โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เปิดมติสมัชชาสุขภาพภาคใต้ (6) รุกสร้างยุทธศาสตร์น้ำมันทอดซ้ำ

Posted: 21 Jan 2012 04:30 AM PST

เผยน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมคุณภาพ ภัยเงียบสาเหตุโรคมะเร็ง  พบความนิยมบริโภคอาหารทอดเพิ่มขึ้นทำให้ในแต่ละปีมีการใช้น้ำมันทอดอาหารมากถึง 8 แสนตัน แต่ในการทอดอาหารมีการใช้น้ำมันทอดซ้ำทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพไม่ปลอดภัยที่จะนำมาประกอบอาหาร

มาถึงวันนี้ งาน “สมัชชาสุขภาพภาคใต้” กลายเป็นอีกงานใหญ่ประจำปีของกลุ่มกิจกรรมใน 14 จังหวัดภาคใต้ ที่รวมตัวกันในนาม “”เครือข่ายสุขภาพภาคใต้” ไปแล้ว

คราวนี้ “เครือข่ายสุขภาพภาคใต้” จัดงาน “สมัชชาสุขภาพภาคใต้” ระหว่างวันที่ 13–15 มกราคม 2555 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ใต้ จังหวัดตรัง 

ที่ประชุมที่มีแกนนำเครือข่ายจากจังหวัดต่างๆ เดินทางเข้าร่วมกันอย่างคับคั่งหลายร้อยคน ร่วมกันพิจารณาและลงมติในหลากหลายประเด็น ซึ่ง  “โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้” ขอนำรายละเอียดในแต่ละมติมานำเสนอเรียงเป็นรายประเด็น ดังต่อไปนี้

……………………………………………………..

สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 

ความปลอดภัยทางอาหาร: การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ

ตระหนัก ว่าน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมคุณภาพ เป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง  ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประเทศไทย ความนิยมบริโภคอาหารทอดเพิ่มขึ้นทำให้ในแต่ละปีมีการใช้น้ำมันทอดอาหารมากถึง ๘ แสนตัน  และในการทอดอาหารมีการใช้น้ำมันทอดซ้ำทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพไม่ปลอดภัยที่จะนำมาประกอบอาหาร

รับทราบ ว่านโยบาย กฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องยังไม่ครอบคลุม และผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบยังไม่มีการบูรณาการร่วมกันในการป้องกันแก้ไขปัญหาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในเรื่องผู้รับซื้อที่มีใบอนุญาตกำจัดของเสีย

ห่วงใย ว่าหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดีในเรื่อง น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อสุขภาวะของผู้บริโภคและผู้ประกอบการอาหารทอด ส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรบุคคล เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม 

กังวล ต่อการนำน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพมาใช้บริโภคซึ่งรวมถึงการนำไปฟอกสีให้ใส แล้วนำกลับมาจำหน่ายการนำไปทาเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกกังวลต่อความปลอดภัยอย่างยิ่ง

ชื่นชม การทำงานของเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ร่วมผลักดัน การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพให้เป็นนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ   และเสนอแนะทางออกการจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพสู่การผลิตไบโอดีเซลพลังงานทดแทนตามแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง สร้างความสมานฉันท์ระหว่างผู้บริโภค ผู้ประกอบการและภาคีที่เกี่ยวข้อง สมประโยชน์ทุกฝ่ายให้เกิดขึ้นในสังคม

เห็นว่า ประเทศไทยโดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันทอดซ้ำมีหน้าที่สำคัญในการผลักดันดำเนินการจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ได้แก่ ภาควิชาการ ภาคีปฏิบัติการ ภาคีกำหนดนโยบาย ภาคีสนับสนุนการปฏิบัติการ และภาคีการสื่อสารสังคม   ต้องดำเนินงานสอดประสานอย่างมีเป้าหมายร่วมกันที่จะจัดการปัญหาอย่างยั่งยืน

 

จึงมีมติดังต่อไปนี้

1.ให้สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่องความปลอดภัยทางอาหาร: การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ

2.ให้กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการร่วมกันกำหนดนโยบาย กฎหมาย และให้การสนับสนุนการดำเนินงานขององค์ปกครองท้องถิ่น ทั้งความรู้วิชาการ เทคโนโลยี และเครื่องมือในการดำเนินงาน

ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ผลิตและใช้น้ำมันเกี่ยวกับการทอดอาหาร ร่วมมือกันประกาศมาตรการ และดำเนินการประกันความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค มิให้ได้รับการบริโภคน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ

สนับสนุนให้ภาคประชาสังคมตระหนักรู้ ตรวจสอบปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น ผ่านการรณรงค์ให้การศึกษา และสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพจากองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

จัดทำยุทธศาสตร์การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ทั้งนี้อาจพิจารณาจากร่างยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางอาหาร: การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ

จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน เรื่องความปลอดภัยทางอาหาร: การจัดการน้ำมันทอดซ้ำและกำหนดสอนในและนอกระบบโรงเรียน

กำหนดมาตรการและเฝ้าระวังการจัดการน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ มิให้กลับสู่วงจรอาหาร

3.ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นแกนหลักในพื้นที่ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งการผลิต และใช้น้ำมันทอดอาหาร ร่วมมือกันประกาศมาตรการ และดำเนินการจัดการอย่างครบวงจร เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค โดยกำหนดเป็นนโยบายและแผน และ/หรือข้อบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

4.ให้กระทรวงพลังงานกำหนดทิศทางการจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพเป็นพลังงานทดแทน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง

5.ให้กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนส่งเสริมการนำน้ำมันทอดซ้ำเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเชล อย่างจริงจังและต่อยอดการจำหน่าย เพื่อการพาณิชย์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 15 - 21 มกราคม 2555

Posted: 21 Jan 2012 02:49 AM PST

'สหภาพโฮยา' ร้อง 'ยิ่งลักษณ์' ครม.สัญจรเชียงใหม่ ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 55 ที่ผ่านมาเนชั่นทันข่าวรายงานว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ กลุ่มพนักงานบริษัท โฮยากลาสดิสค์ (ประเทศไทย) จำกัด กว่า 50 คน นำโดยนายอัครเดช ชอบดี ประธาสนสหภาพแรงงานอิเลคทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ รวมตัวกันถือป้ายข้อความเรียกร้องให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาประชุมครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่ ช่วยเหลือ

นายอัครเดช เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาพนักงานโฮย่ากว่า 1,600 คน ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โดยบริษัทมีคำสั่งให้ออกงานลงวันที่ 1 ธันวาคม 2554 และให้มีผลในวันที่ 21 มกราคม 2555 และวันที่ 31 มกราคม โดยอ้างว่ามีผลกำไรขาดทุนและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่พบว่าปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลกำไรหลักพันล้านบาท ทั้งนี้ การเลิกจ้างดังกล่าวบริษัทได้ส่งจดหมายไปที่บ้านพักงานและให้ตอบกลับในวัน ที่กำหนด หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่ได้รับเงินชดเชย ซึ่งพนักงานกว่า 1,400 คน ได้ส่งหนังสือตอบกลับไปแล้ว แต่อีก 200 คน ซึ่งอยู่ในสหภาพแรงงานจึงได้รวมตัวกันเรียกร้องดังกล่าว สำหรับจุดประสงค์หลักก็เพื่อให้นายกฯ ได้พูดคุยกับบริษัทโฮย่าฯ และให้พนักงานทั้งหมดกับมาทำงานตามเดิม

ทั้งนี้ ได้เตรียมแถลงการณ์ยื่นให้นายกรัฐมนตรีด้วย ประเด็นเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยข้อความในแถลงการณ์ระบุว่า เนื่องจากบริษัท โฮยากลาสดิสค์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน ได้ออกประกาศที่ HY-ANT-061-12/2554 และ HY-ANT-062-12/2554 คำสั่งเลิกจ้างพนักงานโรงงาน 2 ทั้งหมด 1,609 คน โดยอ้างสาเหตุการขาดทุน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 และสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย ซึ่งการเลิกจ้างดังกล่าวไม่มีความเป็นธรรม

(เนชั่นทันข่าว, 15-1-2555)

 

เล็งผุดนิคมอุตสาหกรรมอีสาน รับลูกนักลงทุนต่างชาติ หนีน้ำท่วม-แรงงานเยอะ

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างประสานงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อรองรับการขยายการ ลงทุน หลังจากนักลงทุนต่างชาติสอบถามและเรียกร้องให้ภาครัฐจัดหาพื้นที่ลงทุนใน พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเลี่ยงน้ำท่วม ประกอบกับมีแรงงานจำนวนมาก เพราะมีสถานศึกษาป้อนแรงงานฝีมือจำนวนมากแก่ภาคอุตสาหกรรมได้

แหล่งข่าวกล่าวว่า แม้พื้นที่อุตสาหกรรมในภาคอีสานจะมีไม่มาก แต่มีนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาซื้อที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ จ.ขอนแก่น และ จ.นครราชสีมา แล้ว บางส่วนย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่น เป็นต้น เพราะประสบปัญหาถูกลอกเลียนสินค้าบ่อย

รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยตัวเลขตั้งโรงงานว่า ในปี 2554 พบว่า มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม 3,929 ราย มากกว่าปี 2553 จำนวน 181 ราย วงเงินลงทุน 209,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,168 ล้านบาท มีการจ้างงาน 95,260 คน ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการพลังงานทดแทน การผลิตไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ครัวเรือน และขุดทราย

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับจังหวัดที่มีมูลค่าลงทุนมากสุด คือ นครราชสีมา จำนวน 148 โครงการ มูลค่า 44,687 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่มีมูลค่าลงทุน 1,598 ล้านบาท จ้างงาน 7,037 คน รองลงมาเป็น ปทุมธานี 165 โครงการ มูลค่าลงทุน 16,969 ล้านบาท จ้างงาน 8,185 คน พระนครศรีอยุธยา 147 โครงการ มูลค่า 11,826 ล้านบาท จ้างงาน 3,926 คน เป็นต้น

"มีผู้ประกอบการมาขออนุญาตประกอบกิจการตั้งโรงงานในภาคตะวันออกและตะวัน ออกเฉียงเหนือมากขึ้น ส่วนหนึ่งต้องการหนีปัญหาน้ำท่วมและต้องการหาพื้นที่ใหม่ๆ เพราะในอยุธยาและปทุมธานี พื้นที่เริ่มเต็มแล้ว"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันยังไม่มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการ แต่มีพื้นที่อุตสาหกรรมอื่น เช่น เขตประกอบการอุตสาหกรรมนวนคร บริษัทผู้พัฒนารายเดียวกับสวนอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี ที่ถูกน้ำท่วม โดยปัจจุบันพื้นที่ภาคอีสานได้รับความสนใจอย่างมากเพราะแนวทางป้องกันน้ำ ท่วมในพื้นที่อุตสาหกรรม จ.ปทุมธานี และ จ.พระนครศรีอยุธยา ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากติดปัญหาหลักเกณฑ์การกู้เงินสร้างแนวกั้นถาวร วงเงิน 15,000 ล้านบาท ระหว่างธนาคารออมสินกับเอกชนผู้พัฒนานิคม

(ประชาชาติธุรกิจ, 16-1-2555)

 

ชี้เปิดเสรีอาเซียน จะทำให้ชาวต่างชาติแย่งงานคนไทยในกลุ่มแพทย์ วิศวกร สถาปนิก มากขึ้น

นายสิงหเดช ชูอำนาจ ผู้อำนวยการสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ(เออีซี)ในภูมิภาคอาเซียน 8 สาขาวิชาชีพ ใน 3 กลุ่มอาชีพ คือ แพทย์/พยาบาล วิศวกรและสถาปนิก ว่า จะเกิดปัญหาแย่งงานคนไทย เนื่องจากปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติ เข้ามาเรียนในสาขาเหล่านี้ ที่มหาวิทยาลัยเอกชนในไทยจำนวนมาก เมื่อเปิดเสรีอาเซียน จะทำให้นักศึกษาต่างชาติทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น เพราะกลุ่มอาชีพเหล่านี้ จะมีใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพที่เป็นมาตรฐานเดียวกันกับคุณสมบัติที่เป็น มาตรฐานกลางของผู้ประกอบวิชาชีพที่ประเทศสมาชิกอาเซียนกำหนด ซึ่งปัจจุบันชาวต่างชาติในกลุ่มอาชีพแพทย์ เข้ามาทำงานในประเทศไทย ในฐานะผู้ช่วยแพทย์ หรือที่ปรึกษาทางการแพทย์ เนื่องจากติดขัดข้อกฏหมายที่ไม่สามารถทำงานในฐานะแพทย์ได้ หากเปิดเออีซี กลุ่มเหล่านี้จะสามารถทำงานในไทยฐานะแพทย์ทันที

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอาชีพแพทย์และพยาบาลที่เกรงกันว่า จะเกิดปัญหาการเคลื่อนย้ายไปทำงานในประเทศที่ค่าตอบแทนสูง นายสิงหเดช กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวลดลง เนื่องจากรัฐบาลเพิ่มค่าตอบแทนสูงขึ้น และมีเงินค่าวิชาชีพเฉพาะ ประกอบกับส่วนใหญ่ไม่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ

(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 16-1-2555)

 

ปลัดแรงงาน เผยดัชนีเศรษฐกิจ 8 ด้านติดลบ ส่อแววเลิกจ้าง-ว่างงาน

ก.แรงงาน 17 ม.ค.- ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจ 8 ด้านติดลบ ส่อแววเลิกจ้าง-ว่างงาน แต่ย้ำอาจเป็นช่วงสั้น ๆ หลังวิกฤติน้ำท่วม เผย ตั้งคณะทำงาน เฝ้าระวัง 12 อุตสาหกรรมกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิด  

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจการแรงงาน เกี่ยวกับผลการวิเคราะห์ ดัชนีผสม (Composite Signal Indicator) ที่ใช้ในการชี้วัดสัญญาณเตือนภัยด้านแรงงานว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2554 ดัชนีผสมมีค่าในระดับ 8 จากทั้งหมด 13 ระดับ ซึ่งถือเป็นระดับที่อันตรายตั้งแต่ระดับ 7 และอาจส่งผลต่อการว่างงาน หรือการเลิกจ้าง ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากเดือนพฤศจิกายน 2554 - พฤศจิกายน 2555   โดยเฉพาะในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีโอกาสจะเกิดวิกฤตการเลิกจ้างสูงถึงร้อยละ 68  ขณะที่เดือนพฤษภาคม 2555 จะเกิดวิกฤติการจ้างงานสูงถึงร้อยละ 48.52   

ข้อมูลดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ในเชิงทฤษฎี ซึ่งหากเป็นช่วงเวลาปกติ จะค่อนข้างแม่นยำ  แต่การวิเคราะห์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติน้ำท่วม ประกอบกับภาวการณ์ว่างงานเกิดการตึงตัวมาตลอด 2 ปี โดยอัตราการว่างงานของไทยต่ำกว่า ร้อยละ 1 มาตลอด จึงเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวจะส่งผลกระทบแค่ในระยะสั้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท ได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยมอบหมายให้นายปกรณ์ อมรชีวิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานคณะทำงานติดตามสถานการณ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ประกอบการใน 12 กลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักรสำนักงาน อิเล็กทรอนิกส์  สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เครื่องจักรทั่วไป เครื่องใช้ไฟฟ้า ยาง เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ในบ้าน และปิโตรเลียม

ทั้งนี้ สำหรับดัชนีผสมที่ชี้วัดว่าจะเกิดสัญญาณอันตรายด้านแรงงาน ทั้ง 8  ตัวประกอบด้วย 1.ยอดการจำหน่ายรถยนต์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ 79.99  การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลง ร้อยละ 78.86 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงร้อยละ 36  ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 48 ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงร้อยละ 25 การใช้กระแสไฟฟ้าลดลงลดลงร้อยละ 4 ดัชนีอุปโภคบริโภคภาคเอกชนลดลงร้อยละ 1.9 และมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 12

(สำนักข่าวไทย, 17-1-2555)

 

ผู้ใช้แรงงาน เรียกร้องรัฐ ขึ้นค่าจ้าง 300 บาท เท่ากันทั่วประเทศ

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน ร่วมกันแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทให้เท่ากันทั่วประเทศโดยทันที โดยนายชาลี ระบุว่าการเลื่อนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจากกำหนดเดิมในวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา เป็นวันที่ 1 เมษายน 2555 และนำร่องแค่ 7 จังหวัด ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ที่สำคัญยังเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของแรงงานที่ได้รับผลกระทบ จากวิกฤตน้ำท่วม ด้วยการจะไม่ปรับขึ้นค่าจ้างอีก 2-3 ปี ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลขึ้นค่าจ้าง 300 บาทให้เท่ากันทั่วประเทศทันที และคัดค้านแผนการไม่ปรับขึ้นค่าจ้างใน 2-3 ปี รวมถึงต้องเร่งควบคุมราคาสินค้าอุปโภค บริโภค เนื่องจาก คสรท. สำรวจพบว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของแรงงานปัจจุบันสูงถึงวันละ 561.79 บาท ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอก็จะรณรงค์เคลื่อนไหวกับผู้ใช้แรงงานทั่ว ประเทศต่อไป

ด้านนายยงยุทธ์ เม่นตะเภา ประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภายหลังการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็น 300 บาท รัฐบาลจะต้องหันมาปรับโครงสร้างค่าจ้างให้เป็นธรรม และครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมให้มากขึ้น เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่หากมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็น 300 บาท คนงานที่ทำงานไม่ถึง 7 ปี จะไม่มีทางได้รับค่าจ้างสูงกว่า 300 บาท ทั้งที่ความจริงทักษะฝีมือมีมากกว่าแรงงานที่เข้าใหม่ หากได้รับค่าจ้างเท่ากัน ก็จะถือว่าไม่มีความเป็นธรรม.

