โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เตือน ‘อธิบดีกรมชลฯ –รัฐมนตรีฯ’ หยุดปลุกระดมชาวบ้านหนุนเขื่อนบนลำน้ำยม

Posted: 14 Jan 2013 11:07 AM PST

คนสะเอียบย้ำค้านทั้งเขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง และเขื่อนแก่งเสือเต้น เตือน อธิบดีกรมชลฯ – รัฐมนตรีฯ หยุดปลุกระดมชาวบ้านมาหนุนเขื่อน แนะผู้ว่าฯ แพร่ อย่าเห็นแก่เพื่อนที่เป็นรัฐมนตรีแล้วมารังแกชาวบ้าน

 
 
วันที่ 14 ม.ค.56 นายสมมิ่ง เหมืองร้อง ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อน 4 หมู่บ้าน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ เรียกร้องให้อธิบดีกรมชลประทาน ยุติพฤติกรรมการปลุกระดมชาวบ้าน ให้เข้าร่วมสนับสนุนเขื่อนตามแผนงานของกรมชลประทาน พร้อมย้ำว่าชาวสะเอียบ ยืนยันที่จะคัดค้าน ทั้งเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง เพราะ แก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งก็ไม่ได้ และยังกระทบต่อชุมชนและป่าสักทองอย่างมาก
 
สืบเนื่องจากที่นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทานลงพื้นที่จังหวัดแพร่ และนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ระดมชาวบ้านมาร่วมกันทำฝายกั้นแม่น้ำยม ที่ ต.ห้วยหมาย อ.สอง จ.แพร่ และมีเกษตรกรนำโดยนายสมบูรณ์ ใจเศษ ยื่นหนังสือให้อธิบดีกรมชลประทานให้เร่งสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา
 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า รัฐบาลอาจนำเรื่องโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เข้าพิจารณาใน ครม.สัญจรภาคเหนือ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ในวันที่ 21 ม.ค.นี้ ส่วนโครงการเขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) นั้น ยังอยู่ในขั้นการศึกษาความเป็นไปได้ และศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาถึงเดือนตุลาคม 2556
 
 
 
นายสมมิ่งให้เหตุผลในการค้านโครงการเขื่อนบนลำน้ำยมว่า การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งลุ่มน้ำยม ต้องมองปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ทั้งลุ่มน้ำ ไม่ใช่เขื่อนเท่านั้นที่เป็นเป้าหมาย การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การรักษาป่าที่เหลืออยู่ การป้องกันการบุกรุกป่า ให้ป่าซับน้ำไว้เป็นเขื่อนถาวรและยั้งยืน และทำหน้าที่เก็บคาร์บอลช่วยลดโลกร้อน รวมทั้งฟอกอากาศให้ออกซิเจน เป็นแนวทางที่ยั้งยืนที่สุด
 
นอกจากนั้น นายสมมิ่งยังมีข้อเสนอในเรื่องการรักษาและพัฒนาป่าชุมชน โดยทุกชุมชนควรมีป่าชุมชนไว้ใช้สอย เก็บเห็ด ผัก หน่อไม้ สมุนไพร เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน การรักษาป่าอนุรักษ์โดยเฉพาะป่าอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ต้องรักษาไว้อย่างเข้มงวด การปลูกต้นไม้เพิ่ม สร้างพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค และประเทศชาติ
 
การพัฒนาระบบภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนไหนรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อตัวเองและเพื่อชุมชนอื่น ควรได้รับการสนับสนุน ชุมชนใดไม่มีศักยภาพในการรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ควรให้การสนับสนุน เป็นชุมชนพี่น้องหนุนช่วยกัน การฟื้นฟูระบบเหมืองฝาย พัฒนาฝายดักตะกอน ฝายชะลอน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ ให้ทั่วทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ การเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำตามลำน้ำสาขา พัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ทั้ง 77 ลำน้ำสาขา ของแม่น้ำยม ซึ่งจะกักเก็บน้ำได้มากกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้นถึง 3 เท่า
 
"การทำแหล่งรับน้ำหลากไว้ทุกชุมชน โดยกรมทรัพยากรน้ำได้สำรวจไว้แล้ว 395 แหล่ง เก็บน้ำได้มากกว่า 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้น ซึ่งเก็บน้ำได้เพียง 1,175 ล้าน ลูกบาศก์เมตร แต่ใช้งบเพียง 4,000 กว่าล้านบาท น้อยกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้นถึง 3 เท่า" ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อนฯ กล่าว
 
 
นายสมมิ่ง กล่าวด้วยว่า การพัฒนาโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งแหล่งน้ำ หนึ่งตำบลหนึ่งแหล่งน้ำ ทั่วทั้งลุ่มน้ำยม การสนับสนุนการจัดการน้ำระดับครัวเรือนและระดับชุมชนโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้แก่ ฝายต้นน้ำ ฝายทดน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ ขุดบ่อ หรือ สระน้ำในไร่นา รวมทั้งอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบเหมืองฝายที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น จะสร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้านและชุมชนอย่างเป็นจริง และใช้งบประมาณน้อยกว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่
 
อีกทั้งยังมีแนวทางการกระจายอำนาจและงบประมาณให้กับชุมชนท้องถิ่น ในการวางแผนระบบการจัดการน้ำโดยชุมชน รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและระบบการจัดการน้ำของชุมชนท้องถิ่น และให้สิทธิและอำนาจการจัดการน้ำแก่ชุมชนท้องถิ่นโดยมีกฎหมายรองรับ การทบทวนนโยบายการส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฤดูแล้งเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำ และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอายุสั้น และเลือกปลูกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่า และลดปริมาณการใช้น้ำในการทำเกษตรกรรมนอกฤดู
 
การส่งเสริมระบบการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับภูมิสังคม สนับสนุนโฉนดชุมชน สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชน ยุติการขับไล่ชุมชนออกจากป่า สนับสนุนชุมชนที่อยู่กับป่า ให้รักษาป่า รักษาต้นน้ำ รวมทั้งจัดการผังเมืองให้สอดคล้องกับธรรมชาติและภูมิสังคม แนวทางเหล่านี้เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนกว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่รัฐพึงตระหนักและให้ความสำคัญเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งลุ่มน้ำยม
 
"รัฐบาลอย่าคิดว่ามีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจรังแกประชาชน เราคนสะเอียบคงไม่ยอม และขอเตือนไปยังผู้ว่าฯ แพร่ ว่าอย่าคิดว่าเป็นเพื่อนกับรัฐมนตรีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล แล้วจะรวมหัวกันมารังแกชาวบ้านได้ เราจะจารึกบุคคลเหล่านี้ไว้ ทั้งอธิบดีกรมชลฯ  รัฐมนตรีกระทรวงวิทย์ฯ ผู้ว่าฯ แพร่ รวมหัวกันรังแกชาวบ้าน เราจะตามจองล้างจองผลาญเจ็ดชั่วโคตร ขอให้สำเหนียกไว้" นายสมมิ่ง กล่าว
 
 
ด้านนายวิชัย รักษาพล แกนนำชาวบ้านบ้านดอนชัย ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ กล่าวว่า อธิบดีกรมชลประธาน มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แอบมาเมืองแพร่ในวันเด็กแล้วยังมาปลุกระดมชาวบ้านให้เชียร์เขื่อนยมบนและเขื่อนยมล่าง ทั้งที่สถานการณ์น้ำแล้งเกิดขึ้นและมีการประกาศงดทำนาปรังทั่วประเทศ ทำไมจึงไม่ไปลงพื้นที่ที่อื่นบ้าง อย่างไรก็ตรามการผลักดันเขื่อนดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องไปรบกับนายปลอดประสพ สุรัสวดีที่สนับสนุนการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น
 
"เราชาวสะเอียบ จะไม่ยอมให้คนพวกนี้มาทำลายป่าสักทองของคนทั้งชาติ ของคนทั้งประเทศ เรายืนยันจะต่อสู้ คัดค้าน จนถึงที่สุด เพราะเขื่อนยมล่างก็ท่วมป่าสักทองเหมือนเดิม แค่ขยับจุดสร้างเขื่อนเท่านั้นเอง" นายวิชัยกล่าว
 
ทั้งนี้ คณะกรรมการคัดค้านเขื่อน 4 หมู่บ้าน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ได้มีมติให้ชาวบ้านตั้งฐานที่มั่นที่จุดหัวงานที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น และติดป้ายประกาศ "ห้ามบุคล หรือ หน่วยงานที่ผลักดันเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) เข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด หากพบเห็นจะไม่รับรองความปลอดภัย" โดย ราษฎรตำบลสะเอียบ และยังให้ชาวบ้านทำเพิงที่พัก จัดเวรยามเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
 
 
"เราประกาศไปหลายรอบแล้ว ห้ามผู้ไม่หวังดีเข้าพื้นที่ ถ้ายังดื้อดึง ยังไม่ฟัง ก็คงต้องใช้ไม้แข็ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เหตุผลต่างๆ ทางออก ทางแก้ไขปัญหาก็เสนอไปหมดแล้ว หากยังดันทุรังอยู่ก็ต้องข้ามศพคนสะเอียบไปก่อน" นายศรชัย อยู่สุข แกนนำชาวบ้านบ้านดอนชัยสักทอง หมู่ 9 ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ กล่าว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มหาวิทยาลัยในอังกฤษมุ่งตั้งศูนย์ศึกษากลุ่ม 'ขวาจัด'

