โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

รายงาน:วันชัย รักสงวนศิลป์ น้ำคำอันขื่นแค้น

Posted: 02 Jan 2013 10:35 AM PST

คำบอกเล่าของแม่และเพื่อนผู้ใกล้ชิดถึงชะตากรรมของนักโทษการเมืองหนุ่มวัย 31ปี จากอุดรธานีทีแม้แต่ระบบที่เขาต่อสู้ปกป้องก็ไม่สามารถหยิบยื่นอิสรภาพให้กับเขาได้

เดิมทีวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553 นางทองมา รักสงวนศิลป์ มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมนายวันชัย รักสงวนศิลป์ ที่เรือนจำหลักสี่ ในช่วงเช้าของนั้น เธอเดินทางมายังอำเภอเมืองอุดรธานีเพื่อจองตั๋วรถไฟฟรีจากจังหวัดอุดรธานี – กทม. เที่ยวเวลา 20.30 น. จากนั้นเดินทางกลับบ้านที่อำเภอหนองหารอีกรอบเพื่อเนื้อทอดและจัดเตรียมอาหารอื่นๆ อีกหลายอย่างสำหรับนำไปฝากลูกชายและเพื่อนผู้ต้องคนอื่นๆ 

เวลาประมาณ 15.00 – 16.00 น. ขณะที่จัดเตรียมสัมภาระอยู่ นายคงเดช ปัญญาทอง อดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองและแกนนำเสื้อแดงอำเภอหนองหารได้โทรศัพท์มาบอกนางทองมาว่านายวันชัยผู้เป็นลูกชายได้เสียชีวิตแล้ว

โดยนางทองมาได้เล่าถึงความรู้ในทันทีที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชายว่าเธอเสียใจมากแต่เธอทำแต่ต้องรวบรวมความกล้าหาญและอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นให้ได้เพราะสำหรับเธอนอกจากนายวันชัย ผู้เป็นลูกแล้วเธอไม่มีใครอีกแล้ว

นางทองมากล่าวทั้งน้ำตาว่า นับตั้งนายวัยชัยผู้เป็นลูกชายถูกจับชีวิตเธอต้องเผชิญกับความสูญเสียและความเจ็บปวดมาตลอดเวลา  

"ทันทีที่เขาบอกลูกชายตาย น้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม แต่แม่ไม่ร้องไห้เป็นเสียงออกมา บอกตัวเองไว้เลย ว่าแม่ต้องใจแข็ง แม่ต้องไม่เป็นลม เพราะลูกไม่มีใคร ต่อมาก็มีคนโทรมาอีกหลายคนแต่ไม่มีใครกล้าบอกตรงๆ ว่าวันชัยตาย เพราะเขากลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป กลัวแม่จะเครียดจะคิดมาก แต่ตัวแม่เองทำใจได้ อดทนไหว เพราะนับตั้งแต่ลูกชายติดคุก แม่ต้องอยู่กับการสูญเสียตลอดเวลาอยู่แล้ว แม่ทนอยู่กับความเจ็บปวดได้ แม่อยู่กับความเจ็บปวดมามากแล้ว เพราะหลังจากลูกชายถูกตัดสินคดีแล้วต่อเดือนพฤษภาคม ปี 55 แม่ได้แยกทางกับพ่อของนายวันชัยแล้วย้ายจากอุดรธานีไปทำงานอยู่ภาคใต้กับลูกสาว

มาเดือนพฤศจิกายในปีเดียวกัน แม่ก็ถูกครอบครัวของพ่อนายวันชัยไล่หนี เขาให้แม่มารื้อบ้านออกจากที่ดินของเขา ถ้าแม่ไม่กลับมารื้อบ้านเขาจะเผาบ้านทิ้ง ทุกวันนี้แม่ต้องเอาเสาบ้าน เอาแป้นไม้ (แผ่นกระดานบ้าน) ที่รื้อแล้วไปกองเก็บไว้ในที่ดินของญาติ แม่ยังไม่มีบ้านอยู่เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ แล้วนามสกุลรักสงวนศิลป์เขาบอกว่าไม่ให้ใช้แล้ว ลูกแม่ที่เป็นหลานของพวกเขาแท้ๆ เขายังให้ไปเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เขาไม่เข้าใจอะไร จดหมายด่วนส่งมาจากเรือนจำพวกเขายังไม่กล้ารับด้วยตัวเอง ต้องไปเรียกคนข้างบ้านมารับแทน ตอนยื่นเอกสารประกันตัววันชัยเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา พ่อของวันชัยก็ไม่ยอมเซ็นต์เอกสารให้ เขาไม่สนใจลูกเลย ตอนติดคุกอยู่ไปเยี่ยมแค่สองครั้งได้ ตอนตายแล้วพ่อและญาติฝ่ายพ่อไม่เคยมาร่วมงานศพ แต่พ่อเขาบอกว่าจะไปที่ กทม. ไปรับศพลูกด้วย แต่เขามาถูกรถชนขาหักต้องเข้าโรงพยาบาลเลยไม่ได้มา กทม. แม่ได้แต่หวังว่าวันเผาพวกเขาอาจจะมา"

หลังจากทราบข่าวนางทองมาได้เดินทางมายังอำเภอเมืองอุดรธานีเพื่อซื้อตั๋วรถไฟใหม่สองใบโดยได้เที่ยวประมาณ 19.00 น. เนื่องจากไม่สามารถอดทนนั่งรอจนถึงเวลารถไฟ(ฟรี)ที่ออกตอน 20.30 น. โดยแม่ทองมาได้เดินทางไปกับนางสาวรัชฏา ทองทิพย์ ภรรยาของนายบัวเรียน แพงสา 1ในผู้ต้องคดีการเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำหลักสี่ด้วยกัน แต่เนื่องรถไฟเกิดความขัดข้องนางทองจึงต้องเดินทางด้วยรถบัสที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดเตรียมให้เพื่อไปต่อรถไปที่สถานีรถไฟขอนแก่น แต่ในขณะที่รอขึ้นรถบัสนางทองมาได้เกิดเครียดมากและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางทองมาและนางรัชฎาได้แต่นั่งจับมือร้องไห้อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟอุดรธานีจนสุดท้าย ด้วยความสับสนกระวนกระวายใจจนทำอะไรไม่ถูกนางทองมาเลยไม่ได้เดินทางไปกับรถไฟ และในระหว่างนั้นนายคงเดช ปัญญาทอง ได้โทรศัพท์มาถามข่าวและเมื่อทราบว่านางทองมาอยู่ในอาการเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก เวลาประมาณ 20.00 น. นายคงเดชจึงขับรถส่วนตัวออกจากบ้านพักเพื่อมารับนางทองมาจากสถานรถไฟอุดรธานีและออกเดินทางไปถึงกทม.

เมื่อเดินทางมาถึงกทม.ในเวลา 08.00 น. ของวันที่ 28 ธันวาคม นางทองมายังไม่สามารถดำเนินการอะไรเกี่ยวกับนายวันชัย ได้ นางรัชฏาจึงได้เข้าเยี่ยมนายบัวเรียน แพงสา เพื่อสอบถามรายละเอียดเหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของนายวัยชัย ทำให้ทราบว่า ช่วงเช้าของวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ได้มีกิจกรรมแข่งกีฬาในเรือจำเรือน หลังจากแข่งกีฬาเสร็จผู้ต้องขังได้มาพักรับประทานอาหารกลาง จากนั้นนายวันชัยได้ลุกขึ้นไปล้างหน้าและหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะหงายหลังล้มลงหมดสติทันทีต่อหน้าเพื่อนผู้ต้องขังคนอื่นๆ โดยมีนายบัวเรียนได้เข้าไปปั้มหัวใจอยู่นานพอสมควรก่อนที่นายวันวัยจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเจ้าหน้าที่เรือนจำและได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากรับศพนายวันชัยแล้วนางทองมาได้นำศพลูกชายเดินทางกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดเรืองชัย ตำบลพังงู อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลาประมาณ 15.30 น. ซึ่งปรากฏนายขวัญชัย ไพรนากับทีมงานประมาณ 4 คนได้มารออยู่ที่วัดก่อนแล้ว โดยนายขวัญชัยมาเพื่อบอกนางทองมาให้เผาศพนายวัยชัยในวันรุ่งขึ้น โดยอ้างประเพณีความเชื่อของคนอีสานว่าการเก็บศพข้ามปีไม่เป็นมงคล แต่นางทองมาอยากตั้งศพบำเพ็ญกุศลเพื่อให้ญาติพี่น้องและคนเสื้อแดงได้เดินทางมาร่วมงาน เธอจึงไปเจรจากับเจ้าอาวาสวัดเพื่อขอตั้งศพบำเพ็ญกุศล ซึ่งเจ้าอาวาสอนุญาตให้ได้ 4 คืน โดยมีนายขวัญชัย ไพรพนา เป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพในคืนแรก (30 ธันวาคม พ.ศ. 2555) และคณะนายอำเภอหนองหารเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพใน 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ส่วนการสวดอภิธรรมศพในคืน 1 มกราคม พ.ศ. 2555 มีคณะเครือญาติทุกเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ บรรยากาศงานสวดอภิธรรมศพมีคนเสื้อแดงเข้าร่วมงานบางตา โดยส่วนมากเป็นเครือข่ายผู้ต้องคดีทางการเมืองที่ถูกศาลชั้นต้นได้ตัดสินยกฟ้องซึ่งนอกจากมาร่วมงานสวดอภิธรรมแล้วยังได้นอนอยู่เป็นเพื่อนนางทองมาที่ศาลาวัดเรืองชัยด้วย ด้านแกนนำคนเสื้อแดงพบว่ามีเพียงนายคงเดช ปัญญาทองแกนนำเสื้อแดงอำเภอหนองหาร และ ส.ส. ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงและ ส.ส.คนในจังหวัดอุดรธานีไม่ได้เดินทางมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพด้วย

