โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

วัยรุ่นแคนาดาช่างประดิษฐ์ ส่ง 'เลโก้' ขึ้นไปในอวกาศ

Posted: 27 Jan 2012 11:29 AM PST

วัยรุ่นแคนาดาสองคนใช้เวลา 4 เดือน นัดกันทุกวันเสาร์ สร้างบอลลูนก๊าซฮีเลียมพร้อมติดกล้อง ติดหุ่นตัวละครเลโก้ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

 
26 ม.ค. 2012 - เดอะ การ์เดียน รายงานว่า วัยรุ่นชาวแคนาดาสองคนได้สร้างอุปกรณ์ส่งหุ่นเลโก้ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศนอกสุดของโลก โดยอาศัยวัตถุดิบที่ได้มาจากเว็บ Craiglist
 
สองสัปดาห์ที่แล้ว แมธธิว โฮ และ อะซาด มูฮัมหมัด วัยรุ่นอายุ 17 ปีทั้งสองคนได้นำชิ้นส่วนหุ่นพลาสติกจากเลโก้พร้อมเสียบธงรูปใบเมเปิ้ลของประเทศแคนาดาไว้ จากนั้นจึงนำมาติดกับบอลลูนก๊าซฮีเลียมแล้วส่งมันขึ้นไป 80,000 ฟุต เหนือชั้นบรรยากาศ
 
พวกเขาได้ติดกล้องเพื่อบันทึกการเดินทางสู่อวกาศของชิ้นส่วนเลโก้ในครั้งนี้ด้วย โดยวิดีโอฉบับเต็มได้บันทึกไว้เป็นเวลารวม 97 นาทีรวมขาลง อาศัยกล้อง 4 ตัว ราคารวมทั้งหมด 254 ปอนด์ (ราว 12,000 บาท)
 
โฮ และมูฮัมหมัด ใช้เวลา 4 เดือนในช่วงทุกๆ วันเสาร์เพื่อสร้างโปรเจ็คนี้ จนกระทั่งสามารถสร้างบอลลูนพยากรอากาศ (Weather Balloon) แล้วส่งจากสนามฟุตบอลให้ลอยขึ้นไปถึงความสูงสองเท่าของความสูงในระดับบินของเครื่องบินเจ็ท สูงขึ้นไป 24 กม. ของชั้นบรรยากาศบนสุด จนกระทั่งเห็นรูปร่างของโลกได้
 
พวกเขาได้ติดระบบ GPS ไว้กับกล่องสไตโรโฟมที่ติดกล้องและตัวชิ้นส่วนเลโก้ด้วย ทำให้พวกเขาตามเจอชิ้นส่วนงานประดิษฐ์ของพวกเขาห่างออกไป 122 กม. จากจุดปล่อย
 
สำนักข่าวโตรอนโตสตาร์ที่เผยแพร่ข่าวนี้ระบุว่าเด็กทั้งสองคนเจอกันในโรงเรียนหลังจากที่ครอบครัวของมูฮัมหมัดอพยพมาจากปากีสถาน มูฮัมหมัดซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยก็มีโฮมาขอเป็นเพื่อนแล้วพวกเขาก็เริ่มทำโปรเจ็คกันที่บ้านของโหตั้งแต่เดือน ก.ย. ปีที่แล้ว (2011)
 
"เวลาคนมาที่บ้านเราจะเห็นเรากำลังสร้างอุปกรณืมหัศจรรย์ที่ติดร่มชูชีพนี้อยู่ตั้งแต่ตอนไม่มีอะไรเลย พวกเขาจะทำท่าเหมือนว่า 'พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่' " โฮกล่าว "พวกเราก็ตอบประมาณว่า 'เรากำลังจะส่งกล้องขึ้นไปในอวกาศ' พวกเขาก็จะตอบ 'โอ้ โอเค...' "
 
ดร.ไมเคิล รีด ศาตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยโตรอนโตกล่าวชื่นชมวัยรุ่นทั้ง 2 คนว่า "พวกเขาแสดงออกถึงไหวพริบที่ดีมากสำหรับเด็กวัยรุ่นอายุ 17 ทั้งสองคนที่สามารถสร้างอะไรจนประสบความสำเร็จเองได้"
 
ทางบริษัทเลโก้ก็ยังได้ส่งข้อความแสดงความยินดีกับเด็กทั้งสองคนด้วย
 
"พวกเรารู้สึกประหลาดใจเสมอเวลาที่รู้ว่าแฟนๆ ผู้เล่นเลโก้ใช้สินค้าของพวกเราไปในทางสร้างสรรค์ แล้วก็ไปโผล่ในที่ต่างๆ ที่คิดไม่ถึง อย่างเช่นติดอยู่กับบอลลูนก๊าซฮีเลียมส่งขึ้นไปใน...อวกาศ" ไมเคิล แมคนาลี ผู้อำนวยการแผนกประชาสัมพันธ์แบรนด์ของเลโก้กล่าว
 
 
ที่มา:
 
Canadian teenagers send Lego man into space, The Guardian, 26-12-2012,
http://www.guardian.co.uk/world/2012/jan/26/canadian-teenagers-lego-man-space
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ไทยพลัดถิ่น’ บุก ‘รัฐสภา’ ซ้ำ จี้หยุดพลิก ‘ร่างพ.ร.บ.สัญชาติ’

Posted: 27 Jan 2012 11:20 AM PST

 

ภควิน แสงคง (ใส่หมวก)

นายภควิน แสงคง ที่ปรึกษาเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทยจังหวัดระนองและจังหวัดประจวบ คีรีขันธ์ แกนนำเครือข่ายไทยพลัดถิ่น เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 28 – 30 มกราคม 2555 เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นพร้อมเครือข่ายภาคี จะชุมนุมที่หน้ารัฐสภา เพื่อติดตามการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. ….ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พุทธศักราช …… ในวันที่ 30 มกราคม 2555 นี้

นายภควิน เปิดเผยอีกว่า เหตุที่เครือข่ายไทยพลัดถิ่นออกมาชุมนุมอีกครั้ง สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. ….ได้ประชุมและมีมติตัดมาตรา มาตรา 7/1 ออก และมีการเพิ่มข้อความ “คณะรัฐมนตรีกำหนดก่อนวันที่พระราชบัญญัติสัญชาติจะมีผลบังคับใช้” ต่อท้ายในมาตรา 3 โดยยืนตามมติเดิมในระหว่างพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. ….วุฒิสภา เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2555

นายภควิน เปิดเผยด้วยว่า จากการที่ตนและเครือข่ายไทยพลัดถิ่นไปศึกษาพบว่า แม้มีการตัดมาตรา 7/1 ออก แต่การเพิ่มข้อความ “การสำรวจจัดทำทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรภายใต้หลักเกณฑ์และ เงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ก่อนวันที่พระราชบัญญัติสัญชาติจะมีผลบังคับใช้” ต่อท้ายในมาตรา 3 ค่าออกมาก็เท่ากับไม่ตัดมาตรา 7/1 ทิ้งแต่อย่างใดเลย จะทำให้คนไทยพลัดถิ่นถึง 80% ไม่มีสิทธิได้สัญชาติไทยตลอดไป

นายภควิน เปิดเผยอีกด้วยว่า ตนและเครือข่ายไทยพลัดถิ่นต้องการให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พุทธศักราช ……วุฒิสภา นำมาตรา 3 ของร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. ….ที่คณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอ ที่มีข้อความต่อท้ายว่า “การสำรวจจัดทำทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรภายใต้หลักเกณฑ์และ เงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือเป็นผู้ซึ่งมีลักษณะอื่นทำนองเดียวกันตามที่กำหนดในกฏกระทรวง” 

นายภควิน เปิดเผยอีกว่า ตนและเครือข่ายไทยพลัดถิ่นจะเข้าเจรจากับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. ถ้าหากว่าคณะกรรมาธิการฯ ไม่รับฟังสิ่งที่ตนและเครือข่ายไทยพลัดถิ่นพยายามเรียกร้อง ก็จะมีการชุมนุมยืดเยื้อไปจนกระทั่งถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งคณะกรรมาธิการฯประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. ….อีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์" นำเผาหุ่น "วรเจตน์" หน้า มธ.

