โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

พ่อผู้สมัคร ส.ส.ปชป.ใช้มีดไล่ฟันรถแห่ขอบคุณว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย

Posted: 09 Jul 2011 01:38 PM PDT

รถขยายเสียงว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย เดินสายขอบคุณประชาชนในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.นนทุบรี หลังชนะเลือกตั้งเหนือพรรคคู่แข่ง ด้านพ่อผู้สมัคร ส.ส.ปชป.เขตเดียวกัน คว้ามีดไล่ฟันรถแห่ แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจรับแจ้งความข้อหาข่มขู่-พยายามทำร้ายร่างกาย

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. วานนี้ (9 ก.ค. 54) นางจินตนา คงเกิด อายุ 35 ปี สมุหบัญชีของนายอุดมเดช รัตนเสถียร ว่าที่ ส.ส.นนทบุรี เขต 2 พรรคเพื่อไทย ได้นำรถกระบะ 2 คัน แห่กระจายเสียงออกขอบคุณประชาชนในพื้นที่ จนกระทั่งเข้าไปในซอยรัตนาธิเบศร์ 8 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ขาเข้าไม่มีปัญหาแต่ขาออกจากซอยนายชยันต์ วรวรรณปรีชา พ่อของ น.ส.วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา อดีตผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี เขต 2 พรรคประชิปัตย์ ที่แพ้นายอุดมเดช ได้ถือมีดดาบกระโดดมาขวางขบวนรถ จึงบอกไปว่าขอโทษนะวันนี้มาขอบคุณ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เดียวมึงเจอกัน

นางจินตนากล่าวว่า ตนจึงบอกให้คนขับรถขับออกมาทันที แต่นายชยันต์ได้ใช้มีดฟันรถแห่ขอบคุณคันหลังซึ่งวิ่งตามกันมา โดยป้ายรูปนายอุดมเดชถูกฟันเสียหาย ส่วนคนในรถสิบกว่าคนไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

ในเบื้องต้นนางจินตนา พร้อมด้วยนายมโน ทองปาน ทนายความ ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.กสินธิ์ ศักดิ์ดี พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี สาขารัตนาธิเบศร์ โดยตำรวจรับแจ้งไว้ 2 ข้อหา คือ ข่มขู่และพยายามทำร้ายร่างกาย ส่วนข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ต้องรอให้นายอุดมเดชมอบอำนาจมาแจ้งความอีกครั้ง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วิดีโอคลิปชุมนุม "Bersih 2.0" บันทึกจากมุมมองชาวมาเลเซีย

Posted: 09 Jul 2011 01:29 PM PDT

ผู้ใช้ยูทิวป์ "Wongkokeggtart" ได้โพสต์วิดีโอคลิป "Through My Eye --- BERSIH" ทั้งหมด 3 ตอน โดยเป็นการบันทึกการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม หรือ "Bersih 2.0" (เบอเซ ทูพอยท์โอ) ซึ่งจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับ "Bersih 2.0" (Bersih "เบอเซ" แปลว่า "สะอาด" ในภาษามลายู) เป็นแนวร่วมกับกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (the Pakatan Rakyat ในภาษามลายู หรือ the People’s Pact) ซึ่งเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรคการเมืองใหญ่สุดในมาเลเซีย และองค์กรภาคประชาสังคมในมาเลเซีย ซึ่งเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้งในมาเลเซีย

โดย Bersih 2.0 เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมาเลเซียปฏิรูป กระบวนการเลือกตั้ง เช่น ให้ชำระระเบียบการเลือกตั้ง ให้ปฏิรูประบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่โปร่งใส เรียกร้องให้ใช้หมึกที่ลบไม่ออกในการลงคะแนน ให้มีการหาเสียงเลือกตั้ง 21 วันเป็นอย่างน้อย และอนุญาตให้ทุกพรรคการเมืองเข้าถึงสื่อสารมวลชน และยุติการเมืองสกปรก

สำหรับการประท้วงเมื่อ 9 ก.ค. ตำรวจจับกุมผู้ประท้วงไปแล้วอย่างน้อย 1,410 ราย และถูกกลุ่มทนายความเสรีกล่าวหาว่าตำรวจไม่ยอมให้ผู้ถูกควบคุมตัวเข้าพบทนาย

ตอนที่ 1 ที่มา: Wongkokeggtart/Youtube.com

ตอนที่ 2 ที่มา: Wongkokeggtart/Youtube.com

ตอนที่ 3 ที่มา: Wongkokeggtart/Youtube.com

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักกิจกรรมไทย-เทศชุมนุมสนับสนุนกลุ่มรณรงค์เลือกตั้งสะอาดของมาเลเซีย

Posted: 09 Jul 2011 11:49 AM PDT

นักกิจกรรมไทยและต่างชาติหลายสิบคนมาชุมนุมที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำกรุงเทพฯ เพื่อแสดงเจตจำนงสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มรณรงค์การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมในมาเลเซีย พร้อมยื่นจดหมายประณามการจับกุมตัวนักกิจกรรม นักการเมืองที่ออกมารณรงค์เรียกร้องดังกล่าว 

เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (9 ก.ค.54) นักกิจกรรมไทยและต่างชาติประกอบด้วยตัวแทนจากกลุ่มประกายไฟ กลุ่มคนงาน TRY ARM, มูลนิธิศักยภาพชุมชน, องค์กรฟอร์รั่มเอเชีย และนักกิจกรรมอื่นๆ หลายสิบคนมาชุมนุมที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำกรุงเทพฯ เพื่อแสดงเจตจำนงสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มรณรงค์การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม (Bersih 2.0)ในมาเลเซียที่มีการชุมนุมใหญ่ในวันเดียวกันนี้  พร้อมทั้งได้มีการยื่นจดหมายประณามการจับกุมตัวนักกิจกรรม นักการเมืองของมาเลเซียที่ออกมารณรงค์เรียกร้องดังกล่าว  โดยทางสถานเอกอัครราชทูตได้ส่งนางเฟนนี่ นูลี อัครราชทูตที่ปรึกษา ประจำสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย มารับจดหมาย

ทั้งนี้ อัครราชทูตที่ปรึกษา ประจำสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย ได้ขอบคุณนักกิจกรรมที่มาแสดงความคิดเห็นอย่างสันติและรับปากว่าจะส่งจดหมายดังกล่าวไปรัฐบาลมาเลเซีย

โดยจดหมายประณามและเรียกร้องฉบับดังกล่าวระบุว่า ต้องการแสดงพลังร่วมกับเพื่อนในมาเลเซียที่จะมีการเดินขบวนในวันนี้ (9 ก.ค.54) ที่นำโดนกลุ่มรณรงค์เพื่อการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม (Bersih 2.0) ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเลือกตั้งในมาเลเซีย ให้ได้รับความเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องการชุมนุม

จดหมายยังระบุถึงเจตจำนงของผู้มาชุมนุมด้วยว่าต้องการสนับสนุนในประเด็นสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ในฐานนะที่มาเลเซียเป็นสมาชิกของสภาสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ดังนั้นรัฐบาลมาเลเซียจำความที่จะเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่าง สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการบัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนรวมถึงในรัฐธรรมนูญของมาเลเซียเอง

“แต่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมาเลเซียได้จับกุมนักกิจกรรมมากกว่า 150 คนที่เรียกร้องในประเด็นนี้โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมและยังมีการบุกค้นสำหนักงานของกลุ่ม Bersih 2.0 เพื่อต้องการสร้างความกลัวให้เกิดแก่นักกิจกรรมอันจะนำไปสู่การยุติการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการเดินขบวนใหญ่ในวันนี้ เราจึงขอประณามรัฐบาลมาเลเซียกับการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและหลักประชาธิปไตยนี้” จดหมายดังกล่าวระบุ

รวมถึงจดหมายฉบับดังกล่าวยังมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลมาเลเซีย เช่น อนุญาตให้มีการจัดการเดินขบวนรณรงค์ปฏิรูปการเลือกตั้ง โดยปราศจากการจับกุมข่มขู่จากรัฐ ขอให้รัฐบาลปล่อยนักโทษที่ถูกจับโดยกฎหมายความมั่นคงไม่มีเงื่อนไข ให้รัฐบาลมาเลเซียยกเลิกการใช้กฎหมายความมั่นคงตามคำแนะนำของคณะทำงานของสหประชาชาติ ต้องไม่มีการทรมานนักโทษทุกคนและยกเลิกข้อกล่าวหาทุกข้อกล่าวหาต่อกลุ่มผู้จัดเดินขบวนรณรงค์ในวันนี้ที่มาเลเซีย

โดยในวันเดียวกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ผู้ชุมนุมกลุ่มหนุนปฏิรูปเลือกตั้ง "Bersih 2.0" นี้ ได้นัดชุมนุมใหญ่เพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปเลือกตั้ง ขณะที่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าสลายการชุมนุมและได้มีการจับผู้ประท้วงและแกนนำไป แล้ว 1,400 ราย (ข่าวก่อนหน้านี้)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พม่าขยายอายุพาสปอร์ตชั่วคราวให้แรงงาน

Posted: 09 Jul 2011 10:15 AM PDT

พม่าขยายอายุพาสปอร์ตชั่วคราวของแรงงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติเป็น 6 ปี และอนุญาตให้แรงงานที่ถือพาสปอร์ตเดิม 3 ปี ต่ออายุได้เป็น 6 ปี

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนารายงานว่าเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2554 สื่อท้องถิ่นของพม่าได้นำเสนอข่าวว่า รัฐบาลพม่าได้ขยายอายุหนังสือเดินทางชั่วคราว สำหรับแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ จากเดิม 3 ปี เป็น 6 ปี

โดยแรงงานข้ามชาติที่ข้ามชาติที่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติและได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 54 เป็นต้นไป จะได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราวอายุ 6 ปี และแรงงานข้ามชาติที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติก่อนหน้านี้และถือหนังสือเดินทาง ชั่วคราวอายุ 3 ปี สามารถขอต่ออายุหนังสือเดินทางชั่วคราวเป็น 6 ปีได้

ทั้งนี้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติเป็นไปตามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและพม่า เพื่อพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่าที่เดินทางเข้าเมืองมาโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว และปรับสถานะให้เป็นแรงงานถูกกฎหมาย ซึ่งเมื่อแรงงานผ่านการพิสุจน์สัญชาติแล้วจะได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราวจากรัฐบาลพม่าและได้รับใบอนุญาตทำงานจากรัฐบาลไทยเป็นเวลา 2 ปี ปัจจุบันมีแรงงานที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วประมาณ 500,000 คน

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ได้เก็บข้อมูลกระบวนการต่ออายุหนังสือเดินทางชั่วคราวสำหรับแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1. แรงงานข้ามชาติกรอกแบบฟอร์มภาษาพม่าจำนวน 2 ใบ คือ

แบบฟอร์มกรอกรายละเอียดส่วนตัว พร้อมแนบรูปถ่าย
แบบคำร้องขอต่ออายุหนังสือเดินทางชั่วคราว

2. นำแบบฟอร์มไปยื่นที่จุดบริการภายในสถานทูตพม่า พร้อมกับหนังสือเดินทางชั่วคราวฉบับจริง

3. ชำระค่าธรรมเนียม พร้อมรับใบเสร็จ จำนวน 450 บาท

4. เมื่อดำเนินการเสร็จ สามารถรับหนังสือเดินทางชั่วคราวฉบับจริงคืนได้จากสถานทูต (ภายในวันเดียวกัน)

5. ในกรณีที่แรงงานข้ามชาติไม่สามารถไปดำเนินการขอต่ออายุได้ด้วยตนเอง สามารถนำแบบฟอร์มที่กรอกข้อมูล ลงชื่อ พร้อมแนบหนังสือเดินทางชั่วคราวฉบับจริง ให้กับผู้ที่ไปดำเนินการแทนได้

6. การต่ออายุหนังสือเดินทางชั่วคราวสามารถทำได้ 3 แห่ง คือ สถานทูตพม่าประจำประเทศไทย กรุงเทพ ศูนย์ประสานงานการพิสูจน์สัญชาติ ท่าขี้เหล็ก และศูนย์ประสานงานการพิสูจน์สัญชาติ จ.ระนอง

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ม.ทักษิณยึดที่สาธารณะ ไล่ฟ้องชาวบ้านเข้าทำกิน