(สำนักข่าวไทย, 18-1-2555)

 

แรงงานภาคท่องเที่ยวจ่อตกงานกว่า  80  %

นายสุรเชษฐ์ วรวงศ์วสุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิเอส โฮเทล แมเนจเมนต์ ผู้บริหารโรงแรมดิ เอทัส ร่วมฤดีและลุมพินี เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ภาคการบริการในปี 2558 จะกระทบต่อบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถูกยกเลิกการว่าจ้างแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช้ทักษะเฉพาะ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 80% ของแรงงานภาคการท่องเที่ยว ประมาณ 2 ล้านคน

ทั้งนี้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว จะหันว่าจ้างแรงงานจากกลุ่มอาเซียน เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีความรู้ทักษะด้านภาษาอังกฤษดีกว่าคนไทย รวมถึงนโยบายรัฐบาลการว่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท ส่งผลให้ต้นทุนการบริหารจัดการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ท่องเที่ยวปัจจุบัน ที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง

“ผู้ประกอบการจะมองถึงความคุ้มค่าที่ได้รับในการว่าจ้างงาน และแรงงานฟิลิปปินส์เป็นกลุ่มที่กระหายในการทำงาน การทำงานเป็นแม่บ้านสะท้อนภาพได้ว่ายินดีที่จะสู้งานทุกประเภท”นายสุรเชษฐ์ กล่าว

อย่างไรก็ตามเอกชนท่องเที่ยวต้องการให้รัฐบาลเร่งวางแผนรับมือกับ สถานการณ์ดังกล่าว โดยพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศไทย การส่งเสริมให้คนไทยมีทักษะด้านภาษาอังกฤษ การเปิดโปรแกรมการพัฒนาอาชีพที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ในส่วนของบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต้องเร่งปรับปรุงพัฒนาทักษาด้านภาษาอังกฤษ รองรับการแข่งขัน การเพิ่มศักยภาพการทำงานให้มีความครอบคลุมปัจจุบัน สามารถรับผิดชอบการทำงานในหน้าที่มากกว่า 1 ตำแหน่ง

นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับแผนกลยุทธ์การตลาดของโรงแรมดิ เอทัส จะมุ่งเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มการจัดประชุมสัมมนา(ไมซ์) คนไทยมากขึ้น เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวตลาดทั่วไป ที่มีแนวโน้มการเดินทางลดลง และจำนวนห้องพักล้นตลาด มีมากกว่าความต้องการของนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ลด แลก แจกแถมอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมการลงทุนธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพ มองว่าในปีนี้จะชะลอตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาว  เมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนที่ว่างที่ดินลดน้อยลง ห้องพักล้านตลาด

ด้านนางปานจิตร สันทัดกลการ ผู้อำนวยการกองเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ททท.ได้จัดการประชุมระดมความคิดเห็นการจัดการอบรมสัมมนาการตลาดท่องเที่ยว เพื่อปรับปรุงหลักสูตรการอบรมให้ตรงต่อความต้องการของผู้ประกอบการท่อง เที่ยวสูงสุด จากเดิมททท.ได้จัดการอบรม 6 หลักสูตร/ปี เช่น การอบรมตลาดคุณภาพ การอบรมตลาดสมัยใหม่ เป็นต้น การระดมความคิดเห็นครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มหลักสูตรอบรมเป็น 10 หลักสูตร

ทั้งนี้ในแต่ละปีททท.ได้ใช้งบประมาณการจัดอบรม ราว 5 ล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวเสริมทักษะความรู้ รวมถึงอัพเดรทแนวทางการทำตลาดท่องเที่ยวแบบใหม่ โดยในปีนี้ททท.ได้เพิ่มแนวทางการบริหารจัดการในช่วงที่เกิดวิกฤตบรรจุไว้ทุก หลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทหผู้ประกอบการท่องเที่สามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีทิศทาง 

(ไทยโพสต์, 18-1-2555)

 

ผู้นำแรงงาน วอนนายจ้างจ่ายเงินอั่งเปาช่วงตรุษจีน

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์การจ่ายอั่งเปา หรือเงินพิเศษ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานว่า หลังวิกฤติน้ำท่วมผ่านพ้นไป เชื่อว่า นายจ้างและสถานประกอบการจำนวนมาก จะมีการจ่ายอั่งเปาในปีนี้ให้คนงานน้อยลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสถานประกอบการที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วม อาจงดการจ่ายเงิน เพื่อนำเงินไปฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องให้นายจ้าง เห็นใจความทุกข์ยากของคนงาน และช่วยโรงงานมาตลอด ขณะที่บางคนกำลังรออั่งเปา เพื่อนำไปใช้ซ่อมแซมบ้าน และข้าวของเครื่องใช้ที่ได้รับความเสียหาย จึงขอให้นายจ้างมอบอั่งเปาให้เป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจสถานประกอบการย่านวรจักร ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ต่างยอมรับว่าเตรียมตัวที่จะให้อั่งเปากับ คนงานหรือลูกจ้างในร้านเหมือนปีที่ผ่านมา ๆ เช่น นางผกาทิพย์ องค์ทองคำ เจ้าของร้าน มิตรเจริญอะไหล่ยนต์ เปิดเผยว่า เตรียมจ่ายอั่งเปาให้กับคนงานในร้านกว่า 10 คน ถึงแม้ว่าร้านจะไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม แต่ก็เจอปัญหายอดสั่งซื้อที่หดหาย ซึ่งเป็นผลกระทบในช่วงสั้น ๆ ดังนั้น ในปีนี้ตั้งใจจะให้อั่งเปามากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะถือเป็นธรรมเนียม ที่ต้องให้เงินเพิ่มขึ้นทุกปี แต่อาจเป็นจำนวนไม่มากนัก รวมถึงเตรียมขึ้นเงินเดือนให้กับคนงานในร้านด้วย ส่วนวันหยุดในช่วงตรุษจีน ปีนี้ทางร้านยังคงหยุดยาว 4 วัน เหมือนเช่นทุกปี

(สำนักข่าวไทย, 19-1-2555)

 

จับนายหน้าอ้างพาแรงงานไปต่างประเทศสูญนับ 10 ล้าน

ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบก.ปคม. แถลงจับกุมอายัดตัวนายอเนก เงินสุวรรณ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ จ 473/2554 ลงวันที่ 21 เม.ย 2554 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่าง โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยหลอกลวงผู้เสียหายจำนวน 124 รายเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างพ.ศ.2552-2554 สามารถจับกุมได้ในท้องที่ อ.เมืองอุดรธานี

พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า หลังจากที่ บก.ปคบ.ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายจึงทำการตรวจสอบข้อมูลผู้มีหมายจับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พบว่า นายอเนกมีหมายจับที่อยู่ระหว่างประกาศสืบห้วงเวลาตั้งแต่พ.ศ. 2550 – 2553 จำนวน 7 หมายจับในหลายท้องที่ จึงขออนุมัติศาลอาญาให้ออกหมายจับนายอเนกกับพวก

โดยเมื่อต้นปี พ.ศ.2552 นายอเนก เงินสุวรรณ ได้แอบอ้างว่าชื่อ นายวัชรินทร์ พิมพ์จันทร์ ร่วมกับนางนันทศิกานต์ ไชยจำนวงค์ ตั้งบริษัทจัดหางานบังหน้าหลอกลวงประชาชน 3 บริษัท หลอกลวงประชาชนโดยการอ้างว่าสามารถทำเรื่องให้ผู้ต้องการทำงานเดินทางไปยัง ต่างประเทศได้

นอกจากนี้ยังสำรวจตรวจสอบรายชื่อคนหางานที่แจ้งความประสงค์ต้องการเดิน ทางไปทำงานยังต่างประเทศ ที่กรมการจัดหางานหรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดต่างๆที่ได้ประกาศไว้ จากนั้นได้จัดทำเอกสารเชิญชวนคนหางานที่ได้รายชื่อมาเพื่อสมัครงานไปทำงาน ต่างประเทศ อาทิ แคนาดา อิสราเอล เกาหลีใต้ โดยให้ผู้เสียหายจ่ายเงินรายละ 2-8.5 หมื่นบาทเป็นค่าสมัคร ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อจำนวน 124 ราย หลอกลวงเงินประมาณ 10 ล้านบาทก่อนหลบไป

“ผู้ต้องหาได้อ้างชื่อตัวเองว่า นายวัชรินทร์ พิมพ์จันทร์ และชื่ออื่นๆอีกมากมายทำให้ผู้เสียหายหลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเป็นบุคคลเดียว กันกับที่เคยหลอกลวงไว้ จึงฝากเตือนหากผู้ใดเคยถูกนายเอนกหลอกลวงโดยอ้างว่าสามารถทำเรื่องให้เดิน ทางไปต่างประเทศได้สามารถร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน บก.ปคม. หรือพบเห็นพฤติการณ์ของบุคคลอื่นในลักษณะเดียวกับผู้ต้องหารายนี้ สามารถแจ้งเบาะแสมายังบก.ปคม. ตามสายด่วนหมายเลข 1191 เพื่อจะได้รีบดำเนินการกับปัญหาดังกล่าวโดยเร่งด่วนต่อไป ” ผบก.ปคม. กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางกองกำกับการ 1 กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 (กก.1บก.สส. ภ.4) สามารถจับกุมนายอเนกได้ในข้อหาลักทรัพย์รถยนต์ จึงส่งตัวให้พนักงานสอบสวนสภ.เมืองอุดรธานี โดย บก.ปคม.ขออายัดตัวเพื่อดำเนินคดีต่อไป

(โพสต์ทูเดย์, 20-1-2555)