Posted: 27 Jan 2012 11:06 AM PST

ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ - บรรณวิทย์ เก่งเรียน พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนได้นำหุ่นฟางคล้ายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ไปเผาหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๋ พร้อมยื่นรายชื่อ 53,948 รายชื่อ ขออำนาจตุลาการเข้ารับผิดชอบในการหยุดยั้งการทำลายชาติ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยแห่งราชอาณาจักรไทย

(ที่มาของภาพ: เฟซบุคกลุ่มคนไทยรวมพลังปกป้อง กม.อาญา มาตรา 112)

เมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และ พลเรือเอก บรรณวิทย์ เก่งเรียน กลุ่มแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ ได้นำหุ่นคล้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปเผาบริเวณหน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้น ได้นำรายชื่อประชาชน 53,948 รายชื่อ ขออำนาจตุลาการเข้ารับผิดชอบในการหยุดยั้งการทำลายชาติ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมี นางพรพิมล จิระศิริโรจน์ ผอ.ศาลฎีกา เป็นตัวแทนมารับรายชื่อบริเวณหน้าศาลฎีกา สนามหลวง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: จับตาผู้ว่าอุดรฯ ชงโปแตชรับ ครม.สัญจร

Posted: 27 Jan 2012 09:57 AM PST

หวังแซะงบสิบล้าน ครม.ยิ่งลักษณ์ อ้างเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการเหมืองแร่ เอ็นจีโอซัด เพิ่มความขัดแย้งหนักในพื้นที่ บี้ องค์กรส่วนท้องถิ่นสร้างประชาสังคมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เลิกโกหกชาวบ้าน  

นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์  เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน (กป.อพช.อีสาน)  เปิดเผยว่า การประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดอุดรธานีในครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวผลักดันของโครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี โดยทางจังหวัดอุดรธานีเตรียมชงโครงการเหมืองแร่โปแตชเข้าที่ประชุม ครม.สัญจร เพื่อหวังงบประมาณประชาสัมพันธ์โครงการเหมืองแร่โปแตช มาดำเนินการในพื้นที่ ในขณะที่เวลานี้ก็มีความขัดแย้งในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องของชาวบ้านในพื้นที่ กับส่วนราชการจังหวัดอุดรธานี ในเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลเพียงด้านเดียวของโครงการเหมืองแร่โปแตชมาตลอด

นายสุวิทย์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี กำลังเตรียมทำแผนการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ร่วมกับ กพร. เพื่อเสนอให้ผู้ว่าจังหวัดในการชงเรื่องพิจารณาของบประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการเหมืองแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี จาก ครม.สัญจรที่จะถึงนี้ ซึ่งคงไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท โดยในวันพรุ่งนี้(28 ม.ค.) จะมีการประชุมแผนพัฒนาจังหวัดอุดรธานีกับทุกหน่วยงานที่จังหวัด ที่มีพลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  เป็นประธานที่ประชุม  โดยมีการหยิบยกประเด็นโปแตชเข้าหารือในที่ประชุมด้วย ตนคิดว่าเรื่องนี้ หากจังหวัดคิดจะทำ ควรจะทำแผนประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลต้องทำมา 7-8 ปี แล้ว ตามกฎหมายแร่ ปี 2545  มาตรา  88/9  ว่าด้วยการปรึกษาเบื้องต้นกับผู้มีส่วนได้เสีย   ไม่ใช่มาเสนอทำแผนประชาสัมพันธ์โครงการเอาตอนนี้ มันไม่มีความจำเป็น แต่ที่เสนอขึ้นมาเร่งด่วนอย่างนี้ต้องการ เพียงแค่หวังงบประมาณจากการประชุม ครม.สัญจรครั้งนี้เท่านั้น

“ หน้าที่ในระดับจังหวัดที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ ในส่วนขององค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น อบต.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ทำประชาสังคม ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมายหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา การทำประชาสังคมไม่เคยเป็นการให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง มีแต่การประชาสังคมให้ข้อมูลโกหกชาวบ้าน เป็นการให้ข้อมูลด้านเดียวอยู่ตลอด จนเกิดความขัดแย้งในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์หรือ เอชอีเอ ที่ต้องนำมาพูดถึงอย่างจริงจังไม่ใช่ กพร.ไปว่าจ้างมหาวิทยาลัยทำ โดยให้ความสำคัญเฉพาะแต่เรื่องวิศวกรรมโดยละเลยประเด็นสำคัญคือ ด้านสิ่งแวดล้อม และสังคม”  ” นายสุวิทย์ กล่าว   

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้  นายวิเชียร ขาวขำ  แกนนำเสื้อแดงจังหวัดอุดรธานี ได้พูดคุยกับคนใกล้ชิดว่า ไม่เห็นด้วยกับโครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ในเรื่องผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มไม่เสีย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผลประโยชน์จากค่าภาคหลวงแร่เพียงแค่ 7 เปอร์เซนต์เท่านั้น  แทนที่จะได้ 50 เปอร์เซนต์ รวมทั้งเขาระบุว่า บริษัทต้องวางเงินประกันค่าความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นให้กับชาวบ้านเท่าตัวเพราะพวกชาวบ้านจังหวัดอุดรธานีเป็นผู้เสียสละ และที่สำคัญพวกเขาต้องได้รับความเสียหายจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำโครงการเหมืองแร่ขนาดใหญ่อย่างแน่นอนในเรื่องชีวิต และสิ่งแวดล้อม 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“อเนก” ชี้อุปสรรคกระจายอำนาจหากยังคิดในกรอบรัฐเดียว

Posted: 27 Jan 2012 09:37 AM PST

 

เอนก เหล่าธรรมทัศน์

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 มกราคม 2555 ที่ห้องศาสตราจารย์ทวีแรงขำ (ร. 103) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดสัมมนาระดมความเห็นเรื่อง “คลื่นลูกที่สองของการกระจายอำนาจ : บริบทใหม่ ความจำเพาะของพื้นที่ และการเคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ” มีนักวิชาการจากสถาบันต่างๆ ทั่งประเทศเข้าประมาณ 100 คน 

ศาสตราจารย์(พิเศษ)ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การกระจายอำนาจ คือ การคืนอำนาจให้ประชาชน ชุมชนและท้องถิ่น” ว่า การกระจายอำนาจในรูปของการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ หากยังคิดในกรอบความเป็นรัฐเดียวแบบรวมศูนย์และผูกขาดอำนาจอธิปัตย์จะทำได้ยาก เพราะอำนาจยังอยู่ที่รัฐบาล ส่วนกระทรวงทบวงกรมมุ่งสร้างความเป็นเลิศเฉพาะทาง แต่มีความรู้เรื่องพื้นที่น้อยมาก ต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความรู้เรื่องพื้นที่อย่างดี

ศาสตราจารย์(พิเศษ)ดร.เอนก กล่าวอีกว่า แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน แต่กรอบความคิดเอกกะนิยม คือการทุกอย่างต้องเหมือนกันทั้งหมด ได้ทำลายความสวยงามที่หลากหลายไป จริงๆ แล้วควรเป็นพหุรัฐ ถ้าเป็นเป็นพหุนิยมมากขึ้น ก็จะเห็นความงามที่แตกต่างได้ ไม่ใช่มีเพียงมาตรฐานเดียว  

ศาสตราจารย์(พิเศษ)ดร.เอนก กล่าวว่า จริงๆ แล้ว รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ทุกมาตรา แต่ที่ผ่านมาทั้งทหาร นักวิชาการ นักปฏิรูป อำมาตย์ ไพร่ ก็ยังคิดไม่พ้นกรอบเดิม คือ รัฐรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดอธิปไตย และยิ่งรวมศูนย์อำนาจ นายกรัฐมนตรีก็จะถูกเรียกร้องให้ทำเรื่องเล็กลง

ศาสตราจาย์ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการสัมมนาเรื่อง“บริบทใหม่ ความเคลื่อนไหวใหม่ กับคลื่นลูกที่สองของการกระจายอำนาจ” ว่า ต้องให้องค์กรปกครองท้องถิ่นใหญ่ขึ้น มากกว่าองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาล โดยให้มีอำนาจทางการคลังมากขึ้น เช่น เก็บภาษี โดยอาจรวมเป็นกลุ่มจังหวัด