Posted: 09 Jul 2011 10:03 AM PDT

นัด 20 ชาวบ้านพนางตุงไกล่เกลี่ย ม.ทักษิณ 2 คดี อัยการแนะมหาวิทยาลัยขออนุญาตให้ถูกต้อง ห้ามชาวบ้านยุ่งระหว่างแก้ข้อพิพาท ทนายชี้มีแนวโน้มถอนฟ้อง


ที่ดิน ม.ทักษิณ - นายวิน ผอมหนู ชาวบ้านบ้านใสกลิ้ง ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ชี้จุดที่ชาวบ้านเข้าไปไถพรวนดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน จนถูกมหาวิทยาลัยทักษิณฟ้องของหาทำลายทรัพย์สินของวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2553

นายกฤษดา ขุนณรงค์ ทนายความอาสาจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2554 นี้ ศาลจังหวัดพัทลุงและอัยการจังหวัดพัทลุง ได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างชาวบ้านไสกลิ้งและบ้านท่าช้าง ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง กับมหาวิทยาลัยทักษิณ กรณีที่ชาวบ้านถูกฟ้องข้อหาทำลายทรัพย์สินในที่ดินที่ชาวบ้านอ้างว่าเป็นผู้ครองครองมาก่อน รวม 2 คดี จำเลย 20 คน

นายกฤษดา เปิดเผยต่อไปว่า คดีแรกคดีหมายเลขดำที่ 510 / 2554 ที่อัยการจังหวัดพัทลุง ยื่นฟ้องนายบุญธรรม วรรณเดช กับพวกรวม 8 คน ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ของวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ โดยศาลจังหวัดพัทลุงนัดเจรจาไกล่เกลี่ยในวันที่ 27 กรกฎาคม 2554

จำเลยทั้ง 8 คน ประกอบด้วย นายบุญธรรม วรรณเดช นายรูญ หนูบูรณ์ นายบวน หนูบูรณ์  นางเนิม หนูบูรณ์ นายยุทธชัย ทองวัตร นายวิน ผอมหนู นางแปลก หนูบูรณ์ และนายเปื้อม จันสุกสี

นายกฤษดา เปิดเผยอีกว่า ส่วนคดีที่ 2 ยังอยู่ในชั้นอัยการ คือคดีอาญาที่ 78/2553 ที่พนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายบุญรัตน์ สวนอินทร์ จำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าผู้สั่งการนำกำลังชาวบ้านรวม 14 คน นำรถแทร็คเตอร์เข้าไปทำลายเสารั้วคอนกรีต ลวดหนาม และไถพรวนดิน ทำให้พืชที่ปลูกไว้ในแปลงสาธิตการถ่ายทอดเทคโนโลยี ของวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน ซึ่งเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยอัยการจังหวัดพัทลุงนัดเจรจาไกล่เกลี่ยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2554

นายกฤษดา เปิดเผยว่า คดีนี้นายบุญรัตน์ ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา เนื่องจากตนเป็นผู้ถือครองที่ดินแปลงดังกล่าวด้วยมือเปล่า จึงนำรถแทร็คเตอร์ไปไถพรวนดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน

สำหรับจำเลยทั้ง 14 คน ประกอบด้วย นายบุญเศียร รอดยัง นายวิน ผอมหนู นายบุญรัตน์ สวนอินทร์ นายสมปอง จักรปล้อง นายมานะ เอื้อบำรุงเกียรติ นางสารภี เอื้อบำรุงเกียรติ นางอุไร จันสุกสี นางเอิ้ม จันสุกสี นายสมนึก จันสุกสี นางศรีเพียร จันสุกสี นายศรศักดิ์ จันสุกสี นายสวน เทพนุ้ย นางพัน เพชรศรี และนางเนิม หนูบูรณ์

นายกฤษดา เปิดเผยว่า ทั้ง 2 คดีมีชาวบ้านตกเป็นจำเลยซ้ำซ้อน 2 คน คือนายวิน ผอมหนู และนางเนิม หนูบูรณ์

นายกฤษดา เปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2554 พนักงานอัยการได้เสนอให้ทั้ง 2 ฝ่าย เจรจาไกล่เกลี่ยกัน โดยเสนอให้วิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน ดำเนินการขอใช้ที่ดินสาธารณะประโยชน์ทุ่งสระให้ถูกต้อง เพราะยังไม่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย และให้ชาวบ้านยุติเข้าไปทำประโยชน์ที่ดินสาธารณะประโยชน์ทุ่งสระระหว่างแก้ไขข้อพิพาท

นายกฤษดา เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยทักษิณขอเวลา 1 เดือนในการพิจารณาว่าจะถอนฟ้องหรือไม่ หาการเจรจาไกล่เกลี่ยกันลงตัว ก็มีแนวโน้มว่า 2 คดีจะถูกถอนฟ้อง ส่วนคดีที่ 2 หากอัยการจังหวัดพัทลุงมีคำสั่งฟ้องศาล จำเลยทั้ง 14 จะต้องเตรียมเงินประกันตัวคนละ 80,000 บาท รวมทั้งสิ้น 1,120,000 บาท

นายบุญรัตน์ เปิดเผยว่า เดิมที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่นาของตน ต่อมาวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน เข้ามาก่อตั้ง มีการปลูกพืชพันธุ์บางชนิด ทำเป็นแปลงสาธิตการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการฝังเสาหลักคอนกรีต ล้อมรั้วลวดหนาม ต่อมาถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า ตนจึงจ้างรถแทร็คเตอร์ไถพรวนดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน

"สภาพรั้วลวดหนามขึ้นสนิม ผุกร่อน และแทบไม่มีต้นไม้สักต้นที่ปลูกในแปลงสาธิต ดีกว่าทิ้งร้างไว้ ผมจึงจ้างรถมาไถดินยกร่องนาในแปลงนาเพื่อปลูกปาล์ม โดยมีชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านมามุงดู" นายบุญรัตน์ กล่าว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คำ ผกา

Posted: 09 Jul 2011 10:00 AM PDT

ปัญหาของสิทธิสตรีในเมืองไทยคือการมองไม่เห็นปัญหา “สิทธิมนุษยชน”

9 ก.ค. 2554

ยันผ่าศพมุสลิมทำได้ กรรมการสิทธิทำคู่มือแจก

Posted: 09 Jul 2011 09:51 AM PDT

กรรมการสิทธิฯรุดทำคู่มือผ่าศพมุสลิมแจก นักวิชาการยกคำวินิจฉัยยันผ่าศพมุสลิมทำได้ถ้าจำเป็น ชี้ตัวอย่างในมาเลเซีย หากจะใช้ในไทยต้องออกกฎหมายชารีอะห์ ทีมหมอ ม.อ.เสนอตั้งศูนย์นิติเวชที่ยะลา

 

นายโสพล จริงจิตร ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เปิดเผยว่า เร็วๆนี้ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา ร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) จัดสัมมนาหัวข้อแนวทางการตรวจชันสูตรศพตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักศาสนาอิสลาม เพื่อระดมความคิดเห็นเรื่องนี้ ซึ่งที่ประชุมมีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ซึ่งที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ตามหลักศาสนาอิสลามสามารถผ่าชันสูตรศพได้ แต่ขึ้นอยู่กับการอนุญาตของญาติผู้เสียชีวิต

นายโสพล จริงจิตร เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีการจัดทำคู่มือที่ชื่อว่าเอกสาร การชันสูตรพลิกผ่าศพในอิสลาม จัดพิมพ์ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษามลายู อักษรยาวีสำนวนปัตตานี

นายอับดุรรอฮมาน บินแวยูโซะ อาจารย์ประจำภาควิชาชารีอะห์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เปิดเผยว่า ประเทศมาเลเซียอนุญาตให้มีการชันสูตรผ่าศพได้ ในกรณีที่มีการตายผิดธรรมชาติ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมาเลเซียเป็นรัฐอิสลาม มีการตั้งศาลชารีอะห์ ซึ่งเป็นศาลที่ว่าด้วยกฎหมายอิสลาม สามารถบังคับใช้กับมุสลิมได้อย่างครอบคลุมทุกมิติของชีวิต

“หากจะนำกระบวนการชันสูตรผ่าศพมาใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน โดยเฉพาะการมีกฎหมายชารีอะห์ มีแพทย์นิติเวชมุสลิมที่ทำการชันสูตรผ่าศพมุสลิมและมีความรู้เรื่องกฎหมายชารีอะห์ มีคำวินิจฉัยจากผู้นำศาสนาอิสลามว่า สามารถกระทำได้ในกรณีที่ตายผิดปกติ” นายอับดุลรอมาน กล่าว

นายอับดุลรอมาน เปิดเผยว่า ตนทำวิทยานิพนธ์ เรื่องชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติอิสลามเมื่อปีการศึกษา 2549 เสนอต่อมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ผลของการวิจัยพบว่า การศึกษาวิจัยการชันสูตรพลิกศพตามบทบัญญัติของอิสลาม ยังเป็นประเด็นปัญหาที่นักวิชาการและนักกฎหมายอิสลามในปัจจุบันมีความเห็นที่แตกต่างกัน สาเหตุมาจากไม่มีตัวบทกฎหมายที่ชี้ชัดถึงการห้ามหรือการอนุโลมในการชันสูตรพลิกศพทั้งในคำภีร์อัลกรุอาน สุนนะฮ์(วัจนะ การปฏิบัติและการยอมรับ) ของท่านศาสนทูตมุหัมมัดและตำราศาสนาของปราชญ์อิสลามในยุคแรก

นายอับดุลรอมาน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จะพบทัศนะของบรรดานักปราชญ์ ด้านนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับกรณีการผ่าศพหญิงมีครรภ์ที่เสียชีวิต เพื่อเอาทารกที่อยู่ในครรภ์ออกมาหากมั่นใจว่าทารกยังมีชีวิตอยู่ และกรณีการผ่าท้องศพที่ได้กลืนทรัพย์สินมีค่าลงในท้องก่อนตาย เพื่อนำออกมา ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับประเด็นการผ่าเพื่อการชันสูตร

นายอับดุลรอมาน กล่าวว่า ทั้งสองกรณีเป็นการกระทำที่รุนแรงและละเมิดเกียรติศพ เช่น การผ่าชันสูตรศพในขณะที่อิสลามให้ความสำคัญต่อการให้เกียรติศพ และการทำร้ายศพประหนึ่งทำร้ายเขาขณะยังมีชีวิต แต่ด้วยเหตุผลของความจำเป็นและผลประโยชน์ที่สำคัญกว่า ทำให้การกระทำดังกล่าว เป็นประเด็นสำคัญที่นักวิชาการมุสลิมหลายท่าน ได้นำมาเป็นข้อพิพาทในการพิพากษาอนุโลมหรือไม่ในอิสลาม เช่น การชันสูตรพลิกศพมุสลิม

นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า จากการศึกษาดูงานเรื่องระบบงานการชันสูตรผ่าศพที่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 25 - 30 มกราคม 2554 ในนามกลุ่มแพทย์นิติเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ พบว่า ประชาชนชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ที่เป็นมุสลิม เชื่อมั่นต่อวิชาชีพแพทย์และกระบวนการชันสูตรผ่าศพ เพราะแพทย์นิติเวชส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และได้รับมอบหมายจากศาลซารีอะห์เป็นการเฉพาะให้มีการชันสูตรผ่าศพชาวมุสลิม เพื่อหาข้อเท็จจริงทางคดี ในกรณีที่มีการตายผิดธรรมชาติ และกรณีที่ตำรวจขอร้องให้ชันสูตรผ่าศพ เพื่อนำหลักฐานเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นายแพทย์สุภัทร เปิดเผยต่อไปว่า จากการศึกษาดูงานครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะว่า 1.ต้องมีการทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับทุกในเรื่องการชันสูตรผ่าศพชาวมุสลิม ทั้งในระดับชุมชนและผู้รู้ทางศาสนา โดยนำประสบการณ์และบทเรียนจากประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือและรัฐปีนังของมาเลเซีย ซึ่งมีบริบททางสังคมที่คล้ายกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายแพทย์สุภัทร เปิดเผยอีกว่า ส่วนข้อที่ 2. คือ มีข้อเสนอให้กระทรวงสาธารณะสุข จัดตั้งศูนย์นิติเวชที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลาภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยต้องมีแพทย์นิติเวช 2 คน และมีหนึ่งคนเป็นมุสลิม โดยมีการเสนอผ่านผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณะสุขไปแล้ว ขณะนี้ยังไม่เห็นมีการสั่งการใดๆ

