ประชาไท | Prachatai3.info |
- กสม.ประชุมร่วมราชการ-ชาวบ้าน สอบกรณีตั้งโรงงานยางพาราฯ
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 22-28 ต.ค. 2556
- สภาผ่านร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกม.หมื่นชื่อ-แก้ รธน.ใช้ 5 หมื่น
- เครือข่ายพลเมืองเน็ตวอนรัฐต้องไม่นิรโทษกรรมตัวเอง
- Free Write : สี่สิบปีตายกี่ครั้งใครสั่งฆ่า
- บก.ลายจุด ปลุกแดงชุมนุม ‘10,000 UP’ ค้านนิรโทษฯสุดซอย 10 พ.ย.นี้
- นปช.เตรียมเปิดสดมภ์อนุสรณ์ ‘ลุงนวมทอง’ พรุ่งนี้ ‘เหวง’ร่อนจม.เปิดผนึกวอนผบ.ทบ.ขอโทษ
- 'พีระพงษ์' แจงแค่ถอนร่างประกาศคุมเนื้อหาสื่อไปแก้ให้ชัด-เล็งชงเข้า กสท. 4 พ.ย.
- จตุพร พรหมพันธุ์
- ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์: 40 ปี 14 ตุลา: ความรุนแรงกับการเมืองไทย (2)
- รัฐไทย:รัฐศาสนาหรือรัฐฆราวาส
- นักกฎหมายสิทธิฯ แถลงนิรโทษฯ ไม่มีเงื่อนไขสร้างวัฒนธรรมละเมิดสิทธิต่อเนื่อง
- รองหัวหน้าปชป.ลาออก กก.บห.นำม็อบต้านนิรโทษฯ กันยื่นยุบพรรค
- สาระ+ภาพ: 29 บริษัท ร่วมประมูล 24 ช่องทีวีดิจิตอล
- เตรียมจัดสมัชชานานาชาติเรื่องเอดส์ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่กรุงเทพฯ 18-22 พ.ย.
กสม.ประชุมร่วมราชการ-ชาวบ้าน สอบกรณีตั้งโรงงานยางพาราฯ Posted: 30 Oct 2013 02:16 PM PDT หมอนิรันดร์ ลงพื้นที่คอนสาร จ.ชัยภูมิ นั่งหัวโต๊ะประชุมร่วมหน่วยราชการ-ท้องถิ่น-เอกชน-ชาวบ้าน กรณีขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานยางพาราอัดแท่งไม่โปร่งใส ยินดีจะมีการชะลอออกใบอนุญาตไปก่อน และตั้งคณะกรรมการโดยมีประชาชนเข้าร่วมตามข้อร้องเรียน 30 ต.ค.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค.56 เวลา 08.30 น. ชาวบ้านกลุ่มรักษ์คอนสาร จาก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ได้รวมตัวชุมนุมที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอคอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อร่วมรับฟังผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ชาวบ้านได้ร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใสและไม่ชอบธรรมในการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานยางพาราอัดแท่ง ของบริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรีจำกัด (มหาชน) ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ลงพื้นที่พร้อมเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาชี้แจงในวันดังกล่าว นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีนิรันดร์เป็นประธาน โดยผู้เข้าร่วมประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร อาทิ วงศ์พันธ์ ณ ตะกั่วทุ่ง, ประสาท มีแต้ม, สุวิทย์ กุหลาบวงศ์, ส.รัตนมณี พลกล้า, สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูรณ์, ประยงค์ ดอกลำไย, ชาญวิทย์ อร่ามฤทธิ์ หน่วยงานภาครัฐ อาทิ นิพนธ์ สาธิตสมิธพงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ตัวแทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชัยภูมิ สำนักงานสิ่งแวดล้อม สาธารณสุขอำเภอคอนสาร อบต.คอนสาร อบต.ดงบัง อบต.ทุ่งนาเลา และตัวแทนจากบริษัทศรีตรังฯ รวมทั้งตัวแทนกลุ่มรักษ์คอนสาร วิเชษฐ อุสันเที๊ย ประธานกลุ่มรักษ์คอนสาร ได้มอบหนังสือรายชื่อของประชาชนอำเภอคอนสารกว่า 5,000 รายชื่อที่ได้ร่วมเสดงเจตนารมณ์คัดค้านการเข้ามาดำเนินกิจการโรงงานยางพาราอัดแท่ง เพื่อยืนยันว่าประชาชนในพื้นที่คอนสารไม่ได้ต้องการโรงงานดังกล่าว วิเชษฐ กล่าวว่า การที่ต้องคัดค้านโรงงานยางพาราเพราะไม่มีความเหมาะสม ในพื้นที่ อ.