ศาสตราจาย์ดร.จรัส ยังได้นำเสนอบทความทางวิชาการเรื่อง ท้องถิ่นพิเศษกับแนวคิดจังหวัดปกครองตนเอง โดยระบุว่า ขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความอ่อนแอลง เพราะไม่มีแรงจูงใจที่พึ่งตนเองทางการคลัง เรียกว่าเป็น โรคเฮมิลตัน พาราด็อก เพราะมัวแต่พึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐ 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“หม่อมปลื้ม” วิเคราะห์เดโมแครตให้ร้ายคนรวย คล้าย “ประชาธิปัตย์” บ้านเรา

Posted: 27 Jan 2012 09:07 AM PST

“หม่อมปลื้ม” วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ของพรรคเดโมแครตทั้งสองประเทศ เน้นสร้างความเกลียดชังกับคนที่มีฐานะดี และเพิ่มช่องว่างในความเกลียดชังอิจฉาริษยาคนจนที่มีต่อคนรวย ทิ้งท้ายตั้งข้อสงสัยทำไมถึงเป็นแบบนั้น

27 ม.ค. 55 -  ในรายการ The Daily Dose ประจำวันที่ 27 ม.ค. 55 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการแถลงประจำปีต่อรัฐสภาของประธานาธิบดี บารัค โอบามา (Barack Obama) ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เห็นว่าเป็นการปลุกกระแสต่อต้านคนรวย โดยโอบามาพูดถึงความพยายามที่จะสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมมากขึ้น โดยที่มีนโยบายเศรษฐกิจที่สะท้อนระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่มีความเป็นธรรม สำหรับคนยากคนจน ลดช่องว่างของคนที่มีรายได้สูงกับคนที่มีรายได้ต่ำ

ม.ล.ณัฏฐกรณ์กล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่โอบามาพูดเพื่อให้คนนั้นคิดถึงตัวแทนของพรรครีพับบลิกัน (พรรคคู่แข่ง) ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยโอบามานั้นเริ่มที่จะค่อยๆ ใช้ประเด็นของการที่คนจนนั้นควรที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการได้ส่วนแบ่งในภาษีของคนร่ำรวย พยายามที่จะเสนอวาระแบบนี้ในการแถลงต่อสภา กอปรกับมีสื่อโฆษณาบางชิ้นที่ออกมาเผยแพร่ในช่วงนี้ ก็มีจุดประสงค์ที่ต้องการลดความชอบธรรมของว่าที่คู่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับบลิกันคือ มิต รอมนีย์ (Mitt Romney)

ซึ่งรอมนีย์นั้นก็เป็นเศรษฐี ซึ่งมีข่าวว่าเขามีเงินเก็บมากกว่า 300 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และฐานะที่ร่ำรวยของรอมนีย์กำลังกลายมาเป็นปัญหาสำหรับตัวเขาเอง โดยโฆษณา Rich Kids for Romney (เริ่มเผยแพร่ใน http://www.huffingtonpost.com) ที่ล้อเลียนเขานั้น ซึ่ง ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ระบุว่าไม่ทราบแน่ชัดว่าฝ่ายไหนเป็นคนผลิตโฆษณาชิ้นนี้ขึ้นมา ได้ล้อเลียนว่าคนที่เป็นลูกคนร่ำคนรวยเท่านั้นถึงจะสนับสนุนรอมนีย์ให้เป็นประธานาธิบดี ทั้งนี้การจุดกระแสแบบนี้มันอาจจะมีผลในช่วงที่คนอเมริกัน 9% ไม่มีงานทำ และมีกระแสการต่อต้านวอลล์สตรีท (Occupy Wall Street)

แต่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ วิเคราะห์สรุปว่าท้ายที่สุดนี่ก็คือเกมส์การเมือง เกมส์การเมืองของพรรคเดโมแครตเหมือนเดิม และเสริมว่านี่คล้ายเกมส์การเมืองของพรรคเดโมแครตทั้ง 2 ประเทศ (เปรียบเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ในบ้านเรา) คือพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโอบามาอาจจะดีกว่าพรรคเดโมแครตของประเทศไทย (พรรคประชาธิปัตย์) ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็ดีไม่มากนัก คือยุทธการณ์โดยรวมก็คือการสร้างความเกลียดชังกับคนที่มีฐานะดี และเพิ่มช่องว่างในความเกลียดชังอิจฉาริษยาคนจนที่มีต่อคนรวยนั้น มันเป็นยุทธการของพรรคเดโมแครตทั้งสองประเทศ โดยที่สหรัฐฯ นั้นใช้ความเข้มข้นยิ่งกว่าบ้านเราอีก

และ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ได้ทิ้งท้ายให้ผู้ชมรายการไปคิดต่อว่าทำไมยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองทั้งสองประเทศที่มีชื่อเหมือนกันจึงเป็นแบบนี้

 

 



 

 

อ่านเพิ่มเติม :

"หม่อมปลื้ม" เทียบขบวนการ "Occupy Wall St." ที่สหรัฐฯ คือ "พันธมิตรฯ" บ้านเรา
(ประชาไท, 22 ต.ค. 54)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เด็กไร้รัฐได้ปล่อยตัวจากสถานกักกันตรวจคนเข้าเมืองกรุงเทพฯ ครั้งแรกในไทย

Posted: 27 Jan 2012 06:34 AM PST

(27 ก.พ.55) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย มีการแถลงข่าวกรณีการให้ความช่วยเหลือประกันตัวเด็กไร้รัฐ 2 คนพร้อมด้วยแม่ของเด็ก และหญิงชาวเวียดนาม 1 คน ด้วยความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมูลนิธิไทยเพื่อคนมีปัญหาสิทธิและสถานะบุคคล

อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เช้าวันนี้ วัน หญิงชาวเวียดนามวัย 32 ปี พร้อมด้วยลูกชายวัย 11 ปี-ลูกสาววัย 13 ปีซึ่งถูกจัดเป็นคนไร้รัฐ และโรซิน หญิงเวียดนามวัย 27 ปี ได้รับการปล่อยตัวจากสถานกักกันตรวจคนเข้าเมืองกรุงเทพฯ ซอยสวนพลู หลังถูกจับกุมที่เชียงใหม่ และถูกกักอยู่ที่สถานกักกันนาน 1 ปี 6 เดือน โดยทั้งหมดได้รับการประกันตัวด้วยวงเงินคนละ 50,000 บาท ด้วยเงินจากกองทุนเพื่ออิสรภาพของผู้ลี้ภัยและคนไร้สัญชาติของมูลนิธิเพื่อคนมีปัญหาสิทธิและสถานะบุคคล โดยจากนี้ พวกเขาจะต้องรายงานตัวทุก 30 วัน และรอการพิจารณาของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อขอลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม

ทั้งนี้ ต่อข้อวิจารณ์ว่าไม่สามารถติดต่อ UNHCR ได้ในระหว่างถูกกักตัวนั้น อมรา ระบุว่าจะพยายามประสานงานกับ ตม. เพื่อขอให้พวกเขาเข้าถึงองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึง UNHCR เพื่อขอความช่วยเหลือด้วย

ระหว่างการประกันตัวนี้ เด็กทั้งสองคนจะได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์แอนดรูส์ แอนนี ฮันเซน ผู้อำนวยการฝ่ายรับสมัครและการตลาดของโรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูส์ ระบุว่า ระหว่างที่พวกเขายังอยู่ในประเทศไทย ก็จะได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษา

วีรวิชญ์ เธียรชัยนันท์ ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิไทยเพื่อคนมีปัญหาสิทธิและสถานะบุคคล ระบุว่า จากนี้พวกเขาจะอยู่ในความดูแลของมูลนิธิ โดยจะมีทีมงานดูแลเรื่องความปลอดภัยและทำความเข้าใจกับตำรวจในพื้นที่และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

วันและโรซิน กล่าวตรงกันว่า ต้องการความช่วยเหลือจาก UNHCR ในการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัย เพื่อเดินทางไปยังประเทศที่สาม เนื่องจากไม่สามารถกลับไปบ้านได้อีก โดยโรซินเล่าถึงสาเหตุที่เธอต้องหนีเข้ามาที่ประเทศไทยว่า เป็นเพราะครอบครัวของเธอทำงานกับสหรัฐอเมริกา ช่วงสงครามเวียดนาม ทำให้เธอเป็นที่จับตาของหน่วยงานความมั่นคง อีกทั้งเธอยังนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของรัฐบาล

เกศริน เตียวสกุล ผอ.กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียน 1 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ กล่าวว่า สถานกักกันมีความเป็นอยู่ที่แออัดมาก ผู้ถูกกักตัวมีโอกาสเจอแสงแดดเพียง 1 วันต่อสัปดาห์ บางครั้งได้ออกมาเจอแดดตอนเที่ยงซึ่งร้อนมาก โดยปัจจุบันมีเด็กในสถานกักกันราว 50 คน ทั้งนี้ เนื่องจากมองว่า เด็กไม่ใช่อาชญากรรม แต่กลับถูกขังโดยไม่มีกำหนด ขณะนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ พยายามจะเจรจากับ ตม. เพื่อขอให้ย้ายเด็กเหล่านี้ไปอยู่ในสถานที่ควบคุมของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แทน

วีรวิชญ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ลี้ภัยจากพม่าราว 140,000 คนใน 9 ค่าย 4 จังหวัดคือ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี ขณะที่ในเมืองมีผู้ลี้ภัยเกือบ 3,000 คนจาก 30 ประเทศ อาทิ ศรีลังกา ปากีสถาน เกาหลีเหนือ คองโก โซมาเลีย แบ่งเป็นผู้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยราว 900 คน ส่วนที่เหลืออีก 2,000 กว่าคนอยู่ระหว่างการพิจารณา

วีรวิชญ์ กล่าวด้วยว่า จากการที่ประเทศไทยยังไม่ให้สัตยาบันในสนธิสัญญาเรื่องผู้ลี้ภัยฉบับ ค.ศ. 1951 ทำให้การจัดการเรื่องผู้ลี้ภัยเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะไม่มีมาตรฐานทางกฎหมาย ทั้งนี้ มีข้อมูลว่าในประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว จำนวนผู้หลบหนีเข้าเมืองลดลง เพราะมีกระบวนการทางกฎหมายและกรอบเวลาการทำงานที่ชัดเจน มีเกณฑ์การพิจารณาที่โปร่งใสและเป็นธรรม ผู้ที่ต้องการลี้ภัยก็สามารถแสดงตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการได้ทันที

วีรวิชญ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการช่วยเหลือบุคคลไร้รัฐทำด้วยหลักมนุษยธรรมโดยไม่มีกรอบของกฎหมายที่ชัดเจน แต่การปล่อยตัวคนไร้รัฐครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีความพยายามทำให้การปล่อยตัวคนไร้รัฐเป็นไปโดยมีระบบและถูกต้องทั้งในทางปฏิบัติและตามกฎหมาย โดยการปล่อยตัวครอบครัวดังกล่าวนี้เป็นโครงการนำร่อง ยังมีคนไร้รัฐที่ถูกกักตัวที่จะให้การช่วยเหลือต่อไปอีก

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

10 เม.ย.นัดพิพากษา ‘บก.ลายจุด’ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใต้ด่วนดินแดง

Posted: 27 Jan 2012 05:06 AM PST

 

27 ม.ค.55 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ มีการสืบพยานจำเลยคดีที่อัยการฟ้องนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด จากกรณีที่จัดกิจกรรม “เปลือยเพื่อชีวิต” และเวทีชั่วคราวบริเวณใต้ทางด่วนดินแดง เมื่อวันที่ 18 พ.ค.53 ในข้อหา มั่วสุมทางการเมืองเกิน  5 คน กีดขวางทางจราจร และ ก่อความไม่สงบแก่ประชาชน  ในพื้นที่ซึ่งมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยพยานโจทก์ในวันนี้ ได้แก่  นางสาวขวัญระวี วังอุดม นักสิทธิมนุษยชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าว  และ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 10 เม.ย.55 เวลา 9.00 น. ศาลแขวงพระนครเหนือ ทั้งนี้ สมบัติโดนฟ้องในคดีใกล้เคียงกันอีกหนึ่งคดีจากกรณีนัดหมายประชาชนประมาณ 80 คนไปรวมตัวกันที่บริเวณสวนหย่อมถนนเลียบทางด่วน ลาดพร้าว 71 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันหลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจากการสลายการชุมนุม ซึ่งศาลได้สั่งลงโทษจำคุก 6 เดือน รอลงอาญา และปรับ 6,000  บาท

นายสมบัติให้สัมภาษณ์ภายหลังการสืบพยานว่า  ในสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งให้อัยการ ทั้งในคดีนี้และคดีก่อนหน้า ล้วนเขียนให้มีการเกี่ยวพันกับการเผายาง การยุยงปลุกปั่นประชาชน แต่เมื่อสืบพยานจริงเจ้าหน้าที่กลับไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานในส่วนนั้นแต่ย่างใด  เหมือนกับต้องการเขียนสำนวนให้อัยการส่งฟ้องไว้ก่อน

สมบัติยังกล่าวถึงคดีแรกที่ศาลสั่งลงโทษจำคุก 6 เดือนแต่รอลงอาญาว่า ได้ทำเรื่องอุทธรณ์ไปแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า

“ถึงไม่ติดคุก แต่มันผิดไง ถ้าเรายอมความเราก็รอลงอาญาแต่ต้นแล้ว แต่เราพยายามสู้ในหลักการให้ได้ แม้มันจะเป็นเรื่องยากมากที่ศาลจะเห็นอย่างนั้นก็ตาม เพราะที่ผ่านมาก็ลงโทษผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ไปแล้วเป็นจำนวนมาก” สมบัติกล่าวถึงการต่อสู้เรื่องการใช้สิทธิในการชุมนุมซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญไม่ขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทหารพม่าถอนกำลังรบคะฉิ่น KIA กลับเข้ารัฐฉาน

Posted: 27 Jan 2012 04:16 AM PST

ทหารพม่าที่ถูกส่งเข้าไปรบคะฉิ่นอิสระ KIA ถอนกำลังกลับเข้ารัฐฉานบางส่วน หลังรัฐบาลมีคำสั่งให้กองทัพหยุดยิงทั่วประเทศ แต่ผู้อพยพจากรัฐคะฉิ่นอยู่ในรัฐฉานนับร้อยยังไม่กล้าเดินทางกลับ
 
มีรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (24 ม.ค.) ที่ผ่านมา ทหารพม่าที่ถูกส่งเข้าไปทำการรบกับกองกำลังอิสระภาพคะฉิ่น (Kachin Independence Army - KIA) ในรัฐคะฉิ่น ได้ถอนกำลังกลับออกมาด้วยรถบรรทุกทหารจำนวน 30 คัน จากรัฐคะฉิ่นเข้าไปในรัฐฉานภาคเหนือ
 
นางคำเย แม่ค้าคนหนึ่งกล่าวว่า เห็นรถบรรทุกทหารพม่าหลายคัน บรรทุกทหารเต็มทุกคัน เดินทางจากรัฐคะฉิ่นเข้ามาในรัฐฉานผ่านไปทางเมืองน้ำคำ ใกล้ชายแดนจีน สังเกตุเห็นทหารพม่าบนรถต่างแสดงอาการยิ้มแย้มดีใจ ขณะที่หลายคนมีการปรบมือร้องรำทำเพลง
 
การถอนกำลังทหารพม่ามีขึ้นหลังประธานาธิบดีเต็งเส่ง มีคำสั่งให้กองทัพหยุดยิงกองกำลังชาติพันธุ์ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ยกเว้นแต่เป็นการป้องกันตัว ส่งผลให้สถานการณ์การสู้รบในรัฐคะฉิ่น ระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังอิสระคะฉิ่น KIA ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 ผ่อนคลายลง
 
แหล่งข่าวรายงานว่า ทหารพม่าที่ถูกส่งเข้าไปประจำในรัฐฉานภาคเหนือ และในพื้นที่เมืองม่านแจ้ ม่านเวียงหลวง ในรัฐคะฉิ่น เป็นทหารจากกองพลที่ 99 และกองพล 44 สังกัดกองบัญชาการุยุทธการที่ 16 โดยเมื่อวันเสาร์ (21 ม.ค.) ทหารพม่าได้ถอนกำลังทหารออกจากรัฐคะฉิ่น เข้ามาในรัฐฉานภาคเหนือชุดหนึ่ง เดินทางด้วยรถบรรทุกทหาร 5 คัน แต่ละคันบรรทุกทหารประมาณ 30 นาย
 
ทั้งนี้ เมื่อ 10 ธ.ค. 54  ประธานาธิบดีเต็งเส่ง มีคำสั่งให้กองทัพหยุดโจมตีกองกำลังคะฉิ่น KIA แต่หลังจากนั้นการโจมตียังคงดำเนินต่อเนื่อง กระทั่งต้องมีคำสั่งให้กองทัพหยุดโจมตีกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศอีกครั้งเพื่อสร้างสันติภาพ และเมื่อวันที่ 18-19 ม.ค. ที่ผ่านมา ตัวแทนรัฐบาลพม่าและกองกำลังคะฉิ่น KIA ได้เจรจาสันติภาพที่เมืองร่วยลี่ (เมืองมาว) ในจีน แต่สองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงข้อสันติภาพใดๆ
 
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเผยว่า แม้กองทัพพม่าจะมีการถอนกำลังบางส่วนออกจากรัฐคะฉิ่น แต่จนถึงขณะนี้ผู้ลี้ภัยสู้รบทั้งชาวคะฉิ่น ไทใหญ่ ที่อพยพมาจากรัฐคะฉิ่นเข้ามาอยู่ในรัฐฉานภาคเหนือราว 500 คน ยังไม่กล้าเดินทางกลับ เหตุเนื่องจากยังไม่เชื่อมั่นสถานการณ์
 
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
 
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

โพลล์เผย 77 % คนไม่เห็นด้วยกับการขายหุ้น ปตท.