นายแพทย์สุภัทร เปิดเผยว่า ปัจจุบันการชันสูตรผ่าศพในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องส่งศพไปผ่าพิสูจน์ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเท่านั้น ส่วนการชันสูตรพลิกศพทั่วไปทำได้ทุกโรงพยาบาล

“ช่วงแรกประชาชนมาเลเซียไม่เชื่อมั่นต่อการชันสูตรผ่าศพ รัฐบาลจึงต้องใช้เวลา 20 - 30 ปีในการทำความเข้าใจต่อประเด็นดังกล่าว โดยนำคำฟัตวา (คำวินิจฉัยทางศาสนาอิสลาม)ระดับนานาชาติ มาอธิบายให้ประชาชนทราบ” นายแพทย์สุภัทร กล่าว

นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและคุ้มครองทางกฎหมาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่า มีกระดูกของผู้ตายจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้มีการชันสูตร ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมได้ หากมีการชันสูตรผ่าศพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจเป็นส่วนหนึ่งในการที่ติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และสามารถที่เยียวยาแก่ญาติพีน้องของผู้ที่เสียชีวิตได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีตีนแดง: คนในคุก

Posted: 09 Jul 2011 09:18 AM PDT

 

บางพื้นที่ ที่สายลม ไม่พัดผ่าน                            
กรงเหล็กกั้น ความฝันเรา ได้จริงหรือ
โซ่ตรวนล่าม ถ่วงรัด มัดตีนมือ                            
เพียงพอหรือ  ใช้คุกขัง อหังการ
 
หูได้ยิน ตามองเห็น ใจเต้นอยู่                              
บทเพลงแห่ง การต่อสู้ ยังขับขาน  
เสียงเพรียกแห่ง เสรียัง ก้องกังวาน                    
ยังฝันใฝ่  ถึงตำนาน สามัญชน
 
นั่นดอกไม้ ฤดูใด เบ่งบานแล้ว                            
ลมตะเภา พัดโชยแผ่ว กลางหน้าฝน
คนในคุก อยู่ในคุก ทุกข์และทน                             
หัวอกไหม้ หัวใจหม่น ทนและรอ  
 
บางดินแดน ที่เสรี มีตราบาป                                
คนถูกสาป ให้ป่วยไข้ โดยใครหนอ
อิสรภาพ ของบาดใจ ให้แหงนคอ                       
ตั้งบ่ารอ หลั่งลงมา จากฟ้าหรือไร
 
หลังม่านเหล็ก เจ็บร้าว หนาวในอก                    
บางคืนค่ำ น้ำตาตก สะทกไหม้
ไม่มีเสียง นกร้องเพลง ขับกล่อมใจ                    
โอบกอดโลก แห่งฝันใฝ่ แล้วหลับตา
 
ยังมองเห็น โลกใหม่ ในความมืด
เดือนชาชืด ดาวเปล่งแสง แสวงหา
ท้องทุ่งกว้าง ฟางหญ้านุ่ม หนุ่มชาวนา
สาวชาวไร่  ร่ำร้องหา สิทธิเสรี
 
ความเท่าเทียม อยู่ในชาย ที่เธอรัก
กลางหน้าตัก หญิงนักสู้ กู้ศักดิ์ศรี
อยู่ในเลือด อยู่ในเนื้อ อยู่ในนี้
อยู่ในใจ ในชีวี เสรีชน
 
มนุษย์ถูกสาป ให้มี เสรีภาพ
พันธนาการ คือบาป อันเปื้อนหม่น
คุกขังได้ เพียงกาย ให้ว่ายวน
ใจล่องลอย ผ่านพ้น ม่านลวงตา
 
มนุษย์ถูกสาป ให้มี เสรีภาพ
จักคอนหาบ สิ่งใด ไว้โหยหา
กฎหมายใด เขียนด้วยเลือด และน้ำตา                              
ค้ำจุนภาพ มายา อยุติธรรม
 
 มองเดือนดาว ผ่านราว ลูกกรงเหล็ก
ในยามฟ้า ไร้เมฆ คืนเปลี่ยวค่ำ
เสียงกู่ร้อง ดังก้องมา ไม่ขาดคำ
คนในคุก ถูกเหยียบย่ำ ความเป็นคน
 
เสียงกู่ร้อง ดังก้องมา ไม่ขาดคำ
เสียงครวญคร่ำ จากคนคุก  ปลุกผองชน!!

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

SIU: บทเรียนของ กกต. ผู้แพ้ตัวจริงในการเลือกตั้ง 54

Posted: 09 Jul 2011 07:33 AM PDT

หลังจากปิดหีบบ่าย 3 โมงแล้ว กระบวนการประชาธิปไตยก็ดำเนินไปตามวิถี การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย 300 เสียง ความพ่ายแพ้ของประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย หรือ ความคลาดเคลื่อนของโพลสำนักต่างๆ ยังคงมีมุมทั้งแพ้และชนะในตัวของมันเอง แต่หน่วยงานที่มีความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.

เพราะอะไรจึงกล่าวเช่นนั้น ถึงแม้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 75.03 เยอะเป็นประวัติการณ์ แต่การจัดการเลือกตั้งกลับประสบปัญหาและความไม่สะดวก รวมไปถึงเรื่องราวที่อาจจะกล่าวได้ว่า “ไม่เข้าท่า” ที่ควรจะนำกลับไปปรับปรุงในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เรื่มตั้งแต่การประชาสัมพันธ์เรื่องการเลือกตั้งที่ทำได้อย่างไม่สมกับงบ ประชาสัมพันธ์ ทั้งในเรื่องการบอกกล่าวว่า สามารถใช้บัตรประชาชนที่หมดอายุในการเลือกตั้งได้เพียงไม่กี่วันก่อนเลือก ตั้งทั้งๆที่มีโอกาสตลอดระยะเวลา 2 เดือน หลังจากการยุบสภาเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2554

หรือการเลือกตั้งครั้งนี้จะมียอดผู้มาใช้มากกว่านี้หากประชาสัมพันธ์ เรื่องที่มีผู้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตว่า จำเป็นต้องไปยกเลิกสิทธิที่เคยแจ้งไว้ในการเลือกตั้งปี 2550 ที่เดิมเสียก่อนถึงจะมีสิทธิเลือกตั้ง ทำให้มีผู้เสียสิทธิจำนวนมาก แม้กระทั่ง พล.ต. จำลอง ศรีเมือง แกนนำคนสำคัญของพันธมิตรฯ ก็ยังอดไป Vote No ตามที่ให้สัญญากับมวลชน

ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องระยะเวลาการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งมีการเปิดให้เลือกตั้งล่วงหน้าลดลงเหลือเพียง 1 วัน และเลื่อนเวลาปิดหีบให้เร็วขึ้นเป็นเวลา บ่าย 3 โมง โดยส่งผลกระทบในเรื่องของปัญหารถติดในบางพื้นที่ และทำให้ผู้ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งทัน โดยที่เป็นข่าวก็คือทหารเรือทั้งกองร้อยไม่สามารถมาใช้สิทธิมัน เนื่องจากเวลาปิดหีบเลือกตั้งล่วงหน้าเร็วกว่าเดิม ทำให้คนมีคนคอยใช้สิทธิเวลานาน

แม้จะมีการอนุญาติให้ไปใช้สิทธิในภายหลัง แต่สำหรับบางคนที่เจาะจงจะใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ก็อาจจะไม่สะดวกในการวันเลือกตั้งจริง ประเด็นนี้ได้รับการบอกเล่าจาก คุณ จิตรา คชเดช เจ้าของต้นตำรับวลี “ดีแต่พูด”ว่า เมื่อเธอได้โทรไปสอบถามยัง กกต. ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูล 2 ท่านให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนมากขึ้น

และยังมีเรื่องที่กลายเป็น “เรื่องตลก”ในวงการข่าวด้วย เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวว่า กกต.จังหวัดโคราช และ ลำปาง ได้มีการใช้การเต้นของโคโยตี้ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนไปเลือกตั้ง!! ดังนั้นจำนวนตัวเลขที่มีผู้ใช้สิทธิจำนวนมากนั้นไม่ใช่ชัยชนะของ กกต. แต่เป็นชัยชนะของประชาชนที่ตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง

แต่ที่กลายเป็นเรื่องฮือฮาระดับประเทศ จนกลายเป็นโจ๊กระดับโลกกลับเป็นเรื่อง เมื่อพรรคเพื่อไทยออกมาร้องเรียนเรื่องการที่ กกต. จัดพิมพ์โลโก้บนบัตรเลือกตั้งของพรรคมีขนาดเล็กมาก และเกรงว่าประชาชนอาจจะเข้าใจผิดในการไปกาที่ช่องโลโก้พรรค โดยทางพรรคชี้แจงว่าโลโก้ต้นแบบที่ส่งไปให้ กกต.นั้นไม่ใช่แบบที่ปรากฏบนบัตรเลือกตั้ง

 

วิธีการแก้ไขก็คือพรรคจำเป็นต้องทำป้ายหาเสียงเพื่อชี้แจงให้ประชาชนที่ ประสงค์ลงคะแนนให้พรรคได้เข้าใจ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของกกต.ในการชี้แจงให้กับสังคมเข้าใจ และสุดท้ายก็เป็นไปตามคาด ยอดบัตรเสียสูงเป็นประวัติการณ์ ถึงไม่ต่ำกว่า 2ล้านใบในแบบบัญชีรายชื่อ

ประเด็นเรื่องของความโปร่งใสและความเป็นกลาง ก็ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามของสังคม เริ่มตั้งแต่การพิมพ์บัตรเลือกตั้งกว่าจำนวนยอดผู้มีสิทธิใช้สิทธิถึง 7 ล้านใบ ตามที่กลุ่ม นปช. ได้ร้องเรียนกับสื่อและสังคม รวมไปถึงห้วงเวลาใกล้ๆกับการเลือกตั้งล่วงหน้า กกต. 4 จาก 5 ท่าน ได้เดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปดูงานต่างประเทศ ท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีการล้มเลือกตั้งขึ้น

ที่กลายเป็นเรื่องฮือฮาก็คือ “คลิปการเลือกตั้งล่วงหน้า” เขตพญาไท ที่มีผู้ใช้สิทธินอกคูหาเลือกตั้ง โดยมีเจ้าหน้าที่และกลุ่มชายฉกรรจ์รุมกันเพื่อปิดบัง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม แต่มีการชี้แจงจากกกต. ว่า “เป็นการอำนวยประโยชน์ให้กับผู้ใช้สิทธิ ที่มีขนาดตัวขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าไปในคูหาได้ และควรได้รับเสียงชื่นชม” ท่ามกลางความมึนงงจากหลายๆฝ่าย

คลิปการเลือกตั้ง เขตพญาไท

หลังจากการเลือกตั้ง นาย สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.  แถลงผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ กลับพบข้อพิรุจ ว่ามีผู้ใช้สิทธิทั้ง 2 ระบบ แตกต่างกันถึง 83,222 คนและมีจำนวนบัตรที่ไม่เท่ากันถึง 95 คน จน นาย โคทม อารียา อดีต กกต.ได้ออกมาให้ความเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทางทฤษฎี

และล่าสุดกับ กกต.นครราชสีมา จ้องจะส่งชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคเพื่อไทย อาจจะมีความผิดฐานที่เมื่อครั้งไปหาเสียงในพื้นที่ได้มีการ “ผัดหมี่โคราช”แจกให้กับประชาชน ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 53  ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการโน้มน้าวให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้กับตนเอง

และสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้สิทธิในการเลือกตั้งจำเป็นต้องแจ้งเหตุผลที่ สมควรกับนายทะเบียนอำเภอ เพราะอาจจะทำให้เสียสิทธิ 3 ประการ ซึ่งรวมไปถึงการยื่นถอดถอน ส.ส. และ ส.ว. ด้วย ซึ่งข้อมูลดังกล่าว SIU ได้รับทราบจากการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ กกต. แต่คำถามคือประชาชนทั่วไปที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้รับทราบข้อมูล เหล่านี้หรือไม่ !? ยังไม่รวมไปถึงการที่ห้ามรณรงค์หรือประชาสัมพันธ์เรื่องการเมือง ภายใน 6 โมงเย็นวันที่ 2 ก.ค. ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และ social network โดยเป็นการอกข้อบังคับที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง

อาจถึงเวลาที่เราจะต้อง “ตรวจสอบ” องค์กรที่คอยตรวจสอบและจัดการเลือกตั้งให้เป็นระบอบประชาธิปไตย อย่าให้เรื่องราวดังกล่าวเงียบหายไปกับสายลม โดยอาจจำเป็นต้องเรียกร้องหาความรับผิดชอบและสปิริตของ คณะกกต. เพื่อที่เรื่องราวดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นอีกในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ประชาชาติ’ สัมภาษณ์ ‘ชาญวิทย์ เกษตรศิริ’: วิเคราะห์จุดลบ-จุดบอด "ยิ่งลักษณ์"

Posted: 09 Jul 2011 07:17 AM PDT

“แน่นอน (คนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย) เขาเป็นพวกเดียวกัน เขามาด้วยกัน เขาต้องช่วยกัน แต่ผมคิดว่า เมื่อคุณได้รับชัยชนะ แล้วคุณจะทำอย่างไรกับชัยชนะของคุณที่จะผลักดันให้สังคมนี้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ใช่เป็นแต่เพียงการ "เกี้ยเซียะ" เมื่อได้อำนาจ”

เว็บไซต์ประชาชาติ 9 กรกฎาคม 2554 เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อ่านเกมเกี้ยเซียะ "อำนาจเก่า+อำนาจพิเศษ" วิเคราะห์จุดลบ-จุดบอด "ยิ่งลักษณ์" ‘ประชาไท’ ขออนุญาตินำมาเผยแพร่ซ้ำ

 0 0 0

กระแส "ยิ่งลักษณ์ฟีเวอร์" ปะทะ ท้าทายทุกโครงสร้างอำนาจ

เมื่อเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ทุกอำนาจใน-นอกระบบต่างจับตา ตั้งรับ

1 ในนั้นเป็นนักประวัติศาสตร์ "กลุ่มสันติประชาธรรม" ที่เฝ้ามองการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน จนถึงวันที่ "เพื่อไทย" กวาดคะแนนถล่มทลาย

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ประชาชาติธุรกิจ" หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม จบสิ้นลง

เขาคาดหวังเล็กๆ ว่า นักการเมืองจะไม่เป็นวัวลืมตีน ไม่เห็นประชาชนเป็นควาย

เขาไม่อยากเห็น "ยิ่งลักษณ์" เกี้ยเซียะ กับ "อำนาจพิเศษ" และทหาร

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ การเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่

ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์การเมืองไทยมานาน ก็ไม่เคยคิดว่าประเทศเราจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงได้ เพราะประเทศถูกครอบงำโดยเพศชายมาตลอด จึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่มาก ผมอยากจะเชื่อและหวังว่า เมื่อเกิดการตีบตันทางการเมือง ผู้หญิงจะมีความสามารถในการทำงานได้มากกว่าผู้ชาย

ผมคิดว่าถ้ามองในแง่บวกกับประเทศ นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะมีนายกรัฐมนตรีผู้หญิง และผมก็ภาวนาเอาใจช่วย

 คุณยิ่งลักษณ์อยู่ภายใต้การตัดสินใจของคุณทักษิณ จะเป็นการลดทอนภาวะผู้นำหรือเปล่า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็น "โคลนนิ่ง" ของคุณทักษิณ ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา คุณสมัคร คุณสมชาย ก็เป็น "นอมินี" แต่ประเด็นของมันคือ "ตรา" หรือ "โลโก้" ของทักษิณยังขายได้ เหมือนอย่างที่เคยพูดกันมาก่อนว่า เอา "เสาไฟฟ้า" มาลงสมัคร แล้วเอา "โลโก้" ของทักษิณไปใส่ ก็ชนะได้ ฉะนั้นแปลว่า คุณอยากจะก้าวข้าม เดินเลยทักษิณ มันก็ทำไม่ได้

งานเลือกตั้งคราวนี้ มองลึก ๆ เป็นเสมือน "ประชามติ" ว่า "เอา" หรือ "ไม่เอา" ทักษิณ คำตอบสำหรับคนที่เชียร์คุณทักษิณ ก็บอกว่าใช่แล้ว คือ "เอา" คุณทักษิณ ส่วนคำตอบสำหรับคนที่ไม่ชอบคุณทักษิณก็รับไม่ได้ แต่หมายความว่า ประชาชนส่วนใหญ่ "หนึ่งคน หนึ่งโหวต" ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าเป็น "เสียงสวรรค์" หรือเป็น "เสียงนรก" ก็ตาม ก็แบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่ง "เอาทักษิณ" อีกพวกหนึ่ง "ไม่เอาทักษิณ" อันนี้คล้ายเป็น "ประชามติ" ไปโดยที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจ

แปลว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกยังไม่พ้นเงาพี่ชาย

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คุณยิ่งลักษณ์จะมีความเป็นตัวของตัวเองบ้างหรือไม่ ผมคิดว่าเธอก็อาจเป็นตัวของตัวเธอเองได้ไม่น้อย เธอให้ภาพ หรือปรากฏตัวในแง่ความเป็น "ผู้หญิงเก่ง" ซึ่งไม่ได้ทำตัวว่า "กูเก่ง" เหมือน "ผู้ชาย" คุณยิ่งลักษณ์ไว้ผมยาวเหมือนนางงาม หรือไม่ก็นางแบบโฆษณา "แชมพู" มีปอยผมตวัดปลายนิดหนึ่ง ดูเป็น "ผู้หญิง" เธอสู้ด้วยความเป็น "ผู้หญิง" ของเธอ

อันนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่น่าสนใจมาก แล้วถ้าคุณเป็น "สุภาพบุรุษ" คุณจะไม่ยอมให้เป็นเรื่องของ lady first หรือ แล้วเรื่องที่ว่านายกรัฐมนตรีหญิง ชื่อยิ่งลักษณ์ นามสกุลชินวัตร จะก้าวพ้นทักษิณได้ยังไง ก็เขาเป็นพี่น้องกัน มันไม่พ้นหรอก เพียงแต่ว่าเธอจะทำอย่างไรกับข้อกล่าวหาอันนี้ แล้วคนทั่ว ๆ ไปจะ "แคร์" กับข้อกล่าวหาอันนี้มากน้อยแค่ไหน จะขึ้นอยู่กับผลงานมากกว่า

รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเหมือนยุค "สมัคร-สมชาย" ที่มีตำแหน่ง แต่ไม่มีอำนาจบริหารหรือไม่

รัฐบาลยิ่งลักษณ์คงพยายามอย่างยิ่งที่จะ "เกี้ยเซียะ" กับ "อำนาจเก่า" กับ "อำนาจพิเศษ" ผมวิตกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจจะต้องทำอะไร ๆ หลาย ๆ อย่าง เช่น เธอต้อง "เกี้ยเซียะ" กับทหาร ไม่กล้าแตะทหาร ไม่เข้าไปยุ่งกับทหาร ไม่จัดการกับทหารให้เป็นประชาธิปไตย

ในอีกด้านหนึ่ง ผมก็วิตกว่ารัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ก็คงจะไม่เข้าไปแตะต้องเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลนี้อาจจะยอม "เกี้ยเซียะ" ด้วยการไม่ปฏิรูป หรือแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 อย่างที่มีการเรียกร้องกัน

ผมคิดว่าเพื่อความอยู่รอดของเธอ เพื่อการที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้สะดวก เธอก็อาจจะต้อง "เกี้ยเซียะ" สองประเด็นหลัก ๆ คือหนึ่ง ไม่แก้กฎหมายหมิ่นฯ ไม่ปฏิรูปเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และสอง ไม่เข้าไปยุ่งกิจการสถาบันทหาร ซึ่งผมคิดว่าอันนี้อาจจะเป็นจุดบอด จุดลบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ประเด็น "ไพร่-อำมาตย์" คงเงียบหายไป เมื่อฝ่ายตัวเองมีอำนาจรัฐ

การพูดเรื่องไพร่-อำมาตย์ไม่ใช่เรื่องของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นเรื่องของคนเสื้อแดง ดังนั้นถ้าคนเสื้อแดงเก่งจริง ก็ต้องดำเนินการต่อไป ด้วยการที่คิดว่าตัวเองเป็นเสื้อแดง ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเป็นพรรคเพื่อไทย

เสื้อแดงคือคนที่โหวตให้เพื่อไทย แล้วจะไม่คิดว่าเป็นพรรคของเขาได้อย่างไร

แน่นอน เขาเป็นพวกเดียวกัน เขามาด้วยกัน เขาต้องช่วยกัน แต่ผมคิดว่าเมื่อคุณได้รับชัยชนะ แล้วคุณจะทำอย่างไรกับชัยชนะของคุณ ที่จะผลักดันให้สังคมนี้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ใช่เป็นแต่เพียงการ "เกี้ยเซียะ" เมื่อได้อำนาจ

เพื่อไทยได้อำนาจแล้ว จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นได้จริงไหม

ปัญหาคือว่าคนเราเมื่อได้อำนาจแล้ว ก็อาจจะลืมหลักการและอุดมการณ์ ผมก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายจากพรรคเพื่อไทย เรื่องที่เขาเคยผลักดันเอาไว้มันอาจจะจบลง เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของคนมีอำนาจ เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นปกครอง เขาอาจจะลืมสิ่งที่เขาได้พูด ได้ต่อสู้มา เป็นเรื่องปกติธรรมดา

ฉะนั้นประชาชนทั่วไปที่รักและบูชาประชาธิปไตยก็ต้องต่อสู้ไป เผลอ ๆ พรรคเพื่อไทยก็อาจจะไม่ช่วยนักประชาธิปไตยที่แท้จริงก็เป็นได้

นักการเมืองที่กล่าวอ้างอะไรลอย ๆ จะต้องปรับตัวหรือไม่

คำพังเพย "ประชาธิปไตย" ที่ว่า "คุณหลอกคนได้บางครั้งบางคราว คุณหลอกคนจำนวนมากได้หลายครั้งหลายคราว แต่คุณจะไม่สามารถหลอกคนทั้งหมดได้ทุก ๆ ครั้ง" เสมอไป ต่อไปนี้ ผมคิดว่าหลอกไม่ได้ง่าย ๆ ตรงนี้ผมรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนไทย เราไม่ได้ "โง่" อย่างที่นักการเมืองบางพวกมองว่าเราเป็น "ควาย"

"ชาวกรุง" คิดว่า "ควายโง่" ส่วน "ชาวบ้าน" คิดว่า "ควายซื่อสัตย์" เราอาจจะต้องเลือกว่าจะเชื่อฝ่ายไหนดี ส่วนตัวผมคิดว่า ควายคือความ "ซื่อ" ในขณะที่นักการเมืองส่วนใหญ่เป็น "ชาวกรุง" หรือไม่ก็เป็น "บ้านนอก" มาก่อน พอเข้ามาเป็น "ชาวกรุง" ก็เลยกลายเป็น "วัวลืมตีน" เลยคิดว่า "ควาย" หรือ "คนอื่น ๆ" โง่

พรรคประชาธิปัตย์คะแนนห่างจากพรรคเพื่อไทยเป็นสัญญาณอะไร

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นสัญญาณบอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า "ประชาธิปัตย์" เป็นพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คนทั่ว ๆ ไปอาจคิดว่า ประชาธิปัตย์จะกลับไปเล่นเกมซ้ำ ๆ ที่จะร่วมมือกับ "อำนาจพิเศษ" เพื่อกลับมามีอำนาจใหม่ ไปเล่นกับ "อำนาจเก่า" กลุ่ม "ผู้ดีเก่า" "เงินเก่า" หรือ "เจ้าที่ดินเก่า" ซึ่งถ้าไม่ทำวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ปรับตัว ไม่ปฏิรูป ในหลายเรื่อง เช่น เรื่องกฎหมายหมิ่นฯ เรื่องที่ดิน ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ กลับไปเล่นเกม "ประชานิยม" แบบที่เป็น "แบรนด์" ของฝ่ายตรงข้ามของตน ก็อาจจะถูก "มองข้าม" ไปในทางการเมืองก็ได้

การเมืองจากนี้จะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร

ตั้งแต่ปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยของทักษิณ ได้เป็นรัฐบาล หลังจากนั้นถูกยุบพรรค แต่เลือกตั้งใหม่ก็ชนะ

