โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

รักษ์บ้านแหงลุ้น! ศาลปค.นัดพิพากษา เพิกถอนรายงานกรมอุตฯ 15 ต.ค.นี้

Posted: 04 Oct 2013 12:33 PM PDT

กลุ่มรักษ์บ้านแหง จ.ลำปาง แจ้งข่าวศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อม ที่กลุ่มรักษ์บ้านแหง ฟ้องกรรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ 15 ต.ค.นี้ ที่ศาลปกครองเชียงใหม่
 
 
วันนี้ (5 ต.ค.56) กลุ่มรักษ์บ้านแหง จ.ลำปาง แจ้งว่าศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อม ที่กลุ่มรักษ์บ้านแหง ฟ้องกรรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ 15 ต.ค.นี้ ที่ศาลปกครองเชียงใหม่ โดยคดีดังกล่าว น.ส.แววรินทร์ บัวเงิน กับพวกรวม 445 คน ยื่นฟ้องจำเลยรวม 4 ราย ประกอบด้วย กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 และผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 จากการจัดทำรายงานการไต่สวนพื้นที่ ตามคำขอประทานบัตรเลขที่ 4/2553 ถึง 8/2553 ของบริษัท เขียวเหลือง จำกัด โดยหน่วยงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
 
กลุ่มผู้ฟ้องเห็นว่าเป็นรายงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนรายงานการไต่สวนพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรของบริษัท เขียวเหลือง จำกัด ซึ่งได้ยื่นขอประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่ของหมู่บ้าน พร้อมทั้งให้เพิกถอนกระบวนการต่อเนื่องจากการทำรายงานด้วย
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 ม.ค.56 ทนายความได้ยื่นเอกสารของผู้ร่วมยื่นฟ้องและรายละเอียดเอกสารการฟ้อง ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของศาลปกครองเชียงใหม่ ณ ห้องรับฟ้อง และมีการรับเรื่องให้เป็นเลขคดี ส./2556 แต่ศาลปกครองพิจารณาไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า เหตุยังไม่เกิด มูลการละเมิดยังไม่มี แม้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะนำไปสู่การอนุญาตประทานบัตร ต่อมาชาวบ้านได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลปกครองกลางที่ไม่รับคำฟ้องดังกล่าว
 
ทั้งนี้ กลุ่มรักษ์บ้านแหงเคลื่อนไหวคัดค้านการขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์ของบริษัทดังกล่าวในพื้นที่บ้านแหง ตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากเกรงว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ โดยกลุ่มรักษ์บ้านแหงระบุว่า เบื้องต้นทางบริษัทฯ ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดิน อ้างว่าจะลงทุนธุรกิจด้านวนเกษตร ทำให้มีประชาชนหลายรายขายที่ดินให้ แต่ต่อมากลับยื่นขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์ โดยได้ยื่นคำขอต่อกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.53 รวม 5 แปลง ทำให้ประชาชนหวั่นเกรงว่าจะนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิต เช่นเดียวกับเหมืองแม่เมาะ จึงได้เคลื่อนไหวคัดค้านมาอย่างต่อเนื่อง
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กระบวนทัศน์ใหม่ด้านการศึกษา&การทำงานของอเมริกัน

Posted: 04 Oct 2013 09:53 AM PDT

ผมไม่ได้ไปเยือนซิลิคอนวัลเล่ย์ และซานฟรานซิสโก (รัฐแคลิฟอร์เนียตอนบน)นานพอสมควร ก็น่าจะราว 3 ปี เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ย่านเมืองซานโฮเซ่ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าซานฟรานซิสโกและเบย์แอเรีย เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์ แบรนด์อะไรๆ ที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียก็ล้วนมาจากท้องถิ่นนี้ทั้งนั้น อย่าง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรืออื่นๆอีกมากมายหลายยี่ห้อ รวมทั้งที่เรารู้กันดี คือ เสิร์ช เอ็นจิ้น yahoo และโดยเฉพาะพี่กู อาจารย์กู  "google"

กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ผมได้มีโอกาสเจอกับนักเรียนไทยคนหนึ่ง คือ คุณเพชร วรรณิสสร  ซึ่งเพิ่งจบศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon (CMU)ในสาขาการจัดการด้านซอฟท์แวร์  มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาเปิดสาขา(campus) อยู่ที่ Moffett Field เมือง Mountain View เขตซิลิคอนวัลเลย์ ทั้งบริเวณเดียวกันนี้ยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือ NASA อีกด้วย

ก่อนหน้านั้น คุณเพชรยังจบปริญญาโทด้านคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) ด้วยอีกใบหนึ่ง ขณะที่ก่อนหน้านั้นอีก เขาได้ปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนน์ อาร์เบอร์ ในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ รวมระยะเวลาของการอยู่ในอเมริกาประมาณ 7 ปี

จากการได้คุยกับนักศึกษาไทยอย่างคุณเพชร ทำให้ทราบเรื่องราวอย่างน้อย 2 เรื่องใหญ่ๆครับ

เรื่องแรก  คือ  เรื่องระบบการศึกษา หรือพูดให้เป็นภาษาทางการหน่อยจะได้ว่า "กระบวนทัศน์ ทางด้านการศึกษาของอเมริกัน" หมายถึง ระบบการศึกษาของอเมริกัน ที่กำลังเป็นอยู่และแนวโน้มที่ จะเป็นในอนาคต คุณเพชรได้ฉายเห็นว่าในฐานะของรุ่นใหม่เขามองหรือมีทัศนะต่อเรื่องนี้อย่างไร

เรื่องที่สอง คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรม การสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีของอเมริกันว่า วิธีการคิดในการทำงานตามแบบอย่างวัฒนธรรมใหม่ของคนในซิลคอนวัลย์เป็นอย่างไร

ทั้ง 2 เรื่องทำให้ผมหวนนึกไปถึงคำพูดของ อดัม เคิล เรื่อง "การศึกษาเพื่อความเป็นอัตลักษณ์" เขาบอกว่า การศึกษาที่ดีไม่ควรไปรับใช้ระบบ แต่ต้องเพื่อบ่มเพาะจิตใจละสติปัญญาของมนุษย์ ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ และให้มนุษย์เป็นอิสระชน แนวโน้ม(Trend) ของการศึกษาและการทำงานในอเมริกากำลังเดินทาง ไปสู่เป้าหมายตามที่ อดัม เคิล ว่าไว้หรือไม่?

ผมจะประเมินบางส่วนของเรื่องนี้จากคุณเพชร ซึ่งกำลังเดินเข้าไปทำงานยังบริษัททวิตเตอร์ในเขตซานฟรานซิสโก
ตอนหนึ่งของบทสนทนาระหว่างผมกับคุณเพชร คุณเพชรมีความเห็นในเรื่องการศึกษาของอเมริกันอย่างนี้ครับว่า

"ระบบการเรียนการสอนของอเมริกันเน้นการเรียนรู้เป็นหลัก โดยดูจากสัมฤทธิผลของการเรียน (performance) เน้นการทำงานมากกว่าการสอบ มีการทำโปรเจคท์มากกว่าการเรียนในห้องเรียน คืออาจารย์ผู้สอนจะไม่มีการชี้นิ้วว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ให้เราต้องทำด้วยตัวเองเป็นหลัก เราต้องเป็นผู้นำของตัวเองโปรเจคท์จะมีการกำหนดเดทไลน์มาให้ แล้วก็จะเน้นความซื่อสัตย์อย่างมาก จากความเชื่อที่ว่า นักศึกษาจะไม่โกง ทำให้เรารู้จักซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เป็นการปล่อยให้เราทำอะไรอย่าง อิสระ แต่ต้องมีความรับผิดชอบ"

เมื่อถามถึงการให้ผู้เรียนเป็นผู้นำตัวเอง

"คอร์สการเรียนของที่นี่ เน้นการเรียนรู้ ให้นักศึกษากำหนดมาเลยว่า ต้องการทำโครงการ(project) อะไร และไม่จำเป็นว่า โปรเจคท์ต้องเหมือนกับคนอื่น แล้วกลับมาบอกอาจารย์ว่าต้องการศึกษาเรื่องอะไร เกิดปัญหาอะไรขึ้น เมื่อมีปัญหาอาจารย์กับนักศึกษาก็จะช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งวิธีที่ถูกต้องในการแก้ไข ปัญหาไม่ได้มีวิธีเดียวแต่ อาจมีหลายวิธีก็ต้องเอามาถกกันในชั้นเรียน วิธีการแก้ปัญหาต่างกันแต่ได้ผลลัพธ์ เหมือนกันก็ไม่เป็นไร การลองผิดลองถูกเป็นเรื่องธรรมดาของการเรียนที่นี่"

คุณเพชรเล่าถึงบรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียนที่ซิลิคอนวัลเลย์ (ซึ่งคงคล้ายกันในแทบ ทุกสถาบันการศึกษาในอเมริกา)ว่า อาจารย์อเมริกันจะไม่สอนแบบการถ่ายทอดความรู้ฝ่ายเดียว แต่จะมีบรรยากาศของการสนทนาแลกเปลี่ยนกันระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา ยกเว้นการศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งอาจารย์มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาบ้าง(lecture) แต่ในชั้นเรียนดังกล่าวก็มีการ ซักถามอาจารย์ผู้สอนจากผู้เรียนอย่างมาก

"นักศึกษาสามารถยกมือท้วงติงอาจารย์ได้หากเห็นว่า อาจารย์นำเสนอความรู้ไม่ถูกต้อง โดยการการแสดงเหตุผลว่า ทำไมถึงแย้งอาจารย์ อาจารย์ก็ต้องหยุดฟังว่าผู้เรียนแย้งว่าอย่างไร มีเหตุผลการแย้งเพียงพอหรือไม่ ดังนั้น การเรียนการสอนที่นี่ อาจารย์จึงไม่ใช่เป็นผู้พูดเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ผู้เรียนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามได้ตลอดเวลา"

เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการเรียนการสอนของเมืองไทยในปัจจุบันแล้ว  คุณเพชรบอกว่า การเรียนการสอนในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยของไทยเหมือน "ผู้ใหญ่สอนเด็ก" ไม่ค่อยเปิดโอกาสผู้เรียนคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ หากควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดโครงการ(project) ด้วยตัวของผู้เรียนเอง ให้อิสระกับตัวผู้เรียน และทุกโครงการไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ปัญหาของการศึกษา ไทยอย่างหนึ่ง คือ เราต้องการให้มีผลผลิตออกมาเหมือนกัน(ผลิตซ้ำ) แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น