นายมงคล ชมคุณ อดีตผู้ต้องคดีการเมืองได้เล่าถึงความอัดอั้นตันใจที่มีต่อกระบวนการตัดสินคดีว่าศาลใช้ดุลพินิจอะไรในการตัดสินคดีของศาลว่า

"ในความเข้าใจของผมคนที่จะถูกตั้งสินว่าเผาสถานที่ราชการต้องมีพฤติกรรมการเทน้ำมันลาดและจุดไฟเผาจนไหม้ แต่คนที่ถือถังเฉยไม่ได้เอาไฟไปจุดเผาศาลควรจะตัดสินแค่ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่นี่ไปลงโทษเขาว่าเผาสถานที่ราชการแล้วตัดสินจำคุก 20 ปี  ทำเกินไปไหม แล้วถามรัฐบาลหรือ นปช. เคยสนใจไหม แล้วทุกวันรัฐบาลยังเอาเงินเยียวยามาหลอกล่อพวกเรา บอกว่าจะจ่ายค่าชดเชยคนละเป็นล้าน แต่รัฐบาลเคยถามบ้างไหมว่าคนที่ถูกขังคุกเขาต้องการอะไร ผมบอกได้เลยว่าเขาไม่ได้ต้องการเงินล้าน แต่เขาต้องการอิสรภาพ เขาอยากกลับบ้านมานอนกอดเมียกอดลูกมากกว่า อย่างตอนนี้ที่ไปฟังคำตัดสินคดีของศาลชั้นต้น พวกเราทุกคนเดินทางออกจากบ้านไปขึ้นศาลด้วยความเชื่อมั่นว่าคำตัดสินของศาลจะออกมาอย่างไรก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทย รัฐบาลของเราต้องสามารถประกันตัวพวกเราออกมาเพื่อต่อสู้คดีได้แน่นอน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่  พวกเราหลายคนต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกรอบ ขณะที่แกนนำกลับได้รับการประกันตัวออกมาจนหมด แล้วมาวันนี้ถ้าวันชัยไม่ตายคนอย่าง อ.ธิดา หมอเหวง ผมถามว่าเดี๋ยวนี้มีไหมที่สนใจลิ่วล้อแบบเรา ขนาดประชา(รมว.ยุติธรรม ประชา พรหมนอก) เป็นคนอุดรแท้ อยู่ตำแหน่งสำคัญด้วยยังช่วยเหลือพวกเราออกมาไม่ได้ แม้แต่งานศพวัยชัยจัดอยู่อุดรแท้ๆ เขายังไม่เคยเข้ามาร่วมงานด้วยซ้ำ"

 

นายสมจิต อารีย์ และนางปาริชาติ จวงจันทร์ สองสามีอดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองได้ขับรสบัสพาเครือข่ายครอบครัวผู้ต้องขังมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพได้กล่าวทั้งน้ำพร้อมทั้งโชว์จดหมายที่นายวันชัย รักสงวนศิลป์ได้จากเรือจำหลักสี่มาอวยพรปีใหม่พรปีใหม่เธอ โดยนางปาริชาติกล่าว ได้รับจดหมายฉบับดังกล่าวในเวลา 10.20 น. และหลังจากเปิดอ่านด้วยความดีใจได้ประมาณ 10 นาที เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนอดีตผู้ต้องขังว่านายวันชัยได้เสียชีวิต

"ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนเราหมดความหวัง การต่อสู้ของพวกเราถูกทำให้ไม่มีความสำคัญ"

จากนั้นนางปาริชาติและนายสมจิตได้เดินเข้าไปยังศาลาวัดเพื่อไหว้ศพนายวันชัยพร้อมทั้งกล่าวว่า


 

"กิ้น (ชื่อที่ใช้เรียกคุณวันชัย) ป๋ากับแม่มาแล้วนะลูก หม่ามี๊มาด้วย คืนนี้จะมานอนด้วย พาหลานมาบวชให้ด้วยพรุ่งนี้ นับจากที่แม่ออกจากเรือนจำมา แม่ไม่เคยลืมลูกเลย เวลาไปเยี่ยมถามตลอดว่าอยากกินอะไร แต่ลูกไม่เคยบอกเลยว่าอยากกินอะไร ลูกเป็นคนดีเป็นคนขี้เกรงใจ วันนี้แม่เอารถบัสมาพาพรรคพวกเรามาด้วย"

นางสาวรัชฏา ทองทิพย์ ภรรยาของนายบัวเรียน แพงสา ผู้ต้องคดีการเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำหลักสี่ กล่าวหลังจากเดินทางมาร่วมงานสวนพระอภิธรรมศพในคือวันที่  1 มกราคม พ.ศ. 2556 ว่า

" แม่แกไม่มีใครเลยนะ พวกหนูกับพวกเพื่อนของของอ้ายวันชัยที่เขาออกจากคุกไปแล้วเลยต้องมาช่วยงาน มานอนเป็นเพื่อนแกจะอยู่กับแม่แกจนงานเผาเสร็จเลย จริงๆพวกเราอยากมากันตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว แต่ไม่มีรถมาต้องรอพี่สมจิต(อดีตผู้ต้อง)เขาเลิกงานแล้วให้เขาพาขับรถมา คนเสื้อแดงอุดรที่ว่ามีมากก็ไม่เห็นมาเท่าไหร่ งานเงียบมากไม่สมกับว่าแกเป็นวีรชน แกนนำเสื้อแดงอุดรก็ไม่มา หนูก็ไม่เข้าใจว่าปีใหม่มีอยู่ทุกปีแล้วทำไมถึงไม่ช่วยงานพี่แกหน่อย

ตอนที่หนูไปรับศพพี่วันชัยเห็นแม่ที่ กทม. แกเสียใจมาก เรียกว่าเบลอจนทำอะไรไม่ถูก ข้าวปลาไม่ยอมกิน นอนก็ไม่หลับ แกคิดมากเรื่องลูกเสียชีวิต แกสงสารลูกมากเพราะไม่คิดว่าลูกจะมาตาย ใครจะคิดว่าเวลาวางแผนจะมาเยี่ยมลูกแล้วจะกลายเป็นว่ามารับศพลูกกลับบ้าน หนูยังไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นแบบนี้ติดว่าจะมาเยี่ยมผัวมากอดผัวแต่ต้องมาเจอสภาพแบบนี้ เรียกว่าพวกในเรือนจำตอนนี้ขวัญเสียหมดแล้ว ตอนหนูไปเยี่ยมผู้คุมเขาให้ลงมาแดนเยี่ยมทุกคน เขาก็ร้องไห้กันทุกคนไม่มีใครยิ้มออกซักคน หนูสั่งข้าวผัดมาให้กินแม่ก็กินแค่คำเดียวเท่านั้นแหล่ะ สองคนเขารักมาก พี่คิดดูว่าตอนที่พวกนั้นยังถูกขังอยู่อุดรบ้านแกหนองหารอยู่ห่างจากเรือนจำเกือบห้าสิบกิโล แต่แกมาเยี่ยมพี่วันชัยเกือบทุกวัน พอมาถึงแกไม่ใช่มาตีตั๋วเข้าเยี่ยมตัวเปล่า แกต้องไปแวะตลาดก่อน ซื้อของกินฝากให้ลูกทุกวันไม่เคยขาด แล้วพอแกย้ายไปอยู่ภาคใต้ลูกก็ย้ายไปอยู่หลักสี่แล้ว แกยังอุตส่าห์มาเยี่ยมลูกได้ทุกเดือน แล้วลูกชายแกเวลาที่พวกหนูไปเยี่ยมมีแต่ถามข่าวว่าแม่เป็นอย่างไร แกเป็นห่วงแม่มากยิ่งหลังจากเลิกกับพ่อแล้วพี่วันชัยยิ่งเป็นห่วง

 

ข้อมูลเบืองต้นเกี่ยวกับนายวันชัยและครอบครัว

 

วันชัย รักสงวนศิลป์  วัย31 ปี ชาว หนองหาร อุดรธานี อาชีพรับจ้างในภาคเกษตร ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัวในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553  บริเวณ สนามทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี วันชัยถูกนำไปสอบสวนยังค่ายทหารและถูกส่งตัวมาคุมขังยังเรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานี ในขณะที่ นางทองมา รักสงวนศิลป์ ผู้เป็นมารดาไม่ได้รับการแจ้งข่าวการจับกุมจากหน่วยงานรัฐเลย และด้วยกังวลใจว่าลูกชายได้หายไป เธอและสามีจึงได้ออกตามหาลูกชายตามบ้านคนรู้จักและตามสถานที่ที่นายวันชัยเคยไปแต่ไร้วี่แวว โดยเธอไม่ได้เอะใจสักนิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุมจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เพราะโดยปกติเธอครอบครัวเธอไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง

ทองมาและสามี ตระเวนตามหานายวันชัยกระทั่งเวลาผ่านไป 7 วัน จึงมีชาวบ้านที่ฟังวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวีท้องถิ่นได้มาแจ้งให้ทราบว่าเห็นลูกชายเธอปรากฏรวมในกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกจับ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอและสามีได้เดินทางไปสอบถามที่สถานีตำรวจ และสถานีวิทยุชุมชนด้วยตัวเองถึงได้ทราบว่านายวันชัยได้ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานีแล้ว

วันชัย ถูกแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์,บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ,ทำให้เสียทรัพย์, ขัดขวาง เจ้าพนักงาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ วันชัยได้เล่าถึงเหตุการณ์ให้ฟัง วันเกิดเหตุเขาได้ขับรถจักรยานยนต์ไปจอดยังสถานีวิทยุชุมชนใกล้บ้าน แล้วขึ้นรถกระบะมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี  โดยเขายืนอยู่ ณ จุดที่มีกระติกน้ำมันจำนวนหนึ่งวางอยู่  และเห็นว่าเกะกะจึงได้ยกออกไปวางให้เป็นระเบียบ  โดยมีคนเสื้อแดงที่เคยถูกจับและถูกยกฟ้องในคดีเดียวกันคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยตลอดเวลา  แต่ปรากฏว่าตำรวจได้กล่าวหาว่าเขาเป็นคนนำน้ำมันมาเผาสถานที่ราชการจึงถูกจับกุม

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ยกฟ้องข้อหาทำให้เสียทรัพย์และขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่ลงโทษข้อหาวางเพลิงอาคารศาลากลางหลังเก่า โดยให้จำคุก รวม  20 ปี 6 ด. และให้จำเลยร่วมกันชดใช้  57.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย7.5% /ปี

นับจากวันที่ถูกจับกุม จนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในเรือนจำ เป็นเวลา 2 ปี 7 เดือนเศษ วันชัยมีโอกาสได้รับสิทธิในการประกันตัวในช่วงก่อนที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เป็นเวลาเพียง 2 เดือนเศษ

วันชัยเสียชีวิตในเรือนจำ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555

สำหรับทองมา มีอาชีพรับจ้างรายวันในร้านขายวัสดุก่อสร้าง เธอต้องยกอุปกรณ์ก่อสร้างทุกชนิดรวมทั้งกระสอบ ปูน อิฐ  ตั้งแต่เวลา  08.00 น. ถึงเวลาเย็น (เวลาไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับลูกค้า) และบางวันต้องกลับบ้าน 20.00 น. เพราะต้องไปกับรถส่งของให้ลูกค้า เพราะเธอมีหน้าที่ยกของขึ้น – ลงรถ โดยได้ค่าจ้างวันละ 180 บาท ซึ่งแต่เดิมเป็นรายได้ที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในครอบครัว แต่ภายหลังจากที่นายวันชัยถูกคุมขังเธอต้องขาดงานบ่อยเพื่อไปเยี่ยมลูกชายเป็นประจำทุกอาทิตย์ นอกจากนี้ เธอยังต้องกันเงินส่วนหนึ่งสำหรับฝากเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกชายที่อยู่ในเรือนจำด้วย ทำให้บางครั้งเธอต้องหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องเพื่อนำมาเป็นค่าจ่ายที่จำเป็น

 

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 53 ( ศปช.)

 

    ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เสื้อแดงอุดรตายคาเรือนจำ

 


 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Life of Pi: เมื่อความโกลาหลเกิดศีลธรรมก็หยุดทำงาน

Posted: 02 Jan 2013 09:34 AM PST

ภาพโดย facebook "Ko Natnatee Dokmai"

Life of Pi กำกับโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์ อัง ลี่ เรื่องถูกดัดแปลงมาจากนวนิยาย Life of Pi ซึ่งเขียนโดย Yann Martel เรื่องกล่าวถึงชีวิตของเด็กหนุ่มอินเดียชื่อ Piscine Molitor Partel โดยชื่อนี้พ่อเขาตั้งขึ้นตามชื่อสระว่ายน้ำในปารีส แต่เนื่องจากภาษาฝรั่งเศส Piscine คล้องกลับ Pissing ที่แปลว่าฉี่ทำให้ไพโดนเพื่อนล้อบ่อยๆ และเปลี่ยนชื่อเล่นตัวเองว่า ไพซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ พ่อของเขาเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ส่วนแม่เป็นนักพฤกษศาสตร์ พ่อและแม่ของไพเป็นคนรุ่นใหม่ที่เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนา และสอนถึงการใช้เหตุผล แต่ตัวไพกลับเป็นผู้นับถือศาสนาสามศาสนาใหญ่ในโลกคือ คริสต์ อิสลาม และฮินดู ชีวิตของไพกลับพลิกผันเมื่อ พ่อของเขาตัดสินใจขนสัตว์ไปขายที่แคนาดาและตั้งใจไปตั้งรกรากที่โน่นระหว่างทางเรือที่โดยสารเกิดอัปปางและไพเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต หลังจากเกิดเรื่องบริษัทเดินเรือญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าของเรือต้องการมาสอบสวนสาเหตุที่เรืออัปปาง ไพจึงเล่า

พลอตเรื่องแรก ไพรอดชีวิตจากเรืออัปปางและลอยอยู่ในเรือบดลำเล็กพร้อม ม้าลายที่ขาหัก อุรังอุตัง ไฮยีนา และ เสือเบงกอล ไฮยีนาฆ่าม้าลาย อุรังอุตัง แต่สุดท้ายไฮยีนาถูกเสือเบงกอลฆ่าตาย เหลือไพกับเสือเบงกอลที่รอดชีวิต  และในระหว่างนั้นไพต้องต่อสู้เพื่อมีชีวิตร่วมกับสัตว์ดุร้ายอย่างเสือเบงกอล

ซึ่งพลอตเรื่องแรกดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เขาจึงเล่าพลอตเรื่องที่สอง ไพรอดชีวิต พร้อมลูกเรือที่ขาหัก แม่ของเขา และพ่อครัวที่โหดร้าย พ่อครัวฆ่าลูกเรือ และ แม่ของเขาตายเพื่อเป็นอาหารและเหยื่อล่อปลา ส่วนไพภายหลังแอบฆ่าพ่อครัวได้ และมีชีวิตรอดพอจากเสบียงประทังชีวิตที่เพียงพอเพราะตัวหารน้อยลง

ประเด็นของหนังคือ เมื่อเกิดสภาวะโกลาหลแล้วกลไกศีลธรรมอย่างศาสนาก็จะหยุดทันที การกำเนิดของศาสนามีเพื่อเข้ามาจัดการสภาพความไร้ระเบียบของสังคมมนุษย์ มนุษย์เองก็เป็นสัตว์ธรรมดาทั่วไปที่เมื่ออยู่โดยไร้ระเบียบสังคมแล้วก็ย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติคือ ผู้เข้มแข็งกว่าย่อมกินผู้อ่อนแอกว่า การสร้างศาสนาหรือศีลธรรมของมนุษย์ก็เพื่อยกระดับตนเองให้อยู่เหนือสัญชาตญาณสัตว์ป่า และเกิดการอยู่ร่วมกันของมนุษย์  แต่ทว่าศานาเก่าหลักๆ สี่ศาสนาได้แก่ ฮินดู คริสต์ อิสลาม และพุทธกำลังถูกศาสนาใหม่ คือ ศาสนาวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องเหตุผลมาท้าทาย แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าก็ไม่สามารรถลบศาสนาไปจากสังคมมนุษย์ได้

เมื่อสภาวะไร้ระเบียบอย่างการเรือล่มอัปปาง กฎธรรมชาติที่ผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมอยู่รอดก็ทำงาน บรรดาพวกศีลธรรมศาสนาสูงอย่างไพก็ทำตามศาสนาสอนไม่ได้ ต้องตามเกมไปด้วยการ ดูไฮยีนาฆ่าม้าลายตายต่อหน้า เพื่อนำไปเป็นเหยื่อให้ปลากิน และนำเอาปลาไปให้อุรังอุตังและเสือกิน จะว่าไปคนที่ซื่อสัตย์ต่อสัญชาตญาณมนุษย์มากที่สุดก็คือไฮยีนานีแหละ พวกบรรดาปากถือศีลที่ไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือดฆ่าม้าลายกลับเอาผลประโยชน์จากการตายของม้าลายไป และคนที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือเสือที่เป็นผู้เคร่งครัดศาสนาที่สุด เสือยอมดูแม่อุรังอุตังตายต่อหน้าเพื่อหนีออกมาจากไฮยีนา และสุดท้ายก็แอบไปฆ่าไฮยีนาทีเผลอ

บทสรุปตอนท้ายตอบข้อคำถามที่ว่า ศาสนาใหญ่ทั้งสี่ยังมีความจำเป็นต่อสังคมปัจจุบันที่มีวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอยู่หรือ? คำตอบตอนจบเรื่องได้บอกไว้แล้ว เมื่อบริษัทประกันญี่ปุ่นเลือกจะบันทึกเรื่องที่เป็นมหัศจรรย์มากกว่าเรื่องที่เป็นความจริงอิงหลักเหตุผลวิทยาศาสตร์มากกว่า เพราะศาสนายังจำเป็นเพื่อปิดบังความโสมมที่เป็นธาตุแท้ของมนุษย์