ประเด็นจึงอยู่ที่ผู้ที่มี "อำนาจพิเศษ" ผู้ที่มี "อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ" ก็อาจจะต้องคิดว่า เฮ้ย ! จะ "เกี้ยเซียะ" หรือ "ไม่เกี้ยเซียะ" ผมว่าในด้านหนึ่ง เขาคง "เกี้ยเซียะ" กัน แต่ในอีกด้านหนึ่งต้องรอดูไปก่อน สัก 6 เดือน หรือ 12 เดือน ก็อาจจะพลิกผันใหม่ได้อีก เพราะคนที่อยู่ในอำนาจ หรือเคยมีอำนาจ จะยอมเสียอำนาจได้ง่าย ๆ หรือ เป็นไปได้ยาก

ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีการรัฐประหารแบบเดิม ๆ โดยเอาทหารออกมา เอารถถังออกมา ซึ่งตอนนี้ว่าไปก็ทำไม่ง่ายนัก และในช่วงระยะเวลาที่ "กระแสยิ่งลักษณ์" ยังแรงอยู่ก็คงทำไม่ได้ หรือจะทำอีกวิธีหนึ่งคือ รัฐประหารโดยรัฐสภา เช่น ปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ทำแบบ "โมเดล" รัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯทำ เมื่อปี 2476 ก็เป็นไปได้ แต่รัฐสภาเป็นพวกใคร ถ้าไม่ใช่พวกของผู้มี "อำนาจพิเศษ" หรือ "อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ" ก็ทำไม่ได้ คือยึดอำนาจ หรือทำ "รัฐประหารทางสภา" ไม่ได้

เหลืออันเดียว คือ "รัฐประหารโดยศาล" ที่เรียกกันว่า "ตุลาการภิวัตน์" แต่ผมขอใช้คำว่า "ตุลาการธิปไตย" อาจจะถูกต้องกว่า คืออำนาจสูงสุดเป็นของฝ่ายศาล พวกนี้อาจจะมายุบไอ้โน่น ยุบไอ้นี่ เผลอ ๆ อาจจะยุบให้หมดเลยก็ได้ ถ้ายุบไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ ก็ทำให้เกิดช่องว่างหรือ "สุญญากาศ" ทางการเมือง แล้วก็ตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" อันนี้ก็อาจจะเป็นเป้าหมายบั้นปลายของพวกเขาก็ได้

คนที่มีอำนาจอยู่ ในเมื่อเลือกตั้งก็แล้ว สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็แล้ว ก็ไม่ชนะทุกที ก็ล้มกระดานเสียให้หมดเลย แล้วตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" ผมคิดว่านี่เป็น scenarios สุดท้าย อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ หากจะมองใน "แง่ร้าย" แบบสุด ๆ

ถ้าเสื้อแดงกับเพื่อไทยไปปรองดองกับ "อำนาจเก่า" จะอธิบายกับมวลชนอย่างไร

ถึงตอนนั้น เขาก็อาจไม่สนใจที่จะอธิบายกับประชาชนหรอก เมื่อเขาได้อำนาจแล้ว เขาก็อาจเป็นเหมือนคนอื่นๆ ก็ได้ ดังนั้น เราต้องติดตาม สอดส่อง มอนิเตอร์ ต้องตามดู คุณยิ่งลักษณ์ ณัฐวุฒิ จตุพร อาจจะดูดี เพราะชนะแล้ว ต่ทันทีที่เข้าไปอยู่ในอำนาจ อยู่ในตำแหน่ง มีเก้าอี้แล้ว เขาจะเปลี่ยนไหม ก็มีสิทธิ์เปลี่ยน

ผมไม่เคยไว้ใจนักการเมืองเลย ในฐานะที่เป็นคนชื่นชมอาจารย์ปรีดี ในฐานะที่เป็นลูกน้องอาจารย์ป๋วย ในฐานะที่ศึกษาการเมืองมาจนอายุ 70 ปี ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักการเมือง เท่าไรนัก ต่อให้ "อม" พระแก้วมรกตมาพูด ผมก็ไม่เชื่อ

ทำไมคิดว่า ชนชั้นนำของ 2 ขั้วจะปรองดองกันไม่ได้ในบั้นปลาย

หมายความว่า ถ้าเขาจะต่อสู้กันต่อไป เพื่อบั้นปลายของความเป็นประชาธิปไตยที่มากกว่าปัจจุบัน เป็นประชาธิปไตยที่คำนึงถึงประชามหาชน คำนึงถึงคนระดับล่าง คนไม่มีที่ดินทำกิน คนที่มีช่องว่างความห่างกับคนรวยในกรุงเทพฯ ถ้าเขาสามารถจะเดินไปตามที่เขาเคยคิด เคยเชื่อ เคยพูด ผมก็ดีใจ

แต่ผมไม่ไว้ใจ ผมไม่เคยเชื่อนักการเมือง จึงต้องติดตามดูต่อ เมื่อเขาไปมีตำแหน่งแล้วเขาก็ลืม "วัวลืมตีน" ผมหวังว่าคนแบบคุณยิ่งลักษณ์ หรือณัฐวุฒิ หรือจตุพร ซึ่งเป็นคนที่ต้องต่อสู้จริงๆ ผ่านการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อยู่ในสมรภูมิยาวนาน ผมหวังว่า เขาจะไม่เป็น "วัวลืมตีน" กันครับ

พันธมิตรฯ ยุติการชุมนุม ต่อไปเขาอาจจะจับมือกับปชป.และถล่มรัฐบาลเพื่อไทย หรือไม่

ก็เป็นไปได้ครับ พันธมิตรฯ ก็น่าสงสาร น่าเห็นใจ นี่โชคดีนะที่ คุณสุวิทย์ คุณกิตติ ทอดสะพานให้เขาเดินลงได้ ยุติการชุมนุมกลับบ้านได้

สิ่งที่ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากๆ ก็คือว่า ในโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง คุณสุวิทย์ โยนเรื่องการถอนตัว เดินออกจากที่ประชุมของคณะกรรมการมรดกโลก แต่ท้ายที่สุด คุณสุวิทย์ กลับไม่ได้รับเลือกตั้ง แปลว่า ฝ่ายที่ปล่อยเรื่องปราสาทเขาพระวิหารออกมาช่วยหาเสียง กลับจุดไม่ติด ไม่ได้รับการโหวต และ "สอบตก" ไปเลย ส่วนฝ่ายที่ปล่อยเรื่อง "เผาบ้านเผาเมือง" ในโค้งสุดท้าย ก็ได้รับการโหวตพอสมควรในกรุงเทพฯ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เพ็ญ ภัคตะ: ทวงสัญญาประชาคม

Posted: 09 Jul 2011 06:53 AM PDT

เพื่อไทยต้องเพื่อธรรม คำสัญญาประชาคม
ยามนี้คนนิยม อุดมการณ์อย่ากลับกลาย

ขมขื่นยังยืนเคียง เคยร่วมเรียงเพียงสหาย
โซ่ตรวนหรือความตาย ชนะ-พ่ายเราผ่านพ้น

ล้มเจ้าเขาประณาม ใครหยามเหน็บเจ็บก็ทน
ผู้ก่อการร้ายกล- ละยุทธ์ปล้นเกียรติยา

ทุ่มเสียงและเทใจ จงจำไว้ในสัจจา
ฝันร้ายที่ผ่านฟ้า หยาดน้ำตาราษฎร์ประสงค์

หวังใดที่ไทยวาด เลิกอำมาตยาวงศ์
หนึ่งมาตรฐานคง ธำรงรัฐธรรมนูญ

กองศพบริสุทธิ์ จุดประกายไม่ตายสูญ
ฆาตกรทุกตระกูล ต้องกระชากหน้ากากมาร

อำนาจนอกระบบ ทุกแนวรบร่วมต่อต้าน
ปฏิวัติรัฐประหาร อวสานพันธมิตร

ปลดปล่อยประชาชน ให้พ้นห้วงอำมหิต
ชีวาตม์ทุกชีวิต ย่อมมีสิทธิ์และมีเสียง

แก้ไข "หนึ่งหนึ่งสอง" ปีศาจสยองก็ต้องเสี่ยง
ยกเลิกท่อน้ำเลี้ยง ลำเลียงส่วยเผด็จการ

โครงสร้างทุกองค์กร ล้วนแออ่อนและหย่อนยาน
ตำรวจทหารศาล ต้องยืนกรานยุติธรรม

แรกเริ่มประเดิมโจทย์ นิรโทษกรรมริยำ
ปรองดองคนใจดำ ซ้ำเติมศพโศกาดูร

อวยยศย่อมอัปยศ เกียรติยิ่งลดลงเหลือศูนย์
อวยผลสิเพิ่มพูน ประชาทูนประชาธรรม

สัญญาประชาคม ในวันขมอย่าคืนคำ
สีแดงจักพลันดำ ราษฎรยังเฝ้าดู

สัญญาประชาคม สิล้มคว่ำคงอดสู
มอบเสียงให้ต่อสู้ กับศัตรูอันตราย

สัญญาประชาคม อย่ายอมก้มและยอบกาย
รากหญ้าคือความหมาย ปลายเส้นทางแห่งการเมือง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อนุกรรมการสิทธิฯ ส่งบันทึกถึง “อมรา พงศาพิชญ์”-แนะพิจารณาร่างรายงานกสม.ให้รอบคอบก่อนเผยแพร่

Posted: 09 Jul 2011 06:07 AM PDT

หนึ่งในอนุกรรมการสิทธิฯติงร่างรายงานกรรมการสิทธิกรณีการชุมนุม นปช.ปี 2553 ติงการสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชี้ต้องเริ่มที่การกระทำของรัฐกระทบต่อสิทธิมนุษยชนหรือไม่ “ไม่ใช่วิเคราะห์ว่า การกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่?”

แม้สื่อมวลชนบางฉบับนำเอารายงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ มาเปิดเผยอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า การแถลงข่าวรายงานฉบับดังกล่าวถูกยกเลิกไป เนื่องจากได้รับคำท้วงติงอย่างรุนแรงจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนด้วยกันเอง พร้อมด้วยบันทึกความเห็นต่อรายงานดังกล่าวโดยละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความไม่รอบด้านของข้อมูล ทั้งได้เสนอให้ “พิจารณาร่างรายงานนี้อย่างรอบคอบเสียก่อนการเผยแพร่ต่อไป”

โดย รศ.กิตติศักดิ์ ปรกติ อนุกรรมการ ใน คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ทำบันทึกเรียน ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา แสดงความความเห็นต่อ “ร่างรายงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในกรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓”

โดยผู้เขียนบันทึกเห็นว่าร่างรายงานดังกล่าวขาดการลำดับข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอในบางประเด็นที่ควรเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังเสนอแนะด้วยว่า “ในการวิเคราะห์ผลกระทบหรือผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น โดยทั่วไปต้องเริ่มจากการพิเคราะห์ว่า การกระทำของรัฐกระทบต่อสิทธิมนุษยชนหรือไม่? หรือการกระทำของผู้ชุมนุมก่อให้เกิดภยันตรายโดยละเมิดกฎหมายอย่างไร มีความมุ่งหมายที่มิชอบ หรือมีพฤติการณ์ร้ายแรงเพียงใด? ไม่ใช่วิเคราะห์ว่า การกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่?”

