โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ปีใหม่ ปีแห่งการขับเคลื่อนทางการเมืองรอบใหม่ที่ยกระดับขึ้นกว่าเดิมของประชาชน

Posted: 03 Jan 2012 09:59 AM PST

ภาระหน้าที่เดิมของขบวนการคนเสื้อแดงและนปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อแก้ปัญหาที่คณะรัฐประหารและเครือข่ายระบอบอำมาตย์ได้กระทำต่อประชาชนไม่ว่าจะเป็นการประกันตัว การเยียวยา การต่อสู้คดี  ทั้งในฐานะผู้ถูกกระทำ และการฟัองร้องดำเนินคดีเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ ล้วนยังไม่สิ้นสุด 

เรายังต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะในฐานะผู้ถูกกระทำ เราสูญเสีย และเสียหายหลายพันครอบครัว นับหมื่นคน องค์กรประชาชนเช่น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ก็เหมือน องค์กรประชาชนอื่นๆ ที่มีความจำกัดทั้งด้านฝ่าย กฏหมาย  กำลังคน และกำลังทรัพย์ ต้องอาศัยเราทั้งขบวนช่วยกัน 

ฝ่ายที่ทำงานด้านเยียวยา ได้แจ้งตัวเลขที่ทำการเยียวยาส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวน กว่าห้าล้านบาท ดังเราได้แถลงข่าวไปแล้ว แต่ที่อยู่นอกเหนือชุดเยียวยาของปลายปี 53 ต่อ 54 นั้นเป็นการใช้จ่ายตั้งแต่หลังวันที่ 10 เมษายน 53 เป็นต้นมา ในขณะอยู่ระหว่างถูกปราบปราม ก็เป็นตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งต่างหาก 

นี่ย่อมไม่รวมการช่วยเหลือส่วนตัวของแกนนำ ของพรรคเพื่อไทย ของบ้านเลขที่111 และของคุณทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนผู้มีอุปการะคุณอื่นๆอีก 

ยังมีค่าใช้จ่ายในระหว่างถูกคุมขัง จ่ายให้ครอบครัวเพื่อการประกันตัว และการต่อสู้คดี ที่ สส.และผู้อุปการะในท้องถิ่นต่างๆสนับสนุนช่วยเหลืออีกต่างหาก ผู้ที่มองเห็นปัญหาและตามมาช่วยในระยะหลังๆจึงเป็นเรื่องที่ดี และเรื่องเช่นนี้ ถ้าคิดตามคติคนไทยทั่วไป ก็ถือเป็น “การทำบุญช่วยคนทุกข์ยาก” แต่ถ้าเป็นนักต่อสู้ในขบวนประชาชน ก็ถือเป็นส่วนของ  “การหนุนช่วยการต่อสู้ของประชาชน” ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น 

อาจมีบางคนใช้เรื่องเช่นนี้ หันปลายหอกมาโจมตีภายในขบวนฯด้วยกัน โดยนี่อาจเป็นเพราะข้อมูลที่ได้รับไม่เพียงพอ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม ทำให้เลยเถิดไปจนไม่ใช้ท่าทีของคนในฝ่ายประชาชนด้วยกัน 

ทำให้ผู้เขียนคิดไปถึงเหตุการณ์ในช่วงก่อน “6ตุลา19” ที่มีกลุ่มซ้ายจัดที่ได้รับอิทธิพลปฏิวัติวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพของจีนและเกิด “กลุ่มเรดการ์ด”ออกมาโจมตี คนในฝ่ายประชาชาธิปไตย และในฝ่ายขบวนการต่อสู้เดียวกัน โดยไม่รู้ข้อมูล ความจริง 

จนทำให้ขบวนการนักศึกษาประชาชนในตอนนั้นถูกโดดเดี่ยวจากสังคม และเป็นการง่ายต่อฝ่ายปฏิปักษ์ของประชาชน ฝ่ายเครือข่ายอำมาตย์ “จัดการ”กับฝ่ายก้าวหน้า นักเรียน นิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในสังคมไทยทั้งหมด

กลุ่มนิติราษฎร์เป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีเป้าหมายและกระบวนการทำงานชัดเจนของตนเอง ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนิติรัฐ นิติธรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยหันปลายหอกไปสู่ความไม่ถูกต้องของนิติรัฐปัจจุบัน

สำหรับ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เอง ก็ต้องสรุปบทเรียน ข้อดี ข้อผิดพลาด รวมทั้งการปรับโครงสร้างใหม่ สำหรับการจัดตั้งองค์กรและการนำขององค์กร และนี่ก็หมายถึงอนาคตขององค์กรในระยะต่อไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การปรับองค์กรนปช.ในปลายปี 52 ได้วางหลักนโยบาย เป้าหมาย ทางยุทธศาสตร์ใหญ่ไว้ดีพอสมควร จนสามารถใช้ขับเคลื่อนได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ รอบใหม่ของการต่อสู้คือ “การยกเลิกรัฐธรรมนูญ2550 และกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง ยุติการรัฐประหารทุกรูปแบบในสังคมไทย”

ภาระกิจในรอบการต่อสู้ใหม่ที่ยกระดับจากการล้มรัฐบาลระบอบอำมาตย์ จึงต้องเป็นไปเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เพิ่มเติมจาก 5 ข้อเดิม 

พิจารณาแล้ว ควรจะเพิ่มภาระหน้าที่รอบใหม่คือ

1.นำเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550มาตรา291 เพื่อเปิดประตูสู่การ “ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน โดยประชาชนเข้าชื่อกันเพื่อ “แก้มาตรา291”ให้ได้ประมาณสองแสนคนภายในเดือนมกราคม2555

2.จัดเวทีปราศรัย เวทีเสวนา สำหรับกลุ่มคนต่างๆและ เปิด “โรงเรียนนปช.เพื่อ นิติรัฐ นิติธรรม และความคิดเห็นในประเด็นหลักๆสำหรับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน และแก้ไข หรือยกเลิกกฏหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง” ตลอดปี2555

3.ผลักดันใหัมีการเลือกตั้ง สสร.ของประชาชน ภายในกลางปี 2555 และให้ สสร.จากการเลือกตั้งมีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง

4.จัดตั้งเวทีต่อเนื่องเพื่อผลักดัน ให้เกิด นิติรัฐ นิติธรรม ในประเทศไทย และการให้ความยุติธรรมต่อคดีความผิดทางอาญาอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง ศึกษาเรื่อง “ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านสังคม และความยุติธรรมในระยะยาวต่อไปภายหน้า”

นี่จึงเป็นการเพิ่มเติมภาระหน้าที่ ในการต่อสู้รอบใหม่ของปี2555 เป็นต้นไป แม้ภารกิจการเยียวยา และการต่อสู้คดียังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม แม้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่ได้หมายความว่า การเยียวยา การสร้างนิติรัฐ นิติธรรม จะง่ายดาย ราบรื่น เพราะพรรคเพื่อไทยก็มีองค์ประกอบเช่นพรรคการเมืองทั่วไป ที่มีความหลากหลายมากมายยิ่งกว่าขบวนการประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงเสียอีก มีทั้งพวก อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม หรือ พวกยึดติดกับผลประโยชน์ส่วนตน กลุ่มตน กระทั่งต้องการลดทอนกำลังและองค์กรนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ทำลายขบวนการเสื้อแดงก็มี 

ดังนั้นการต่อสู้ของประชาชนรอบใหม่จึงไม่ง่ายเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรจะกล่าวว่ายากเพราะเรามีพื้นฐานที่ดีจากผลพวงการต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการต่อสู้หลังการทำรัฐประหาร2549 เป็นต้นมา

ตลกร้ายที่มีการเอาผู้นำการทำรัฐประหารมาเป็น “ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อการปรองดอง” 

อาจจะคิดว่า “หนามยอก เอาหนามบ่ง”  

แต่หนามนี้ ที่เป็นหนามยอกได้ ก็เนื่องมาจาก ในขณะนั้นเขายึดกุมกำลังกองทัพอยู่ กำลังจึงมิได้มาจาก กำลังส่วนตนเอง แต่เขาเป็นผู้ถืออาวุธในเวลานั้นเท่านั้น จะเอาอะไรมาทำให้เกิดความปรองดองได้ในขณะนี้ ผู้เขียนยังสงสัย มองไม่เห็น กำลังแห่งบารมีหรือสติปัญญา ของเขาผู้นี้ ซึ่งเป็นเพียงแต่ผู้แขวนป้ายอดีตผู้นำการทำรัฐประหารเท่านั้น

การแก้รัฐธรรมนูญ2550มาตรา291 เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน นี่จึงถือเป็น “ก้าวย่างของการปรองดองโดยแท้” เพราะขนาดประชาชนถูกกระทำจนบอบช้ำ ถูกล้อมปราบ เข่นฆ่ากลางถนน นับร้อยศพ ถูกตั้งข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ถูกจับกุมคุมข้งก่อนโดยปราศจากพยานหลักฐานอันแน่นอน และเพียงพอ บ้างต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน บ้านแตกสาแหรกขาด เสียโอกาสการประกอบอาชีพ และการมีชีวิตอย่างปกติสุข 

เราถูกกระทำถึงเพียงนี้ แต่เราก็ยังต้องอดทนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างมีจังหวะก้าว จนสามารถผ่านชัยชนะจากการเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่แทนที่รัฐบาลที่มาจากการสนับสนุนของปากกระบอกปืน และถึงขั้นตอนนี้ในปี2555 ขอให้เขียนกติกาสังคมใหม่ กฏหมายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฏหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ โดยทำการต่อสู้ในระบบ ในกติกาเดิมที่มีอยู่คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550ในมาตรา291

นี่แหละคือก้าวย่างของการปรองดองของประชาชน ที่มีต่อกลุ่มคนในระบอบ อำมาตรย์ที่กุมกลไกรัฐแท้จริง และได้ปราบปราม ใช้อาวุธสงครามกระทำต่อเรา ประชาชนไทย 

ถ้าก้าวย่างแห่งการปรองดองนี้ถูกปฏิเสธ หรือเป็นไปไม่ได้ ก็หมายความว่า ถนนสายแห่งการปรองดองถูกปิดกั้น (ด้วยบิ๊กแบ๊คของอำมาตย์?)

ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่ากระแสแห่งการต่อสู้ของประชาชนต้องถูกบังคับให้ใช้ถนนสายอื่นเช่นนั้นหรือ?

ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า เส้นทางนี้เราสามารถผ่านไปได้ 

ดังนั้นประชาชนไทยคงได้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ภายในปี2556อย่างแน่นอน

ทั้งนี้เรายังไม่ลืมภาระกิจที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องต่อไปคือ

เราต้องยืนหยัดดำเนินการทำความจริงให้ปรากฏ และในการนำเอา “ผู้รับผิดชอบในการผู้สั่งฆ่าประชาชนไทยสองมือเปล่าด้วยอาวุธสงคราม มารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศและภายนอกประเทศ”อย่างจริงจังจนถึงที่สุดต่อไป

เรายังคงต้องติดตามการดำเนินการต่อเนื่องในเรื่องการประกันตัวและการให้การเยียวยาพี่น้องเราที่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้เมื่อปี2553 ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจาก พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและพี่น้องเสื้อแดงต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง สำหรับนปช.แดงทั้งแผ่นดินก็ต้องดำเนินการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อความยุติธรรม”เพื่อสนับสนุนการต่อสู้คดีทั้งในฐานะผู้ที่ถูกกระทำและฟ้องร้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษทางกฏหมาย”

เรายังคงต้องขยายกำลังและทำให้การจัดตั้งของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไป

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อย่าเปรียบไทยกับเกาหลีเหนือ

Posted: 03 Jan 2012 09:58 AM PST

 

หลังจากที่ผู้นำตลอดชีพของเกาหลีเหนือ ท่านคิม จองอิล ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 17 ธันวาคม 2554 การพูดถึงความพิสดารด้านต่างๆ ของสังคมเกาหลีเหนือ นำมาซึ่งความไม่พอใจแก่บรรดาผู้เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างไม่รู้จักพอเพียง

บทสนทนาต่อไปนี้ มาจากจินตนาการของผู้เขียน อาจเหนือจริงหรือเป็นจริงน้อยกว่าอาการอันน่าเป็นห่วงของสังคมไทยในวันนี้ก็เป็นได้

สมชาย: ประเทศไทยไม่เหมือนเกาหลีเหนือ จำไว้ จงอย่าได้คิดสะเออะมาเปรียบเทียบ

สมศักดิ์: ประเทศไทยต่างจากเกาหลีเหนือเพราะเนียนกว่า และมีคนจำนวนไม่น้อยพึงพอใจกับข้อมูลด้านเดียว ด้านเดียวๆ จริงๆ ข้อมูลด้านเดียวทำให้พวกคุณรู้สึกมั่นคง ว่าโลกและชีวิตเรียบง่าย พอเพียง ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องตั้งคำถาม และไม่ต้องคิดมากให้เปลืองสมอง

สมชาย:
คิดมากไปทำไม ในเมื่อทุกอย่างก็ “ดีอยู่แล้ว” หากต้องคิดก็ง่ายนิดเดียว ขอให้คิดเสียว่า ทุกคนที่ไม่เอา มาตรา 112 คือพวกหางแดงรับเงินทักษิณมาล้มเจ้าก็พอ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น มันเป็นการต่อสู้ระหว่างความดี กับความชั่วช้าสามานย์ คุณเลือกเอาเองก็แล้วกันว่าจะอยู่ฝั่งไหน

ขอแนะนำว่า อยู่ฝั่งผมดีกว่า เพราะฝั่งผมมีแรงจูงใจเยอะกว่า ปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อมาตรา 112 ด้วย คุณจะไปเสี่ยงต่อต้านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปทำไมให้เหนื่อย และเปลืองตัว ทำไมคุณต้องมาเดือดร้อนกับการที่สังคมอยู่กับข้อมูลดีๆ ด้านเดียวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เล่า

ด้านเดียว ด้านเดียว ด้านเดียวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ . . . พูดเขียนซ้ำๆ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร

สมศักดิ์:
ที่ไม่แปลกก็เพราะสังคมไทยชาชินเสียแล้วกับข้อมูลด้านเดียวจนไม่ตั้งคำถามเปรียบเทียบใดๆ กับสังคมอื่นอย่างเกาหลีเหนือ ที่ให้ข้อมูลด้านเดียวกับประชาชนเช่นกัน

สมชาย:
บอกแล้วไงว่าอย่าไปเปรียบกับเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือเป็นประเทศเผด็จการ บังคับให้ประชาชนบูชายกยอเพ้อเจ้อกับผู้นำตลอดกาล ยัดเยียดข้อมูลด้านเดียว ล้างสมองประชาชน ส่วนประเทศไทยนั้นเป็นประชาธิปไตย ไม่มีการเซ็นเซอร์ ไม่มีการยัดเยียดข้อมูลด้านเดียว มีแต่การป้อนข้อมูลดีๆ ให้ประชาชน ไม่มีใครต้องติดคุกเพราะเห็นต่าง หรือต้องลี้ภัยไปต่างประเทศอย่างที่คุณเข้าใจหรอก ไม่มีหนังสือใดๆ ต้องห้าม และมาตรา 112 ก็เป็นกฎหมายที่ดี เหมาะสมกับสังคมประชาธิปไตยแบบไทยๆ ยิ่ง ส่วนที่เกาหลีเหนือสื่อเขาปั่นหัวประชาชนบอกหิมะตกหนักหลังท่านคิมเสีย เพราะฟ้าก็โศกา รัฐเกาหลีเหนือนั้นหลอกประชาผู้น่าสงสาร ในขณะที่เมืองไทยเรามีเสรีภาพกับข้อมูลด้านดีๆ ทุกประการ

คุณลองท่องอีกที ว่าเมืองไทยไม่เหมือนเกาหลีเหนือ ไม่ปิดหูปิดตา ไม่มีการยัดเยียดข้อมูลต่าง ไม่มีการเซ็นเซอร์ นิตยสารดิอิโคโนมิสท์มีขายทุกงวด ไม่มีนักโทษทางความคิด และไม่มีการยอมรับความจริง

ท่องอีกที ท่องจนกว่าคุณจะเห็นว่ามันเป็นจริง และมีตรรกะคงเส้นคงวา และอย่าล่อกแล่กไปอ่านข่าวเกี่ยวกับเกาหลีเหนืออีกเชียวนะ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ก้านธูป’ นศ.ปี 1 โดนหมายเรียกข้อหาหมิ่นฯ รายงานตัว 11 ม.ค.