คอนสารนั้นเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติ แหล่งน้ำใต้ดินและบนดิน ลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยเทือกเขาที่มีความหลากหลายในระบบนิเวศ มีความสมบูรณ์ทั้งพืชพันธุ์สัตว์นานาชนิด เหมาะสมสำหรับเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์ของอำเภอคอนสารนั้นก็ไม่มีแผนในการที่จะทำการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม หากโรงงานที่มีขนาดใหญ่ดำเนินกิจการได้ แน่นอนว่าจะต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก นั่นคือน้ำที่ต้องมาจากการขุดเจาะน้ำบาดาลขนาดใหญ่ขึ้นมาใช้ ทำให้นอกจากผลกระทบต่อด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงก็อาจไม่มีน้ำใช้ อีกทั้งอาจได้รับผลกระทบหากมีการปล่อยน้ำเสีย "สภาพพื้นที่บริเวณที่จะสร้างโรงงานยางพาราเป็นพื้นที่สูง และอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มีความสำคัญในการหล่อเลี้ยงคนคอนสารและอำเภอใกล้เคียง อาทิ อ่างเก็บน้ำโสกลึก รวมทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติใต้ดิน เช่น น้ำผุดนาวงเดือน น้ำผุดนาเลา น้ำผุดซำภูทอง และลุ่มน้ำเซิน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้ชุมชน โดยเฉพาะสี่แยกคอนสาร ซึ่งเป็นขุมชนขนาดใหญ่ และเป็นตลาดสดของอำเภอคอนสาร" นวิเชรษฐ กล่าวว่า ด้าน ประธานคณะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 15.30 น. นิรันดร์ ในฐานะประธานการประชุม กล่าวสรุปผลการประชุมว่า ทางด้านยุทธศาสตร์ของอำเภอคอนสารไม่มีแผนที่จะมีการดำเนินการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อีกทั้งมีความบกพร่องในกระบวนการขออนุญาตเพื่อจัดตั้งโรงงานยางพารา ส่วนประชาชนในตำบลดงบังเองก็ไม่มีการรับรู้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ดังนั้นจึงไม่ใช่ความชอบธรรมในการที่จะให้อนุญาตโดยองค์กรส่วนท้องถิ่น ด้านสภาพพื้นที่ พบว่าสภาพพื้นที่บริเวณที่จะสร้างโรงงานยางพาราเป็นพื้นที่สูง โดยสภาพไม่มีความเหมาะสม เพราะอยู่ระหว่างกลางชุมชน และอยู่ใกล้ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน โดยเฉพาะแหล่งน้ำที่มีความสำคัญในการหล่อเลี้ยงคนคอนสารและอำเภอใกล้เคียง และอยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำโสกลึก รวมทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติใต้ดิน ส่วนบริษัทศรีตรังฯ ควรให้คำนึงถึงการเคารพสิทธิชุมชน ในด้านต่างๆ เช่น การดำเนินคดีความกับแกนนำ จำนวน 4 ราย ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการให้ข้อมูลที่อาจเข้าข่ายทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชุมชนซึ่งถือว่าเป็นสิ่งร้ายแรง และควรพึงระวังเป็นที่สุด นอกจากนี้ นิรันดร์ได้กล่าวขอขอบคุณที่จะมีการชะลอการออกใบอนุญาตออกไปก่อน และให้ตั้งคณะกรรมการโดยมีประชาชนเข้าร่วมด้วยตามที่ประชาชนร้องเรียนมา ทั้งนี้ ไม่ถือเป็นการผิดกฎหมายที่ประชาชนแสดงสิทธิการร้องเรียนได้ และทางบริษัทศรีตรังฯ ซึ่งเป็นโรงงานที่ยึดหลัก CSR ต้องทำงานโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน ดังนั้นจึงควรคิดให้ดีในการเลือกพื้นที่ที่จะก่อตั้งโรงงาน อีกทั้งยุทธศาสตร์ของอำเภอคอนสาร ในเรื่องของอุตสาหกรรมนั้นต้องมีความสอดคล้องกับเรื่องทุนทางสังคมด้วย โดยการประกอบกิจการใดๆ ต้องไม่ทำลายภาคการเกษตรของประชาชน และต้องคำนึงถึงหลักสิทธิชุมชนด้วย อนึ่ง ตั้งแต่ที่บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ยื่นขออนุญาตดำเนินการประกอบกิจการโรงงานยางพารากับองค์การบริหารส่วนตำบลดงบังในการเข้าดำเนินกิจการในพื้นที่บ้านหินรอยเมย ต.