รศ. กิตติศักดิ์ ได้ตั้งคำถามต่อประเด็นการสอบสวนข้อเท็จจริงในรายละเอียดหลายประการซึ่งยังขาดการลำดับข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอในบางประเด็นที่ควรเพิ่มเติม  เช่น  การที่คณะรัฐมนตรีได้ประกาศเขตรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในวัน12 มีนาคมนั้น เป็นการประกาศจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนซี่งอาจกระทำได้โดยอ้างเหตุผลด้านการรักษาความมั่นคง จึงต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำโดยสมควรแก่เหตุหรือไม่ โดยต้องฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ารัฐบาลอาศัยข้อเท็จจริงใดมาประกอบการพิจารณาในการออกประกาศดังกล่าว แต่ในรายงานไม่ได้ระบุไว้อย่างแจ้งชัดว่าได้มีการตรวจสอบในประเด็นนี้แล้วหรือไม่

สำหรับกรณีที่ระบุว่ามีผู้บาดเจ็บให้การว่าระเบิดถูกยิงมาจากด้านสวนลุมพินี และมีผู้อยู่ในเหตุการณ์และได้รับบาดเจ็บให้การว่าทิศทางการยิงมาจากกลุ่ม นปช. นั้น หากรายงานดังกล่าวจะระบุว่าน่าเชื่อถือได้ ก็ควรนำเสนอพยานที่สอดคล้องต้องกันจึงจะสรุปเช่นนั้น และควรต้องระบุไว้ด้วยว่าชั่งนํ้าหนักจากพยานบุคคลประเภทใดบ้าง และเหตุที่ฟังได้เพราะเหตุใด

นอกจากนี้ รายงานของกรรมการสิทธิฯ ยังไม่ได้สอบสวนสาเหตที่เจ้าหน้าที่โปรยแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมในบ่ายของวันที่ 10 เม.ย. รวมไปถึงการใช้กำลังทหารพร้อมแสดงอาการว่ามีอาวุธครบมือ และใช้ยานเกราะเพื่อขอคืนพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดหมายว่าทหารจะใ้ความรุนแรง เป็นการยั่วยุให้ประชาชนตอบโต้ด้วยความรุนแรง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพราะการใช้อำนาจป้องกันต้องทำโดยสมควรแก่เหตุ และต้องไม่มีส่วนเร้าให้เกิดความรุนแรงด้วย 

สำหรับเหตุปะทะกันที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติในวันที่ 28 เมษายน นั้น มีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเล็กยาวใส่เจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ถึงแก่ความตาย ซึ่งน่าสงสัยว่าเป็นการกระทำของฝ่ายผู้ชุมนุมประท้วงที่ก่อความไม่สงบ หรือเป็นเหตุที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่เอง แต่รายงานได้สรุปข้อเท็จจริงไว้ค่อนข้างกำกวม ไม่น่าจะเพียงพอที่จะทำให้คนทั่วไปคลายความสงสัยได้

รศ.กิตติศักดิ์ยังเสนอด้วยว่า การนำเสนอรายงานของกรรมการสิทธินั้น ทำในรูปของข้อความเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อให้ชัดเจนแน่นอน และเข้าใจได้งาย จึงควรมีแผนภาพ ภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอประกอบด้วย 

ท้ายที่สุด รศ. กิตติศักดิ์ได้เสนอประธาน กสม. ว่า “เห็นสมควรพิจารณาร่างรายงานนี้อย่างรอบคอบเสียก่อนการเผยแพร่ต่อไป”

โดยร่างรายงานดังกล่าว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เลื่อนการนำเสนอออกไปแล้ว ขณะที่หนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับวันที่ 8 ก.ค. ได้ตีพิมพ์หัวข้อและใจความสำคัญของรายฉบับดังกล่าวด้วย [อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง]

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คลิป:กลุ่ม"Bersih2.0"ชุมนุมนับหมื่นเรียกร้องปฏิรูปเลือกตั้ง-ตำรวจมาเลย์จับแล้ว1,400ราย

Posted: 09 Jul 2011 04:14 AM PDT

บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม Bersih 2.0 และความพยายามสลายการชุมนุมของตำรวจมาเลเซีย (ที่มา: Malaysiakini/Youtube)


ตำรวจมาเลเซียยิงแก๊สน้ำตาสลายกลุ่มสนับสนุนปฏิรูปเลือกตั้ง Bersih 2.0 ที่ย่านปูดูรายา เมื่อเวลาประมาณ 15.49 น. วันที่ 9 ก.ค. 54 (ที่มา: Less Lew, Malaysiakini/Youtube)]

ตำรวจมาเลเซียจับกุมผู้ประท้วงรายหนึ่ง ก่อนเข้ามารุมทำร้ายร่างกาย คลิปนี้ผู้สื่อข่าวมาเลเซียกินีเป็นผู้บันทึกไว้ได้และนำมาเผยแพร่ (ที่มา: มาเลเซียกินี/Youtube]

ผู้ชุมนุมกลุ่มหนุนปฏิรูปเลือกตั้ง "Bersih 2.0" นัดชุมนุมใหญ่กลางกัวลาลัมเปอร์เพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปเลือกตั้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าสลายการชุมนุมและจับผู้ประท้วงและแกนนำไป แล้ว 1,400 ราย

ตามที่วันนี้ (9 ก.ค.) เป็นวันนัดหมายชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรเพื่อการเลือกตั้งเสรีและยุติธรรม หรือ "Bersih 2.0" ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเลือกตั้ง และมีรายงานการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียนั้น

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์มาเลเซียกินี รายงานว่าผู้ประท้วงได้รวมตัวกันอย่างน้อย 5 จุดทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้แก่ ถนนเปตาลิง, ดายาบูมีคอมเพล็กซ์, มัสยิดจาเม็ก, สถานีรถประจำทางปูดูรายา และย่านโซโก ขณะที่ตำรวจพยายามสลายการชุมนุมด้วยแก๊ซน้ำตา

ต่อมาผู้ประท้วงได้มาสมทบกันที่บริเวณธนาคารเมย์แบงค์ ย่านปูดูรายา โดยมีผู้ชุมนุมราวหมื่นคนเศษ โดยมีการพยายามสลายการชุมนุมหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ โดยขบวนของผู้ประท้วงพยายามเดินไปที่สนามกีฬาเมอเดก้า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านรักษาการณ์โดยรอบ

ขณะที่ผู้นำกลุ่ม Bersih 2.0 อัมพิกา สะรีนาวาซาน (Ambiga Sreenevasan), ประธานพรรค PAS อับดุล (Abdul Hadi Awang) และนายฉัว เทียน ชาง (Chua Tian Chang) หรือเทียน ฉัว (Tian Chua) ส.ส.มาเลเซีย และรองประธานพรรคยุติธรรมแห่งชาติ (Parti Keadilan Rakyat - PKR) ก็ถูกตำรวจจับกุมด้วย

สำหรับนายฉัว เทียน ชาง เมื่อ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา เคยไปสถานทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมด้านแรงงาน และบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

นอกจากนี้มีรายงานว่า มีกลุ่มเยาวชนของพรรคอัมโน (UMNO) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้จัดชุมนุมเข่นกัน เพื่อต่อต้านกลุ่มสนับสนุนการปฏิรูปการเลือกตั้ง แต่ได้รับการร้องขอจากตำรวจ จึงได้ยอมสลายตัวในเวลาต่อมา

ด้านนางฟาดิอะ นะวา ฟิครี (Fadiah Nadwa Fikri) จากกลุ่มทนายความเสรีระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ชุมนุมไปแล้วมากกว่า 1,000 คน และนำไปควบคุมตัวรวมกันที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจ (Pulapol) และตำรวจอาจทำผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของมาเลเซียมาตรา 28A วรรค 8 เพราะไม่ยอมให้ผู้ถูกจับกุมเข้าพบทนาย นอกจากนี้ตำรวจอาจจะละเมิดมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญมาเลเซียด้วย

ทั้งนี้กว่า 4 ชั่วโมงของการเผชิญหน้าและไล่จับกันแบบที่หนังสือพิมพ์มาเลเซียกินีเรียกว่า "แมวจับหนู" นั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 16.21 น. ตามเวลาท้องถิ่น ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ได้เริ่มสลายตัวแล้ว ขณะที่กลุ่ม Bersih 2.0 เตรียมแถลงข่าวด้วย

ล่าสุดเมื่อเวลา 18.30 น. ตำรวจมาเลเซียเผยว่ามีผู้ถูกจับราว 1,410 ราย ในจำนวนนี้มีเยาวชน 13 ราย ขณะที่ตำรวจมาเลเซียคาดว่ามีผู้ชุมนุมราว 5-6 พันคน และเมื่อเวลา 18.45 น. นางอัมพิกาผู้นำกลุ่ม Bersih 2.0 ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

สำหรับ "Bersih 2.0" (Bersih "เบอเซ" แปลว่า "สะอาด" ในภาษามลายู) เป็นแนวร่วมกับกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (the Pakatan Rakyat ในภาษามลายู หรือ the People’s Pact) ซึ่งเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรคการเมืองใหญ่สุดในมาเลเซีย และองค์กรภาคประชาสังคมในมาเลเซีย ซึ่งเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้งในมาเลเซีย

โดย Bersih 2.0 เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมาเลเซียปฏิรูป กระบวนการเลือกตั้ง เช่น ให้ชำระระเบียบการเลือกตั้ง ให้ปฏิรูประบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่โปร่งใส เรียกร้องให้ใช้หมึกที่ลบไม่ออกในการลงคะแนน ให้มีการหาเสียงเลือกตั้ง 21 วันเป็นอย่างน้อย และอนุญาตให้ทุกพรรคการเมืองเข้าถึงสื่อสารมวลชน และยุติการเมืองสกปรก

ที่มา: แปลบางส่วนจาก
Ambiga, top leaders arrested; Anwar injured, Malaysiakini, July 9, 2011

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สัมภาษณ์: คำ ผกา “พี่ขอลาออกจากการเป็นเฟมินิสต์ มาเป็นคน”

Posted: 09 Jul 2011 02:58 AM PDT

สัมภาษณ์ “คำ ผกา” ลักขณา ปันวิชัย ว่าด้วยเรื่องกระแส “เฟมินิสต์” ในสังคมไทย ในช่วงที่ประเทศไทยอาจจะได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงเป็นคนแรก ชี้ “เราต้องเห็นคนเป็นคนเท่าเทียมกันก่อน ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าสิทธิสตรีจะมีความหมาย”

หลังจากที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะที่เป็นผู้สมัครหมายเลขหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งที่ผ่านมาอย่างขาดลอย และมีทีท่าว่าจะได้เป็น “นายกรัฐมนตรีหญิง” คนแรกของประเทศไทย กระแส “เฟมินิสต์” หรือสิทธิสตรีก็เริ่มเป็นที่ถูกพูดถึงในสังคมอย่างกว้างขวาง ดังจะเห็นตามหน้าสื่อไทยและต่างประเทศที่พยายามจะตอบคำถามว่า การที่เรามีผู้หญิงเป็นนายกฯ ของประเทศไทย จะแสดงถึงความก้าวหน้าของความเท่าเทียมของหญิงชายที่มากขึ้นได้หรือไม่ หรือประเด็นเรื่องสิทธิสตรีจะได้รับการส่งเสริมมากขึ้นหรือไม่อย่างไร

นักวิชาการด้านสิทธิสตรีหลายท่าน ได้ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า ถึงแม้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีเรือนร่างและเพศสภาพที่เป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถส่งเสริมเรื่องความเสมอภาคหญิงชายได้ [1] เหล่านักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี จึงไม่ควรไปตั้งความหวังกับเธอมากนักในการผลักดันประเด็นดังกล่าว เนื่องจากเธอมีองค์ประกอบด้านอื่นๆ ทางการเมือง ที่ทำให้เธอ “ลอยเหาะ” เข้ามาในสนามการเมืองได้มากกว่าการขึ้นมาด้วยตนเองในฐานะสตรี [2]

การที่ยิ่งลักษณ์อาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย มีความหมายอย่างไรต่อพื้นที่ทางการเมืองในสังคมไทย ทำไมต้องเรียกร้องสิทธิสตรีกับนายกฯ หญิง เรามาคุยกับ “คำ ผกา” นักเขียน และนักวิจารณ์สังคมแนวสตรีนิยมคนหนึ่งในประเทศไทย

 

 

ภาพโดย Sora Wong

คิดอย่างไรต่อความวิพากษ์ของนักสิทธิสตรีไทยที่มีต่อคุณยิ่งลักษณ์ เช่น คุณยิ่งลักษณ์ อยู่ในร่างกายที่เป็นผู้หญิง แต่ไม่ได้มีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิสตรี จึงไม่สามารถเป็นตัวแทนกลุ่มสตรีได้ หรือคำสัมภาษณ์อื่นๆ ที่นักวิชาการให้สัมภาษณ์ว่ายิ่งลักษณ์คงเป็นความหวังมากไม่ได้เพราะเธอ “เหาะ”มาในการเลือกตั้งครั้งนี้ อยากจะขอถามความคิดเห็นพี่แขกในฐานะเฟมินิสต์คนหนึ่งว่ามีความคิดเห็นอย่างไร