Posted: 14 Jan 2013 08:38 AM PST

ม.ทิสไซด์ ประเทศอังกฤษ หมายก่อตั้ง "ศูนย์เพื่อการศึกษาฟาสซิสต์, แอนตี้-ฟาสซิสต์ และโพสท์-ฟาสซิสต์" เพื่อศึกษาและยับยั้งอันตรายจากการใช้ความรุนแรงของผู้ที่มีแนวคิดสุดโต่งเช่นกรณี แอนเดอร์ส เบห์ริง เบรวิค ผู้สังหารเยาวชนฝ่ายซ้าย 77 คนในนอร์เวย์

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2013 เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษรายงานว่า มหาวิทยาลัยทีสไซด์ ประเทศอังกฤษ ได้ก่อตั้งศูนย์เพื่อทำการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดการเมือง 'ขวาจัด' โดยเน้นศึกษาเรื่องการเพิ่มขึ้นของแนวคิดต่อต้านอิสลามด้วยความรุนแรงและกรณีแบบเดียวกับ แอนเดอร์ส เบห์ริง เบรวิค ชาวนอร์เวย์ที่เคยใช้ความรุนแรงโจมตีกลุ่มเยาวชนฝ่ายซ้ายโดยลงมือคนเดียว

ศูนย์ดังกล่าวชื่อ "ศูนย์เพื่อการศึกษาฟาสซิสต์, แอนตี้-ฟาสซิสต์ และโพสท์-ฟาสซิสต์" จะมีการเริ่มก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ม.ค. ที่จะถึงนี้ซึ่งตรงกับวันรำลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ (National Holocaust Memorial Day) ทางศูนย์จะเน้นศึกษาทั้งด้านประวัติศาสตร์ของกลุ่มขวาจัดสุดโต่งในประเทศอังกฤษ มาจนถึงเทรนด์ขวาจัดในปัจจุบันและอันตรายของแนวคิดนี้ โดยมีนักวิชาการผู้ริเริ่มโครงการนี้สองท่านคือ ศาตราจารย์ ไนเจล คอปซี กับดร. แมธธิว เฟลด์แมน ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้ศึกษาด้านประวัติศาสตร์

เดอะ การ์เดียน รายงานอีกว่ากลุ่มแนวหน้าขวาจัดมีอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ ในอังกฤษคือพรรคชาตินิยมอังกฤษ (BNP) และสมาคมพิทักษ์ชาติอังกฤษ (EDL) ที่เป็นกลุ่มต่อต้านศาสนาอิสลาม แต่ในปัจจุบันทั้งสองกลุ่มค่อยๆ เสื่อมลงโดยพรรค BNP เสียเก้าอี้ในสภาไปเกือบทั้งหมด มีส.ส.คนสำคัญลาออกโโยให้เหตุผลว่าสมาชิกพรรคและนักกิจกรรมร้อยละ 90 ของพรรคถอนตัวออกจากพรรคไปแล้ว ขณะที่ผู้นำกลุ่ม EDL ก็ถูกจับเข้าคุกโทษฐานใช้พาสปอร์ตจองคนอื่นเดินทางไปยังสหรัฐฯ

เฟลด์แมน กล่าวว่าองค์กรอย่าง EDL เริ่มต้นมาจากการชุมนุมเพื่อตอบโต้การประท้วงของกลุ่มมุสลิมที่ต่อต้านการใช้กำลังทหาร แต่ในเวลาต่อมาก็มีคนมาเข้าร่วมน้อยลงเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาสองปีและโอกาสถูกจับกุมตัวก็มากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มก็เลยแตกแยกไป

อย่างไรก็ตามเฟลด์แมนกล่าวว่า นักกิจกรรมขวาจัดเริ่มหันเหความสนใจจากประเด็นเชื้อชาติไปเป็นเรื่อง "ชาตินิยมทางวัฒนธรรม" โดยเฉพาะแนวคิดต่อต้านศาสนาอิสลาม และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงปลาย 70s ถึง ต้น 80s ที่กลุ่มขวาจัดเริ่มได้รับการสนับสนุนจากมวลชนกระแสหลัก ซึ่งอินเตอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญในสถานการณ์นี้จากการทำให้สามารถจัดตั้งกลุ่มคนได้โดยไม่ต้องรวมตัวกันที่ผับหรือสถานที่พบปะกัน และการสร้างอุดมการณ์จากเว็บไซต์ต่างๆ ทำให้เสี่ยงต่อการโจมตีแบบที่เกิดขึ้นในกรณีของนอร์เวย์ปี 2011 ซึ่งชายที่ชื่อเบรวิคได้สังการคนไปถึง 77 คน

แต่เฟลด์แมนก็บอกว่าเขาไม่ได้ถึงขั้นต้องการสร้างควมตื่นตระหนก เพียงต่เขาคิดว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างปฏิบัติการของฝ่ายขวาจัดกับการสื่อสารและการเดินทางของข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างเช่นคู่มือการก่อการร้ายเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตที่สอนให้คนสร้างระเบิดหรืออาวุธเคมีจากสารพิษ เช่นสารไรซินจากเมล็ดละหุ่ง

"ผมไม่ได้อยากจะบอกว่ามีการก่อการร้ายด้วยอาวุธทำลายล้างอยู่ใกล้ตัว เพราะผมก็คิดว่ามันไม่จริง และประเทศอังกฤษก็ทำได้ดีในการหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ แต่มันเป็นเกมที่มีผลได้ผลเสีย (zero sum game) ไม่วันนี้ก็วันหน้าก็จะมีคนอย่างเบรวิคซึ่งแฝงตัวอยู่อย่างไม่อาจตรวจจับได้ คุณไม่สามารถหยุดอะไรพวกนี้ได้ทั้งหมดเว้นแต่คุณอยากอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ" เฟลด์แมนกล่าว

นอกจากฝ่ายขวาจัดแล้ว ศูนย์ศึกษาฟาสซิสต์ฯ ยังมีเป้าหมายศึกษาเรื่องของความรุนแรงจากฝ่ายต่อต้านฟาสซิสต์แบบสุดโต่ง และปรากฏการณ์ที่เฟลด์แมนเรียกว่า "แนวสุดขั้วแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน" ด้วย


เรียบเรียงจาก

University's new centre to study rise in anti-Islam far right, The Guardian, 13-01-2013
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูนิเซฟ เตรียมตีแผ่ชีวิตจริงของเยาวชนยากจน 'A Chance for Change'

Posted: 14 Jan 2013 07:54 AM PST

'A Chance for Change' หนังสั้นห้าตอนจบบอกเล่าชีวิตจริงของเยาวชนด้อยโอกาสที่ตามหาฝัน ณ โรงแรมหรูใจกลางกรุง

กรุงเทพฯ 14 มกราคม 2556 – องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยเผยแพร่หนังสั้น 5 ตอนจบ " A Chance for Change" เกี่ยวกับชีวิตจริงของเยาวชนยากจน 2 คนจากต่างจังหวัดที่มาตามหาฝันในกรุงเทพฯ โดยได้เข้าร่วมฝึกอบรมการโรงแรมเป็นเวลา 5 เดือน โดยจะออกอากาศทาง www.youtube.com/unicefthailand ในวันที่ 21 มกราคม 2556 

หนังสั้นชุดนี้นำเสนอเรื่องราวระหว่างการอบรมและการใช้ชีวิตในเมืองกรุงของ นางสาวดาวใจ แซ่ท่อ เด็กสาวกลุ่มชาติพันธุ์ม้งวัย 20 ปี จากหมู่บ้านทับเบิก จ. เพชรบูรณ์ที่ต้องการต่อสู้และส่งตนเองเรียน ส่วนอีกคนหนึ่งคือนางสาวอุไรรัตน์ ศรีสาระ วัย 18 ปี เด็กสาวผู้กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุ 7 เดือนจาก จ. หนองคาย ซึ่งทางบ้านไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อได้ 

โครงการพัฒนาเยาวชนในสายอาชีพ (Youth Career Development Programme) เป็นโครงการที่จัดการอบรมการโรงแรมให้แก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนและขาดโอกาสเป็นเวลา 5 เดือน ซึ่งริเริ่มโดยยูนิเซฟและโรงแรมแพนแปซิฟิก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะด้านอาชีพ สร้างโอกาส และรายได้ที่มั่นคง ตลอดจนป้องกันเด็กกลุ่มนี้จากการถูกชักจูงหรือถูกล่อลวงให้เข้าสู่ธุรกิจบริการทางเพศ และการถูกเอารัดเอาเปรียบทางแรงงาน 

"โครงการนี้เริ่มขึ้นในปี 2538 โดยเจ้าหน้าที่ของยูนิเซฟกับเจ้าหน้าที่โรงแรมแพนแปซิฟิกในกรุงเทพฯ มานั่งหารือกันเพื่อหาวิธีใหม่ๆในการลดความเสี่ยงของเด็กๆ ที่จะถูกล่อลวงจากขบวนการค้ามนุษย์หรือการถูกเอาเปรียบทางเพศ" นายแอนดรู มอริส รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าว 

ในแต่ละปีคณะกรรมการจะคัดเลือกกลุ่มยุวสตรีจากใบสมัคร และพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจของครอบครัวที่ยากจนและมีความเสี่ยงต่อการถูกล่อลวง รวมทั้งความกระตือรือร้น ทัศนคติในการดำเนินชีวิตของผู้สมัคร เด็กทั้งหมดที่เข้าโครงการจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั่วประเทศแต่ไม่มีทุนเรียนต่อ

"มันเริ่มจากการที่โรงแรมแพนแปซิฟิกนำเด็กๆ เหล่านั้นมาอบรมเกี่ยวกับการโรงแรมและรับเด็กๆ เข้าทำงานหลังจากนั้น โครงการนี้ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กนับพันคนจนถึงปัจจุบัน และต่อมาได้เป็นที่รับรู้ในแวดวงธุรกิจและขยายไปยังโรงแรมอื่นๆ มากมาย" นายแอนดรูกล่าว