ความรู้ในโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะความรู้ทางด้านเทคโนโลยี ดังนั้นผู้สอนจึง ควรฝึกผู้เรียนให้มีการเรียนรู้ให้มากที่สุด จะเห็นได้ว่าความรู้เป็นไปในลักษณะ "ความรู้เก่ายังอยู่ แต่ความรู้ใหม่มาอีกแล้ว" ยิ่งความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ด้วยแล้ว นับว่าวิ่งเร็วมาก เราต้องตามให้ทันและเรียนรู้นวัตกรรมและต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่าง Base on Technology  อย่างเช่น โซเชียลมีเดีย ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารในสังคมปัจจุบัน

ในความเป็นซิลิคอนวัลเลย์นั้น เนื้อหาสาระของศูนย์กลางเทคโนโลยีสารสนเทศเวลานี้ คนรุ่นใหม่อย่างคุณเพชรบอกว่า ผู้คนในซิลิคอนวัลย์กำลังอยู่ในช่วงของการให้ความสนใจและพัฒนานวัตกรรมเชิงข้อมูล 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่หนึ่ง  คือ โซเชียลมีเดีย(social media) ประเภทที่สอง คือ ระบบอุปกรณ์การสื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile) และประเภทที่สาม คือ ระบบข้อมูลขนาดใหญ่(Huge data) โดยเฉพาะในประเภทที่สาม นับว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะหมายถึงการการจัดการเชิงข้อมูลในระดับต่างๆ จากระดับท้องถิ่นระดับสากล ซึ่งตอนนี้อเมริกันเป็นฝ่ายดูแลและจัดการข้อมูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก

ส่วนแนวโน้ม(Trend) หรือกระแสการเคลื่อนย้ายแรงงานในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์  คุณเพชรมองว่า ขณะนี้กระแสความต้องการทำงานของผู้คนแถวซิลิคอนวัลเลย์ พวกเขาต้องการทำงานอย่างเป็นอิสระมากขึ้น คือ ไม่ต้องการไปทำงานโดยขึ้นอยู่กับบริษัทใหญ่ แต่ต้องการทำโปรเจคท์เองตนหรือกลุ่มของตน เช่น จะมีการรวมกลุ่มกันประมาณ 2-3 คน คิดและทำโครงการและหางบทำโครงการเอง

"ปัญหาของซิลิคอนวัลเลย์ส่วนหนึ่งในขณะนี้ก็คือ มีคนคิดโครงการได้หลายโครงการ  แต่บุคลากรด้านนี้มีไม่เพียงพอกับความต้องการ(ที่จะเข้าไปทำโครงการ)"

นักเรียนไทยซึ่งเพิ่งจบการศึกษาจาก CMU บอกว่า ตอนนี้หากเปรียบเทียบกระบวนทัศน์ด้านการศึกษาและด้านเทคโนโลยีระหว่างอเมริกากับไทย คงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ที่สำคัญคือ คนไทยจะต้องพัฒนาวิธีการคิด ขยายกรอบการมองออกไปเลยจากการใช้ตัวเองเป็นฐาน ไปสู่การมองที่ เป็นประโยชน์ร่วมในเชิงสากล เพราะแนวโน้มการทำงานของมนุษย์ในอนาคต จะมีการแยกตัวออกมาเป็น หน่วยย่อยมากกว่าที่จะทำงานร่วมกับองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งมักปิดโอกาสสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ

"ลักษณะที่สำคัญของอเมริกัน พวกเขาชอบคิดใหญ่ ไม่ชอบคิดเล็ก แต่คนไทยตรงกันข้าม ชอบคิดเล็ก   วัฒนธรรมอเมริกันเวลาคิด คิดแบบไม่กลัวความล้มเหลว แต่คนไทยพะวงกับความล้มเหลว จึงไม่กล้าคิดใหญ่แบบเอาตัวเองเป็นเดิมพัน" 

คุณเพชรเล่าว่า การคิดสร้างสรรค์งานประเภทโซเชียลมีเดีย อย่างเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เวลาคิด เขาคิดใหญ่ระดับโลกทำให้คนใช้ทั่วโลก ซึ่งวัฒนธรรมการคิดแบบนี้คนไทยไม่มี คนอเมริกันเวลาคิด เขาคิดเพื่อให้เป็นผลงานที่ใหญ่เข้าไว้เผื่อคนรุ่นหลัง(legacy) ทำอย่างไรทำให้คนอื่นได้ใช้ด้วย แต่ของคนไทยเราคิดเพียงแค่การใช้เฉพาะหน้า เฉพาะตนและกลุ่มของตนเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็ยังหวาดหวั่นในเรื่องความมั่นคงด้านหน้าที่การงาน และเงินเดือน จึงไม่มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในระดับโลกได้"

กระบวนทัศน์ของคนอเมริกัน ในซิลิคอนวัลเลย์ หรือแม้แต่อีกหลายที่ในอเมริกา ก้าวไปถึงขั้นที่ว่า การคิดนวัตกรรมต่างๆนั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เรื่องเงินหรือธุรกิจอันดับแรก แต่เขาคิดบนฐานความมีประโยชน์ (contribute)ต่อโลก เน้นไปที่ความพอใจ(passion) ในประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ ส่วนเงินหรือผลได้ทางธุรกิจจะเป็นเรื่องที่ตามมาภายหลัง  ขณะที่คนไทยคิดตรงกันข้ามมักมองแค่เรื่องราวและหน้าที่เฉพาะในกรอบของตัวเอง มองหาช่องทางเป็นลูกจ้างและงานเงินเดือน

"คนไทยติดเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมากไป ต่างจากคนอเมริกันที่มองการใช้เทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติ ผู้บริโภคเทคโนโลยีอเมริกันส่วนใหญ่ไม่มีความพยายามเพื่อครอบครองเทคโนโลยีใหม่แบบไล่ล่าหรือเพื่อโชว์ว่าตัวเองนำสมัย แต่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงานและการติดต่อสื่อสารตามความจำเป็นเท่านั้น"

คุณเพชร –คนไทยในซิลิคอนวัลเลย์ผู้คลุกคลีอยู่กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ครับ


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

6 ตุลา “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”

Posted: 04 Oct 2013 09:09 AM PDT



ภาพจาก  สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล facebook Notes: "จตุรัส" ฉบับสัมภาษณ์ประวัติศาสตร์ กิตติวุทโฒ

 

วิกิพีเดียบันทึกประวัติของ กิตติวุฑโฒ ภิกขุ ไว้ตอนหนึ่งว่า ช่วงก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา เคยกล่าวว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ ไม่บาป" ซึ่งถูกฝ่ายขวา อันได้แก่นวพล กลุ่มกระทิงแดงในสมัยนั้นนำไปใช้เป็นวาทกรรมโจมตีฝ่ายซ้าย และยุยงให้คนไทยเกลียดชังนิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมต่อต้านการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจรในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำไปสู่การสังหารหมู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

กิตติวุฑโฒ ได้ตีความพุทธศาสนาสนับสนุนความรุนแรงในนามของการปกป้องอุดมการณ์ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" ผ่านคำให้สัมภาษณ์นิตยสารจตุรัส ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2519 ไว้ดังนี้

 

จตุรัส : การฆ่าฝ่ายซ้าย หรือคอมมิวนิสต์บาปไหม

กิตฺติวุฑฺโฒ: อันนั้นอาตมาก็เห็นว่าควรจะทำ คนไทยแม้จะนับถือพุทธก็ควรจะทำ แต่ก็ไม่ชื่อว่าถือเป็นการฆ่าคน เพราะว่าใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั้นไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือต้องตั้งใจ (ว่า) เราไม่ได้ฆ่าคนแต่ฆ่ามารซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน

จตุรัส : ผิดศีลไหม

กิตติวุฑโฒ : ผิดน่ะมันผิดแน่ แต่ว่ามันผิดน้อย ถูกมากกว่า ไอ้การฆ่าคนคนหนึ่งเพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ ไอ้สิ่งที่เรารักษาปกป้องไว้มันถูกต้องมากกว่า แล้วจิตใจของทหารที่ทำหน้าที่อย่างนี้ไม่ได้มุ่งฆ่าคนหรอก เจตนาที่มุ่งไว้เดิมคือมุ่งรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ การที่เขาอุทิศชีวิตไปรักษาสิ่งดังกล่าวนี้ก็ถือว่าเป็นบุญกุศล ถึงแม้จะฆ่าคนก็บาปเล็กน้อย แต่บุญกุศลได้มากกว่าเหมือนเราฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ ไอ้บาปมันก็มีหรอกที่ฆ่าปลา แต่เราใส่บาปพระได้บุญมากกว่า

จตุรัส : ฝ่ายซ้ายที่ตายหลายคนในช่วงนี้ คนฆ่าก็ได้บุญ

กิตติวุฑโฒ : ถ้าหากฆ่าคนที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้วก็ได้ประโยชน์

จตุรัส : คนฆ่าฝ่ายซ้ายที่ไม่ถูกจับมาลงโทษ ก็เพราะบุญกุศลช่วย

กิตติวุฑโฒ : อาจจะเป็นได้ ด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ (หัวเราะ)

ธรรมชาติของรัฐย่อมผูกขาดการใช้ความรุนแรงหรืออ้างสิทธิอันชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงปกป้องความมั่นคงของตัวรัฐเองอยู่แล้ว โดยใช้กลไกต่างๆ เช่น กฎหมาย กองทัพ ตำรวจ ศาล คุก การลงโทษในรูปแบบต่างๆ ในรัฐราชาธิปไตยแบบโบราณ พุทธะเข้าใจถึงปัญหาความรุนแรงโดยรัฐ จึงสอนคุณธรรมต่างๆ เช่นทศพิธราชธรรมเพื่อป้องกันไม่ใช้ผู้ปกครองลุแก่อำนาจใช้ความรุนแรงกดขี่เบียนเบียนราษฎร หากผู้ปกครองขาดคุณธรรมบ้านเมืองย่อมเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ดังแม้สมัยอยุธยาก็มีการอ้างอิงคุณธรรมกำกับการใช้อำนาจตามอำเภอใจของชนชั้นปกครองผ่านวรรณกรรม เช่น "เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา" (รักษารูปศัพท์ตามต้นเดิม) ที่ว่า

คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย

จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น

ด้วยพระมหากระษัตรมิได้ทรงทศพิตราชธรรม์

จึงเกิดเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ

คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพด

อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทีศาน

มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล

เกิดนิมิตพิสดารทุกบ้านเมือง

พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก

อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง

ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง

ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร...

กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย

น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม

เพลงยาวนี้พยากรณ์ถึง "กลียุค" และความล่มสลายของรัฐราชาธิปไตยที่ "พระมหากระษัตริย์มิได้ทรงทศพิศราชธรรม" เนื่องจากกษัตริย์คือรัฐหรือเป็นองรัฏฐาธิปัตย์ แต่รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่นั้นรัฐคือประชาชน เนื่องจากประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจร่วมกัน หรือเป็นหุ้นส่วนร่วมกันในรัฐ ความมั่นคงของรัฐประชาธิปไตยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของชนชั้นปกครอง หากแต่ขึ้นอยู่กับ "ระบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย" คือมีกติกาที่ free and fair แก่ประชาชนทุกคนที่เป็นหุ้นส่วนของรัฐ หรือมีระบบนิติรัฐที่รับรองสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานและความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์

แต่ประวัติศาสตร์การเมืองไทย (อย่างน้อย) ตั้งแต่การปฏิวัติสยาม 2475 เป็นต้นมาคือประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่าง "อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" (ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่สถาปนาขึ้นในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์) กับ "อุดมการณ์ประชาธิปไตย" ซึ่งสะท้อนว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยไม่ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตั้งแต่ 2475 การปฏิวัติยังต้องเดินทางต่อจนกว่าประชาชนไทยจะสามารถสร้างกติกาการปกครองที่ free and fair หรือมีระบบนิติรัฐที่รับรองสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานและความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ตามหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

แม้จะเป็นความจริงว่า ประวัติศาสตร์การนองเลือด 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19, พฤษภา 35 และพฤษภา 53 ฝ่ายที่อ้างอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (ที่ไม่มี "ประชาชน") ยังเป็นฝ่ายผูกขาดการใช้ความรุนแรงปราบปรามนักศึกษาและประชาชนที่ยืนยันอุดมการณ์ประชาธิปไตยตลอดมา แต่บริบทโลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ผู้คนในสังคมไทยก็หูตาสว่างมากขึ้นเกินกว่าจะยอมถูกครอบงำโดยระบบเก่าได้ตลอดไป

พระสงฆ์และพุทธศาสนาที่เป็นเครื่องมือของระบบเก่าครอบงำประชาชน และสนับสนุนการใช้ความรุนแรงปกป้องอุดมการณ์ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยก็นับวันจะถูกตั้งคำถามและถูกท้าทายมากขึ้น หากสังคมไม่สามารถหา "ข้อสรุปร่วมกัน" ได้ในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับโลกประชาธิปไตย ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะมั่นใจได้ว่าประวัติศาสตร์ความรุนแรงจะไม่เกิดซ้ำรอยอีก

 

 

หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกใน "โลกวันนี้วันสุข" (5-12 ตุลาคม 2556)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การโกหกและบิดเบือนเพื่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์

Posted: 04 Oct 2013 08:57 AM PDT

หลายเหตุผลต่อการต่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เข้าข่ายโกหกบิดเบือนข้อมูลเพื่อลวงให้เห็นว่าการสร้างเขื่อนไม่ดี  ผมก็เห็นด้วยกับการรักษาสัตว์ป่า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  แต่การนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ควรนำเสนอด้วยความโปร่งใส เป็นจริงโดยไม่บิดเบือน และไม่ใช้การโน้มน้าวอารมณ์ความรู้สึกมาอยู่เหนือเหตุผล

ตัวอย่างแรกก็คือ การกล่าวถึงความไร้ประสิทธิภาพของเขื่อนแม่วงก์ในทำนองว่า ""ศศิน" ชี้เขื่อนแม่วงก์ป้องน้ำท่วมกทม.ได้แค่ 1%" {1} โดยดูจากปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2554 กรณีนี้ฟังดูแล้วในเบื้องต้นอาจเห็นว่าทางราชการ "ไม่บ้าก็เมาแล้ว" ที่ยังคิดสร้างเขื่อนแม่วงก์  แต่ในความเป็นจริงอาจถือเป็นการบิดเบือนอย่างยิ่ง เพราะในปีดังกล่าว ต่อให้มีเขื่อนภูมิพลนับสิบเขื่อน ก็อาจไม่สามารถกักน้ำไว้ได้อยู่ดี

เขื่อนแม่วงก์ที่มีขนาด 13,000 ไร่นี้ {2} ใหญ่เพียง 2 เท่าของเขตสาทร ซึ่งเป็นเขตขนาดเล็ก ๆ ของกรุงเทพมหานครเท่านั้น  จะไปใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมของกรุงเทพมหานครได้อย่างไร  แค่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และแก้ไขภัยแล้วในพื้นที่ใกล้เคียงก็นับว่ามีประสิทธิผลสูงมากแล้ว

ตัวอย่างที่สองก็คือ บอกว่าใน "พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งจำนวนมากเป็นอันดับสองของโลก" {3} ฟังดูแล้วน่าจะอนุรักษ์ไว้ ไม่ควรทำลายป่าเลย  แต่ที่พูดนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ ต้องลองตรองดู  เพราะพื้นที่ที่มีขนาดเพียง 2 เท่าของเขตสาทรนี้จะมีเสือพร้อมสัตว์อื่นที่พร้อมจะเป็นอาหารเสืออีกหลายเผ่าพันธุ์ {4} ได้อย่างไร  คงมีแต่เสือเดินผ่านมาจากป่าดิบในบริเวณอื่น

ถ้ามีเสือจริง ป่านนี้เจ้าหน้าที่ป่าไม้หรือชาวบ้านแถวนั้นคงถูกเสือกัดตายไปแล้ว หรือถ้ามีคนอื่นเห็นจริง ก็คงต้องรีบตามล่ากันจ้าละหวั่นเหมือนที่เคยมีในบริเวณอื่นแล้ว {5}  เพราะรอบ ๆ พื้นที่ชายป่าที่เรียกว่า "แม่วงก์" นี้ มีหมู่บ้านชาวบ้าน รีสอร์ต ฯลฯ เกิดขึ้นเต็มไปหมด  ป่านนี้แต่ละบ้านคงได้แต่นั่งสวดมนต์แล้ว

ตัวอย่างที่สามก็คือ เรื่องต้นไม้ เหมือนกับว่าทางราชการ "เลว" มากที่ไม่เห็นแก่ต้นไม้ ไม่เห็นแก่สิ่งแวดล้อม โดยในเว็บไซต์ของมูลนิธิโลกสีเขียวเขียนว่า "การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ไม่น้อยกว่า 13,000 ไร่ เป็นไม้ใหญ่ประมาณ 500,000 ต้น" {6} ผมมานั่งคำนวณดู พื้นที่ 13,000 ไร่ ก็คือ 20.8 ล้านตารางเมตร ถ้ามีต้นไม้ใหญ่ 500,000 ต้น ๆ หนึ่งก็กินพื้นที่ 41.6 ตารางเมตร  จะเป็นไปได้อย่างไร  เพราะพื้นที่แค่นั้นใหญ่กว่าขนาดขนาดรวม (gross) ของที่จอดรถ 1 คันเพียงเล็กน้อย  ลองจินตนาการว่า พื้นที่ 41.6 ตารางเมตร (6.4 x 6.4 เมตร) จะมีไม้ใหญ่ 1 ต้น

ตัวอย่างที่สี่คือเรื่องคลองส่งน้ำที่มัก "ขู่" ชาวบ้านว่า ขนาดที่ดินที่จะใช้จะใหญ่กว่าเขื่อนเสียอีก {7}  อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ดินจากการเวนคืน  ข้อนี้ในความเป็นจริง ในพื้นที่นี้มีคลองธรรมชาติขนาดเล็ก ๆ เป็นหลัก และมักถูกรุก ไม่มีแม่น้ำ ทำให้การระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมและการชลประทานมีจำกัด  ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างคลองใหม่ (ตามข้อเสนอของชาวบ้านในพื้นที่) เพราะลำพังคลองธรรมชาติไม่มีประสิทธิผลพอ  แม้ไม่มีเขื่อนก็ยังต้องมีการก่อสร้างคูคลองระบายน้ำและการชลประทานอยู่ดี

ตัวอย่างที่ห้าคือเรื่องทุจริต  มักมีการกล่าวอ้างกันเสมอว่าจะมีการทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ ของการก่อสร้างเขื่อน {8} เพื่อต่อต้านการก่อสร้างเขื่อน  ข้อหาทุจริตเป็นข้อหาครอบจักรวาลที่สุดแท้จะ "ป้ายสี" แก่อีกฝ่ายหนึ่ง  หากต้องการแก้ปัญหาทุจริต ก็ต้องตรวจสอบในขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ใช่ว่ามาตั้งข้อสังเกตลอย ๆ ในลักษณะนี้  ถ้าคิดแบบนี้ ก็คงไม่ต้องทำโครงการใด ๆ

ฝ่ายต่อต้านเขื่อนพยายามดึงความน่ารัก น่าสงสารของป่าไม้และสัตว์ป่ามาต่อต้าน พยายามล่ารายชื่อคนต้านให้ครบ 100,000 ราย  แต่หากชาวบ้านรวมตัวกันและแสดงประชามติเกินกว่าที่มีคนค้าน  ฝ่ายต่อต้านก็คงไม่ฟังเสียงอยู่ดี เพราะสำคัญตนว่าตนเองมีข้อมูลดีกว่า ทั้งที่ตรรกหรือข้อมูลข้างต้น มีช่องโหว่ที่พึงฉงนมากมาย  แต่ในนามของการ "ทำดี" เป็น "คนดี" ที่หวังดีต่อป่า  เราก็อาจเชื่อตาม ๆ กันไปโดยไม่ตรวจสอบ
ผมก็ยังไม่ถึงขนาดสนับสนุนการก่อสร้างเขื่อน เพราะผมยังต้องศึกษาข้อมูลให้มากกว่านี้  เพียงแต่ฟังข้อมูลฝ่ายต่อต้านด้วยวิจารณญาณแล้ว ไม่มั่นใจกับข้อมูลดังกล่าว  ซึ่งดูจะพยายามปลุกระดมมวลชน ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

 