Posted: 03 Jan 2012 09:38 AM PST

 

3 ม.ค.55  สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานข่าวจากเฟซบุ๊คส่วนตัวของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งระบุว่า ‘ก้านธูป’ นามแฝงของนักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับหมายเรียกจาก สน.บางเขน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 จากกรณีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อกลางปี 2553 โดยนัดหมายรายงานตัวในวันที่ 11 ม.ค.นี้

เฟชบุ๊คของสมศักดิ์ ระบุว่า “ผม รู้เรื่อง "ก้านธูป" โดนตั้งข้อหาและหมายเรียกตั้งแต่วันแรกที่เธอโดน เพราะเธอโทรมาบอก ผมก็ตกใจแบบคาดไม่ถึงมากๆ เหมือนกับที่เธอเป็นนั่นแหละ เพราะนึกว่าเรื่องมันผ่านไปปีกว่า (ข้อความโพสต์ เมษายน 2553 ได้รับหมายเรียกปลายตุลาคม-ต้นพฤศจิกายน 2554) เธอก็โดนเล่นงาน จนเสียเวลาเรียนไป 1 ปี เต็มๆ แล้ว ก็คงไม่มีอะไรแล้ว

ที่สำคัญ บอกตรงๆ ว่าข้อความของ "ก้านธูป" ซึงผมพอจำได้จากครั้งนั้นและได้อ่านซ้ำอีกจากหมายเรียก เมื่อนึกแล้ว มันก็คล้ายๆ กรณี "มาร์ค วี 11" ที่ผมพูดถึงในกระทู้แจ้งข่าวนันแหละ คือ ยังไงล่ะ มันเป็นสไตล์การโพสต์แบบวัยรุ่นๆ น่ะ คงพอนึกออก (ผมเพิ่งกลับไปอ่าน ข้อความ "มาร์ค วี 11" ใหม่ จริงๆ มีส่วนคล้ายๆ กันอยู่ แม้แต่บางคำทีใช้)

ผมก็นึกว่า จนท. น่าจะมีวิจารณญาณอย่างมาก อาจจะเรียกมาตักเตือนว่า มัน "หมิ่นเหม่" หรืออะไรแบบนั้น พูดจริงๆ ไม่ได้แกล้งพูด ผมนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะถึงขั้นตั้งเป็นข้อหากันได้ "ก้านธูป" ที่โดนเอง คงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ช่วงเวลา 2 เดือนเศษ จากที่ได้หมายเรียกจนบัดนี้ ผมว่ามันคงเป็นช่วงที่ไม่สบายใจอยู่มาก ใกล้ปีใหม่ก็หมายถึงใกล้ ช่วงทีต้องรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ และก็คงต้องบอกข่าวต่อสาธารณะ

ไม่กี่วันก่อน ความจริง เธอปรึกษาผมว่าควรจะขอเลื่อนการรายงานตัวไปอีกไหม เพราะว่าวันที่ 15 มกราคม (คือ 4 วันหลังวันรายงานตัว) มีสอบกลางภาคด้วย (เลื่อนสอบจากน้ำท่วม) ผมก็บอกว่า แล้วแต่เธอตัดสินใจนะ เพราะว่ามันก็มีข้อดี-ข้อเสีย ทั้ง 2 ทาง เลื่อนออกไปอาจจะทำให้ไม่กังวลสำหรับสอบ หรืออาจจะยิ่งกังวลมีเรื่อง "หนักใจ" ถ่วงอยู่ ตอนเข้าสอบก็ได้ ขณะที่ไปรายงานเสียให้เสร็จๆ ก็อาจจะกังวลน้อยลงก็ได้ ... ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเองว่า ไม่ขอเลื่อนแล้ว (เคยขอเลื่อน มา 2 ครั้ง ช่วงน้ำท่วม)”

ขณะที่มติชนออนไลน์ รายงานคำให้สัมภาษณ์ของปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการฝ่ายกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า ปกติแล้วหากนักศึกษามหาวิทยาลัยถูกดำเนินคดีอาญาจะต้องมีเอกสารจากเจ้าหน้าที่แจ้งมายังมหาวิทยาลัยเพื่อทราบ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารเพื่อทราบว่านักศึกษาคนดังกล่าวถูกดำเนินคดีนี้ จึงยังไม่ทราบว่ามีการตั้งข้อหาหรือยังและในประเด็นอะไร อย่างไรก็ตาม เห็นว่าหากนักศึกษาถูกดำเนินคดีจริงก็เป็นเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะพิพากษาให้มีความผิด

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวด้วยว่า อีกประเด็นคือ "กระบวนการล่าแม่มด" ซึ่งไม่ใช่เรื่องของกระบวนการยุติธรรมและเห็นว่าไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะไม่ว่านักศึกษาคนดังกล่าวจะเคยพูดหรือทำอะไรที่สร้างความไม่พอใจ สร้างความไม่เห็นด้วยให้แก่ใคร คนที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่มีสิทธิที่จะไปละเมิดหรือคุกคามสวัสดิภาพความปลอดภัย ของผู้อื่น เพราะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการคุกคามความปลอดภัยของนักศึกษาคนดังกล่าว หากเกิดการคุกคามนักศึกษาทางมหาวิทยาลัยก็ไม่นิ่งนอนใจและต้องป้องกันดูแลความปลอดภัยอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.54 เว็บไซต์ ASTV-ผู้จัดการได้เผยแพร่รายงานเรื่อง ธรรมศาสตร์ในวันที่อ้าแขนรับ "ก้านธูป" โดยกล่าวหาว่าเธอมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และยังระบุถึงคำให้ส้มภาษณ์ของสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อเรื่องนี้ด้วยว่า

“สำหรับเด็กก้านธูป มีคนส่งอีเมลมาให้ผม แต่ก็ไม่มีใครส่งข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ส่วนใหญ่จะส่งมาถามอธิการบดี ดังนั้นมธ.ทราบตั้งแต่ต้นว่าเด็กคนนี้คือใคร พอเขาสอบเข้าได้ในคณะสังคมสงเคราะห์ ทางมหาวิทยาลัยได้ประชุมกัน 2 ครั้ง เพื่อจะพิจารณาว่าควรจะรับเด็กก้านธูปเข้ามาเรียนหรือไม่ สรุปคือเรารับเด็กคนนี้เข้าเรียน เพราะเด็กสอบได้ จะไม่ให้เด็กเข้ามาเรียนได้อย่างไร เราไม่ได้มองประเด็นของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี้ แต่ถ้าเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้วยังมีพฤติกรรมดังกล่าว ธรรมศาสตร์ก็ต้องตรวจสอบว่าเราจะทำโทษทางวินัยได้ไหม เราจะลงโทษพฤติกรรมก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนในธรรมศาสตร์ได้อย่างไร ผมว่าเราไม่ควรรังแกเด็ก"

“ส่วนพฤติกรรมการใช้ถ้อยคำรุนแรง เสียดสี หยาบคาย ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่น เป็นจริงหรือเปล่า ผมไม่รู้ ไม่เห็นมีใครบอกผม เราจะสมมุติอะไรไม่ได้ เพราะไม่เห็นมีใครมาบอกข้อเท็จจริงกับผมเลยสักคน แต่ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นจริง ธรรมศาสตร์ก็จะทำการสอบสวน และเอาความผิดทางวินัยเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราจะบอกว่าเด็กคนนั้น เด็กคนนี้ไม่ควรเรียนที่นี้ ด้วยเหตุนั้น เหตุนี้ เหตุนู้น ธรรมศาสตร์รับไม่ได้ ธรรมศาสตร์มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ถ้าเขาหมิ่น ในหลวงจริง เขาต้องถูกฟ้องคดีอาญา มีคนเฟสบุ๊คมาหาผมมากมาย เด็กทำแบบนู้นแบบนี้ ผมถามหน่อยเถอะ ทำไมถ้าเด็กทำแบบนี้ คุณไม่ไปแจ้งความเลยล่ะ ถ้าคุณเชื่อมั่นว่ามันเป็นความจริง ทำไมต้องให้ธรรมศาสตร์ไล่เด็กคนนี้ให้พ้นจากการเป็นเด็กธรรมศาสตร์ ที่สำคัญหลายคนคิดว่าอธิการบดีทีไม่ทราบเรื่อง แต่จริงๆ ผมรู้ตั้งแต่แรก เราประชุมกันตั้งสองรอบ และไม่ได้ประชุมเฉพาะคณะสังคมสงเคราะห์ เราประชุมกันทั้งมหาวิทยาลัย ไม่มีคนแย้ง อาจารย์ธรรมศาสตร์เห็นตรงกันทุกคน ว่าต้องรับเด็กคนนี้เข้ามาเรียนที่นี้ คณบดีที่ทุกคณะบอกต้องรับเด็กคนนี้เข้ามาเรียนที่นี้ แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ก็ว่ากันไปตามกฏกติกาการลงโทษของธรรมศาสตร์"

หลังจากนั้นในวันที่ 30 ธ.ค.54 กลุ่มนักศึกษา 6 องค์กร ออกแถลงการณ์ประณามเครือผู้จัดการที่ได้เผยแพร่บทความดังกล่าวโดยระบุว่าเป็นการมีการเขียนถ้อยคำโจมตีตัวบุคคลอย่างรุนแรง นำเสนอข้อความอย่างเป็นเท็จ และยังเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลผู้อื่นอย่างร้ายแรง โดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสาธารณะ พร้อมเรียกร้องให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ และองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มธ.

Posted: 03 Jan 2012 09:27 AM PST

ไม่ว่านักศึกษาคนดังกล่าวจะเคยพูดหรือทำอะไรที่สร้างความไม่พอใจ สร้างความไม่เห็นด้วยให้แก่ใคร คนที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่มีสิทธิที่จะไปละเมิดหรือคุกคามสวัสดิภาพความปลอดภัยของผู้อื่น

กล่าวถึงกรณี นักศึกษาปีหนึ่งรายหนึ่งถูกแจ้งความด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112

Guy Fawkes ผู้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพกับความหมายแตกต่างของสลิ่มไทย

Posted: 03 Jan 2012 09:03 AM PST

การประท้วงของ Occupy Wall Street ได้ใช้หน้ากาก Guy Fawkes เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวที่แสดงอำนาจของประชาชนในการต่อสู้ แล้วหน้ากาก Guy Fawkes มาถึงการประท้วงในประเทศไทย โดยปรากฏเคียงคู่กับกลุ่มสยามสามัคคีรวมพลังประท้วงทูตสหรัฐ เมื่อ 15 ธ.ค. ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการภายในของไทย เหตุมาจากกฎหมายอาญามาตรา 112 

(ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)

ความหมาย Guy Fawkes ของ Occupy Wall Street ที่ใช้สื่อสารในการเคลื่อนไหวของพวกเขากับการประท้วงในประเทศไทย มีความหมายที่แตกต่างกัน


ทำไมต้องเป็น Guy Fawkes 

ผู้เข้าร่วมจากเพจ “แก๊งค์หน้ากากต่อต้านทักษิณ - V for Thailand” ผู้ริเริ่มการใช้หน้ากาก Guy Fawkes ในเวอร์ชัน V for Vendetta ได้อธิบายการใช้หน้ากากนี้เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ว่า

“...หลายท่านอาจจะไม่เห็นด้วยกับการไป ประท้วงสถานทูตสหรัฐฯ ในประเด็นเรื่อง ม.112 แล้วพวกเราใส่หน้ากากนี้ ---- สิ่งที่เราอยากจะบอก ก็คือ สหรัฐ กำลังกลัวประเด็น Occupy Wall Street เป็นอย่างมาก หน้ากากนี้เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงในการต่อต้านระบอบทุนนิยมสามานย์ด้วยนะครับ เรามุ่งเป้าให้ภาพนี้ออกไปยังสื่อต่างประเทศ เนื่องจาก หน้ากากนี้มีความเป็นสากลสูงมาก และเราเชื่อว่ามันได้ผลครับ หัวใจเรารักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความถูกต้อง การร่วมต่อต้านกับสิ่งชั่วร้ายในโลกสากล ยุคปัจจุบัน หน้ากากนี้ คือ สัญลักษณ์อย่างนึงครับ…”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ได้โพสต์ข้อความรณรงค์ด้วยหน้ากาก V for Vendetta ว่า

“กิจกรรมหน้ากระดานข้อความ ที่เรานำเสนอเพื่อน ๆ ก็คือ ทำหน้ากากใส่ แล้วพิมพ์ข้อความที่เราอยากสื่อ ถ่ายรูป แล้วอัพรูปขึ้น Facebook เพื่อต่อต้านการกระทำของหน่วยงานต่างประเทศที่เข้ามาแทรกแซงกับเรื่องกฎหมายของประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรกระทำ เนื่องจาก แต่ละประเทศมีจารีต ประเพณี และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ด้วยสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออกอย่างสงบ ประชาชนย่อมมีสิทธิในการต่อต้านการกระทำดังกล่าวของหน่วยงานต่างประเทศที่เข้ามายุ่งวุ่นวาย ภายใต้แนวทางของเรา คือ เงียบสงบ ไม่ก้าวร้าว แต่สะท้อนสิ่งที่คิดออกมาด้วยประโยคสั้น ๆ”

ในการประท้วงที่ Zuccotti Park นิวยอร์ค Alexandra Ricciardelli ให้เห็นว่าเกี่ยวกับการใช้หน้ากาก Guy Fawkes ว่า “สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับการวางระเบิด แต่เกี่ยวกับความเป็นนิรนามและสันติ” 

Jason J. Cross กล่าวว่า “หน้ากากมาจากความคิดของการลุกขึ้นสู้กับรัฐบาล Guy Fawkes เป็นตัวแทนของความจริงที่ประชาชนมีอำนาจแท้จริง”

ผู้ไม่เปิดเผยนามที่เข้าร่วมการประท้วง กล่าวว่า “หน้ากาก Fawkes คือ การต่อสู้กับผู้ครองอำนาจที่กดขี่เรา”

Lewis Call ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์ ที่ California Polytechnic ใน San Luis Obispo อธิบายว่า “ในปัจจุบันมีการมองว่า Guy Fawkes เป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพส่วนบุคคลต่อระบบปกครองกดขี่” หลังจากเริ่มแรกที่ถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่พยายามทำลายอังกฤษ

หน้ากากนี้ปรากฏตัวครั้งแรกหลังจากภาพยนตร์เรื่อง “V for Vendetta” ออกฉายได้สองปี แฮ๊คเกอร์ กลุ่ม Anonymous สวมหน้ากาก Guy Fawkes แบบเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในการประท้วงต่อต้าน Church of Scientology ต่อมาเป็นคือกรณี Wikileaks และล่าสุดคือ Occupy Wall Street [1]


ใครคือ Guy Fawkes และ V for Vendetta

เราน่าจะมารู้สึกกับ Guy Fawkes และหน้ากาก V for Vendetta

Guy หรือ Guido Fawkes เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1605 ที่เป็นที่มาของตัวละครนิรนาม ในการ์ตูน ของ Alan Moore เรื่อง V for Vendetta สร้างเป็นภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2006 โดยสองพี่น้อง Wachowski 

V for Vendetta ในฉบับการ์ตูนและภาพยนตร์เป็นบุรุษที่ไม่มีใครรู้จักตัวจริงของเค้า ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก Guy Fawkes 

กบฏดินปืน (Gunpowder plot) นั้นเริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1604 ด้วยสมาชิกเริ่มแรกเพียง 5 คน ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 13 คน เกิดมาจากกลุ่มคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก ที่มีความไม่พอใจต่อกษัตริย์ James ที่ 1 ซึ่งส่งเสริมนิกาย English Church และกวาดล้างพวกคาทอลิก Fawkes ได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับดินระเบิด จากประสบการณ์ทางทหารและ ความเชี่ยวชาญทางด้านวัตถุระเบิดของเขา โดยการวางแผนเช่าห้องใต้ถุนของรัฐสภาเพื่อเก็บดินปืนไว้ทั้งหมด 36 ถัง (820 kg) เพื่อจะระเบิดอาคารรัฐสภาของอังกฤษไปพร้อมกับ กษัตริย์ James I 

Guy Fawkes ถูกจับกุมตัวในวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1605 และได้ถูกประหารชีวิตอย่างทารุณ โดยการใช้ม้าแยกร่าง ตัดหัวเสียบประจาน 

ต่อมาภายหลังรัฐบาลอังกฤษได้กำหนดให้เป็นวันสำคัญที่มีการเฉลิมฉลอง ระลึกถึงความกล้าหาญ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความยุติธรรม โดยมีการจัดงาน Guy Fawkes Night หรือเรียกอีกอย่างว่า Bonfire Night ตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน ของทุกปี 

ส่วน V for Vendetta เป็นตัวละครในเหตุการณ์สมมติ เขาเป็นผู้ยืนหยัดต่อสู้เพียงผู้เดียวกับรัฐบาลอังกฤษที่กลายเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จของอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่อง V for Vendetta เป็นที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลายใน forum ต่างๆว่าจริงๆแล้ว ผู้ที่ซ่อนตัวเองอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นคือใครกันแน่ [2]


Guy Fawkes และ V for Vendetta กับความหมาย

สลิ่มกลุ่ม V for Thailand อาจจะตีความว่าเฉพาะการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการเบ็ดเสร็จ โดยเลือกใช้ความหมายของภาพยนตร์ V for Vendetta และตีความระบบเสียงข้างมากเป็นเผด็จการรัฐสภา ที่นำไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จโดยนักการเมืองชั่วร้าย และไม่ได้สนใจ Guy Fawkes ผู้เป็นต้นกำเนิด

เสื้้อแดงอาจจะเห็นว่า Guy Fawkes เป็นพวกต่อต้านระบบสมบูรณาญาสิทธิราช เพราะแผนวางระเบิดที่มุ่งสังหารกษัตริย์ เจมส์ที่ 1

ตามประวัติศาสตร์ Guy Fawkes ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพในการนับถือศาสนา และสำหรับ V for Vendetta ได้สืบทอดเจตจำนงการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ 

แต่การสื่อสารของ V for Thailand ต่อสังคมโลก อาจจะสร้างความสับสน ในเมื่อพวกเขาใช้หน้ากาก Guy Fawkes ที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออก มาปกป้องกฎหมาย ม.112 ที่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกเสียเอง

(ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)

 

อ้างอิง

[1] Tamara Lush and Verena Dobnik, Occupy Wall Street: Vendetta Masks Become Symbol Of The Movement, AP / The Huffington Post, November 04, 2011

[2] mbos, Guy Fawkes, Gunpowder Plot and Real Identify of V, http://mbos.multiply.com/journal/item/21

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: เปิดฎีกาชาวบ้านแม่ตาว หมดหวังรัฐเยียวยาพิษแคดเมี่ยม

Posted: 03 Jan 2012 08:20 AM PST

เรียบเรียงจากจดหมายยื่นฎีกา ได้รับผลกระทบจากสารพิษแคดเมียมปนเปื้อนในเมล็ดข้าว แหล่งน้ำ สภาพแวดล้อม และในร่างกาย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ของ นางภิรมย์ ใจรุณ นายสมบูรณ์ จำปาทอง ราษฎรค้างภิบาล หมู่ 1 ต.พระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก

 

 

ภาพจาก enlawthai.org

 

ปลายปีทีผ่านมา นางภิรมย์ ใจรุณ และนายสมบูรณ์ จำปาทอง ราษฎรค้างภิบาล อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ยื่นขอถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากประสบความยากลำบากทุกข์แสนสาหัสมาเกือบครึ่งชีวิตกับพิษภัยแคดเมี่ยม จนตัดสินใจยื่นฎีกาขอความเป็นธรรมที่สำนักพระราชวัง เพราะหมดหวังไร้ทางพึ่งกับทุกหน่วยงานภาครัฐ

เนื้อหาฎีการ้องทุกข์ดังกล่าวระบุถึง การดำเนินงานการทำเหมืองแร่สังกะสีบนดอยผาแดง ในเขตตำบลพระธาตุผาแดง ต.แม่ตาว และ ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยบริษัท ตากไมนิ่ง จำกัด และ บริษัทผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่ปี 2520 แต่ปัจจุบันเหลือบริษัทผาแดง อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียว

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านมีความรู้สึกดีใจที่บ้านเมืองของเรานั้นมีเหมืองแร่สังกะสีเกิดขึ้น ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง แต่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2541 – 2546 มีการตรวจวัดระดับสารแคดเมียมในดินและข้าวบริเวณตำบลพระธาตุผาแดง แม่ตาวและแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พบว่ามีการปนเปื้อนในระดับที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนแถบนั้นกว่า 6,000 คน ที่บริโภคข้าวที่ผลิตได้จากบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศแห่งหนึ่ง

ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2546 มีการตรวจพบสารแคดเมียมระดับที่เป็นอันตรายในร่างกายประชาชนในเขตตำบลพระธาตุผาแดง แม่ตาวและแม่กุ โดยโรงพยาบาลแม่สอดได้ออกบัตรผู้ป่วยแคดเมียมให้กับประชาชนที่มีสารแคดเมียมปริมาณสูงในร่างกายด้วย (แต่ในระยะหลังที่ผู้ป่วยแคดเมียมไปตรวจสุขภาพและรักษาโรคภัยไข้เจ็บเกี่ยวกับแคดเมียมหรือโรคภัยไข้เจ็บอื่นก็จะถูกยึดบัตรผู้ป่วยแคดเมียมคืนไปโดยไม่แจ้งเหตุผล) ในปี พ.ศ. 2547 พบการปนเปื้อนแคดเมียมในดินและข้าวในปริมาณสูง โดยรัฐบาลสั่งให้ชาวบ้าน 3 ตำบล 12 หมู่บ้าน รวมพื้นที่ปลูกข้าวและพืชอาหารอื่น 13,237 ไร่ มีเกษตรกรรวม 862 ราย ตัดทำลายข้าวและพืชอาหารอื่นให้หมดสิ้น เพื่อควบคุมข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียมไม่ให้จำหน่ายออกสู่ตลาดเพื่อมิให้ผู้บริโภคข้าวในตลาดต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทย โดยช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ด้วยการจ่ายชดเชยให้ไร่ละ 3,700 บาท

