โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

อัมสเตอรดัมแถลงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องยึดเครื่องบินโบอิ้ง 737

Posted: 17 Jul 2011 11:24 AM PDT

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมโต้ข่าวเกี่ยวข้องกรณียึดเครื่องบินพระราชพาหนะ ระบุข่าวไม่มีมูลความจริง ซัดคนปล่อยข่าว “มีจินตนาการเกินจริง” และไม่สามารถตัดขาด จาก “การเมืองแบบคร่ำครึ” ที่ครอบงำประเทศไทยมาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549

โดยข่าวที่เชื่อมโยงนายอัมสเตอร์ดัมกับกรณียึดเครื่องบินพระราชพาหนะของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ถูกเผยแพร่ครั้งแรกผ่านทวิตเตอร์ วิหคเรดิโอ เมื่อเวลา 19.30 น. ของวันที่ 17 ก.ค.มีข้อความว่า "ผงะ !!! ทนายที่ยึดเครื่อง 737 ของพระบรมฯ คือ อัมสเตอร์ ดัม (นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม) ทนายของทักษิณ..."

ผงะ !!! ทนายที่ยึดเครื่อง737 ของพระบรมฯ คือ อัมสเตอร์ ดัม ทนายของทักษิณ...less than a minute ago via TweetDeck Favorite Retweet Reply

 

จากนั้นข้อความดังกล่าวถูกนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ในเวลา 20.30 น.

ASTVผู้จัดการ

ในวันเดียวกัน นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมได้แถลงผ่านเว็บไซต์ส่วนตัวว่า “ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยึดเครื่องบินโบอิ้ง 737” ตอบโต้ข่าวลือดังกล่าว

ข้อความในแถลงการณ์มีดังนี้

“ในอาทิตย์นี้ตั้งแต่เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชถูกเจ้าหน้าที่ทางการเยอรมันยึด ได้มีข่าวลือหลายเรื่องที่พยายามเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ โดยมีการอ้างว่า ผมมีบทบาทเกี่ยวกับการที่เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยึด

“ผมขอกล่าวอย่างชัดเจนเลยว่า ข้อกล่าวหาจอมปลอมดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีมูลความจริงใดๆทั้งสิ้น กลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลือดังกล่าว คือเพียงผลผลิตของคนที่มีจินตนาการเกินจริงและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตัดขาด จาก “การเมืองแบบคร่ำครึ” ที่ครอบงำประเทศไทยมาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ได้ บุคคลเหล่านี้คือกลุ่มที่รู้สึกอบอุ่นใจกับการปกครองแบบสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งขัดกับเจตจำนงทางประชาธิปไตยของปวงชน และเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่เคยชินกับความมืดมิดสกปรกโสมมของการเมืองไทย และเลือกที่จะเชื่อเรื่องโกหกหลอกลวงและไม่มีมูลเพื่อใช้ป้ายสีและให้ร้าย ฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะเชื่อความจริงที่มีหลักฐานยืนยัน”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วีดีโอ : เสียงจากชายแดนบ้านภูมิซรอลถึงรัฐบาลใหม่

Posted: 17 Jul 2011 10:49 AM PDT

ในเวทีระดมสมองเรื่อง “ชายแดนไทย-กัมพูชา นโยบายจากรากหญ้าถึงรัฐบาลใหม่” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิศักยภาพชุมชน ที่โรงเรียนภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2554 ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้หยิบยกปัญหาเรื่อง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับลงบนที่ดินทำกินของชาวบ้าน ซึ่งมีผลกระทบไม่น้อยไปกว่าการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จิตรา คชเดช

Posted: 17 Jul 2011 08:55 AM PDT

อย่างที่บอกว่า "ดีแต่พูด" ใช้ได้กับทุกคน ต่อไปถ้าคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี พูดอะไรออกมาแล้วไม่รักษาคำพูด ก็โดนเหมือนกัน

17 ก.ค. 54

จาตุรนต์ ฉายแสง: กรณีแขวนยิ่งลักษณ์ : กกต. 5 คนมีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศได้

Posted: 17 Jul 2011 07:47 AM PDT

สวัสดีทุกท่านครับ 

ขอวิจารณ์เรื่องการยังไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

กรณีที่มีการไปแจ้งความเกี่ยวกับการให้การเท็จในศาลก็ดี การร้องขอให้ยุบพรรคเพื่อไทยก็ดีเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินคดีกันไป

แต่ไม่อาจเป็นเหตุให้กกต. ไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์ได้เลย

ตามที่เป็นข่าวจึงเหลืออีกประเด็นเดียวคือเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”และการที่นักการเมืองที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ช่วยคุณยิ่งลักษณ์หาเสียง

