ประชาไท | Prachatai3.info |
- อดีตจนท.รัฐเนปาลถูกจับในอังกฤษ เหตุสั่งทรมานในสงครามกลางเมือง
- 'วิกิพีเดีย' ถอด '1 บทความ' พบเป็นเรื่องแต่งล้วนๆ หลังเผยแพร่นาน 5 ปี
- ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย วิพากษ์คำปราศรัยของอัสซาดเป็น 'โวหารไร้ความหมาย'
- นิธิ เอียวศรีวงศ์ : รถคันแรก
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 1-7 มกราคม 2556
- ‘คดีคลิตี้’ 9 ปี แห่งการรอยคอย – ลุ้นพิพากษา 10 ม.ค.นี้
- ประชาไทการ์ตูน: หมู่บ้านนี้อยู่กันมาตั้งนาน
- จี้กรมเจรจาฯ เปิดฟังความเห็นร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู
- ความเหมือนที่แตกต่างไทย? ศาสนจักร?
- มือดีแฮกเว็บช่อง 3 ถาม "เหนือเมฆข้าอยู่ไหน?"
- ธเนศ วงศ์ยานาวา
- รายงาน: ก้าวข้ามโลกอคติมายา ก้าวหน้าสู่โลกจริง
อดีตจนท.รัฐเนปาลถูกจับในอังกฤษ เหตุสั่งทรมานในสงครามกลางเมือง Posted: 07 Jan 2013 12:39 PM PST ตำรวจเมโทรโปลิแตนในอังกฤษจับกุมอดีตเจ้าหน้าที่รัฐเนปาล เหตุสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการซ้อมทรมานในสงครามกลางเมืองเนปาลเมื่อ 7 ปีที่แล้ว โดยใช้กฎหมายอาญาที่รับรองเขตอำนาจศาลสากล 7 ม.ค. 55 - เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ตำรวจเมโทรโปลิแตนในประเทศอังกฤษ ได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวเนปาลในมณฑลอีสต์ ซัสเซ็กส์ เนื่องจากคาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการซ้อมทรมานระหว่างสงครามกลางเมืองในเนปาลเมื่อปี 2548 ตำรวจเมโทรโปลิแตนได้จับกุมชายชาวเนปาลวัย 46 ปีในเมืองเซนต์เลียวนาร์ดส์ ออน ซี ในมณฑลอีสต์ ซัสเซกส์ของอังกฤษเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา เนื่องจากสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดที่แล้วในเนปาล ซึ่งตำรวจได้ดำเนินการตามคำร้องของเจ้าทุกข์ที่มีทนายอยู่ในสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตำรวจเมโทรโปลิแตนของอังกฤษ เป็นหน่วยที่รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนข้อหาที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรืออาชญากรรมสงคราม โดยในการจับกุมครั้งนี้ ได้ดำเนินการตามมาตรา 134 ของพระราชบัญญัติความยุติธรรมทางอาญา พ.ศ. 2531 ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลสากลในคดีที่เกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชน อาทิ การซ้อมทรมาน หรือการข่มขืน ถึงแม้ว่าอาชญากรรมดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในสหราชอาณาจักรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจเมโทรโปลิแตนได้ระบุในแถลงการณ์ว่า ในขณะนี้ ชายคนดังกล่าวถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจในมณฑลซัสเซ็กส์ และตำรวจได้เข้าค้นที่พักอาศัยของชายคนดังกล่าวในขณะที่ถูกจับกุมด้วย อนึ่ง สงครามกลางเมืองในประเทศเนปาลระหว่างรัฐบาลเนปาลและกลุ่มกบฏเหมาอิสต์ ระหว่างปี 2540-2549 ส่งผลให้มีประชาชนกว่า 16,000 คนถูกสังหารและหายตัว และจำนวนอีกหลายพันคนถูกซ้อมทรมาน บาดเจ็บและสูญหาย อย่างไรก็ตาม หลังสงครามดังกล่าวยุติลงด้วยข้อสัญญาสันติภาพในปี 2549 ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ที่รับผิดชอบถูกดำเนินคดี มีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างของกลุ่มเหมาอิสต์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดีด้วยคดีฆาตกรรม และดูเหมือนจะไม่มีความพยายามนำมาซึ่งความยุติธรรมมากนัก ทั้งๆ ที่ยังคงมีการเรียกร้องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมือง ตามขั้นตอนแล้ว การสืบสวนคดีอาชญากรรมสงครามในอังกฤษ จะดำเนินตามข้อตกลงที่รัดกุมระหว่างตำรวจเมโทรโปลิแตนและสำนักงานอัยการ (Crown Prosecution Services) โดยเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานที่แน่ชัดในสหราชอาณาจักรก่อนจะสั่งดำเนินคดี และการสั่งฟ้องดังกล่าวยังต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดด้วย ที่ผ่านมา การดำเนินคดีด้วยกฏหมายดังกล่าวในอังกฤษที่ประสบความสำเร็จ มีสองคดีเท่านั้น คือในปี 2548 นายฟาร์ยาดี ซาร์ดาด หัวหน้ากองกำลังในอัฟกานิสถาน ถูกจับกุมในขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่ในกรุงลอนดอน โดยเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาซ้อมทรมานและจับตัวประกัน และถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ส่วนอีกคดีหนึ่งในปี 2542 ชายที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในสงครามสมัยนาซี ถูกดำเนินคดีและตัดสินลงโทษด้วยกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมสงครามพ.ศ. 2534
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'วิกิพีเดีย' ถอด '1 บทความ' พบเป็นเรื่องแต่งล้วนๆ หลังเผยแพร่นาน 5 ปี Posted: 07 Jan 2013 12:03 PM PST บทความเรื่อง Bicholim Conflict ซึ่งพูดถึงความขัดแย้งระหว่างโปรตุเกสกับจักรวรรดิในอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 17 ถูกลบออกจากเว็บวิกิพีเดียแล้ว หลังมีผู้พบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องแต่ง บทความนี้ถูกโพสต์ในเว็บวิกิพีเดีย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 มีความยาว 4,500 คำ มีแหล่งอ้างอิง 17 แหล่งและเรื่องแนะนำให้อ่านเพิ่มเติมอีก 3 แหล่ง โดยสองเดือนต่อมา บทความนี้ได้รับเลือกให้เป็นบทความระดับดีของวิกิพีเดีย ผู้ใช้วิกิพีเดียที่ใช้ชื่อ "ShelfSkewed" ตรวจสอบพบว่า หนังสือที่ถูกอ้างว่าใช้เป็นหนังสืออ้างอิงนั้นไม่มีอยู่จริงเลย จึงเสนอให้มีการลบบทความดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ปีที่ผ่านมา "ShelfSkewed" ระบุว่า หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและค้นคว้าบางส่วนแล้ว ได้ข้อสรุปว่าบทความนี้เป็นเรื่องแต่งที่ฉลาดและพิถีพิถัน แต่เรื่องแต่งก็คือเรื่องแต่ง เมื่อค้นหาเรื่อง Bicholim conflict หรือแหล่งอ้างอิงของบทความดังกล่าวทางออนไลน์ ก็เจอแต่เพียงในบทความนั้นเท่านั้น หลังจากพิจารณาแล้ว บรรณาธิการวิกิพีเดียอีกหกคนก็เห็นตรงกันให้ลบบทความดังกล่าวออก "โชคร้ายที่ข่าวลือในวิกิพีเดียไม่ใช่เรื่องใหม่ ยิ่งพวกเขามีฝีมือเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะจับได้ไล่ทัน" วิลเลียม บิวท์เลอ ประธาน Beutler Wiki Relations บริษัทที่ปรึกษาของวิกิพีเดีย บอกและว่า "ใครก็ตามที่ฉลาดพอจะสร้างแหล่งอ้างอิงที่ดูน่าเชื่อถือ มีแรงจูงใจพอที่จะใช้เวลากับมัน ทั้งยังมีทักษะพอในการเขียนบทความที่ดูน่าเชื่อถือ ก็สามารถจะหลอกโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดได้ อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง" บิวท์เลอ กล่าวด้วยว่า ในหลายๆ ด้าน วิกิพีเดียก็ไม่ได้ต่างจากโลกของสื่อมืออาชีพที่ต้องคัดกรองอย่างมากจากแหล่งข้อมูลที่มี ไม่มีแหล่งไหนสักแหล่งที่ไม่มีข้อผิดพลาดเลย แม้แต่กับชุมชนของเหล่าบรรณาธิการผู้เฝ้าดูอย่างระมัดระวังและใส่ใจในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม บทความ Bicholim Conflict ยังไม่ใช่เรื่องแต่งที่อยู่นานที่สุด โดยยังมีบทความหลายชิ้นก่อนหน้านี้ อาทิ เรื่องแต่งเกี่ยวกับเครื่องทรมานที่ชื่อ "Crocodile Shears" ซึ่งอยู่ในวิกิพีเดียนาน 6 ปี 4 เดือน เรื่องของเฉิน ฟาง นักศึกษามหาวิทยาลัยฮาวาร์ดที่แกล้งใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้ว่าการไชน่าทาวน์ ซึ่งอยู่มานานกว่า 7 ปีกว่าที่บรรณาธิการของวิกิพีเดียจะมาเจอและลบออก เรื่องของการลอบสังหารจูเลียส ซีซาร์ ที่แต่งว่า ในภายหลังเขาถูกฆาตกรรมโดยโสเภณีชาย ซึ่งถูกจ้างโดยมาร์ค แอนโทนี ซึ่งอยู่ในเว็บมากว่า 8 ปีก่อนจะถูกลบออก ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า แม้บทความ Bicholim Conflict จะถูกลบจากวิกิพีเดียแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ในเว็บที่ทำเลียนแบบวิกิพีเดีย อย่าง New World Encyclopedia และ Encyclo รวมถึงยังสามารถหาซื้อได้ในรูปแบบหนังสือเล่มด้วย อนึ่ง เมื่อเดือนธันวาคม 2555 โพลล์ของบริษัทวิจัย the Pew Internet and American Life Project ระบุว่า กูเกิลและวิกิพีเดียติดสองอันดับแรกของเครื่องมือที่นักเรียนเกรด 6-12 ในสหรัฐฯ ใช้ทำรายงาน
ที่มา: ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย วิพากษ์คำปราศรัยของอัสซาดเป็น 'โวหารไร้ความหมาย' Posted: 07 Jan 2013 08:57 AM PST ปธน. บาชาร์ อัล อัสซาด ของซีเรียออกกล่าวปราศรัยในประเด็นความขัดแย้ง ยืนยันฝ่ายกบฏมีชาติตะวันตกหนุนหลัง และยอมเจรจากับชาติตะวันตก 'ผู้เป็นนาย' แต่ไม่ยอมเจรจากับฝ่ายกบฏ 'ลูกสมุน' ด้านฝ่ายต่อต้านและชาติตะวันตกไม่ให้ความสำคัญกับคำปราศรัยนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางเผยคำปราศรัยชี้ให้เห็นว่ากองทัพซีเรียเป็นศูนย์กลางอำนาจ