ในปี 2555 มีโรงแรมเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 18 แห่งโดยได้จัดฝึกอบรมเด็กๆ ในแผนกต่างๆ เช่น แผนกแม่บ้าน แผนกอาหารและเครื่องดื่ม แผนกจัดดอกไม้ แผนกซักรีด และอบรมภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับธุรกิจโรงแรม หลังสำเร็จการอบรม เด็กส่วนใหญ่ที่มีคุณสมบัติจะได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานกับโรงแรม ซึ่งได้สร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้แก่พวกเขา และทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตในสังคม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทบ.โต้สมาคมนักข่าวฯ หวังมาตรฐานเดียวกันหากสื่อกระทบองค์กรอื่น

Posted: 14 Jan 2013 07:46 AM PST

14 มกราคม 2556 กองทัพบกออกหนังสือ  เลขที่ กห 0407.25 ลงนามโดย พล.ต. พลภัทร วรรณภักตร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ชี้แจงกรณีการออกแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ต่อการที่นายทหารกลุ่มหนึ่งไปแสดงพลังที่ด้านหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ โดยระบุว่า กองทัพบก ขอเรียนสาระสาคัญต่อเรื่องนี้ให้ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้พิจารณา ดังนี้ 

1. กองทัพบกเป็นองค์กรหนึ่งเช่นเดียวกับทุกองค์กร ที่ให้ความเคารพในสิทธิเสรีภาพและการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกแขนงมาโดยตลอด และไม่ก้าวล่วง ขณะเดียวกันยังได้ให้การสนับสนุนการทางานของสื่อ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้านข้อมูลและการอำนวยความสะดวกตามโอกาสอันควร เนื่องเพราะกองทัพบกตระหนักอยู่ เสมอถึงการให้เกียรติกับทุกภาคส่วนที่ทำหน้าที่และสร้างประโยชน์ต่อสังคม
 
2. กองทัพบกรู้สึกแปลกใจที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ และได้ตัดสินว่า "กองทัพคุกคามสื่อ" โดยทันทีที่เกิดเหตุการณ์ ทั้งนี้กองทัพบกขอยืนยันว่าทหารที่ไปรวมตัวกันมิได้ มีเจตนาคุกคามสื่อ แต่เพียงไป"แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ"ต้องการให้เห็นถึงความรักและการปกป้องกองทัพ อีกทั้งยังรู้สึกกดดันที่ทหารได้ทุ่มเททำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนในทุกเรื่องอย่างเต็มกำลังความสามารถ มาโดยตลอด แต่กลับถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้การแสดงความรู้สึกก็ยุติลงแล้วตามที่ผู้บังคับบัญชาขอร้อง และสื่อก็ยังคงสามารถเสนอข่าวได้ตามปกติ
 
3. กองทัพบกเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ของทุกภาคส่วนอยู่เสมอ รวมถึงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เพราะยึดการทางานแบบมีส่วนร่วม อีกทั้งตระหนักในความ ปรารถนาดีและการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ของสื่อมวลชน ที่หวังให้เกิดการพัฒนาที่เหมาะสม แม้ในบางครั้งจะมีสื่อ บางสำนัก เสนอข้อมูลข่าวสารและวิจารณ์กองทัพบกอย่างเผ็ดร้อนเกินความเป็นจริง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และทำให้สังคมเข้าใจกองทัพบกผิด ซึ่งกองทัพบกก็มิได้ตอบโต้ แต่ได้ใช้การชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งทางตรงและ โดยภาพรวมอย่างอดทน โดยคาดหวังว่าสื่อสำนักนั้นๆ รวมถึงองค์กรสื่อ จะช่วยตรวจสอบกันเองตามมาตรฐาน และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
 
4.กองทัพบกเชื่อว่า การออกแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในครั้งนี้จะเป็นการย้ำถึงบรรทัดฐานขององค์กรวิชาชีพสื่อที่สังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะในบทบาทการติดตาม ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนด้วยกัน เป็นการสะท้อนความเป็นตัวตนของสื่อให้สังคมได้เชื่อมั่น และกองทัพบกหวังว่าเมื่อมีสื่อมวลชนใดที่ทำให้สังคมเกิดความสงสัยในการทำหน้าที่ในทุกกรณี รวมถึงการทำหน้าที่ของสื่อที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างมีนัย ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จะได้ออกแถลงการณ์แสดงความคิดเห็นหรือเสนอข้อเรียกร้องโดยทันที เช่นเดียวกับที่ได้ดำเนินการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคราวนี้
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนธิ ลิ้มทองกุลระบุถ้าสังคมไทยล่มสลายจะวางอุเบกขา

Posted: 14 Jan 2013 07:01 AM PST

"สนธิ ลิ้มทองกุล" ชี้ทุกพรรคการเมืองไม่เคยคิดถึงส่วนรวม เลวเท่ากันหมด สังคมไทยล่มสลายไปก็ดี พลังศีลธรรมจะได้เกิด หวังพันธมิตรฯ รวมกลุ่มรักษาคุณงามความดี แล้วให้อีกฝ่ายตายด้วยความพินาศของตัวเอง เผยมุ่งสวดมนต์-ทำสมาธิ-และ "ปัสสาวะบำบัด"

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ที่มา: วิกิพีเดีย/แฟ้มภาพ)

เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา ผ่านมา ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี  โดยเป็นการสัมภาษณ์นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้สัมภาษณ์คือนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ

 

สนธิเผยกิจวัตรหันมาสวดมนต์ ทำสมาธิ อุทิศส่วนกุศลวันละ 2 เวลา

โดยในช่วงแรกของรายการนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้อธิบายกิจวัตรประจำวันของเขาที่สวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน วันละ 2 เวลาคือเช้ากับก่อนนอน โดยมีการสวดมนต์หลายบทสวด มีการอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณสัมภเวสี นอกจากยังอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 และนายสนธิระบุว่าได้ทำเผื่อ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ด้วย

นอกจากนี้ยังมีการสวดมนต์และหยดเทียนลงในขันน้ำ โดยนายสนธิกล่าวว่าบางครั้งลักษณะเทียนที่หยดออกมาเป็นรูปมังกร "มีอยู่ครั้งหนึ่งผมสวดมนต์แล้ว ผมตั้งจิตอธิษฐานมา ลักษณะเทียนที่ไหลออกมาแล้วก่อเป็นรูปนี้มันจะมีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นรูปมังกรออกมาเป็นรูปมังกรเลย คือเราไปมองว่าของพวกนี้เป็นของไร้สาระแต่จริงๆ แล้วมันมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวมันเองแล้วผมเอาน้ำมนต์นี้พอสวดจบแล้ว เอาน้ำมนต์นี้ลูบหน้าลูบศีรษะรับประทานเข้าไป ผมตั้งจิตอธิษฐานด้วยน้ำมนต์"

โดยนายสนธิระบุว่าทำแบบนี้มาเป็นปีแล้ว เมื่อนางจินดารัตน์ถามว่ามีอะไรมาดลใจ นายสนธิตอบว่า "มันมีความรู้สึกว่าพอยิ่งอายุมาก มันรู้สึกทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ และผมมีความรู้สึกผูกพันกับพระพุทธศาสนามาก ยิ่งวันยิ่งมาก ไม่ใช่แปลว่า ศาสนาอื่นไม่สำคัญ แอนรู้ไหมเวลาผมอัญเชิญเทวดา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ผมอัญเชิญเทวดาทั่วจักรวาล และผมระบุด้วย อัญเชิญเทพเทวดาที่นับถือต่างศาสนา คือดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ผมก็อัญเชิญมา บางคนผมเอ่ยชื่อเช่น ท่านอัครเทวดานักบุญเซนต์ ไมเคิล ท่านนักบุญเซนต์ เทเรซา และบริวาร ที่นับถือศาสนาคริสต์ผมระบุเลย ผมเชิญเทวดาทุกศาสนามา เพราะผมมีความรู้สึกว่า ภาษามนต์ของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาจักรวาล ผมเคยถามพ่อแม่ครูอาจารย์ท่าน ท่านบอกว่า ภาษามนต์ถึงจะเป็นคนที่นับถือต่างศาสนา เมื่อเราสวดออกไปเขาได้ยินแล้ว มันเย็น มันร่มเย็น มันดี มันทำให้เรามีความรู้สึกว่า ทุกอย่างมันลอยตัวหมด เป็นความสุข"

 

ทุกพรรคการเมืองไม่เคยคิดถึงส่วนรวม เลวเท่ากันหมด สมน้ำหน้าแล้วที่เจอแบบนี้

ในตอนหนึ่งนายสนธิกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองว่า ไม่ว่าประชาธิปัตย์ เพื่อไทย หรือทุกพรรค ไม่เคยคิดถึงส่วนรวม คนพวกนี้เลวเท่ากันหมด บางคนบอกว่าเพื่อไทยเหมือนขี้ อย่างน้อยประชาธิปัตย์ก็เป็นขี้ผสมข้าว ถ้าหลายคนคิดได้แบบนี้ก็จนปัญญากับคนไทยแล้ว