อ้างอิง
{1} ข่าว "ศศิน" ชี้เขื่อนแม่วงก์ป้องน้ำท่วมกทม.ได้แค่ 1% ถาม "ปลอดประสพ" หาที่ไหนปลูกป่า สำนักข่าว TNews
{2} เขื่อนแม่วงก์
{3} ข่าว "ศศิน" บุกสภาแจงกมธ. ยืนกรานเขื่อนแม่วงก์แก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ 
{4} Clip ป่าแม่วงก์ ที่เอาสัตว์หลากหลายที่มาลง ทำให้เข้าใจว่าสัตว์เหล่านี้อยู่ที่บริเวณจะสร้างเขื่อนแม่วงก์ 
{5} ถ้ามีเสือแถวที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์จริง ป่านนี้มีข่าวเช่นนี้แล้ว ชาวบ้านคงผวานอนไม่หลับ ออกล่าเสือ . . . ชาวบ้าน อ.ประทาย โคราช ออกไล่ล่าเสือโคร่ง หลังพบออกมาหากินในพื้นที่ วอนอย่าล่า เสือ 2 ตัว หลังชาวบ้านพบใน ป่าชุมชนโป่งแดง เสือเบตง สิ้นฤทธิ์ จับตายเสือเบตง หลังตะปบชาวบ้านดับ 3 ราย ชาวบ้านขอนแก่นผวา เสือดาวบุกกินไก่ วอน จนท.เร่งล่า 
{6} มูลนิธิโลกสีเขียว 9 เรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับเขื่อนแม่วงก์ 
{7} เขื่อนแม่วงก์ ตกลงคุ้มหรือไม่คุ้ม?: 
{8} Clip ต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"หวอ เงวียน ซาป" ผู้นำการยุทธเดียน เบียน ฟู เสียชีวิตแล้ว

Posted: 04 Oct 2013 07:51 AM PDT

ทางการเวียดนามรายงานว่า นายพลหวอ เงวียน ซาป อดีตผู้บัญชาการในสงครามเดียน เบียน ฟู และสงครามเวียดนาม นำมาสู่การรวมเวียดนามเมื่อ พ.ศ. 2518 ได้เสียชีวิตแล้ว รวมอายุได้ 102 ปี

นายพลหวอ เงวียน ซาป เมื่อ พ.ศ. 2551 (ที่มา: วิกิพีเดีย)

ค่ำวันนี้ (4 ต.ค.) ทางการเวียดนามประกาศว่า นายพลหวอ เงวียน ซาป (Vo Nguyen Giap) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพประชาชนเวียดนาม เสียชีวิตแล้วรวมอายุได้ 102 ปี

ทั้งนี้หวอ เงวียน ซาป เป็นผู้บัญชาการในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2489-2497 และการยุทธเดียนเบียนฟู พ.ศ. 2497 ซึ่งกองทัพเวียดนามที่บัญชาการโดยหวอ เงวียน ซาป ได้ลำเลียงยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะการแยกชิ้นส่วนปืนใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ ลำเลียงด้วยการเดินเท้าและจักรยานผ่านภูเขาสูง เพื่อเข้าปิดล้อมที่ตั้งของทหารฝรั่งเศสที่เดียน เบียน ฟู (Dian Bien Phu) ทางตอนเหนือของเวียดนาม และทำการโจมตีอย่างหนัก จนทำให้ฝรั่งเศสยอมแพ้ในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 ยอมถอนตัวออกจากอินโดจีน และทำให้เวียดนามได้รับเอกราช โดยแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้

ต่อมาเขายังเป็นผู้บัญชาการในสงครามเวียดนาม หรือสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2503 - 2518 มีส่วนในการบัญชาการยุทธการ "การรุกวันตรุษญวน" (Tet Offensive) พ.ศ. 2511 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามเวียดนาม ทำให้กองทัพสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากเวียดนามใต้ และนำมาสู่ชัยชนะของแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ หรือเวียดกง และนำมาซึ่งการรวมชาติเวียดนามใน พ.ศ. 2518

พื้นเพของ หวอ เงวียน ซาป ผู้ที่ถูกขนานนามว่า "นโปเลียนแดง" นั้นเกิดเมื่อ พ.ศ. 2454 ที่จังหวัดกว่างบิงห์ ทางตอนกลางของเวียดนาม เขาเป็นนักเรียนกฎหมายของมหาวิทยาลัยฮานอย นอกจากนั้นเขายังสนใจศึกษาประวัติศาสตร์สงครามและปรัชญา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับนโปเลียน และซุนจื้อ หลังจบการศึกษาได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเมื่อ พ.ศ. 2474 เคยหลบหนีการปราบปรามจนต้องลี้ภัยไปอยู่ในจีน และกลับมาต่อต้านญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายหลังสงครามได้ร่วมกับโฮจิมินห์ในการก่อตั้งขบวนการ "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม" หรือเวียดมินห์ เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับเวียดนาม เขายังเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลเวียดมินห์ของโฮจิมินห์ ผู้บัญชาการทหารของเวียดมินห์ ผู้บัญชาการกองทัพประชาชนเวียดนาม รัฐมนตรีกลาโหม และรับตำแหน่งในคณะกรมการเมืองของพรรคแรงงานเวียดนามด้วย

ภายหลังการรวมชาติเวียดนามเหนือ-ใต้ใน พ.ศ. 2518 เขายังคงมีบทบาทในรัฐบาลเวียดนาม ต่อมาเขาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใน พ.ศ. 2523 และลาออกจากคณะกรมการเมืองใน พ.ศ. 2525 สาเหตุมาจากการที่เขาคัดค้านรัฐบาลเวียดนามในการส่งทหารเข้าไปยึดครองกัมพูชา อย่างไรก็ตามเขายังคงมีตำแหน่งอยู่ในคณะกรรมการกลางของพรรค และเป็นรองนายกรัฐมนตรีจนถึงปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นปีเกษียณอายุราชการ

หวอ เงวียน ซาป พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของกรุงฮานอย ตั้งแต่ พ.ศ. 2552 และเสียชีวิตในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556 รวมอายุได้ 102 ปี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

​เอ็นจีโอแรงงานร้องพนักงานสอบสวนละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม

Posted: 04 Oct 2013 07:11 AM PDT



4 ต.ค. 56 - แอนดรู ฮอลล์ทำจดหมายถึงผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ ระบุพนักงานสอบสวนน่าจะละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม วอนขออำนวยความเป็นธรรมให้ในคดีบริษัท เนเชอรัล ฟรุต ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท โดยรายละเอียดของจดหมายมีดังต่อไปนี้

วันที่ 4 ตุลาคม 2556

เรียน​ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ

เรื่อง​ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางนา  กรณีการกระทำที่อาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญา


​​ด้วยข้าพเจ้า นายแอนดรู โจนาธาน ฮอลล์ สัญชาติอังกฤษ ได้รับทราบข้อมูลจากสถานทูตอังกฤษ ว่าข้าพเจ้าถูกกล่าวหาโดยบริษัท เนเชอรัล ฟรุต จำกัด ต่อร.ต.ท. บุญหลาย ชัยทิพย์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจบางนา ข้อหาหมิ่นประมาท จากการที่ข้าพเจ้าได้ให้สัมภาษณ์  ซึ่งปรากฏในวิดีโอคลิป Migrant work in poor condition in Thailand จากลิ้งค์ http://www.youtube.com/watch?v=IgJ9RsItvO8 ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่สำนักข่าว อัล จาซีรา (Al JazeeraEnglish) เป็นผู้จัดทำเเละเผยเเพร่ในเว็บไซต์ YouTubeภายใต้บัญชีผู้ใช้ของสำนักข่าวอัล จาซีรา

​​ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน  2556 เวลา 19.00 น. เศษ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปสถานีตำรวจนครบาลบางนา เพื่อพบ ร.ต.ท. บุญหลาย ชัยทิพย์ พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนโดยมีการประสานงานให้จัดเตรียมล่ามไว้ก่อนแล้วเพื่อให้การเเจ้งข้อกล่าวหา เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนดังกล่าว ข้าพเจ้าประสบกับเหตุการณ์ ดังนี้

1.พนักงานสอบสวนได้จัดล่ามให้ข้าพเจ้า 1 คน แต่ทั้งล่ามเเละพนักงานสอบสวนมิได้เเจ้งชื่อ นามสกุลของล่ามให้ข้าพเจ้าทราบ และไม่แสดงเอกสารยืนยันว่า ล่ามได้ผ่านการอบรมกับกระทรวงยุติธรรมเเล้ว หรือไม่โดยทั้งล่ามเเละพนักงานสอบสวนปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลดังกล่าวกับข้าพเจ้า

2.พนักงานสอบสวนได้เตรียมและพิมพ์บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาไว้ แล้วส่งให้ล่ามแปล และมีการจัดเตรียมบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี และพิมพ์หนังสือแจ้งสิทธิให้ข้าพเจ้าทราบ แต่ยังได้เเจ้งแก่ข้าพเจ้าด้วยว่า เจ้าหน้าที่มีสิทธิจับกุมตัวข้าพเจ้า เเละขอให้ข้าพเจ้าลงชื่อในเอกสารทันที โดยที่ข้าพเจ้ายังมิได้ทราบพฤติการณ์เเห่งข้อกล่าวหาได้ชัดเจนพอ

3.ข้าพเจ้าเห็นว่า ล่ามที่พนักงานสอบสวนจัดหาให้ ไม่มีความเต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังไม่เเปลข้อความใน"บันทึกการเเจ้งข้อกล่าวหา"ที่พนักงานสอบสวนให้ข้าพเจ้าลงชื่อ ให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องเเท้เเต่ประการใด โดยล่ามอ้างว่าข้าพเจ้าเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นต้องแปลให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าจึงทักท้วงการปฏิบัติงานเเละความสามารถของล่ามต่อพนักงานสอบสวน เเต่พนักงานสอบสวนไม่เปลี่ยนล่ามหรือเเก้ไขปัญหานี้ เเต่อย่างใด

4.พนักงานสอบสวนมิได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาให้ข้าพเจ้าฟัง และไม่เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าซักถามเเละให้ถ้อยคำเพิ่มเติม ตลอดจนล่ามมิได้เเปลข้อความในเอกสารที่พนักงานสอบสวนให้ข้าพเจ้าลงชื่อให้ข้าพเจ้าเข้าใจ ข้าพเจ้าจึงเเจ้งกับพนักงานสอบสวนว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหาได้  โดยข้าพเจ้าได้ถ่ายภาพเอกสารที่พนักงานสอบสวนสั่งให้ข้าพเจ้าลงชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วย

5.ข้าพเจ้ายืนยันกับพนักงานสอบสวนว่า ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิที่จะไม่สารภาพเเละให้ถ้อยคำในชั้นพนักงานสอบสวน เเต่พนักงานสอบสวนได้พยายามให้ข้าพเจ้ารับสารภาพเเละลงชื่อในเอกสารตลอดเวลา เเละในเอกสาร "บันทึกการเเจ้งข้อกล่าวหา" หน้าที่ 2ย่อหน้าที่ 2 ปรากฏข้อความว่า "ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา" ซึ่งเป็นข้อความที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ถ้อยคำไว้ อีกทั้งข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจข้อความในบันทึกการเเจ้งข้อกล่าวหาโดยละเอียด ข้าพเจ้าจึงแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่า ข้าพไม่สามารถลงชื่อใน "บันทึกการเเจ้งข้อกล่าวหา" จากนั้นจึงเดินทางกลับจากสถานีตำรวจบางนา

จากพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าเห็นว่าพนักงานสอบสวนน่าจะละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของข้าพเจ้าหลายประการดังที่ได้กล่าวมาเเล้ว ข้าพเจ้าจึงขอใคร่ให้ท่านดำเนินการตรวจสอบการกระทำดังกล่าว  ว่าเข้าข่ายการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม  โดยเฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวน หรือไม่ เพียงใด  และดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป เเละหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะอำนวยความเป็นธรรมให้ข้าพเจ้าได้ และหากท่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากข้าพเจ้า ท่านสามารถส่งหนังสือติดต่อข้าพเจ้าได้โดยผ่านนายนคร ชมพูชาติ ทนายความหัวหน้าสำนักงาน ตามที่อยู่ข้างต้น

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

​​​​​​​ขอแสดงความนับถือ

นายแอนดรู โจนาธาน ฮอลล์

​​สำเนาเรียน  ​
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายเเพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนเเห่งชาติ
เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย
อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิเเละเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "โอ้ว มายก็อด"

Posted: 04 Oct 2013 05:18 AM PDT

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "โอ้ว มายก็อด"

‘สุรชัย’ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ปล่อยตัวแล้ววันนี้!