อัสซาดกล่าวว่า เขามีแผนการสันติภาพเพื่อยับยั้งสงครามกล่งเมืองในซีเรียแต่ก็ไม่ยอมเจรจากับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่เขาบอกว่าเป็น "กลุ่มอาชญากรติดอาวุธ, ศัตรูของพระเจ้า และหุ่นเชิดของชาติตะวันตก" อย่างไรก็ตามอัสซาดบอกว่าเขาจะยอมเจรจากับประเทศตะวันตกที่เขาเคยกล่าวหาว่าพยายามทำลายประเทศ อัสซาดไม่ปฏิเสธการเคลื่อนไหวทางการทูตและต้องการเจรจาต่อรองกับ "ผู้เป็นนาย ไม่ใช่ลูกสมุน" อัสซาดกล่าวในการปราศรัยอีกว่า เขาเสนอให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และและมีการเลือกตั้งก่อนที่จะมีการประชุมเพื่อความปรองดองในชาติ แต่จะไม่ยอมให้คนที่เขาเรียกว่า "กลุ่มคนที่ทรยศต่อชาติและจับอาวุธ" ซึ่งน่าจะหมายถึงกลุ่มกบฏเข้าร่วมกระบวนการด้วย อัสซาดกล่าวอีกว่าประเทศซีเรียตกอยู่ใน 'ภาวะสงคราม' โดยที่มีอำนาจจากภายนอกใช้ให้ชาวซีเรียให้เข่นฆ่ากันเอง นอกจากนี้ยังกล่าวเน้นย้ำว่ามีกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนารวมอยู่ในหมู่นักรบกบฏโดยเรียกคนกลุ่มนั้นว่าเป็น 'ผู้ก่อการร้าย' และ 'ลูกสมุนผู้ที่ไม่รู้จักภาษาอื่นใดนอกจากการฆ่าฟัน'
ทางด้านฝ่ายต่อต้านและต่างชาติที่สนับสนุนพวกเขาอยู่ต่างก็บอกว่าคำปราศรัยของอัสซาดไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์และย้ำว่าจะไม่มีการหยุดยิงจนกว่าอัสซาดและพรรคพวกซึ่งถูกหล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยนชนจะลงจากตำแหน่ง ลูอัย ซาฟี สมาชิกกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติซีเรีย (SNC) กล่าวว่าคำปราศรัยของอัสซาดเป็นเพียง "โวหารไร้ความหมาย" เนื่องจากอัสซาดไม่ยอมลงจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเจรจา ลูอัยแสดงความเห็นอีกว่าอัสซาดแสดงให้เห็นถึงความต้องการทำลายกลุ่มต่อต้านและหวังว่าตนจะได้อยู่ในอำนาจไปอีก 40 ปี เหล่าแกนนำกลุ่มต่อต้านยืนยันมาตลอดว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับขอเสนออื่นนอกเหนือจากให้อัสซาดลงจากตำแหน่ง ขณะเดียวกันประเทศอื่นที่ต่อต้านอัสซาดก็แสดงความรังเกียจหรือเพิกเฉยต่อคำปราศรัยของเขา เช่นอาห์เมด ดาวูโทกลู รมต.ต่างประเทศของตุรกีกล่าวว่าคำปราศรัยของอัสซาดเป็นการพูดซ้ำในสิ่งที่เขาเคยพูดไปแล้ว และดูเหมือนอัสซาดใช้เวลาไปกับการปิดขังตัวเองในห้องและอ่านแต่รายงานที่หน่วยข่าวกรองเสนอให้เขา ทางด้าน วิกเตอเรีย นูแลนด์ โฆษกการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่าคำปราศรัยของอัสซาดเป็นการพยายามยึดกุมอำนาจและไม่ได้เดินหน้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเช่นที่ประชาชนชาวซีเรียต้องการ แคทเธอรีน แอชตัน ประธานฝ่ายการต่างประเทศของสหภาพยุโรปกล่าวว่าพวกเขายังยืนยันในจุดยืนเดิมคือการให้อัสซาดออกจากตำแหน่งและให้มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในซีเรีย โรเบิร์ต ฟิสก์ : คำปราศรัยของอัสซาดชี้ฐานอำนาจอยู่ที่กองทัพ โรเบิร์ต ฟิสก์ นักข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางเขียนบทความลงใน The Independent กล่าวแสดงความเห็นว่าอัสซาดตั้งใจพูดกับทหารของเขาในการปราศรัยเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยที่อัสซาดได้กล่าวชื่นชมยกยอเจ้าหน้าที่ทหารอย่างมากโดยไม่ได้กล่าวถึงพรรคบาธ (พรรคการเมืองของอัสซาด) เลย "สิ่งที่เขาสื่อกับชาวซีเรียอย่างชัดแจ้ง คือการที่กองทัพเป็นฐานอำนาจที่แท้จริงของเขา" ฟิสก์กล่าว ในบทความของฟิสก์กล่าวอีกว่าสำหรับคนเกลียดอัสซาดแล้วคงนึกเปรียบเทียบการกล่าวปราศรัยของอัสซาดในโรงละครโอเปร่ากับการกล่าวปราศรัยของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เผด็จการนาซีเยอรมัน ที่โรงละครโอเปร่าในกรุงเบอร์ลิน แต่ก็ไม่พร่ำเพ้อมากเท่าคำปราศรัยของฮิตเลอร์และดูน่าเบื่อสำหรับศัตรูของเขา ฟิสก์กล่าวอีกว่าในคำปราศรัยของอัสซาดยังชี้ให้เห็นกลุ่มกบฏมีความขัดแย้งกับกลุ่มชนชาวเคิร์ตซึ่งมีพรรคการเมืองชื่อเดโมเครติก ยูเนียน ที่อยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลซีเรีย ขณะที่กลุ่มกบฏมักจะสร้างความแปลกแยกและบางครั้งก็เหยียดหยามชาวเคิร์ต ฟิสก์ประเมินอีกว่า การที่อัสซาดพูดถึงการเจรจาระดับชาติไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง จากการที่เขาให้ความสำคัญต่อบทบาทของกองทัพ การยืนยันว่าประเทศจีนและรัสเซียเป็นมิตรที่ดี และการกล่าวประณามว่ามีต่างชาติคอยหนุนหลังทำลายซีเรีย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีใครให้เจรจาด้วย อีกทั้งอัสซาดและกองทัพยังไม่มีท่าทีล่าถอย สงครามในซีเรียก็ยังคงดำเนินต่อไป
เรียบเรียงจาก Syrian opposition rejects Assad's peace plan, Aljazeera, 07-01-2013 Assad outlines peace deal and condemns opposition as 'murderous criminals', The Independent, 06-01-2013
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 07 Jan 2013 08:18 AM PST ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมไม่คิดว่านโยบายรถคันแรกของรัฐบาลเลวร้ายอย่างที่ทีวีสาธารณะพยายามหยิบประเด็นขึ้นมาบ่อนทำลาย ไม่ได้ถูกต้องนักหรอก แต่ก็ไม่ผิดจนรับไม่ได้ มันก็เหมือนนโยบายของทักษิณโดยทั่วไป คือขาดความชัดเจนในเป้าหมาย และด้วยเหตุดังนั้นจึงขาดมาตรการหลายอย่างที่จะช่วยให้โครงการได้ผลในหลายๆ ด้าน ก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนา เพราะไม่เตรียมการรองรับไว้ก่อน ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินมาแจกกันคนละ 2,000 บาท กับการลดภาษีให้แก่รถคันแรก อย่างไหนถึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภายในที่ได้ผลกว่ากัน เมื่อสิบปีที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นเคยใช้นโยบายแจกเงินเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายภายในมาแล้ว จนบัดนี้ญี่ปุ่นยังโงหัวไม่ขึ้นเลย ทำไมถึงต้องเป็นรถยนต์ ก็เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์จ้างงานโดยอ้อมสูงมาก ในการผลิตก็จ้างงานในโรงงานยาง, แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอีกนานาชนิด ไปจนถึงน้ำมันประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ พอเอามาใช้ก็ต้องใช้แรงงานอีกมากนับตั้งแต่ช่างซ่อมบำรุงไปจนถึงแรงงานล้างรถ ทีวีสาธารณะพยายามหานักวิชาการซึ่งขับรถมาเตือนว่า มีรถยนต์ก็ทำให้ต้องเสียเงินอีกมาก แต่นั่นก็ตรงกับนโยบายไงครับ คือเร่งการบริโภคภายใน โดยไม่แจกเงินเฉยๆ แต่กระตุ้นการผลิตภายในไปพร้อมกัน แม้กระนั้น นโยบายนี้ก็หยาบเกินไป เพราะนอกจากกระตุ้นการบริโภคภายในได้แล้ว รัฐบาลยังผูกนโยบายนี้ไว้กับอีโคคาร์ด้วย โดยกำหนดว่ารถคันแรกต้องประหยัดน้ำมันด้วย (มีอัตราใช้น้ำมันหนึ่งลิตรต่อกี่กิโลเมตร... ซึ่งผมจำไม่ได้) แต่ก็เป็นอัตราที่ใจดีเกินไป รัฐบาลไทยหลายชุดมาแล้วตั้งเป้าว่า ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถอีโคคาร์ แต่บริษัทรถยนต์ในประเทศไทยไม่สู้จะตอบสนองต่อนโยบายนี้เท่าไรนัก เพราะไม่มีตลาดภายในรองรับ จนกระทั่งมาถึงนโยบายรถคันแรก จึงเริ่มขยับตัวเข้ามาหากำไรในตลาดใหม่ที่รัฐบาลสร้างขึ้น แม้แต่รถเครื่อง 1500 ซีซี ยังเปลี่ยนมาผลิตใหม่ด้วยตัวถังเดิมให้เป็น 1200 ซีซี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหลังจากที่ตลาดรถคันแรกไม่ได้สิทธิลดภาษีแล้ว คือเมื่อไม่มีตลาดภายในรองรับบริษัทรถยนต์ยังจะผลิตรถยนต์นั่งเครื่องขนาดเล็กต่อไปหรือไม่ จะผลิตต่อไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับตลาดภายนอกจะเข้ามาช่วยเสริมมากน้อยเพียงไร ในช่วงที่ตลาดภายในแข็งแกร่งขึ้นนี้ รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่จะสร้างเงื่อนไขจูงใจให้บริษัทรถยนต์พยายามบุกตลาดอีโคคาร์ในต่างประเทศ นับตั้งแต่สร้างการรับรองมาตรฐานซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงช่วยลดต้นทุนด้านการตลาดและอื่นๆ ฉะนั้นการเอานโยบายรถคันแรกไปผูกกับอีโคคาร์ จึงดูจะเป็นการผูกไปโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนอะไรเกี่ยวกับการเป็นศูนย์กลางของการผลิตอีโคคาร์ จะเอานโยบายรถคันแรกไปผูกกับอะไรนั้น ถ้าไม่ประสงค์เพียงแค่หาเสียง มีเรื่องให้คิดและถกเถียงกันมากพอสมควร เช่น หากจะผูกกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รถคันแรกน่าจะเป็นปิกอัพ ที่ห้ามต่อเติมในระยะเวลา 5 ปี มิฉะนั้นก็จะเรียกเงิน 1 แสนบาทคืนเข้าคลัง เพราะปิกอัพสร้างโอกาสของงานและงานจ้างมากกว่า จริงอยู่มันอาจจะอุ้ยอ้ายเกะกะท้องถนน แต่เราก็จะได้ภาษี (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) เพิ่มจากงานที่ปิกอัพสร้างขึ้น จำเป็นต้องขยายถนนส่วนที่ควรขยาย ก็ทำเลย ผมได้ยินคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯบ่นมานานแล้วว่า นโยบายรถคันแรกทำให้รถติดหนึบ ผมเห็นใจเสียงบ่นของเขา เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น ก็มีอาชีพขับแท็กซี่ รถติดมากนักจะขนแท็กซี่ขึ้นขนส่งสาธารณะไม่ได้นี่ครับ กระทบต่อทางทำมาหากินโดยตรงเช่นนี้ก็สมควรบ่นอยู่หรอก แต่เมื่อได้ยินนักวิชาการและคนทำงานทีวีสาธารณะพยายามบ่นนำทางทีวี ก็ให้รู้สึกคันปากอยากถามว่า คุณมีปัญญาจะเลื่อยขารัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่แค่นี้เท่านั้นหรือ เมื่อมีรถในถนนมากขึ้น ก็ย่อมทำให้รถติดมากขึ้นตามไปด้วยเป็นธรรมดา แต่สาเหตุที่ทำให้รถติดนั้น จะชี้ที่คันนั้นคันนี้ไม่ได้ รถคันแรกของคนจน ก็เป็นเหตุให้รถติดเท่ากับรถคันที่ห้าสิบของคนรวย