Posted: 27 Jan 2012 04:14 AM PST

27 ม.ค.55 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 1,160 คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 77.0 ไม่เห็นด้วย กับแนวคิดเรื่องการขายหุ้นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้กับกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พ้นจากสถานะการเป็นรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่ร้อยละ 23.0 ระบุว่าเห็นด้วย เมื่อถามต่อว่าแนวคิดการขายหุ้น ปตท. ดังกล่าวมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองหรือไม่ ประชาชนร้อยละ 51.7 เชื่อว่ามีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง และร้อยละ 8.8 ไม่เชื่อว่าจะมีว่าระซ่อนเร้นทางการเมือง ในขณะที่ร้อยละ 39.5 ระบุว่าไม่แน่ใจ

ส่วนเรื่องที่ประชาชนเป็นห่วงและวิตกกังวลมากที่สุดหากมีการขายหุ้น ปตท. ให้กับกองทุนวายุภักษ์จริงคือ กลัวว่าประชาชนจะต้องรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นในอนาคต ร้อยละ 44.1 รองลงมาคือ จะทำให้กลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เข้ามาแสวงหาผลกำไรโดยยึดผลกำไรสูงสุดของผู้ถือหุ้นเป็นที่ตั้งร้อยละ 19.6 และกลัวว่าอาจมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ร้อยละ 11.6

ทั้งนี้เมื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบผลดีและผลเสียถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนจากการแปรรูป ปตท. พบว่าร้อยละ 66.8 เชื่อว่าจะเป็นผลเสียต่อประชาชนโดยรวม (โดยราคาพลังงานประเภท น้ำมัน ก๊าช อาจจะสูงขึ้น) มีเพียงร้อยละ 9.2 ที่เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อประชาชน (โดยราคาพลังงานประเภท น้ำมัน ก๊าซ อาจจะถูกลง) และร้อยละ 24.0 เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ (โดยราคาพลังงานขึ้นอยู่กับตลาดโลกอยู่แล้ว)         

ทั้งนี้เมื่อถามถึงสถานะ ของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ควรเป็นแบบใด ร้อยละ 62.6 ระบุว่าควรเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐสามารถกำกับดูแลได้เหมือนในปัจจุบัน รองลงมาร้อยละ 28.0 ระบุว่าให้ยึดคืนกลับไปเป็นของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และร้อยละ 9.4 ระบุว่า ควรเป็นของเอกชนเต็มตัว           

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์" จี้ "ดีเอสไอ" เอาผิดประเด็นหมิ่นสถาบัน

Posted: 27 Jan 2012 04:04 AM PST

"เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์" เตรียมบุกดีเอสไอ 30 ม.ค. พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เพื่อไทยจี้ฟันเว็บหมิ่น ส่วนประชาธิปัตย์จี้เอาผิด “นายกฯ-อนุดิษฐ์-เฉลิม-ผบ.ตร.” เมินปราบเว็บหมิ่นอีกที "ทักษิณ" เตรียมฟ้อง "ชวนนท์" หลังถูกอ้างให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์
 
27 ม.ค. 55 - สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นรายงานว่านายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันจันทร์ ที่ 30 ม.ค. นี้ เตรียมเดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบ เว็บไซต์หมิ่นสถาบันที่ยังคงเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งคณะทำงานกฎหมายพรรคเห็นว่า จะต้องช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยอีกทางหนึ่ง เพราะเป็นที่เคารพรักของประชาชน และหากพบว่า มีการดำเนินการ ที่ผิดกฎหมาย ก็ขอให้ดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทย ดำเนินการอย่างจริงจัง ในเรื่องนี้ พร้อมกันนี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า กระทรวง ไอซีที ได้ทำการปราบเว็บหมิ่นสถาบันตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งผ่านมาแล้ว 3 เดือน สามารถปิดเว็บหมิ่นไปแล้วประมาณ 60,000 ยูอาร์แอล
 
ปชป.ยื่น DSI จันทร์นี้ เอาผิด “นายกฯ-อนุดิษฐ์-เฉลิม-ผบ.ตร.” เมินปราบเว็บหมิ่น
 
ด้านสำนักข่าวไทยรายงานว่า น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงวันนี้ว่า ขณะนี้ครบกำหนด 2 เดือน ที่ได้ยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ให้ปราบปรามเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบันและไม่เหมาะสมจำนวน 200 URL แต่เท่าที่ตรวจสอบกลับพบว่าไม่มีความคืบหน้า นอกจากเว็บไซต์เหล่านั้นยังไม่ถูกปิดแล้ว ยังมีเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้นเป็น 400 URL 
 
“ดังนั้นวันจันทร์ที่ 30 มกราคมนี้ เวลา 10.00 น. จะเดินทางยื่นหนังสือต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายกรัฐมนตรี น.อ.อนุดิษฐ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในข่ายความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะละเลยเพิกเฉยต่อการปราบปรามเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมทั้งที่ทราบข้อมูลแล้ว” น.ส.มัลลิกา กล่าว
 
นอกจากนี้ น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า จะนำลิงค์เว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมของเดิม 200 URL และที่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมในรอบ 6 เดือน รวม 478 ลิงค์ มอบให้นายธาริต และขอแจ้งความดำเนินคดีทั้ง 478 ลิงค์ด้วย ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และจะขอให้ DSI รับคดีเหล่านี้เป็นคดีพิเศษด้วย.
 
"ทักษิณ" เตรียมฟ้อง "ชวนนท์" หลังถูกอ้างให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์
 
มติชนออนไลน์รายงานว่านายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าพ.ต.ท.ทักษิณ จะดำเนินการฟ้องร้องนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในข้อหาหมิ่นประมาท หลังออกมาระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งส่งผลให้พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกเกลียดชัง ทั้งที่ไม่มีข้อความตอนไหนในบทสัมภาษณ์ของหนังสือ Conversation with THAKSIN ที่กล่าวหาหรือให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์เลย
 
เช่นเดียวกับกรณีที่สำนักข่าวทีนิวส์ ได้นำคำแปลในหนังสือออกมาเผยแพร่ในลักษณะที่อาจจะทำให้เข้าใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้นายบันคีมุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติเข้ากราบทูลฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นคำถามของผู้สัมภาษณ์โดยเป็นการสมมติเหตุการณ์ขึ้นมา ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้แสดงความคิดเห็นออกไป โดยไม่มีคำพูดไหนที่แสดงถึงการให้ร้ายสถาบัน นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเห็นด้วยกับการออกแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย ที่แสดงจุดยืนต่อการไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ดังนั้นขอเรียกร้องไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขออย่านำสถาบันมาทำลายล้างกันทางการเมือง
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ยกไทยต้นแบบหลักประกันสุขภาพ หนุนตั้งศูนย์ถ่ายทอดให้นานาชาติ

Posted: 27 Jan 2012 03:51 AM PST

 

27 ม.ค.55 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ มีการแถลงข่าวเรื่อง โครงการพัฒนาศักยภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์  ซึ่งดำเนินการโดย 8 องค์กรภาคี ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก). สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