 

เร่งผลักดันลดค่าภาษีแรงงานไทยในมาเลย์หลังพบขาดแคลน

นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานแรงงานไทยในประเทศมาเลเซีย ได้รายงานสถานการณ์การมีงานทำของแรงงานไทยในประเทศมาเลเซีย ว่า อัตราค่าภาษีแรงงานไร้ฝีมือในตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟ-พนักงานล้างจาน ที่เงินเดือนไม่สูงนักแต่กลับมีค่าภาษีจากการขอใบอนุญาตทำงานสูงมาก ซึ่งจะต้องเร่งติดตามความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อประโยชน์ของแรงงานไทยต่อไป
      
จากการที่สำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย ได้ออกตรวจเยี่ยมสถานการณ์แรงงานไทยในเมืองเซเรมบัน รัฐเนกรีเซมบิลัน ซึ่งนอกจากจะเป็นเมืองนิคมอุตสาหกรรมแล้ว ยังพบว่า มีสถานประกอบกิจการร้านอาหารไทยที่มีคนไทยเป็นเจ้าของอยู่หลายแห่ง บางแห่งก็มีขนาดใหญ่ ลูกค้าจำนวนมาก มีหลายสาขา เป็นต้น แต่กลับประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน แม้ว่าจะมีแรงงานจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เดินทางไปทำงาน แต่ก็มักเป็นแรงงานอายุน้อย ขาดประสบการณ์ ความรับผิดชอบ นายจ้างจึงไม่ทำใบอนุญาตทำงานให้ ส่วนแรงงานท้องถิ่นยังต้องการการพัฒนาด้านการบริการ และมีข้อจำกัดไม่ทำงานในวันหยุดซึ่งเป็นวันที่มีลูกค้ามาก
      
สำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย ยังแจ้งด้วยว่า ส่วนใหญ่ร้านอาหารไทยจะเป็นประเภทร้านต้มยำ ที่ประสบปัญหาเสียค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตทำงานให้กับลูกจ้างเป็นค่าภาษี หรือ เลวี (levy) ในอัตราที่สูงมาก คือ คนละ 1,850 ริงกิต (ประมาณ 18,500 บาท) ซึ่งถ้าเป็นแรงงานตำแหน่งผู้ประกอบอาหาร หรือ กุ๊ก ซึ่งเป็นแรงงานฝีมือจะสามารถจ่ายเองได้ เพราะมีอัตราค่าจ้างค่อนข้างสูง แต่แรงงานในตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟและพนักงานล้างจาน ซึ่งเป็นแรงงานไร้ฝีมือ มีอัตราค่าจ้าง 600-700 ริงกิต (ประมาณ 6,000-7,000 บาท) ไม่สามารถจ่ายได้ หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียให้อนุญาตแรงงานไทยทำงานในตำแหน่ง พนักงานเสิร์ฟและล้างจานโดยกำหนดอัตราภาษีเดียวกับแรงงานไร้ฝีมือในสาขา อื่นๆ ก็จะทำให้นายจ้างสามารถเสียภาษีและจัดทำใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายได้ และทางสำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซียได้เคยเสนอประเด็นการปรับอัตราค่าเลวี ให้พนักงานตำแหน่งเสิร์ฟและล้างจานในที่ประชุมคณะทำงานร่วมไทย-มาเลเซีย (Joint Working Group : JWG) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงานแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งจะได้ติดตามเรื่องนี้ในการประชุมคราวหน้าที่มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพต่อไป
      
ในส่วนของสถานประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารประเภทสัตว์ปีก สัตว์น้ำ ของนักลงทุนไทย พบว่า มีกระบวนการผลิตครบวงจร ทั้งการเพาะพันธุ์ เลี้ยงดู การแปรรูปผลิตเป็นอาหาร การบริหารจัดการเพื่อการส่งออกทั่วโลกตามกระบวนการผลิตมาตรฐานอาหารฮาลาล โดยมีการจ้างแรงงานไทยเพื่อปฏิบัติงานด้านวิชาการ การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และตำแหน่งหัวหน้าไซต์งานต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการจ้างงานแรงงานจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เพราะศักยภาพแรงงานไทยมีสูง ในขณะที่มีความขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพ เนื่องจากอาชีพรับจ้างกรีดยางพารากำลังได้รับความนิยม เพราะมีรายได้สูงกว่าอาชีพอื่นๆ

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 20-1-2555)

 

เซอร์คิทฯ บุก ก.แรงงาน ร้องช่วยเจรจาจ่ายเงินชดเชยเลิกจ้าง-หางานใหม่

(20 ม.ค.) เวลา 13.00 น.ที่กระทรวงแรงงาน น.ส.สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผอ.โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยพร้อมด้วยพนักงานบริษัท เซอร์คิทอิเลคโทรนิคส์ อินดัสตรีส์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 50 คน ได้มาร้องเรียนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เพื่อขอให้ช่วยเจรจากับบริษัทจ่ายเงินชดเชยการถูกเลิกจ้าง เนื่องจากบริษัทปิดกิจการบางส่วนชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูโรงงานและประกาศเลิก จ้างพนักงานกว่า 1 พันคน ในวันที่ 21 ม.ค.นี้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายแรงงานสัมพันธ์ของ กสร.ได้ช่วยเจรจากับบริษัทฯจนได้ข้อสรุปเป็นที่พอใจของพนักงานบริษัท
      
น.ส.สมคิด แสงซื่อ วัย 44 ปี พนักงานฝ่ายผลิตบริษัท เซอร์คิทฯ หนึ่งในพนักงานที่ร้องเรียน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้บริษัทประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่า 1 พันคน และจะเงินชดเชยการถูกเลิกจ้าง 2 งวด คือ งวดแรกจะจ่ายวันที่ 10 ม.ค.โดยขอจ่ายเพียง 90 วัน และงวดที่ 2 จะจ่ายไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย. แต่พวกตนอยากให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยงวดเดียวและไม่ต้องรอไปจนถึงเดือน มิ.ย.นี้ ซึ่งได้เจรจากับบริษัทมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้น วันนี้พวกตนจึงมาขอให้กสร.ช่วยเจรจากับบริษัท
      
“เมื่อ กสร.ช่วยเจรจาก็ได้ข้อสรุปว่า บริษัทจะจ่ายเงินชดเชยการถูกเลิกจ้างให้งวดเดียว ไม่แบ่งเป็น 2 งวดเช่นก่อนหน้านี้ รวมทั้งจะจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้พนักงานกว่า 1 พันคน เป็นเวลา 15 วันด้วย พวกพี่ต่างพอใจกับข้อสรุปนี้อย่างพี่ทำงานมา 8 ปี ก็ได้เงินชดเชย 8 เดือน เมื่อได้เงินก้อนนี้มาพี่จะนำมาลงทุนค้าขาย แต่ก็เป็นห่วงเพื่อนๆ เพราะต่างก็อายุ 40 ปีขึ้นไป ทั้งนั้น หางานใหม่ยาก จึงอยากให้กระทรวงแรงงานช่วยหางานใหม่ให้เพื่อนๆ ด้วย”น.ส.สมคิด กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 20-1-2555)

 

ก.แรงงาน ตั้งคณะทำงานหนุนการใช้ กม.จ้างคนพิการ

นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กฎหมายส่งเสริมคนพิการแห่งชาติ จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 31 ม.ค.55 กำหนดให้นายจ้างต้องจ้างคนพิการในอัตราส่วน 100 :1 คือ นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คน ต้องจ้างคนพิการทำงาน 1 คน แต่ขณะนี้นายจ้างบางส่วนมีปัญหาเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องของการจ้างคนพิการเข้าทำงาน เนื่องจากอาจเป็นเพราะกฎหมายมีผลบังคับใช้เป็นปีแรกทำให้การเตรียมความพร้อม คนพิการเข้าสู่การทำงานอาจยังไม่สมบูรณ์นัก แต่กฎหมายก็ยังให้ทางออกโดยการนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตคนพิการ หรือใช้มาตรา 35 กรณีที่นายจ้างหรือสถานประกอบการไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามาตรา 33 และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 34 โดยนายจ้างหรือสถานประกอบการนั้นอาจให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานฝึกงานหรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแล คนพิการก็ได้แต่ผู้ประกอบการก็ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการดำเนินการจึงได้มีการ หารือร่วมกันในหลายประเด็นและได้ข้อสรุปโดยจะจัดตั้งคณะทำงานไตรภาคีเพื่อ ส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการขึ้นภายใต้คณะอนุกรรมการส่งเสริมอาชีพคนพิการ
ซึ่งมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานคณะอนุกรรมการชุดนี้ รวมถึงต้องการให้ตั้งหน่วยงานในส่วนของกระทรวงแรงงานขึ้นมาดูแลคนพิการโดย เฉพาะซึ่งในเรื่องนี้ก็จะรับไปพิจารณาต่อไป

ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานเครือข่ายด้านคนพิการเพื่อการปฏิรูป สมัชชาปฏิรูปประเทศไทย กล่าวว่า ต้องการให้กระทรวงแรงงานร่วมกับภาคเอกชนจัดตั้ง Job Bank โดยการคัดกรองคนพิการให้ตรงกับความต้องการของนายจ้างและเหมาะสมกับงานที่จะ ทำ รวมถึงให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานฝึกงานให้คนพิการและให้สำนักงานประกันสังคม ตรวจสอบสถานประกอบการว่ามีการจ้างงานคนพิการจริง ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคมระบุว่า มีสถานประกอบการมีลูกจ้าง 100คนขึ้นไป คิดเป็นลูกจ้างประมาณ 5.3 ล้านกว่าคน ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นสัดส่วนของการจ้างคนพิการทำงาน 100ต่อ1 คนแล้ว จะมีการจ้างงานคนพิการเข้าทำงานประมาณ 53,000 กว่าคน

(บ้านเมือง, 21-1-2555)

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส.ส.US ถอนร่างกฎหมาย SOPA จากวาระของสภาฯ แล้ว

Posted: 21 Jan 2012 02:36 AM PST

กรณีสภาคองเกรสของสหรัฐอยู่ระหว่างพิจารณาร่างกฎหมาย Stop Online Piracy Act หรือ SOPA ซึ่งเป็นกฏหมายที่ให้อำนาจรัฐในการปิดกั้นเว็บไซต์ด้วยเหตุผลจากการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งก่อให้เกิดข้อถกเถียงและปฏิบัติการต่อต้านในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส.ส. ลามาร์ สมิธ (Lamar Smith) จากพรรครีพับลิกัน เจ้าของร่างกฎหมาย SOPA ก็ประกาศถอนร่างนี้ออกจากวาระของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐแล้ว

สมิธ ยอมรับว่าร่างกฎหมายของเขาได้รับเสียงวิจารณ์มากมาย และเขารับฟังเสียงเหล่านี้ จึงตัดสินใจถอนร่างออกจากสภา อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าประเด็นเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญ เพียงแต่เขาจะทบทวนวิธีการแก้ไขปัญหาลิขสิทธิ์ที่สร้างความขัดแย้งใน SOPA อีกครั้ง

ส่วนร่างกฎหมายอีกฉบับหนึ่งคือ PIPA ที่เสนอเข้าวุฒิสภาของสหรัฐ ทางผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาคือ วุฒิสมาชิก แฮร์รี่ รี้ด (Harry Reid) ก็ประกาศว่าจะเลื่อนการลงมติออกไปก่อน

 


ที่มา:
  http://www.blognone.com/news/29229

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประธานมูลนิธิ รร.เตรียมทหาร ปลุกทหารปฏิวัติค้านแก้ ม.112

Posted: 21 Jan 2012 01:53 AM PST

พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานมูลนิธิ รร.เตรียมทหาร ปลุกทหารเลือดเตรียมทหาร ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ค้านแก้ม.112 เผยทหารทนไม่ไหว อาจจะปฏิวัติ แต่ให้ทำเพื่อปกป้องสถาบัน
 
21 ม.ค. 55 - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานมูลนิธิ รร.เตรียมทหาร กล่าวในรายการ “ลับ ลวง พราง” ทาง อสมท.100.5 ว่า พอใจกับบทบาทของกองทัพต่อการออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เห็นกองทัพเอาจริงเอาจังเรื่องการต่อต้านการหมิ่นสถาบัน โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และท่านอื่นๆ ด้วย แต่อาจไม่มีโอกาสได้แสดงออกให้เห็น ตนอยากให้ทหารแสดงออกกันมากๆ ปกป้องชาติ สถาบันกษัตริย์ และดูแลประชาชน ส่วนเรื่องมีความพยายามในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นมองว่าจะต้องไม่แก้ ไม่แตะต้อง อะไรที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้ามันถึงที่สุด ตนว่าทางกองทัพก็ต้องพูดกันบ้าง ไม่ใช่พูดแค่มันปาก ต้องเอาจริง เพราะหากมันเกินเลยจนทหารทนไม่ได้ เพราะใน 7-8 ปี มีการทำลายสถาบันกษัตริย์มากเหลือเกิน ถ้าถึงที่สุด ถ้ามันมากเกินไปจนทนไม่ไหว ทหารก็อาจจะปฏิวัติ แน่นอน และต้องมี ตนเป็นทหารเก่า และกบฏเก่า เชื่อว่าจะต้องมี 
 
พล.อ.บุญเลิศ กล่าวว่า ขอให้คำสอนเตือนใจด้วยว่า “คนที่ไม่จงรักภักดี ต้องตายก่อนเวลาที่กำหนดไว้ ผมยืนยันว่าเป็นจริง แล้วก็มีตัวอย่างมาแล้วหลายคน พร้อมกันนี้ยังเห็นว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะเกิดการปฏิวัติ ถ้ายังไม่เลิกดูหมิ่นสถาบัน ผมว่าไม่ช้า ไม่นาน ผมอยากให้ทหารทำด้วยซ้ำ ถ้ามีสถานการณ์จำเป็น ไม่ใช่เพื่ออำนาจ แต่ต้องเพื่อปกป้องสถาบัน เพราะนักการเมือง เหมือนฟาง ไม่ใช่ขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูด ไม่เผ็ด ไม่มีรสชาติ คือ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แกงก็ไม่ได้ เผ็ดไม่เผ็ด เป็นเครื่องแกงให้ดูครบเครื่องเท่านั้น ยกตัวอย่างตอนน้ำท่วม เขาไม่เห็นแก้อะไรปล่อยท่วมเฉย แก้ก็ไม่ถูก ที่ดอนยังท่วม ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ทั้งนี้ผมจะเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เท่าที่ขีดความสามารถจะมีให้ และจะต้องออกมาเคลื่อนไหวในนามเตรียมทหารแน่นอน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กำลังจับตาดู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ ตอนนี้เราก็คิดว่าเรายังไม่ไปยุ่งกับเขา ยังไม่พิจารณาว่า เขาเหมาะที่จะเป็นศิษย์เก่า รร.เตรียมทหาร ต่อไปหรือไม่ แต่ถ้าเผื่อว่าเขายังไม่หยุด เราอาจจะหันมาพิจารณา" 
 
เมื่อถามว่า ไม่เกรงใจหรือ เพราะเป็นรัฐบาลอยู่นั้น ประธานมูลนิธิ รร.เตรียมทหาร กล่าวว่า ตนไม่เกรงใจใคร ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ชาติและสถาบันพระกษัตริย์ คนไทยอยากใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามีโอกาส แต่ถ้าไม่มีสถาบัน ก็แย่งกันใหญ่ วุ่นวาย แบ่งเป็นก๊ก เป็นพวกเหล่า ทั้งนั้น ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นต้องรักษาสถาบันเอาไว้
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ขิ่นยุ้นต์ชี้ วิกฤติชนกลุ่มน้อยเป็นปัญหาใหญ่ท้าทายรัฐบาลพลเรือนพม่า

Posted: 21 Jan 2012 01:08 AM PST

 
ขิ่นยุ้นต์ให้สัมภาษณ์กับสื่อพม่าอย่าง The Myanmar Times ว่า เขาแสดงยินดีกับท่าทีของรัฐบาลพม่าชุดปัจจุบันที่พยายามแก้ปัญหาวิกฤติชนกลุ่มน้อยในประเทศ แต่เตือนว่า ความเป็นเอกภาพกับชนกลุ่มน้อยนั้นยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลพลเรือนพม่า
 
ทั้งนี้ ขิ่นยุ้นต์เผยว่า อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยุติความไม่เชื่อใจกันระหว่างพม่าและชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นผลทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายร้าวฉานมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1948 หรืออาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่ประเทศได้รับเอกราชจากอังกฤษ
 
“อันที่จริง กลุ่มชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ และประชาชนชนกลุ่มน้อยเองเป็นคนซื่อตรงมาก” ขิ่นยุ้นต์กล่าว ทั้งนี้ ขิ่นยุ้นต์นั้นมีประสบการณ์ทำงานกับชนกลุ่มน้อยมายาวนาน โดยเฉพาะในช่วงปี 1980 – 1990 ในขณะที่เขายังมีอำนาจ ขิ่นยุ้นต์ได้เจรจาสันติภาพกับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม จนนำไปสู่การประสบความสำเร็จในการทำสัญญาหยุดยิง โดยขิ่นยุ้นต์ยังกล่าวว่า หากรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการคำแนะนำจากเขา ในการแก้ปัญหาชนกลุ่มน้อย เขาก็ยินดีให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ขิ่นยุ้นต์กล่าวว่า เขาหวังการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกต่อพม่าจะยุติในเร็วๆนี้ เนื่องจากเห็นว่า ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปในพม่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากการคว่ำบาตร
 
นอกจากนี้ ขิ่นยุ้นต์ยังให้สัมภาษณ์ว่า หลังถูกปลดในปี 2004 ในข้อหาทุจริตและในช่วงที่ถูกกักบริเวณ ถือเป็นช่วงที่ยากลำบากของชีวิตของเขาและครอบครัว โดยต้องหาเช้ากินค่ำ บางครั้งต้องขายดอกไม้และทรัพย์สมบัติส่วนตัวเพื่อประทังชีวิต และหลังได้รับการปล่อยตัวและจนถึงทุกวันนี้ ทางครอบครัวของเขาก็ยังไม่มีรายได้ใดๆ
 