หากคิดจะเอารถออกจากถนน ไม่ควรเจาะจงเอาแต่รถของคนจนออกไป เพื่อให้คนรวยได้ใช้รถคันที่ห้าสิบได้สะดวกขึ้น ขอประทานโทษ มึงเป็นเจ้าของรถ ไม่ใช่เจ้าของถนน ปัญหารถติดในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทยนั้น มีสาเหตุมาจากวิธีคิดอย่างนี้แหละครับ - คนอื่นคือนรก รถยนต์ทั้งถนนทำให้รถติด ยกเว้นรถกูคันเดียว ฉะนั้น อ้ายเบื๊อกที่ไม่ควรขี่รถยนต์ แต่ขี่ได้เพราะนโยบายรถคันแรก จึงต้องรับผิดชอบมากที่สุด อย่างน้อยก็เพราะมันเป็นอ้ายเบื๊อก ในฐานะประเทศที่ถูกประเมินว่า เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับบน การที่คนอีกมากควรมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้ ก็ไม่ใช่ความฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานเกินไป ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่า ไม่มีได้ก็ดี แต่ไม่ใช่เฉพาะคนที่เพิ่งเงยหน้าอ้าปาก ใครๆ ที่สามารถมีชีวิตที่เป็นสุขได้โดยไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ก็ไม่ควรมีทั้งนั้นแหละครับ แม้ว่าจะเป็นเศรษฐี, นักวิชาการ หรือทำงานทีวีสาธารณะ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ เมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนดีที่สุดในประเทศ และทำท่าจะดีขึ้นไปกว่านี้อีกมากด้วย ถ้าไม่คิดเพียงแค่หาเสียง รัฐบาลก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า นโยบายรถคันแรกจะทำให้รถติดมากขึ้น แต่ไม่ควรยกเลิกนโยบายนี้เสียเพราะกลัวรถติด ตรงกันข้าม ควรใช้โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากนโยบายนี้ ในการจัดการกับรถติดในกรุงเทพฯอย่างเด็ดขาด สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ สำเหนียกถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีไว้ให้ดี รถติดในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ต่างๆ นั้น เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้าง (ทั้งทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม และวัฒนธรรม) ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีอะไรในโลกนี้จะช่วยได้ คนชั้นกลางไทยเชื่อเทคโนโลยีเหมือนเชื่อพระอินทร์ เพราะการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีทำให้ไม่ต้องไปรื้อโครงสร้างอำนาจไงครับ เช่น ความเหลื่อมล้ำจะมีมากสักแค่ไหน และจะเพิ่มขึ้นอีกมากแค่ไหน ก็ไม่ต้องไปแตะมัน ขอแต่ให้มีเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นเป็นพอ สังเกตให้ดีเถิดครับ ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งเชื่อเทคโนโลยีมาก เพราะเทคโนโลยีไม่กระทบต่ออำนาจของเขา ฉะนั้นเลิกพึ่งเทคโนโลยีอย่างมืดบอดเสียที แต่กล้าทำอะไรที่กระทบต่อคนมีอำนาจบ้าง เพราะการแก้ปัญหารถติดที่ได้ผลที่สุดก็คือ เอารถออกไปจากถนนเสียบ้าง ไม่ว่าจะเป็นรถคันแรกหรือคันที่ห้าสิบ จะเอารถยนต์ออกจากถนนได้ ก็ต้องพุ่งเป้าไปที่รถส่วนตัว วิธีการคือทำให้การใช้รถส่วนตัวไม่อำนวยความสะดวกเท่ากับการใช้รถสาธารณะ พูดอีกอย่างหนึ่งคือรังแกรถส่วนตัว โดยเพิ่มมาตรการรังแกไปทีละขั้นๆ ตามการพัฒนาของระบบขนส่งมวลชน มาตรการแรกที่น่าจะทำได้คือ ห้ามจอดในถนนสายหลักและเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเกือบทั่วเมือง รถยนต์ส่วนตัวแทบหาที่จอดไม่ได้เลยระหว่าง 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นของวันทำการทุกวัน แล้วจะมีรถคันแรกหรือคันที่ห้าสิบไปทำไม มีไว้ใช้สิครับ ไปช็อปปิ้งหรือไปเที่ยวต่างจังหวัดวันหยุด เมียเจ็บท้องก็สามารถส่งโรงพยาบาลได้เอง (อย่างน้อยในโรงพยาบาลก็น่าจะมีที่จอด) ไปรับพ่อแก่แม่แก่ที่สนามบินหรือสถานีขนส่ง ฯลฯ แต่รถยนต์ไม่ได้มีไว้ทำร้ายกันและกันหรือทำร้ายส่วนรวม การใช้รถส่วนตัวจะมีโสหุ้ยสูงขึ้น เพราะต้องไปเช่าที่จอดของเอกชนซึ่งคงคิดแพงพอสมควร เนื่องจากยังมีอยู่น้อย ซ้ำต้องวนกันหลายรอบกว่าจะหาที่จอดได้ เพียงแค่นี้คนจำนวนมากก็ยินดีทิ้งรถไว้ที่บ้าน แล้วขึ้นรถสาธารณะไปทำงาน เมื่อมีรถในถนนน้อยลง รถสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์หรือแท็กซี่ก็จะวิ่งได้คล่องขึ้น ความอึดอัดในรถเมล์ก็หายไป เพราะรถวิ่งได้คล่อง ระบายผู้โดยสารได้เร็ว รถก็น่าจะแน่นน้อยลง แต่ละป้ายไม่ต้องรอนาน ซ้ำถึงปลายทางในเวลาที่รวดเร็วเสียอีก ปัญหาที่ตามมาก็คือ การสร้างตึกจอดรถ (parking structure) จะได้กำไรทางธุรกิจ ตึกจอดรถเป็นอสุรกายที่น่าเกลียดในทุกเมืองใหญ่ ต้องเคร่งครัดกับรูปแบบให้มากขึ้น ลดความอุจาดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในอนาคตธุรกิจรับจอดรถก็จะไม่ค่อยได้ผลตอบแทนคุ้ม เมื่อผู้คนพากันทิ้งรถไว้ที่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนดีขึ้นไปกว่านี้ เมื่อรถบนถนนน้อยลง ก็ขยายทางเท้า การสัญจรขั้นพื้นฐานในเมืองที่ไหนก็ตามทั่วโลก คือการเดินครับ ทำทางเท้าให้เดินได้สะดวก แม้แต่แก่คนตาบอดและพิการ เอาตำรวจที่คอยโบกรถยนต์มาอำนวยความปลอดภัยบนทางเท้า บางคนบอกว่าเมืองไทยแดดร้อน เดินไม่ได้ ในลอนดอน ฝนตกชั่วนาตาปี เราเรียกคนหนีบร่มในลอนดอนว่า ?ผู้ดี? ถ้าคนไทยในเมืองใหญ่จะหนีบร่มกันแดดบ้าง ทำไมจึงกลายเป็น ?ไพร่? ไปได้ล่ะครับ นอกจากทางเท้าแล้ว สร้างเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัยให้ทั่วเมือง ไม่มีพาหนะอันตรายทั้งหลาย นับตั้งแต่แมงกะไซค์ขึ้นไป เข้ามารบกวนในเส้นทางจักรยานได้เลย ถ้าคนไทยในเมืองใหญ่ใช้จักรยานเป็นพาหนะให้มากขึ้น เมืองใหญ่ของไทยจะเป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับโลกแน่นอน... ทุกเมืองด้วย มลภาวะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ, ทางเสียง, ทางน้ำ ในเมืองใหญ่ทั้งหลายจะลดไปมาก ผมจะไม่พูดถึงล่ะครับ เพราะพูดกันมามากแล้ว แต่ยังมีมลภาวะอีกอย่างหนึ่งซึ่งผมอยากพูดถึง นั่นคือมลภาวะทางสังคม รถยนต์ทำให้สังคมหายไป ไม่ใช่เพียงแค่เราติดแอร์ปิดกระจกและสร้างโลกส่วนตัวขึ้นในรถของเราเท่านั้น แต่การจราจรที่ติดขัดทำให้เราหดตัวเราเองลงมาเหลือแต่ครอบครัว แม้แต่เพื่อนที่รักกันมากก็ได้พบกันแค่สองหน คือในงานแต่งงานและในงานศพของมันเท่านั้น สังคมมีราคาสูงเกินกว่าใครอยากจะรักษาไว้ อย่าลืมนะครับว่า ในชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ของโลกปัจจุบัน ทางเท้าและถนนคือพื้นที่สาธารณะที่ใหญ่ที่สุด และครอบงำชีวิตคนมากที่สุด เราสำนึกถึงคนอื่นที่อยู่ร่วมสังคมกับเรา ก็บนทางเท้าและท้องถนนนี่แหละครับ ท่ามกลางทัศนคตินรกคือคนอื่นของเจ้าของรถยนต์ในเมืองใหญ่ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ทำได้ในทางการเมืองหรือไม่? ยากครับ แต่ทำได้ และทำได้ง่ายขึ้นในสมัยคุณยิ่งลักษณ์นี่แหละ เพราะคะแนนเสียงท่วมท้นที่พรรคเพื่อไทยได้มานั้น ไม่ใช่เพราะเขาเชียร์พรรคนี้สุดลิ่มทิ่มประตู จำนวนมากหรืออาจถึงส่วนใหญ่เลือกคุณยิ่งลักษณ์ เพราะกลืนคุณอภิสิทธิ์และคุณเนวินไม่ลงต่างหาก พรรคเพื่อไทยไม่เคยมีสัญญาอะไรกับเรื่องขจัดรถส่วนตัวออกจากถนน ฉะนั้นไม่ทำอะไรเลยก็ได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือทำก็ได้ โดยเฉพาะแลกกับการสนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของรถยนต์ด้วยนโยบายรถคันแรก การมีรถยนต์เป็นของตนเองนั้นไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่จะเอารถยนต์ไปทำร้ายส่วนรวม และทำร้ายกันและกันนั้นเป็นความชั่วร้ายแน่ ดังนั้น พร้อมกับนโยบายรถคันแรก ก็ประกาศเลยว่า รัฐบาลมีนโยบายขจัดรถส่วนบุคคลออกจากถนน เป้าหมายคือปลดปล่อยถนนคืนแก่ประชาชน ทั้งที่มีรถยนต์และไม่มีรถยนต์ แต่วิธีที่จะค่อยๆ ขจัดออกไปนี้ควรทำอย่างไร รัฐบาลจะใช้กระบวนการปรึกษาหารือ เปิดเวทีสำหรับการโต้เถียงขัดแย้ง และเสนอแนะจากคนทุกฝ่าย แต่ในที่สุด รัฐบาลต้องตัดสินใจ และต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อการตัดสินใจนั้น นโยบายรถคันแรกก็จะเป็นจุดเริ่มต้นแก่ยุคใหม่ของสังคมเมืองที่สงบสุขในประเทศไทย นโยบายหลายแหล่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น มีข้อที่ควรตำหนิติติงทั้งนั้น แต่ติเพื่อจะหาทางเลือกที่สร้างสรรค์ หรือติเพื่อจองล้างจองผลาญด้วยจุดประสงค์จะล้มรัฐบาลนี้ให้ได้ ทีวีสาธารณะควรทำหน้าที่อย่างไหนกันแน่ หรือต้องการเป็นแค่บลูสกายสองเท่านั้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 1-7 มกราคม 2556 Posted: 07 Jan 2013 07:44 AM PST
ดันทายาทรับบำเหน็จชราภาพ
ปรับขึ้นค่าแรง 300 บ.ทั่วปท.มีผลแล้ว พาณิชย์เผยเงินเฟ้อปี 56 เพิ่ม 3.02%
เครือข่ายแรงงานเฝ้าระวังสถานการณ์เลิกจ้างจากค่าแรง 300 บาท
พนง.ผลิตชุดชั้นในโดนพิษ 300 บาท ประท้วงบริษัทหลังถูกลอยแพ
อสังหาฯ ผวาขาดแรงงาน กระทบเลื่อนเปิดโครงการใหม่ปี 56
แรงงานเตรียมหารือคลังขยาย 11 มาตรการช่วยเหลือนายจ้างออกไปอีก 1 ปี
ก.แรงงานร่วมเอกชนเปิดศูนย์อบรมแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง
บ.ผลิตชุดชั้นในปิดกิจการเหตุขาดทุนสะสมไม่เกี่ยว 300
คนงานวีณาการ์เม้นท์เตรียมบุก ก.แรงงาน หากนายจ้างเบี้ยว
โรงงานตากปิดกิจการ 8 แห่งลอยแพแรงงาน 1,343 คน
องอาจจี้รัฐเร่งหามาตรการช่วยผลกระทบค่าแรง 300 บาท
"กิตติรัตน์" ยืนยันเสนอมาตรการลดผลกระทบค่าแรงเข้า ครม.