เฮเธอร์ เกรดี้ รองประธานมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ฝ่ายยุทธศาสตร์โครงการ กล่าวว่า ประเทศไทยนับเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศกำลังพัฒนาที่ประสบความสำเร็จในการสร้างหลักประกันสุขภาพให้กับคนในประเทศ โดยเป็นการพัฒนาที่มาจากฐานของการสร้างความรู้และสะสมประสบการณ์ที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากว่า 40 ปี ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็น คุ้มครองไม่ให้ประชาชนล้มละลายจากค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล โดยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ได้เพิ่มขึ้นจนเป็นภาระในระยะยาว ปัจจุบันประเทศต่างๆ จำนวนมากได้กำหนดให้เรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นวาระแห่งชาติ เช่น เวียดนาม มองโกเลีย กาน่า อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งประเทศไทยสามารถเป็นต้นแบบของการและศูนย์กลางของการศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศต่างๆ เหล่านี้ได้ ทางมูลนิธิจึงสนับสนุนงบประมาณให้กับประเทศไทยในการดำเนินการ เพื่อสร้างความร่วมมือกลุ่มประเทศต่างๆ ในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนของตน ซึ่งนับเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพมาก

นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สปสช. ได้ดำเนินการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในการดำเนินงานที่ผ่านมา มาจากการออกแบบระบบที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงบประมาณในรูปแบบงบปลายปิดที่คำนวณมาจากต้นทุนและการใช้บริการของประชาชน การกำหนดสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และคัดเลือกบริการรักษาพยาบาลเฉพาะที่มีประสิทธิผล การจ่ายเงินสถานพยาบาลต่างๆ ในรูปแบบเหมาจ่ายสำหรับบริการผู้ป่วยนอก และจ่ายตามกลุ่มจำแนกโรคร่วมสำหรับบริการผู้ป่วยใน การส่งเสริมให้มีการใช้บริการที่สถานพยาบาลปฐมภูมิ ฯลฯ ทั้งหมดทำให้ผลการดำเนินงานประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในด้านการคุ้มครองสุขภาพของประชาชนและปกป้องประชาชนไม่ให้ล้มละลายจากค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ประสบการณ์การพัฒนาดังกล่าว พร้อมทั้งการลงทุนพัฒนาระบบและบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้ สปสช. พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และที่ผ่านมาได้มีโอกาสต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากประเทศต่างๆ จำนวนมาก

นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสวรส. กล่าวว่า โครงการพัฒนาศักยภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า นี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยจุดแข็งขององค์กรต่างๆ ในระบบสุขภาพไทยที่มีส่วนร่วมกันทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถดำเนินการได้จนประสบความสำเร็จดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยแต่ละองค์กรจะมีส่วนร่วมในการถ่ายทอดบทเรียน ประสบการณ์ ในแต่ละด้านให้กับบุคลากรประเทศต่างๆ ที่สนใจ โดยฐานการเรียนรู้ที่สำคัญจะอยู่ที่ สปสช. สำหรับ สวรส. จะรับหน้าที่จัดศูนย์พัฒนาศักยภาพดังกล่าวขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2554 – 30 พฤศจิกายน 2557 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกระบวนการที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ด้านวิชาการที่มีประสิทธิภาพในสนับสนุนการพัฒนานโยบายและดำเนินงานหลักประกันสุขภาพให้ประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งโปรแกรมการฝึกอบรม จะแบ่งเป็น 3 ระดับ การฝึกอบรมกลุ่มนโยบาย กลุ่มวิชาการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และการฝึกอบรมตามความเหมาะสมเฉพาะกลุ่ม 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

TCIJ: รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ส่งคณะทำงานลงพื้นที่โฉนดชุมชนสุราษฎร์ฯ

Posted: 27 Jan 2012 03:20 AM PST

คณะทำงานแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ลงพื้นที่เก็บข้อมูล และข้อเท็จจริงปัญหาที่ดินสวนปาล์มสุราษฎร์ฯ ให้คำมั่นพยายามทำให้พื้นที่เป็นพื้นที่นำร่องเรื่องโฉนดชุมชน

 
เมื่อวันที่ 25 ม.ค.55 เวลา 14.00 น. พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะทำงานในส่วนจังหวัดสุราษฏร์ธานี ประกอบด้วย นายโกมล  นกวิเชียร นายชาญยุทธ  นพกูล  นายสุเทพ  ขวัญละมัย  นายพีระพงค์  สังข์ทอง  และนายเจริญ จิตพิภพ ผู้อำนวยการกลุ่มงานช่างรังวัด สปก.สุราษฏร์ธานี เดินทางเข้าพื้นที่ ชุมชนสันติพัฒนา ชุมชนคลองไทร ชุมชนไทรงามพัฒนา รวมถึงพื้นที่บ้านควนเคี่ยม ซึ่งเป็นพื้นที่สวนปาล์มที่ชาวบ้านสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้เข้าไปจับจองขยายพื้นที่ทำกินจากชุมชนเดิม 
 
จากกรณีปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกินระหว่างเกษตรไร้ที่ดินและกลุ่มนายทุนเจ้าของสวนปาล์มในพื้นที่ในจังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นที่ดินในเขต สปก.ที่กลุ่มทุนเคยเช่าปลูกปาล์มน้ำมัน และสัญญาเช่าถูกยกเลิกไปแล้ว โดยบางแปลงหมดสัญญาเช่ามาเป็นเวลากว่า 20 ปี แต่ไม่มีหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ จนเมื่อปี พ.ศ.2552 เกษตรกรไร้ที่ดินทำกินเกือบพันคนได้รวมตัวกันในนาม สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ จัดตั้งเป็นชุมชน โดยสร้างที่พักอาศัยทำการเกษตรในพื้นที่
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ บางส่วนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาข้อหาบุกรุก ถูกกลุ่มอิทธิพลที่อ้างตัวว่าเป็นคนของบริษัทข่มขู่คุกคามทำลายบ้านเรือน ทรัพย์สิน มาโดยตลอดดังที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ได้ร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินพยายามผลักดันการแก้ปัญหาด้านนโยบายกับทางภาครัฐโดยใช้เรื่องการจัดทำโฉนดชุมชนมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน
 
สำหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม เก็บข้อมูล และข้อเท็จจริงของปัญหาต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารและที่ประชุมในคณะทำงานแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน เพื่อเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนต่อไป 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศของการพบปะ พูดคุยระหว่าคณะทำงานและชาวบ้านเต็มไปด้วยความชื่นมื่นหลังจากได้ร่วมรับประทานอาหารกับชาวบ้านแล้วก็ได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบและปัญหาของชาวบ้านพร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือซื้อยาเป็นจำนวน เงิน 2,000 บาทและได้สัญญากับชาวบ้านว่าจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้โดยด่วนเพื่อให้พื้นที่สวนปาล์มในจังหวัดสุราษฏร์ธานีได้ปฏิรูปสู่เกษตรกรยากจนจริงๆ
  
“ขอเป็นกำลังใจต่อชาวบ้านและต้องขอขอบคุณพวกคุณทุกคนที่ช่วยตรวจสอบการถือครองที่ดินของกลุ่มทุน และยึดคืนกลับมาให้กับภาครัฐ พวกผมจะพยายามทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่นำร่องเรื่องโฉนดชุมชนและเป็นพื้นที่ตัวอย่างของจังหวัดสุราษฏร์ธานีให้ได้” พ.ต.ต.เสงี่ยม กล่าว
 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ถึง ‘พี่เสกที่นับถือ’: “ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา”

Posted: 27 Jan 2012 02:26 AM PST

หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม ’ “ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา”: ตอบจดหมายกรณี นิติราษฎร์-ครก.112 ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

 

เรียน พี่เสก ที่นับถือ

ผมอ่านจดหมายชี้แจงกรณี “นิติราษฎร์-ครก.112” ของพี่เสกด้วยความรู้สึกเศร้าใจมากกว่าอย่างอื่น ความจริง ผมว่า พี่เสก คง “ชรา” แล้วอย่างที่พี่เสกพูดถึงตัวเองในจดหมายจริงๆ จึงตัดสินทำอะไรที่ไม่ควรทำเช่นนี้ ที่ในระยะยาวมีแต่จะเป็นการลดทอนชื่อเสียงเกียรติภูมิและฐานะทางประวัติศาสตร์ของพี่เสกลงไปอีก