ในปี พ.ศ. 2548 ยังคงเกิดเหตุการณ์เหมือนปีที่แล้วจนรัฐบาลได้สั่งให้ชาวบ้านตัดทำลายข้าวและพืชอาหารอื่นให้หมดสิ้น พื้นที่ 13,439 ไร่ จำนวนเกษตรกร 903 ราย โดยได้รับค่าชดเชยความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 4,220 บาทต่อไร่ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลทำการจ่ายชดเชยค่าเสียหายเป็นปีสุดท้ายให้แก่เกษตรกรจำนวน 835 ราย พื้นที่ 13,205 ไร่ ในอัตราไร่ละ 4,220 บาท พร้อมกับการวางแผนระยะยาวด้วยการให้ชาวบ้านหันไปปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอลแทนข้าวในพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียมจำนวน 13,237 ไร่ เพื่อหวังที่จะปรับเปลี่ยนอาชีพเกษตรกรจากการปลูกพืชอาหารไปเป็นพืชพลังงาน”

ฎีกาดังกล่าว ระบุว่า ผลจากการดำเนินการดังกล่าวทำให้บริษัทผาแดงฯ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด และบริษัท เพโทรกรีน (กลุ่มน้ำตาลมิตรผล) จำกัด ร่วมกันจัดตั้งบริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด และโรงงานผลิตเอทานอลบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นที่อำเภอแม่สอด มีกำลังการผลิต 2 แสนลิตรต่อวัน ใช้อ้อยประมาณ 6 แสนตันต่อปี เพื่อรองรับผลผลิตอ้อยในพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียมในอำเภอแม่สอด ในส่วนของรัฐบาลได้ให้หน่วยงานราชการและบริษัทผาแดงฯ ร่วมกันส่งเสริมการปลูกอ้อยในพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียมจำนวน 13,237 ไร่ แต่ปัจจุบันมีชาวบ้านปลูกอ้อยอยู่เพียง 5,000 กว่าไร่ หรือคิดเป็น 40% ของพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียมเท่านั้น เนื่องจากเกิดปัญหาขาดทุนและเป็นหนี้สินจนทำให้ชาวบ้านต้องล้มเลิกการปลูกอ้อยลงไปหลายราย

สาเหตุสำคัญเพราะไม่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐและผู้ประกอบการเหมืองแร่อย่างจริงจัง ขณะเดียวกันบริษัทแม่สอดพลังงานสะอาดฯ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับผลผลิตอ้อยจากพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียมในอำเภอแม่สอดเป็นหลักกลับไปทำการส่งเสริมการปลูกอ้อยในพื้นที่อำเภอพบพระและแม่ระมาด จังหวัดตาก แทนเสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อหวังจะให้ได้พื้นที่ปลูกอ้อยในเขตสองอำเภอดังกล่าวประมาณ 45,000 ไร่ เพียงพอต่อปริมาณสำรองอ้อยเพื่อป้อนกำลังการผลิตที่วางเป้าหมายไว้ และมีความมั่นคงกว่าพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียมในเขตอำเภอแม่สอดที่หน่วยงานราชการและบริษัทผาแดงฯ ขาดความมุ่งมั่นส่งเสริมการปลูกอ้อยอย่างจริงจัง

คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ทำหน้าที่แทนคณะรัฐมนตรี) มีมติเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณว่า “สำหรับการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในช่วงการปรับเปลี่ยนอาชีพ เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 55,725,100 บาท (ห้าสิบห้าล้านเจ็ดแสนสองหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพของเกษตรกร จำนวน 835 ราย พื้นที่ 13,205 ไร่ ในอัตราไร่ละ 4,220 บาท ตามอัตราที่เคยช่วยเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ.2548 โดยเห็นสมควรให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรในปีงบประมาณ พ.ศ.2549 เป็นปีสุดท้าย”

เนื่องจากรัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในปีงบประมาณ พ.ศ.2547 และปีงบประมาณ พ.ศ.2548 เป็นเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 117,879,622 บาท และขณะนี้เกษตรกรจะเริ่มมีรายได้จากการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชอื่นทดแทนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ปริมาณแคดเมียมที่ปนเปื้อนในนาข้าวและผืนดินที่ใช้ปลูกพืชอาหารอื่นยังคงมีปริมาณสูงในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน แต่รัฐบาลและผู้ประกอบการเหมืองแร่ก็ไม่สามารถทำให้เกษตรกรหันไปปลูกอ้อยให้ได้ทั้งหมดในพื้นที่เป้าหมายที่ปนเปื้อนแคดเมียม 13,237 ไร่ ตามที่วางแผนไว้ โดยปล่อยให้ชาวบ้านต้องปลูกและกินข้าวปนเปื้อนแคดเมียมอยู่ต่อไป

“ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือหน่วยงานราชการทั้งหลายที่ทำหน้าที่คอยติดตาม ตรวจสอบ ควบคุม กำกับ ดูแล แก้ไขและเสนอแนะให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่สังกะสี วางเฉยต่อหน้าที่หรือความรับผิดชอบของตัวเองโดยไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อราษฎรอย่างไร มิหนำซ้ำบางหน่วยงานกลับแสดงท่าทีปกป้องหรือแก้ต่างให้ผู้ประกอบการทำเหมืองแร่สังกะสีว่าการปนเปื้อนของแคดเมียมมิได้มีสาเหตุมาจากกิจกรรมเหมืองแร่สังกะสี แต่เกิดจากสภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่บริเวณนี้ที่เป็นแหล่งศักยภาพแร่สังกะสีเกิดการผุพังสลายตัวและพัดพาตะกอนดินและหินจากเทือกเขาที่มีแร่สังกะสีและแคดเมียมปะปนอยู่ลงมาทับถมสะสมตัวในพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ในระดับพื้นที่ต่ำกว่าตั้งแต่อดีตกาลหลายล้านปีมาแล้วจนถึงปัจจุบัน เป็นสาเหตุหลักของการปนเปื้อนแคดเมียม”

 

 

ภาพจาก econ.mju.ac.th

 

ฏีการะบุว่า ทั้งๆ ที่ผลการตรวจสอบ ศึกษาหรือวิจัยเกือบทั้งหมดที่นำมากล่าวอ้างได้สรุปสาเหตุและแหล่งที่มาของการปนเปื้อนแคดเมียมไว้ 3 ประการด้วยกัน คือ 1. กระบวนการตามธรรมชาติ เกิดจากกระบวนการผุพังสลายตัวตามธรรมชาติของพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งศักยภาพแร่สังกะสีพัดพาเอาตะกอนดินและหินจากเทือกเขาแหล่งแร่สังกะสีที่มีแคดเมียมเกิดร่วมอยู่ด้วย ลงมาทับถมสะสมตัวในที่ลุ่มซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ตั้งแต่อดีตกาล 1.8 ล้านปี ล่วงมาจนถึงปัจจุบัน 2. จากการทำเหมืองแร่สังกะสี โดยเหมืองอาจปล่อยน้ำทิ้งและตะกอนที่มีการปนเปื้อนสูงเกินค่ามาตรฐานและการชะล้างพัดพาตะกอนจากการเปิดพื้นที่ทำเหมือง 3. การบุกรุกพื้นที่ต้นน้ำ การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำการเกษตร ซึ่งก่อให้เกิดการชะล้างพัดพาตะกอนดิน การทดหรือสูบน้ำจากห้วยแม่ตาวและห้วยแม่กุเข้าสู่พื้นที่การเกษตร ซึ่งทำให้ตะกอนธารน้ำที่ปนเปื้อนแคดเมียมไหลจากแปลงนาที่สูงกว่าสู่แปลงนาที่ต่ำกว่า และการใช้ยาปราบศัตรูพืชเพื่อเพิ่มผลผลิต

 “ข้าพเจ้าทั้งสองสงสัยว่าแท้จริงแล้วการทำเหมืองแร่สังกะสีบนดอยผาแดงมีความเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยต่อการปนเปื้อนแคดเมียมในแหล่งน้ำและนาข้าวของชาวบ้านในที่ลุ่ม แต่กลับไม่มีการพิสูจน์ให้ชัดเจนลงไปว่าการปนเปื้อนแคดเมียมจากสาเหตุใดมีปริมาณมากน้อยต่างกันเพียงใด และแต่ละสาเหตุควรจะมีส่วนรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหาหรือผลกระทบมากน้อยต่างกันอย่างไร และจะแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนแคดเมียมในแต่ละสาเหตุได้อย่างไร”

เนื้อหาในฎีการะบุว่า ความพยายามจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการและผู้ประกอบการเหมืองแร่สังกะสีในการระบุว่าผู้ประกอบการทำเหมืองแร่สังกะสีไม่ใช่สาเหตุสำคัญของการปนเปื้อนแคดเมียมนั้นเป็นการข้อสรุปที่ขัดความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง รีบด่วนสรุปเพื่อที่จะปัดภาระความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และความเสื่อมโทรมของสุขภาพร่างกายประชาชนในพื้นที่เกินไป

จากการกล่าวอ้างในทางวิชาการถึงสาเหตุการปนเปื้อนแคดเมียม 3 ประการ ตามที่กล่าวไว้นั้นกลับไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความเข้าใจได้ จึงเกิดการรวมตัวกันของชาวบ้านใน 3 ตำบล คือ ตำบลพระธาตุผาแดง แม่ตาวและแม่กุยื่นฟ้องบริษัททำเหมืองแร่สังกะสี 2 บริษัทต่อศาลปกครอง (โดยตัวแทนชาวบ้าน 32 ราย) เพื่อให้มีคำสั่งบังคับ 6 หน่วยงาน คือ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน คณะกรรมการควบคุมมลพิษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ให้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุม ป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ฟื้นฟู เยียวยาสภาพแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนที่ป่วยจากการได้รับสารพิษแคดเมียมสะสมในร่างกาย และให้หยุดการประกอบกิจการเหมืองแร่สังกะสีของทั้ง 2 บริษัท และศาลแพ่ง (โดยชาวบ้าน 959 ราย) เพื่อให้มีคำสั่งบังคับให้ 2 บริษัททำเหมืองแร่สังกะสีชดใช้เงินประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท จากการทำเหมืองแร่สังกะสีที่ทำให้ที่ดินทำกินเสียหายเสื่อมโทรมจากการปนเปื้อนแคดเมียมจนไม่สามารถกินข้าวและพืชผลการเกษตรอื่นที่ปลูกได้ รวมทั้งให้ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจากโรคภัยไข้เจ็บที่ได้รับจากสารพิษแคดเมียมสะสมในร่างกายด้วย

 “ข้าพเจ้าทั้งสองมีข้อสังเกตประการหนึ่งว่าการขุด ไถ พรวน ยกร่อง ปรับระดับพื้นดินเพื่อทำการเกษตรกับการเปิดหน้าดินเพื่อทำเหมืองแร่มีความแตกต่างกันลิบลับ เพราะลักษณะธรณีวิทยาแหล่งแร่สังกะสีบริเวณพื้นที่ต้นน้ำบนดอยผาแดงและดอยที่อยู่ใกล้เคียงที่มีการทำเหมืองแร่สังกะสีนั้นมีการสะสมตัวของแร่ที่ระดับความลึก 30 เมตรจากผิวหน้าดินลงไป และมีความหนาของชั้นแร่สังกะสีประมาณ 220 เมตร ดังนั้น การทำการเกษตรในระดับหน้าดินไม่น่าจะรบกวนแคดเมียมที่อยู่ร่วมกับแร่สังกะสีในระดับความลึกประมาณ 30 เมตรจากผิวดินลงไปได้ จึงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าการกล่าวอ้างทางวิชาการที่บ่งบอกว่าสาเหตุสำคัญของการปนเปื้อน แคดเมียมเกิดจากการทำการเกษตรบนที่สูงมากกว่ากิจกรรมเหมืองแร่ที่ต้องเปิดหน้าดินลึกเข้าไปในชั้นแร่สังกะสีที่มีแคดเมียมร่วมอยู่ด้วยได้อย่างไร”

ถ้าจะระบุว่าแคดเมียมมีการสะสมตัวอยู่ในชั้นผิวดินเป็นจำนวนมาก ก็ต้องศึกษาวิจัยให้แน่ชัดว่าแคดเมียมที่อยู่ร่วมกับแร่สังกะสีในชั้นแร่ที่ลึกลงไปในดินนั้นมีปริมาณมากหรือน้อยกว่าแคดเมียมที่กระจายตัวเป็นอิสระบนผิวดิน เพื่อที่จะคาดการณ์ได้ว่าปริมาณแคดเมียมจากส่วนใด (จากผิวดินหรือในชั้นแร่สังกะสีที่อยู่ลึกจากผิวดิน) เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดการปนเปื้อนแคดเมียมในแหล่งน้ำ ดินและพืชผลการเกษตรของชาวบ้าน แต่ถ้าหากผลการศึกษาวิจัยในส่วนนี้ยังไม่ชัดเจนข้าพเจ้าจึงเห็นว่ายังไม่สมควรด่วนสรุปว่าการทำเหมืองแร่สังกะสีไม่ใช่สาเหตุหลักของการปนเปื้อนแคดเมียม

“ข้าพเจาทั้งสองพยายามคิดใคร่ครวญในข้อกฎหมายแร่มาตรา 131/1 ที่ระบุว่า ‘ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน ต่อความเสียหาย หรือความเดือดร้อนรำคาญใดอันเกิดขึ้นแก่บุคคล ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นในเขตที่ได้รับอนุญาต ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำของผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตนั้น’  แต่ก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ส่วนราชการใดกระตือรือล้นช่วยเหลือราษฎรที่กำลังตกระกำลำบาก

มีข้อมูลในหน้าหนังสือพิมพ์ได้ระบุตัวเลขไว้ว่าปัจจุบันชาวบ้านมีสารแคดเมียมปนเปื้อนอยู่ในเลือด กระดูกและปัสสาวะในระดับสูงกว่าปกติเป็นจำนวนมากถึง 844 ราย โดย 40 ราย มีอาการไตวายและไตเสื่อม อีก 219 ราย อยู่ในภาวะไตเริ่มเสื่อม นอกจากนี้ยังมีอาการนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ภาวะกระดูกพรุน และอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างอื่นอีกเป็นจำนวนมาก

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ถึงแม้ว่าตัวข้าพเจ้าทั้งสองจะร่วมฟ้องร้องดำเนินคดีต่อส่วนราชการที่มีหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังการทำเหมืองแร่สังกะสี และบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด เพื่อขอให้ดำเนินการเอาผิดทางปกครองหรือทางแพ่ง แต่ข้าพเจ้าทั้งสองก็ยังคงทุกข์ใจอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าการดำเนินคดีจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และจะมีผลออกมาเช่นใด ซึ่งข้าพเจ้าทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ทันได้เห็นผลหรือไม่ เนื่องจากว่าข้าพเจ้าทั้งสองอายุมากแล้ว

เรื่องการยื่นถวายฎีกาแด่พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าก็ใช้เวลาคิดใคร่ครวญอยู่นานหลายปี เพราะเกรงว่าจะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและกลัวข้าราชการกับนักการเมืองในพื้นที่มาข่มขู่คุกคาม แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยและชราภาพของข้าพเจ้าทั้งสองจึงตัดสินใจทำการยื่นถวายฎีกาเพื่อขอความเมตตาแด่พระองค์ท่าน โดยข้าพเจ้าทั้งสองมิได้มีความประสงค์ขอความช่วยเหลือเพียงลำพังข้าพเจ้าสองคนให้รอดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น แต่ข้าพเจ้าทั้งสองขอถวายฎีกาเพื่อขอความช่วยเหลือให้แก่ประชาชนทั้งหมดในเขตอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่ถูกผลกระทบจากสารพิษแคดเมียมปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ไร่นาและในร่างกาย

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นห่วงก็แต่ลูกหลานของข้าพเจ้าทั้งสองที่น่าจะมีสารพิษแคดเมียมปนเปื้อนในร่างกายสะสมอยู่ในระดับที่คาดว่าน่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุขัย คงจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบต่อจากรุ่นของข้าพเจ้าทั้งสองต่อไป ข้าพเจ้าทั้งสองคิดใคร่ครวญอยู่หลายปีถึงการยื่นถวายฎีกาแด่พระองค์ท่าน บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งสองได้ทำตามใจปรารถนาแล้ว หากแม้จะตายก็คงนอนตายตาหลับแล้ว”

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักปรัชญาชายขอบ: ยิ่งกว่า ม.112

Posted: 03 Jan 2012 08:11 AM PST

มีเรื่องที่ผมพบเห็นในวันนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ทำให้ผมอดที่จะเขียนอะไรออกมาไม่ได้ เรื่องแรก ช่วงเช้าผมได้เห็นสเตตัสในเฟซบุ๊คของอดีตนักศึกษาที่ผมเคยสอน มีลิงค์ภาพของอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล จาก นสพ.ไทยโพสต์ และมีข้อความที่เขาพิมพ์ด่าแรงมาก และเมื่อดูความเห็นอื่นๆ ก็ล้วนแต่เข้ามารุมด่า บางความเห็นถึงกับเรียกร้องให้มีการทำร้าย อ.ปิยบุตร เลยด้วยซ้ำ

อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่นักศึกษาชั้นปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นามแฝง “ก้านธูป” ถูกตำรวจออกหมายเรียกในความผิดตาม ม.112 ผมทราบมาว่าเรื่องที่ถูกแจ้งความเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเธอเองก็ได้รับผลกระทบมามากแล้วจากการที่มหาวิทยาลัยสองแห่งปฏิเสธที่จะรับเข้าเป็นนักศึกษา ล่าสุดช่วงส่งท้ายปีเก่า ASTV ผู้จัดการก็นำเรื่องราวและข้อมูลส่วนตัวของเธอมาตีแผ่ประจานโดยเปิดเผยชื่อจริง และแสดงความเห็นเชิงตำหนิที่ธรรมศาสตร์รับเธอเป็นนักศึกษา

ผมกำลังพูดถึง “อันตราย” หรือ “สิ่งที่น่ากลัว” กว่า ม.112 

เพราะลำพัง ม.112 หากผู้แจ้งความและระบบยุติธรรมใช้ดุลยพินิจดำเนินการตรงไปตรงมาตาม “ความหมาย” จริงๆ ของคำว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย” ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวเกินไปนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในบรรยากาศของการล่าแม่มดและระบบยุติธรรมเวลานี้คือ เราไม่สามารถจะเห็นการ “แยกแยะ” อย่างชัดเจนว่า อะไรคือหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย อะไรคือการแสดงอารมณ์ความรู้สึก หรือ “เกรียน” แบบเด็กๆ อะไรคือการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

เมื่อใครมาแจ้งความ ตำรวจก็ไม่กล้าปฏิเสธที่จะดำเนินการต่อ เมื่อส่งเรื่องไปยังอัยการ เขาก็ต้องส่งต่อให้ศาล เพราะเขาเองก็ไม่อยากรับผิดชอบเรื่องที่ถือกันว่า “ละเอียดอ่อน” แบบนี้ และเมื่อถึงชั้นศาลก็ยากที่ “เหยื่อ” จะรอด (กรณี “อากง” ด้วยการพิสูจน์โดย “ไม่สิ้นสงสัย” หลายคนคิดว่าแกน่าจะรอด แต่แกก็ไม่รอด แถมยังโดนหนักอย่างเหลือเชื่อ)

ดูเหมือนว่าพอมันเปิดโอกาสให้ “ใครๆ” ก็ไปแจ้งความเอาผิดได้ คนที่ไม่ชอบความคิดความเห็น หรือมีจุดยืนทางการเมืองต่างกัน สีต่างกัน หรือประเภท “คลั่งเจ้า” อย่างไร้เหตุผลก็สามารถไปแจ้งความได้ 

ม.112 มันจึงกลายเป็นเครื่องมือของ “ใครๆ” นี่แหละ และใครๆ ที่ว่านี้ก็มีวิธีคิดที่น่ากลัวมาก!