จี้รัฐบาลรับประกันแรงงานไม่ตกงานหลังขึ้นค่าแรง 300 บาท
เผดิมชัยอ้อมแอ้มรับพิษ 300 บ. เข้าคิวเจ๊งอีก 7 โรงงาน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
‘คดีคลิตี้’ 9 ปี แห่งการรอยคอย – ลุ้นพิพากษา 10 ม.ค.นี้ Posted: 07 Jan 2013 07:32 AM PST
หลังการรอคอยด้วยความหวังต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างยาวนาน ในวันที่ 10 ม.ค.56 เวลา 9.00 น.ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 214/2547 คดีหมายเลขแดงที่ 637/2551 ระหว่าง ตัวแทนชาวบ้านคลิตี้ล่าง จำนวน 22 คน ผู้ฟ้องคดี กับกรมควบคุมมลพิษ ผู้ถูกฟ้องคดี จากกรณีที่บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้ดำเนินกิจการทำเหมืองแร่ และโรงแต่งแร่ มาตั้งแต่ปี 2510 และมีการลักลอบทิ้งน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารตะกั่วจากบ่อกักตะกอนลงสู่ลำห้วยคลิตี้ ทำให้สารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วย โดยสะสมในน้ำ ดิน และสัตว์น้ำในปริมาณสูง ส่งผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดี และชุมชนคลิตี้ล่างซึ่งมีวิถีชีวิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติ ภายหลังจากเป็นข่าวตั้งแต่ปี 2541 หน่วยงานรัฐได้เข้าไปตรวจสอบและพบการปนเปื้อนของตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ทั้งในน้ำ ตะกอนดิน และสัตว์น้ำ จนกระทรวงสาธารณสุขได้ติดป้าย "ห้ามใช้น้ำ" และ "ห้ามจับสัตว์น้ำชั่วคราว" ตั้งแต่ปี 2542 และได้มีการสั่งปิดโรงแต่งแร่คลิตี้ชั่วคราวและปรับเป็นเงิน 2,000 บาท แต่ในประเด็นการแก้ไขปัญหามลพิษไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการ ชาวบ้านคลิตี้ล่างได้ยื่นขอให้สภาทนายความช่วยเหลือคดีโดยมีการมอบให้สภาทนายความ และโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อมเป็นผู้แทนในการดำเนินการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ 214/2547 เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2547 โดยยื่นฟ้องกรมควบคุมมลพิษ เนื่องจากเป็นหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจในการควบคุม ฟื้นฟูระงับเหตุอันตรายจากมลพิษ และบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม นั่นคือบังคับให้บริษัทฯ ดำเนินการฟื้นฟูลำห้วย แต่ถ้าบังคับไม่ได้ ก็สามารถดำเนินการฟื้นฟูเองแล้วเรียกค่าเสียหายจากผู้ก่อมลพิษได้ตาม มาตรา 96 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ฟ้องคดีมีคำขอต่อศาลดังนี้ 1.ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการกำจัดมลพิษและฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ โดยจัดให้มีแผนการดำเนินงานภายใต้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อให้ลำห้วยคลิตี้และสภาพนิเวศกลับคืนสู่สภาพเดิม และเป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมาย โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีเรียกค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายจากผู้ก่อมลพิษในภายหลัง 2.ให้กำหนดมาตรการอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารตะกั่วบริเวณลำห้วยคลิตี้ และฟื้นฟูระบบนิเวศบริเวณดังกล่าว โดยคำนึงถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมของราษฎรบ้านคลิตี้ล่างตามรัฐธรรมนูญ 3.ขอให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ดี และสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงค่าเสียหาย เนื่องจากชาวบ้านต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการซื้ออาหาร กรณีนี้เป็นคดีตัวอย่างเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิของชาวบ้านให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูปัญหามลพิษ และเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญของชุมชนซึ่งนับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ศาลปกครองชั้นต้นมีพิพากษาในประเด็นสำคัญว่า 1.กรมควบคุมมลพิษล่าช้าเกินสมควรในการปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูหรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ที่บริษัทเอกชนก่อให้เกิดการปนเปื้อน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและอนามัยของประชาชนหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2.กรมควบคุมมลพิษละเลยต่อหน้าที่ไม่ดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากบริษัทผู้ก่อมลพิษและปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูและระงับการปนเปื้อนล่าช้าเกินสมควร จึงเป็นละเมิดและก่อให้เกิดความเสียหายที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารทดแทนอาหารที่เคยมีอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ให้จ่ายเงินชดใช้เดือนละ 1,050 บาทต่อคน 3.ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดีเมื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมถูกคุกคามก็สามารถที่จะบังคับการตามวัตถุแห่งสิทธิได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าได้เกิดความเสียหายขึ้นกับชีวิต สุขภาพอนามัย และสุขภาพของผู้นั้นมากน้อยเพียงใด พิพากษาให้ค่าเสียหายจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอัตราเดือนละ 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นฟ้อง ต่อมา ชาวบ้านคลิตี้ล่างยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้โดยเร็ว และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายในอนาคตเพิ่มเติม ขณะที่กรมควบคุมมลพิษก็ยื่นอุทธรณ์ปฏิเสธว่ามิได้ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งหลังจากนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 10 มกราคม นี้ นับแต่ทราบเหตุในปี 2541 กรมควบคุมมลพิษมีความล่าช้าในการแก้ไขฟื้นฟูมาตลอด 15 ปี แม้ว่าจะมีผลของคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นว่าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าจนเกินสมควรแล้วก็ตาม ในปัจจุบันผลจากการตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมของรัฐ และกรีนพีซในเดือนพฤษภาคม 2555 ก็มีลักษณะทำนองเดียวกันว่ายังคงมีการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ โดยเฉพาะการปนเปื้อนในตะกอนดินสูงกว่าภาวะปกติทั่วไปที่มีอยู่ตามธรรมชาติหลายร้อยเท่า และมีปริมาณตะกั่วทั้งหมดสะสมอยู่ในลำห้วยเป็นระยะทาง 19 กิโลเมตร ถึง 576 ตัน ซึ่งแนวทางการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเองที่กรมควบคุมมลพิษกล่าวอ้างไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จนถึงปัจจุบัน ความทุกข์ยากจากการเผชิญกับปัญหามลพิษที่ตนเองไม่ได้ก่อของชาวบ้านคลิตี้ซึ่งต้องดำรงชีวิตภายใต้ความเสี่ยงมีโอกาสได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเพราะความจำเป็นต้องใช้น้ำและบริโภคกุ้ง หอย ปู ปลา ในลำห้วยคลิตี้ซึ่งมีตะกอนตะกั่วปนเปื้อน การใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลปกครองก็โดยประสงค์ให้กระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันให้รัฐดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตามธรรมชาติอย่างรวดเร็วและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม คำพิพากษาแห่งคดีนี้ย่อมเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการเยียวยาฟื้นฟูการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายและการชดเชยค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการเรียกค่าเสียหายจากบริษัทผู้ก่อมลพิษ ตามหลักกฎหมาย "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย" ผลของคำพิพากษานี้จะมีผลทั้งโดยตรงกับการแก้ไขปัญหากรณีการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำ และเป็นบรรทัดฐานต่อกรณีปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชน กรณีอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยอีกหลายพื้นที่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ประชาไทการ์ตูน: หมู่บ้านนี้อยู่กันมาตั้งนาน Posted: 07 Jan 2013 05:04 AM PST ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