หลังเกิดเหตุการณ์ หัวใจของไพก็แตกสลายจากการที่ ศรัทธาของตนที่มีต่อศาสนาหลักที่สอนให้ไม่ฆ่าคน แต่ตนเองที่เป็นผู้เคร่งศาสนากลับประพฤติเสียเอง ทั้งการฆ่าคน ปล่อยให้พ่อแม่พี่ตาย หรือตลอดจนการกินเนื้อซึ่งปกติเขาเป็นมังสวิรัติ แต่เพื่อการอยู่รอดแล้วเขากินเนื้อมนุษย์ซึ่งรวมถึงแม่ของเขาด้วย เมื่อหลักที่ตนเองใช้ดำเนินชีวิตแหลกสลาย ไพจะมีชีวิตอยู่กับบาดแผลลึกนี้ได้อย่างไร ในหนังได้ตอบไว้แล้ว คือ ไพใช้กลไก Defense mechanism โยนความผิดบาปในใจจากการกระทำชั่วของตนให้กับสัตว์ที่ตนเองจินตนาการอย่างเสือเบงกอลไป และปล่อยให้เสือเบงกอลเข้าไปในป่า

 

จากบทความเดิมชื่อ Life of Pi : chaos begins, moral corrupts

ขอบคุณรูปจาก https://www.facebook.com/photo.php?fbid=423203297724150&set=a.410208619023618.100842.100001034494300&type=1&theater

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

10 อันดับเรื่องสำคัญ ปี 2555 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ

Posted: 02 Jan 2013 06:40 AM PST

ปี 2555 ที่ผ่านมา เรื่องราวเกี่ยวกับชาวสีรุ้ง กะเทย ทอม-ดี้ เกย์เลส คนรักสองเพศ คนรักได้ทุกเพศ คนข้ามเพศ คนแปลงเพศ ที่สำคัญและน่าจดจำมีอะไรบ้าง

1. ร้านหนังสือซีเอ็ด ออกหนังสือภายในไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ แจ้งข้อกำหนด 6 ข้อ เกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือที่จะไม่รับมาจำหน่าย ทั้งหลายเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ และข้อ1 ใน จำนวน 6 ข้อนั้น ก็คือการไม่รับหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงรักหญิง ชายรักชาย มาวางจำหน่ายในร้าน

จากนั้นซีเอ็ดได้อ้างว่าไม่มีเจตนาเลือกปฏิบัติต่อคนหลากหลายทางเพศ แต่เป็นการกระทำของพนักงานระดับปฏิบัติการ ที่ใช้สื่อสารกันภายใน ที่ผู้บริหารไม่มีส่วนรู้เห็น (ธันวาคม)

2. ได้มีการจดทะเบียนองค์กรที่ทำงานเพื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศครั้งแรกของประเทศไทย  คือมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ และเป็นองค์กรแรกที่ระบุในวัตถุประสงค์ของมูลนิธิไว้อย่างชัดเจนว่า ทำงานเพื่อสิทธิของคนกลุ่มดังกล่าว ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา องค์กรต่างๆ จะเลี่ยงไปใช้ชื่อในลักษณะอื่นๆ แทน เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมมีมุมมองว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกันผิด/ขัดต่อวัฒนธรรมไทย (ตุลาคม)

4. คณะกรรมมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เกี่ยวกับสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ สืบเนื่องมาจากคุณนที ธีรโรจนพงษ์พาคู่ชีวิตเพศเดียวกันไปจดทะเบียนสมรส แต่ไม่สามารถจดได้ จึงมาร้องเรียนกับคณะกรรมธิการชุดดังกล่าว (ตุลาคม)

5.คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ หรือคุณกอล์ฟ ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ประจำปี 2555 นับเป็นชาวหลากหลายทางเพศ (ที่เปิดเผย) คนแรกที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้

คุณธัญวารินทร์ เคยกำกับหนังสั้นเรื่อง "I'm fine.สบายดีค่ะ" ที่สะท้อนภาพกะเทยในสังคมไทย ได้รางวัลชนะเลิศรางวัลรัตน์ เปสตันยี จากการประกวดภาพยนตร์สั้นไทยครั้งที่ 12 ประจำปี พ.ศ. 2551 จากนั้นคุณธัญวารินทร์ ก็เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง"Insects in the Backyard" ได้รับการคัดเลือกให้เข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์ Vancouver International Film Festival 2010 ในสาย Dragons and Tigers Award และยังได้รับการคัดเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ World Film Festival of Bangkok 2010 แต่ภาพยนต์ดังกล่าวถูกห้ามฉายในประเทศไทย!!

ล่าสุดเธอเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง "It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก" เรื่องนี้เกี่ยวกับกะเทยแปลงเพศ ที่ฉายได้ในประเทศไทย และยังได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังที่ประเทศสเปนอีกด้วย (มกราคม)

6. คุณยลดา ยลดา เกริกก้อง สวนยศ นายกสมาคมฯ สตรีข้ามเพศแห่งประเทศไทย ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.อบจ.น่าน ถือเป็นสตรีข้ามเพศคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งในเวทีการเมืองระดับท้องถิ่น และในอนาคตไม่ช้า เชื่อว่าจะต้องเห็นเธอในเวทีการเมืองระดับชาติแน่ๆ  (พฤษภาคม)

3. ทอมกับกะเทยแต่งงาน จดทะเบียนสมรสกัน กลายเป็นข่าวฮือฮาทีเดียว เมื่อคุณเบญจมาภรณ์ โรจน์จุฑากุล  วัย 25 ปี  ผู้นิยามตัวเองว่าเป็นทอม กับคู่รักคือคุณสิทธิชัย เสือฟัก วัย 23 ปี ผู้นิยามตัวเองว่าเป็นกะเทย จูงมือกันไปจดทะเบียนสมรส และสามารถจดได้ เพราะทั้งคู่ยังมีคำนำหน้านามที่เป็นระหว่าง "นาย" และ "นางสาว" อยู่ ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการสมรส บรรพ5. ที่การแต่งงานจะต้องเกิดขึ้นระหว่าง ผู้หญิง นางสาว (หรือนาง) กับนาย เท่านั้น (มีนาคม02/01/56)

7.คุณสิริลดา โครตพัฒน์ ได้เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจากนายเป็นนางสาว เนื่องจากเธอเป็นผู้มีเพศกำกวมไม่บ่งชี้ว่าเป็นเพศชายหรือหญิง หรือ Intersex ที่หากผ่าตัดเป็นเพศใดเพศหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามได้ ซึ่งประเทศไทยเคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้ว แต่สำหรับกะเทย หญิง/ชายข้ามเพศ ไม่สามารถเปลี่ยนได้แม้บางคนจะผ่าตัดแปลงเพศสมบูรณ์หมดแล้วก็ตาม นับเป็นตรรกะแปลกๆ อธิบายไม่ได้อีกประเด็นหนึ่งของสังคมไทย (สิงหาคม)

8.เป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อนุญาตอย่างเป็นทางการให้นักศึกษากะเทยแต่งตัวในแบบผู้หญิงรับปริญญาได้ (ทั้งนี้ต้องมีเอกสารยืนยันจากแพทย์ว่าว่าเป็นผู้มี "ภาวะเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด" หรือ Gender Identity Disorder ตามบัญชีจำแนกโรคขององค์การอามัยโลก แต่ขณะเดียวกันตอนนี้เครือข่ายกะเทย/คนข้ามเพศ/คนแปลงเพศทั่วโลก ได้ทำการรณรงค์ให้องค์การอนามัยโลกตัด Gender Identity Disorder ออกจากการจำแนกโรค (สิงหาคม)

9. ข้อกำหนดคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ใน พรบ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (2546 และแก้ไขเพิ่มเติม ใน2550) ได้เพิ่มเติมการกำหนดบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป้าหมายเป็นผู้รับบริการสวัสดิการสังคม พ.ศ 2555 โดยเขียนระบุกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ/คนรักเพศเดียวกัน/คนรักสองเพศ/คนข้ามเพศ/คนที่มีลักษณะเพศทางชีวภาพไม่ชัดเจน เป็นคำจำกัดความไว้ในพรบ.ดังกล่าวอย่างชัดเจน (กันยายน)

10. ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน ปฏิเสธการรับรองสิทธิด้านความหลากหลายทางเพศ ที่ UN หรือองคืการสหประชาชาติให้การรับรองสิทธิด้านนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อเดือนมิถุนายน 2554

โดยประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน จะอ้างเหตุผลในเรื่องศาสนาและเรื่องวัฒนธรรมเป็นหลัก (กรกฎาคม)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหรัฐฯ ผ่านร่างกม.แก้วิกฤติ 'หน้าผาการคลัง' ขึ้นภาษีเฉพาะคนรวย

Posted: 02 Jan 2013 04:18 AM PST

ข่าวดีรับต้นปีสำหรับชนชั้นล่างและชนชั้นกลางสหรัฐฯ เมื่อรัฐบาลผ่านร่างกฏหมายเพิ่มภาษีเฉพาะคนรวย ที่มีรายได้ 400,000 ดอลลาร์ต่อปี เพื่อเป็นการคลี่คลายวิกฤติ "หน้าผาการคลัง" อันมาจากการสิ้นสุดของกฏหมายปรับลดภาษีของจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช

เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2013 สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ มีมติให้ผ่านร่างกฏหมายหลีกเลี่ยงวิกฤติ "หน้าผาการคลัง" (fiscal cliff) ด้วยคะแนนโหวต 257 ต่อ 167 ซึ่งกำหนดให้มีการขึ้นภาษีกับเฉพาะคนรวยในสหรัฐฯ และงดเว้นให้กับชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง

สำนักข่าว The Independent รายงานว่า มติดังกล่าวส่งผลให้มีการเพิ่มภาษีกับบุคคลทั่วไปที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ราว 12,000,000 บาท)  และกับครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 450,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ราว 13,600,000 บาท)

จำนวนรายได้ดังกล่าวมากกว่าที่พรรคเดโมแครตและปธน.โอบาม่าเคยเรียกร้องไว้ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็น้อยกว่าที่พรรคริพับริกันเรียกร้องไว้ 1,000,000 ดอลลาร์ และนี่ยังถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่พรรครีพับริกันสนับสนุนการขึ้นภาษี นอกจากนี้ยังมีการขึ้นภาษีมรดกไปเป็นร้อยละ 40 สำหรับกองมรดกที่มูลค่ามากกว่า 5,000,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 152,000,000 บาท)

ทางด้าน The Guardian รายงานว่า หากไม่มีการผ่านร่างกฏหมายดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2013 ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันทุกคนจะต้องเผชิญกับการเพิ่มภาษีเป็นการชั่วคราว แต่การผ่านร่างกฏหมายทำให้การเพิ่มภาษีไปอยู่กับประชากรผู้ร่ำรวยร้อยละ 2 ของสหรัฐฯ แทน นอกจากนี้กฏหมายล่าสุดยังป้องกันไม่ให้มีการปรับลดงบประมาณในโครงการของรัฐทั้งงบประมาณด้านกลาโหมและด้านสวัสดิการมีผลโดยทันที แต่มีการเลื่อนไปเป็นอีก 2 เดือนข้างหน้า หลังจากมีการอภิปรายในประเด็นนี้แล้ว

ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า กล่าวในที่ประชุมแถลงข่าวของทำเนียบขาวบอกว่า สัญญาที่ให้ไว้ในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นจริงแล้ว "ขอบคุณคะแนนโหวตทั้งจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพันริกันในสภา ผมจะเป็นผู้ลงนามในกฏหมายที่เพิ่มภาษีให้กับคนรวยชาวสหรัฐฯ ร้อยละ 2 แต่ก็จะป้องกันไม่ให้มีการขึ้นภาษีในชนชั้นกลางที่จะทำให้เศรษฐกิจถดถอยลงอีกครั้ง"

วิกฤติหน้าผาการคลัง กล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตามมาจากการปรับขึ้นภาษี ปรับลดรายจ่าย และการพยายามรับมือกับภาวะขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้กฏหมายลดภาษีจากสมัยจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช จะหมดวาระในช่วงเริ่มต้นปี 2013 แต่ทางพรรครีพับริกันได้เสนอให้มีการยึดเวลาการลดภาษีไปอีก 1 ปี แต่ทางวุฒิสภาซึ่งประกอบด้วยพรรคเดโมแครตเป็นส่วนใหญ่ได้ปรับให้นโยบายลดภาษียังคงใช้กับครอบครัวชนชั้นกลางและล่าง แต่มีการขึ้นภาษีในหมู่คนรวยแทน

เว็บไซต์ อสมท. รายงานว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวสูง 1,400 จุด ดัชนีปรับขึ้นกว่า 12 จุด จากปัจจัยบวกเรื่องความคลี่คลายของวิกฤติหน้าผาการคลังสหรัฐ ในช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา

 

เรียบเรียงจาก
Fiscal cliff: House of Representatives passes deal, The Guardian, 02-01-2013


Fiscal cliff deal approved by Congress, The Independent, 02-01-2013

สภาฯสหรัฐผ่านร่างกฎหมายเลี่ยงหน้าผาการคลัง, อสมท, 02-01-2013

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก


http://en.wikipedia.org/wiki/United_States_fiscal_cliff
http://en.wikipedia.org/wiki/Bush_tax_cuts

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานธันวาคม 2555

Posted: 02 Jan 2013 03:48 AM PST

 

แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำเรียกร้องให้บังกลาเทศดูแลความปลอดภัยชีวิตคนงาน
 
1 ธ.ค. 55 – บริษัทผลิตเสื้อผ้าชั้นนำระดับโลกเรียกร้องให้บังกลาเทศปรับปรุงความปลอดภัยให้คนงานโรงงานทอผ้า หลังจากโรงงานผลิตเสื้อผ้าทาซรีน แฟชั่น เกิดเพลิงไหม้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 111 คน และบาดเจ็บกว่า 150 คน โดยตำรวจเผยว่าโรงงานมีทางออกคับแคบทำให้คนงานติดอยู่ในอาคารซึ่งเป็นตึก 9 ชั้น
 
นายโมฮัมหมัด ชาฟีอุล อิสลาม ประธานสมาคมนักอุตสาหกรรมและผู้เชี่ยวชาญการส่งออกเสื้อผ้าบังกลาเทศ กล่าวว่า สมาชิกผู้ซื้อ 19 แห่ง เผยในการประชุมเมื่อวันศุกร์ว่าไม่เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าของบังกลาเทศจนกว่าจะมีการปรับปรุง โดยอ้างถึงคำกล่าวของเจ้าหน้าที่บริษัทต่างๆ รวมถึงนายโรเจอร์ ฮิวเบิร์ต รองประธานบริษัทหลี่แอนด์ฟุงในฮ่องกง ที่ระบุว่าโรงงานหลายแห่งไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ นายฮิวเบิร์ต ให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือด้านการเงินแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุเพลิงไหม้ด้วย นายอิสลาม กล่าวอีกว่า เขาบอกกับบริษัทต่างๆ ว่าทางสมาคมฯ จะตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาในสัปดาห์หน้าเพื่อดูแลกฎระเบียบด้านความปลอดภัยให้กับโรงงานแต่ละแห่ง รวมถึงอธิบายสถานการณ์หลังเกิดเพลิงไหม้ว่าเป็นวิกฤตของอุตสาหกรรม โดยขอให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขวิกฤต
 
เพลิงไหม้ดังกล่าวจุดประกายให้บริษัทค้าปลีกระดับโลกตระหนักถึงสภาพการทำงานของคนงานในบังกลาเทศที่มีค่าแรงต่ำมาก บางคนได้เพียง 37 ดอลลาร์ หรือราว 1,110 บาท สำหรับการประชุมดังกล่าวมีผู้แทนจากบริษัทเสื้อผ้ารายใหญ่เข้าร่วม อาทิ เอชแอนด์เอ็ม เซียร์ส แก๊ป ไนกี้ ลีวาย เป็นต้น แต่ไม่มีผู้แทนจากห้างวอลมาร์ท ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐเข้าร่วม
 
สิงคโปร์เนรเทศคนงานจีน หลังก่อสไตรค์เรียกร้องเพิ่มค่าแรง
 
3 ธ.ค. 55 - ทางการสิงคโปร์ตัดสินใจเนรเทศคนงานขับรถบัสชาวจีน 29 คนและตั้งข้อหาอาชญากรรมกับคนงานอีก 5 คน จากการนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องค่าแรงและสวัสดิการ ทั้งนี้ นับเป็นการนัดหยุดงานครั้งแรกของคนงานในประเทศสิงคโปร์ในรอบ 26 ปี 
 
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26-27 พ.ย. ที่ผ่านมา พนักงานคนจีนในบริษัทรถบัสและรถใต้ดิน SMRT ของสิงคโปร์ 171 คน ได้นัดหยุดงานเพื่อประท้วงค่าจ้างที่ได้ต่ำว่าแรงงานที่มาจากประเทศอื่นๆ ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัท SMRT ได้จ้างคนงานต่างประเทศเพื่อมาทดแทนตำแหน่งต่างๆ ที่ขาดแคลนแรงงาน
 
ล่าสุด มีรายงานว่า มีคนงาน 5 คน ได้ถูกจับกุมในข้อหาการฝ่าฝืนการห้ามมีส่วนร่วมในการนัดหยุดงานในสิงคโปร์ โดย รัฐบาลจีนกล่าวว่า ค่อนข้างเป็นกังวลต่อการเนรเทศและการจับกุมพลเมืองจีนในกรณีดังกล่าว 
 
ทั้งนี้ การนัดหยุดงานของแรงงานในบริการที่สำคัญในสิงคโปร์ นับว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากไม่แจ้งล่วงหน้าเป็นเวลา 14 วัน 
 
ด้านทางการสิงคโปร์ กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ใบอนุญาติทำงานสำหรับคนงานจีนอีก 29 คน ถูกยกเลิกและจะถูกส่งกลับประเทศแล้ว  
 
คนงานโรงอาหารมหาวิทยาลัยรัฐชิคาโกชุมนุมนัดหยุดงาน 1 วัน
 
6 ธ.ค. 55 - ที่ผ่านมาเว็บไซต์ chicagoist.com รายงานว่าคนงานโรงอาหารมหาวิทยาลัยรัฐชิคาโก (Chicago State University) นัดชุมนุมหยุดงานพร้อมกันที่ตึกองค์การนักศึกษาตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม จากที่นายจ้างคือบริษัททอมพ์สัน ฮอสพิทัลลิตี้ (Thompson Hospitality) ยกเลิกไม่เจรจากับสหภาพแรงงาน คนงานโรงอาหารเข้าร่วมกับสหภาพต้นปีนี้ และได้เจรจากับนายจ้างมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 
 