ก่อนอื่น ใครที่ได้อ่านจดหมายของพี่เสกฉบับนี้ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอดคิดไม่ได้ว่า ที่พี่เสกเพิ่งมาออกจดหมายฉบับนี้ – สองสัปดาห์หลังจากมีการประกาศชื่อผู้ร่วมลงนามสนับสนุนร่างแก้ไข 112 ของ นิติราษฎร์ (ซึ่งรวมชื่อพี่เสกอยู่ด้วย) ก็เพราะหลายวันที่ผ่านมา มีกระแสโจมตี “นิติราษฎร์” อย่างหนัก ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเสียใจว่า “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ผู้เคยนำมวลชนลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญไม่ถอย เมื่อ 40 ปีก่อน (ในท่ามกลางเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่หวั่นไหวกับการขู่ของอำนาจทหารฟัสซิสต์) กลายมาเป็นคน “ใจเสาะ” อ่อนไหวง่ายกับกระแสโจมตี ที่ทั้งหมด มีแต่เสียงคำรามแบบป่าเถื่อน ไม่มีร่องรอยของภูมิปัญญาอยู่เลยนี้ ไปได้เสียแล้ว

ความจริง กระแสโจมตีในขณะนี้ พุ่งเป้าไปที่นิติราษฎร์เท่านั้น เรียกว่าไม่มีการกล่าวถึงคนอื่นๆที่ร่วมลงนามเลย อย่าว่าแต่พี่เสกเลย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดหรือมีท่าทีสนับสนุนนิติราษฏร์มากกว่าพี่เสกหลายเท่า เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ หรือ อาจารย์นิธิ (ที่พูดในงานเปิดตัวด้วย) ก็ยังเรียกว่าไปไม่ถึง ก็แล้วทำไมพี่เสกจะต้อง “ร้อนตัว” ออกจดหมายมาชี้แจงแบบนี้เล่า?

ผมเชื่อว่า ทุกคนตระหนักดีว่า ในการรณรงค์ที่ใช้รูปแบบร่วมลงชื่อกันมากๆ เป็นร้อยคนขึ้นไปเช่นนี้ แต่ละคนย่อมอาจจะมีเหตุผลเฉพาะของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกับคนที่เป็นผู้ริเริ่มทั้งหมด แต่อย่างน้อย ในฐานะที่แต่ละคนเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะและวิจารณญาณกันแล้ว (อย่าว่า “ชรา” แล้ว อย่างพี่เสก) การลงชื่อ หรือยอมให้ชื่อของตัวเองรวมเข้าไปด้วย ย่อมมาจากการต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอเช่นนั้น ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือมุมมองเฉพาะของตัวเองอย่างไร ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องออกมาชี้แจงเลย ยิ่งในเมื่อกระแสโจมตีในกรณีนี้ หาได้พุ่งเป้าไปที่ใครโดยเฉพาะ (นอกจากนิติราษฎร์) ที่แน่ๆ ผมก็ไม่เห็นกระแสโจมตีนี้ ไปแตะถึงตัวพี่เสกเลย

แต่ตอนนี้ พี่เสกกลับรู้สึกว่าจำเป็นต้อง “ชี้แจงจุดยืนของตัวเองให้กระจ่าง” โดยอ้างว่า ที่ลงชื่อไปนั้น “เนื่องจากถูกขอร้องโดยผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และผมเองก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่อยู่ในกรอบของการปฏิรูปกฎหมาย มีเนื้อหากลางๆ ออกไปในแนวมนุษยธรรม และที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ”

ก่อนอื่น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า หลังๆ ดูๆ พี่เสกจะชอบ “ออกตัว” เวลาทำอะไรที่มีลักษณะเป็นประเด็นถกเถียง (controversial) ในลักษณะนี้คือ “ถูกผู้ใหญ่ขอร้อง” คราวที่พี่เสกไปรับตำแหน่งในคณะกรรมการปฏิรูป ก็บอกว่า “หนึ่ง-ผมเกรงใจท่านอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ที่อุตส่าห์เชิญผมไปร่วมงาน” (ใน คำสัมภาษณ์นิตยสาร “ค คน”) พี่เสกก็แก่มากแล้ว ทำไมจะต้องคอย “ออกตัว” (แก้ตัว) ในลักษณะนี้ให้เด็กๆ อายุคราวหลานหลายคนที่เขาร่วมลงชื่อครั้งนี้รู้สึกสมเพชด้วยเล่า? พวกเขาเด็กปานนั้น ยังไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าที่ทำไปเพราะคนเป็นผู้ใหญ่กว่าขอให้ทำเลย

แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการออกมาชี้แจงด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดว่า ต้องการให้ตัวเอง “ดูดี” ว่า ไม่ได้เป็นพวก “ล้มเจ้า” แบบที่กระแสโจมตีอันป่าเถื่อนกำลังกล่าวหา “นิติราษฎร์” ในขณะนี้ ไม่เช่นนั้น ทำไมจะต้องอุตส่าห์ใส่ข้อความว่าที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ” ด้วย มิหนำซ้ำ ในข้อความที่ตามมา ยังอุตส่าห์เขียนในลักษณะ “เป็นนัยๆ” ในลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า innuendo (พูดเป็นนัยๆ ให้เสียหาย) ว่า “ผมต้องขอยืนยันว่าผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนักวิชาการกลุ่มนี้ และยิ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อเสนอในประเด็นอื่นๆ ที่กลุ่มดังกล่าวได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง

คือถ้าพูดกันด้วยภาษาชาวบ้านๆ ใครที่อ่านหนังสือไทยได้ ก็เข้าใจว่า พี่เสกกำลังบอกเป็นนัยว่า “ผมจงรักภักดีนะ ผมไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้น (นิติราษฎร์) เลย ที่พวกนั้นออกมาในแนวไม่จงรักภักดี (คือไม่มี “จุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ” เหมือนผม) ผมไม่รู้ไม่เห็นด้วยนะ” – คือถ้าไม่ให้ตีความเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายการที่พี่เสกต้อง “ร้อนตัว” มาบอกว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ได้ยังไง ในเมื่อ (ก) ในประเทศไทย ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าพี่เสกเกี่ยวข้องกับนิติราษฎร์ และ (ข) ถ้า “ข้อเสนอในประเด็นอื่น” ที่นิติราษฎร์ “ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” เป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ (ที่พวกเขาเสนอให้ปฏิรูปตามอารยประเทศประชาธิปไตย) พี่เสกจะต้องออกมา “ชี้แจง” เช่นนี้ และต้องพาดพิงถึง “ประเด็นอื่นๆ ที่กลุ่มดังกล่าวได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” ด้วยหรือ?

ผมเสียใจที่พี่เสกยิ่งแก่ยิ่งกล้าหาญน้อยลงๆ ถ้าพี่เสกเห็นว่า สิ่งที่นิติราษฎร์ “ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง” เป็นอะไรที่ไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์ (ที่พี่เสกปวารณาจะ “พิทักษ์รักษา”) ก็ควรกล้าที่จะอธิบายออกมาตรงๆ ไม่ใช่ใช้วิธี innuendo แบบนี้

น่าเสียใจด้วยว่า ในคำสัมภาษณ์ “ค คน” พี่เสกได้พูดถึง “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” โดยเสนอว่า ลักษณะ “โครงสร้างแบบอำนาจนิยม” ของ “ชนชั้นนำ” ในปัจจุบัน “เป็นโครงสร้างอำนาจเดียวกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์” จริงอยู่ พี่เสกกำลังโจมตีนักการเมือง ซึ่งเป็น “ผู้ใช้อำนาจการปกครอง [ในปัจจุบัน] ไม่ใช่พระมหากษัตริย์เหมือนแต่ก่อน” (พี่เสกพูดต่อด้วยคำที่เบาลงมาด้วยว่า “หรือบางทีก็เป็นผู้นำกองทัพ”) แต่ในเมื่อพี่เสกกล่าวว่า “โครงสร้าง” การใช้อำนาจปัจจุบันซึ่งพี่เสกวิพากษ์นั้น “แทบจะเหมือนเดิมทุกประการ” กับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ย่อมหมายความว่า พี่เสก ไม่เห็นด้วยกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นกัน แต่ไฉน พี่เสกจึงมายอมค้อมหัวให้กับกระแสโจมตีนิติราษฎร์ในขณะนี้ ที่มาจากอุดมการณ์และวิธีคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างชัดเจนด้วยเล่า?