นายสนธิยังมองว่าสังคมไทยยกเว้นพันธมิตรฯ สมน้ำหน้าแล้วที่เจอแบบนี้ สงสารประเทศ แต่บางทีคนไทยต้องรับกรรมมากกว่านี้ หากถามว่าไม่กลัวชาติล่มสลายหรือ ล่มสลายไปก็ดี จะได้เกิดใหม่ พลังศีลธรรมจะได้เกิด ตนเป็นห่วงชาติแต่ห่วงแบบมีสติ ดูแล้วคนไทย สื่อมวลชนไทย ข้าราชการ นักการเมือง ครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่สิ้นหวังหมดเลย เพราะเป็นคนที่มีอวิชชาเต็มไปหมด แล้วมองอะไรไม่เกินหัวแม่ตีนตัวเอง คิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ยอมรับสังคมไทยโกงได้ ตนขอแช่งให้ชาติฉิบหายมากกว่านี้อีก

 

หวังให้พันธมิตรฯ รวมกลุ่มรักษาคุณงามความดี ให้อีกฝ่ายตายด้วยความพินาศของมันเอง

"ผมหวังว่าพี่น้องพันธมิตรฯ และพวกเรา จะรักษาคุณงามความดีของพวกเรา ในหมู่พวกเราไว้ ถ้ายังจำได้พี่น้องพันธมิตรฯ จำได้ ผมเคยพูดมาตลอด พวกเราต้องรวมกลุ่มกันไว้ อยู่กันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รักษาคุณงามความดีเอาไว้ เหมือนกับผมมีญาณล่วงหน้า ผมรู้ว่าเมืองไทยต้องเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นแล้วถ้ามันจะชั่ว ให้พวกมันชั่วให้หมด แต่พวกเราจับกลุ่มมีเครือข่าย มีความโยงใยรักษาคุณงามความดี ยืนไว้ตรงนี้ ไม่ต้องไปดิ้นรนสู้ล้มใครหรอก ให้มันตายด้วยความพินาศของมันเอง ผมถึงบอกว่าวันนี้เมืองไทยชั่วมาก แต่ยังชั่วไม่มากพอที่จะล่มสลาย อย่าให้มันชั่วจนล่มสลาย เพราะว่าคนพวกนั้นพึ่งอะไรไม่ได้เลย สื่อมวลชน 95-97 เปอร์เซ็นต์ พึ่งไม่ได้เห็นแต่กิเลสเห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง ทรยศต่อวิชาชีพตัวเอง ทหารเห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเอง ไม่มีความรู้สึกว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์คืออะไร เขามองว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์คือ คนที่จะให้ยศกับเขาได้ นักการเมืองสนใจอย่างเดียวคือ ว่ามีเงินเข้ามากินส่วนต่าง ชาติจะพินาศ ฉิบหายช่างมัน นักการเมืองโกหกแล้วโกหกอีก มันเป็นไปได้ยังไง คุณปลอดประสพ คุณยิ่งลักษณ์ บอกว่าน้ำไม่ท่วม แล้ววันนี้น้ำท่วม แล้วมาอ้างเหตุสุดวิสัย และคนสังคมไทยยอมรับ เพราะเช่นนั้น คนสังคมไทยที่ยอมรับคำพูดแบบนี้ ถึงไม่ยอมรับไม่รู้จักดิ้นรนที่จะเข้ามารวมกลุ่มกัน คนไทยนี่เป็นคนที่ถูกนักการเมืองเอาเท้าลูบหน้า ยังให้เขาลูบหน้าอยู่ เออชั่งมันเราก็อยู่ของเราไป"

 

ถ้าสังคมไทยล่มสลาย จะขอวางอุเบกขา

นายสนธิยังกล่าวด้วยว่า อยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ มีเวลาอยู่กับบทสวดมนต์พระพุทธเจ้าวันหนึ่งสักครึ่งชั่วโมง เสียงสวดมนต์นี่สามารถทะลุเข้าไปจักรวาล หลวงตามหาบัวเคยพูดไว้ขอให้เชื่อเถอะ นรก-สวรรค์มีจริง

บางทีถึงเวลาที่โลกหรือสังคมแต่ละแห่งต้องล่มสลายแล้ว สำหรับตนถ้าสังคมไทยล่มสลาย ตนจะอุเบกขา ก็ดีแล้ว เมื่อยังโง่ดักดานอยู่ เหมือนกับทหารชั้นผู้ใหญ่บางคนบอกว่าทหารจะเข้ามาจัดการปัญหาบ้านเมืองเมื่อเสื้อเหลืองและเสื้อแดงรบกัน คำพูดนี้สะท้อนถึงสติปัญญาที่ต่ำ และจิตวิญญาณที่เลวทราม เมื่อลูกทะเลาะกัน พ่อแม่ที่ใช้ไม่ได้จะแค่ห้ามลูกให้หยุดทะเลาะ แต่ถ้าพ่อแม่มีสติปัญญาจะถามว่าเรื่องอะไร แล้วสั่งสอนในสิ่งที่ถูกต้องให้ ถ้าทหารที่มีหน้าที่รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วคิดได้อย่างนี้ แสดงว่าประเทศไทยสมควรล่มสลาย ทหารพวกนี้ก็สมควรพินาศฉิบหายไปพร้อมกับสังคมไทยเลวๆ ตนขอแยกออกมาอยู่ของตนร่วมกับพี่น้องพันธมิตรฯ แล้วมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ให้ชาติบ้านเมืองมันอยู่ได้ อย่างน้อยที่สุดถ้าสังคมไทยมี 10 เปอร์เซ็นต์ คือกลุ่มพันธมิตรฯ มีชีวิตอยู่ได้ ที่เหลือฉิบหายไปช่างมัน นี่คือบทสรุปของตนทุกวันนี้

 

พันธมิตรฯ จะกอบกู้ทุกเรื่องได้อย่างไร - ชี้เสียสละให้สังคมมากเต็มทนแล้ว

เมื่อถามว่ามีบางเรื่องที่พันธมิตรฯ สามารถช่วยกอบกู้จะไม่ช่วยหรือ นายสนธิกล่าวว่า พันธมิตรฯ จะกอบกู้ทุกเรื่องได้อย่างไร พันธมิตรฯ ก็เป็นมนุษย์ ต้องทำมาหากิน พวกเราเจ็บปวดกล้ำกลืน เสียสละให้สังคมมากเต็มทนแล้ว

ถึงบอกว่าเวลาประชาธิปัตย์ทะเลาะกับเพื่อไทย ตนรู้สึกสมเพช เพราะเป็นแค่การแย่งอำนาจกันเท่านั้นเอง ประชาธิปัตย์ขึ้นมาก็เข่นฆ่าเพื่อไทย พอมาถึงเพื่อไทยก็มาจัดการประชาธิปัตย์ สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องของอัตตา กิเลส ความโลภ ไม่เคยมีใครคิดถึงชาติบ้านเมืองแม้แต่นิดเดียว ทำไมวันนี้ประชาธิปัตย์ค้านไม่ได้ผล เพราะนี่เพื่อไทยทำตามที่ประชาธิปัตย์วางรากฐานไว้ทั้งสิ้น ถึงพูดไม่ออก

บางครั้งตนรังเกียจสาวกประชาธิปัตย์ที่โง่ดักดาน จนกระทั่งไม่อยากมองหน้า คนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจธรรมที่แท้จริง หลอกลวง ปั้นสีหน้า ไม่ต่างจากนายจตุพร ต่างแค่ว่านายจตุพรก้าวร้าว ไม่หล่อ การศึกษาไม่สูง ก็เลยเกลียดกัน แต่ถ้าตัดเรื่องพวกนี้ออกแล้วดูที่เนื้อหา แยกไม่ออกเลย

 

ชี้ดื่มน้ำปัสสาวะคือ "การปฏิบัติธรรม" และเป็นยารักษาโรค

ทั้งนี้ในตอนท้ายของช่วงที่หนึ่งของรายการ น.ส.จินดารัตน์ ถามนายสนธิว่า "มีเรื่องมาถามคุณสนธิ เรื่องสำคัญเลย เขากำลังตัดสินใจกันอยู่เยอะว่า จะดื่มไม่ดื่มดี น้ำปัสสาวะ" นายสนธิตอบว่า "แอน การดื่มน้ำปัสสาวะคือ การปฏิบัติธรรม"

และในช่วงที่สองของรายการ นายสนธิได้อธิบายต่อว่า "เรื่องดื่มปัสสาวะนี่ ผมไปอ่านหนังสือของ อ.นิดา (หงษ์วิวัฒน์) แล้วถ้าจะพูดตรงๆแล้วคนที่มีอิทธิพลกับผมมากที่สุดในเรื่องดื่มปัสสาวะคือ อ.ปานเทพ (พัวพงษ์พันธ์) เป็นคนที่คิดอะไรเป็นระบบ อธิบายเป็นขั้นตอนได้"

"ผมมาเอะใจในคำพูดที่ว่า น้ำปัสสาวะมันก็คือน้ำของเรานั่นเองที่ฟอกผ่านไต แค่นั้นเอง มันมีปัญหาตรงที่ว่า คนโบราณชอบพูดคำว่าขี้กับเยี่ยว พูดรวมกันมันก็เลยทำให้น้ำปัสสาวมันไปติดกับอุจจาระ มันก็เลยทำให้คนกลัวว่ามันจะสกปรก อีกประการหนึ่งน้ำปัสสาวะเนี้ยมันมีกลิ่นของกรดยูเรีย เวลาเราเข้าห้องน้ำเราจะได้กลิ่นนี้อยู่ตลอดเวลา มันก็มีความรู้สึกว่าถ้าเราไปกินมัน เราเข้าไปกินน้ำในห้องน้ำ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะไอ้นั่นมันเป็นคนอยู่เยอะ แล้วปัสสาวะของคนจะมีกลิ่นแบบไหนจะมีรสเปรี้ยว เค็ม ขึ้นอยู่กับอาหารการกิน และสิ่งที่เรารับประทาน"