เรื่องนี้ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ตามกฎหมายผู้สมัครและพรรคการเมืองสามารถใช้ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้ทำอะไรบ้าง

ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นผลสืบเนื่องจากการยุบพรรคการเมืองนั้นถูกห้ามอยู่ใน 2 ส่วนด้วยกันคือ

1.ห้ามไปก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใดๆ และ 2.ห้ามออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นๆไว้ว่าจะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง

จากการที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จึงทำให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วย

โดยสรุปผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งอันเป็นผลมาจากการที่พรรคการเมืองที่ตนเป็นกรรมการบริหารพรรคถูกยุบไป จะถูกห้ามกระทำในสิ่งต่างๆต่อไปนี้

ห้ามเป็นสมาชิกพรรค ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค ห้ามร่วมกับผู้ใดก่อตั้งพรรคการเมือง ห้ามไปออกเสียงเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายกำหนดคุณสมบัติไว้ว่า จะต้องไม่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น รัฐมนตรีเป็นต้น

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทั้ง 111 และ 109 คนนั้นไม่ได้ถูกกฎหมายห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดๆ

ทั้งนี้ รวมทั้งไม่มีกฎหมายใดห้ามบุคคลเหล่านี้หาเสียงให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งจึงยังคงมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทยที่จะแสดงความคิดเห็นเหมือนคนไทยทั่วไปทุกประการ

ที่ผ่านมา ในระหว่างการหาเสียง ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งก็แสดงความเห็นอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้สมัคร ทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุน

ซึ่งก็เท่ากับเป็นการช่วยหาเสียงนั่นเอง และก็ไม่มีใครว่าอะไร

ที่ถูกเพ่งเล็งและเป็นประเด็นถกเถียงกันเรื่อยมาก็คือการไปช่วยปราศรัยหาเสียง ซึ่งยังไม่มีข้อยุติในเรื่องนี้

ในการเลือกตั้งครั้งก่อน พรรคพลังประชาชนเคยถามกกต.ว่า ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งทำอะไรได้แค่ไหน แต่กกต.ก็ตอบมาอย่างกำกวม

กกต.บอกว่า ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่พึงทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค

แล้วก็เกิดการตีความเลยเถิดเลอะเทอะไปว่า รวมถึงการห้ามถ่ายรูปคู่กับผู้สมัคร ขึ้นเวทีหาเสียงหรือเดินตามช่วยหาเสียงด้วย

เมื่อกกต.ตีความอย่างกำกวม พรรคการเมืองและนักการเมืองก็กลัวจะได้ใบเหลือง ใบแดงจึงไม่กล้าให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งขึ้นเวทีหรือช่วยหาเสียง

นอกจากนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิ์  ก็มักถูกขอร้องไม่ให้ไปหาเสียงให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัคร ถึงแม้จะอยู่คนละเวทีกันก็ตาม

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ไม่มีกฎหมายอะไรรองรับแม้แต่น้อย

ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไป ก็คงต้องมาดูว่าการช่วยหาเสียงเป็นการกระทำตามหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่

กกต.ใช้ตรรกะว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่ช่วยลูกพรรคหาเสียง เพราะฉะนั้นใครที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงย่อมกำลังทำเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่

เมื่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ถูกห้ามเป็นกรรมการบริหารแล้วมาทำอะไรเสมือนเป็นกรรมการบริหารจึงผิดกฎหมาย

แต่ตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ เพราะทำให้เกิดการห้ามในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้าม และอาจนำไปสู่การลงโทษคนทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย

ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ เช่น หมอที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลป์ย่อมถูกห้ามสั่งจ่ายยาที่เป็นอำนาจของหมอ ห้ามผ่าตัดคนไข้

แต่หมอที่ถูกถอนใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับคนไข้ หรือห้ามทายาแดงให้คนไข้หรือเช็ดตัวให้คนไข้เพราะใครๆก็มีสิทธิ์ทำได้

จะบอกว่าเวลาหมอตรวจคนไข้ต้องคุยกับคนไข้ เพราะฉะนั้นใครคุยกับคนไข้ย่อมทำเสมือนเป็นหมอไม่ได้

พลเมืองไทยจะถูกห้ามทำอะไรก็ด้วยกฎหมายเท่านั้น การที่กกต.ห้ามผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งช่วยผู้สมัครหาเสียงจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากฎหมาย

ว่ากันตามกฎหมาย กรณี “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” -  “กรณี111- 109” ช่วยผู้สมัครหาเสียง ไม่เป็นเหตุให้กกต.สามารถให้ใบเหลืองหรือใบแดงแก่ผู้สมัครรายใดได้เลย

