหลายบทความอ้างถึงงานเพลงระดับตำนานที่ได้มาจากการเสพยาเสพติดของศิลปิน) บางคนก็แค่พ่ายแพ้แก่ความย้ายวนของมัน พวกเขาอาจเข็มแข็งไม่พอ หรือเลือกแล้วที่ใช้มัน...

ภาพของหญิงสาวในชุดเดรสสั้นคาดซูเปอร์เบลต์ ผมตีฟูยกสูงเป็นรังนก กรีดอายไลเนอร์เส้นใหญ่ล้นเฉียงปลายตา และลายสักเต็มแขน เสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ ดั่งพรสวรรค์ แม้จะฟังดูรั่วๆ แต่หนักแน่น เต็มไปด้วยอารมณ์ในการสื่อสารตัวเพลง มันคือส่วนผสมชั้นดีของการตลาดในโลกธุรกิจเพลงและพรสวรค์อย่างที่ศิลปินพึงมี และน้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นในวงการนี้ แม้จะมีศิลปินเกิดใหม่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่เธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวจริง ที่เราจะจดจำ...ไม่มีวันลืม

และดิฉันก็ขอขึ้นสเตตัส RIP เพื่อแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเธอ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น