"เพราะฉะนั้นแล้วน้ำปัสสาวะสำหรับผมแล้ว ประการแรกสุด เป็นเรื่องของการใช้ปัญญาก่อน ปัญญาแรกสุดที่ต้องคิดคือว่าน้ำปัสสาวะเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎก ให้ฉันน้ำมูด น้ำมูดคือน้ำปัสสาวะ ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าคือสัพภัญญู พระองค์เจ้าตรัสรู้ ทุกเรื่องในสามโลก เรื่องดีเอ็นเอท่านก็พูดมาก่อน เรื่องโคลนนิ่งท่านพูดมาก่อนในพระไตรปิฎก เรื่องจักรวาลท่านก็พูดมา ถ้าท่านรู้อยู่แล้วจากฌาณของท่านเองว่าน้ำปัสสาวะคือยารักษาโรค คำถามเราต้องถามว่า แล้วเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเรากลับไปว่ามีจริง เราเชื่อมั้ย ก็แสดงว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้านั้นพูดถูก ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ท่านจะให้พระภิกษุสงฆ์ฉันน้ำมูดทำไม ข้อแรก ข้อที่สอง เรามาดูพ่อแม่ครูอาจารย์ พระหลายองค์ หลวงพ่อยา ที่เป็นพระอาจารย์ผมองค์หนึ่งท่านสิ้นแล้ว 80 กว่า ท่านก็ฉันน้ำมูต น้ำปัสสาวะ หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง วัดนานาชาติหนองป่าพง ท่านก็ฉันน้ำปัสสาวะ หลายคนนายกรัฐมนตรีอินเดีย อดีตที่เสียชีวิตไปแล้ว เดซาย เสียชีวิตตอนเกือบ 100 ปี ท่านก็รับประทานน้ำปัสสาวะ พระพุทธเจ้าพูด พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านฉันน้ำปัสสาวะ แสดงว่าน้ำปัสสาวะไม่ใช่น้ำพิษ และทำไมต้องทานน้ำปัสสาวะ ทำไมไม่ทานน้ำธรรมดา แสดงว่าน้ำปัสสาวะต้องรักษาโรคได้ อันนี้คือหลักธรรมดาสามัญที่สุด เราแยกประเด็นเรื่องน้ำปัสสาวะมีกลิ่นออกซะก่อน เอาปัญญาก่อน พอปัญญาเรามี เราศึกษา เราอ่านหนังสืออาจารย์นิดดา อาจารย์นิดดาไม่ใช่คนที่เขียนเลอะเทอะ อาจารย์นิดดาเขียนมีข้อเปรียบเทียบ"

 

ทานปัสสาวะเหมือนทานเซรุ่มตัวเอง

นายสนธิได้ยกเรื่องการประชุมปัสสาวะบำบัดโลกขึ้นมาด้วยโดยกล่าวว่า "การประชุมปัสสาวะบำบัดของโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ไปแล้ว ครั้งที่ 3 กำลังประชุมอยู่ เข้าใจว่าเป็นที่ประเทศบราซิล และพอดูรายชื่อคนที่ประชุมแล้ว แพทย์จากเยอรมนี คนยุโรปรับประทานน้ำปัสสาวะเยอะมาก อันนี้คือปัญญานะ เราวิเคราะห์ตรงนี้ ถ้าวิเคราะห์ตรงนี้ผ่านเราก็ผ่าน อันที่ 2 เมื่อปัญญาผ่านแล้ว คำถามมีต่อไปว่า และเราเข้าใจไหมว่า น้ำปัสสาวะมีอะไรบ้างที่รักษาโรคได้ ผมฟังอาจารย์ปานเทพพูด อาจารย์ปานเทพไปศึกษามาฟังครูนิดดาพูด ผมไม่ต้องศึกษาอะไรมาก ผมเข้าใจเลย น้ำปัสสาวะเหมือนกับเราทานเซรุ่มของตัวเราเอง"

"เหมือนกับรีดพิษงูออก และเอาพิษงูไปทำเซรุ่ม เวลาคนโดนงูกัดเอาเซรุ่มงูฉีดเข้าไปให้หาย เหมือนกับเวลาเราเป็นไข้มาลาเรีย เราก็กินยาควินิน คนที่เป็นไข้มาลาเรียกินยาควินินก็ตาย แต่คนที่ไม่ได้เป็นไข้มาลาเรีย และไปกินยาควินินจะเป็นไข้มาลาเรียเพราะยาควินินมีส่วนผสมของเชื้อไข้มาลาเรียอยู่ เขาเลยต้องเอาเชื้อไข้มาลาเรียมาฆ่ามาลาเรีย ผมดูผมศึกษาก็เข้าใจดี ว่าน้ำปัสสาวะมีอยู่ประมาณ 3-4 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ มันคือโรคภัยไข้เจ็บของเราที่ออกมาทางน้ำ เมื่อเราทานมันกลับเข้าไปแล้ว เท่ากับอันนี้เป็นเซรุ่มไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บอันนั้น"

จากนั้น น.ส.จินดารัตน์ถามว่า "คือร่างกายจะเรียนรู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมมีเชื้อโรค เพื่อให้สร้างภูมิคุ้มกัน ออกมากำจัดอย่างนี้หรอคะ"

นายสนธิตอบว่า "ถูกต้อง" และยังอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องนำปัสสาวะมาล้างหน้า และลูกศีรษะว่า "เสร็จเรียบร้อยแล้ว น้ำปัสสาวะมันมีภูมิคุ้มกันหลายอย่าง ทำไมต้องมาล้างหน้า เพราะน้ำปัสสาวะจะไปเสริมความเต่งตึงของหน้าขึ้นมา ทำไมต้องลูบศรีษะ เพราะจะทำให้พวกผดผื่นคันเม็ดสิวที่ไปอยู่บนหัวนี้มันจางหายไป เข้าใจยัง และในที่สุด มันทำให้ผมนี้ดำขึ้น โดยปริยาย การล้างหน้ามันจะช่วยเพราะน้ำปัสสาวะมันจะซึมเข้าหน้าเร็วมากเวลามือเป็นแผล เอาน้ำปัสสาวะทาน้ำปัสสาวะจะเข้าไปกัดเชื้อไวรัส"

นายสนธิได้ยกตัวอย่างนายสุวัจน์ อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ซึ่งรักษาแผลด้วยน้ำปัสสาวะด้วยว่า "รอให้สุวัจน์ ทนายพันธมิตรเล่าให้ฟัง มือ 2 ข้าง ท่านเป็นแผลรักษาเท่าไหร่ก้ไม่หายแช่น้ำปัสสาวะ 2 วันหายหมดเลยผมนี้โดน เอ่อลิ้นชักบาดที่เมืองจีนตรงนี้เลือดสาดเลยตกใจแต่เผอิญมีสติลองใช้น้ำปัสสาวะลองเข้าห้องน้ำฉี่เอาน้ำปัสสาวะทา แสบมากทาเช้าทากลางวันเย็นหาย แผลสมาน"

"น้ำปัสสาวะรักษาโรคได้ไหมต้องให้หนังสือเป็นตัวบอกมากขึ้น แต่ผมรู้อย่างเดียวผมรู้จากภูมิปัญญาผม น้ำปัสสาวะไม่มีอันตราย น้ำปัสสาวะจะช่วยภูมิคุ้มกันเราได้มาก และน้ำปัสสาวะจะช่วยทำให้สิว ทำให้หน้าตาของเราที่เคยเหี่ยวมันดูดีขึ้น"

นายสนธิได้ถามผู้ดำเนินรายการว่า "แอน นี่ผมพฤศจิกาฯ นี้ 64 เต็มแล้ว แอนดูหน้าผมแอนว่าไง" น.ส.จินดารัตน์ อธิบายว่า "ตึง เต่งตึง หน้าใส"

นายสนธิกล่าวต่อไปว่า "ผมไม่ได้ใช้ครีม ไม่ได้ใช้อะไรเลย นี่แหละเพราะน้ำปัสสาวะเป็นแบบนี้ สุดท้ายรับประทานได้ไหม การรับน้ำปัสสาวะได้นี้คือการใช้ธรรมพิจารณา วันนี้แอนสวย ลองดูวันที่แอนตายเน่าผุพองรึเปล่า ผมเห็นคนโดนรถชน ผู้หญิงสวยผู้ชายหล่อ แต่เหตุการณ์ที่ผมเห็นนี้หน้าอกฉีก ตาบวม ความจริงอยู่ที่ไหน ความจริงไม่มี ความสวยความงาม ความหอม ความงามหวานคือเรื่องสมมติ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกลิ่นของน้ำปัสสาวะคือเรื่องสมมติเหมือนกัน นึกออกยัง"

น.ส.จินดารัตน์ ตอบว่า "แต่มันทำใจไม่ได้" นายสนธิตอบว่า "ก็ตรงนี้แหละ คนที่ทำใจได้ก็จะข้ามตรงนี้จะเข้าใจธรรมมากขึ้น ลูกบางคนนี้รักแม่ แม่ขยับไม่ได้ แม่ขี้แม่เยี่ยวนี้ต้องไป เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวแม่ ทำไมมือตัวเองไปโดนขี้โดนเยี่ยวได้ละ เข้าใจยัง นี้คือน้ำปัสสาวะ ที่ผมปัสสาวะไว้วันกว่าละ แล้วผมก็ทิ้งไว้ในห้องน้ำเพื่อประการแรงนี้ให้ปัสสาวะที่เป็นกรดกลายเป็นด่าง ทิ้งเอาไว้ความเป็นด่างจะสูงขึ้น"

น.ส.จินดารัตน์ ถามด้วยว่า "ทิ้งเอาไว้ความเป็นด่างจะสูงขึ้น เพราะร่างกายมีกรดมากไม่ดีใช่ไหม ต้องเป็นด่าง"