ดงบัง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ในพื้นที่ 291 ไร่ ชาวคอนสาร อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ จึงจัดตั้งกลุ่มรักษ์คอนสารขึ้น เพื่อคัดค้านความไม่โปร่งใสและไม่ชอบธรรมของโรงงานยางพาราฯ มานานกว่า 3 เดือน ทางกลุ่มรักษ์คอนสารมีข้อสังเกตและทำการคัดค้านการดำเนินงานของบริษัทศรีตรังฯ ในประเด็นอาทิ การลงมติขององค์การบริหารส่วนตำบลดงบังนั้นไม่สมบูรณ์ และมีความบกพร่องที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากเป็นการให้ข้อมูลด้านเดียวของบริษัทฯ ไม่มีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งที่เป็นกิจการขนาดใหญ่ รวมทั้งการดำเนินการเป็นไปอย่างเงียบเชียบและเร่งรัด ไม่มีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบด้านสุขภาพของชุมชน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2556 กลุ่มรักษ์คอนสารจัดชุมนุมที่หน้าที่ว่าการอำเภอครั้งแรก เพื่อทวงถามหนังสือที่ระบุให้มีการทบทวนต่อการอนุญาตให้มีการก่อสร้างโรงงานพาราฯ โดยก่อนจะมีการชุมนุม กลุ่มรักษ์คอนสารได้ยื่นหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง ทั้งยังได้เดินทางเข้าพบสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาฯ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ถึงทำเนียบรัฐบาล แต่ถึงปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ต่อมา 14 – 15 ต.ค.2556 กลุ่มรักษ์คอนสารชุมนุมใหญ่กันอีกครั้ง เพื่อทวงสัญญาประชาคม เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิไม่ดำเนินตามที่รับปากไว้ จากกรณีเมื่อวันที่ 30 ก.ย.56 รองผู้ว่าฯ ในนามตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน 10 วัน จะให้มีการจัดการทำประชาคม วันที่ 17 ต.ค.2556 กลุ่มรักษ์คอนสารชุมนุมอีกครั้ง โดยสุภรณ์เดินทางมาร่วมประชุมพร้อมลงตรวจสอบพื้นที่ เพื่อดูข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว และรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 22-28 ต.ค. 2556 Posted: 30 Oct 2013 01:54 PM PDT ผลสำรวจ SMEs ค่าแรงขั้นต่ำดันต้นทุนพุ่ง- 2 ใน 3 ยังจ่ายต่ำกว่า 300 บาท ผู้ประกันตนเมิน สปสช. ฮึ่มถ้าย้ายหยุดจ่ายสมทบ กก.ฝ่ายนายจ้างบอร์ดค่าจ้าง ขอให้คงค่าจ้างขั้นต่ำอีก 2 ปี ตามมติเดิม "จาตุรนต์" มอบ สอศ.วางแผนผลิตแรงงานภาคปฏิบัติป้อนธุรกิจโรงแรม นายจ้างยืนยันคงอัตราค่าจ้าง 300 บ. ไปอีก 2 ปีตามมติเดิม บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาร้องภาครัฐ ปลดล็อคสัญญาจ้างสีดำทั่วประเทศ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สภาผ่านร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกม.หมื่นชื่อ-แก้ รธน.ใช้ 5 หมื่น Posted: 30 Oct 2013 11:38 AM PDT มติที่ประชุมสภาฯ 368 เสียง เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้ง 1 หมื่นคน เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย และ 5 หมื่นคน เสนอญัตติขอแก้รัฐธรรมนูญได้ 30 ต.