อย่างกรณีของพวกที่โพสต์ด่า อ.ปิยบตร ที่ผมกล่าวถึง ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตเสรีอย่างเต็มที่ในเรื่องกิน ดื่ม เที่ยว ช้อป และอื่นๆ เรียกว่าวิถีชีวิตโดยรวมๆ ของพวกเขาถือว่ามีเสรีภาพจากขนบจารีตเก่าๆ มาก 

แต่เสรีภาพที่ว่านั้นน่าจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ หรือโดยธรรมชาติเนื่องจากการซึมซับค่านิยมการใช้ชีวิตสมัยใหม่ที่ผ่านเข้ามาทางภาพยนตร์ ดนตรี แฟชัน สื่ออินเทอร์เน็ต ฯลฯ  ทว่าไม่ได้ผ่านการปะทะสังสรรค์ทางความคิด หรือผ่านวัฒนธรรมการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์จนตกผลึก การใช้ชีวิตที่มีเสรีภาพที่ได้มาโดยธรรมชาตินั้นมันมีรสชาติน่านิยมมากกว่าชีวิตตามขนบจารีตเก่าแบบไทยๆ อยู่มาก จึงต่อให้กี่“ระเบียบรัตน์” จะออกมาจัดระเบียบการใช้ชีวิตของเด็กรุ่นใหม่อย่างไร ก็ไม่มีทางสำเร็จ

ผมไม่ได้ตำหนิการใช้ชีวิตเสรีของเด็กรุ่นใหม่ ถึงยังไงชีวิตเสรีมันน่าจะเปิดให้คนเราได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบชีวิตตนเองได้ดีกว่า แต่อยากตั้งข้อสังเกตว่า เพราะชีวิตที่มีเสรีภาพเช่นที่เป็นอยู่นี้ที่เสรีภาพไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยผ่านวัฒนธรรมปะทะสังสรรค์ทางความคิด การตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์จนตกผลึก มันจึงทำให้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ดูเหมือนมีเสรีภาพมากๆ นั้น พอเผชิญกับปัญหาเรื่อง “เสรีภาพทางการเมือง” ที่เป็นเสรีภาพที่ต้องเข้าใจได้ด้วยการผ่านวัฒนธรรมการปะทะสังสรรค์ทางความคิด การตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์จนตกผลึกนั้น ปรากฏว่าคนรุ่นใหม่ไม่ get ความหมายและ “คุณค่า” ของเสรีภาพดังกล่าวนี้เลย พวกเขาไม่ get ว่า อะไรคือ “ปัญหา” หรือ “อุปสรรค” ของความเป็นประชาธิปไตยเอาเสียเลย

ฉะนั้น พวกเขาจึงด่าคนอย่าง อ.ปิยบุตร ผู้ซึ่งออกมายืนยันเสรีภาพทางการเมืองแทนพวกเขาและประชาชนทุกคนอย่างสาดเสียเทเสีย และพวกเขาจึงไล่ล่าแม่มดด้วยการอ้าง “ตรรกะวิปริต” แบบท่องจำต่อๆ กันมาอย่างนกแก้วนกขุนทอง

ถามว่าเด็กรุ่นใหม่รักชีวิตที่มีเสรีภาพไหม? แน่นอนว่าเขารัก เขาไม่ต้องการถูกใครมาบังคับกะเกณฑ์การใช้ชีวิตของเขาแน่ๆ แต่ถามว่าเขารัก “เสรีภาพทางการเมือง” ไหม? อันนี้มีปัญหา ปรากฏการณ์ลูกเสือไซเบอร์ บรรยากาศล่าแม่มด และกระแสการอ้าง “ตรรกะวิปริต” แบบนกแก้วนกขุนทองที่เด็กรุ่นใหม่ซึมซับและรับมาใช้อย่างง่ายดาย ล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนในทางที่สนับสนุนการทำลาย “เสรีภาพทางการเมือง” อย่างน่าวิตก

ภาพสะท้อนดังกล่าวมันก็สะท้อนวัฒนธรรมการเรียนรู้และการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย และ/หรือระบบการศึกษาแบบทางการทั้งระบบด้วยว่า ไม่ได้สร้างคุณลักษณะของ “พลเมือง” ที่รักเสรีภาพทางการเมือง แต่เน้นการปลูกฝังให้รักให้ซาบซึ้งสิ่งอื่น และยอมให้สิ่งอื่นนั้นสำคัญกว่าเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน จนกระทั่งอ้างสิ่งนั้นเพื่อสังหารประชาชนที่ออกมาเรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า

อันตราย หรือสิ่งที่น่ากลัวกว่า ม.112 จึงได้แก่การไม่สามารถเข้าถึงความหมายและคุณค่าของเสรีภาพทางการเมืองนี่แหละ และการพร้อมที่จะทำลายผู้ออกมาเรียกร้องร้องหรือยืนยันเสรีภาพทางการเมืองได้ทุกเมื่อ ทุกวิถีทางนี่แหละ

วันนี้อาจารย์ชาวอเมริกันที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน มาสนทนาด้วย (เขาพูดไทยแข็งแรง) เขาพูดอย่างน่าคิดว่า “ทุกสังคมมันมีเรื่องที่เสี่ยงมากบ้างน้อยบ้าง การที่มีคนออกมาตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่มันเสี่ยง เขาควรจะได้รับการสนับสนุนมากกว่าจะถูกตำหนิ”

พูดก็พูดเถอะ ผมเห็นสื่อ นักวิชาการ และบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ออกมาวิเคราะห์ทำนองว่า ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูป ม.112 และการแก้รัฐธรรมนูญคือ “ระเบิดเวลา” ที่อาจก่อความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองในปี 2555 ผมมีความรู้สึกว่าหากเราต่างร่วมกัน “รับผิดชอบ” มากกว่านี้ ด้วยการเสนอ เหตุผล ความคิด จุดยืนของฝ่ายต่างๆ อย่างลงลึกในรายละเอียดให้รอบด้านมากที่สุด ความขัดแย้งและความรุนแรงแบบที่เคยเป็นมาจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก

ถามว่าวันนี้เรามีความกล้าที่จะตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่มันเสี่ยงต่อความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองอย่างรอบด้านหรือยัง? 

ทำไมเสียงที่มีความกล้าบางเสียงเช่น เสียงของ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นเสียงที่ยืนยัน “หลักการ” ประชาธิปไตย และอธิบาย “ประเด็นปัญหา” ระดับรากฐานของความเป็นประชาธิปไตย พร้อมกับอ้างตรรกะเหตุผลประกอบอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด สื่อกระแสหลักจึงละเลยที่จะนำเสนอ ขณะที่อีกฝ่ายจะอ้าง “ตรรกะวิปริต” ขนาดไหน สื่อกระแสหลักต่างพร้อมใจกันเป็น “กระบอกเสียง” ให้

นี่ก็คือความน่ากลัวอีกประการหนึ่ง เป็นความน่ากลัวเนื่องจากเสียงของหลักการ เหตุผลเป็นเสียงที่ไร้ “กระบอกเสียง” แต่เสียงของ “ตรรกะวิปริต” เป็นเสียงที่สื่อหลักพร้อมจะเป็นกระบอกเสียงให้ และคนรุ่นใหม่ที่รักชีวิตเสรีแต่ไม่เห็นคุณค่าของเสรีภาพทางการเมืองก็พากันเฮโลตามกันอย่างง่ายๆ

เรื่องที่มันเสี่ยงแบบเดียวกับยุคศตวรรษที่ 19 ทำให้ “กระบอกเสียง” ในทศวรรษที่สองของศตวรรษที่ 21 “กลัว” ที่จะสะท้อนเสียงของหลักการ เหตุผล ที่ยืนยันเสรีภาพทางการเมืองและความเป็นประชาธิปไตย 

นี่คือ “ความกลัวที่น่ากลัว” อย่างเหลือเชื่อในยุคสมัยของเรา!

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รอบโลกแรงงานธันวาคม 2554

Posted: 03 Jan 2012 07:05 AM PST

คนงานในเซี่ยงไฮ้กว่าพันคนประท้วงเลิกจ้าง

2 ธ.ค. 54 - กลุ่มจับตาแรงงานจีนในสหรัฐแถลงว่า เหตุผละงานเกิดขึ้นที่โรงงานของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าสิงคโปร์แห่งหนึ่งที่ผลิตสินค้าให้แก่แอปเปิลและฮิวเลตต์แพคการ์ดของสหรัฐ หลังจากบริษัทเลิกจ้างคนงานประมาณ 1,000 คนเนื่องจากมีแผนจะย้ายไปผลิตที่อื่น คนงานอ้างว่าถูกเลิกจ้างโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าและได้รับค่าชดเชยน้อยเกินไป คาดว่าการผละงานจะยืดเยื้อต่อในวันนี้ เพราะมีคนงานราว 50 คนปักหลักประท้วงอยู่ภายในโรงงาน ขณะที่ด้านนอกมีรถตำรวจจอดรอดูสถานการณ์อยู่ 2 คัน

นับเป็นเหตุประท้วงล่าสุดที่เกิดขึ้นในจีนเมื่อแรงงานที่เรียกร้องมากขึ้นเผชิญหน้ากับนายจ้างที่ประสบปัญหาต้นทุนสูงขึ้นแต่ส่งออกได้ลดลง อันเป็นผลจากตลาดส่งออกสำคัญอย่างสหรัฐและยุโรปเศรษฐกิจซบเซา เดือนที่แล้วคนงานกว่า 7,000 คนผละงานที่โรงงานผลิตรองเท้ากีฬาในมณฑลกวางตุ้งเพราะไม่พอใจการเลิกจ้างและลดค่าแรง ขณะที่คนงานสตรีหลายร้อยคนที่โรงงานผลิตเสื้อชั้นในในเมืองเสิ่นเจิ้นผละงานเพื่อขอเพิ่มค่าแรงการทำงานล่วงเวลา

กรีซเห็นชอบมาตรการรัดเข็มขัดฉบับใหม่ แม้ผู้ประท้วงปะทะตำรวจนอกรัฐสภา

7 ธ.ค. 54 - สมาชิกสภานิติบัญญัติกรีซ เห็นชอบร่างกฎหมายงบประมาณปี 2012 ซึ่งเป็นข้อผูกมัดว่าเอเธนส์จะทำตามเป้าหมาย ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือก้อนใหม่ หลังเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกรัฐสภา     

สมาชิกสภาส่วนใหญ่จาก ทั้งพรรคสังคมนิยม อนุรักษนิยม และอนุรักษนิยมสุดโต่ง ที่สนับสนุนรัฐบาลรักษาการของกรีซ ลงมติเห็นชอบแผนงบประมาณปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่ได้รับความนิยม ด้วยคะแนนเสียง 258 ต่อ 41 เสียง จากผู้เข้าประชุมทั้งหมด 299 คน      

ลูคัส ปาปาเดมอส รักษาการนายกรัฐมนตรีของกรีซ ระบุว่า แผนงบประมาณฉบับนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญของกระบวนการเปลี่ยนนโยบายการเงินที่ล่มจม ซึ่งทำให้ชาวกรีกแต่ละคนต้องรับภาระหนี้สาธารณะมากกว่า 30,000 ยูโร    

“การดำเนินการของเราจะตัดสินอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ ไม่เพียงแต่ในปี 2012 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลอดทั้งทศวรรษด้วย” ปาปาเดมอส ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับหน้าที่ในการให้สัตยาบันข้อตกลงหนี้ยูโรโซน และจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า      

ปาปาเดมอส ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองประธานธนาคารกลางยุโรป ยังยืนกรานด้วยว่า สถานะของกรีซในสหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศยูโรโซนนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และประชาชนชาวกรีกจะป้องกันด้วยทุกวิถีทางที่เป็นไปได้

ผู้นำรักษาการของเอเธนส์ คาดการณ์ว่า งบประมาณปี 2012 นี้จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 4,500 ล้านยูโร และตัดลดค่าใช้จ่ายลงได้ราว 5,000 ล้านยูโร โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากระบบจัดเก็บภาษีที่จะใช้ในเดือนมกราคมปีหน้า ปาปาเดมอส ยังเสริมว่า ในปีหน้ายังจะมีการปฏิรูปภาคสาธารณสุข ประกันสังคม ความยืดหยุ่น และยุติธรรมในการจ้างงานด้วย  

อย่างไรก็ตาม ก่อนการลงมติได้เกิดความรุนแรงภายนอกอาคารรัฐสภา โดยนักเรียน นักศึกษา และผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายซ้ายหลายพันคนต่างก่อเหตุประท้วง เพื่อเป็นการระลึกถึงเด็กหนุ่มรายหนึ่ง ซึ่งถูกตำรวจยิงอย่างโหดเหี้ยม เป็นการจุดชนวนเหตุจลาจลทั่วประเทศเมื่อ 3 ปีก่อน

ผู้ชุมนุมขว้างปาระเบิดเพลิง และหินอ่อนที่แตกออกจากอาคารใกล้เคียง เข้าใส่ตำรวจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตา และระเบิดแสง เพื่อขับไล่ให้พวกเขาถอยร่นไป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเกือบ 20 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ และอีกกว่า 20 คนถูกจับกุม

ซิตี้กรุ๊ป เล็งลอยแพพนักงาน 4,500 คนทั่วโลก เพื่อลดต้นทุน

7 ธ.ค. 54 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ซิตี้กรุ๊ป กลุ่มบริษัทการเงินชั้นนำของโลกจากสหรัฐฯ ประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงานทั่วโลกลง 4,500 ตำแหน่ง ในช่วง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า เพื่อลดต้นทุนของบริษัทในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซาจากปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป โดยนายวิกรม บัณฑิต ซีอีโอของซิตีกรุ๊ป ประเมินว่า แผนปรับลดพนักงานดังกล่าวน่าจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นอีกราว 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ซิตี้กรุ๊ปเท่านั้นที่ต้องลอยแพพนักงานเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจโลก ก่อนหน้านี้คู่แข่งหลายราย ต่างก็ออกมาประกาศใช้มาตรการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น เอชเอสบีซี, ลอยด์ส หรือ แม้แต่แบงก์ ออฟ อเมริกา

แรงงานจีนประท้วงเจ้านายต่างชาติ

8 ธ.ค. 54 - แรงงานจีนหลายร้อยคนภายในโรงงานผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไหเหลียง สตอเรจ โปรดักส์ ดำเนินการโดยบ.ฮิตาชิของญี่ปุ่น ที่เมืองเสิ่นเจิ้น ทางภาคใต้ เคลื่อนไหวประท้วงติดต่อกันวันที่ 5 เมื่อวันพฤหัสบดี (8 ธ.ค.) ไม่พอใจถูกหัวหน้างานชาวต่างชาติกดขี่ใช้แรงงาน ทั้งยังเรียกร้องขอเพิ่มค่าแรงและปรับสวัสดิการทำงาน

ข่างแจ้งว่า ช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา แรงงานจีนในพื้นที่แหล่งอุตสาหกรรมทางภาคใต้ เคลื่อนไหวประท้วงกันจำนวนมาก เพราะต้องการได้รับการยกระดับสวัสดิการทำงาน ทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติต้องปรับเวลาให้แรงงานพักผ่อนมากขึ้น ขณะเดียวกัน โรงงานหลายแห่งสรุปข้อตกลงปรับค่าจ้างแรงงานต่อคนให้เฉลี่ยเดือนละ 1,000 หยวน หรือราว 5,000 บาท.

คนงานโรงงานทอผ้าและทำรองเท้าของกัมพูชาเป็นลม เพราะทำงานหนักไป

10 ธ.ค. 54 - คนงานโรงงานทอผ้าและทำรองเท้าของกัมพูชามีอาการเป็นลมหมดสติถึงกว่า 1,500 คน นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา สาเหตุมาจากทำงานหนักเกินกว่าร่างกายจะทนไหว

นายเซย์ ซีพน รัฐมนตรีกระทรวงกิจการสังคมของกัมพูชา กล่าวในการประชุมหาแนวทางแก้ปัญหาคนงานป่วยเป็นลมมากขึ้นผิดปกติว่า นอกจากปัญหาการทำงานหนักเกินไปแล้ว คนงานเหล่านี้ยังมีปัญหาสุขภาพอ่อนแอเป็นทุนเดิม เมื่อต้องมาเผชิญกับปัญหางานหนักและบางครั้งต้องเผชิญกับสารเคมีแรงๆ  แล้วก็มักเกิดอาการเป็นลมได้  และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในปีนี้มีจำนวนผู้ที่มีอาการเป็นลมมากขึ้นและถี่ขึ้นอย่างผิดสังเกต การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยองค์การแรงงานโลกหรือ ไอแอลโอและกระทรวงแรงงาน  กระทรวงสวัสดิการสังคม และสมาคมเจ้าของโรงงานทอผ้ากัมพูชา สหภาพแรงงงานและองค์การเอกชนของกัมพูชา

แรงงานต่างชาติเดินขบวนขอวันหยุดไต้หวัน

11 ธ.ค. 54 - สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงไทเป ไต้หวัน ว่า แรงงานต่างชาติในไต้หวัน ส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับพันคน รวมถึงแรงงานไทยจำนวนหนึ่ง เดินขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ในย่านธุรกิจใจกลางกรุงไทเปเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ เป็นสิทธิตามกฎหมายของแรงงานต่างชาติราว 200,000 คน ที่ประกอบอาชีพผู้ดูแลคนป่วย หรือคนชราตามบ้าน

ตามกฎหมายแรงงานของไต้หวัน แรงงานต่างชาติในโรงงาน หรือสถานที่ก่อสร้างจะมีวันหยุดพักผ่อน 1 วันต่อสัปดาห์ แต่ข้อกำหนดไม่รวมถึงแรงงานที่ดูแลคนป่วย หรือคนชราตามบ้าน มีประมาณครึ่งหนึ่งของแรงงานต่างชาติทั้งหมดในไต้หวัน

นายหวัง อิง-เหยิน เจ้าหน้าที่สมาพันธ์แรงงานอิสระแห่งชาติ กล่าวว่า วันหยุดประจำสัปดาห์ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานดูแลคนป่วยหรือคนชราตามบ้านอยู่แล้ว แต่แรงงานส่วนนี้ส่วนใหญ่สมัครใจทำงานเต็มสัปดาห์ เพื่อรับเงินเพิ่มในส่วนของวันหยุด

ตัวเลขข้อมูลของทางการไต้หวันระบุว่า ปัจจุบันมีแรงงานต่างชาติ ที่พักอาศัยอยู่กับนายจ้างในไต้หวันถึง 421,000 คน ในจำนวนนี้รวมถึงแรงงานจากอินโดนีเซีย 172,000 คน เวียดนาม 93,000 คน ฟิลิปปินส์ 82,000 คน และไทย 72,000 คน.