Posted: 04 Oct 2013 04:09 AM PDT

สรุชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ได้รับการปล่อยตัวแล้ววันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 17.05 น. ผู้คนไปรอรับคับคั่ง หลังมีกระแสข่าวได้รับพระราชทานอภัยโทษตั้งแต่เมื่อวาน

 
วันนี้ (4 ต.ค.56) ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นามสกุลเดิมแซ่ด่าน ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ซึ่งมีกระแสข่าวได้รับพระราชทานอภัยโทษตั้งแต่เมื่อวานนี้ ได้รับการปล่อยตัวแล้ววันนี้เมื่อเวลาประมาณ 17.05 น.โดยมีมวลชนจำนวนมากมารอรับ จากนั้นนายสุรชัยได้ขึ้นรถเดินทางต่อไปที่ร้านอาหารพร พระราม 3
 
ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวเรื่องการยอภัยโทษปรากฏในสื่อมวลชนรวมทั้งในเฟซบุ๊คมากมาย อีกทั้ง ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.แจ้งว่าได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงยุติธรรม ทำให้มีมวลชนรวมจำนวนมากไปรอรับที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จนกระทั่งตอนเย็นก็ยังไม่มีการปล่อยตัว ขณะที่ ชินวัฒน์ หาบุญพาด ส.ส.พรรคเพื่อไทย และยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก แจ้งกับมวลชนว่า การปล่อยตัวสุรชัยคงไม่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว เนื่องจากมีกระบวนการด้านเอกสาร และอื่นๆ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ
 
ทั้งนี้ สุรชัยเป็นแกนนำกลุ่มแดงสยาม มีชื่ออยู่ใน 'ผังล้มเจ้า' ของศอฉ.ที่ในภายหลัง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ยอมรับว่าแผนผังดังกล่าวเป็นเพียงความเชื่อ ปราศจากหลักฐาน สุรชัยถูกฟ้องด้วยมาตรา 112 รวมแล้ว 5 คดี จากการปราศรัยทางการเมืองใน 5 พื้นที่ในช่วงปี 2551-2554 รวมศาลพิพากษาจำคุก 12 ปี 6 เดือน เขาถูกจับกุมและคุมขังตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.54 และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี

 

สุรชัย โดนคดีหมิ่นฯ ที่ไหนบ้าง?

คดีปราศรัยเวทีตาสว่าง  อิมพีเรียล ลาดพร้าว
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/46

คดีปราศรัยที่เชียงใหม่ 
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/47

คดีปราศรัยที่อุดรธานี 
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/48

คดีปราศรัย วัดสามัคคีธรรม 
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/50

(ล่าสุด) คดีปราศรัยที่เวที นปช. 
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/49

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงานพิเศษ : ม้งถ้ำกระบอก แสงดาวกลางป่า กับความหวังที่ยังรอคอย

Posted: 04 Oct 2013 03:49 AM PDT

สิบสี่ปีผ่าน ตำนานแห่งการต่อสู้ ของคนม้งถ้ำกระบอก หลังจากที่เดินทางออกจากถ้ำกระบอก จังหวัดสระบุรี มาตั้งรกรากที่บ้านธารทอง หมู่ 11 อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เส้นทางเดินเต็มไปด้วยขวากหนาม อุปสรรคมากมาย แต่นั่น ไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นที่มีเลือนหายไปจากหัวใจ

ชาวม้งถ้ำกระบอกที่ย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้านธารทอง เป็นกลุ่มม้งที่ทำงานสนองต่อนโยบายรัฐบาล สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 2 เป็นกลุ่มม้งกลุ่มที่ 1 ที่รัฐบาลใช้ปกป้องอาณาจักรไทย ในสงครามบ้านร่มเกล้า ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2530-2535 โดยรัฐบาลได้นำชาวม้งที่ไม่มีสัญชาติไทยเข้าฝึกที่กองพันทหารม้าที่ 15 อำเภอเมือง จังหวัดน่าน นำโดยท่านประชา โกษา ส่งผ่านเส้นทางบ้านน้ำปูน อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน เข้าสู่ชายแดน เป็นหน่วยกองโจรเร่งด่วนสังกัด บ.ก.3091 เพื่อตัดกองกำลังสปป.ลาว ที่ขึ้นสู่บ้านร่มเกล้า เนิน 1428 นอกจากนั้นกองกำลังชาวม้ง ยังเป็นตัวกลางเจรจาชักจูงผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ นำโดยท่านสัมพันธ์ และท่านเยี่ยจ๊า ซ่ง พร้อมประชาชนจำนวน 50 ครอบครัว 400 กว่าคน เข้ามอบตัวต่อพันเอกพจนา สายสอาด รักษาการ บ.ก.3091 เมื่อเดือนมิถุนายน 2533 เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ กลุ่มล่าสุด ทางการไทยได้สัญญากับหัวหน้าม้งกลุ่มที่ 1 ว่า เมื่อสถานการณ์สงบและยุติแล้ว จะให้สัญชาติไทย พร้อมกับที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน แต่เมื่อเหตุการณ์สงบและยุติแล้ว ทางรัฐบาลไทยได้สั่งการให้ทหารหน่วยอื่นมาผลักดันกองกำลังชาวม้ง ให้ออกจากฐานที่มั่น โดยไม่คำนึงถึงสัญญาที่ให้ไว้ เป็นเหตุให้กองกำลังชาวม้งต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปอาศัยตามจังหวัดต่าง ๆ ในแถบภาคเหนือและเข้าสู่วัดถ้ำกระบอก

วันที่ 8 ตุลาคม 2542 ได้มีการลงนามตามหนังสือที่ มท. 0310.1/ว 2506 โดย นายอนุชา โมกขะเวส รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมการปกครอง (สมัยนั้น) ให้ชาวม้งถ้ำกระบอกย้ายไปอาศัยอยู่ 20 จังหวัดในเขตภาคเหนือ ชาวม้งถ้ำกระบอกได้ย้ายเข้ามาที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และได้รับการย้ายเข้าทะเบียน (ทร.13) แต่หลังจากนั้นทางอำเภอเชียงแสนพร้อมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครพลเรือน ประมาณ 500 คน เข้ามาในหมู่บ้านธารทอง บังคับผู้นำหมู่บ้านให้ยินยอมลงชื่อในเอกสารของทางราชการ เป็นเหตุให้ชาวม้งถ้ำกระบอกที่มีทะเบียนราษฎร (ทร.13) ของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ทั้งหมดต้องถูกจำหน่าย และถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าทำลายป่า แย่งที่ทำกิน ของประชนในพื้นที่ หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป ชาวม้งถ้ำกระบอกได้ร้องเรียนไปยังหลวงปู่จำรูญ ปานจันทร์ เจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก ให้ช่วยร้องเรียนไปยังรัฐบาล ขอออกหนังสือเดินทางให้ชาวม้งถ้ำกระบอกกลับสู่ที่พักสงฆ์ถ้ำกระบอก แต่ไม่ได้รับคำตอบ เป็นเหตุให้ไม่สามารถย้ายออกไปอยู่ที่อื่นได้ จึงต้องอยู่ที่บ้านธารทอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จนถึงปัจจุบัน
 

เส้นทางการต่อสู้เรียกร้อง ของกลุ่มม้งถ้ำกระบอก

ปี 2545 ได้ร้องเรียนผ่านกองทัพไปยังรัฐบาล ซึ่งได้รับแนวทางการแก้ไขปัญหาตามหนังสือ กรมยุทธการทหารสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาชาวม้ง ที่พักสงฆ์ถ้ำกระบอก ลงนามโดยพลโทบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ตามหนังสือที่ 0320.11/50 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2545 ได้รับการขึ้นทะเบียนราษฎร (ทร.13) จำนวน 25 ครอบครัว 176 คน

เดือนสิงหาคม 2545 ทางอำเภอเชียงแสน ได้ให้ชาวม้งถ้ำกระบอกกลุ่มที่ 1 ยื่นแบบคำร้องและเงื่อนไขการขอมีสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ของบุคคลบนพื้นที่สูง และหลักฐานที่ 2 ทางอำเภอเชียงแสนเป็นผู้ประสานไปยังอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้ถ่ายทะเบียนประวัติของม้งกลุ่มที่ 1 มาประกอบคำร้องอำเภอพระพุทธบาท แต่มีหนังสือสั่งห้ามจากสำนักทะเบียนกลาง ลงนามโดยนายไพโรจน์ พรหมสาสน์ รองผู้อำนวยการทะเบียนกลาง รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักทะเบียนกลาง ตามหนังสือที่ มท.0313.1/4194 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2540 ซึ่งทำให้แบบคำร้องดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้
 

มติคณะรัฐมนตรี

1. คณะรัฐมนตรีได้ประชุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 ลงมติเห็นชอบที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ลงนามโดยพลเอกวินัย ภัททิยกุล เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามหนังสือที่ นร.0803/131 ลงวันที่ 9 มกราคม 2546 เสนอ การกำหนดสถานะให้ม้งกลุ่มที่ 1 เป็นกรณีพิเศษ โดยจะขออนุมัติให้ม้งกลุ่มที่ 1 ได้รับสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและบุตรที่เกิดในประเทศไทยให้ได้รับสัญชาติไทย