สัญญาระหว่างมหาวิทยาลัย Chicago State University กับบริษัท Thompson Hospitality ในการให้บริษัทเข้ามาดำเนินการโรงอาหารจะหมดอายุในปี 2014 แต่บริษัทส่งหนังสือแจ้งขอยกเลิกสัญญาโดยให้เหตุผลว่ามหาวิทยาลัยไม่ทำตามเงื่อนไขในสัญญาสหภาพแรงงาน UNITE HERE Local 1 ซึ่งเป็นตัวแทนของคนงานโรงอาหารเหล่านี้จึงร้องเรียนตามกลไกกฎหมาย
 
Candace Cain หนึ่งในคนงาน 50 คนที่ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า "ฉันภูมิใจกับงานที่ทำและต้องการเสิร์ฟอาหารดีมีคุณภาพให้แก่นักศึกษา แต่มันทำให้ฉันใจสลายเมื่อบริษัทบังคับให้เราตกอยู่ในสภาพนี้" 
 
Dominoe Carmona นักศึกษาปีสองกล่าวว่า "การที่บริษัท Thompson Hospitality บอกว่าจะเลิกดำเนินการโรงอาหารในอีก 30 วันเนื่องจากมหาวิทยาลัยค้างชำระเงินที่บริษัทต้องได้รับตามสัญญา เงินที่ต้องจ่ายตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน" 
 
ทั้งนี้ Thompson Hospitality ก่อตั้งในปี 1992 เป็นบริษัทที่มีคนผิวสีหรือคนเชื้อชาติส่วนน้อยเป็นเจ้าของ ทำกิจการด้านบริการอาหาร และเป็นหนึ่งในบริษัทขายปลีกด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ในปี 2010 ถูกจัดให้เป็น "บริษัทแห่งปี"ในวารสารบริษัทคนดำ (Black Enterprise Magazine)
 
นศ.จีนประท้วง รัฐจับตรวจช่องคลอดก่อนรับราชการ
 
7 ธ.ค. 55 – สำนักข่าวจีนเผย นักศึกษาอู่ฮั่น กว่า 10 คน รวมตัวประท้วงที่หน้าประตูที่ทำการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคมนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เพื่อคัดค้านการใช้มาตรการตรวจนรีเวชในการรับพิจารณาเจ้าหน้าที่หญิงสมัครเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ โดยกลุ่มนักศึกษาได้ชูป้ายประท้วงที่มีข้อความระบุว่า "อยากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่จำเป็นต้องตรวจนรีเวช", "การสอบประวัติประจำเดือนไม่เกี่ยวกับการรับราชการ" พร้อมทั้งสวมกางเกงในที่มีข้อความเขียนไว้ว่า "ไม่เอาการตรวจนรีเวชข้าราชการ" และร่วมกันร้องเพลง "อิสระการตรวจร่างกาย" ที่แต่งขึ้นเอง ซึ่งพวกเธอกล่าวว่าการตรวจช่องคลอด และต้องตอบคำถามเกี่ยวกับประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมาครั้งแรกเมื่อไหร่ ระยะรอบเดือน ปริมาณประจำเดือน ฯลฯ ไม่เห็นจำเป็นต่อการสมัครเข้ารับราชการตรงไหน ถือเป็นเรื่องละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะถึงแม้การตรวจนรีเวชจะมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจกามโรค หรือเนื้องอกร้ายแรง แต่กามโรคไม่ใช่สิ่งที่ติดต่อกันได้ในการทำงานตามปกติ และไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ รวมถึงกามโรคที่มีผลกระทบร้ายแรงบางประเภท เช่น โรคซิฟิลิส ก็สามารถตรวจพบได้โดยวิธีการตรวจเลือด
 
พนง.ต้อนรับ"คาเธ่ย์แปซิฟิก"ขู่ประท้วง"ไม่ยิ้ม-ไม่เสิร์ฟแอลกอฮอล์"
 
11 ธ.ค. 55 - พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิก อาจไม่บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่ยิ้มให้แก่ผู้โดยสาร หลังจากมีการลงมติมาตรการด้านแรงงาน ที่จะมีผลในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส หลังจากสหภาพมีมติให้ดำเนินมาตรการดังกล่าวเนื่องจากสายการบินไม่ขึ้นเงินเดือนให้ตามที่เรียกร้อง
 
สหภาพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของคาเธ่ย์แปซิฟิก ซึ่งเรียกร้องขอขึ้นเงินเดือนอีก 5% แถลงว่า จะปฏิบัติตามมาตรการ"เลือกให้บริการเฉพาะที่จำเป็น"
 
เลขาธิการสหภาพแรงงานเผยว่า รูปแบบและช่วงเวลาของการดำเนินตามมาตรการที่ได้รับการอนุมัติเมื่อวานนี้ ยังคงไม่มีการตัดสินใจ โดยมาตรการดังกล่าว อาทิ  ไม่ยิ้มให้ ไม่บริการเครื่องดื่มบางชนิดเช่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือไม่บริการอาหาร  แม้ผู้โดยสารจะเดินทางถึงจุดหมายตามที่ต้องการ พวกเขาก็จะได้บริการแบบ 3 ดาว จากสายการบินระดับ 5 ดาวไปแทน
 
มาตรการ"ทำงานตามกฎ" เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้านอุตสาหกรรม ซึ่งลูกจ้างจะไม่ทำงานเกินมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่นายจ้างกำหนดไว้ หรือการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยหรือข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ที่อาจทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความล่าช้า เช่น ไม่ให้นำกระเป๋าน้ำหนักเกินขึ้นเครื่อง ที่อาจทำให้เที่ยวบินดีเลย์
 
การประท้วงเกิดขึ้นหลังคาเธย์ประกาศขึ้นเงินเดือนพนักงาน ในปี 2013 เมื่อเดือนที่แล้วเพียง 2% และโบนัสประจำปีนี้อีก 1 เดือน ซึ่งต่ำกว่าข้อเรียกร้องของสหภาพ สมาชิกสหภาพ 6,000 คนมีมติในการประชุมเมื่อวันจันทร์ให้สายการบินเปิดเจรจาใหม่ ไม่เช่นนั้นจะดำเนินมาตรการด้านแรงงานสัมพันธ์ในช่วงคริสต์มาส และอาจหยุดงานเต็มรูปแบบในช่วงปีใหม่
 
ด้านสายการบินยืนกรานให้พนักงานยุติการข่มขู่ก่อนจึงจะเปิดการเจรจาใหม่ และขอให้พนักงานเห็นใจสถานการณ์ของบริษัทที่ขาดทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ถึง 935 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 3,740 ล้านบาท) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื้อเพลิงราคาสูงขึ้น
 
บังกลาเทศประชาชนประท้วงผละงาน
 
11 ธ.ค. 55 - ตั้งแต่ช่วงเช้า ตามท้องถนนในกรุงธากา เต็มไปด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่พรรคชาตินิยมบังกลาเทศ หรือ บีเอ็นพี ฝ่ายค้านเรียกร้องให้ผละงานประท้วงทั่วประเทศ เพื่อกดดันให้รัฐบาลจัดตั้งหน่วยงานอิสระ เข้าตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในปีหน้า  การชุมนุมประท้วงเมื่อวันอาทิตย์และเมื่อวานนี้ สถานการณ์บานปลายจนถึงขึ้นที่ตำรวจ ต้องยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม ของกลุ่มผู้ประท้วงที่จุดไฟเผารถโดยสาร และรถยนต์หลายสิบคัน เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นยังผลให้มีผู้บาดเจ็บนับร้อยคน ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา การเมืองบังกลาเทศเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีคาเลดา เซีย กับชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
 
 
พนักงานรถไฟใต้ดินสเปนผละงานประท้วง
 
28 ธ.ค. 55 - พนักงานรถไฟใต้ดินในสเปนพากันผละงานประท้วง หลังถูกทางการตัดลดเงินเดือน ส่งผลให้ผู้โดยสารได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก
 
เมื่อวานนี้ ผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินทั่วกรุงมาดริดของสเปนต้องได้รับผลกระทบจากปัญหาพนักงานรถไฟพากันผละงานประท้วง เพราะไม่พอใจที่ถูกลดเงินเดือน ทั้งที่ทางการรถไฟปรับเพิ่มราคาตั๋วโดยสารจากปีที่แล้วมากถึง 30% อย่างไรก็ตาม การผละงานประท้วงนี้เป็นเพียงบางส่วน ยังให้บริการ 38% ของทั้งหมด
 
พนักงานรถไฟฟ้าใต้ดินกำหนดจะผละงานประท้วงต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 02.00 น.ของวันที่ 1 มกราคม ขณะที่ประชาชนต่างมีความเห็นต่อการผละงานประท้วงครั้งนี้แตกต่างกันไป แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เห็นใจที่พนักงานถูกลดเงินเดือน ทั้งนี้ รัฐบาลสเปนยังต้องดำเนินมาตรการประหยัดรายจ่ายอย่างหนัก เพื่อรักษาสภาพเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในภาวะถดถอย
 
ที่มาเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, ประชาไท, สำนักข่าวไทย, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, ไอเอ็นเอ็น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาไทบันเทิง: แนะนำ 5 อันดับหนังดีวีดี (ที่ไม่ดัง) ประจำปี 2012