ปะทะเดือดคนงานน้ำมัน-ตร.คาซัคสถาน

17 ธ.ค. 54 - มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน จากเหตุปะทะระหว่างคนงานบริษัทน้ำมันกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐบาลคาซัคสถาน ในเมืองทางตะวันตกของประเทศ

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ตำรวจปราบจลาจลยิงกระสุนจริงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงซึ่งเป็นคนงานบริษัทน้ำมันในเมืองชานาโอเซ่น ทางตะวันตกของประเทศ ขณะผละงานประท้วงเรียกร้องขอเพิ่มค่าแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่สำนักงานอัยการในพื้นที่ยืนยันว่า เกิดการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่ายจริงจนมีตำรวจได้รับบาดเจ็บ แต่ยืนยันว่าไม่มีการยิงเข้าใส่ผู้ประท้วง พร้อมกับเตือนให้ชาวบ้านหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการชุมนุมประท้วง

การปะทะที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุความวุ่นวายครั้งรุนแรงที่สุดในคาซัคสถาน ประเทศที่อุดมไปด้วยน้ำมันนับตั้งแต่แยกตัวเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียตเมื่อปี 2534

สหภาพแรงงานการบินฝรั่งเศสประท้วง

21 ธ.ค. 54 - ผู้โดยสารจำนวนมากต้องเผชิญกับความล่าช้าของหลายเที่ยวบินที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ขณะที่มีการยกเลิกหลายเที่ยวบินที่สนามบินลีอง วานนี้ เนื่องจากการประท้วงของเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยในช่วงฤดูกาลวันหยุด ที่เข้าสู่วันที่ 5 แล้ว ทั้งนี้ การประท้วงเริ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งสหภาพแรงงานต้องการให้มีการพัฒนาสภาพการทำงานและเรียกร้องให้เพิ่มเงินเดือน แต่การเจรจาเพื่อยุติการประท้วงล้มเหลว

สหวิริยาเดินเครื่องผลิตที่อังกฤษไม่ทันต้นปี 55 เหตุคนงานประท้วง

21 ธ.ค. 54 - สำนักข่าว BBC รายงานว่าบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ยังไม่สามารถเดินเครื่องเตาเผาที่โรงงานใน Teesside ได้ทันในกำหนดเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดการเดินเครื่องเตาเผาอาจจะล่วงเลยไปถึงเดือนมกราคมปีหน้า สำหรับสาเหตุความล่าช้านั้นเกิดมาจากปัญหาด้านสภาพอากาศ รวมถึงการผละงานประท้วงของคนงานรับเหมาก่อสร้างของโครงการ

ด้านนายนายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของสหวิริยา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในประเทศวันเดียวกัน (21 ธ.ค.) ว่าตามที่มีกำหนดการว่าโรงงานของสหวิริยา ที่อังกฤษจะเริ่มเดินเครื่องในวันที่ 6 มกราคม 2555 นั้น ปัจจุบันกิจกรรมปรับปรุงหน่วยผลิตอื่นๆของโรงงานได้เสร็จเรียบร้อยตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ยังมีงานในส่วนของเตาถลุงเหล็กที่อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องมาจากในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานบริษัทผู้รับเหมาช่วง และการพบกิจกรรมหน้างานเพิ่มเติมจากที่วางแผนไว้ จึงทำให้ไม่สามารถเริ่มเดินเครื่องจักรได้ในวันที่ 6 มกราคมตามที่กำหนดไว้

แต่อย่างไรก็ตามวินทิ้งท้ายไว้ว่า SSI UK จะพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะลดระยะเวลาในการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้สามารถเปิดดำเนินการได้โดยเร็ว

เจ้าหน้าที่จราจรอากาศเปรูผละงานประท้วง

23 ธ.ค. 54 - เจ้าหน้าที่จราจรอากาศในกรุงลิมา เมืองหลวงของเปรู จำนวน 180 คน ผละงานประท้วงเป็นเวลา 3 วัน เพื่อเรียกร้องค่าแรงเพิ่มให้เท่ากับนักบิน กลุ่มผู้ประท้วงระบุว่า เงินเดือนของเจ้าหน้าที่จราจรอากาศสมควรจะต้องเพิ่มเป็นเดือนละเกือบ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2 แสนบาท เท่ากับเงินเดือนของนักบิน แต่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จราจรอากาศในเปรู ที่แม้จะมีประสบการณ์ในการทำงานมาร่วม 30 ปี มีเงินเดือนเพียงเดือนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพียง 30,000 บาทเท่านั้น ด้านประธานาธิบดีโอยันตา อูมาลา ของเปรู ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับระบบการบิน ส่งผลให้ทางท่าอากาศยานสามารถจ้างเจ้าหน้าที่จราจรอากาศรุ่นใหม่มาปฏิบัติหน้าที่แทนพนักงานที่ผละงานประท้วงได้ทันที

กัมพูชาเผยตัวเลขรายได้จากแรงงานไปทำงานใน 4 ประเทศแถบเอเชีย

23 ธ.ค. 54 - สถิติของทางการกัมพูชาระบุว่า กัมพูชามีรายได้จากแรงงานที่เดินทางไปทำงานในประเทศแถบเอเชีย 4 ประเทศ รวมทั้งไทย ปีละ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,580 ล้านบาท เว็บไซต์สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานอ้างสถิติกัมพูชาระบุว่า เมื่อนับถึงสิ้นปี 2553 มีแรงงานชาวกัมพูชาเดินทางมาทำงานในไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นราว 126,000 คน และพวกเขาเหล่านั้นส่งเงินกลับประเทศปีละราว 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,580 ล้านบาท โดยเงินดังกล่าวนับเป็นรายได้หลักของครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจนและอาศัยอยู่ในชนบท

ขณะเดียวกัน มีรายงานจากกระทรวงแรงงานและฝึกอาชีพของกัมพูชาระบุว่า เมื่อนับถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศที่รับแรงงานกัมพูชามากที่สุด โดยมีงานรองรับถึง 8,464 ตำแหน่ง ขณะที่มาเลเซียตามมาเป็นอันดับสอง และอันดับสามเป็นเกาหลีใต้ ซึ่งในปีนี้เป็นตลาดที่กำลังเติบโตสำหรับแรงงานกัมพูชา มูลนิธิเอเชียและสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ หรือยูเสด ประมาณว่า กัมพูชามีแรงงานใหม่ราว 300,000 คน แต่มีเพียง 20,000-30,000 คนเท่านั้นที่ได้งานทำ

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามบินฝรั่งเศสเดินหน้าประท้วงต่อ

26 ธ.ค. 54 – เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าอากาศยานชาร์ลส์ เดอ โกลในกรุงปารีสของฝรั่งเศสลงมติให้เดินหน้าประท้วงต่อไป หลังจากเมื่อ 4 วันก่อนทางการส่งตำรวจเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้แน่ใจว่าการประท้วงของพวกเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางในช่วงวันหยุด

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานราว 200 คนลงมติสนับสนุนให้เดินหน้าเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างต่อไป ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซีกล่าวว่า รัฐบาลอาจใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประท้วงจะไม่ใช้ช่วงวันหยุดในการต่อรองข้อเรียกร้องของพวกเขา โดยในวันรุ่งขึ้น ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไม่ได้ประท้วงเพื่อตรวจผู้โดยสารและกระเป๋า  อย่างไรก็ตาม การผละงานของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวส่งผลกระทบไม่มากนักต่อเที่ยวบินระหว่างประเทศ โดยมีบางเที่ยวบินที่ล่าช้า โฆษกท่าอากาศยานกล่าวว่า การจราจรทางอากาศยังคงดำเนินต่อไปตามปกติในเช้าวันจันทร์นี้

คนขับรถไฟใต้ดินลอนดอนผละงานประท้วง

26 ธ.ค. 54 - คนขับรถไฟใต้ดินนครหลวงแห่งอังกฤษ ประท้วงเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น รวมถึงวันหยุดพิเศษ หากต้องทำงานใน"วันบ็อกซิ่งเดย์" หรือ"วันแกะกล่องของขวัญหลังวันคริสต์มาส" การผละงานส่งผลให้เส้นทางรถไฟใต้ดินทั่วทั้งกรุงลอนดอนประสบปัญหาล่าช้า หรือต้องลดการให้บริการบางเส้นทาง แต่ไม่กระทบมากนักต่อบรรดานักชอปปิ้งที่ออกมาจับจ่ายซื้อของขวัญและสินค้าในวันบ็อกซิ่งเดย์ อันเป็นวันจับจ่ายซื้อสินค้าตามเนื่องจากห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ นำสินค้ามาลดราคาสูงสุดถึง 50%

สหภาพคนขับรถไฟใต้ดินขู่ว่า หากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง จะมีการผละงานประท้วงอีก 3 ครั้ง ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

แกนนำสหภาพแรงงานฝรั่งเศสรับข้อเสนอยุติการชุมนุมของเจ้าหน้าที่สนามบิน

27 ธ.ค. 54 - แกนนำสหภาพแรงงานหลายแห่งในฝรั่งเศสตัดสินใจรับข้อเสนอเพื่อยุติการชุมนุมประท้วงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามบินที่ดำเนินมานาน 11 วัน อย่างไรก็ดี แรงงานยังต้องโหวตว่าจะยุติการชุมนุมหรือไม่ ด้านสถานีวิทยุ RFI ของฝรั่งเศส รายงานผ่านทางเว็บไซต์ว่า แกนนำสหภาพแรงงาน 4 แห่ง ได้แก่ FO, CFTC, CFDT และ Unsa กล่าวว่า แรงงานเสนอให้มีการทำข้อตกลงเพื่อยุติการชุมนุม "ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย"

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสนามบินฝรั่งเศสเริ่มชุมนุมประท้วงทั่วประเทศในวันที่ 16 พฤศจิกายน เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพการทำงานและขึ้นค่าแรง 200 ยูโร (261 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน แต่การชุมนุมกดดันไม่ได้ผล ส่วนหนึ่งเพราะประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ตัดสินใจส่งทหารและตำรวจมาช่วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไม่ได้ประท้วง ในการตรวจผู้โดยสารและสัมภาระ ทำให้การดำเนินงานไม่หยุดชะงักในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

หลังชุมนุมนาน 11 วัน แรงงานจำนวนมากเริ่มต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และสหภาพแรงงานเปิดเผยว่า นายจ้างเสนอว่าจะจ่ายโบนัสปลายปี 1,000 ยูโร (1,304 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้แทนการขึ้นเงินเดือน ส่วนเรื่องสภาพการทำงานจะมีการเจรจากันในเดือนหน้า โดยทางสหภาพแรงงาน CGT ยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว โดยจะหารือกับสมาชิกก่อน

ก่อนหน้านี้แรงงานได้หารือกันและโหวตว่าจะชุมนุมต่อไปจนถึงวันจันทร์ และจะหารือกันอีกครั้งในวันอังคารเพื่อตัดสินใจว่าจะยอมรับข้อเสนอที่สหภาพบางแห่งยอมรับไปแล้วหรือไม่

ฟิลิปปินส์จะขยายคำสั่งห้ามส่งแรงงานไปยังไนจีเรีย หลังเกิดเหตุระเบิดในวันคริสต์มาส

29 ธ.ค. 54 - กระทรวงต่างประเทศฟิลิปปินส์แถลงวันนี้ว่า จะขยายคำสั่งห้ามส่งแรงงานไปทำงานในไนจีเรีย หลังเกิดเหตุระเบิดในวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 40 คน ซึ่งเดิมนั้นคำสั่งดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 มกราคมนี้ เพื่ออนุญาตให้มีการส่งแรงงานชาวฟิลิปปินส์หลายพันคนเข้าไปทำงานในภาคพลังงานของไนจีเรียได้อีกครั้ง ภายหลังมีคำสั่งห้ามส่งแรงงานไปยังไนจีเรีย เนื่องจากเกิดเหตุคนงานชาวฟิลิปปินส์ถูกลักพาตัวหลายครั้งในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ระหว่างปี 2549-2552 แต่เหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ทำให้วิตกกังวลด้านความปลอดภัย ดังนั้นคำสั่งห้ามดังกล่าวจึงจะมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส่งท้ายปี Quotes of the Year (6): ไม่แก้แค้น แต่แก้ไข และ Forgive and Forget กับคำถามจะแก้ไขอะไร ให้อภัยใคร และหลงลืมใคร

Posted: 03 Jan 2012 06:43 AM PST

ส่งท้ายปี ทีมประชาไท รวบรวมคมคำเด็ดๆประจำปีที่กลายเป็นวลีและประโยคฮิตทั้งในสังคมออฟไลน์และออนไลน์ ย้อนความทรงจำที่มาที่ไป และแรงกระเพื่อมจากถ้อยคำ ซึ่งหลายคำกลายเป็นผลสะเทือนต่อคนพูดเอง ขณะที่อีกหลายถ้อยคำ ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างหลากหลาย แต่ที่แน่ๆ ล้วนถูกพูดขึ้นมาในจังหวะร้อนและสะท้อนความสนใจของสังคมไทยในสถานการณ์ที่ช่วยก่อกำเนิดถ้อยคำเหล่านี้ขึ้นมา

0 0 0

 

ไม่คิดแก้แค้นแต่จะแก้ไข และ Forgive and Forget

 

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ตวงพร อัศววิไล ในรายการ intelligence ถึงแนวนโยบายของเพื่อไทย

 

16 พ.ค. 2554

ยิ่งลักษณ์ก้าวเข้ามาสู่เวทีการเมืองอย่างเป็นทางการ ในฐานะปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ในวันแห่งการเริ่มต้น เธอพูดกับสื่อด้วยน้ำเสียงประหม่าตามสคริปต์โดยมีโค้ทเด็ดที่สื่อทุกสำนักต้องทำไปพาดหัวว่าพรรคเพื่อไทย “ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข” เพื่อเน้นย้ำแนวทางปรองดองของพรรค และชี้ชวนให้มองไปข้างหน้า หลังจากที่ประเทศติดหล่มความขัดแย้งทางการเมืองมายาวนานกว่า 5 ปีแล้ว

ในการแถลงข่าวเดียวกัน ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงเหตุผลหลักที่เธอเข้ามาทำงานการเมืองซึ่งเป็นงานที่เธอไม่เคยคิดจะเลือกว่า “ผ่านไปถึง 5 ปี ผู้คนและประชาชนก็ยังคิดถึงพี่ชายและคิดถึงนโยบายเก่าๆ ที่เคยทำมาในอดีต รวมถึงให้ความอบอุ่น ความเมตตากับครอบครัวดิฉัน ดิฉันจึงรู้สึกว่าครอบครัวของเรานั้น เป็นหนี้ประชาชน”

ยิ่งลักษณ์นำพาพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมาด้วยจำนวน ส.ส. 265 เสียง และเป็นผู้นำรัฐบาลมาย่างเข้า 6 เดือนแล้ว แนวทางปรองดองและการแก้ไขของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยังคงถูกตั้งคำถามว่า มันจะดำเนินไปเช่นไร ขณะที่ผู้เข้าร่วมชุมนุมในปี 2553 หลายคนก็ยังคงถูกกักขังและดำเนินคดีต่อไป

จดหมายจากคำหล้า ชมชื่น ที่ส่งถึงทักษิณ ชินวัตร ก่อนที่เขาจะถูกตัดินจำคุก 10 ปี ข้อหาปล้นอาวุธปืนของทางราชการตอนหนึ่งบอกความในใจอย่างกระท่อนกระแท่นในฐานะประชาชนผู้สนับสนุนทักษิณว่า

“สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดก็คือเรื่องการประกันตัวผมมากๆ เลยครับ เพราะผมอยากออกไปช่วยเหลือครอบครัว เพราะว่าแฟนผมต้องรับภาระอยู่คนเดียวและลูกผมต้องเรียนหนังสือด้วย ผมจึงอยากจะประกันตัวไปช้วยแฟนแบ่งเบาภาระครอบครัวมากเลยครับ”

 

20 พฤศจิกายน 2554

ทักษิณ ชินวัตร ส่งจดหมายจากนครดูไบมายังประชาชนไทย เพื่อให้กำลังใจต่อวิกฤตน้ำท่วม “ผมขอเรียกร้องทุกฝ่ายที่รักชาติบ้านเมืองจริง ต้องรู้จักคำว่า "FORGIVE AND FORGET" คือรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน ลืมเรื่องเก่าๆ เข้าสู่มิติใหม่ของวันพรุ่งนี้เพื่อบ้านเมืองและลูกหลานเราครับ”

ทั้ง “ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข” และ "FORGIVE AND FORGET" นั้นเป็นการเน้นย้ำถึงการยื่นมือออกไป “ปรองดอง” แต่พี่น้องตระกูลชินวัตรกำลังต้องการปรองดองกับใคร และอย่างไร

ภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่า ผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะได้รับการเยียวยาอย่างไร เสรีภาพในการแสดงความเห็นไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้นไปจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ แนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้กฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ยังเหมือนเดิม และมีท่าท่าจะหนักกว่าเดิม

ปัญหาเหล่านี้เคยเป็นปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นเพื่อชี้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขาดสำนึกประชาธิปไตยอย่างไร กลายเป็นประเด็นเดียวกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกจับตาเช่นกัน

คนเสื้อแดงและผู้เห็นใจเสื้อแดงบางส่วนเริ่มตั้งคำถาม แต่ถูกปัดตกไปด้วยคำอธิบายทำนองว่า อย่าเพิ่งถามตอนนี้ ให้กำลังใจรัฐบาลไปก่อน หรือ รัฐบาลมีงานอื่นต้องทำก่อน.....จนถึงวันนี้ คำถามที่ดังขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่คำถามจากคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตรในประเด็นยิบย่อย ไร้สาระ หากแต่เป็นคำถามจากมวลชนที่พาเธอเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และกลายเป็นผู้หญิงที่ถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

รัฐบาลที่ก้าวขึ้นมาจากการเลือกตั้งหลังผ่านการเมืองนองเลือดที่มีทหารและประชาชนเสียชีวิตไปทั้งสิ้น 91 ศพ และบาดเจ็บนับพัน รัฐบาลภายใต้การนำอย่างเป็นทางการของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ การมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนอยู่ห่างๆ ! (?) ของพี่ชาย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะแก้ไขอะไรสิ่งใดที่พวกเขารู้สึกผิดพลาดที่ผ่านมา จะให้อภัยใคร และหลงลืมใครเพื่อให้ตนเองได้ยืนหยัดอยู่บนหนทางอำนาจ ปี 2555 นี้น่าจะคลี่คลายคำถามเหล่านี้ได้ชัดเจน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เมืองไทย 2555 อะไรรอเราอยู่ ตอน 4: สุรชัย ตรงงาม มองกระบวนการยุติธรรมกับการปกป้องทรัพยากร

Posted: 03 Jan 2012 06:20 AM PST

สัมภาษณ์ สุรชัย ตรงงาม นักกฎหมายด้านคดีสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) กับมุมมองต่อกระบวนการยุติธรรมกับการปกป้องทรัพยากร ภาพรวมในปี 2555 อนาคตอันก้าวหน้าของสิทธิชุมชนหรือโซ่ตรวนของคนจน ปัญหาความยุติธรรมและการจัดการความขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อม

 

ภาพรวมของปีที่ผ่านมา ในเรื่องกระบวนการยุติธรรมกับการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร?

สุรชัย: สถานการณ์โดยรวม ผมคิดว่าเรามีรัฐบาล 2 รัฐบาลในปีนี้ คือรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ กับรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย แต่ว่าสิ่งที่เราเห็นคือไม่มีความแตกต่างกันในเชิงนโยบายการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม รวมทั้งเรื่องการที่รัฐบาลต้องออกกฎหมายหรือการออกกติกาใดๆ ในการคุ้มครองสิทธิในด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มในเรื่องนี้ที่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะด้วยปัญหาทางการเมือง หรือปัญหาอุทกภัยใดๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่เราพบก็คือยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่จะผลักดันให้เกิดกฎหมายใหม่ๆ หรือมาตรการใดๆ ในการคุ้มครอง

ยกตัวอย่างเช่น การที่รัฐธรรมนูญได้รับรองในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพิจารณาโครงการด้านสิ่งแวดล้อม แต่เรายังไม่มีกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติที่จะออกกฎเกณฑ์ที่มีความชัดเจนว่า ใครควรจะเป็นผู้ที่มีส่วนในการเข้ามาร่วมให้ความเห็น และควรต้องมาร่วมรับรู้ข้อมูลแค่ไหน มีส่วนให้ความเห็นแค่ไหน ก่อนที่จะมีการดำเนินโครงการ ผมคิดว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่กระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ แต่ยังไม่มีกฎหมายที่พูดถึงหลักการตรงนี้อย่างชัดเจน ซึ่งมันส่งผลให้ลักษณะการรับฟังความคิดเห็นมีหลักเกณฑ์ที่ไม่ชัดเจน และก่อให้เกิดข้อสงสัย ความไม่ไว้วางใจของชุมชน ชุมชนก็มันจะสะท้อนว่าตนเองไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

การที่รัฐบาลไม่พยายามที่จะออกกฎเกณฑ์หลักการในการรับฟังความคิดเห็นในการดำเนินโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการอื่นๆ อีกหลายๆ มาตรการ เช่น การผ่านร่างกฎหมายองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม ที่แม้จะมีการร่างมาและผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ได้รับรอง ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไป นี่แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วรัฐบาลเองยังไม่มีแผนนโยบายในการคำนึงถึงการมีสิทธิ การมีส่วนร่วม

อย่างไรก็ดี เราก็จะเห็นการเกิดขึ้นขององค์กรต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนการขับเคลื่อนของชุมชนด้านสิทธิ เช่น คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นแค่เรื่องการก่อตั้ง การปฏิรูปกฎหมายตรงนี้อาจมีแนวโน้มให้มีการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายที่มันสอดคล้องกับสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง

 

ปรากฏการณ์เด่นๆ ซึ่งเป็นที่จดจำในช่วงเวลาที่ผ่านมาคืออะไร?

สุรชัย: ผมคิดว่ามันมีการขับเคลื่อนของชุมชนในหลายรูปแบบในปัจจุบัน นอกจากการตรวจสอบการดำเนินโครงการใดๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนของเขาในเฉพาะพื้นที่แล้ว ยังมีการรวมตัว รวมกลุ่มเป็นเครือข่ายมากขึ้น เช่น เครือข่ายเหมืองแร่ หรือปฏิบัติการเพชรเกษม 41 ต่อต้านแผนพัฒนาภาคใต้ หรือเครือข่ายปฏิรูปที่ดินซึ่งตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรที่ดินที่เป็นธรรมและการฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายเรื่องโลกร้อน

กรณีเหล่านี้ผมคิดว่า เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เห็นว่าชาวบ้านชาวบ้านเริ่มมีการรวมตัวรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายมากขึ้นในการขับเคลื่อน และการขับเคลื่อนดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะไปสู่การขับเคลื่อนที่มากกว่าในพื้นที่ เช่น การตั้งคำถามต่อแผนพัฒนาภาคใต้ การตั้งคำถามต่อการจัดทำผังเมือง ซึ่งพวกนี้จะเป็นเรื่องที่มันกว้างกว่าพื้นที่ ตรงนี้เป็นรูปธรรมที่เห็นและมีแนวโน้มที่ดี เพียงแต่ว่าในการดำเนินการดังกล่าวยังเป็นเรื่องของการใช้สิทธิในการควบคุมตรวจสอบ แต่การรณรงค์เรื่องของการใช้สิทธิทางการฟ้องคดีนั้นยังมีอยู่ไม่มาก การขับเคลื่อนของชุมชนเราก็จะเห็นว่ายังไม่ได้ทำอย่างเป็นรูปแบบแต่เป็นไปตามสถานการณ์ทางธรรมชาติ

ยกตัวอย่างกรณีน้ำท่วมคราวนี้เราก็จะเห็นว่าจะมีชุมชนย่อยๆ ออกมาตั้งคำถามกับการทำงานของรัฐในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทำไมน้ำท่วมที่นั่นแต่ไม่ท่วมที่นี่ ทำไมท่วมที่นี่มากกว่า ที่นี่มีลักษณะเป็นประชาชนชั้นสองน้อยกว่าที่อื่นหรือย่างไร ผมคิดว่ามันมีลักษณะเชิงสถานการณ์มากกว่าที่จะออกมาตั้งคำถามในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ผมคิดว่าในปีที่ผ่านมาจะมีลักษณะที่คล้ายกับปีก่อนๆ ก็คือว่าในเรื่องการขับเคลื่อนของชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม เราจะพบปรากฏการณ์ของการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อที่จะดำเนินคดีกับแกนนำ กับชาวบ้านที่ใช้สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าชาวบ้านจะแสดงสิทธิในการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ตั้งคำถามกับโครงการก็อาจถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาท หรือว่าชาวบ้านใช้สิทธิในการชุมนุมก็อาจถูกดำเนินคดีทางอาญาเกี่ยวกับการชุมนุมมั่วสุม ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

ปรากฏการณ์การใช้กระบวนการทางกฎหมายเหล่านี้ ในหลายๆ ครั้งเราจะเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ตัวรัฐ หรือทุน หรือผู้ประกอบการเองมีความประสงค์ต้องการจะขัดขวางการแสดงความคิดเห็นในการตรวจสอบของชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งอันนี้เป็นแนวโน้มที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในปีที่ผ่านมาก็มีลักษณะเช่นนั้นอยู่

คราวนี้ในลักษณะของกระบวนการยุติธรรมเอง กระบวนการยุติธรรมก็จะมีผลในคำพิพากษาคดีของคุณจินตนา แก้วขาว ที่พิพากษาให้จำคุก 4 เดือน ข้อหาบุกรุก จากการที่คุณหน่อย จินตนา แก้วขาว และคนในชุมชนเข้าไปร่วมคัดค้านโครงการถ่านหินเมื่อสิบปีที่แล้วโดยไม่รอลงอาญา ตัวคำพิพากษาเองก็ทำให้เห็นถึงว่ากระบวนการยุติธรรมเองยังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามมากขึ้นในปีที่ผ่านมา

 

 

หมายความว่ากระบวนการยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2554 มีกรณีที่น่าสนใจคือเรื่องคดีคุณจินตนา?

สุรชัย: ครับ และก็หลายๆ คนที่ออกมาปกป้องทางสิทธิชุมชน ซึ่งผมคิดว่ามีหลายๆ ประเด็นที่ต้องมีความชัดเจนว่าความผิดทางอาญาที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในด้านสิ่งแวดล้อมมันควรมีเส้นแบ่ง หรือขอบเขตมากน้อยแค่ไหน อย่างไร ซึ่งอันนี้ยังมีความไม่ชัดเจน ยังเป็นเรื่องคลุมเครือ และโดยคำพิพากษาเองก็ยังไม่ได้พูดในประเด็นนี้อย่างชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่สังคมต้องมีการศึกษาและพูดคุยให้มากขึ้น

กระบวนการยุติธรรมเองก็มีการพยายามปรับตัว โดยการตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลแพ่ง ตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครอง รวมถึงมีการออกคำแนะนำของประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินคดีด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ตรงนี้ก็สะท้อนว่ากระบวนการยุติธรรมก็พยายามปรับตัว

ถ้าได้อ่านคำแนะนำของประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดก็จะมีคำแนะนำหลายอย่างที่พยายามจะบอกถึงหลักเกณฑ์ว่ากระบวนการยุติธรรมจะต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิตามรัฐธรรมนูญอยู่นะ เช่น เรื่องการใช้สิทธิในการฟ้องร้องคดีของประชาชนต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิชุมชนมากขึ้น หรือการพิจารณาคดี ศาลต้องมีการพิจารณาในเชิงรุกมากขึ้น ต้องสามารถสอบถามพยานเพิ่มเติมได้เองหรือออกไปเดินเผชิญสืบ และตัวคำพิพากษานั้นเองก็ต้องคำนึงถึงการใช้สิทธิของชุมชนกับถิ่นที่อยู่ ผลประโยชน์สาธารณะ

อีกทั้งมีความพยายามวางหลักการในลักษณะคล้ายกันทั้งศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดคือว่า ให้คำนึงถึงหลักการพัฒนาที่ยังยืนและสิทธิของชนรุ่นต่อไป ผมคิดว่าอันนี้เป็นแนวโน้มที่ดี เพียงแต่ว่าในปีที่ผ่านมาก็ยังอาจยังไม่มีผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจน แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีในทางคดี

เราทำคดีอยู่บางเรื่อง เช่นคดีที่ชาวบ้านมีการขอร้องเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม กรณีเรื่องการฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินซึ่งออกโดยไม่ชอบเพื่อนำไปก่อสร้างโรงถลุงเหล็กที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งบริษัทก็มีการฟ้องร้องทางกรมที่ดินและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ทีนี้ชาวบ้านในพื้นที่ก็มีส่วนในการคัดค้านเรื่องนี้มาโดยตลอดและก็เห็นว่าจะมีผลกระทบต่อชุมชนของตนในด้านสิ่งแวดล้อมและในหลายๆ ประเด็น จึงร้องสอดเข้ามา ขอเข้าเป็นคู่ความในศาล เพื่อนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง ในการพิจารณาคดีและมีคำพิพากษา แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว จึงสั่งยกคำร้องขอร้องสอดนั้น

แต่เมื่ออุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดก็ยืนยันหลักการตรงนี้ว่า สิทธิของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ถือว่ามีการโต้แย้งสิทธิ และควรมีที่จะนำเข้ามาพิจารณาคดี เพื่อให้ผลของคดีนี้ที่จะมีผลโดยตรงนี้สามารถเป็นไปตามหลักการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ ซึ่งผมคิดว่าตรงนี้เป็นแนวโน้มที่ดี อย่างน้อยก็คือเปิดช่องให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและการแก้ไขปัญหาในหลากหลายเรื่องขึ้นมา เพียงแต่ว่าผลของการพิพากษา และการจัดตั้งแผนกคดีต่างๆ เพิ่งเริ่มต้น อาจจะต้องรอดูผลต่อไป

 

คาดว่าในอนาคตเรื่องสิทธิชุมชนจะถูกพูดถึงมากขึ้นในทางกฎหมายหรือเปล่า?

สุรชัย: ผมคิดว่าสิทธิชุมชนได้ถูกสถาปนาโดยรัฐธรรมนูญ และได้รับการยอมรับมากขึ้น มีการพยายามที่จะตีความเรื่องสิทธิชุมชน สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชนมากขึ้น อย่างน้อยอย่างที่ผมยกตัวอย่างคือคำสั่งศาลปกครองที่ศาลรับคำร้องสอด มันก็เป็นตัวยืนยันประการหนึ่งว่า อย่างน้อยศาลปกครองรับรองสิทธิชุมชนในการที่จะเข้ามาปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของตนในคดีได้ แต่ว่าการรับรองต่างๆ ก็ยังอยู่แค่ว่าเขาเป็นผู้มีสิทธิเข้ามาในคดีได้ แต่ว่าเขาจะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมจริงๆ หรือไม่ ต้องไปพิสูจน์กันในการพิจารณาคดีและคำพิพากษาต่อไป

 

คิดเห็นอย่างไรกับการที่มีคำวินิจฉัยศาลระบุว่า กฎหมายป่าไม้ซึ่งมักถูกนำมาใช้จับกุมชาวบ้านที่อยู่กับป่าไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตรงนี้จะทำให้มีแนวโน้มการฟ้องคดีต่อชาวบ้านเพิ่มขึ้นหรือไม่?

สุรชัย: อันนี้น่าจะหมายถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องว่า พ.ร.บ.อุทยานฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ อันนี้เราก็ต้องดูนะครับว่า คำฟ้องดังกล่าวถือเป็นคำฟ้องในบางประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อุทยานเท่านั้น ในรายละเอียดผมยังไม่แน่ใจ เพราะยังไม่เห็นคำพิพากษา เราเห็นแต่ข่าวที่ออกมา ดังนั้นจึงไม่เห็นเหตุผลในรายละเอียดว่าศาลรัฐธรรมนูญใช้เหตุผลอย่างไรจึงวินิจฉัยออกมาในทำนองนั้น แต่ในความเข้าใจของผม เบื้องต้นผมคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญพยายามจะบอกว่า แม้ว่าตัวกฎหมายอุทยานไม่ได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนก่อนจะประกาศเขตอุทยาน กรมอุทยานก็ผูกพันต้องบังคับใช้กฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ต้องรับรองสิทธิ์ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญอยู่ดี

กล่าวโดยง่ายๆ นั้นหมายความว่า ไม่ว่ากฎหมายอุทยานจะเขียนไม่เขียนกรมอุทยานก็ต้องปฏิบัติตารัฐธรรมนูญ คุณจะไปออกกฎเกณฑ์อะไร แค่ไหน อย่างไรเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็น ก็เป็นเรื่องที่กรมอุทยานต้องทำเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนด้านสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่ว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่เราดูจากประเด็นเท่านั้นจะต้องไปดูในรายละเอียดของคำพิพากษาอีกที

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

แนวโน้มในอนาคตของกระบวนการยุติธรรมกับการปกป้องทรัพยากรจะเป็นอย่างไร?

สุรชัย: แนวโน้มในอนาคต ในปีหน้า (พ.ศ.2555) ผมคิดว่าการเคลื่อนของประชาชนจะเป็นการเคลื่อนในเชิงการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเชิงพื้นที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องผังเมือง การกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะที่มันเป็นผังเมืองว่า เราควรกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินของชุมชนให้เป็นแบบไหน ให้เป็นเกษตรกรรม ให้ปลอดจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรืออยากให้เป็นท่องเที่ยว หรือในบางพื้นที่อาจอยากให้เป็นอุตสาหกรรมก็แล้วแต่ มันจะมีการขับเคลื่อน ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องผังเมืองและกฎหมายผังเมืองนี้มากขึ้น

เราอาจมีการพูดถึงเรื่องการกำหนดการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเชิงพื้นที่ตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมปี 2535 มากขึ้น ผมคิดว่าการขับเคลื่อนนี้มันจะมีลักษณะนอกจากเป็นรายเฉพาะประเด็น เฉพาะพื้นที่ ก็จะมีการคุ้มครองที่เป็นลักษณะวงกว้างอย่างนี้มากขึ้น ผมคิดว่าแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้น

ส่วนการขับเคลื่อนกฎหมายใหม่ๆ ในปีหน้าก็น่าจะมีทั้ง พ.ร.บ.ผังเมืองเองที่ออกมาตั้งแต่ปี 2518 และปัจจุบันก็มีการร่างกฎหมายอยู่ทั้งโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง และภาคประชาชนบางส่วนก็มี รวมทั้งยังมีกฎหมายอีกหลายเรื่อง องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมก็ยังเป็นกฎหมายที่เราต้องผลักดันกันต่อไป เพราะว่ากฎหมายที่องค์กรภาคประชาชนพยายามเสนอคืออยากให้เป็นองค์กร แต่ภาครัฐบางส่วนอาจเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรตรงนี้

รวมทั้งในปีหน้า ผมคิดว่าจะมีคำพิพากษาที่ออกมาเป็นบรรทัดฐานในอีกหลายเรื่อง คำพิพากษาสูงสุด เช่น คดีคลิตี้ เกี่ยวกับเรื่องการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ ก็น่าจะมีคำพิพากษาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของหน่วยงานรัฐมีหน้าที่ในการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนมลพิษมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญ เพราะว่าเรายังไม่มีการพูดเกี่ยวกับการเยียวยาในแง่ของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เสียหายไปจากการดำเนินกิจการ โครงการที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหลายตอนนี้เลย อย่างชัดเจนนะครับ คดีคลิตี้ก็อาจจะเป็นเคสแรกๆ ที่ชัดเจนขึ้น

นอกจากนั้น เราก็จะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับคดีเรื่องการสลายการชุมนุมท่อก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย ที่มีการฟ้องร้องคดีกันมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นการวางหลักบางประการเกี่ยวกับเรื่องการใช้เสรีภาพในการชุมนุมของชุมชนในด้านต่างๆ รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งอันนี้ก็เป็นแนวโน้มที่เราต้องติดตามกันต่อไปครับว่าคำพิพากษาศาลฎีกาจะวางบรรทัดฐานอะไร อย่างไร และจริงๆ แล้วภาคประชาชนหรือนักวิชาการจะเห็นพ้องต้องกันไหมหากจะต้องมีการผลักดันให้มีการออกกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมายใดต่อไป

 

ในแง่ของการใช้กระบวนการทางกฎหมายในการฟ้องร้องชาวบ้าน แนวโน้มในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

สุรชัย: คือลักษณะจะเป็นลักษณะร่วมโดยทั่วไป คือจะมีแนวโน้มมากขึ้นออยู่แล้ว ผมคิดว่าปีหน้าก็น่าจะต้องผลักดันให้มีการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมในหลายๆ ด้าน คงต้องมีการพูดถึงเรื่องการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมากขึ้นซึ่งก็มีอยู่นะ แต่ว่าในบางประเด็นก็ไม่มี พูดง่ายๆ ว่าไม่ทั่วถึงจริงจัง ก็อาจจะมีเฉพาะกลุ่ม เฉพาะคน เฉพาะคดีสิ่งแวดล้อมซึ่งผมคิดว่าการใช้สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมมันไม่สามารถจะไปจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลต่างๆ ได้ เพราะว่ามันมีสิทธิที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้สิทธิด้านสิ่งแวดล้มตรงนี้ ไม่ว่าสิทธิในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และมีการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกัน

ตรงนี้ทั้งฝ่ายภาคประชาชนและฝ่ายนักวิชาการเองก็ต้องพยายามผลักดันประเด็น และศาลเองก็วินิจฉัยข้อเท็จจริง หรือว่าข้อกฎหมายเหล่านี้ให้มีความชัดเจน เพราะผมคิดว่ามันจะทำให้การใช้สิทธิของชุมชน ของประชาชนในส่วนต่างๆ มีความชัดเจนขึ้น และตัวชุมชนเองก็จะได้มีการทบทวนว่าการใช้สิทธิของตนเองนั้นมีความเหมาะสมเพียงพอแล้วหรือไม่ แค่ไหน อย่างไรด้วย เพราะปัจจุบันที่มันยังไม่มีความชัดเจนก็ก่อให้เกิดกระบวนการที่อาจทำให้เกิดการกลั่นแกล้ง หรือว่าเพื่อไม่ให้ชุมชนมีปากมีเสียงหรือสามารถมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งผมคิดว่าไม่ควรจะมีลักษณะแบบนี้

 

สำหรับกรณีการระดมฟ้องร้องคดีน้ำท่วมต่อหน่วยงานรัฐ ถือเป็นกรณีที่ประชาชนลุกขึ้นมาใช้สิทธิทางกฎหมายมากขึ้นหรือไม่ อย่างไร?