2. วันที่ 8 สิงหาคม 2547 รัฐบาลมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี จาตุรนต์ ฉายแสง ประกอบพิธีมอบเอกสารแสดงว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยให้ชาวม้งกลุ่มที่ 1 อำเภอเมือง จังหวัดน่าน จำนวน 104 ครอบครัว 652 คน เป็นกรณีพิเศษ และพลเอกวินัย ทันศรี เลขาธิการมูลนิธิชาวไทยภูเขา (มูลนิธิชาวไทยภูเขาที่รัฐบาลมอบหมายให้ดูแลชาวม้งกลุ่มที่ 1) ได้กล่าวไว้ว่า ชาวม้งกลุ่มที่ 1 ที่เหลืออยู่ในจังหวัดอื่น ๆ จะดำเนินการให้เหมือนชาวม้งกลุ่มที่ 1 ที่อยู่ในจังหวัดน่าน แต่การดำเนินการไม่เป็นไปตามที่กล่าว ยังคงมีปัญหาอยู่จนถึงปัจจุบัน



การดำเนินการต่อของกลุ่มม้งบ้านธารทอง

1.ไปร้องเรียนด้วยตัวเองที่อำเภอเชียงแสน ได้หารือกับจังหวัดเชียงราย 2 ครั้ง คือ
 
ครั้งที่ 1 ทำหนังสือหารือเรื่องแนวทางการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลกลุ่มม้งที่พักในสำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก บ้านธารทอง ลงนามโดย นายสมหวัง รุ่งตระกูลชัย นายอำเภอเชียงแสน ตามหนังสือ ชร.0917.2/813 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2556
 
ครั้งที่ 2 หนังสือจังหวัดเชียงราย ที่ ชร.0017.0/5591 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 ลงนามโดยนายสุวัฒน์ พรหมสุวรรณ ปลัดจังหวัดปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย 2552 ให้ดำเนินการเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 4 มีนาคม 2546 มติครม. และเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552

2. แนวทางการแก้ไขปัญหาสถานะของชาวม้งกลุ่มที่ 1 ที่ให้อำเภอดำเนินการ
 
1) กรณีที่เป็นชาวม้งกลุ่มที่ 1 ที่ย้ายภูมิลำเนามาจาก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร (ทะเบียนบ้านทร.13 หรือทะเบียนประวัติม้งถ้ำกระบอก) ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ให้ดำเนินการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 แต่ถ้าบุคคลดังกล่าวประสงค์ที่จะดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 ก็สามารถทำได้ โดยนำหลักฐานของหน่วยงานทหารที่ใช้ประโยชน์และได้จัดทำบัญชีสำรวจมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อพิจารณาว่าเป็นเอกสารที่ฝ่ายทหารจัดทำขึ้นและใช้ประโยชน์จริง ให้เจ้าหน้าที่รายงานกรมการปกครองเพื่อให้จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูงและยื่นคำร้องขอสถานะตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2543 และวันที่ 28 สิงหาคม 2554
 
2) ชาวม้งกลุ่มที่ 1 ได้จัดส่งเอกสารหลักฐานและบัญชีรายชื่อที่ฝ่ายทหารสำรวจจากหนังสือของจังหวัดเชียงราย ให้แนวทางการดำเนินงานกับอำเภอเชียงแสน ชาวม้งได้ติดต่อขอหลักฐานและได้รับมาจากฝ่ายทหาร พร้อมนำส่งให้นายอำเภอเชียงแสน เพื่อพิจารณาส่งให้กับจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือที่ ชร.0917.2/165 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ขณะนี้ ผ่านระยะเวลา 2 ปีกว่า แต่ยังไม่มีหนังสือตอบกลับ
 
3) อำเภอเชียงแสน ได้หารือกับจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือที่ ชร.0017.0/5591 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 ชาวม้งทุกคนมีเลขประจำตัว 13 หลัก และปรากฏชื่ออยู่ในใบแจ้งย้ายที่อยู่และสำเนาทะเบียนบ้าน (ทร.13) แต่ไม่มีรายการบุคคลของสำนักทะเบียนอำเภอ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหากลุ่มม้งที่พักอยู่ในที่พักสงฆ์ถ้ำกระบอกได้ แต่ชาวม้งกลุ่มที่ 1 ที่ได้แจ้งย้ายเข้าอำเภอเชียงแสน และถูกจำหน่ายชื่อ กลับได้รับบัตรทองโดยไม่ได้ขอดำเนินการ จึงเชื่อว่ารายชื่อของชาวม้งยังอยู่ในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร อำเภอเชียงแสน

4) วันที่ 27 สิงหาคม 2552 นายอัมพร ประสิทธิ์ เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการกรมการปกครอง ได้ดำเนินการสำรวจชาวม้งถ้ำกระบอก เข้าแบบพิมพ์ทะเบียนประวัติชาวเขา สำนักทะเบียน อำเภอเชียงแสน และได้กล่าวกับชาวม้งว่า หลังจากหนึ่งเดือนจะสั่งการให้อำเภอเชียงแสน ถ่ายบัตรสีชมพูให้ชาวม้งถ้ำกระบอก แต่ไม่มีการดำเนินการใดใด

5) การยื่นหนังสือร้องเรียนและขอความเป็นธรรม

 - วันที่ 15 มกราคม 2555 ยื่นหนังสือให้กับนายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดเชียงใหม่ (มีการประชุมครม.สัญจร) ร่วมกับโครงการคุ้มครองสิทธิเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติ (SCPP) และเครือข่ายคนทำงาน องค์กรที่ทำงานด้านสถานะและสิทธิของบุคคล ภาคเหนือ ที่รวมตัวกันยื่นข้อเสนอให้กับทางรัฐบาล

 - วันที่ 16 สิงหาคม 2555 ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่หน่วยพัฒนาสังคมหน่วยที่ 12 อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

 - วันที่ 1-2 ตุลาคม 2555 ยื่นหนังสือให้กับนายกรัฐมนตรี ที่กรุงเทพฯ ร่วมกับเครือข่ายคนทำงาน องค์กรที่ทำงานด้านสถานะและสิทธิของบุคคล ภาคเหนือ ที่รวมตัวกันยื่นข้อเสนอให้กับทางรัฐบาล โดยมีการขับมอเตอร์ไซค์เข้ากรุงเทพฯ ร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move)

 - วันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ยื่นหนังสือให้กับผู้อำนวยการการทะเบียนราษฎร (คณะทำงานศึกษาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานะและสิทธิของบุคคล ภายใต้คณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาเกี่ยวสถานะและสิทธิของบุคคล) ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

จะเห็นได้ว่า...เส้นทางขอความเป็นธรรม และข้อเรียกร้องต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดจากทางภาครัฐ ที่จะแจ้งให้ทราบ การเข้าร่วมกิจกรรม ประชุม เวทีสัมมนา เป็นอีกเวทีหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยสถานการณ์ปัญหา นายเยี่ยปาว แซ่ซ่ง หนึ่งในแกนนำม้งถ้ำกระบอกบ้านธารทอง บอกว่า " พวกเราได้เรียกร้องกับทางการในหลายเรื่อง 14 ปีผ่าน ไม่มีแม้เสียงตอบรับ ไม่ได้รับการเหลียวแล ต้องประสบกับปัญหาในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะการเดินทาง การทำงาน พี่น้องถูกจับ ถูกปรับเงินตลอด พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้ เราไม่เข้าใจว่าทำไม ในเมื่อเราได้ทำตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย มีเอกสารประกอบที่น่าเชื่อถือ ยื่นข้อเรียกร้องให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม คำสัญญาที่ให้ไว้ไม่เป็นไปตามสัญญา คำพูดว่าจะดำเนินการให้ก็ไม่ได้ดำเนินการ เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด แต่เราก็ต้องสู้ เพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเอง"

จำนวนคนม้งถ้ำกระบอกที่มาอาศัยที่บ้านธารทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีจำนวน 56 คน (รวมเด็กผู้ใหญ่) และมีแกนนำม้งถ้ำกระบอก ที่เป็นตัวแทนชาวบ้านธารทอง จำนวน 4 คน มีนายเยี่ยปาว แซ่ซ่ง, นายไซ แซ่ซ่ง, นายหล่อ แซ่ซ่ง และนาย หลี่ แซ่ซ่ง ทั้ง 4 คน ได้เปลี่ยนเวียนกัน ในการยื่นหนังสือ และเข้าร่วมพูดคุยเวลาประชุม อบรม และการสัมมนาต่าง ๆ ของภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน โดยมีนายแสง แสงยาอรุณ เจ้าหน้าที่ บ้านแสงใหม่ภายใต้มูลนิธิศึกษาพัฒนาประชาชนบนที่สูง จังหวัดเชียงราย เป็นคนที่ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ ข้อเสนอของพี่น้องม้งถ้ำกระบอกบ้านธารทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

1.ขอให้ดำเนินการตาม มติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2546 (มติ ครม. ที่เกี่ยวข้องม้งถ้ำกระบอกกลุ่มที่ 1 ) หรือดำเนินการตามม้งกลุ่มที่ 1 อ.เมือง จ.น่าน ที่รัฐบาลได้มอบเอกสารแสดงว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2547

2.อยากให้ประสานงานให้กลุ่มได้รับรู้ข้อมูลว่ามีกฎระเบียบอย่างไร ที่จะได้ปฏิบัติถูกต้องชัดเจน โดยสั่งการให้กับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชนที่เกี่ยวข้อง ผู้นำชุมชน แจ้งให้กับชาวบ้าน และอยากให้ช่วยผลักดันปัญหาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการเร่งรัดดำเนินการให้กลุ่มม้งถ้ำกระบอก