อีกด้านหนึ่ง คณะวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ซึ่งนำโดยนายจอห์น แมคเคน และนายโจเซฟ ลีเบอร์แมนกล่าวระหว่างเยือนเวียดนามว่า สหรัฐนั้นอาจยกเลิกคว่ำบาตรพม่าบางส่วน หากการเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
 
ส่วนด้านผู้นำไทใหญ่อย่างขุนทุนอู ผู้นำพรรคนนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย(Shan Nationalities League for Democracy party SNLD) ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อเร็วๆนี้ออกมาเปิดเผยเช่นกันว่า หลังจากได้หารือกับสมาชิกพรรค ทางพรรคมีมติตัดสินใจที่จะนำพรรคจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่ทางพรรคปฏิเสธการเลือกตั้งเมื่อปี 2010
 
อย่างไรก็ตาม ขุนทุนอูกล่าวจะไม่ลงเลือกตั้งซ่อมที่จะมีขึ้นในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ เนื่องจากไม่มีเวลาเตรียมตัวทันในการลงเลือกตั้ง โดยพรรค SNLD เป็นพรรคการเมืองที่สามารถกวาดที่นั่งในสภาเป็นอันดับสองรองจากพรรคเอ็นแอลดีเมื่อปี 1990 ขณะที่ขุนทุนอูและเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนถูกจับเมื่อปี 2005 โดยขุนทุนอูถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 93 ปี ทั้งนี้ ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา
 
แปลและเรียบเรียงจาก Irrawaddy /Mizzima 20 มกราคม 55
 
จีนลงทุนในพม่าเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่าการลงทุนเกือบ 14 พันล้านดอลลาร์
 
ตามข้อมูลและสถิติของรัฐบาลพม่าเปิดเผยว่า ประเทศจีนยังคงเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนในพม่าเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าการลงทุนเกือบ 14 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเทียบเท่า 35 เปอร์เซ็นต์ของต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในพม่า ขณะที่สื่อพม่าอย่าง Eleven News รายงานว่า จีนลงทุนในพม่าโดยเฉพาะด้านพลังงานก๊าซ น้ำมันและเหมืองแร่ รวมไปถึงการสร้างเขื่อนในพม่าเพื่อนำพลังงานไฟฟ้าไปใช้ในประเทศจีน
 
“มีการทำเหมืองหยกและค้าไม้ในรัฐคะฉิ่น ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในรัฐอาระกัน และทำเหมืองแร่ในรัฐอื่นๆ นอกจากนี้จีนยังเข้ามาลงทุนสร้างเขื่อนเพื่อเอาพลังงานไฟฟ้าหลายแห่งในประเทศพม่า ปัจจุบันนี้ จีนประเทศเดียวที่เข้ามาลงทุนในพม่าคิดเป็น 34.5 เปอร์เซ็นต์ของต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาลงทุนในพม่าซึ่งมีกว่า 30 ประเทศ” เจ้าหน้าที่จากสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมสหภาพพม่า (Union of Myanmar Federation of Chambers of Commerce and Industry )ให้สัมภาษณ์กับ Eleven News
 
การลงทุนในพม่าของจีนถึงปี 2551 มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ แต่ขยับขึ้นเป็น 13 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2554 ด้านกลุ่มเอิร์ธไรต์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (Earthrights International) ซึ่งเคยออกรายงานเกี่ยวกับลงทุนในพม่าของประเทศจีนเผยให้เห็นว่า บริษัทข้ามชาติของจีนอย่างน้อย 69 บริษัท มีส่วนร่วมในการก่อสร้างเขื่อนอย่างน้อย 90 แห่ง รวมถึงโครงการในด้านพลังงานก๊าซ น้ำมันและเหมืองแร่ในพม่า ซึ่งโครงการที่ว่าเหล่านี้รวมไปถึงเขื่อนขนาดเล็กที่สร้างแล้วเสร็จมากว่า 20 ปี รวมไปถึงโครงการท่อส่งก๊าซและน้ำมันจากรัฐอาระกันพาดผ่านไปในหลายพื้นที่ของพม่าไปยังภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
 
ทั้งนี้ ในรายงานระบุว่า ข้อมูลที่เกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกให้สาธารณชนทั้งในประเทศจีนและในประเทศพม่าได้รับทราบน้อยมาก ขณะที่พม่ายอมให้จีนตักตวงเอาทรัพยากรธรรมชาติของพม่า จีนเองได้ให้ความช่วยเหลือด้านการเมือง การทหาร รวมไปถึงให้เงินกู้แก่พม่าด้วย
 
แปลและเรียบเรียงจาก DVB
 

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบท ความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊ค http://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฮิซบุลลอฮ์กับการก่อการร้ายในไทย ควรฟังข่าวจากหลายฝ่าย

Posted: 21 Jan 2012 01:00 AM PST

 

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติ ความจำเริญแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
 
กรณีมีกระแสข่าวจะเกิดเหตุก่อการร้ายในประเทศไทยโดยการแจ้งเตือนจาก สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย  นั้นได้สร้างความไม่พอใจต่อรัฐบาลไทยเป็นอย่างมากเพราะสร้างภาพลักษณ์ในแง่ลบต่อประเทศไทยและทำให้อีกกว่าสิบประเทศออกมาเตือนคนของตนเองให้งดเดินทางสู่ประเทศไทยหากเป็นไปได้ 
 
ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย (13 ม.ค.) ปรับลดลงแรง แรงสุดที่ระดับ 1,041.18 จุด ลดลง 11.05 จุด ปรับขึ้นสูงสุดที่ระดับ 1,053.94 จุด ปรับขึ้น 1.71 จุด ปิดตลาดที่ระดับ 1,044.62 จุด ลดลง 7.42 จุด หรือ 0.71% มูลค่าการซื้อขาย 23,837.44 ล้านบาท
 
การที่ตำรวจไทยได้จับกุมนายอาทริส ฮุสซัยน ผู้ต้องสงสัย ชาวเลบานอนสัญชาติสวีเดนว่าเป็นสมาชิก พรรคฮิซบุลลอฮ์ และหลังจากนั้นหนึ่งวันก็ได้นำผู้ต้องสงสัยดังกล่าว เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ เลขที่ 52/15 ม.2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบ ปุ๋ยยูเรีย 335 กล่อง น้ำหนักรวม 4,380 ก.ก. สารแอมโมเนียไนเตรทชนิดละลายน้ำ 11 แกลลอน รวม 15 ลิตร พัดลม 400 ตัว กล่องกระดาษ 200 กล่อง รองเท้าแตะ 5 กระสอบ รวม 600 คู่ โดยของกลางทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นสารประกอบวัตถุระเบิด จากตำรวจไทย 
 
การจับกุมครั้งนี้มีข้อสังเกตว่าเป็นการให้ข้อมูลจากหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล โดยสื่ออิสราเอล คือหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ได้ยืนยันข่าวดังกล่าว        
 
ทั้งนี้ อิสราเอลได้แจ้งเตือนทางการไทย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ว่า สมาชิกฮิซบุลลอฮ  3 คน ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อก่อเหตุร้าย จนตำรวจไทยได้จับกุมผู้ต้องสงสัย ชาวเลบานอนสัญชาติสวีเดนสองคนดังกล่าวและกล่าวหา ว่าเป็นสมาชิก พรรคฮิซบุลลอฮ์      
 
การจับกุมครั้งนี้ทำให้ทางการสวีเดนรีบตรวจสอบข้อมูลนี้ด้วยเช่นกันเพราะส่งผลกระทบต่อประเทศสวีเดนโดยตรงซึงรายงานล่าสุดจากหนังสือพิมพ์อาฟทันบลาเดท ของสวีเดนพบว่านายฮุสซัยนไม่ใช่สมาชกฮิซบุลลอฮ์โดยนายฮุสซัยนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอาฟทันบลาเดทจากในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า ตนเป็นผู้บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โดนหน่วยมอสสาดจัดฉาก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ทางการไทยปฏิบัติและดูแลตนเป็นอย่างดี
 
สำหรับสิ่งของต่างๆ ที่ตำรวจพบในตึกเช่าของเขานั้นส่วนใหญ่เป็นของที่มีบุคคลอื่นนำไปจัดฉากเก็บเพิ่มเติมเอาไว้ทั้งสิ้น คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือสายลับหน่วยมอสสาดนั่นเองสำหรับตนเป็นคนเลบานอน มีลูกแล้ว 4 คน ย้ายถิ่นฐานมาอยู่สวีเดนตั้งแต่พ.ศ.2532 หลังจากนั้นประกอบอาชีพ “ช่างตัดผม” เรื่อยมาในเมืองโกเตนเบิร์ก กระทั่งปีพ.ศ.2537 ก็ได้รับสิทธิพลเมืองสวีเดน ทำให้ตนถือสองสัญชาติ และอาศัยอยู่ที่สวีเดนจนถึงปีพ.ศ.2548 จึงย้ายกลับไปอยู่เลบานอน และเมื่อปีพ.ศ.2553 เพิ่งกลับไปสวีเดนเพื่อทำพาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทางรุ่นใหม่ที่ต้องสแกนข้อมูลทางชีวภาพ
 