นายสนธิตอบว่า "ไม่ดี ต้องมีด่างเข้าไป แล้วสมมติว่าคนที่ไม่เคยทานนี้ ก็ไม่ต้องดื่มทันที ก็เอาน้ำอุ่นผสมเข้าไปถึงแค่นี้ ก็ให้เจือจางหน่อย แล้วก็ดื่มเข้าไป"

น.ส.จินดารัตน์ ถามนายสนธิว่า "แช่เย็นได้ไหม" นายสนธิตอบว่า "ได้ ใช้น้ำผสมเข้าไปดื่มก็ได้ เคล็ดลับคือกลั้นหายใจแล้วดื่ม พอดื่มจบแรกๆ อย่าเพิ่งกลืนน้ำลาย หายใจ เพราะมันจะได้กลิ่น ที่ตัวเองไม่ต้องการ ดื่มเสร็จก็ยังกลั้นหายใจอยู่ เอาน้ำอุ่นอีกซักถ้วยดื่มตาม แล้วกลั้วคอจนครบแก้ว แล้วกลืนน้ำลายหายใจ แล้วจะไม่มีกลิ่นเลย ผมไม่เห็นมันอยากตรงไหนเลย มันอยากตรงที่ว่า ขี้กับเยี่ยวคนชอบไปคิดถึงตรงนั้นเอง แค่นั้นเองหลายคนรักษาโรคตัวเองหายได้ก็เพราะตรงนี้ จริงๆ น้ำปัสสาวะไม่ได้เป็นน้ำอัศจรรย์ที่ใครเป็นโรคอะไรทานก็หายได้ แต่เป็นการเสริมภูมิต้านทานในร่างกายของเรา นี่คือหลังธรรมชาติบำบัดไง ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นโรคเป็นอะไรง่ายนัก"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้จากข้อมูลของเว็บไซต์ หมอชาวบ้าน ระบุว่าการดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อสุขภาพ หรือ "ปัสสาวะบำบัด" (urine therapy) ถือเป็นแขนงหนึ่งของการแพทย์ทางเลือก (alternative medicine) หรือระบบการแพทย์ที่อยู่นอกระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน เช่นเดียวกับ เรื่องของแม็กโครไบโอติกส์ การฝังเข็ม โยคะ สมุนไพร พลังจักรวาล การสัมผัสเพื่อรักษาโรค เป็นต้น ซึ่งยังมีข้อถกเถียงทั้งฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายคัดค้านว่าเป็นแนวทางการแพทย์ที่รักษาได้ผลจริงหรือไม่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิวยอร์กประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหลังไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก

Posted: 14 Jan 2013 06:54 AM PST

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กประกาศสถานการณ์การณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุข หลังสหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อเฉพาะในนิวยอร์กเกือบ 20,000 ราย

 
14 ม.ค. 56 - นายแอนดรูว์ คูโอโม่ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้ประกาศสถานการณ์การณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากสหรัฐอเมริกาเผชิญกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา 
 
การประกาศดังกล่าว ทำให้การฉีดวัตซีนป้องกันโรคสามารถเข้าถึงประชากรที่มากขึ้น โดยอนุญาตให้เภสัชกรดูแลการฉีดวัคซีนแก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตตามกฎหมาย
 
ปัจจุบัน การระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ ถือว่าอยู่ในระดับโรคระบาด มีรายงานว่ามีเด็กเสียชีวิตแล้ว 20 คน ส่วนการเสียชีวิตของผู้ใหญ่จากโรคนี้ยังมีสถิติที่ไม่แน่นอน และสำหรับในรัฐนิวยอร์ค มีรายงานว่ามีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เกือบ 20,000 รายแล้วสำหรับฤดูกาลนี้ นับว่าสูงเป็นสี่เท่าของฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งมีราว 4,400 รายเท่านั้น 
 
ทั้งนี้ โรคไข้หวัดใหญ่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยราวปีละ 24,000 คน 
 
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐอเมริกาชี้ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 7.6 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา เสียชีวิตจากโรคปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอยู่เหนือขีดโรคระบาด กล่าวกันว่า ฤดูกาลของไข้หวัดปีนี้มาเร็วกว่าปรกติ ด้วยการแพร่ของเชื้อหวัดสายพันธ์ุ H3N2 ซึ่งมีความร้ายแรง
 
ล่าสุด การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายไปแล้วใน 47 รัฐ สูงขึ้นจาก 41 รัฐจากสัปดาห์ก่อน โดยรัฐที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อนี้ ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย ฮาวาย และมิสซิสซิปปี
 
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้ขึ้นสูง ไอ น้ำมูกไหล ครั่นเนื้อครั่นตัวและเหนื่อยง่าย ในบางกรณีที่รุนแรงอาจมีการอาเจียน ท้องเสีย หรือปอดบวมร่วมด้วย 
 
มีการรายงานว่าเกิดการขาดแคลนยารักษาโรคหวัดชนิดน้ำสำหรับเด็ก ทามิฟลู แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่า สามารถใช้ยาทามิฟลูชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่มาลดปริมาณเพื่อใช้สำหรับเด็กได้
 
ที่มา: New York State declares influenza emergency

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชัด! ไอซีทีสั่งบล็อค 'ประกาศคณะราษฎร ฉ.1'

Posted: 14 Jan 2013 01:50 AM PST

สืบเนื่องจากกรณีที่มีการพบว่า เว็บไซต์ของกลุ่มนิติราษฎร์ ในส่วนของหน้าประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ซึ่งอยู่ในหมวดเอกสารประวัติศาสตร์ ถูกปิดกั้นการเข้าถึงโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายราย เมื่อเดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา และต่อมา สาวตรี สุขศรี สมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงไอซีที เพื่อขอคำสั่งศาลหรือกระทรวงไอซีที ที่สั่งให้ผู้ให้บริการระงับการเผยแพร่ หน้า URL "ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1" ในเว็บไซต์นิติราษฎร์ ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกั้นโดยตรง

ล่าสุด สาวตรี ระบุว่า กระทรวงไอซีทีได้ทำหนังสือตอบกลับ ลงวันที่ 10 มกราคม โดยแจ้งว่าให้นำหลักฐานการเป็นเจ้าของเว็บไปแสดง เพื่อรับสำเนาเอกสารคำสั่งศาลในกรณีดังกล่าว ซึ่งเท่ากับเป็นที่แน่นอนแล้วว่า การปิดกั้นหน้าประกาศคณะราษฎรในเว็บนิติราษฎร์ เป็นไปตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ กลุ่มนิติราษฎร์จะประชุมและไปรับสำเนา เร็วๆ นี้

 

มาตรา 20 ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่กำหนดไว้ในภาคสอง ลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้

ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เอเอสทีวีผู้จัดการแถลงขอบคุณที่ ผบ.ทบ.ขอโทษ หลังใช้คำพูดรุนแรง

Posted: 14 Jan 2013 01:41 AM PST

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขอโทษสังคมและสื่อที่ใช้คำพูดรุนแรง ส่วนกรณีทหารไปหน้าบ้านพระอาทิตย์ยืนยันว่าไปกันเองไม่มีใครสั่งให้ไป และกำชับแล้วไม่ให้เคลื่อนไหวเช่นนี้อีก ด้านเอเอสทีวีผู้จัดการแถลงขอบคุณ ผบ.ทบ. ที่กล่าวขอโทษ และระบุว่าเอเอสทีวีผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตย นักการเมืองโกงกิน และลัทธิการเมืองที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองต่างหากที่เป็นศัตรู

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ที่มา: วิกิพีเดีย/แฟ้มภาพ)

ตามที่เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ที่ผ่านมา เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก แสดงความไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอข่าวของ นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการ หลังจากถูกผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับการชุมนุมเพื่อทวงคืนปราสาทพระวิหาร และ พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวว่า "ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว" และต่อมาเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ได้เขียนแถลงการณ์ "ไอ้ผู้จัดการห่วย หรือ ไอ้ ผบ.ทบ.ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วยกันแน่" ตอบโต้ จนนำมาสู่การที่ทหารสังกัดกองทัพบกออกมาชุมนุมหน้าสำนักงานเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ถ.พระอาทิตย์ ในวันที่ 11 และ 12 ม.ค.  เพื่อเรียกร้องให้สื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น

ล่าสุดวันนี้ (14 ม.ค.) มติชนออนไลน์ รายงานว่า ในระหว่างวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี ที่กองทัพภาคที่ 1 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปเป็นประธาน ในระหว่างกล่าวให้โอวาทกำลังพล เขายังกล่าวขอโทษสังคมและสื่อมวลชน ที่ได้ใช้คำพูดรุนแรง แสดงกิริยาหงุดหงิด ที่อาจทำให้หลายฝ่ายเสียความรู้สึก และยอมรับว่าตัวเองเป็นทหารก็แบบนี้ มีลักษณะพูดไม่เพราะ ส่วนกรณีที่ทหารไปชุมนุมหน้าสำนักงานเอเอสทีวีผู้จัดการ ยืนยันว่าทหารเหล่านั้นไปกันเอง ไม่มีใครสั่งให้ไป และเป็นการไปนอกเวลา ได้ฟังเหตุผลว่า ไปเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของกองทัพ และผู้บังคับบัญชา โดยมองว่า ไม่สามารถห้ามจิตใจคนได้ ทั้งนี้ไม่ได้เป็นศัตรูใคร