นายแสง แสงยาอรุณ ผู้ประสานงานบ้านแสงใหม่ จ.เชียงราย ที่ได้ติดตามช่วยเหลือให้คำปรึกษากับกลุ่มม้งบ้านธารทอง บอกว่า " คนม้งกลุ่มถ้ำกระบอก ได้มีการกระจายอาศัยอยู่ใน 3 จังหวัดคือ จังหวัดเชียงราย, น่าน และเพชรบูรณ์ มีจำนวนประมาณ เกือบ 1,000 คน น่าจะได้สถานะตั้งนานแล้ว แต่กรมการปกครองไม่จัดการ ทั้ง ๆ ที่มีมติคณะรัฐมนตรี มาแล้ว แต่มติคณะรัฐมนตรีถูกยกเลิกโดยมติครม. 7 ธันวาคม 2553 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการใดใดได้ สำหรับคนม้งบ้านธารทอง 56 คน ที่ได้ดูแลให้คำปรึกษาเป็นกลุ่มม้งที่ไม่ยอมไปทำบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน "เลข 0" เพราะมีเลข 13 หลักที่ขึ้นต้นด้วยเลข "6" บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย อยู่แล้ว คนม้ง กลุ่มนี้มีเอกสารแบบพิมพ์ประวัติ ได้ตรวจสอบที่อำเภอเชียงแสน อำเภอบอกไม่มี อยู่ที่กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบไปแล้วแต่กรมการปกครองบอกว่าอยู่ที่อำเภอ ปัญหาแบบพิมพ์ประวัติรูปไม่ชัด ต้องสอบพยานเพิ่มเติม ช่องทางที่แนะนำคือ การยื่นตามมาตรา 17 พรบ.คนเข้าเมือง และคนที่เกิดไทย ให้ยื่นตามมาตรา 23 ทุกคนมีเอกสารที่พร้อม มีใบรับรองการเกิด ทร.20/1 ได้มีการทดลองยื่น 1 ครอบครัวคือ ครอบครัวนายยี่ปาว แซ่ซ่ง แต่ติดอยู่ที่ไม่มีบัตรประจำตัว ตอนนี้อยู่ในขั้นเตรียมทำบัตร คนม้งถ้ำกระบอก กลุ่มม้งกลุ่มที่ 1 ตามที่ได้ดูเอกสาร หลักฐาน มีเพียง 2-3 คน ที่เกิดนอก นอกนั้นเกิดในไทยหมด พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติจากการมการปกครอง ทางความมั่นคงได้ใช้ประโยชน์พวกเขาแล้ว ได้บอกจะกำหนดสถานะให้ แต่กรมการปกครองไม่ได้ดำเนินการใดใดให้ ทำให้ปัญหาคาราคาซังมาจนถึงปัจจุบัน"

แสงดาวคงจะไม่ริบหรี่เกินไปกับความหวังที่ยังรอคอย พี่น้องม้งกลุ่มที่ 1 ที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทางรัฐบาลไทย แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ได้ช่วยให้คนไทยรอดพ้นจาการถูกคุกคามอธิปไตย เสียงปืนในสงครามบ้านร่มเกล้า ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2530-2535 ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของพวกเขา การต่อสู้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย และมีความหวังกับคำสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะให้สัญชาติไทย
แต่เมื่อสงครามสงบ คำสัญญากลับเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ทิ้งความขมขื่นใจให้กับพี่น้องม้งกลุ่มที่ 1 ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในการเรียกร้องสิทธิของตนเอง หากแต่ว่าการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด หัวใจที่ไม่ยอมแพ้ เพื่อสิทธิและสถานะบุคคลที่จะเป็นคนที่มีสัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายที่ถูกต้อง ต้องก้าวเดินต่อไป แม้จะนานเพียงไหนพวกเขาจะรอ

"ม้งถ้ำกระบอก แสงดาวกลางป่าที่ไม่เคยริบหรี่ กับความหวังที่ยังรอคอย"
 


ภาพการขอความช่วยเหลือจากพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ขณะนั้น)


นายแสง แสงยาอรุณ พาชาวบ้านยื่นหนังสือ ที่เชียงราย


นายไซ แซ่ซ่ง


นายเยี่ยปาว แซ่ซ่ง


หลักฐานประจำตัว ที่มีหมายเลขจากสำนักทะเบียนท้องถิ่น ต.พระพุทธบาท จ.สระบุรี


 


เอกสารที่เกี่ยวข้อง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เรือผู้ลี้ภัยชาวแอฟริกันล่มนอกชายฝั่งอิตาลี

Posted: 04 Oct 2013 02:45 AM PDT

คาดมีผู้ลี้ภัยชาวแอฟริกัน 300 คนเสียชีวิตจากเหตุเรือล่มนอกชายฝั่งของอิตาลีเมื่อวานนี้ (3 ต.ค.) อิตาลีลดธงลงครึ่งเสาทั่วประเทศ โรงเรียนต่างๆ ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที

(ที่มาคลิป: Top10NewsWorld)

4 ต.ค. 56 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าอิตาลีได้ไว้อาลัยให้แก่ผู้ลี้ภัยชาวแอฟริกัน 300 คนที่เสียชีวิตจากเหตุเรือล่มนอกชายฝั่งเกาะ Lampedusa ของอิตาลีเมื่อวานนี้ (3 ต.ค. 56)

โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยเผยว่ากู้ศพได้แล้ว 111 ศพ และช่วยผู้ลี้ภัยขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ 155 คน จากเรือที่คาดว่ามีเบียดเสียดอยู่ราว 500 คน ทีมกู้ภัยที่ลงไปสำรวจเรือแจ้งว่า เห็นศพติดอยู่ภายในเรือสิบกว่าศพ และอาจมีศพถูกกระแสน้ำซัดออกนอกทะเลไปแล้ว

ทั้งนี้อิตาลีลดธงลงครึ่งเสาทั่วประเทศ โรงเรียนต่างๆ ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที โดยประธานาธิบดี Giorgio Napolitano ได้ร้องขอให้ยกเลิกกฎหมายห้ามช่วยเหลือผู้ลอบเข้าเมืองที่มีบทลงโทษผู้ช่วยเหลือผู้ลี้ภัย

เกาะ Lampedusa ซึ่งมีประชากรเพียง 6,000 คน และเป็นช่องทางหลักที่ผู้ขอลี้ภัยใช้เป็นเส้นทางเข้าสหภาพยุโรป โดยชาวเกาะได้เล่าถึงความรู้สึกขณะพยายามช่วยเหลือผู้ประสบภัยว่า พบศพเด็กซึ่งสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็น

ส่วนผู้รอดชีวิตเผยว่าพวกเขาได้นำผ้าห่มมาจุดไฟเพื่อเรียกความสนใจจากหน่วยยามฝั่ง ก่อนเรือเริ่มจมแต่ไฟได้ลามและคนบนเรือแตกตื่นจนเรือพลิกคว่ำ โดยผู้ลี้ภัยเหล่านี้เป็นชาวเอริเทรียและโซมาเลียที่เดินทางมาจากลิเบีย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมนักข่าวฯ บันทึกข้อตกลงกับ รพ.พญาไท 3 รักษาพยาบาลสมาชิกฟรี 1,500 บาท ปีละ 6 ครั้ง

Posted: 04 Oct 2013 02:03 AM PDT

4 ต.ค. 56 - ที่ร.พ.พญาไท 3 ถนนเพชรเกษม นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและ นพ. สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพญาไท 3 ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการสวัสดิการรักษาพยาบาลของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ ร.พ.พญาไท 3 เพื่อสมาชิกสมาคมนักข่าวฯ ได้รับสิทธิพิเศษบริการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน รวมทั้งบริการด้านทันตกรรม ในวงเงินไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี โดยสมาชิกสมาคมนักข่าวฯ นำบัตรประชาชนและใบส่งตัวจากสมาคมนักข่าวฯไปใช้บริการรักษาพยาบาลที่ ร.พ.พญาไท 3  ฟรี 1,500 บาท/ครั้ง  ได้ 6 ครั้ง/ปี

ทั้งนี้ นายประดิษฐ์กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้จะผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 57 และถือเป็นก้าวแรกของสมาคมนักข่าวฯ ในการดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพเชิงรุกแก่สมาชิกของสมาคม โดยก่อนหน้านี้สมาคมฯก็ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงกับโรงพยาบาลเวชธานี ไปแล้ว และจะพยายามประสานกับโรงพยาบาลต่างๆเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุม พื้นที่กรุงเทพทั้ง 4 มุมเมือง

สำหรับสมาชิก สามารถตรวจสอบสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาลพญาไท 3  ได้ที่  www.tja.or.th

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนจี้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชย-เยียวยาน้ำท่วม

Posted: 04 Oct 2013 01:51 AM PDT

4 ต.ค. 56 - สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์เรื่อง รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชย-เยียวยา ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นกรณีฉุกเฉินโดยทันที โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้



แถลงการณ์สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
เรื่อง รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชย-เยียวยา ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นกรณีฉุกเฉินโดยทันที



ตามที่เกิดภาวะอุทกภัยขึ้นในหลาย ๆ จังหวัดทั่วประเทศกว่า 24 จังหวัด 185 อำเภอ 1,156 ตำบล 9,169 หมู่บ้าน 740,431 ครัวเรือน 2,596,492 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 27 คนแล้วนั้น เหตุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุแห่ง "ภัยพิบัติ" ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน ผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวย่อมต้องได้รับการชดเชย-เยียวยาโดยฉับพลันจากรัฐบาลได้โดยทันที รวมทั้งผู้ประสบภัยพิบัติด้านการทำการเกษตร นาข้าว พืชผัก สวนผลไม้ พืชไร่ การปศุสัตว์และด้านการประมงด้วย
          
ทั้งนี้ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2556 กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด รวมทั้งนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอที่เกิดอุทกภัย มีหน้าที่สำรวจความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในอำเภอหรือกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณีและความต้องการรับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ของผู้ประสบภัยพิบัติ รวมทั้งมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินทดรองราชการช่วยเหลือประชาชนในกรณีดังกล่าวได้โดยพลันจังหวัดละ 20 ล้านบาท (ก่อนหน้านี้เคยถูกกำหนดไว้ที่จังหวัดละ 50 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน หรือเป็นการซ่อมแซมให้คืนสู่สภาพเดิมอันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
 
ดังนั้นการที่นายกรัฐมนตรี ออกมาให้ข่าวว่ากรณีอุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายจังหวัดยังไม่ถือเป็นเหตุที่รัฐบาลจะต้องจ่ายค่าชดเชย-เยียวยาแก่ผู้ประสบภัยคล้ายปี 2554 นั้น เป็นการให้ข่าวที่ขัดหรือแย้งต่อหลักกฎหมายดังได้กล่าวแล้ว สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนจึงใคร่ขอเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัยในขณะนี้ ได้เร่งรีบจ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังทุกข์ยากอยู่ในขณะนี้โดยพลัน ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด และหากพื้นที่ใด จังหวัดใดมีพฤติการณ์ละเว้นเพิกเฉย หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ขอให้ประชาชนร้องเรียนมายังที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โทรสาร.02-152-8569 เพื่อเป็นตัวแทนผู้เดือดร้อนในการฟ้องร้องเอาผิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการ และรัฐบาล ให้กับผู้เดือดร้อนต่อไป
 
ประกาศมา ณ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2556
นายศรีสุวรรณ  จรรยา
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.มหาลัยฮังการี แก้ผ้าเข้าห้องเรียน ประท้วงกฎบังคับการแต่งกาย

Posted: 04 Oct 2013 12:53 AM PDT

นักศึกษามหาวิทยาลัยในฮังการี พร้อมอาจารย์ แก้ผ้าเข้าห้องเรียน หลังอธิการบดีออกกฎบังคับการแต่งกายห้ามนศ.หญิงใส่เสื้อคอเว้า-กระโปรงสั้น ให้ผู้ชายใส่สูทดำเท่านั้นเข้าห้องเรียนและเข้าสอบ
 