Posted: 02 Jan 2013 02:36 AM PST


ในปี ๆ หนึ่งผมเองและเหล่าเพื่อนฝูงที่ชอบตระเวนดูหนังทั้งที่ฉายปกติและตามเทศกาลก็จะจัดอันดับกันว่าชอบหนังเรื่องไหนอย่างไร อย่างแรกคือได้แลกเปลี่ยนความชื่นชมต่อหนังซึ่งกันและกัน หลาย ๆ เรื่องที่ปรากฏในลิสต์เพื่อนแต่เรายังไม่ได้ดูก็จะเป็นการสะกิดต่อมความทรงจำว่าอย่าลืมไปดูนะจ๊ะ อย่างที่สองคือเป็นการบอกกล่าวแนะนำเพื่อนฝูงกลุ่มอื่นที่อาจจะไม่ค่อยได้ดูให้เกิดความอยาก แต่สิ่งที่พบได้บ่อยคือเวลาโพสต์คอมเมนต์เกี่ยวกับหนังทีไรจะต้องมีประโยคจำพวก "หาดูที่ไหน" ตามมาประจำ

ยอมรับว่าหนังดี ๆ โดยเฉพาะที่ฉายตามเทศกาลหรือตามโรงน้อยรอบนั้นมันมักไปแล้วไปลับ จะหาดูทีก็ต้องไปเสาะหาตาม "อ่าวโจรสลัด" บ้าง แต่ก็ใช่ว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนที่อยากดูหนังจะรู้จักอ่าวฯ หรือถึงรู้จักอ่าวฯ ก็ไม่รู้วิธีไป ดังนั้น เลยอยากแนะนำหนังสักห้าเรื่องที่เข้าฉายในรอบปีที่ผ่านมาในเมืองไทย แต่ตอนที่เข้าก็ไม่ค่อยมีคนรู้จักสักเท่าไหร่ หนังดี ๆ ก็ควรหายไปกับกาลเวลานะครับ  ที่สำคัญออกแผ่นลิขสิทธิ์แล้วนะจ๊ะ หาได้ไม่อยากที่ร้านดีวีดีตามห้างใกล้บ้านท่าน มาดูกันเลยว่าห้าเรื่องนี้มีอะไรบ้าง

 

1. Take Shelter (Jeff Nichols)
ฉากต้นเรื่องคือหนังทริลเลอร์ลึกลับว่าด้วยชายคนหนึ่งที่รู้สึกว่าชักเริ่มมีเหตุไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวพร้อมกับฝันแปลก ๆ จนเริ่มคิดว่าอีกไม่นานต้องมีพายุหนักเข้ามาถล่มแน่ ๆ  แกก็เลยเริ่มทำตัวแปลก ๆ ด้วยการไปกู้เงินมาเพื่อปรับปรุงบ้านขนานใหญ่ ขุดหลุมหลบพายุกันขนานใหญ่ ซึ่งในสายตาของคนอื่นโดยเฉพาะภรรยานั้นไม่เข้าใจจุดประสงค์เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายตัวเองต้องเผชิญกับภาวะการต่อสู้ในใจตนที่ พายุนั้นแท้จริงมีหรือไม่

ตอนหนังเข้าฉายในไทย หนังไม่ได้ดังมากมายแต่ได้รับคำชมพอควร สำหรับใครที่ชอบดูหนังจำพวกเหนือธรรมชาติ น่าลองหามาดูอย่างยิ่ง และที่สำคัญ การต่อสู้กับธรรมชาติกับจิตใจตัวเองก็โหดร้ายพอ ๆ กัน

2. Chronicle (Josh Trank)
ผมว่าทุกคนย่อมเคยคิดว่าหากวันหนึ่งตัวเองมีพลังพิเศษจะไปทำนู้นทำนี่ แล้วถ้าวันหนึ่งดันกลายเป็นมีจริง ๆ ตัวเราเองจะรับมือกับของขวัญพิเศษนี้ได้หรือเปล่า

หนังเล่าเรื่องของเด็กหนุ่มสามคนที่บังเอิญได้พลังวิเศษ พวกเขาสามารถควบคุมสิ่งของต่าง ๆ ไปจนถึงเหาะได้ โดยเฉพาะเจ้าตัวเอกของเรื่องที่เดิมเป็นพวก "ขี้แพ้" ที่วัน ๆ ชอบเอาแต่ถ่ายวิดีโอ ปมเรื่องต่าง ๆ ถูกขมวดเข้าไว้เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บทสรุปของเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า พลังพิเศษและกับภาวะแปลกแยกนั้นช่างเข้ากันดีเสียเหลือเกิน

เป็นหนังที่เข้มข้นทั้งดราม่าและสนุกไปกับพลังพิเศษของเด็กทั้งสามคนนี้ไปในเวลาเดียวกัน

3. Live Without Principle (Johnnie To)
จอนนี่ โต๋ หรือเฮียตู้ฉีฟงของเราทำหนังเรื่องนี้ได้ฟินมาก หนังเล่นกับประเด็นความโลภของคน ชีวิตของคนเราเมื่อมีเงินมาอยู่ต่อหน้าในขณะที่ชีวิตกำลังบรรลัย ต่อมศีลธรรมทำงานไม่เคยสำเร็จง่ายดาย

หนังเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักสามตัวทั้ง มาเฟีย สาวแบ๊งค์ นายตำรวจ ที่ชีวิตมาเกี่ยวสัมพันธ์กันโดยบังเอิญเพราะเงินก้อนหนึ่งซึ่งถูกขโมยไปในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังตกวูบ ตลาดหุ้นกำลังพินาศ หนังมีครบถ้วนทั้งปมเรื่องที่ซับซ้อนแต่ดูสนุกและเข้าใจไม่ยาก รวมถึงฉากแอคชั่นที่ชวนลุ้น พร้อมกับลุ้นว่าชะตากรรมของตัวละครจะจบลงได้อย่างไร
ใครชอบหนังฮ่องกงเป็นทุนเดิมนี่ ไม่ควรพลาด

4. A Simple Life (Ann Hui)
หลิวเต๋อหัวรับบทเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ที่ใช้ชีวิตอยู่กับ อาเตา คนใช้เก่าแก่ที่อยู่กับครอบครัวมาอย่างยาวนาน แต่แล้ววันหนึ่งอาเตาเกิดเส้นเลือดในสมองแตก เธอตัดสินใจขอลาออกและไปอาศัยอยู่บ้านพักคนชรา หนังเล่าความสัมพันธ์ที่เรียบง่ายของทั้งสองคนสลับกับภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนชราที่ไร้คนเหลียวแล

แอน ฮุย ผู้กำกับเรื่องนี้ตั้งใจที่จะไม่ขยี้อารมณ์คนดู เธอไม่บิวด์ให้คนดูฟูมฟาย ทว่าในหลายฉากเรากลับร้องไห้เพราะอบอุ่นใจโดยไม่รู้ตัว อาเตาแม้เป็นคนใช้แต่ก็ได้รับการปฏิบัติเสมือนหนึ่งคนในครอบครัว ยิ่งบวกการแสดงอันแสนยอดเยี่ยมของแดนี่ อิป และหลิวเต๋อหัว (รายแรกนี่ขอคารวะพันจอก) ด้วยแล้ว ถือเป็นการที่ควรค่าต่อการชมอย่างยิ่ง

5. A Separation (Asghar Farhadi)
หนังอิหร่านที่ว่าด้วยความซวยของการเกิดมาเป็นคนอิหร่าน ครอบครัวของนาเดอร์และซิมินประกอบด้วยสี่ชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งฝ่ายหญิงก็ขอหย่ากับสามีเพราะทนอยู่ประเทศนี้ต่อไปไม่ได้แล้วพร้อมขอลูกสาวให้ตามเธอไปอยู่ด้วย เธอแยกไปอยู่ที่อื่นและได้ว่าจ้างหญิงท้องแก่คนหนึ่งมาดูแลพ่อของสามี แต่แล้ววันหนึ่ง ฝ่ายสามีดันมีปากเสียงกับลูกจ้างจนเกิดการผลักตกบันได และนั่นก็คือเป็นจุดเริ่มต้นของความฉิบหายวางป่วงในเวลาต่อมา

ปมประเด็นในเรื่องขมวดเกลียวจนเมื่อดูจบ เรื่องราวมากมายยังวิ่งเวียนในหัวเพราะหนังแทบไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับเราเลย ฟาร์ดาฮีปล่อยที่ว่างมากมายให้เราค้นหาคำตอบเอาเอง แถมการแสดงของนักแสดงดีมากจนทำเอาหลายฉากคิดว่านี่คือการแอบมองดูเหตุการณ์จริง

ใครชอบดูงานดรามาจริงจัง ไม่ค่อยพลาดเพราะเหตุผลใด ๆ ก็ตามทั้งสิ้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนพ.เร่งวิจัยพลังงานจากหญ้า เผย 'หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1' มีศักยภาพผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ

Posted: 02 Jan 2013 01:59 AM PST

สนพ. เร่งผลักดันงานวิจัยพลังงานตามนโยบายกระทรวงพลังงาน เผยผลวิจัยพบหญ้าเลี้ยงช้างพันธุ์  "เนเปียร์ปากช่อง 1" เหมาะนำมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน หวังให้เป็นวัตถุดิบพลังงานใหม่ในอนาคต

นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่ สนพ. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพลังงาน ให้เร่งดำเนินโครงการวิจัยด้านพลังงาน โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยหญ้าเลี้ยงช้างมาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ ใช้เป็นพลังงานทดแทน อาทิ ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศและช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรนั้น