จี้กรมเจรจาฯ เปิดฟังความเห็นร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู Posted: 07 Jan 2013 01:58 AM PST เอฟทีเอ ว็อทช์ จี้กรมเจรจาฯ เปิดรับฟังความคิดเห็นร่ ตามที่นางพิรมล เจริญเผ่า อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่ นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้ "เมื่อมีกรอบเจรจาฯแล้ว ก็ควรจัดรับฟังความคิดเห็นในส่ ด้าน น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล สมาชิก เอฟทีเอ ว็อทช์ เปิดเผยว่า วันนี้ 14 องค์กรภาคประชาสังคมที่ติ "เครือข่ายประชาชน (ตามรายชื่อแนบท้าย) ได้ติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่ การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่ากรมเจรจาการค้าระหว่ เครือข่ายประชาชนที่ทำหนังสือถึ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ความเหมือนที่แตกต่างไทย? ศาสนจักร? Posted: 07 Jan 2013 01:53 AM PST คงจะมีความหวังกว่านี้ ถ้าชนชั้นปกครองจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของรัฐอื่นๆ จะได้พบว่า จุดจบของความดื้อดึงมีแนวโน้มจะเป็นเช่นไร
เกริ่นนำ เนื้อหา ทั้งๆที การให้ความหมายคำว่า "เสรีภาพ" ถูกพัฒนาไปนานแล้ว จากนักคิดสำคัญๆ เช่น Hobbes หรือ Locke แต่สำหรับศาสนจักร แม้กระทั่งในศตวรรษที่ 20 (หรือ 21 ก็ตาม) คำนี้ก็ยังใหม่ ! น่าสนใจตรงที่ ประเทศไทยแม้ไม่ใช่รัฐศาสนาโดยตรงตามทฤษฎี แต่ดูเหมือนจะมีความพยายามผลิตความเป็นรัฐศาสนาให้ได้ และนั่นทำให้เหตุการณ์ปี 1964 อาจเกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้ กล่าวคือ "เสรีภาพ" ซึ่งมีผู้พัฒนาล่วงหน้าไปก่อนแล้วในโลกกลับยังเป็นที่น่าสงสัยสำหรับชนชั้นปกครองในประเทศไทย? สำคัญกว่านั้นเสรีภาพเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวสำหรับชนชั้นใต้ปกครองด้วย? และเรื่องราวเกือบจะตรงกันเมื่อมีนักคิดหัวก้าวหน้าในประเทศเรียกร้องให้ออกข้อตกลงหรือกฎหมายบางอย่างที่สนับสนุนเสรีภาพภายในรัฐของตน แต่นั่นเองก็ทำให้เกิดวาระซ่อนเร้น (Hidden Agenda) มากมายในอันที่จะยับยั้งเรื่องนี้ กลับมาที่ศิลปะ ในสถานะเดียวกับ ศาสนจักร ไทยอาจจะลำบากกว่าด้วยซ้ำเกี่ยวกับเสรีภาพ เพราะศาสนจักรในศตวรรษที่ 21 ยอมรับพอสมควร (เรียกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเคลื่อนไหวก็ได้) อย่างน้อย งานศิลปะที่ดูแล้วเกิดความหมิ่นเหม่ว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นหรือไม่ เช่น งานของ David LaChapelle ซึ่งจัดวางพระเยซูในฐานะองค์ประธานของงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายท่ามกลางวัยรุ่นติดยา? แต่ศาสนจักรเองไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เสรีภาพที่ถูกปลดปล่อยนั้นอาจเป็นประโยชน์กับศาสนจักรมากกว่า และการทำทีเป็นยอมให้มีเสรีภาพก็ไม่เสียหายอะไร แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีงานศิลปะเชิงปลดแอกอีกหลายชิ้น นี่เป็นการยืนยันว่า พระเจ้าตายแล้วจริงๆ แต่ถ้าศาสนจักรจัดแจงเผาทุกสิ่งอย่างที่ขัดต่อนโยบายของตัวเอง คงไม่มีอะไรใหม่ และนั่นอาจเป็นการล่มสลายของรัฐที่ไม่มีอะไรเลย กลับมาที่ประเทศไทย เรายอมให้มีความสร้างสรรค์แบบนั้นในงานศิลปะหรือไม่? หรือศิลปะต้องรับใช้ศาสนาและสิ่งสูงสุดของสังคมเสมอในลักษณะเดียวกับยุคกลาง ? แม้ว่า รัฐศาสนาไทยจะยังไม่พร้อมพอๆ กับศาสนจักรในอันที่จะทำทีเป็นยอมรับงานเขียนของพวกหัวก้าวหน้าได้ อย่างไรก็ตาม ศาสนจักรได้นำหน้าเราไปแล้วทั้งๆ ที่เก่าแก่กว่าด้วยเรื่อง "การทำเป็นยอมให้มีเสรีภาพ" เพราะถ้ายิ่งต่อต้านก็อาจจะสูญเสียผลประโยชน์จากความศรัทธายิ่งขึ้น ที่จริง ศาสนจักรเองรู้อยู่แก่ใจในประวัติศาสตร์ของตนและฉลาดพอที่จะไม่ทำผิดซ้ำรอยโดยการแสดงว่า ฉันมีอำนาจอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน (เล่นบทบาทผู้ยอม) แต่นั่นอาจทำให้เราพอมองเห็นแล้วว่า ทำไม "ศิลปะแห่งการควบคุมในประเทศไทย" จึงยังเจริญรุ่งเรืองอยู่จนถึงทุกวันนี้? บทส่งท้าย
เพื่อความสะดวกในการสืบค้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
มือดีแฮกเว็บช่อง 3 ถาม "เหนือเมฆข้าอยู่ไหน?" Posted: 07 Jan 2013 01:41 AM PST
วันนี้ (7 ม.ค.56) มีรายงานว่า มีมือดีเข้าไปแฮกเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 http://www.thaitv3.com/ และใส่ภาพจากละคร "เหนือเมฆ 2" มีข้อความ "เหนือเมฆข้าอยู่ไหน?" พร้อมมีโลโก้กลุ่มชื่อ Unlimited Hack Team แทน โดยจนถึงขณะนี้ (17.00น.) ภาพที่ถูกแฮกยังคงอยู่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 06 Jan 2013 08:21 PM PST ชุดความคิดที่ว่าคุณมันคือไพร่ มีลำดับชั้นของมัน และคุณควรจะปฏิบัติตัวให้ตรงตามฐานันดรของมัน นี่คือการจัดระเบียบของเรา เราถูกควบคุมตลอดเวลา และอันนี้เป็นศิลปะแห่งการควบคุมอย่างหนึ่งในสังคมไทย เมื่อเราเกิดมาแล้วก็ถูกจัดระเบียบไว้ 5 ม.ค.56, กล่าวในเสวนาหัวข้อ "การควบคุม...ศิลปะ" | |
รายงาน: ก้าวข้ามโลกอคติมายา ก้าวหน้าสู่โลกจริง Posted: 06 Jan 2013 04:35 PM PST
ในโลกแห่งเสรีที่ดูเหมือนจะไร้กรอบกั้น กลับถูกจำกัดด้วยมายาคติอันคับแคบของจิตใจมนุษย์
ลาว คำหอม : รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติ อยากพูดถึงความเปลี่ยนแปลงเฉพาะตัวเพื่อเป็นการปูพื้น ในโลกของความเปลี่ยนแปลง เมื่อสองสามวันก่อนมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาเยี่ยมและถามว่าบ้านเมือง เรานี้ เราจะอยู่กันอย่างนี้หรือ ? ไม่ช่วยกันหาทางออกหรือ? ก็ถามว่าเอาเข้าจริง ๆ แล้วเราจะยังอยู่กับภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้อย่างไร ผมตอบว่า หลังการปฏิวัติ ครั้งสุดท้าย ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่มีอำนาจใดที่จะสามารถทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่ไทยดั้งเดิม ที่เป็นมาอยู่ก่อน ท่านถามว่าทำไม อะไรที่ทำให้คุณคำสิงห์คิดว่าเปลี่ยนแปลงจนทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่สถานะ ดั้งเดิม อีกไม่ได้ ผมตอบสั้นๆ ว่าปัญหาหลังจากปฏิวัติครั้งสุดท้ายได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศไทย ซึ่งตื่นเต้นมากคือ พลังปัญญาและพลังความกล้าหาญได้ปรากฏตัวชัดเจนขึ้น ยกตัวอย่างหนังสือที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะได้เห็นและได้อ่านคือฟ้าเดียวกัน การที่ฟ้าเดียวกันเกิดขึ้น และดำรงอยู่ได้ แสดงให้เห็นว่าพลังปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ผมอ่านหลัก ๆ ในหนังสือฟ้าเดียวกันนั้น ผมเห็นว่าผู้ทำได้ทำหน้าที่ เหมือนกำลังลบความขุ่นมัวในภาพกระจกโบราณให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เนื่องจากภาพโบราณ ผมหมายถึงประวัติศาสตร์ ที่แล้วมามันขมุกขมัวหลายแง่หลายมุม ภาพไม่ชัดเจนนัก แต่หลังจากการปฏิวัติครั้งสุดท้ายพลังปัญญาได้งอกงามขึ้น ปรากฏการณ์ที่มีหนังสือฟ้าเดียวกันเกิดขึ้น และอยู่มาจนถึงวันนี้ ผมมองว่าประวัติศาสตร์กำลังถูกชำระโดยคนรุ่นใหม่ ด้วยความกล้าหาญ ด้วยความสงสัย ค่อยๆ ทำให้โลกสว่างขึ้น ต้องยอมรับว่าพลังแห่งการชำระประวัติศาสตร์เกิดขึ้น อย่างน่าทึ่ง เพราะฉะนั้นเป็นความเปลี่ยนแปลงหนึ่ง ประการ ที่ 3 ที่เป็นสิ่งใหม่ ๆ หลังการปฏิวัติครั้งสุดท้ายคือพลังมวลชน คือการเกิดขึ้นของกลุ่มคนเสื้อแดง จะด้วยอะไรก็ตาม ผมเคยพูดกับวัฒน์ วรรลยางกูร ว่าเราต้องขอบคุณ คุณสนธิ นายพลเอกสนธิ (พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน) ที่ทำรัฐประหาร เพราะการทำรัฐประหารก่อให้เกิดกระบวนการประชาชนที่ลุกขึ้นทวงสิทธิ์ ถ้าไม่มีรัฐประหาร เราไม่สามารถบ่มเพาะ ประชาชนให้เกิดกลุ่มชนที่มีพื้นฐานหนักแน่น หนักหน่วง เติบโต ขยาย แก่ตัวขึ้นมาได้ โดยปัจจัยเหล่านี้เองจึงไม่สามารถ ทำให้อำนาจใดๆ ที่ดูเคยดูแลประเทศไทยก่อนการปฏิวัติครั้งสุดท้ายกลับมาได้อีก ด้วยพลัง 3 ปัญญา และพลังมวลชน จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจน หลังจากที่ตอบไป ผู้ใหญ่ก็ถามว่าดูไปแล้วก็ยังมีการเผชิญหน้ากันอยู่ ผมเห็นด้วย แล้วทางออกมีมั้ย ที่เราจะลดความเสี่ยงภัย ประเทศไทยจะเกิดการเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งมั้ย เราคนแก่ก็มองหน้ากัน ในที่สุด ท่านพยักหน้า ผมถามให้คุณตอบว่ามีทางมั้ยที่จะหลีกเลี่ยงหายนะ ถ้าจัดการไม่ดีกับพลังใหม่ที่เกิดขึ้น กับอำนาจเก่า ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง อาจนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย มีทางมั้ย ผมตอบว่ามีแน่นอน คำตอบนั้นคือวิถีทาง ประชาธิปไตย เราไม่มีทางปฏิเสธประชาธิปไตยได้อีกต่อไปแล้ว หลังการปฏิวัติครั้งสุดท้าย ในมุมหนึ่งได้เกิดพลังมวลชน และพลังปัญญาชนที่เคลื่อนเข้าหากันเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว ซึ่งพลังอย่างนี้ไม่มีอะไรจะยับยั้งได้ เพราะฉะนั้น คำตอบอยู่ที่ประชาธิปไตย