ค.2556 ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ตามที่คณะกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา โดยมีสาระสำคัญคือเป็นการยกเลิก พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 และให้สิทธิประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 10,000 คน เข้าชื่อเพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ได้ และให้สิทธิประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 50,000 คน เข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยในขั้นตอนต้องมีการแจ้งให้ประธานรัฐสภาได้รับทราบถึงความริเริ่มเสนอร่างกฎหมาย หรือเสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภา, สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือหน่วยงานที่มีอำนาจช่วยเหลือเกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมายแต่ประชาชน ตามที่ผู้ริเริ่มเสนอร่างกฎหมายต้องการ นอกจากนั้นให้สิทธิประชาชนขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองตามที่กฎหมายว่าด้วยสภาพัฒนาการเมืองกำหนดได้ ทั้งนี้หลังจากการแสดงเจตจำนงริเริ่มร่างกฎหมายแล้ว ต้องดำเนินการเข้าชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จตามเวลาให้สิทธิ์จำหน่ายเองคืนผู้ริเริ่ม นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาจะต้องเป็นร่างกฎหมายที่มีหลักการเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน หรือแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องไม่เป็นผลเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ และเมื่อประชาชนยื่นรายชื่อประกอบเสนอร่างพ.ร.บ.หรือญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประธานรัฐสภาต้องตรวจสอบความถูกต้องให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน จากนั้นให้ประกาศรายชื่อผู้เขาชื่อทางสื่อเทคโนโลยีของสำนักงานเลขาธิการสภา และจัดทำเอกสารให้ประชาชนรวมถึงให้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้มีตรายชื่อตรวจสอบ และหากประชาชนคนใดถูกแอบอ้างชื่อสามารถยื่นคำร้องคัดค้านต่อประธานรัฐสภา ภายใน 30 วัน ส่วนบุคคลใดที่แอบอ้างชื่อเพื่อร่วมเสนอกฎหมายได้กำหนดให้มีบทลงโทษ คือ จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากบุคคลใดสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อจูงใจให้ร่วมลงชื่อ หรือไม่ให้ลงชื่อเสนอร่างกฎหมายหรือญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีการบังคับให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้ มีมติเห็นชอบพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มีมติด้วยเสียง 368 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง และหลังจากที่สภามีมติเห็นชอบแล้วจะเข้าสู่กระบวนการประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เครือข่ายพลเมืองเน็ตวอนรัฐต้องไม่นิรโทษกรรมตัวเอง Posted: 30 Oct 2013 09:59 AM PDT 30 ต.ค.2556 เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่รวมตัวกัน เพื่อสนับสนุนเสรีภาพออนไลน์และคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ออกแถลงการณ์แสดงความเห็น 5 ข้อต่อกรณีการผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมเพื่อยกเลิกความผิดทางการเมืองและความผิดที่เกี่ยวข้องกับการปะทะกันทางการเมืองทั้งหมดในลักษณะเหมาเข่ง โดยการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยและส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวของเครือข่ายพลเมืองเน็ตระบุไว้ดังนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Free Write : สี่สิบปีตายกี่ครั้งใครสั่งฆ่า Posted: 30 Oct 2013 09:23 AM PDT สี่สิบปีตายกี่ครั้งใครสั่งฆ่า กระทำการฆาตกรรมอำมหิต สร้างกฎกรอบมอบผ่านการศึกษา ประชาชนเป็นใครไม่ต้องรู้ เมื่ออนาธิปไตยขยายผล สี่สิบปีที่คนกล้าต้องมาตาย ไม่เกิดซ้ำต้องกำจัดรัฐประหาร สี่สิบปีคนส่วนใหญ่เริ่มใจกล้า สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้ลูกหลาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