เขากล่าวอีกว่า เหตุผลที่ทำให้หน่วยมอสสาดเพ่งเล็งจับตาตน เพราะตนเป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ และอาศัยอยู่ในพื้นที่นอกกรุงเบรุต ซึ่งเป็นย่านที่กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้รับแรงสนับสนุนจากมวลชนสูง อีกทั้งสมัยอยู่ที่สวีเดนตนยังมีแนวคิดทางการเมืองเห็นอกเห็นใจฝ่ายซ้าย และลงคะแนนเลือกตั้งให้ฝ่ายโซเชียลเดโมแครตส์ (สังคมประชาธิปไตย) อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าตนไม่ใช่สมาชิกฮิซบุลลอฮ์
 
เขา ระบุด้วยว่า เมื่อ 3 ปีก่อน เขาเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกกับเพื่อนชาวเลบานอน โดยสั่งซื้อสินค้าจากเอเชียส่งออกไปขายตามประเทศต่างๆ รวมถึงเลบานอนด้วย อาทิ พัดลม กระดาษ และไอซ์แพ็คช่วยบรรเทาอาการปวด ซึ่งสินค้าไอซ์แพ็คดังกล่าวนี้ตามปกติก็มีส่วนผสมของแอมโมเนียอยู่แล้ว สำหรับปุ๋ย นั้นจะต้องมีคนแอบนำมาเก็บไว้ในตึกอย่างแน่นอน และอาจเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือมอสสาด”  นี่คอส่วนหนึงซึ้งฮุสซัยน ให้สัมภาษณ์สื่อดังสวีเดน และว่า เหตุที่มาเมืองไทยเที่ยวล่าสุดนี้เพื่อดูว่าตึกที่เช่าไว้เก็บสินค้าเป็นอย่างไรบ้าง หลังเพิ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่
 
ข่าวของสื่อสวีเดนสอดคล้องกับการที่พรรคฮิซบุลลอฮ์ ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธผู้ถูกจับกุมในไทยว่าไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มรวมทั้งปัดกระแสข่าวการเข้ามาก่อการร้ายในประเทศไทย  อีกทั้งได้อธิบายแนวคิดของการจัดตั้งพรรคฮิซบุลลอฮ์อย่างชัดเจนว่ามีแนวคิดการต่อสู้กับรัฐอิสราเอลที่เข้ามารุกรานคนของตนและยึดครองแผ่นดินเลบานอนเท่านั้นในขณะเดียวกันฮิซบุลลอฮ์ยังเป็นองค์กรทางการเมืองซึ่งมีสมาชิกมากมายอยู่ในรัฐสภาเลบานอน  รวมทั้งองค์กรการกุศลที่ได้ช่วยพัฒนาสังคมในด้านต่างๆไม่ว่าสังคม  เศรษฐกิจ  การศึกษา การแพทย์ คนอยากจนในเลบานอนไปพร้อมกันด้วย
 
ซัยยิดหะซัน นัศรุลลอฮ์ เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่มีผู้กล่าวหาว่าฮิซบุลลอฮ์เป็นกลุ่มก่อการร้ายอีกทั้งยืนยันจะปกป้องขบวนการและเกียรติยศของฮิซบุลลอฮ์ และจะปกปักษ์รักษาเลบานอนจากปัญหาความขัดแย้งโดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชีอะฮ์และซุนนะฮ์ การรุกราน และแผนการต่างๆ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดจากศัตรูรัฐบาลอิสราเอลและพันธมิตร การดำเนินการต่อสู้ด้วยอาวุธกับผู้รุกรานหรือที่ตะวันตกเรียกว่าการก่อการร้าย พร้อมทั้งปกป้องแผ่นดินเลบานอนอันล้ำค่านี้ที่ได้กอบกู้มาด้วยเลือดเนื้อจากการยึดครองของอิสราเอล และจะยังคงดำรงอยู่ในความพร้อมที่จะพลีชีพ เพื่อการดำรงอยู่ของแผ่นดินเลบานอน 
 
การที่ตำรวจประเทศไทยสามารถตรวจพบ ปุ๋ยยูเรีย  สารแอมโมเนียไนเตรท จำนวนมากในการครอบครองของคนต่างชาติเป็นสิ่งที่น่าชมเชยยิ่งแต่ในวันแถลงข่าวหรือให้ข่าวไม่ควรรีบระบุว่าผู้ต้องหามาจากสมาชิกกลุ่มใดโดยเฉพาะจากกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ตามที่หน่วยข่าวกรองอิสราเอลและอเมริกาชี้นำ ซึ่งจะทำให้ไทย ถูกผูกโยงกับความขัดแย้งการเมืองโลก
 
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจกับตำรวจไทยโดยแรกเร่ม เมื่อหน่วยข่าวกรองอิสราเอลส่งเรื่องมาให้ตำรวจไทยติดตามตัวชาวเลบานอน ที่เข้ามาอยู่ในไทยแล้วพร้อมกับแผนระเบิดโบสถ์ยิวในกรุงเทพมหานครตำรวจไทยก็ใช้ความสามารถในการตรวจสอบจากรูปถ่ายใบเดียว จนทราบชื่อและจับกุมได้ขณะกำลังจะบินออกจากไทยโดยไทยก็พยายามปิดรื่องนี้ และเจตนาจะผลักดันออกไปด้วยซ้ำ แต
 
ทางการสหรัฐอเมรการับทราบเรื่องจากอิสราเอล และพบว่าการที่ไทยจับกุมเพียงคนเดียวนั้น ไม่น่าจะเพียงพอ เลยออกคำเตือนพลเมืองตนเอง ทำให้ตำรวจไทยต้องเดินหน้าต่อ จนพบที่เก็บสารต่างๆที่ถูกกล่าวหาว่าประกอบระเบิด ในขณะเดียวกันก็พยายามลดผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศไทย ด้วยการตั้งข้อหาเฉพาะเรื่องผิด พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ เพราะยังไม่ได้ก่อการร้าย เลยไม่ตั้งข้อหานี้
 
นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่สหรัฐเคลื่อนไหว เพื่อคว่ำบาตรอิหร่านกรณีเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ โดยสหรัฐกำลังเพ่งเล็งไปที่กลุ่มสนับสนุนอิหร่านคือกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ว่าอาจมีปฏิกิริยาตอบโต้ แต่มีความเป็นไปได้ว่าการโจมตีของกลุ่มดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะรุนแรงถึงที่สุด 
 
ในขณะเดียวกันเป็นการสร้างพันธมิตรในเวทีนานาชาติให้ดิสเครดิตกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวเท่านั้นที่สามารถต่อกรและเอาชนะอิสราเอลได้ในปี ค.ศ. 2000 และยังมีภาพลักษณ์ที่ดีในหลายๆประเทศ
                            
อีกทั้ง การประโคมข่าวการก่อการร้ายในไทยเป็นห่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังถูกโจมตี ๒ เรื่องใหญ่ด้วยกันคือการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียของอิหร่านและทหารสหรัฐอเมริกา ปัสสาวะรดศพของนักรบตอลิบันในอัฟกานิสถานซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อชาวมุสลิมในอิหร่าน อัฟกานิสถานและกำลังจะลุกลามทั่วโลก
 
กรณีที่หนึ่ง รัฐบาลอิหร่านได้เปิดเผยว่า มีหลักฐานชัดเจนว่า กรุงวอชิงตันอยู่เบื้องหลังการสังหารนักวิทยาศาสตร์ในโครงการนิวเคลียร์ของตนโดย เมื่อวันพุธที่ ๑๑ มกราคมที่ผ่านมาคนร้ายใช้ระเบิดคลื่นแม่เหล็กทำลายรถยนต์ของ มุสฏอฟา อะหมาดี-รอสฮาน นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญระบบแยกก๊าซวัย 32 ปี จนเป็นเหตุให้เจ้าของรถเสียชีวิตพร้อมกับคนขับ ซึ่งนับเป็นเหตุลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านรายที่ 5 ในระยะเวลาเพียง 2 ปี
 
มัสอูด จาซายีรี โฆษกกองบัญชาการสูงสุดอิหร่าน กล่าวว่า “ศัตรูของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา อังกฤษ และรัฐบาลไซออนิสต์ (อิสราเอล) ต้องรับผิดชอบการกระทำของพวกเขา”
       
ที่ผ่านมา อิหร่านเคยกล่าวหาอิสราเอลว่าอยู่เบื้องหลังความเสียหายหลายครั้งที่เกิดขึ้นกับโครงการนิวเคลียร์ของตน ซึ่งแม้เจ้าหน้าที่อิสราเอลจะหลีกเลี่ยงไม่แสดงความคิดเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่บางครั้งก็แสดงความพึงพอใจที่เห็นอิหร่านล้มเหลว
       
สถานีโทรทัศน์แห่งชาติอิหร่าน ระบุด้วยว่า จดหมายประณามยังถูกส่งถึงรัฐบาลอังกฤษ โดยชี้ว่าการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นหลังจากที่หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ MI6 แถลงปฏิบัติการด้านข่าวกรองเพื่อโจมตีประเทศใดๆ ก็ตามที่ลอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
       