พวกท่านที่มีอำนาจจงพิจารณาว่าประชาธิปไตยจะเป็นคำตอบ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ : เวทีนี้รู้สึกเกร็ง เพราะลุงคำสิงห์ ศรีนอก ได้อ่านหนังสือของลุงตั้งแต่เด็ก และมีเกียรติได้มาพูดคุย ในเวทีเดียวกัน ยังจำความรู้สึกที่อ่านฟ้าบ่กั้นครั้งแรก ได้อ่านงานอย่างเดียว ไม่เคยพบตัว รู้สึกเป็นเกียรติ ทำให้ประหม่า เราจะก้าวข้ามผ่านมายาคติที่มี อยู่ในสังคมไทยได้อย่างไร เราคงไม่สามารถก้าวข้ามผ่านได้หรอก ตราบใดที่ยังมีข่าวหัวค่ำ จริงๆ แล้วสังคมไทยที่มีมายาคติที่อยู่ในสังคมไทย คือ เรื่องการอวยสถาบันกษัตริย์เกินจริง สองเรื่องศาสนา เป็นมายาคติที่ใหญ่มาก มีความพยายามอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 ที่จะทำให้สถาบัน กษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งกับความเชื่อในเรื่องศาสนา ละเว้นเรื่องศาสนาไว้ก่อน ผมเชื่อว่าหลายคนในที่นี้มีความเชิดชู นิยมสังคมมิยม หลายคนเคยเป็นฝ่ายซ้ายเก่า คนที่ยึดมั่น ในอุดมการณ์นี้อยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในบ้านพักคนชรา สิ่งที่เรากำลังต่อสู้อยู่วันนี้ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่วันนี้ มีกลิ่นอายของ สังคมนิยมไม่เยอะ มีกลิ่นอายฝ่ายซ้ายเก่าไม่เยอะ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต กำแพงเบอร์ลิน อุดมการณ์ฝ่ายซ้าย ก็ตกต่ำลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายซ้ายหรือไม่ก็ตาม คำถามว่าการต่อสู้ครั้งนี้ทำไมถึงสำคัญ ทำไมการต่อสู้ ครั้งนี้ทำไมถึงจำเป็น เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการสร้างเวทีให้ทุกคน มีความได้เปรียบเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา เสรีนิยม สังคมนิยม ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรวย หรือคนจน มันกำลังสร้างโอกาส ในการต่อรองเรื่องการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ ผลประโยชน์ ให้เท่าเทียมกัน เวลาที่เราอ่านฟ้าบ่กั้น เนื้อหาหลัก ๆ ของฟ้าบ่กั้นไม่ว่าจะเป็นความจงใจหรือไม่ก็แล้วแต่ มันพูดถึง ความอัตคัต การโดนเอาเปรียบ ความเสียเปรียบของชนบทต่อคนเมือง คล้าย ๆ กับที่ อ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ เขียนเรื่อง แผลใหม่ไว้ ก็คือในแผลเก่าแม้ไม่พูดเรื่องเศรษฐกิจ สังคม โดยตัวมันเอง ไม่ได้พูดถึงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมโดยตัวมันเอง แต่ตัวละครแสดงให้เห็นถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบ การถูกแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติของผู้ถูกเอาเปรียบตลอดมา ผมคิดว่า การสร้างประชาธิปไตยคือการสร้างอำนาจในการต่อรอง คนชนบทขึ้นอยู่กับและทำงานให้กับ กรุงเทพฯ มานานเกิดไป ถึงเวลาแล้วที่คนผู้ถูกกดขี่ คนจน จะต้องมีอำนาจ มีเครื่องมือกลไก ที่จะสร้างอำนาจต่อรอง ให้กับตนเอง และเครื่องมือนั้น ประวัติศาสตร์มนุษยชาติไม่ปรากฏว่าชนชั้นนำเป็นผู้มอบเครื่องมือให้ ไม่ปรากฏว่าชนชั้นนำ เป็นผู้มอบสิทธิเสรีภาพ ไม่ปรากฏว่าชนชั้นนำเป็นผู้มอบประชาธิปไตยให้กับสังคมไหนในโลก ถ้าอยากได้ประชาธิปไตย ถ้าอยากได้สิทธิเสรีภาพ ในการกำหนดอนาคตของตัวเรา มีทางเดียวที่จะได้มาคือการต่อสู้ และนั่นคือสิ่งที่พวกเรา กำลังทำอยู่ นั่นคือสิ่งที่คนเสื้อแดงกำลังทำอยู่ คือภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้นของ 2475 ขอพูดในวันนี้ว่าอย่าใจร้อน การปฏิวัติ ไม่ได้อยู่ที่เงื่อนเวลา การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษเป็นเวลาร้อยปี หลังจากฝรั่งเศสตัวหัวพระเจ้าหลุยส์และพระนางมารี อังตัวแนตต์ ใช้เวลาอีกหลายร้อยปี เกิดฐานันดรที่ 3 ฐานันดรที่ 4 ใช้เวลาอีกเยอะมากกว่าที่จะสร้างความเป็นประชาธิปไตย กว่าที่จะสถาปนาคำว่ามนุษย์เท่าเทียมในสังคมได้ใช้เวลายาวนาน การปฏิวัติโครงสร้างสังคมไม่ใช่เรื่องของเวลา ความฉับพลัน แต่เป็นเรื่องของการถึงรากถึงโคน แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานความเชื่อทางเศรษฐกิจและสังคมใน ประเทศนั้น ๆ สิ่งที่จะบอกได้อย่างหนึ่งคือ ชนชั้นนำไทยไม่ได้คิดอย่างที่เราคิดหรอก ไม่ได้คิดอย่างที่เราคิดว่าคนเท่ากัน และชนชั้นนำไทย นอกจากการทำรัฐประหาร ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนในประวัติศาสตร์สังคมไทยที่ผ่านมา ยังต้องการกุมอำนาจเศรษฐกิจและสังคมให้อยู่มือด้วย ไม่ต้องการให้ คนจนลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องการให้คนเข้าใจและรับรู้ถึงโครงสร้างที่เอารัดเอาเปรียบ ที่คนจนและคนไม่มีความรู้เกิดจาก ความจงใจ ยกตัวอย่างง่ายๆ เราเรียนการศึกษาในระบบ 12 ปี ในระบบการศึกษา 12 ปี พูดถึง ปรีดี พนมยงค์ 2 ย่อหน้า เราเรียนประวัติศาสตร์ประเทศไทย เราพูดถึง 2475 ไม่เกิน 10 หน้า เราไม่เคยพูดถึง 2490 2500 2516 2519 ผมไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์จะจดจำ 2549 ยังไง ผมไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์จะจดจำ 2553 ยังไง ผมไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์ จะจดจำสิ่งเหล่านี้ยังไง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยไม่ต้องการจดจำประวัติศาสตร์การต่อสู้ของพี่น้อง ประชาชน ประเทศไทยไม่ต้องการบันทึกประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกัน ผมคิดว่าคนยุคผมเกิดแล้วถูกจัดตั้ง โดยคนยุคตุลามาก่อน อาจจะไม่โดยตรง อาจจะไม่ใช่เชื้อสาย ผมกำลังคิดอยู่ว่าอีก 20 ปี จากนี้ เขาจะเรียกพวกเราว่าอะไร คนยุคพฤษภา 53 คนยุคกันยา อีกหนึ่งอย่างที่ต่างกันแน่นอนคือคนยุคนี้นับเป็นล้าน จะนับเป็นพันเป็นหมื่นอย่างยุคตุลา ไม่ได้ คนยุคนี้นับเป็นล้าน และคิดว่าคนยุคนี้ที่ร่วมต่อสู้กันมา โดยเฉพาะคนในภาคอีสานที่มีความพยายามและต่อสู้กับ อำนาจรัฐที่เฮงซวย ห่วยแตก กับสังคมไทยมาตั้งแต่กบฏผีบุญ ที่ปฏิเสธอำนาจรัฐไทยมาตั้งนานแล้ว คนอีสานในสมัยก่อน ยังไม่รู้จักในหลวงด้วยซ้ำไป ก่อน 2500 แล้ว ยังไม่รู้จักปฏิวัติศาสตร์ของคนอีสานในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ แต่ในการต่อสู้ ครั้งนี้ที่แตกต่างจากกบฏผีบุญ คือการต่อสู้ของเราครั้งนี้ไม่ได้ปฏิเสธรัฐ ไม่ต้องการล้มรัฐ แต่การต่อสู้ครั้งนี้เราต้องการเป็น ส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ที่บอกว่าคนทุกคนเท่ากัน ประโยคฟ้าเดียวกันทราบมั้ยครับมาจากคำว่าอะไร คำเต็มที่ว่าก็คือ "เจ้า ข้า ฟ้าเดียวกัน" พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งแห่งที่ จะรวยพันล้าน หมื่นล้าน ไม่ว่าคุณจะเป็นหม่อม ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้า ไม่ว่าคุณจะเป็น นายธรรมดา ตาสีตาสา คุณมีค่าความเป็นคนเท่ากัน เรามีค่าในความเป็นมนุษย์เท่ากัน และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สังคม จะต้องเชิดชูและร่วมกันปกป้อง แต่สังคมไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดนั้น มันทำให้เราต้องมาคุยกันที่นี่ในวันนี้ เพื่อที่จะทำยังไง ให้การสร้างพื้นฐาน จะทำยังไงในการปฏิเสธมายาคติ คือการมีมายาคติทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไม่ทำงาน การถูกกดทับ ด้วยวัฒนธรรมอำนาจนิยม การถูกกดทับด้วยรูปภาพที่ยกลง การกดทับด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไม่ทำงาน มันทำให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่ถูกปลดปล่อย เอาเข้าจริงๆ แล้ววัตถุประสงค์สุดท้ายของสังคมนิยมไม่ได้พูดถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป เขาพูดว่าทำยังไงที่ศักยภาพของมนุษย์ถูกปลดปล่อย มนุษย์จะเป็น ตัวของตัวเองได้เต็มที่สุด โครงสร้างสังคมไทยแบบนี้มันห่วยแตก คือไม่ได้บอกเลยว่าคุณมีคุณค่า มันไม่บอกเลยว่าเรามีพลัง เรามีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำให้สังคมดีกว่านี้ได้ มันบอกแต่ว่าคุณไม่ต้องทำอะไร คุณงอมืองอเท้ารอฝน วงเล็บไว้ด้วยว่า ฝนเทียม คุณงอมืองอเท้ารอผู้มีบุญ รอผู้มีอำนาจมาประทานพร ดังนั้น ถ้าจะกำจัดมายาคติ เราไม่รู้หรอกว่าโลกที่ดี เป็นยังไง เราไม่รู้หรอกว่าโลกที่สดใสเป็นยังไง เราไม่รู้หรอกว่าโลกที่เท่าเทียมเป็นยังไง เราไม่รู้หรอกว่าโลกที่เราอยากจะสร้าง โลกที่เราอยากจะอยู่มันเป็นยังไง แต่อย่างน้อยที่สุดการต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกันคือพื้นฐาน คุณเชื่อว่าสังคมนิยม เป็นสังคมที่ดี คุณเชื่อว่าการเปิด เสรีนิยมจะเป็นสังคมที่ดี คุณเชื่อว่าการยึดอำนาจรัฐเป็นสังคมที่ดี หรืออะไรก็ตามที่จะนำไปสู่สังคมที่ดีได้ แต่สิ่งที่คุณต้องทำ อย่างแรกคือการเปิดประตูความคิดการทำลายเพดานที่กดดันความคิดของเราอยู่ และทำให้ทุกคนพูดถึงอนาคตของตัวเอง ได้อย่างเสรีว่าสังคมในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร และจะสร้างมันยังไง ปัญหาของสังคมไทย คือเราพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย ใครอยากได้โลกเขียว ใครอยากได้โลกที่ปราศจากมลภาวะ เสนอมา ใครอยากได้โลกอะไร เสนอมา ว่าโลกที่สวยงามของคุณ เป็นอย่างไร โลกใหม่ของคุณเป็นยังไง แต่วันนี้เราเสนอ ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ ถ้าตราบใดที่ยังมีสถาบันที่ควบคุมความคิด สถาบันที่กดทับความคิดสร้างสรรค์อยู่ เราก็ไปถึงจุดนั้นไม่ได้ นี่คือสิ่งที่คุณอาจจะเรียกว่ามายาคติ คุณอาจจะเรียกว่า อะไรก็ตาม พื้นฐานขั้นแรกผมเชื่อว่าเราต้องทำลายมัน ต้องเปลี่ยนแปลงจุดนี้ก่อน ชื่อผมอยู่ในผังล้มเจ้า ทางที่ผมคิดว่าดีที่สุดและต้นทุนต่ำที่สุดในความหมายของชีวิตและเลือดเนื้อ ประชาชนคือการยอมรับข้อเท็จจริงว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่แค่ในหลวง แต่คือสถาบันทั้งสถาบัน องคมนตรีอายุเฉลี่ย 70 กว่า คุณจะเอาอีกนานสักเท่าไหร่ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึก 70 ปลายๆ ด้วยมั้ง องคมนตรีอายุ 70 คุณจะเอาอีกนานเท่าไหร่ ที่องคมนตรีชุดนี้จะอยู่ได้ และการจะเอาใครขึ้นมาเป็นประธานองคมนตรีที่สามารถมีบารมีพอที่จะสกรีนโผทหาร ได้ นอกจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แล้ว ผมเข้าใจว่ามีการพยายามดึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นมาเป็นประธานองคมนตรี คนต่อไป ผ่านการแต่งตั้งเข้าเป็นนายกฯ แบบ พล.อ.เปรม ที่เป็นนายกฯ โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง ก็พยายามโปรโมท พล.อ.สุรยุทธ์ แต่ผมคิดว่าบารมีต่างกับ พล.อ.เปรม อีกหลายขุม คือมันไม่มีทางที่โครงสร้างแบบนี้มันจะอยู่นานกว่านี้ ได้หรอก
เพียงคำ ประดับความ : หลังจากการเกิดขึ้นของฟ้าเดียวกัน คณะนิติราษฎร์ คนเสื้อแดง ทำให้เรารู้ว่ามายาคติของสังคมไทยคืออะไร คำถามคือเราจะก้าวหน้าสู่โลกจริงได้อย่างไร
ลาว คำหอม : ความ จริงเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ถ้าเราจะตอบ หรือพยายามตอบ ก็คงใช้เวลายาวนานมาก แต่ถึงอย่างไร ผมขออภิสิทธิ์ขอพูดนอกเรื่อง ก่อนจะถึงคำถาม วันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นวันหนึ่งที่ผมมีความสุขมาก ในฐานะคนเขียนหนังสือ เขียนไม่มาก แต่ก็ได้มีหนังสือออกมาเล่มหนึ่งที่พวกเห็นนี้ ถ้าสังเกตในคำนำผมเคยเขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า ผมเขียนฟ้าบ่กั้นนั้น ในฐานะที่เป็นคำร้องทุกข์ ที่ต่อมา ในตอนหลังผมไม่ชอบเลยที่ใช้คำร้องทุกข์ ผมควรจะใช้คำอื่น แต่ไม่เป็นไร เมื่อเขียนไปอย่างนั้นแล้ว ผมเขียนเหล่านี้ ไม่ได้ปรารถนาจะให้ชาวไร่ชาวนาหรือคนอีสานอ่านกันเท่าไหร่หรอก เพราะคงไม่สนุกนักที่จะมาอ่านเรื่องของตัวเอง แต่ว่าเป้าหมายของผม จุดมุ่งหมายของผม ผมปรารถนาจะเขียนให้ครูบาอาจารย์ นักศึกษา หรือผู้มีฐานะในสังคม ในเมืองหลวง ได้เข้าใจได้เห็นสภาพเพื่อปลุกเร้ามโนธรรม เพื่อให้เข้าใจสภาพอย่างนั้น ตอนนั้นผมคิดว่า ผมฝันลมๆ แล้งๆ ผมตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ แต่วันนี้ผมได้ฟัง อ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ หนูไอดา (ไอดา อรุณวงศ์) และคุณธนาธร ผมรู้สึกตื่นเต้นว่า ในที่สุดสิ่งที่ผมตั้งเป้าหมายไว้อยากให้คนที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง สังคมได้อ่าน ได้เห็น ได้เข้าใจ พึ่งประจักษ์ ในวันนี้เองว่าความตั้งใจของผมนั้นใช้ได้ อย่างน้อยมี 3 คน ที่ระบุชื่อมานี้ ซึ่งคนเหล่านี้มีศักยภาพสูงมากในการเปลี่ยนแปลง สังคมในขณะนี้ ในฐานะคนเขียนหนังสือผมรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ เหมือนที่คุณธนาธรพูดนั่นแหละ ไม่ใช่ธนาธรคนเดียวที่รู้สึก ประหม่า ผมเองก็รู้สึกประหม่าเหมือนกัน เพราะประเด็นอย่างนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องที่สำคัญต่อปัญหาปัจจุบันมาก ต่อ ไปนี้ผมจะพูดถึงเรื่องมายาคติว่าเราจะก้าวข้ามไปได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นปัญหาใหญ่ของเราจริงๆ ผมอยากจะปรับทุกข์กับเพื่อนพ้อง มิตรสหาย ในวันนี้ว่า ปัญหาของประเทศไทยในทุกวันนี้ในความรู้สึกของผมว่า ประเทศไทยในฐานะเศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่ อย่างไรเราก็รู้กันอยู่ แต่เราใช้จ่ายเงินในการสร้างภาพมากเหลือเกิน เกือบจะไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ที่ใช้งบประมาณในการสร้างภาพ ภาพที่สร้างนั้นใหญ่โตขึ้นทุกวันๆ ใหญ่มากขึ้นๆ จึงในตอนนี้เป็นปัญหา ภาพนั้นเป็นมายาภาพ พบว่าในที่สุดกระบวนการสร้างภาพซึ่งใช้เงินมหาศาลตลอดเวลาหลายๆ ปีนี้ ภาพนั้นมันใหญ่ และในที่สุดพบว่ามันเป็นมายาภาพที่ไม่มีพื้นฐาน ตอนนี้ประเทศไทยกำลังใช้งบประมาณในการรักษาภาพ ที่สร้างขึ้นนั้นให้อยู่อย่างไร เราใช้เงินมหาศาลในการสร้างภาพ แต่ตอนนี้เรากำลังจะใช้เงินมหาศาลในการรักษาภาพ เพราะฉะนั้นภาพที่สร้างขึ้นอย่างที่ผมว่านั้นเป็นมายาภาพ ตอนนี้งบประมาณในการรักษาภาพคนชักทักท้วง และทำไม่ได้ง่าย ปัญหาใหญ่ของการสร้างภาพในระยะยาวนานอย่างที่เป็นมา อย่างที่เรารู้ เวลานี้ถึงตอนที่ทำต่อไปยาก อย่าง ที่ผมบอกแล้ว เราต้องไม่ลืมว่า ใจเย็นๆ นะครับ ก้าวเดินไปสู่หนทางประชาธิปไตย ผมก็เหมือนคนอื่น เคยใจร้อน สนใจคำว่าปฏิวัติ แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าการปฏิวัติ เงื่อนไขอย่างนี้ สภาพการณ์อย่างนี้ คงเจ็บปวดกันถ้วนหน้า เพราะฉะนั้นวิธีจะบรรเทา ผ่านพ้นภาวะนี้ไปได้ ก็ขบวนคนเสื้อแดงนั่นแหละกำลังทำอยู่ เห็นว่ากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งสนับสนุนสุดอกสุดใจ ขอให้มุ่งมั่น เชื่อมั่น การที่พลังประชาชนเติบโตได้ขนาดนี้ หนทาง ข้างหน้าค่อนข้างจะชัดเจน เราจะก้าวข้ามมายาคติและมายาภาพไปได้ด้วยวิถีทางแห่งประชาธิปไตยอันมีเสื้อ แดง มีส่วนสำคัญในการผลักดัน ก็ขอให้กำลังใจ
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ : ผมตลกคำนี้ คิดว่าน่าจะมีคนนำไปใช้ต่อ ประชาธิปไตยอันมีเสื้อแดง...(หัวเราะ) ...เป็นกำลังหนุน คือผมคิดอย่างนี้ เวลาเราพูดถึงเรื่องเสื้อแดง มันต้องมีขีดจำกัด พูดถึงคนที่มาเป็นเสื้อแดง มาเป็นอะไร พูดถึงสิทธิเสรีภาพ พูดง่ายๆ คือ เราพูดถึงการยอมรับโครงสร้างทุนนิยม คือการยอมรับโครงสร้างแบบเสรีประชาธิปไตย เสรีทางเศรษฐกิจ อย่าให้ใครมามีอำนาจ รวยได้คนเดียว เราพูดถึงการใช้อำนาจทางการเมืองมาโดยคนๆ เดียว ผมคิดว่า นี่คือขีดของคนเสื้อแดงเหมือนกัน ในสังคมทุนนิยมเองก็ไม่ได้เท่าเทียม ในสังคมเสรีประชาธิปไตยโลกก็ไม่ได้สวยหรู ก็ยังมีการกดขี่ ยังมีการขูดรีด ยังมีการเอารัดเอาเปรียบ มีความไม่เป็นธรรมในสังคมอยู่สูงเหมือนกัน ต่อให้เสื้อแดงชนะวันนี้ ที่ไกลที่สุดที่เสื้อแดงพาไปคือเสรีนิยมประชาธิปไตย นี่คือขีดของเสื้อแดง มันไม่ใช่ว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่ใช่ คุณูปการ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมคิดว่ามันไม่ง่ายในการสร้างสังคมอุดมคติจริง คือผมเข้าใจได้เลยว่าเรื่องมายาคติ คติคือความเชื่อ ความคิด มายาคือความไม่จริง คือความเชื่อที่มันไม่จริงที่มันหลอกลวงมากที่สุดในสังคมคืออะไร ผม พูดอย่างนี้ก่อน ผมเชื่อว่าเราชนะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่า ถ้าเรามองย้อนหลังในช่วงเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา คนจะพูดถึงสามสี่ปีนี้ว่านี่คือจุดเปลี่ยนแปลง เหมือนกับที่เราพูดถึง 2475 อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมเชื่อว่าเราชนะ เพราะโครงสร้างสังคม โครงสร้างอำนาจที่มันเฮงซวยอย่างนี้ มันคงอยู่ตลอดไปไม่ได้ และถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเสื้อแดงจะต้องทำคุณูปการให้กับสังคมไทยกว่านี้ มันต้องไปไกลกว่านี้ด้วย มันต้องพูดด้วยว่าเสรีนิยมประชาธิปไตย ก็เป็นปัญหา มันก็มีปัญหาในตัวมันเองเหมือนกัน มายาคคติทีมันอยู่กับเรา ใกล้ตัวมากกว่า ก็คือมายาคติเรื่องการเชียร์พรรคเพื่อไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็ต้องพูดเหมือนกัน คนเราในฐานะมนุษย์ ในฐานะปุถุชน มันมีเลว มีชั่ว ทุกคนอึเหม็นหมด ไม่มีใครอึหอมหรอก คนเราเป็นมนุษย์มีดีมีชั่ว เพื่อไทยก็มีโอกาสทำถูกทำผิด มายาคติอย่างนี้เราก็ต้องสู้ด้วย คือมันไม่ใช่ว่าเสรีประชาธิปไตยมันดีที่สุด
เพียงคำ ประดับความ : ผู้ดำเนินรายการได้เสริมไปว่า คำว่าไปไกลกว่าเสรีประชาธิปไตยหมายถึงอะไรได้มั้ย