การไม่รับรองคุณยิ่งลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ

แต่ที่แย่คือ จะบอกว่ากกต.ไม่มีอำนาจก็ไม่ได้ เพราะ กกต.อาจให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้

กกต.สามารถให้ใบเหลือง ใบแดงใครก็ได้โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐานว่าได้ทำอะไรผิดหรืออาจตัดสินตรงข้ามกับพยานหลักฐานก็ได้ และเมื่อตัดสินแล้วก็สิ้นสุด

และนี่คือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยึดหลักนิติธรรมของประเทศนี้ที่ให้อำนาจคนเพียง 5 คนมีอำนาจเปลี่ยนการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศได้

กรณีคุณยิ่งลักษณ์นี้จึงขึ้นอยู่กับว่ากกต.จะประเมินความเสียหายทางการเมืองที่จะเกิดจากการไม่รับรองหรือการตัดสิทธิ์คุณยิ่งลักษณ์อย่างไร

เมื่อเป็นอย่างนี้ ความไม่น่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้น ความไม่แน่ใจในรัฐบาลใหม่ในสายตาของชาวโลกจึงเกิดขึ้นและกำลังเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างยิ่ง

ถ้าการแขวนคุณยิ่งลักษณ์จะมีประโยชน์อยู่บ้างก็คือ เป็นการที่กกต.ได้ส่งสัญญาณให้เห็นแล้วว่าการที่ประชาชนจะกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาลไม่ง่ายเลย

ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายกำลังได้รับการเตือนแล้วว่าการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยก็ดี  รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาก็ดี ไม่ราบรื่นและยังจะมีอุปสรรคได้อีกมาก

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

โกงกิน-ปล้นชาติในนามรักษ์สิ่งแวดล้อม

Posted: 17 Jul 2011 07:33 AM PDT

                แนวทางการโกงที่แยบยลที่สุด ก็คือ การอาศัยสิ่งที่คนนับถือและชื่นชมมาโกง เช่น อาศัยผ้าเหลือง อาศัยความศรัทธา อาศัยความเคารพ อาศัยความรัก และอาศัยฉันทาคติต่อสิ่งแวดล้อมมาช่วยในการโกงกินปล้นชาติ ลองมาดูกรณีตัวอย่างนี้ว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร

                มีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ในประเทศหนึ่ง สามารถผลิตไฟฟ้าป้อนการใช้สอยของชาวบ้านแทนแสงอาทิตย์ได้เกือบแสนครัวเรือน นัยว่าเผื่อใช้ได้ในกรณีฉุกเฉินเกิดการผลิตไฟฟ้ากระแสหลักด้วยถ่านหินและน้ำมันเชื้อเพลิงใช้การไม่ได้ ประทศชาติยังจะได้มีพลังงานไว้ใช้สอย ซึ่งนับเป็นหลักการที่ดีมาก 

                อย่างไรก็ตามรัฐบาลของประเทศดังกล่าว ต้องชดเชยให้กับบริษัทแห่งนี้หน่วยละ 0.3 ดอลลาร์ หรือ 8 บาทไทย เพราะต้นทุนการผลิตด้วยแสงอาทิตย์ (ประมาณ 11 บาท) แพงกว่าต้นทุนการผลิตด้วยน้ำมันหรือถ่านหิน (ประมาณ 3 บาท) ถึงราว ๆ 8 บาทไทย ด้วยค่าชดเชยดังกล่าวนี้ โรงงานผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท จะคุ้มทุนในเวลา 7 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นคือกำไรที่รออยู่ทุกปีไปจนถึงปีที่ 30 ถ้าคุ้มทุนเร็วอย่างนี้ ทำไมรัฐบาลไม่ทำเองก็ไม่ทราบได้

                ค่าชดเชยหน่วยละ 8 บาทนั้น วันหนึ่ง ๆ รัฐบาลจะต้องชดเชยให้เป็นเงิน 3.432 ล้านบาท หรือปีละถึง 1,250 ล้านบาท ถ้าชดเชยไป 30 ปี ณ อัตราดอกเบี้ย 5% ก็จะเป็นเงินปัจจุบันสุทธิถึง 19,200 ล้านบาท แต่หากเป็นอัตราดอกเบี้ย 7% ก็จะเป็นเงิน 15,500 ล้านบาท ซึ่งล้วนมากกว่าเงินลงทุน 10,000 ล้านบาทถึง 50% - 92% เลยทีเดียว