ถ้าอย่างนั้น พี่ขอลาออกจากความเป็นเฟมินิสต์มาเป็นคน มาเป็นประชาชนค่ะ คือ การที่เราจะตอบคำถามนี้ เราต้องเริ่มที่จะต้องตอบคำถามว่า เราไม่สามารถไปเรียกร้องความเป็นเฟมินิสต์จากคุณยิ่งลักษณ์ แล้วคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่เคยนิยามตนเองว่าเป็นเฟมินิสต์ แล้วคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่เคยใช้ความเป็นเฟมินิสต์หรือความเป็นเฟมินิสม์มาหาเสียง แล้วอยู่ๆ ถ้าถามว่าอยู่ดีๆ กลุ่มเฟมินิสต์จะมากดดันจากว่าที่นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงให้ประกาศ นโยบายที่เกี่ยวกับผู้หญิงขึ้นมาในบัดดล ทั้งๆที่ตอนนี้กกต. ก็ยังไม่รองรับผลการเลือกตั้ง พี่คิดว่าไม่แฟร์ เพราะถ้าคุณมาด้วยตรรกะที่บอกว่า ความเป็น “Feminist mind” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอวัยวะเพศ เหตุใดคุณจึงไม่เคยเรียกร้องนโยบายเกี่ยวกับเฟมินิสต์กับนายกรัฐมนตรีทุกคน ก่อนหน้านี้เลย เพราะถ้าคุณคิดว่าหากความเป็น feminist mind เพราะนายกรัฐมนตรีผู้ชายก็มี feminist mind ได้ แต่ทำไมฉับพลันที่เรามีว่าที่นายกฯเป็นผู้หญิงและยังไม่ทันได้ทำงานเลย เฟมินิสต์ก็ออกมาเต้นเร่าๆเสียแล้ว่าว่าที่นายกฯของเราไม่มีเฟมินิสต์มายด์  ถ้าการไม่มีเฟมินิสต์เป็นอาชญากรรมขนาดนั้น อดีตนายกฯทุกคนของไทยก็ต้องโดนก่นด่าด้วยน้ำหนักที่เท่ากัน ความย้อนแย้งของตรรกะชุดนี้คือ การที่พวกคุณคิดว่าผู้หญิงหากไม่มีเฟมินิสต์มายด์โทษจะหนักกว่าผู้ชาย นี่คือการกดขี่กันเองของผู้หญิงด้วยกัน

ดิฉันไม่มีอะไรจะตำหนิคุณยิ่งลักษณ์ในเรื่องนี้เพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยเคลมว่า ตัวเองเป็นเฟมินิสต์ คุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยพกเอาเพศเชิงการเมืองเข้ามาหาเสียง she did not politicize her gender เธอชัดเจนว่าเธอเข้ามาเพราะครอบครัวของเธอเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะเข้ามาทำ งานการเมือง เธอประกาศชัดเจนว่า ครอบครัวของเธอเป็นหนี้ประชาชน เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่าประชาชนเลือกพรรคของเธอเข้ามา เราก็ต้องเคารพและให้โอกาสเธอทำงาน  ทำงานไปแล้วหกเดือนแล้วห่วยแตกอย่างยิ่ง ถึงวันนั้นค่อยมานั่งวิจารณ์ืกันไปทีละเรื่อง ไม่ใช่อยู่ๆจะมานั่งด่าเรื่องเป็นหรือไม่เป็นเฟมินิสต์

ถามว่า priority ของปัญหาของประเทศทุกวันนี้ คืออะไร? priority ของมันก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นห้าปีหลังการรัฐประหาร คนยังต้องการความจริง คนยังต้องการความยุติธรรม ยังมีคนติดคุก ยังไม่ได้รับสิทธิที่จะประกันตัว แล้วคนจำนวนมากที่โหวตให้พรรคเพื่อไทย ต้องการสิ่งนี้เป็น priority หลัก แล้วข้อสอง คือ เขาต้องการเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจซบเซาไปมาก คนไม่มีจะกิน น้ำมันแพง น้ำมันขาดตลาด น้ำตาลทรายขาดตลาด คนเข้าคิวไปตบตีกันแย่งซื้อน้ำมัน นี่เป็นปัญหาของมนุษย์

เด็กมีพ่อแม่เป็นกรรมกร ไม่ว่าจะหญิงหรือชายมีปัญหาเหมือนกันหมด มีปัญหาเรื่องค่าแรง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น นโยบายเรื่องเรียนฟรีก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะมีปัญหาเรื่องค่าชุดนักเรียนที่แพงขึ้น ค่ายานพาหนะ ค่าโดยสารที่แพงขึ้น คือทุกอย่างของมนุษย์ในทุกเพศทุกวัย คนไม่มีจะกิน เพราะฉะนั้น priority ที่จะแก้ปัญหา คือสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นพี่คิดว่ามัน ridiculous (น่าขัน) ที่อยู่ดีๆ จะมาบอกว่าคุณยิ่งลักษณ์จะไม่เข้าใจผู้หญิง ไม่มีนโยบายสำหรับผู้หญิง เพราะนโยบายนี้เป็นนโยบายสำหรับคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คุณยิ่งลักษณ์กำลังพูดถึงประชาชนไทยไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม

เคยมีนักวิชาการด้านสิทธิสตรีวิจารณ์ว่า คุณยิ่งลักษณ์ไม่มีนโยบายด้านสตรีที่ชัดเจน ถึงแม้จะเคยพูดถึงเรื่องกองทุนสตรีหมู่บ้านล่ะ 100 ล้าน แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะส่งเสริมสิทธิสตรีได้อย่างไร เช่น เรื่องสุขภาวะ หรือมิติด้านหญิงชายอื่นๆ


อันนี้พี่ตอบได้เลยว่านายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ที่จะเสนอนโยบายที่เป็นภาพรวม เรื่องสุขภาวะ มิติหญิง ชาย ปีกมดลูกข้างซ้ายข้างขวา เป็นเรื่องของคณะทำงาน ไม่ใช่ของนายกรัฐมนตรีในการไปลงรายละเอียดดังกล่าว เพราะฉะนั้นนายกมีหน้าที่ในการดีไซน์นโยบายขึ้นมา หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องของทีมคณะทำงานที่จะวางแผน และลงรายละเอียด ที่จะดูว่าเงินร้อยล้านจะเอาไปใช้อย่างไร ถามว่าหลังจากยุบสภามามีเวลาหาเสียง 44 วัน ตอนนี้ กกต. ยังไม่รองรับผลเลย คุณจะให้คุณยิ่งลักษณ์ออกมาส่องมดลูกซ้ายขวาของคุณแล้วหรือคะ แล้วถ้าเหล่าเฟมินิสต์เหล่านั้นอยากจะผลักดันนโยบายสิทธิสตรีมาก ก็เชิญชวนให้เขียนโครงการและเสนอนโยบายให้แก่คณะทำงานของคุณยิ่งลักษณ์ หรือผลักดันนโยบายหรือวิสัยทัศน์ผ่านสื่อ ผ่านงานวิจัย บทความ เพื่อให้สังคมผลักดันรัฐบาลทำงาน อย่าลืมว่ารัฐบาลเป็นลูกจ้างของประชาชน รัฐบาลต้องฟังเราค่ะ อย่าไปเห็นนายกฯ เป็นเทวดา รู้ทุกเรื่อง อวตารลงมาแก้ทุกเข็ญให้มนุษย์  ไม่ใช่  แต่รัฐบาลนี้มาจากมือของประชาชน. เรามั่นใจว่าเรากดดันเขาได้  ตรวจสอบเขาได้  และเขาต้องแคร์เรา เพราะเรามีบุญคุณกับเขา เขาได้้เป็นนายกฯเพราะเรา  ต่างจากรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากมือประชาชน  จึงไม่แคร์ชีวิตประชาชน

ปัญหาที่เร่งด่วนสำหรับสตรีตอนนี้ จากสายตาของเฟมินิสต์ไทยส่วนใหญ่ มักจะเป็นเรื่องสัดส่วนของผู้หญิงในสภา ความรุนแรงในครอบครัว และสุขภาวะ เป็นต้น?


ถ้าอยากมีส.ส.ผู้หญิงในสภามากขึ้น ก็อยากจะเชิญชวนให้นักสิทธิสตรีเหล่านี้มาลงสมัครส.ส. ด้วย เพราะตอนนี้พื้นที่ทางการเมืองต้องการคนเก่งๆแบบพวกคุณเข้ามาช่วยทำงานเยอะๆ  ช่วยเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชน   เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน

ตอนนี้ เรามีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงแล้ว ในเชิงสัญลักษณ์แล้ว มันคือแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุด ในการจะยกระดับหรือเปิดพื้นที่ทางการเมืองที่เคยเป็นพื้นที่ของผู้ชาย แล้วเป็นการพิสูจน์ว่าผู้หญิงสามารถทำได้ นี่มันมีพลังมากในเชิงสัญลักษณ์ แล้วถ้าเฟมินิสต์ทั้งหลาย บ่นว่าไม่มีผู้หญิงมาทำงานการเมือง ก็โปรดลงมาจากหอคอยงาช้าง ลงมาคลุกดิน คลุกฝุ่น คลุกโคลนตม ยอมลงมาแปดเปื้อนโสมมกับการเมืองที่คุณเรียกว่าสกปรกนักหนาเถิด
แต่ ถ้าไม่อยากแปดเปื้อนก็โปรดเป็นนักวิชาการที่มีมนุษยธรรม ตั้งอกตั้งใจทำงานวิชาการเพื่อเป็นฐานความรู้ให้แก่สังคม ทำงานวิจัยเพื่อให้นักการเมืองสามารถหยิบงานของพวกคุณไปออกแบบนโยบาย หรือผลักดันกม.ในรัฐสภาได้

แล้ว มิติความรุนแรงในสังคม มันไม่ได้เพิ่งมาสำคัญวันนี้เมื้อวานนี้ มันมีมาตั้งแต่ “อำแดงเหมือน กับนายริด” และก่อนหน้านั้นในเรื่องปัญหาความไม่เท่าเทียมกันหญิงชาย แล้วคุณจะมาดิ้นเป็นพิเศษอะไรตอนนี้ ในเมื่อคุณก็มีศูนย์สตรีศึกษาอะไรตั้งนานแล้ว คุณก็ทำไปสิ ผลักดันนโยบาย เสนองานวิจัย ผลักดันให้เป็นกฎหมาย ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมีนายกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ฉะนั้นมันไม่แฟร์ที่อยู่ดีมาวันหนึ่งเรามีนายกฯ เป็นผู้หญิงและคุณจะให้สถานะของผู้หญิงดีขึ้นในช่วงข้ามคืน แล้วถามว่านายกที่ผ่านมาทำอะไร แล้วทำไมคุณไม่ไปเรียกร้องกับเขา แล้วคุณก็บอกเองว่า feminist mind ไม่ได้เกี่ยวกับเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับร่างกาย อันนี้เป็นเรื่องที่พี่ยืนยันว่าเราต้องกดดันทุกรัฐบาล แต่ปัญหาความรุนแรง ปัญหาความไม่เท่าเทียม ปัญหาบ้าบอคอแตกของคุณมันมีมานานแล้ว มันมีมาตลอด อย่างปัญหาเรื่องการทำแท้งนี้ คนเขาก็สู้กันมาอยู่ตลอดเวลา คุณก็ย้อนกลับไปดูสิว่าไอการทำแท้งนี้เขาสู้กันมาในรัฐบาลกี่สมัย แล้วมันแพ้ไปเพราะอะไร เราไม่ได้แพ้ไปเพราะเรามีหรือไม่มีนายกเป็นผู้หญิง ต่อให้เอาซีโมน. เดอโบวัวร์มาเป็นนายกฯ ก็ไม่มีวันผลักดันกม.ทำแท้งได้ ถ้าโครงสร้างอำนาจทางศีลธรรมและศาสนาไทยเป็นแบบนี้

การที่ยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายก เป็นสัญลักษณ์ที่ดีของผู้หญิงในพื้นที่ทางการเมือง?


คือ คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นเฟมินิสต์ แต่ในฐานะที่เป็นผู้หญิงในทางชีววิทยาและเราปฏิเสธไม่ได้ว่าลำพังความเป็น หญิงทางชีววิทยา การผ่านด่านเข้ามาอยู่ในตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อพื้นที่ทางการเมืองเป็นพื้นที่ของผู้ชาย (ทางชีววิทยา เช่นกัน) มาโดยตลอด

การถูกมองว่าเป็นโคลนนิ่งทักษิณ ยิ่งทำให้ยาก ถามว่าเป็นโคลนนิ่งทักษิณนี่เป็นข้อได้เปรียบไหมในสังคมไทย ต้องตอบก่อนว่า ไม่ใช่ข้อได้เปรียบโดยสิ้นเชิง ในฐานะที่เธอมาจากครอบครัวทางธุรกิจที่ดีเป็นข้อได้เปรียบไหม ไม่ ทั้งหมดนี้เป็นจุดอ่อนหมด เพราะเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะโจมตีเธอว่าไม่ได้ขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่ได้ยืนขึ้นมาด้วยขาของตัวเอง นี่คือข้อเสียเปรียบนะคะ. ไม่ใช่ข้อได้เปรียบ

เธอถูกวิจารณ์เร็วๆ นี้โดยเฟมินิสต์ว่าเธอเหาะมา?