สุรชัย: ในการใช้สิทธิ์ หากมองเพียงการใช้สิทธิ์ก็อาจจะดูดี แต่คิดว่าลักษณะดังกล่าวมันอาจไม่ได้นำไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชนจริง คือมันอาจจะช่วยเยียวยาได้ แต่ว่ามันมีความจำเป็นคือจะฟ้องเพื่อเยียวยาก็ว่ากันไป เป็นสิทธิของแต่ละคนที่เห็นว่ามีความเสียหายเฉพาะบุคคลก็สามารถที่จะเรียกร้อง แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ง่ายอะไรขนาดนั้น คือเราเห็นกลไกเรื่องการฟ้อง แต่ในความจริงแล้วเราต้องดูผลที่มันเกิดขึ้นด้วย ผมคิดว่าสิ่งที่มันมากไปกว่านั้น เราต้องคิดในเชิงสร้างกลไก สร้างมาตรการ คำพิพากษามันต้องสร้างกลไก สร้างมาตรการ และตัวกระบวนการการฟ้องจะต้องสร้างความเข้มแข็งด้วย

อันนี้ก็พูดตรงๆ คือผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการระดมฟ้องนี้ ถ้ามันไม่มีกระบวนการให้เขามีส่วนร่วม มันก็เหมือนกับการมอบอำนาจมอบชีวิตให้ทนายความไปทำคดีให้ ซึ่งผมคิดว่าอย่างนี้ผลมันก็ไม่น่าได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก

การฟ้องมันฮือฮาก็จริง แต่มันสร้างเป็นบรรทัดฐานอะไรหรือเปล่า คือคนเขามีวัตถุประสงค์อะไรหลายอย่างก็แล้วแต่ และตรงนี้ก็อาจจะสร้างคุณูปการบางอย่างทางสังคมในทางสังคมก็ได้ หรืออาจเป็นรูปการใหม่ในการฟ้องก็ได้ แต่คนไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเรื่องที่ตนฟ้องมากพอที่สร้างจิตสำนึกในบางเรื่องขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นเรื่องการเรียกค่าเสียหาย ซึ่งก็โอเคก็เยียวยากันไป แล้วสุดท้ายปีหน้าก็มาว่ากันใหม่

 

บุคคลแห่งปีที่มีอิทธิพลในวงการด้านสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมาคือใคร เพราะอะไร

สุรชัย: บุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการด้านสิ่งแวดล้อมผมก็ต้องพูดถึงคุณหน่อย จินตนา และนักต่อสู่อีกหลายๆ คนที่ต่อสู้เพื่อชุมชนของเขา แต่ต้องถูกดำเนินคดีและจำคุกคุมขัง ผมคิดว่านี่เป็นประเด็นสำคัญมากในปีที่ผ่านมา เพราะว่าในการต่อสู้ของบุคคลดังกล่าวไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่สิ่งที่เขาทำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยคำนึงถึงสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของเขามันเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ผมคิดว่ากระบวนการยุติธรรมต้องคำนึงถึง และให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของชุมชนในการออกมาตรวจสอบ หรือการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อมต้องมีที่ยืน และได้รับความคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรม

ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมยังละเลย และไม่ได้คำนึงถึงสิทธิของชุมชนอย่างเพียงพอ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ และต้องวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมได้กลับมาคำนึงถึง และกระบวนการยุติธรรมตรงนี้ก็ไม่ได้หมายความเฉพาะศาล แต่หมายถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นตำรวจ ชั้นอัยการ รวมถึงทนายความและก็ศาลด้วย

ผมคิดว่าเราอาจจะต้องกลับมาทบทวนว่า เราจะสร้างความชัดเจนในการใช้สิทธิของประชาชนที่จะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเพียงพอได้อย่างไร ไม่ใช่การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะต้องได้รับโทษทางอาญา ต้องชดใช้ความเสียหายในทางแพ่ง ผมคิดว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่คนทำเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมต้องได้รับผลที่ไม่เป็นธรรมอย่างนั้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-เกาหลีเหนือ (1): ครม.ให้ลดธงครึ่งเสาไว้อาลัย “คิม จอง อิล”

Posted: 03 Jan 2012 06:13 AM PST

เผยประกาศสำนักเลขาธิการ ครม. ให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ลดธงครึ่งเสาทั่วราชอาณาจักรเพื่อไว้อาลัย “คิม จอง อิล” ระบุสองประเทศ “มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดมา” 

สื่อเกาหลีเหนือระบุ รัฐบาลไทยไว้อาลัยคิม จอง อิลสั่งลดธงครึ่งเสา 3 วัน

สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือรายงานเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมของคณะรัฐมนตรีของไทยเมื่อวันอังคารที่ 20 ธ.ค. ได้ตัดสินใจให้มีการลดธงครึ่งเสาในสถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่มีภารกิจในต่างประเทศทุกแห่งตั้งแต่วันพุธถึงวันศุกร์ (21 – 23 ธ.ค. 54)

นอกจากนี้สำนักข่าวกลางเกาหลี ยังระบุด้วยว่า ในพิธีศพของคิม จอง อิลที่กรุงเปียงยาง มีผู้แทนพรรคการเมืองจากไทย ประธานสถาบันศึกษาแนวคิดจูเช่ ประเทศไทย และประธานสมาคมมิตรภาพไทย-เกาหลีเหนือเข้าร่วมด้วย และระบุด้วยว่ารัฐบาลไทยส่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วม

 

เผยประกาศสำนักงานเลขาธิการ ครม. ให้ลดธงครึ่งเสา

ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่ามีรายงานข่าวการลดธงครึ่งเสาของหน่วยงานราชการในประเทศไทยด้วย โดย สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ รายงานเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 54 ว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ออก “ประกาศสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องให้ส่วนราชการลดธงครึ่งเสา” มีเนื้อหาดังนี้

ประกาศสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องให้ส่วนราชการลดธงครึ่งเสา

ด้วยกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า นาย Kim Jong Il เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ และผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพประชาชนเกาหลี (General-Secretary of the Worker's Party of Korea Chairman of the National Defense Commission of the Democratic People's Republic of Korea Supreme Commander of the Korean People's Army) ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยอาการหัวใจวาย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2554 ในขณะมีอายุ 69 ปี และโดยที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดมา เพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่ นาย Kim Jong Il เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ และผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพประชาชนเกาหลี นายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และขอความร่วมมือหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสาทั่วราชอาณาจักร เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันพุธที่ 21 ธันวาคม ถึงวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2554

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
21 ธันวาคม 2554”

 

ทั้งนี้การกำหนดให้มีการลดธงชาตินั้นถูกกำหนดเป็นกรอบกว้างๆ ตาม "ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ. 2529" ข้อ 14 ที่ระบุว่า "การลดธงชาติครึ่งเสาในกรณีใด และเป็นเวลาเท่าใด ให้กระทรวงการต่างประเทศ สำนักพระราชวัง หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี แจ้งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีสั่งการ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและปฏิบัติ"

 

พบหลายหน่วยงานได้รับคำสั่งลดธงครึ่งเสา แบบดีเลย์”

โดยผู้สื่อข่าวได้รวบรวมหนังสือสั่งการของหน่วยงานราชการต่างๆ ในประเทศ ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 เพื่อไว้อาลัยแด่นายคิม จอง อิล โดยผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่าการลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน โดยหน่วยงานราชการหลายหน่วยงาน ในทางปฏิบัติน่าจะไม่ได้ปฏิบัติเต็มเวลา เพราะมีหน่วยงานราชการบางแห่งมีคำสั่งในวันที่ 22 หรือวันที่ 23 ธ.ค.


โทรสารในราชการกระทรวงมหาดไทย “ด่วนที่สุด” ที่ มท 0201.3/ว 5166 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54


หนังสือจากหัวหน้าสำนักงานจังหวัดพะเยา ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา “ด่วนที่สุด” ที่ พย. 0016.3/ ว 6110 เรื่อง การลดธงครึ่งเสา ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54


หนังสือจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก “ด่วนที่สุด” ที่ ตก. 0016.3/ว 20977 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2554 เรื่อง ลดธงครึ่งเสา

 

กรณีโทรสารในราชการกระทรวงมหาดไทย “ด่วนที่สุด” เลขที่ มท 0201.3/ว 5166 ถึง ส่วนราชการระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และจังหวัดทุกจังหวัด ลงนามโดย นายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย แต่หนังสือลงวันที่ 22 ธ.ค. 54 หลังการประกาศของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 1 วัน และเข้าสู่วันที่ 2 ของการลดธงครึ่งเสา

ต่อมา นายวิรุฬ พรรณเทวี หัวหน้าสำนักงานจังหวัดพะเยา ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ พย. 0016.3/ ว 6110 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54 เรื่อง การลดธงครึ่งเสา ถึง หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ นายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา นายกเทศมนตรีเมืองพะเยา และนายกเทศมนตรีเมืองดอกคำใต้

ขณะที่จังหวัดตาก มีการออกหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ ตก. 0016.3/ว 20977 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2554 เรื่อง ลดธงครึ่งเสา ลงนามโดยนายวุฒิ สิทธิสุราษฎร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก สั่งการไปยัง หัวหน้าส่วนราชการทุกส่วน หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง นายอำเภอทุกอำเภอ นายองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรีนครแม่สอด นายกเทศมนตรีเมืองตาก

เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ นร. 0508/ ว 269 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 ถึง ปลัดกระทรวงยุติธรรม 

หนังสือของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน “ด่วนที่สุด” ที่ ยธ 0601/ว 1849
ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54 ถึง หน่วยงานในสังกัด

 

ในกรณีกระทรวงยุติธรรม นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ นร. 0508/ ว 269 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 เรื่อง เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ และผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพประชาชนเกาหลี ถึงแก่อสัญกรรม เรียน ปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจลดธงครึ่งเสาทั่วราชอาณาจักรเป็นเวลา 3 วันดังกล่าว

จากนั้นมีหนังสือ “ด่วนที่สุด” ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่ ยธ 0601/ว 1849 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54 ถึง หน่วยงานในสังกัด ให้ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วันดังกล่าว

หนังสือจากสำนักงานศาลยุติธรรม (ไม่สามารถอ่านลายมือชื่อผู้ลงนามได้) “ด่วนที่สุด” ที่ ศย.005/ ว 770 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 ถึง หน่วยงานในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรมให้ลดธงครึ่งเสา

รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 4121/4967 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 เรื่อง ขอความร่วมมือให้ลดธงครึ่งเสา

 

ขณะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 โดยนางเลียมทอง จอมคำสิงห์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ ศธ 4121/4967 เรื่อง ขอความร่วมมือให้ลดธงครึ่งเสา เรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54

 


เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ออกหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ นร 0508/ว 269 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 เรียน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม


สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ วธ 0203.6/ว 284 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 สั่งการหน่วยงานในสังกัดให้ลดธงครึ่งเสา


นางสุนิสา จิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กระทรวงวัฒนธรรม ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ วธ 0401/ว 3474 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54 เรื่อง ขอส่งหนังสือเวียน เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี (นาย KLim Jong Il) ถึงแก่อสัญกรรม (หมายเหตุ: ต้นฉบับสะกดผิด)

 

ในกรณีของกระรวงวัฒนธรรม นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ออกหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ นร 0508/ว 269 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 เรียน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันประเทศ และผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพประชาชนเกาหลี ถึงแก่อสัญกรรม

ต่อมาในวันเดียวกัน สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ วธ 0203.6/ว 284 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 54 ถึง สำนักงานรัฐมนตรี กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อให้มีการลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วันดังกล่าว

และต่อมาในวันที่ 22 ธ.ค. 54 ซึ่งเป็นวันที่สองของการกำหนดลดธงครึ่งเสา นางสุนิสา จิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กระทรวงวัฒนธรรม ทำหนังสือ “ด่วนที่สุด” ที่ วธ 0401/ว 3474 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 54 เรื่อง ขอส่งหนังสือเวียน เลขาธิการพรรคคนงานเกาหลี (นาย KLim Jong Il) ถึงแก่อสัญกรรม (หมายเหตุ: ต้นฉบับสะกดผิด) เรียน อธิบดี รองอธิบดีทั้ง 3 ท่าน ท่าน ผชช.ผอ.สำนัก ผอ.สศก. ที่ 1-15 หน.กลุ่ม/งานขึ้นตรงต่อกรม หัวหน้ากลุ่มใน สบก. และหน่วยงานในภูมิภาคทุกแห่ง

 

ที่มาของข่าว:

ประกาศสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องให้ส่วนราชการลดธงครึ่งเสา, สำนักข่าวแห่งชาติ, 22 ธ.ค. 54 http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255412220223&tb=N255412

Thai Cabinet Meets on Demise of Kim Jong Il, Decides to Hoist Flags at Half-Mast, KCNA, 23 Dec 2011 http://www.kcna.co.jp/item/2011/201112/news23/20111223-58ee.html

Foreign Personages Visit DPRK Missions, KCNA, 27 Dec 2011http://www.kcna.co.jp/item/2011/201112/news27/20111227-45ee.html

KCNA: More Foreign Personages Mourn Demise of Kim Jong Il, KCNA, 28 Dec 2011 http://assistamerica.countrywatch.com/rcountry.aspx?vcountry=28&topic=CBWIR&uid=5516452

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘เจ้าท่าสตูล’ จับเฟอร์รี่แกนนำต้าน ‘ท่าเรือน้ำลึกปากบารา’

Posted: 03 Jan 2012 05:48 AM PST

นายไกรวุฒิ ชูสกุล ผู้จัดการฝ่ายบริหารการตลาดของบริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่แอนด์สปีดโบ้ท จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันที่ 2 มกราคม 2555 เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขาสตูล จับเรือบรรทุกนักท่องเที่ยวของบริษัท หลีเป๊ะเฟอรี่ฯ ที่บริเวณเกาะไข่ ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา หลังจากวิ่งจากท่าเรือเกาะหลีเป๊ะ โดยแจ้งว่าบรรทุกนักท่องเที่ยวเกิน 65 คน ตามจำนวนที่นั่งของเรือ ขณะที่ปล่อยให้เรือของอีกบริษัทให้บริการรับส่งผู้โดยสารต่อไป ทั้งที่บรรทุกผู้โดยสารเรือเกินกำหนดเช่นกัน

นายไกรวุฒิ เปิดเผยอีกว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 สาขาสตูลให้เรือลอยลำอยู่ในทะเลกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนสั่งให้กัปตันขับเรือกลับไปยังเกาะหลีเป๊ะ และสั่งให้นักท่องเที่ยวขึ้นลงเรือถึง 3 ครั้ง โดยมีทหารเรือ และตำรวจน้ำเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยให้เรือของบริษัท หลีเป๊ะเฟอรี่ฯ เดินทางต่อไปได้ ทางบริษัท หลีเป๊ะเฟอรี่ฯ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับหัวหน้าสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูลแล้ว แต่เจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูลไม่ยินยอม ยืนยันว่าลูกน้องทำตามกฎหมาย

นายไกรวุฒิ เปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้าที่เรือของบริษัท หลีเป๊ะเฟอรี่ฯ ออกจากท่าเรือที่เกาะหลีเป๊ะ กัปตันเรือได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูล ซึ่งประจำอยู่ที่เกาะหลีเป๊ะว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 9 คน โดยสารเรือเกินจำนวนที่นั่งเพื่อลงที่เกาะตะรุเตา เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวอนุญาต เพราะเห็นว่าเป็นเรือเที่ยวเดินทางเข้าฝั่งเที่ยวสุดท้าย

นายไกรวุฒิ เปิดเผยต่อไปว่า ต่อมา เวลา 15.00 น. วันเดียวกัน ชาวบ้านและกลุ่มประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวประมาณ 100 คน ได้ชุมนุมปิดทางเข้าท่าเรือปากบารา เรียกร้องให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูล ปล่อยเรือบริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่ฯ เพราะไม่เห็นด้วยกับการเลือกปฏิบัติ และการกักตัวนักท่องเที่ยว เป็นผลให้มีการปล่อยเรือลำดังกล่าวในเวลาต่อมา และเดินทางมาถึงฝั่งท่าเรือปากบารา เวลาประมาณ 18.00 น.