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการคุกคามสื่อ เพราะเป็นเพียงการไปแสดงออกถึงความรู้สึกต่อการเสนอข่าวที่ไม่ถูกต้อง ทำให้จนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ เสียกำลังใจเพียงเท่านั้น แต่ก็ต้องขอโทษแทนนายทหารในฐานะลูกน้อง ซึ่งได้กำชับไปแล้วว่าไม่ให้ไปเคลื่อนไหวเช่นนี้อีก

ทั้งนี้ ผบ.ทบ. ปฏิเสธไม่ขอกล่าวถึง การออกมาตอบโต้ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยบอกว่า ตนไม่มีการทะเลาะกับใคร แต่ยอมรับว่า กรณีดังกล่าว ทำให้รู้สึกโกรธและเสียกำลังใจบ้าง แต่ต้องอดทนอดกลั้น และพยาพยามควบคุมอารมณ์ให้มากขึ้น "คนไทยด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคิดว่าเหยียดหยามดูถูก ผมก็ขอโทษ" ข่าวในมติชนระบุ

ขณะเดียวกัน ในเวลา 14.35 น. หลังการแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ได้เผยแพร่ "หมายเหตุ ASTVผู้จัดการ" มีเนื้อหาตอบคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ดังนี้

 

หมายเหตุ ASTVผู้จัดการ

"เอเอสทีวีผู้จัดการ" ขอแสดงความขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกที่ออกมาขอโทษต่อสังคม กรณีที่ทหารใต้บังคับบัญชานำกำลังพลมาแสดงพลังและคุกคามการทำงานของเราที่หน้าบ้านพระอาทิตย์ ถึง 2 ครั้ง 2 วัน เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อันใด และที่สำคัญ นี่เป็นบทพิสูจน์อันเป็นสัจธรรม ว่า ทางออกของการคลี่คลายปมปัญหานั้นไม่อาจแก้ไขด้วยการสำแดงพลังหรือการใช้กำลัง ทั้งยังไม่สามารถทำให้เราหวาดหวั่นในการทำหน้าที่ต่อการคุกคามนั้นเลย

"เอเอสทีวีผู้จัดการ" เป็นสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของสังคม บอกเล่าความเป็นไปในสังคม เป็นตะเกียงส่องทางให้สังคมก้าวเดินไปในวิถีทางที่ถูกต้องยามที่สังคมอยู่ในความมืดมน เราผ่านการพิสูจน์ตัวตนด้วยการกระทำทั้งในนามของผู้นำองค์กรและองค์กร ว่า เรามีจุดยืนในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา และไม่เคยลังเลที่จะออกมาต่อสู้กับนักการเมืองที่โกงชาติ และเป็นศัตรูของบ้านเมือง

เช่นเดียวกัน เราซาบซึ้งในการทำหน้าที่ของกองทัพในการปกป้องชาติบ้านเมือง ทั้งภัยคุกคามจากลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองและปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องประชาชนเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ และเราตระหนักเสมอมาว่า กองทัพยังเป็นองค์กรหลักในการปกป้องชาติบ้านเมือง

แต่เรายังคงยืนยันว่า เราจะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพ และผู้บังคับบัญชาของกองทัพต่อไปด้วยความตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อวิชาชีพ หากการทำงานของเรา มีความผิดพลาดบกพร่องและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เราก็พร้อมจะน้อมรับคำชี้แจงจากกองทัพ ทั้งนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานการเคารพในการทำหน้าที่ของกันและกัน และตระหนักว่า ไม่เพียงแต่อาชีพของทหารที่มีศักดิ์ศรีเท่านั้น ความเป็นสื่อมวลชนก็มีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน หรือถ้าพูดให้ถูกต้อง ก็คือ มนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่มีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นผู้บัญชาการทหารบก สื่อมวลชน หรือคนที่มีอาชีพต่ำต้อย

ไม่เพียงแต่เราพร้อมรับคำชี้แจงแล้ว เราขอยืนยันว่า ถ้าการทำงานของเราบกพร่อง และคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเราและสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ กองทัพและผู้บัญชาการทหารบกหรือใครก็ตามยังมีช่องทางในกระบวนการยุติธรรมและการร้องเรียนต่อองค์กรวิชาชีพ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิถีทางอารยะในสังคมประชาธิปไตย

เราขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของท่านอย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ท่านยังมีจุดยืนในหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์อย่างเที่ยงตรง และตระหนักต่อภาระหน้าที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราขอยืนยันว่า ผู้บัญชาการทหารบกกับเรามีอุดมการณ์เดียวกัน

เราอยากส่งสารไปยังกำลังพลในกองทัพ ว่า เอเอสทีวีผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูของกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของชาติ นักการเมืองที่โกงกินชาติบ้านเมืองต่างหาก ลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการจะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขต่างหากที่เป็นศัตรูของกองทัพ ประชาชน และชาติบ้านเมือง เราเชื่อว่าประชาชนก็พร้อมที่จะเป็นกำลังหนุนเนื่องของกองทัพในการต่อสู้กับภัยของชาติบ้านเมืองเหล่านั้น

สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณอีกครั้งต่อผู้บัญชาการทหารบกที่ได้ออกมาขอโทษสังคมต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป เราขอให้ท่านได้กระทำหน้าที่ของท่านอย่างซื่อตรงเต็มกำลัง และเราก็จะกระทำหน้าที่ของเราในฐานะสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความเห็นต่อข้อเสนอเรื่องนิรโทษกรรมของนิติราษฎร์

Posted: 14 Jan 2013 01:25 AM PST

ในหลักการแล้วผมเห็นด้วยกับสิ่งที่นิติราษฎร์เสนอให้มีการนิรโทษกรรมเพื่อขจัดความขัดแย้งโดยเฉพาะการนิรโทษประชาชนประชาชนผู้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง ในอดีตก็เคยมีการนิรโทษกรรมเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมามากแล้วซึ่งก็รวมถึงผู้กระทำผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในข้อหาที่ร้ายแรงเช่นเป็นขบถหรือแม้แต่ข้อหาการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์เป็นต้น การนิรโทษกรรมที่ผ่านมามีส่วนช่วยในการลดความขัดแย้งในสังคมได้พอสมควรคือทำให้ผู้คนไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันต่อไปและทำให้คนที่มีความเห็นต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปรกติ เพียงแต่การนิรโทษในอดีตหลายๆครั้งมักนิรโทษผู้มีอำนาจก่อนและมักเป็นการนิรโทษกรรมตัวเอง ทำให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายเคยตัวและยังทำผิดกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปัญหาต่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศมาจนกระทั่งทุกวันนี้

การแยกประชาชนผู้ร่วมชุมนุมออกมาจากผู้นำหรือแกนนำก็ดูจะสอดคล้องกับพัฒนาการของสถานการณ์เพราะเรื่องควรทำอย่างไรกํบผู้นำหรือแกนนำยังมีรายละเอียดและมีประเด็นให้ถกเถียงกันได้อีกมาก และที่สำคัญเมื่อความเห็นในเรื่องนี้ยังต่างกันมาก การเอาเรื่องการนิรโทษประชาชนไปผูกติดกับผู้นำหรือแกนนำได้ทำให้ความเป็นไปได้ในการจะนิรโทษประชาชนกลายเป็นเรื่องยากมากไปด้วย
 
มีประเด็นที่ต้องช่วยกันคิดต่อไปคือ

ข้อแรกจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องยอมรับแนวความคิดที่จะแยกเรื่องการนิรโทษประชาชนมาทำเสียก่อน ไม่ทำไปพร้อมกับการคืนความยุติธรรมหรือการจะทำอย่างไรก็ตามกับผู้นำหรือแกนนำ ที่เสนอเช่นนี้ไม่ใช่เห็นว่าการคืนความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่เมื่อคำนึงถึงความเป็นไปได้แล้วคงต้องยอมรับว่าการเอาเรื่องเหล่านี้ไปผูกรวมกันหมดกำลังทำให้ความเป็นไปได้ที่จะทำอะไรได้บ้างน้อยลงไปอย่างมาก
 
ข้อสองคือการนิรโทษกรรมโดยใช้วิธีทำเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อ่านคำแถลงชี้แจงแล้วก็เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็น แต่วิธีนี้อาจจะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญซับซ้อนอยู่เหมือนกัน ทำให้ต้องดูว่าจะมีการประสานกับทางฝ่ายพรรคการเมืองและรัฐสภาอย่างไร
 
ในขั้นนี้ผมคงเสนอความเห็นเชิงหลักการและเสนอประเด็นไว้สั้นๆก่อน รวมทั้งยังไม่อยากเปิดประเด็นอะไรมากเพราะประเด็นที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ที่ต้องทำให้หลายฝ่ายเห็นตรงกันเสียก่อนก็คือเป็นความจำเป็นที่รัฐบาล พรรคการเมือง องค์กรประชาธิปไตยหรือผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายควรเห็นร่วมกันว่าในการแก้ปัญหาควาาขัดแย้งในสังคมในขั้นตอนนี้ควรเริ่มด้วยการลดความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีความแตกต่างทางความคิดและเปิดโอกาสให้เขาเหล่านั้นสามารถกลับมาช่วยกันสร้างสรรค์สังคมร่วมกับคนอื่นๆในสังคมเสียก่อน แล้วเรื่องดีๆอื่นๆก็อาจตามมาได้ง่ายขึ้น     
 
 
 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประกาศรายชื่อนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2555

Posted: 14 Jan 2013 12:55 AM PST

14 มกราคม 2556 เวลา 10.00 น. ณ. สภาวิจัยแห่งชาติ (วช.)  ถนนพหลโยธิน คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ ได้จัดงานแถลงข่าวประกาศเกียรติคุณนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2555 ของสภาวิจัยแห่งชาติ จำนวน 10 ท่านใน 9 สาขาวิชา โดยมติคณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ โดยพิจารณานักวิจัยที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลประจำปี 2555 ทั้งหมด 10 ท่านดังนี้