ใช่ นี่เป็นข้อเสียเปรียบของเธอหมดเลย และท่ามกลางข้อเสียเปรียบแล้วนี้ ท่ามกลางสื่อทั้งหมดที่ไม่เคยเข้าข้างฝ่ายเสื้อแดง ท่ามกลางสื่อทั้งหมดที่ไม่เคยเข้าข้างฝ่ายประชาธิปไตย คุณยิ่งลักษณ์ฝ่าฟันจนชนะการเลือกตั้งมาได้ขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องมีดี ประชาชนทุกวันนี้ไม่โง่นะคะ ถ้าคุณสัมผัสกับคนเสื้อแดง คุณจะรู้ว่าคนเสื้อแดงเป็นประชาชนที่ระแวดระวังรักษาสิทธิของตัวเองอย่างยิ่ง เพราะกว่าจะได้การเลือกตั้งมา เขาเอาชีวิตเข้าแลก เพราะฉะนั่นคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้เข้ามาเพราะโชคช่วย

ชนชั้นกลางอย่างพวกคุณทนเห็นชัยชนะของประชาชนไม่ได้ หัวใจจะวาย เกิดมาไม่เคยเห็นประชาชนฉลาด ไม่อยากยอมรับความจริง ก็หาเรื่องบ่นด่าไปเรื่อยเปื่อย มีแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์พูดภาษาอังกฤษไม่เพราะ แต่ขอโทษ เป็นนายกรัฐมนตรีที่คนเลือกมา ต่อให้คุณเป็นใบ้  ก็ไม่ใช่ปัญหา  อย่าว่าแต่ไม่พูดภาษาอังกฤษ คุณเป็นนาย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเพราะ แล้วทุกวันนี้การวัดความรู้ภาษาอังกฤษเขาไม่ได้วัดกันที่ใครพูดเหมือนคน อังกฤษ เขาวัดกันที่ว่าใครสื่อสารได้รู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน เขาไม่ได้มานั่งตรวจสำเนียงกันด้วย มีสำเนียงภาษาอังกฤษที่เป็นที่ยอมรับเป็นหลายร้อยสำเนียงในโลกนี้ มีแต่คนที่ตกค้างอยู่ในโลกของความรู้ในปลายศตวรรษที่ 18 เท่านั้นแหละที่สำเนียงอังกฤษเป็นสำเนียงอังกฤษที่น่าชื่นชมยกย่องอยู่

แต่นักสิทธิสตรีในองค์กรสิทธิฯ ส่วนใหญ่ก็มักจะมองว่าปัญหาด้านสตรีในการเมืองไทยที่สำคัญ เป็นปัญหาคอร์รัปชั่น เรื่องการค้ามนุษย์ (Human trafficking) หรือความรุนแรงภายในครอบครัว (Domestic violence)?

พี่บอกว่าก่อนที่จะพูดปัญหาเหล่านี้ ช่วยพูดเรื่อง 91 ศพที่ตายไปต่อหน้าต่อตาหน่อย ว่าเป็น domestic violence แบบไหน ร้ายแรงเท่าๆกับเรื่อง human trafficking หรือเปล่า ต่อเรื่องแบบนี้  คุณเคยไปเรียกร้องกับอาจารย์อมราบ้างหรืเปล่า เึคยไปด่าอาจารย์อมราว่าสักแต่มีอวัยเพศเป็นหญิงแต่ไม่มีเฟมินิสต์มายด์ไหม?  ไม่เลย มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเราทุกคน ในยุคสมัยของเรา เกิดขึ้นต่อหน้าเรา มีคนแก่ที่อุบลฯ ถูกกล่าวหา และติดคุกไป แต่ไม่ได้รับการประกันตัว เป็นอัมพฤกษ์ อยู่ห้องไอซียู ใส่ตรวนที่ขา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา เขาควรจะได้รับการถูกพูดถึงในฐานะผู้ถูกกระทำไหม เท่าๆกับสิ่งที่เราจะพูดถึงเมื่อพูดถึง human trafficking หรือ domestic violence ไหม domestic violence อย่างที่บอกมันมีมาตั้งแต่สมัย “อัมแดงเหมือนกับนายริด” ในยุคนั้นไม่มี domestic violence หรอ แล้วทำไมจู่ๆ คุณจะมาชักดิ้นชักงอเมื่อคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายก ทำไมปีที่แล้วคุณไม่ชักดิ้นชักงอกับอภิสิทธิ์ล่ะคะ เรื่องความรุนแรงในครอบครัวนี่น่ะ

และ นี่คือ “domestic violence” ในครอบครัวที่เรียกว่าประเทศไทย ถ้าคุณไม่คิดว่าเพื่อนร่วมชาติเป็นครอบครัวเดียวกับคุณ ถ้าคนในครอบครัวตาย แล้วก็ไม่มีคำตอบอะไรเลย จากฝ่ายราชการ หรือฝ่ายใดที่ควรจะที่ควรจะรอบผิดชอบ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ซึ่งก็มีผู้หญิง เช่นอาจารย์อมรา ก็เป็นผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้เป็นเฟมินิสต์ที่ไหน แล้วก็ไม่เห็นจะเรียกร้องให้อมรามาสู้เพื่อ domestic violence ที่ไหนเลย นี่เป็นเรื่องของคณะกรรมการสิทธิ เอาสิ คุณไปเรียกร้องอาจารย์อมราเลย เรื่องความรุนแรง มีเมียน้อย อะไรก็ว่าไป

ประเด็นสิทธิสตรีในเมืองไทย คิดว่ามีปัญหาอะไรที่เร่งด่วน และมีข้อเสนออย่างไร

พี่คิดว่าปัญหาของสิทธิสตรีในเมืองไทยคือการมองไม่เห็นปัญหา “สิทธิมนุษยชน” ที่ใหญ่กว่าสิทธิสตรี ถ้าเรามองว่าสตรีคือมนุษย์ ปัญหาใหญ่กว่าคือ เราต้องมีสิทธิมนุษยชนเป็นเบื้องแรก ซึ่งสิทธิมนุษยชนเมืองไทยยังไม่มี ซึ่งถ้าปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนยังไม่ได้รับการดูแล อย่าหวังว่าเรื่องสิทธิสตรีจะมีความหมาย เอาแค่นี้เลย สั้นๆ เพราะผู้หญิงก็คน เป็นมนุษย์ ถ้าคุณทำปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนได้ เรื่องอื่นก็ได้ต่อได้ เรื่องเกย์ เลสเบี้ยนอะไรก็ทำต่อได้ แต่นี่ความเป็นคนยังไม่มี

ฉะนั้น ปัญหาของสิทธิสตรีในสังคมไทยตอนนี้คือยังไม่มีใครเหลียวมองเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเพียงพอ แล้วเรื่องคนไม่มีจะกิน นี่เขาไม่มาแยกหญิงแยกชายหรอกค่ะ ขอมีจะกินให้เท่ากันก่อน คุณไม่เคยเป็นกรรมกร ไม่เคยมีค่าแรงวันล่ะ 250 คุณไม่รู้หรอกว่า การจะเอาชีวิตให้รอดแต่ล่ะวันมันยากลำบากแค่ไหน



ท้ายสุดนี้อยากจะฝากบอกอะไร?


ขอเป็นกำลังใจให้นักสิทธิสตรีทุกคนตั้งใจทำงาน หาข้อมูล อ่านหนังสือแล้วก็หาความรู้ให้ตัวเอง  และออกไปสัมผัสชีวิตมนุษย์บ้าง  แขกจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ

[1] อาภาพร สัมฤทธิ์ อาจารย์ประจำศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า “แม้ว่าร่างกายของเธอจะเป็นหญิง แต่เธอคิดแบบผู้ชาย และตนไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรให้กับผู้หญิงเป็นพิเศษ" 


[2] ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ ได้เสนอความคิดเห็นในเวทีสาธารณะที่ ม.ธรรมศาสตร์เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาว่า ขบวนการสิทธิสตรีอาจจะช่วยสร้างให้เกิดความตระหนักรู้เรื่องประเด็นสิทธิ สตรีกับคุณยิ่งลักษณ์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ลืมว่ายิ่งลักษณ์มาด้วยองค์ประกอบทางการเมือง อื่นๆ ที่ทำให้เธอ “เหาะ” มาได้ จึงไม่ควรตั้งความหวังกับเธอมากนัก

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอเอฟพีชี้ชัยชนะ "ยิ่งลักษณ์" ไม่ใช่ยุคทองสตรี อาจารย์มช.เห็นต่างชี้ "เฟมินิสต์" ไม่เข้าใจหญิงชนบท
'พลังสตรี'แนะ'ปู'เรียนรู้สังคมไทย
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ยกการเมืองหญิงสามัญชน โต้ Feminist อัด มองแค่เพศวิถี

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“หมอประเวศ”เชื่อค่าแรงวันละ 150 บาทก็อยู่ได้หากมีที่พัก-อาหารพอเพียง

Posted: 09 Jul 2011 01:39 AM PDT

นพ.ประเวศ วะสีปาฐกถาในงานประชุมประจำปีสภาพัฒน์ฯ ชี้นโยบายค่าแรงวันละ 300 บาททำไม่ได้ จะทำให้สินค้าไทยสู้ต่างประเทศไทยไม่ได้ แต่หากทำให้แรงงานมีที่พัก-อาหารพอเพียง แม้ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาทเงินก็เหลือและแรงงานก็อยู่ได้ หากเชื่อมโยงผู้บริโภคในเมืองกับผู้ทำเกษตรยั่งยืนจะเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 

เมื่อ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีการประชุมประจำปี 2554 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศศช.) เรื่อง “แผนฯ 11...สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี

โดยการประชุมดังกล่าวเพื่อนำผลการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนปรับปรุงร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (2555-2559) ก่อนเสนอสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี และประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2554

โดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า ระหว่างการประชุม นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้กล่าวในการอภิปรายเรื่อง “ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาฯฉบับที่ 11”  โดย นพ.ประเวศกล่าวว่า แผนฯ 11 เป็นวิวัฒนาการทางความคิด จากการพัฒนาเศรษฐกิจมาสู่การสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน เพื่อเผชิญวิกฤติการของโลกทั้งการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับคน และคนกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากเราจะไปในทิศทางนี้ ยุทธศาสตร์การสื่อสารกับทุกภาคส่วนเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด พร้อมทั้งต้องมีกลไกขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นแผนที่พูดลอยๆ แต่ไม่เคยทำได้จริง

การพัฒนาอย่างยั่งยืนอยู่ที่การสร้างดุลยภาพ เน้นการพัฒนา 8 เรื่องซึ่งเป็นกุญแจของการพัฒนาอย่างบูรณาการ คือ เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สุขภาพ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และประชาธิปไตย ขณะที่การพัฒนาต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอากรมเป็นตัวตั้ง ต้องสร้างกลไกให้ชุมชนจัดการตัวเอง ซึ่งต้องปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ เพราะอำนาจที่รวมศูนย์ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม หากท้องถิ่นจัดการตัวเองปัญหาได้ 80-90% ก็แก้ได้ในระดับพื้นที่แล้ว ศ.นพ.ประเวศกล่าว

ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองมีนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน เขามองว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะหากค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น ก็จะทำให้สินค้าไทยแข่งขันสู้ต่างประเทศไม่ได้ แต่หากทำให้แรงงานมีที่พัก มีอาหารพอเพียง แม้ได้รับค่าจ้างวันละ 150 บาทต่อวัน เงินก็เหลือและแรงงานก็อยู่ได้ ดังนั้น เราไม่ควรหวังในเรื่องตัวเงินมากนัก ขณะที่การเชื่อมโยงผู้บริโภคในเมือง กับผู้ทำเกษตรอย่างยั่งยืน จะเป็นพลังงานขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น

นพ.ประเวศ เสนอให้มีการตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แผนฯ 11-12 และหากคนไทยเลิกทะเลาะกันหรือเลิกทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อว่าเราจะสร้างสิ่งดีๆ ให้ประเทศได้มาก

"หากสภาพการเมืองในอีก 5 ปีข้างหน้าเหมือนกับ 5 ปีที่ผ่านมา การดำเนินการแผนฯ 11 ให้เป็นไปตามเป้าหมายคงทำไม่ได้"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น