แต่ถามว่าสังคมในอุดมคติเป็นยังไง ผมคิดว่าผมไม่มีปัญญาพอ ต้องยอมรับเลยว่าผมไม่รู้หรอก ผมรู้อย่างเดียวว่าสังคมอุดมคติเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีประชาธิปไตย เมื่อให้เรามีโอกาสถกเถียง แลกเปลี่ยน เอาปัญญา มานั่งถกเถียงกันอย่างจริงจัง ผมว่านี่คือพื้นฐานเบื้องต้น นี่คือเงื่อนไขที่ต่ำที่สุด ที่จะทำให้สังคมที่ดีงาม สังคมที่ไกลกว่า เสรีประชาธิปไตยได้ อย่างแรกต้องมีประชาธิปไตยก่อน อย่างแรกคือเราต้องทำให้คนทุกคนสามารถยืนถกเถียงเรื่องพวกนี้ ได้อย่างเท่าเทียมกัน ผมคิดว่านั่นคือเงื่อนไขที่ต่ำที่สุดในการสร้างอะไรที่ไกลกว่านี้
เพียงคำ ประดับความ : ถ้าเพื่อนนักกิจกรรมมาบอกว่าต้องไปไกลกว่าเสรีนิยม ก็จะเสนอสังคมนิยม ในฐานะที่คุณธนาธร เป็นนายทุน เราควรจะจัดวางอย่างไรดีกับที่บางคนก็บอกว่าทุนมีปัญหา แต่บางคนก็บอกว่าเราต้องเป็นทุนให้เต็มที่ไปก่อน
คนที่นำการต่อต้านโลกาภิวัตน์ในประเทศไทยไม่ใช่คนอย่างพวกคุณ ไม่ใช่คนที่เสียเปรียบจากโลกาภิวัตน์ คนที่นำกระแส ต่อต้านโลกาภิวัตน์ในประเทศไทย จริงๆ คือนายทุนไทย และกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่แรงที่สุด คือ เศรษฐกิจพอเพียง คือสาย นพ.ประเวศ วะสี คือสายพวกนี้ทั้งนั้นเลยที่ออกมาต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต้องเข้าใจอย่างว่า วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 มันหนักหนามาก สำหรับคนธรรมดาอาจจะ รู้สึกบ้างไม่รู้สึกบ้าง แต่สำหรับนายทุนไทยเป็นเรื่องที่ หนักหนาสาหัสมาก หนี้เน่าที่ใหญ่ที่สุดในธนาคารพาณิชย์ไทย ณ วันนั้น คือทีพีไอ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ที่เป็นแกนนำ เสื้อเหลืองในวันนี้ ที่เอาอุดมการณ์ชาตินิยมแบบไทยๆ เอามาต่อต้านโลกาภิวัตน์ ใครเป็นหนี้เน่ารายที่ 2 ในระบบ ธนาคารไทยคือกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย คนเหล่านี้ กลุ่มทุนเหล่านี้ กลุ่มทุนทั้งหมดเลย ไม่ได้ระบุเฉพาะกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้อง กับสำนักงานทรัพย์สิน ผมพูดถึงกลุ่มทุนโดยภาพรวม เขารู้สึกถูกคุกคามและทางรอดทางเดียวของเขาคือ สร้างความรู้สึก ชาตินิยมแบบเหลืองๆ สร้างความนิยมเศรษฐกิจพอเพียง โดยเนื้อแท้แล้วมันบอกว่าสังคมไทย สังคมชนบท อย่างนี้ดีแล้ว พวกคุณขอพรจากฟ้าน่ะดีแล้ว ต่างชาติกำลังเข้ามาทำลาย ศีลธรรมอันดีงามที่มีมาแต่ก่อนเก่าในสังคมไทย นี่คือ เศรษฐกิจพอเพียง มันกำลังบอกคุณว่าคุณอย่าริอ่านข้ามชนชั้นนะ คุณเป็นชนชั้นล่างก็เป็นชนชั้นล่างต่อไป คุณพอเพียงอยู่เท่านี้ นี่คือการต้านโลกาภิวัตน์ในสังคมไทย คนที่ต้านโลกาภิวัตน์ ไม่ใช่ประชาชนคือกลุ่มทุน คือชนชั้นนำ ที่ออกมาบอกว่ารู้สึกถูกคุกคาม เพราะแน่นอนทรัพย์สินเขาที่หายไปเป็นแสนล้านในชั่วพริบตา เพียงแค่ลอยตัวค่าเงินบาท กลุ่มทุนไทยเจ๊งไม่รู้กี่กลุ่มทุน ที่ผู้ดำเนินรายการถามว่าไกลออกไปมันคืออะไร ไม่ว่าเราคิดอะไร ณ วันนี้ เราปฏิเสธความเชื่อมโยง ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ กับเศรษฐกิจโลกไม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันต้องมีกลิ่นอายของความเป็นสากล ความเป็นนานาชาตินิยมอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่สังคมอุดมคติมันจะเกิดขึ้นในชาติไทย มันไม่เกิดง่ายๆ ถ้าเราบอกว่าสังคมไทย ดีแล้ว เราพอเพียง ทุกคนมาช่วยทำนา ทำไร่ ทำสวน ทุกคนอยู่อย่างนี้อย่าใช้ปุ๋ย อย่าไปอะไร เวลาเราคิดอย่างนี้จะคิดได้ โดยเงื่อนไขเดียวเราผลิตทุกอย่างได้ในประเทศไทย เรามีทรัพยากรเพียงพอ เราจะพอเพียงได้ด้วยเงื่อนไขเดียวเท่านั้นเอง คือสังคมไทยทั้งประเทศผลิตทุกอย่างได้ มีทรัพยากรพอเพียง
ผู้ร่วมฟังเสวนาได้ตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า กลัวกับการเสวนาที่อาจหมิ่นหรือไม่
ดังนั้น ถามว่าผมกลัวมั้ย ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดที่มานั่งอยู่ที่นี่ คือผมไม่ได้ไปด่าใคร และที่ตลกมาก ในสังคมไทยมีอยู่มาตราหนึ่งในหลักสากลทั่วโลกนะ เวลาที่คุณบอกว่าคุณหมิ่นใคร ต้องพิสูจน์ สมมุตินะ ผมว่าคุณมา (เพียงคำ ประดับความ) ไปโกงเงินคนอื่น คุณมา มาฟ้องผมว่าผมหมิ่นเค้า สิ่งที่ศาลต้องพิสูจน์สิ่งแรกคือ ศาลต้องพิสูจน์ ก่อนว่าคุณมาโกงเงินมาจริงหรือเปล่า แล้วถึงจะบอกว่าผมผิดหรือเปล่า ถ้าศาลพิสูจน์แล้วว่าคุณมา โกงเงินคนอื่นจริง ผมไม่ได้หมิ่นนะ เข้าใจที่ผมพูดมั้ย แต่ปัญหาคือตอนนี้คือคุณพิสูจน์อะไร คุณไม่ได้พิสูจน์ จริงๆ นะ ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย เวลาที่ผมพูดผมก็ระวังตัวมาก เพียงคำ ประดับความ : คิดอย่างไรที่บางคนบอกว่าจะปฏิวัติด้วยเสียงกระซิบที่จะทำให้สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์
คำสิงห์ ศรีนอก : ผมขอเป็นกำลังใจนะ จริงๆ ผมรู้สึกอย่างนั้น อย่ากลัวอะไรมากเกินกว่าเหตุ ผมมีความรู้สึกอย่างนี้มาจนถึง ปัจจุบันนี้ ความจริงเป็นอาวุธชนิดหนึ่งในการต่อสู้ โดยเฉพาะทางการเมืองและการเคลื่อนไหวโดยทั่วไป ถ้าเราอยู่กับ ความจริง ความจริงนั้นแหละคืออาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่เชื่อว่าความเท็จจะเอาชนะความจริง เราอาจจะเจ็บ เราอาจจะปวด จากความเท็จ ตัวผมเองในชีวิตต้องเผชิญกับสงครามที่ใช้ความเท็จเป็นอาวุธมายาวนานมาก บางครั้งก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่บางครั้งสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ผมพบว่าความโปร่งใสในโลกนี้มีมากขึ้นแล้ว จากความโปร่งใสนี้เองจะเป็นภูมิป้องกัน คนที่พูดความจริง ความจริงจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ขอให้คุณธนาธรพูดความจริงเถอะ ความจริงจะคุ้มครองคุณ เพราะฉะนั้น เราทุกคนจะเป็นกำลังใจให้คุณ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ : ก็ กลัวอยู่เหมือนกันครับ พูดหมดก็ไม่ได้นะครับ (หัวเราะ)ถ้าผมพูดอะไรสุดท้ายได้ เป็นค่ำคืนที่ผมได้พบคุณลุงตัวเป็น ๆ คือ คุณูปการของฟ้าบ่กั้น ผมคิดว่ามันทำให้ เรื่องความไม่ยุติธรรม การขูดรีด มันเป็นการเล่นเสียดสี เล่นตลกกับเรื่องนี้ในชีวิต มันทำให้ชนชั้นกลางเสพได้ มันทำให้เรา มองเห็นการกดขี่ขูดรีดพวกนี้จากความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตตัวละครในฟ้าบ่กั้น ผมก็เติบโตมากับการอ่านหนังสือนี้ แล้วทำให้เราเริ่มต้นที่ความเป็นคน คือเรารู้สึกว่ามันไม่ควรมีคนอย่างนั้น มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างนั้น กับคนที่มีชีวิต ความเป็นอยู่แบบผม ในสังคมเดียวกัน มันเริ่มด้วยความรู้สึกเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจ กับคนอื่นเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ แต่สำหรับผมฟ้าบ่กั้นคือคุณูปการต่อสังคมไทย คำสิงห์ ศรีนอก :ที่ ฟังมา ที่คุยมา ผมคิดว่าเราอาจจะพูดข้ามไปข้ามมาบ้าง แต่เราได้ความรู้เยอะ ผมคิดว่านี่แหละคือ ช่วยกันคิดสิ่งที่เราพูดสิ่งที่เราคุยกันในวันนี้เพื่อให้ต่อยอดเป็นความคิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคุณธนาธร หรือแม้แต่ผมเอง ระมัดระวัง ก็คือในภาษาไทยใหม่ๆ นี้มันมีคำหนึ่งที่เกิดขึ้น เป็นคำประหลาด จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นในภาษากฎหมาย ก็คือคำว่า ขยายผล เพราะฉะนั้นการพูดต่อที่ชุมชนหรือพื้นที่สาธารณะพูดครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ ทำให้เกิดการขยายผล เสียผล วันนี้ผมชื่นชมนะ สิ่งที่พูด เราพูดชัดเจน การพูดไม่ชัดเจนคนอื่นนำไปขยายผลทำให้ตามแก้ไม่ได้ เหมือนเสื้อดำเผาบ้าน เผาเมือง เกิดจากการขยายผล พูดคะนองปาก แต่วันนี้เราทั้งสามคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมสังเกตพวกเรามีความระมัดระวัง พูดอะไรไม่ให้คนจับไปขยายผลได้ ผมหวังว่าอย่างนั้นนะครับ ผมคิดว่าเราดีแล้วที่ได้พูดในปัญหาที่พูดยากที่สุด แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนฟังก็ดูเหมือนจับความได้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นคืออะไร และพูดอย่างไร วงเสวนาในค่ำคืนของฤดูหนาว ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ กองไฟที่ลุกโชนอยู่เบื้องหน้าของผืนป่าใหญ่ ต่อหน้าผู้ร่วมงานทุกคน เปรียบประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าหนทางข้างหน้าแม้จะมืดมิดหนาวเหน็บเพียงไร ยังมีกลุ่มไฟที่พร้อมให้แสงสว่างส่องทาง และให้ความอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน เราต่างเป็นผู้เติมเชื้อไฟให้ลุกโชนขึ้นในหัวใจ ของกันและกัน และจะส่งสะท้อนต่อไปยังหัวใจของผู้รักความเท่าเทียมอีกหลายๆ ดวง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น