                ในอีกประเด็นหนึ่งก็ลองมาตรวจสอบเงินลงทุน 10,000 ล้านบาทนั้น ปรากฏว่าเป็นค่าแผ่นเซลล์พลังแสงอาทิตย์ถึง 2,500 ล้านบาท ราคานี้ต้องซื้อจากโรงงานของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ต่อรองก็ไม่ได้ เราต้องซื้อไปตลอด 30 ปี ซึ่งเป็นเงินอีกมหาศาลที่ต้องเสียไปในอนาคต ว่ากันว่าเซลล์พลังแสงอาทิตย์เหล่านี้มีต้นทุนการผลิตจริงอาจเพียง 100 ล้านบาท แต่ด้วยการมี “ทรัพย์สินทางปัญญา” จึงถูกตั้งราคาไว้สูงลิ่ว ซึ่งก็เท่ากับการปล้นโดยมหาอำนาจนั่นเอง แต่ประเทศมหาอำนาจกลับบอกว่าเป็นการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา

                ทำไมประเทศดังกล่าวไม่ผลิตเซลล์พลังแสงอาทิตย์เอง กรณีนี้ก็คล้ายกับการรถไฟฯ ของไทย ที่ไม่เคยสามารถผลิตหัวรถจักรได้เอง ต้องไปอุดหนุนต่างประเทศมาโดยตลอดตั้งแต่ตั้งการรถไฟมาจนถึงทุกวันนี้นับร้อยปี กลายเป็นเบี้ยล่างต่างชาติ ในกรณีประเทศจีน แม้แต่รถไฟฟ้าความเร็วสูง เขาก็ยังซื้อเทคโนโลยีมาผลิตเอง ไม่ให้ต่างชาติจูงจมูก ถ้าจีน “หงอ” แบบไทย ป่านนี้ชาติมหาอำนาจคง “ขย้ำ” จีนจมเขี้ยวไปแล้ว และคงมีสภาพเป็นกึ่งเมืองขึ้นต่างชาติเช่นประเทศไทย

                เงินลงทุนอีก 7,500 ล้านบาทหลังจากหักค่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ก็ใช้เพื่อซื้อเครื่องจักร เทคโนโลยี ผู้รับเหมา ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งต้องซื้อของประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจดังกล่าวทั้งสิ้น จนไม่มี “กระเด็น” ไปยังบริษัทของประเทศอื่นใด ซึ่งเท่ากับว่าบริษัทเอกชนของประเทศมหาอำนาจนั้น ครอบงำเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย

                อย่างไรก็ตามถึงแม้โรงงานแห่งนี้จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้มาก แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าความต้องการจริงมหาศาล คงไม่ถึง 0.5% ของความต้องการทั้งหมดทั่วประเทศเท่านั้น ถ้าต้องการโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์นี้ให้เพียงพอต่อความต้องการ ก็คงต้องลงทุนอีกมหาศาล ซึ่งคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทางการเงินที่จะก่อสร้างได้ แม้แต่สหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่สามารถทำให้คุ้มทุนได้ การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังแสงอาทิตย์ ยังห่างไกลจากความเป็นจริงในด้านความคุ้มค่านัก

                แต่ด้วยเหตุที่เป็นโครงการรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม จึงเท่ากับปิดปากไม่ให้ใครอื่นสงสัย ทั้งที่ถือได้ว่าธุรกิจนี้ โกงกิน-ปล้นชาติตั้งแต่เริ่มต้น และเถือประเทศชาติไปเรื่อยตลอดอายุสัมปทาน น่าแปลกจริง ๆ ที่แสงแดดก็ของท้องถิ่น ที่ดินที่ตั้งโครงการก็อยู่ในประเทศนั้น แต่ไฟทุกหน่วยที่ผลิตได้ กลับต้องแบ่งไปประเคนให้ประเทศมหาอำนาจ หรือข้าราชการถูกต่างชาติซื้อจึงเอาหูไปนาตาไปไร่ ปล่อยให้เกิดการปล้นชาติกันขนาดนี้

  

ปล. เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้อง ผู้เขียนขอเรียนว่า กรณีนี้ไม่ใช่ประเทศไทย แต่ผู้เขียนไม่อาจระบุชื่อประเทศดังกล่าว  อย่างไรก็ตามโรงงานดังกล่าวมีอยู่จริง มีตัวเลขที่ใกล้เคียงนี้จริง และประเทศสูญเสียจริง ๆ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กระทรวงการต่างประเทศแถลงกรณีวอลเตอร์ เบาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล

Posted: 16 Jul 2011 11:09 PM PDT

กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่คำแถลง "กษิต ภิรมย์" กรณีวอลเตอร์ เบา ฟ้องรัฐบาลไทยชดใช้เงิน 30 ล้านยูโร แจงฝ่ายเยอรมันอายัดเครื่องบินพระที่นั่ง เป็นการเข้าใจผิดว่าเป็นเครื่องบินของรัฐบาลไทย โดยทางการไทยกำลังขอให้ฝ่ายเยอรมันถอนการอายัดเครื่องบิน

หมายเหตุ: เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ในเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่คำสัมภาษณ์ของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณีบริษัทวอลเตอร์ เบา (Walter Bau) ของเยอรมนี ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย มีรายละเอียดดังนี้

000

คดีบริษัทวาลเทอร์ เบา ของเยอรมนี ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ, 15 กรกฎาคม 2554 15:04:03

เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่กระทรวงการ ต่างประเทศ เกี่ยวกับคดีบริษัทวาลเทอร์ เบา (Walter Bau) ของเยอรมนี ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

๑. คดีดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างบริษัทวาลเทอร์ เบา ของเยอรมนีกับรัฐบาลไทย โดยบริษัทฯ เป็นโจทก์ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย กรณีผิดสัญญาโครงการทางด่วนดอนเมืองโทลเวย์ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ตามสนธิสัญญาระหว่างไทยกับเยอรมนีเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ต่างตอบแทน ค.ศ. ๒๐๐๒ ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการได้ตัดสินชี้ขาด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทฯ เป็นเงินประมาณ ๓๐ ล้านยูโร บวกดอกเบี้ยและค่าดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการอีกเกือบ ๒ ล้านยูโร

๒. โดยที่สหรัฐฯ เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับนับถือและการใช้บังคับคำชี้ขาดอนุญาโต ตุลาการต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๕๘ (Convention on the Recognition and Enforcement of Foreign Arbitral Awards) บริษัทฯ จึงได้นำคดีฟ้องต่อศาลนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓ เพื่อขอให้บังคับคดีตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งต่อมาศาลนครนิวยอร์กได้ตัดสินให้ไทยปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโต ตุลาการ รัฐบาลไทยโดยสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสินของศาล นิวยอร์ก

๓. ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเยอรมนีอีกทางหนึ่งเพื่อให้มีการบังคับคดี ซึ่งศาลเยอรมนีได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ให้ยึดทรัพย์สินรัฐบาลไทยโดยมิได้มีการสอบถามหรือไต่สวนฝ่ายไทย ซึ่งนำไปสู่การอายัดเครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าอากาศยานนครมิวนิก เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยเข้าใจผิดว่าเป็นเครื่องบินของรัฐบาลไทย

๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของฝ่ายเยอรมันเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงอันเกิดจากความเข้าใจผิด เนื่องจากเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ มิใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทย ฝ่ายไทยได้ดำเนินการติดต่อทางการเยอรมันทันทีที่ได้รับทราบเรื่องในทุกช่อง ทางเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและหลักฐานยืนยันว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ โดยในการดำเนินการของฝ่ายไทยนั้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ได้ให้ข้อมูลข้างต้นแก่กระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี และรัฐมนตรีว่าการฯ ได้มีหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีแสดงความกังวลอย่างยิ่งของฝ่ายไทยและขอให้ฝ่ายเยอรมันถอนการอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวในทันที และได้สนทนาทางโทรศัพท์กับปลัดกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี กระทรวงฯ ได้เชิญอุปทูตสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย มารับทราบข้อเท็จจริง และคณะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย นำโดยอัยการสูงสุดและรองอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ได้เดินทางไปถึงนครมิวนิคแล้ว ขณะที่เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ได้ติดต่อทนายความเยอรมันเป็นที่ปรึกษาประเด็นด้านกฎหมาย นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการฯ จะเดินทางไปกรุงเบอร์ลินในคืนวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เพื่อพบกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีในบ่ายวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เพื่อให้มีการถอนอายัดเครื่องบินลำดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่างบริษัทวาลเทอร์ เบา กับรัฐบาลไทย รัฐบาลไทยเคารพและไม่มีความตั้งใจที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของเยอรมนี ตลอดจนเข้าใจว่าการดำเนินการเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาบ้าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยหวังว่า กรณีที่เกิดขึ้นจะได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด

๖. สำหรับคดีฟ้องร้องระหว่างบริษัทวาลเทอร์ เบา กับรัฐบาลไทย สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลไทยให้เป็นผู้รับผิดชอบในคดีดังกล่าว กำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาลนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่จะต้องดำเนินต่อไป

********************************

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔

 

ที่มา: เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น