1. สาขาปรัชญา ศาสตราจารย์ ดร. สมทรง บุรุษพัฒน์ แห่ง สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล

2. สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร. ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

3. สาขาสังคมวิทยา ศาสตราจารย์ ดร. ยศ สันตสมบัติ แห่งคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

4. ศาสตราจารย์ ดร. ศิริชัย กาญจนวาสี แห่งคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

5.สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์  ศาสตราจารย์ ดร.กอบกุล รุจิจนากุล แห่ง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

6. สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศาสตราจารย์ นายแพทย์วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

7. สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ศาสตราจารย์ ดร. พิมพ์ใจ ใจเย็น แห่ง คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล

8. สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา รองศาสตราจารย์ ดร. พูนสุข ประเสริฐสรรพ์ แห่ง คณะอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

9. สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ศาสตราจารย์ เฉลิมชนม์ สถิระพจน์ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

10. สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร. สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ ยังได้ประกาศรางวัลงานวิจัยระดับดีเยี่ยม ระดับดีเด่น และระดับดี รวม 28 ชิ้นงาน จาก 12 สาขาวิชาการ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวโคกหินขาวร้องผู้ว่าฯ ขอนแก่น หวั่นผลกระทบโรงงานแป้งมันสำปะหลัง

Posted: 14 Jan 2013 12:53 AM PST

กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาวร่วมกลุ่มนักศึกษายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ค้านโรงงานแป้งมันสำปะหลัง หวั่นสูบน้ำชลประทานป้อนโรงงานฯ ทั้งการก่อสร้างยังทำประชาคมไม่ทั่วถึง-ไม่มีการให้ข้อมูลกับชาวบ้านในพื้นที่

 
 
วันที่ 10 ม.ค.56 ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาว ต.น้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ร่วมกับกลุ่มนักศึกษาเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน) ม.ขอนแก่น นักศึกษาจากพรรคสามัญชน และศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม ประมาณ 100 คน รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ณ ศาลากลางจังหวัด กรณีโรงงานแป้งมันสำปะหลังของบริษัท ขอนแก่นสตาร์ช จำกัด บริเวณบ้านหนองหารจาง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น
 
ตัวแทนชาวบ้านระบุ การสร้างโรงงานดังกล่าวยังทำประชาคมไม่ทั่วถึงและไม่มีการให้ข้อมูลกับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากหวั่นถึงกระบวนการตามกฎหมายที่ไม่ถูกต้องและผลกระทบที่จะเกิดตามมา
 
 
กลุ่มอนุรักษ์ฯ และกลุ่มนักศึกษาได้ยื่นหนังสือและร่วมเจรจากับผู้ว่าราชการขอนแก่นในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว โดยขอให้มีการตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1.กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของชุมชน ในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานของบริษัท ขอนแก่นสตาร์ช จำกัด ว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548 หรือไม่
 
2.การอนุญาตใช้น้ำของโรงงานแป้งมัน บริษัท ขอนแก่นสตาร์ช จำกัด ต่อผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย สำนักชลประทานที่ 6 กรมชลประทาน ในห้วยเสือเต้นซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติว่าชอบหรือไม่ และ 3.ให้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่บริเวณที่ตั้งโรงงานและพื้นที่ชุ่มน้ำห้วยเสือเต้น
 
ด้านนายสมศักดิ์ รับข้อเสนอทั้งสามข้อ โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกระบวนการรับฟังความคิดเห็นร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและชาวบ้าน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องดำเนินการภายใน 30 วัน และให้ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย ทำการตรวจสอบข้อกฎหมายที่อนุญาตให้โรงงานแป้งมันใช้น้ำจากห้วยเสือเต้น ภายใน 7 วัน
 
นางณัฐภรณ์ แสงโพธิ์ ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโคกหินขาวกล่าวว่า การรวมตัวไปยื่นหนังสือกับผู้ว่าครั้งนี้ เนื่องจากทางกลุ่มต้องการให้มีการตรวจสอบการสร้างโรงงานแป้งมันอย่างจริงจัง เพราะเคยไปฟ้องศาลปกครองแล้ว ไปยื่นหนังสือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกที่แล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้า โรงงานก็ยังสร้างต่อไป
 
อีกทั้งชาวบ้านเห็นตัวอย่างจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รอบบริเวณอำเภอน้ำพอง ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนมาแล้ว และโรงงานดังกล่าวไม่มีการออกมาแก้ปัญหาใดๆ ทำให้เกรงว่าจะได้รับผลกระทบดังเช่นโรงงานอื่นๆ
 
 
ด้านนายศุภณัฐ บุญสด ตัวแทนนักศึกษา กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน) กล่าวว่า หลังจากที่ทางกลุ่มได้ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลและสำรวจกระบวนการตั้งโรงงานแป้งมันสำปะหลังแล้ว พบว่า การก่อตั้งโรงงานแป้งมันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องด้วยกระบวนการดังกล่าวไม่ได้ผ่านมติจากชุมชนแต่อย่างใด ไม่มีขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ตัดสินใจเลย ทั้งที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ และอยู่ห่างจากชุมชนเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้าโรงงานตั้งสำเร็จ ผลกระทบเกิดกับชุมชนแน่นอน
 
นายกรชนก แสนประเสริฐ ตัวแทนนักศึกษาพรรคสามัญชน กล่าวว่า ทางพรรคมีนโยบายการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งกรณีการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม บริเวณรอบห้วยเสือเต้นนั้น ไม่มีความเป็นธรรมกับชาวบ้าน ซึ่งขัดกับหลักสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ
 
"การจัดการน้ำหรือการอนุมัติให้สร้างโรงงานแป้งมันซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชุมชน โดยไม่ผ่านกระบวนการของชุมชนในพื้นที่ก่อนนั้น เป็นการละเมิดสิทธิชุมชนอย่างร้ายแรง" นายกรชนกกล่าว
 
ส่วนนายวิทูวัจน์ ทองบุ ตัวแทนศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม กล่าวว่า การอนุญาตจากกรมชลประทานหนองหวาย ให้มีการก่อสร้างท่อและสถานีส่งน้ำของบริษัทขอนแก่นสตาร์ช จากห้วยเสือเต้นนั้น เป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจาก มติคณะรัฐมนตรี 3 พฤศจิกายน 2552 กำหนดให้ห้วยเสือเต้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และวางมาตรการคุ้มครองไว้ โดยการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำต้องใช้อย่างยั่งยืนทุกภาคส่วน และชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการใช้น้ำด้วย ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
นายวิทูวัจน์ กล่าวด้วยว่า การออกคำสั่งทางปกครองนั้น ตามระเบียบหากคำสั่งทางปกครองอาจกระทบต่อสิทธิของผู้อื่น ก่อนออกคำสั่งจะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้โต้แย้งสิทธิก่อน กรณีของโรงแป้งมันสำปะหลัง คำสั่งทางปกครองคือการออกใบอนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งก่อนออกคำสั่งดังกล่าวจะต้องมีหนังสือปิดประกาศให้ชุมชนร้องคัดค้านก่อน แต่ข้อเท็จจริงไม่มีกระบวนการที่ผ่านชุมชนเลย
 
"กระบวนการที่ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมมากกว่าเกษตรกรรม โดยการใช้มูลค่าวัดนั้น ภาคประชาชนมีส่วนร่วมหรือไม่ และเป็นการคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนมากน้อยเพียงใด" นายวิทูวัจน์ กล่าวทิ้งท้าย
 
นอกจากนี้ในช่วงเช้าวันเดียวกันนั้น กลุ่มอนุรักษ์ฯ และนักศึกษาดังกล่าวรวมตัวกันที่บ้านหนองหารจาร เพื่อรณรงค์แจกใบปลิวให้ข้อมูล เกี่ยวกับการตั้งโรงงานแป้งมันสำปะหลังที่อาจส่งผลกระทบแก่ชุมชนโดยรอบ จากนั้นจึงเดินทางไปที่กรมชลประทานหนองหวาย ต.น้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ยื่นหนังสือแก่ นายประพันธ์ ก้านทอง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย เพื่อสอบถามข้อมูลถึงการสูบใช้น้ำในพื้นที่ห้วยเสือเต้นไปใช้ในโรงงานแป้งมันสำปะหลัง
 
ทั้งนี้ ห้วยเสือเต้นนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์และสำคัญต่อชาวน้ำพองเป็นอย่างมาก มีการใช้น้ำเพื่อทำนา ปลูกพืชไร่ มีการจับสัตว์น้ำ และการใช้น้ำทำน้ำประปาหมู่บ้าน ประชาชนมีรายได้สัมพันธ์กับพื้นที่ชุ่มน้ำประมาณร้อยละ 60 ของรายได้ทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านเกรงว่าหากสูบน้ำป้อนโรงงานแป้งมันอาจทำให้ทรัพยากรในห้วยเสือเต้นสูญหายไป และการอนุญาตใช้น้ำนั้นชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและขจัดความขัดแย้ง

Posted: 13 Jan 2013 08:15 PM PST

13 ม.ค. 2556 วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปิยบุตร แสงกนกกุล และจันทจิรา เอี่ยมมยุรา ตัวแทนคณะนิติราษฎร์ร่วมกันแถลงที่ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายข้อเสนอ ร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและขจัดความขัดแย้งหลังจากที่มีการเผยแพร่ร่างฯ ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น