ประเด็นที่สองคือการที่ทหารสหรัฐฯ ปัสสาวะรดศพของนักรบตอลิบันในอัฟกานิสถานซึ่งข่าวนี้ถูกเผยแผ่หลังจาก เว็บไซต์ไลฟ์ ลีก และสื่ออื่นๆ มีการเผยแพร่ภาพวีดิโอ ปรากฎชายสวมเครื่องแบบทหารสหรัฐฯ 4 คน ปัสสาวะรดเข้าที่ศพของนักรบตอลิบันในอัฟกานิสถาน ซึ่งภายหลังที่เผยแพร่ออกไป ก็มีปฏิกิริยามากมายจากองค์กรต่างๆของโลกมุสลิมโดยเฉพาะอัลอัซฮัร ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นองค์กรศาสนาที่มีอิทธิพลต่อประชาชาติมุสลิมทั่วโลก
 
ชัยค์ อะหมัด  ฏ๊อยยิบ ผู้นำอัลอัซฮัร ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาของท่านสัมภาษณ์ถึงแถลงการณ์ของอัลอัซฮัรผ่านสื่อรอยเตอร์ ประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำ อันป่าเถื่อนและผิดหลักมนุษยชนของทหารสหรัฐฯ 4 คน ดังกล่าวซึ่งปัสสาวะรดเข้าที่ศพของนักรบตอลิบันในอัฟกานิสถาน
 
นอกจากนี้ สภาเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและอิสลาม (CAIR)ซึ่งเป็นองค์กรส่งเสริมสิทธิพลเมืองมุสลิมในสหรัฐฯ ก็ประณามพฤติกรรมดังกล่าวว่า เป็นการดูหมิ่นผู้เสียชีวิตในครั้งนี้
 
หมายเหตุ: ฮิซบุลลอฮ์ เป็นคำภาษาอาหรับสะกดอย่างนี้แหละตามคำอ่าน ซึ่งแปลว่าพรรคของอัลลอฮ์เป็นองค์กรของชาวมุสลิมชีอ๊ะห์ ในเลบานอน   ก่อตั้งในปีคศ ๑๙๘๒ อันเป็นปีที่อิสราเอลรุกรานเลบานอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อขับไล่กองทัพอิสราเอลที่ยึดครองเลบานอน จนสามารถต่อสู้และขับไล่ทัพอิสราเอลปี คศ ๒OOO  มีเลขาธิการใหญ่ของพรรคฮิซบุลลอฮ์คือ ซัยยิด ฮะซันนัสรุลลอฮ์ เป็นผู้นำสูงสุด   
ที่มา: http://arabic.arabia.msn.com/news/middleeast/reuters/2012/january/12001433
ศึกษาความสำคัญของอัลอัซฮัรของผู้เขียนเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1572
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสื้อแดงชุมนุมรำลึก 1 ปี 8 เดือน สลายชุมนุมราชประสงค์

Posted: 20 Jan 2012 08:33 PM PST

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 55 - มติชนออนไลน์รายงานว่าที่บริเวณแยกราชประสงค์ กลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นายณัทพัช อัคฮาด เลขานุการส่วนตัวรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย น้องชาย น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และนาง นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา รวมตัวกันบริเวณหน้าป้ายห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อทำพิธีทำบุญเลี้ยงพระ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กลุ่มผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 โดยในเวลา 13.00 น. มีการตั้งเวที ติดเครื่องขยายเสียงเพื่อเตรียมการปราศรัยในช่วงเย็น และมีการตั้งร้านขายของที่ระลึกของกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมาก อาทิ เสื้อยืด ภาพถ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัว ภาพถ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
 
นายณัทพัช กล่าวว่า เป็นการมาชุมนุมเปิดแวทีปราศรัย เพื่อรำลึกครบ 1 ปี 8 เดือน ของการเสียชีวิตของพี่สาวและกลุ่มคนเสื้อแดงคนอื่นๆ วันนี้ตนจะขึ้นเวทีปราศรัย ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ปราศรัยในกรุงเทพฯ ก่อนจะตระเวนไปยังปริมณฑล ซึ่งในวันนี้ตนมีเอกสารหลักฐานของกรมยุทธศึกษาทหารบก ที่แจกแจงรายละเอียดว่าใครสั่งบ้าง ใครยิงประชาชน เพื่อบ่งบอกว่าเป็นฝีมือของทหารที่ฆ่าประชาชน ไม่ใช่ชายชุดดำที่ไหนดังที่รัฐบาลก่อนเคยบอก
 
"มีข้อมูลว่าใครเป็นมือสไนเปอร์ มีเอกสารชัดเจน ละเอียดยิบ กว่าที่เคยเปิดเผยมา โดยจะแจกจงบนเวที เช่นเดียวกับข้อมูลที่ชี้ชัดว่าทหารคนไหนยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ไม่ใช่ตำรวจอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผย โดยมีข้อมูลว่าเป็นยศ ส.อ. รู้ต้นสังกัด ขณะเดียวกันวันนี้จะมีการพูดอีกครั้งถึงทหารที่ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้า มีใครบ้าง โดยมี 1 ในทหารที่อยู่ตรงนั้น มาเป็นพยานให้ข้อมูลตนมา โดยจุดยืนคืออยากให้ดำเนินคดีกับคนที่สั่งยิง สั่งฆ่าประชาชนจริงๆ อยากให้กระบวนการยุติธรรมตรงนี้เริ่มต้นเสียที เอาฝ่ายที่สั่งการมาลงโทษ ไม่ใช่มาโยนให้ชายชุดดำและดำเนินคดีเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ ตนจะขึ้นปราศรัยประมาณ 20.00 น. แต่ก่อนหน้านั้นจะมีหลายคนผลัดเปลี่ยนกันออกมาปราศรัย โดยกิจกรรมจะยุติในเวลา 24.00 น." นายณัทพัชกล่าว
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘อัมสเตอร์ดัม’ – ‘สุนัย’ เดินหน้ารณรงค์นำผู้กระทำผิดขึ้นศาลโลก

Posted: 20 Jan 2012 08:20 PM PST

19 ม.ค. 55 – เวลา 17.30 น. ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ‘โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม’ พร้อมกับ ส.ส. สุนัย จุลพงศธร ร่วมกล่าวปาฐกถาในงาน ‘กลับสู่แสงสว่าง’ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ระบุ จะเดินหน้าโครงการล่ารายชื่อเพื่อผลักดันให้รัฐบาลให้สัตยาบันกับศาลอาญาระหว่างประเทศ และดำเนินการนำผู้กระทำผิดในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเม.ย.-พ.ค. 53 เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

‘อัมสเตอร์ดัม’ – ‘ส.ส.สุนัย’ เดินหน้ารณรงค์นำผู้กระทำผิดขึ้นศาลโลก

‘อัมสเตอร์ดัม’ – ‘ส.ส.สุนัย’ เดินหน้ารณรงค์นำผู้กระทำผิดขึ้นศาลโลก

‘โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม’ ทนายความผู้ได้รับการว่าจ้างจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และผู้เขียน ‘สมุดปกขาว’ กล่าวในงานปาฐกถาหัวข้อ “ม.112 กับศาลอาญาระหว่างประเทศ” ว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันกับศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) ทำให้บางคนมองว่าไม่สามารถดำเนินคดีการสังหารหมู่ปี 2553ต่อไปได้ แต่อัมสเตอร์ดัมชี้ว่า การที่อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีสองสัญชาติคือไทย และอังกฤษ ทำให้ไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้ศาลดังกล่าวมีสิทธิที่จะต้องรับคดีดังกล่าวไปวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจการสอบสวนต่อไป

อัมสเตอร์ดัมกล่าวว่า ขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการนำผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศมาช่วยในการร่างเอกสารการดำเนินคดี ประกอบด้วยนักกฎหมายชาวอเมริกัน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านกฎหมายทหารและการนิรโทษกรรม โดยหวังว่าจะทำให้คดีดังกล่าวผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้สำเร็จ

“อย่างไรก็ตาม ถ้าเราแพ้ ผมก็จะยื่นเอกสารเพื่อให้ศาลโลกพิจารณาอีกครั้ง เราต้องเข้าใจว่า นี่ไม่ใช้การต่อสู้ทางกฎหมาย แต่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นระบบ เราต้องนำหลักนิติรัฐมาสู่ประเทศนี้ เราต้องเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เราต้องแก้ไขมาตรา 112” เขากล่าว “เราต้องการประเทศที่ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย”

ในขณะที่ส.ส. พรรคเพื่อไทย สุนัย จุลพงศธร กล่าวว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันกับศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่รัฐบาลสามารถเลือกให้สัตยาบันไปก่อนในบางข้อได้เป็นกรณีพิเศษ เช่น ธรรมนูญมาตรา 12 (3) ของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อรัฐบาลให้สัตยาบัน และอนุญาตแล้ว ศาลฯ สามารถเข้ามาดำเนินการภายในประเทศได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงนามในสัตยาบันแบบสมบูรณ์ก็ตาม

สุนัยกล่าวว่า ตนเตรียมจะดำเนินโครงการรณรงค์ระยะยาวเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยจะเริ่มแคมเปญล่ารายชื่อเพื่อเข้ายื่นให้รัฐบาลให้สัตยาบันกับศาลโลก และหวังว่าจะสามารถนำผู้กระทำผิดในกรณีการปราบปรามประชาชนปี 2553 มาเข้าสู่การพิจารณาคดีในระดับสากล

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น