เว็บไซต์บีบีซีรายงานเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า นักศึกษามหาวิทยาลัย  Kaposvar ในฮังการีกลุ่มหนึ่ง พร้อมกับอาจารย์ผู้สอน ได้ประท้วงคำสั่งเรื่องกฎบังคับการแต่งกายของมหาวิทยาลัย ด้วยการถอดเสื้อผ้าเข้าห้องเรียน เหลือเพียงแค่ชุดชั้นใน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับกฎใหม่ซึ่งอธิการบดีประกาศให้นักศึกษาหญิงห้ามใส่กระโปรงสั้น เสื้อคอเว้า และนักศึกษาชายต้องใส่แต่สูทดำเข้าห้องเรียนเท่านั้น 
 
กฎที่ว่า ซึ่งประกาศโดยอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ระบุว่า นักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยศิลปะ Kaposvar จะต้องใส่กระโปรงยาว ถุงเท้า เสื้อผู้หญิงที่เรียบร้อยและแจ็คเก็ต และให้หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อคอเว้า การแต่งหน้าที่เยอะเกินไป และเครื่องประดับที่ไม่เหมาะสม
 
ส่วนรองเท้าแตะ รวมถึงทรงผมและเล็บที่ไม่เรียบร้อย ก็ถูกสั่งห้ามเช่นเดียวกัน 
 
นักศึกษาที่คัดค้านกฎบังคับดังกล่าวระบุว่า เป็นกฎที่อนุรักษ์นิยม และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อวันที่มีอากาศร้อน
 
 
ที่มา: Hungary students in Kaposvar topless protest

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฟรีดอมเฮาส์ขยับอันดับเสรีภาพเน็ตไทยจาก 'ไม่เสรี' เป็น 'เสรีบางส่วน'

Posted: 03 Oct 2013 09:19 PM PDT

รายงานเสรีภาพอินเทอร์เน็ตปี 2013 ของฟรีดอมเฮาส์ โดยรวมลดลงกว่าปีที่ผ่านมา เผยไทยอันดับแย่กว่าหลายประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ขณะที่มีคะแนนเสรีภาพเท่ากับอียิปต์ ด้านสหรัฐฯ ถูกประเมินแย่ลงจากเรื่องโครงการสอดแนมอินเทอร์เน็ตที่ถูกเปิดโปง

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2013  องค์กรฟรีดอมเฮาส์ ซึ่งเป็นองค์กรที่รายงานเรื่องเสรีภาพสื่อและเสรีภาพอินเทอร์เน็ต เปิดเผยรายงานสถานการณ์อินเทอร์เน็ตโลกปี 2013 โดยกล่าวถึงเรื่องการสอดแนมอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง มีการออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมเนื้อหาเว็บ และมีการจับกุมผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตลดลงกว่าปีที่แล้วโดยภาพรวม

อย่างไรก็ตาม รายงานเสรีภาพอินเทอร์เน็ตปี 2013 ระบุว่ากลุ่มนักกิจกรรมสามารถรณรงค์สร้างความตระหนักในเรื่องภัยต่างๆ เหล่านี้ได้และในหลายกรณีสามารถยับยั้งไม่ให้เกิดมาตรการปิดกั้นเสรีภาพเพิ่มขึ้น

ซานจา เคลลี่ ผู้อำนวยการโครงการเสรีภาพอินเทอร์เน็ตปี 2013 กล่าวว่าในขณะที่หลายประเทศยังใช้วิธีการปิดกั้นและกลั่นกรองเพื่อเซ็นเซอร์เนื้อหา รัฐบาลอีกหลายประเทศเริ่มหันมาใช้วิธีการสอดส่องว่าใครพูดอะไรในอินเทอร์เน็ต และพยายามหาทางลงโทษพวกเขา

"บางประเทศผู้ใช้อาจจะถูกจับกุมได้เพียงเพราะโพสต์สิ่งต่างๆ บนเฟซบุ๊ก หรือแค่ 'กดไลค์' ความคิดเห็นของเพื่อนที่ถือว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ" เคลลี่กล่าว

รายงานเสรีภาพอินเทอร์เน็ตปี 2013 เก็บข้อมูลเรื่องเสรีภาพอินเทอร์เน็ตจาก 60 ประเทศ เพื่อประเมินในเรื่องต่างๆ เช่น อุปสรรคการเข้าถึง การจำกัดเนื้อหา และการละเมิดสิทธิผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

ฟรีดอมเฮาส์ระบุว่า เรื่องที่สำคัญและเป็นที่สนใจสำหรับปีนี้คือเรื่องโครงการสอดแนมของสหรัฐฯ ซึ่งถูกเปิดโปงโดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน และยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ นอกจากนี้ ในรายงานของฟรีดอมเฮาส์ยังระบุว่ามี 35 ประเทศจากทั้ง 60 ประเทศ ที่มีเทคโนโลยีหรือมีอำนาจทางกฎหมายในการสอดแนมอินเทอร์เน็ต ซึ่งการสอดแนมเช่นนี้มักจะเป็นปัญหาจากการถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามผู้ต่อต้านทางการเมืองและนักกิจกรรมด้านสิทธิพลเมือง ในประเทศเผด็จการหลายประเทศมีการใช้อีเมลและเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ของนักกิจกรรมมาเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีหรือถูกสั่งให้เผยแพร่ในช่วงไต่สวน ทำให้พวกเขาถูกจำคุก ทารุณกรรม หรือแม้กระทั่งถูกสังหาร

นอกจากนี้ความกลัวเรื่องพลังทางโซเชียลมีเดียในการเป็นแรงขับเคลื่อนการประท้วงระดับประเทศ ทำให้มีการออกกฎหมายจำกัดสิทธิในการแสดงความเห็นในอินเทอร์เน็ต นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2012 มี 24 ประเทศจากกลุ่มประเทศที่ถูกสำรวจใช้การออกกฎหมายหรือคำสั่งที่เป็นการจำกัดเสรีภาพอินเทอร์เน็ต

ฟรีดอมส์เฮาส์สรุปโดยภาพรวมว่า มี 34 ประเทศที่มีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตลดลงโดยเฉพาะประเทศเวียดนามและเอธิโอเปีย ขณะที่เวเนซุเอลามีการเพิ่มการเซนเซอร์ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ขณะที่ประเทศประชาธิปไตยอย่างอินเดีย สหรัฐฯ และบราซิล ก็ถูกจัดอยู่ในข่ายมีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตลดลง

จากอันดับตารางพบว่า ประเทศไอซ์แลนด์ และเอสโตเนียยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุด ส่วนสหรัฐฯ แม้จะมีคะแนนแย่ลงจากการถูกเปิดโปงเรื่องโครงการสอดแนม ก็ยังอยู่ใน 5 อันดับแรก  ส่วนประเทศจีน คิวบา และอิหร่านยังคงอยู่ท้ายตารางในเรื่องเสรีภาพอินเทอร์เน็ตติดต่อกันเป็นปีที่สอง

ไทยขยับจาก "ไม่เสรี" เป็น "เสรีบางส่วน"
ทางด้านประเทศไทยอยู่อันดับที่ 46 จาก 60 อันดับ ขยับจากไม่เสรีเมื่อปี 2012 เป็นมีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตบางส่วนด้วยคะแนน 60 คะแนนเท่ากับประเทศอียิปต์  (คะแนนน้อยกว่าถือว่ามีเสรีภาพมากกว่า) โดยมีคะแนนดีขึ้น 1 จุดจากปี 2012 เมื่อเทียบกับประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือว่าอันดับแย่กว่ากัมพูชา (47 คะแนน) มาเลเซีย (44 คะแนน) อินโดนีเซีย (41 คะแนน) และฟิลิปปินส์ (25 คะแนน) แต่อยู่ในอันดับดีกว่าพม่า (62 คะแนน) และเวียดนาม (75 คะแนน)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบคะแนนจากปี 2012 ประเทศพม่าและตูนิเซีย ถือว่ามีคะแนนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

จากมาตรวัดต่างๆ ในรายงานของฟรีดอมเฮาส์ระบุว่า ประเทศไทยมีการปิดกั้นเนื้อหาที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง และศาสนา มีกลุ่มผู้สนับสนุนทางการคอยชี้นำบีบบังคับในการอภิปรายในโลกออนไลน์ มีการออกกฎหมายหรือคำสั่งข้อบังคับเพื่อส่งเสริมการสอดส่องหรือห้ามการปิดบังตัวตน

ในรายงานกล่าวอีกว่า รัฐไทยได้บล็อคเว็บไซต์และหน้าโซเชียลมีเดียจำนวนหลายหมื่น นอกจากนี้ยังมีการสั่งจำคุกคนที่เผยแพร่ข้อมูลหรือแสดงความเห็นทางอินเทอร์เน็ตหรือทางโทรศัพท์ โดยปัญหามาจากกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารและกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

"การที่ใครๆ ก็สามารถฟ้องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพใครก็ได้ในประเทศเป็นการเปิดโอกาสให้หลายคนใช้เป็นเครื่องมือฟ้องร้องศัตรูทางการเมืองหรือเพื่อยับยั้งกิจกรรมเรียกร้องสิทธิพลเมืองในบรรยากาศที่มีการแบ่งขั้วทางการเมืองสูงมาก" รายงานของฟรีดอมเฮาส์กล่าว

นอกจากนี้ฟรีดอมเฮาส์ยังได้กล่าวถึงวิธีการที่มักจะนำมาใช้ในการควบคุมอินเทอร์เน็ต ซึ่งนอกจากการปิดกั้นหรือการออกกฎหมายเพื่อจับกุมแล้ว ยังรวมการสอดแนม การติดสินบนให้มีการแสดงความเห็นสนับสนุนฝ่ายทางการและดิสเครดิตฝ่ายต่อต้าน รวมถึงการโจมตีทางอินเทอร์เน็ต เช่น ในกรณีของมาเลเซียและเวเนซุเอลาที่มีการขัดขวางหรือก่อกวนระบบเครือข่าย (DDoS attack) ของเว็บไซต์สื่ออิสระในช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง

 


เรียบเรียงจาก
New Report: Internet Freedom Deteriorates Worldwide, but Activists Push Back, Freedom House, 03-10-2013
http://www.freedomhouse.org/article/new-report-internet-freedom-deteriorates-worldwide-activists-push-back


รายงานฉบับเต็ม
http://freedomhouse.org/sites/default/files/resources/FOTN%202013_Full%20Report_0.pdf

รายงานในส่วนประเทศไทย
http://www.freedomhouse.org/report/freedom-net/2013/thailand

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น