วินาทีแรกที่ผมอ่านจดหมายของพี่เสกจบ ผมนึกถึงกาพย์ของจิตร ภูมิศักดิ์ ท่อนนี้ ขึ้นมาทันที

หนทางพิสูจน์ม้า และเวลาพิสูจน์คน
ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา

ด้วยความเศร้าใจจริงๆ
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กระบวนการยุติธรรมที่ไร้ความรู้สึก

Posted: 27 Jan 2012 01:47 AM PST

 
กฎหมายในโลกสมัยใหม่จำเป็นต้องมีความชัดเจน แน่นอน มั่นคง เพื่อผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย โดยเนื้อหาสาระของการกระทำใดที่จะเป็นความผิดจะต้องมีการระบุและอธิบายไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้า เพื่อหวังว่าคนที่กำลังชั่งใจว่าจะทำดีหรือไม่จะได้ใช้เป็นต้นทุนประกอบการตัดสินใจและงดเว้นการกระทำผิดเสีย
 
อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญกว่า คือ กระบวนการที่จะพิสูจน์ว่าบุคคลได้กระทำการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดหรือไม่
 
กฎหมายหมายในปัจจุบันจึงต้องมีการบัญญัติถึง กระบวนการพิสูจน์ “ความจริง” ว่าบุคคลได้กระทำจริงดังที่ได้มีการกล่าวหากันหรือไม่ การตัดสินว่าบุคคลนั้น “ถูก หรือ ผิด” จึงเกิดตามภายหลังดังนั้นกระบวนการยุติธรรมที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงจะต้องยืนอยู่บนหลักฐานในเชิงประจักษ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ผลที่ชัดเจนแน่นอน ก่อนที่จะนำข้อเท็จจริงนั้นมาปรักปรำให้บุคคลต้องรับโทษทัณฑ์
 
จากประสบการณ์อันเลวร้ายในทุกสังคม ซึ่งประวัติศาสตร์ได้สะท้อนการกระทำอันเป็นผลร้ายต่อผู้บริสุทธิ์จำนวนมากซ้ำแล้วซ้ำเล่า บทเรียนเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดกระบวนการยุติธรรมต้องมีการประกันสิทธิของคู่กรณี เพื่อป้องกันการลงโทษ “แพะ” ที่ถูกลากมาให้ “รับบาป” จากสิ่งที่ตนมิได้กระทำ
 
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในปัจจุบันจึงกำหนดให้ คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกล่าวหา หรือ “จำเลย” ได้รับการประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างเข้มแข็ง ด้วยเหตุว่า ถ้าจำเลยต้องคำพิพากษาว่า “ผิดจริง” จะต้องรับโทษทางอาญาที่มีผลร้ายแรง ลิดรอนสิทธิอย่างกว้างขวางและยาวนาน
 
บทบาทการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจึงต้องคำนึงถึง หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่าผิดจริง ดังที่รัฐธรรมนูญกำหนด
 
ในคดีอาญาหลายกรณี ศาลได้ใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยอาจจะมิได้พิเคราะห์คำอธิบายที่แตกต่างจากการรับรู้ทั่วไปของสังคมที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของวาทกรรม “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งมีความคลุมเครือ
 
ยกตัวอย่างคดีอาญาหลายคดี เช่น คดีสิ่งแวดล้อม คดียาเสพย์ติด คดีก่อการร้าย คดีการใช้สิทธิในการชุมนุม และคดีการแสดงความคิดเห็นอันสุ่มเสี่ยงต่อความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือความมั่นคง ประชาชนที่ตกเป็นจำเลยมักจะพยายามอธิบายการกระทำซึ่งเป็นข้อเท็จจริงแห่งคดีที่แตกต่างไปจากวาทกรรมเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และตุลาการเข้าใจ และยึดถือเป็นสรณะ แต่ในแทบทุกคดีไม่ได้รับการตอบสนอง
 
ท่ามกลางข้อถกเถียงและโต้แย้งว่า ขอบเขตของสิ่งที่เรียกว่า “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ควรจะหมายถึงอะไร กรณีใดจะเข้าลักษณะดังกล่าว ประชาชนที่แสดงความเห็นต่างในหลายคดี ก็ต้องคำพิพากษาจำคุกมาอย่างต่อเนื่อง
 
จากการทบทวนความคิดเห็นของประชาชนชาวไทยในพื้นที่สื่อสาธารณะทั้งหลาย ทั้งในข่าว บทสัมภาษณ์ เครือข่ายทางสังคมบนโลกอินเตอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งโพลล์ คนในสังคมไทยมักแสดงออกว่ายอมรับในความหลากหลาย แต่เมื่อเกิดคดีในกลุ่มข้างต้น พวกเขากลับดูดายต่อผู้ที่เห็นต่างในกรณีเหล่านี้ โดยเฉพาะในเมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม
 
การตีความเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ของผู้ที่ใช้อำนาจรัฐทั้งฝ่ายปกครองอันมีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นหลัก และการตีความของฝ่ายตุลาการที่มีผู้พิพากษาเป็นหัวหอก โดยพยายามเชื่อมโยงประเด็นเหล่านี้เข้ากับ “ความรู้สึก” ย่อมมีผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เห็นต่างเป็นอย่างมาก ไม่ว่ารัฐจะอ้างว่าเป็น “ความรู้สึกของปวงชนชาวไทย” แต่คนที่อ้างก็มิเคยทำประชามติหรือประชาพิจารณ์ หรือแม้มีลูกขุนมาให้ความเห็นเลยสักครั้ง
 
ท่ามกลาง “ฝุ่นควันของความขัดแย้งทางความคิดในช่วงเปลี่ยนผ่าน” การใช้อำนาจรัฐดำเนินการต่อความหลากหลายทางความคิดย่อมกดทับ ความพยามยามในการต่อสู้ทางการเมืองบนพื้นฐานของสันติวิธีให้เหี้ยนเตียนไป อนึ่งการแสดงความคิดเห็นเป็นวิธีการที่ประหยัดเลือดเนื้อที่สุดอันควรค่าแก่การรักษา
 
กระบวนการยุติธรรมที่ตีความขยายขอบเขตเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” “ความสงบเรียบร้อยของสังคม” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ออกไปจำกัดการใช้สิทธิของประชาชน โดยอ้างเรื่อง “ความรู้สึก” ย่อมเป็นการทำลายความเป็นคนที่ตั้งอยู่บนความแตกต่างหลากหลายเป็นที่สุด
 
หากต้องการรักษาสันติภาพไว้ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่แหลมคมขึ้นเรื่อง การตีความและใช้กฎหมายบนพื้นฐานของเหตุผลที่รองรับด้วยกฎหมายที่ประกันสิทธิเสรีภาพเป็นที่ตั้ง ย่อมเป็นหนทางที่ “ต้องเลือก” อย่างถึงที่สุด เนื่องด้วยกฎหมายลำดับรองและการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นภายใต้บริบทของรัฐไทยที่มีปัญหาเรื่องอำนาจนิยมจะมีผลต่อการลิดรอนสิทธิของประชาชนไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งเสมอ แล้วแต่ว่าตอนนั้นอำนาจรัฐอยู่กับใคร ดังนั้นการยึดมั่น “สิทธิตามรัฐธรรมนูญ” จึงมีความสำคัญต่อทุกคนที่อาจจะตกเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐเมื่อไหร่ก็ได้
 
หากกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านยังไม่มีการปรับตัว และคงดำเนินไปอย่างชาชินต่อความรู้สึกเจ็บปวด ทรมาน ไม่ยุติธรรม ของเหยื่ออธรรม ซึ่งสั่งสมขึ้นเป็นความคลั่งแค้น กงล้อแห่งความรุนแรงย่อมหมุนไปบนเงื่อนไขที่ทำให้สังคมก้าวเดินไปสู่ภาวะ “ไร้ความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์” ในท้ายที่สุด
 
เมื่อจุดแตกหักทางความคิดและกระบวนการผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมาถึง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และ “มนุษยธรรม” ต่อผู้ที่เห็นต่าง ก็อาจจะไม่หลงเหลืออยู่ในสังคมนี้อีกเลย เพราะท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังคุกรุ่น และพร้อมที่จะระเบิดขึ้นนั้น คนที่มีความกลัวย่อมเกิดความหวากระแวงและพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเข้าประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามในในอีกไม่ช้า

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น