ที่ผ่านมา สนพ. ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดทำ "โครงการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าชนิดต่างๆ ในประเทศไทย" โดยการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 10.7 ล้านบาท เพื่อศึกษาศักยภาพในการผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าชนิดต่างๆ ในประเทศไทย และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซชีวภาพจากหญ้าเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน โดย มช.ได้มีการสำรวจข้อมูลและวิจัยหญ้าจำนวน 20 ชนิดที่มีอยู่ในประเทศ อาทิ หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 หญ้าบาน่า หญ้าขน หญ้าแฝก เป็นต้น เพื่อศึกษาศักยภาพและสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตก๊าซชีวภาพ

ผลการวิจัยพบว่า หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 ที่ปัจจุบันนิยมนำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์นั้น มีผลผลิตต่อไร่สูงสุด โดยมีผลผลิตประมาณ 70 – 80 ตันสด/ไร่/ปี ซึ่งมากกว่าหญ้าชนิดอื่นเกือบ 7 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่ามีอัตราการผลิตก๊าซมีเทนสูงกว่าหญ้าชนิดอื่น  โดยมีอัตราการผลิตก๊าซชีวภาพประมาณ  6,860 – 7,840 ลบ.ม./ไร่/ปี  สามารถผลิตเป็นก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) ได้ประมาณ 3,118 - 3,563 กก./ปี เหมาะสมต่อการนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนมากกว่าหญ้าชนิดอื่นๆ

"นอกจาก สนพ. จะมอบหมายให้ มช. วิจัยหญ้าชนิดต่างๆ ที่เหมาะสำหรับนำมาผลิตก๊าซชีวภาพแล้ว ยังได้มอบหมายให้ มช.ศึกษาและวิจัยนำก๊าซชีวภาพที่ได้จากฟาร์มปศุสัตว์มาผลิตเป็นก๊าซ CBG ซึ่งสามารถใช้ทดแทนก๊าซ NGVสำหรับยานยนต์ ทั้งนี้ จากการวิจัยพบว่า ก๊าซ CBG ที่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่า NGV สำหรับยานยนต์ตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน โดยปัจจุบัน มช. ยังทำการศึกษาต่อเนื่อง  เพื่อพัฒนาพลังงานก๊าซชีวภาพไปสู่พลังงานทดแทนในรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้ทันต่อความต้องการการใช้พลังงานในรูปแบบใหม่และเกิดประโยชน์สูงสุด" ผอ.สนพ.กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายใต้ผุดโครงการรณรงค์ปกป้องเด็กจากความรุนแรง

Posted: 02 Jan 2013 01:55 AM PST

เมื่อวันที 1 มกราคม 2556 ที่ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DeepsouthWatch) กลุ่มด้วยใจพร้อมด้วยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม สมาคมสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสันติภาพและเครือข่ายบัณฑิตอาสาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการประชุมเพื่อเตรียมโครงการ Children Voices For Peace ที่จะจัดในวันที่ 9 มกราคม 2556 ที่ TK PAKR  อ.เมือง จ.ยะลา

นางสาวอัญชนา หีมมิหน๊ะ ผู้ประสานงานโครงการกล่าวว่า จากสถิติของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2555 มีเด็กเสียชีวิต 56 ราย บาดเจ็บจำนวน 345 คน นอกจากนี้จากยังมีเด็กที่กำพร้าพ่อ แม่ จำนวน 4,942 คน ซึ่งในหลายๆ เหตุการณ์เด็กกลายมาเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากขึ้น เช่น เหตุการณ์คนร้ายกรานยิงชาวบ้านที่ร้านน้ำชา ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาสเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2555 ทำให้เด็กเสียชีวิต 1 รายบาดเจ็บ 1 คน เหตุการณ์คนร้ายลอดวางระเบิดรถไฟ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555 บาดเจ็บ 3 คน และมีแนวโน้มว่าเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่มีเด็กเสียชีวิตมากขึ้นและเด็กมีอายุน้อยลง

ดังนั้นทางกลุ่มด้วยใจและเครือข่ายจึงจัดโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะทุกภาคส่วนได้ตระหนักในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ และประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากเด็กๆดังกล่าวเป็นลูกหลานของคนในพื้นที่

โครงการ Children Voices For Peace เป็นเวทีในการพูดคุยหารือเรื่องการป้องกันเด็กจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ที่เด็กกลายเป็นเหยื่อและมีแนวโน้มเด็กกลายเหยื่อของความรุนแรงมากขึ้นและเด็กที่เป็นเหยื่อมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ

ทั้งนี้ที่ประชุมข้อสรุปว่าจะมีการเชิญนักเรียนในพื้นที่ทั้งที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ในพื้นที่ เพื่อเข้าร่วมงานจำนวน 150 คน เช่น โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ โรงเรียนสตรีอิสลามวิทยา อ.เมือง จ.ยะลา โรงเรียนสตรียะลา โรงเรียนอามานะศักดิ์ อ.เมือง จ.ปัตตานี

โดยในวันจัดงานจะมีกิจกรรมกลางแจ้ง (OUT DOOR) เป็นกิจกรรมเพื่อเด็กๆ โดยเฉพาะ และกิจกรรมในที่ร่ม (IN DOOR) เป็นกิจกรรมของผู้ใหญ่ โดยมีการเสวนาในหัวข้อ "ความท้าท้ายและอุปสรรค์ในการป้องคุ้มครองเด็กภายใต้สถานการณ์ความรุนแรง" และหัวข้อ "กลไกการป้องกันเด็กจากความรุนแรงในพื้นที่" โดยมีการเชิญเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ครูสอนศาสนา (อุสตาส์) โตะครู ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และตัวแทนจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) เข้ามาร่วมเสวนา

"หลังการเสวนาจะมีการร่วมแถลงการณ์ ขอให้ตัวเลขเด็กเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นศูนย์ในปี 2556 และกิจกรรมแสดงเจตจำนงร่วมแสดงจุดยืนยุติความรุนแรงต่อเด็กในสถานการณ์ความไม่สงบในพื้น ซึ่งเราจะนำภาพถ่ายจากการจัดโครงการนี้ เพื่อใช้ในการรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงต่อเด็กในพื้นที่ภายใต้ในปี 2556 ทั้งปีในชื่อการณรงค์ว่า Zero Children Victim 2013 หรือขอให้ตัวเลขเด็กเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นศูนย์ในปี 2556" นางสาวอัญชนา กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.ย้ำปี 56 ค่าโทรมือถือทุกค่ายต้องไม่เกินนาทีละ 99 สตางค์

Posted: 02 Jan 2013 01:48 AM PST

ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.เผย ปี 56 นี้ ค่าบริการโทรศัพท์มือถือเมืองไทยต้องมีราคาต่ำกว่านาทีละ 99 สตางค์ทุกกรณี เพราะหมดเวลาที่กฎหมายผ่อนผันแล้ว หากค่ายใดยังคิดเกินถือว่าฝ่าฝืนกฎหมาย โดยสำนักงาน กสทช.เตรียมออกมาตรการบังคับต่อไป


ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์เกี่ยวกับอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี 2556 ว่า จะต้องไม่มีการคิดค่าบริการที่เกินกว่านาทีละ 99 สตางค์อีกต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ นั่นคือ ประกาศ กสทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ.2555

"ประกาศเรื่องอัตราขั้นสูงนั้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2555 แล้ว โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่เก็บค่าบริการได้ไม่เกิน 0.99 บาทต่อนาที แต่ประกาศฯ ได้ผ่อนผันว่า สำหรับค่าบริการตามสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นให้ดำเนินการต่อไปได้จนกว่าระยะเวลาสัญญาจะสิ้นสุด แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงจะต้องไม่เกินกว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ดังนั้นหมายความว่า พอเข้าสู่วันที่ 1 มกราคม หรือขึ้นปีใหม่ปุ๊บ บรรดารายการส่งเสริมการขายของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงทั้งหมดก็จะต้องอยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 99 สตางค์ต่อนาที รวมถึงที่เป็นระบบเหมาจ่ายด้วย คือ จะเหมาก็ได้ เราไม่ห้าม แต่เฉลี่ยตามช่วงเวลาเหมาจ่ายแล้วก็ห้ามเกินนาทีละ 99 สตางค์" ประวิทย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ประวิทย์ยอมรับว่า จากการติดตามและกำกับดูแลอัตราค่าบริการในช่วงเวลาที่ผ่านมา ภายหลังจากที่มีการออกประกาศดังกล่าวแล้ว พบว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงรายใหญ่ทั้งสองราย คือ AIS และ DTAC ต่างยังคงมีรายการส่งเสริมการขาย หรือโปรโมชั่นที่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งที่เป็นโปรโมชั่นเก่าและใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานภายในสำนักงาน กสทช. กำลังประสานงานกันเพื่อให้มีการบังคับให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นไปตามประกาศอย่างเคร่งครัดต่อไป

"ก็อยากจะแจ้งให้ผู้บริโภคทั่วไปได้ทราบว่า ตามกฎหมายนั้น ราคาค่าโทรจะต้องต่ำกว่านาทีละ 99 สตางค์นับตั้งแต่ปีใหม่นี้ ไม่มีข้อยกเว้นแล้ว ดังนั้นหากพบว่ามีการฝ่าฝืนก็แจ้งข้อมูลหรือร้องเรียนเข้ามาได้ทางหมายเลข 1200 หรือ 02-634-6000 ซึ่งจะช่วยให้สำนักงาน กสทช. มีประจักษ์หลักฐานสำหรับดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังอีกทางหนึ่ง" ประวิทย์กล่าว
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น