“เบื้องต้นนั้นบริษัท หลีเป๊ะเฟอรี่ฯ ได้สำรองเงิน 6 หมื่นบาทให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 6 คนที่ตกเครื่องบิน รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ตกรถโดยสาร ทั้งนี้นักท่องเที่ยวได้มอบอำนาจให้บริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่ฯ ดำเนินคดีกับสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูล ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศแจ้งว่า จะยื่นเรื่องกับกงสุลของแต่ละประเทศ ให้ดำเนินการกับสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูลเช่นกัน” นายไกรวุฒิ กล่าว

นายไกรวุฒิ เปิดเผยอีกว่า ขณะนี้บริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่ฯ และกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ชมรมมัคคุเทศน์ท้องถิ่น ได้ประสานไปยังผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอละงู จังหวัดสตูล ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายอำเภอละงู เพื่อเจรจาพูดคุยกันในวันที่ 4 มกราคม 2555 ที่ท่าเรือปากบารา

นายไกรวุฒิ เปิดเผยด้วยว่า บริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่ฯ และกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ชมรมมัคคุเทศน์ท้องถิ่น มีข้อเสนอให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูลรับผิดชอบ กรณีบริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่ฯ สำรองเงินจำนวน 6 หมื่นบาทให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 6 คน ที่ตกเครืองบิน และขอให้ย้ายเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 5 จังหวัดสตูลที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้โดยด่วน

“ถ้าหากไม่ทำตามข้อเสนอ บริษัทหลีเป๊ะเฟอรี่ฯ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว ชมรมมัคคุเทศน์ท้องถิ่น และชาวบ้าน จะออกมาชุมนุมประท้วงปิดท่าเรือปากบารา และทำหนังสือร้องเรียนไปยังกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม สำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลต่อไป” นายไกรวุฒิ กล่าว

“ต้องเข้าใจว่า กรณีนี้เป็นเรือเที่ยวสุดท้าย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9 คน จะไปลงที่เกาะตะรุเตา ซึ่งไม่ไกลจากเกาะหลีเป๊ะ ส่วนคนไทยมีทั้งเด็กและคนแก่ ต่างต้องการกลับบ้าน เนื่องจากบ้านจะถูกน้ำท่วม และยังเป็นการเลือกปฏิบัติ ถือเป็นการกลั่นแกล้งกันอย่างชัดเจน”  นายไกรวุฒิ กล่าว

สำหรับนายไกรวุฒิ เป็นหนึ่งในแกนนำคัดค้านการสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ที่มีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เป็นผู้ดำเนินโครงการ ทั้งนี้ บริษัท หลีเป๊ะเฟอรี่แอนด์สปีดโบ้ท จำกัด เป็นบริษัทที่คนในท้องถิ่นร่วมกันลงทุน

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กระจายอำนาจ สู่การปฏิรูปโครงสร้างรัฐชายแดนใต้ (3)

Posted: 03 Jan 2012 05:42 AM PST

ในงานสมัชชาปฏิรูปเฉพาะประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ชายแดนใต้ไม่ทอดทิ้งกัน” ในวันที่ 5 มกราคม 2555 ซึ่งเป็นวันที่สองของงาน ที่กำหนดให้มีการนำเสนอเรื่องการกระจายอำนาจในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น

สาระสำคัญที่คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษคือ ทางเลือกการกระจายอำนาจรูปแบบพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะมีการพูดคุยในประเด็นนี้ถึง 2 หัวข้อ

หนึ่ง “นำเสนอรูปแบบทางเลือกการกระจายอำนาจจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ตามด้วยการอภิปรายเรื่อง “ทางเลือกการกระจายอำนาจในรูปแบบพิเศษจังหวัดชายแดนใต้: มุมมองที่หลากหลาย” โดยนายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และอดีตคณะกรรมการปฏิรูป นายสวิง ตันอุด ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการทางสังคม และผู้ช่วยศาสตราจารย์บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ นายกสมาคมรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ภาคใต้

สำหรับทางเลือกการกระจายอำนาจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอ เป็นการประมวลมาจากรูปแบบที่มีการเสนอในวาระโอกาสต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมารวม 6 รูปแบบ ดังต่อไปนี้

ทางเลือกที่ 1 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.
มีพื้นที่ดูแลครอบคลุม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเลขาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง

มีผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้งของกระทรวงมหาดไทย ดูแลรายจังหวัด ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่ประสานหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ สำหรับการทำงานในพื้นที่

ส่วนองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตั้งแต่ระดับจังหวัด เมือง และตำบลตามลำดับ

ลักษณะเด่น เป็นการบริหารและการปกครองรูปแบบพิเศษที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หน่วยงานราชการส่วนใหญ่ให้การยอมรับ

โครงสร้างการบริหาร เลขาธิการมาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี มีสภาที่ปรึกษาการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.)

ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตั้งแต่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ยังคงอยู่เหมือนเดิม

จุดเด่นอยู่ตรงที่มีความเป็นเอกภาพในการบริหารราชการ และเป็นนิติบุคคล เลขาธิการมีอำนาจสั่งย้ายข้าราชการฝ่ายพลเรือน ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมออกนอกพื้นที่ได้ทันที โครงสร้างบริหารราชการและอำนาจหน้าที่ยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน

ข้อวิจารณ์ พื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมจังหวัดที่ไม่ได้มีความขัดแย้งรุนแรงคือ จังหวัดสตูลและพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสงขลา ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่มีอำนาจจริง มีงบประมาณจำกัด ขาดความเป็นอิสระ คนในพื้นที่ไม่ได้มีโอกาสเลือกผู้บริหารศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้

ทั้งนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี  

เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีฐานะเทียบเท่าปลัดกระทรวง รับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง ที่ปฏิบัติงานในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีรองเลขาธิการตามจำนวนที่นายกรัฐมนตรีกำหนด เป็นผู้ช่วยสั่งการ และปฏิบัติงานตามที่เลขาธิการมอบหมาย

ในส่วนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการ และการจัดตั้งงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาให้ความเห็นชอบการกำหนดเขตพัฒนาพิเศษและกรอบแนวทางการบริหาร และการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ

พิจารณาเสนอแนะหน่วยงานของรัฐให้จัดทำแผนพัฒนา แผนงาน และโครงการ พร้อมงบประมาณในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ กำกับ เร่งรัด ติดตาม แก้ไขกฎระเบียบ และลดขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือหรือปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม

สำหรับปฏิบัติการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย

ในส่วนของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตัวแทนสาขาอาชีพต่างๆ จากการคัดเลือกกันเองจำนวนไม่เกิน 49 คน มีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดทำ หรือปรับปรุง เพื่อเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณา ให้คำปรึกษา เสนอแนะ ร่วมมือ และประสานงานกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในการปฏิบัติการ ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติการ รายงานต่อเลขาธิการ และนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ

ทางเลือกที่ 2 ทบวงการบริหารพื้นที่ชายแดนใต้
มีสถานะเทียบเท่ากระทรวงจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรี มีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้งทำหน้าที่เป็นรองปลัดทบวง และมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ลักษณะเด่นอยู่ที่เป็นการบริหารปกครองรูปแบบพิเศษ ที่มีสถานะเทียบเท่ากระทรวง เป็นรูปแบบที่มีลักษณะประนีประนอมระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น ยึดหลักการถ่ายโอนอำนาจ

ในส่วนของโครงสร้างการบริหาร มีรัฐมนตรีว่าการทบวงเป็นผู้บริหารสูงสุด ปลัดทบวงเป็นข้าราชการประจำ โดยให้รองปลัดทบวงที่มาจากผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส กำกับดูแลการบริหารงานในแต่ละจังหวัด

มีสมัชชาประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งตัวแทนภายในกลุ่มอาชีพ มีอำนาจให้ความเห็นชอบต่อนโยบายและงบประมาณของทบวงฯ

นอกจากจะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ยังคงอยู่เหมือนเดิมแล้ว ยังมีสภาท้องถิ่นที่มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งในแต่ละเขตท้องถิ่น และผู้นำศาสนาที่สรรหามาจากท้องถิ่นอีกด้วย

นับเป็นข้อเสนอรูปแบบการปกครอง ที่มีการถ่วงดุลกลุ่มพลังทุกฝ่าย มีลักษณะประนีประนอมระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น และระหว่างคนทุกกลุ่มในท้องถิ่น โดยมีฝ่ายการเมืองเป็นผู้ทำหน้าที่บริหารพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรง

สำหรับจุดอ่อนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การปกครองรูปแบบทบวงคือ ไม่มีการกระจายอำนาจสู่ประชาชน เนื่องจากยังยึดติดอยู่กับระบบบริหารราชการ ไม่มีหลักประกันว่ารัฐมนตรีว่าการทบวง จะสะท้อนความเป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ได้จริง ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่มีอำนาจจริง มีงบประมาณจำกัด และขาดความเป็นอิสระ

สำหรับรูปแบบการปกครองที่ได้จากงานวิจัยโครงการการศึกษาการปกครองท้องถิ่นของจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์: กรณีศึกษาจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี และดอกเตอร์สุกรี หลังปูเต๊ะ และงานวิจัยตัวแบบทางกฎหมายสำหรับการปกครองท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของอำนาจ ศรีพูนสุข ระบุว่า บวงการบริหารกิจการชายแดนภาคใต้ มีสถานะเทียบเท่ากระทรวงจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำในระดับนโยบายและองค์กรกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และอำเภอเทพา อำเภอจะนะ อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา

มีจังหวัดเป็นส่วนราชการระดับกรม จัดตั้งขึ้นตามเขตการปกครองเดิม ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเดิม มีฐานะเทียบเท่าอธิบดีจังหวัด ขณะที่ระเบียบราชการ ตั้งแต่อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านยังคงฐานะเดิม แต่ให้ขึ้นตรงกับทบวง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งเขตพื้นที่พิเศษ (Special Region) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากทบวงฯ ขึ้นมาดูแลการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวมของกลุ่มจังหวัด โดยแบ่งบทบาทให้ไม่ซ้อนทับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เขตพื้นที่พิเศษ ประกอบด้วย สภาเขตพื้นที่พิเศษ มีสมาชิก 2 ประเภทคือ จากการเลือกตั้งโดยตรงอำเภอละหนึ่งคน และให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลคัดเลือกเข้ามาอีกจำนวนหนึ่ง สภามีหน้าที่จัดทำแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ และพิจารณาจัดสรรงบประมาณ

นอกจากนี้ ยังมี “คณะกรรมการสังคมและเศรษฐกิจเขตพื้นที่พิเศษ” เป็นที่ปรึกษาสภาเขตพื้นที่พิเศษ

มีประธานสภาเขตพื้นที่พิเศษ เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร วาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี มี “สำนักงานเลขาธิการสภาเขตพื้นที่พิเศษ” เป็นกลไกส่วนราชการ เป็นหน่วยธุรการและหน่วยงานสนับสนุนทางวิชาการ มีเลขาธิการเป็นผู้บังคับบัญชา

สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ให้มีการปรับปรุงโครงสร้างภายใน เพื่อตอบสนองต่อวิถีการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา และการพัฒนาในมิติที่มีศาสนานำ โดยจัดตั้ง “คณะกรรมการสังคมและเศรษฐกิจ” ขึ้นในทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ให้มีกรรมการที่เลือกสรรขึ้นมา โดยให้ความสำคัญกับผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ

อีกทั้งให้ความสำคัญกับหลักกฎหมายอิสลาม หรือชะรีอะห์ เพิ่มกลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักการดังกล่าว เป็นการลดคดีความที่นำขึ้นสู่ศาลยุติธรรม

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการจัดเก็บรายได้ท้องถิ่น โดยเพิ่มทั้งอำนาจและแหล่งรายได้ใหม่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยโอนมาให้รัฐมนตรีทบวงการบริหารกิจชายแดนภาคใต้ เป็นผู้กำกับดูแล

ติดตามทางเลือกที่ 3 และที่ 4 ได้ในตอนต่อไป

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุรชัย แซ่ด่าน: สาส์นถึงประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม

Posted: 03 Jan 2012 04:32 AM PST

 

ชื่อบทความเดิม: สาส์นถึงพี่น้อง ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม

หมายเหตุ: จดหมายจากสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ แซ่ด่าน ซึ่งถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งผ่านมาทางผู้เข้าเยี่ยมเพื่อเผยแพร่

 

 

กราบเรียนพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตย และ รักความเป็นธรรมทุกท่าน

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2553 ผมกับพี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง มาจัดงาน “เคาน์ดาวน์” เรียกร้อง “อิสรภาพ” ให้กับ “คุณณัฐวุฒิ ไสเกื้อ และ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ(นปช.)”  ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่พอมาถึง 31 ธันวาคม 2554  ผมก็มาถูกคุมขังอยู่ในคุกแทน  แกนนำ นปช.ก็ต้องมาจัดงาน “เคาน์ดาวน์”  เรียกร้องอิสรภาพให้แก่ผมและคนเสื้อแดงอีกหลายคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องจัดงาน “เคาน์ดาวน์” หน้าคุกกันอีกกี่ปี และไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน จัดงานเค้าดาวน์กันอีกกี่ครั้ง นี่คือ ผลของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน

เมื่อตอนที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลคนเสื้อแดง ถูกขังคุกเพราะศาลไม่ให้ประกันตัว อ้างเหตุกลัวหลบหนี แต่คนเสื้อเหลืองที่ความผิดร้ายแรงมากกว่า ได้รับการประกันตัวไม่กลัวหลบหนี นี่คือ สองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงก็พอทำใจได้ เพราะประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเรา

แต่เวลานี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนเสื้อแดงก็ยังถูกขังคุก คนเสื้อเหลืองก็ไม่ถูกขังคุกเหมือนเดิมคนเสื้อแดงยังจะทำใจได้หรือ ? กับระบบสองมาตรฐานอย่างนี้ และเป็นเครื่องยืนยันว่าอำนาจรัฐที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล เพราะแค่จะประกันตัวคนของตนเองยังทำไม่ได้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจึงบริหารประเทศอย่างไร้ความมั่นคง ต้องคอยเอาใจเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงอยู่ตลอดเวลา แล้วจะทนอยู่อย่างนี้ไปได้นานเท่าไหร่ ฝากข้อคิดนี้ไปยัง รัฐบาลและคนเสื้อแดงทั่วประเทศด้วย

สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้รัฐบาลได้อยู่รอดปลอดภัยและพี่น้องประชาชนมีความคิดที่แจ่มใส มีจิตใจที่รุ่งโรจน์ ตาสว่างมากยิ่งขึ้น รวมพลัง รอคอยโอกาส ลุกขึ้นสู้ กำชัยชนะ เมื่อโอกาสมาถึงในไม่ช้านี้ ผมจะรอคอยพวกท่านมาเปิดประตูคุกให้ แต่ถ้าผมตายเสียก่อนก็จงเอาศพไปแห่ประท้วง ม.112 จนกว่าจะแก้ไขให้มีความเป็นธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในประเทศไทย

                                                                                                                 

                                                                                                                     สุรชัย  แซ่ด่าน

                                                                                    ประธานองค์กรแดงสยาม (Red Siam Organization)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส่งสัญญาณมูบารัคอาจรอดคดีสังหารหมู่ผู้ชุมนุม

Posted: 03 Jan 2012 01:26 AM PST

ศาลในกรุงไคโรเปิดการพิจารณาคดีสังหารหมู่ประชาชนอีกครั้ง อดีตประธานาธิบดีผู้เป็นจำเลยซึ่งกำลังรักษาโรคหัวใจที่โรงพยาบาลเดินทางมาศาลพร้อมเตียงพยาบาล ญาติๆ ผู้ตายบอกเริ่มหมดหวัง หลังจากพยานส่วนใหญ่ให้การว่ามูบารัคไม่ได้เป็นคนสั่งการปราบผู้ชุมนุม


การชุมนุมในอียิปต์เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2011
ภาพโดย
RamyRaoof (CC BY 2.0)

2 ม.ค. 2012 - อดีตประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัค ของอียิปต์ปรากฏตัวในศาลที่พิจารณาคดีในข้อกล่าวหาสังหารผู้ชุมนุม ก่อนที่จะมีการเลื่อนการพิจารณาคดีไปอีกเป็นวันที่ 3 ม.ค.

วันที่ 2 ม.ค. สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลอียิปต์เผยแพร่ภาพของอดีตประธานาธิบดีมูบารัคบนเตียงพยาบาลถูกพาเข้าไปในโรงเรียนตำรวจที่ชานเมืองของกรุงไคโรซึ่งใช้เป็นสถานที่พิจารณาคดี โดยนี่ถือเป็นการพิจารณาครั้งที่สองหลังจากที่มีการพักพิจารณาคดีไป 2 เดือน

ลูกชายของมูบารัค 2 คนคือ อะลา และกามาล ก็ถูกฟ้องในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่น รวมถึงอดีตรัฐมนตรีมหาดไทยฮาบิน เอล-แอดลี ผู้ที่ถูกฟ้องทั้งข้อหาสั่งฆ่าผู้ชุมนุมและข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งหมดต่างกลับขึ้นศาลอีกครั้งในวันดังกล่าวด้วย

มูบารัคถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดในเหตุการณ์สังหารหมู่ผู้ประท้วงมากกว่า 800 คน ในช่วงที่มีการลุกฮือต่อต้านของประชาชนเมื่อเดือน ก.พ. ปีที่ผ่านมา (2011)

มูบารัคอาจต้องโทษประหารชีวิตหากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงฐานสังหารผู้ชุมนุม แต่บางคนก็เห็นว่า การที่ศาลปล่อยตัวตำรวจ 5 นายที่ถูกตั้งข้อหาสังหารผู้ชุมนุมนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการยกฟ้องข้อกล่าวหาของมูบารัค

ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีวัย 83 ปี ผู้นี้กำลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารเนื่องจากโรคหัวใจ

โดยก่อนหน้านี้หมายศาลได้มีการนัดพิจารณาคดีในวันที่ 28 ธ.ค. 2011 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงกระบวนการศาลและมีการให้การเพียงเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนพิจารณาเป็นวันที่ 2 ม.ค. และเลื่อนอีกครั้งเป็นวันที่ 3 ม.ค. ดังกล่าว

การให้การในวันที่ 28 ธ.ค. 2011 มาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งพยายามให้การแก้ต่างว่ามูบารัคไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้ยิงผู้ชุมนุม ขณะที่พยานอีกรายคือพลโท ซามี ฮาเฟซ อันนัน ผู้ที่มีอำนาจลำดับสองในสภาทหารไม่สามารถมาให้การได้เนื่องจากเหตุขัดข้องทางเทคนิค

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่า ประชาชนหลายคนหวังว่าการพิจารณาคดีของมูบารัคจะช่วยทำให้เกิดความสงบสุขขึ้นบ้างในกรุงไคโร หลังจากที่มีการเหตุปะทะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา

ในการพิจารณาสองครั้งล่าสุด ทนายความฝ่ายผู้ประท้วงที่ถูกสังหาร เรียกร้องให้ถอนตัวผู้พิพากษาอาห์เม็ด เรฟัต โดยกล่าวหาว่าเรฟัตมีอคติเอียงข้างฝ่ายจำเลย แต่ข้อเรียกร้องของเขาไม่เป็นผล โดยทนายความกล่าวว่าศาลได้พยายามยั่วยุในช่วงที่เขากำลังให้การ แต่ไม่ได้กระทำแบบเดียวกันในช่วงที่มูบารัคให้การด้วย

ญาติของเหยื่อที่ถูกสังหารบอกว่า พวกเขาเริ่มหมดหวังที่จะได้เห็นมูบารัคถูกดำเนินคดี เนื่องจากพยานฝ่ายอัยการส่วนมากให้การยืนยันว่ามูบารัคไม่ได้สั่งยิงผู้ชุมนุม

พยานสำคัญรายหนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทยบอกว่า แอดลี เป็นผู้สั่งการให้ยิงแก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมในช่วงวันที่ 28 ม.ค. 2011 ซึ่งเป็นวันที่การประท้วงปะทุรุนแรงที่สุด

 

ที่มา

Mubarak appears briefly in court, Aljazeera, 02-01-2012

Egypt court adjourns Mubarak trial, Aljazeera, 29-12-2011

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น