บก.ลายจุด ปลุกแดงชุมนุม ‘10,000 UP’ ค้านนิรโทษฯสุดซอย 10 พ.ย.นี้ Posted: 30 Oct 2013 09:11 AM PDT 30 ต.ค.2556 นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 29 ต.ค.2556 ที่ผ่านมา เชิญช่วนสวมเสื้อแดงร่วมชุมนุมต้านการนิรโทษกรรมให้กับผู้สั่งการสลายการชุมนุมเสื้อแดง เมื่อช่วงเม.ย.-พ.ค.2553 ในชื่อกิจกรรม "10,000 UP เราไม่ลืม" วันอาทิตย์ที่ 10 พ.ย. 2556 เวลา 12.00 น. ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งมีการตั้งเป้าไว้ว่าจะมาร่วมชุมนุมมากกว่า 10,000 คน นายสมบัติ ให้สัมภาษณ์กับประชาไทไว้ด้วยว่า เห็นข่าวว่าทางพรรค หรือทางคุณทักษิณ ประเมินว่า มีผู้ไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมสุดซอย แค่ประมาณหมื่นคน หมายความว่าเขาพร้อมดันร่างกฎหมายนี้ เพราะมีคนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แค่หมื่นคนเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าพรรคยังไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางและคิดว่ามีคนค้านแค่นี้ ผมจะทำกิจกรรมที่เรียกว่า "หมื่นอัพ" เพื่อที่จะบอกว่าสิ่งที่คุณคิดว่ามีไม่ถึงหมื่นคน หรือมีแค่หมื่นคน จริงๆ แล้วมีมากกว่านั้น โดยนายสมบัติ กล่าวด้วยว่า ถ้ามี หมื่นอัพ ผมจะจัด "หมื่นอัพ" ถ้ามีไม่ถึงก็จบ หรือถ้านัดกันว่ามีหมื่นอัพ แต่มากันไม่ถึงหมื่น ผมยอม เพราะเขาบอกว่ามีแค่หนึ่งหมื่นใช่ไหม เราก็ต้องมีมากกว่าหมื่น ถ้ามีมวลชนมาไม่ถึงหมื่น ผมยอม จดหมายชวนร่วมกิจกรรม "10,000 UP เราไม่ลืม" โดย บก.ลายจุด :
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
นปช.เตรียมเปิดสดมภ์อนุสรณ์ ‘ลุงนวมทอง’ พรุ่งนี้ ‘เหวง’ร่อนจม.เปิดผนึกวอนผบ.ทบ.ขอโทษ Posted: 30 Oct 2013 08:26 AM PDT 30 ต.ค.2556 นายเหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผู้บัญชาการกองทัพบก ขอโทษ นายนวมทอง ไพรวัลย์ พร้อมทั้งรับผิดชอบต่อครอบครัวนายนวมทอง คนขับแท็กซี่ที่ฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตายใต้สะพานลอยถนนวิภาวดีรังสิต เยื้องกับที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ในคืนวันที่ 31 ต.ค.2549 โดยมีจดหมายลาตายระบุว่า ต้องการลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษกคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้" หลังจากนายนวมทองขับแท็กซี่พุ่งชนรถถังของคณะรัฐประหาร ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าจนบาดเจ็บสาหัสเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2549 เพื่อประท้วงการรัฐประหาร โดยในวันพรุ่งนี้(31 ต.ค.2556) 09.30 น. นปช. จะจัดพิธีเปิดสดมภ์อนุสรณ์ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ บริเวณหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิต (คลิกอ่านรายละเอียดกิจกรรม) จดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการทหารบก :
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'พีระพงษ์' แจงแค่ถอนร่างประกาศคุมเนื้อหาสื่อไปแก้ให้ชัด-เล็งชงเข้า กสท. 4 พ.ย. Posted: 30 Oct 2013 06:37 AM PDT กสทช. แจงถอนร่างประกาศคุมเนื้อหารายการ เพื่อนำไปปรับแก้ให้ชัดเจนขึ้น ไม่ต้องไปตีความอีก ยันให้นักกฎหมายหลายสำนักดูแล้ว ชอบด้วย กม. เล็งเสนอกลับไปใหม่ 4 พ.ย.นี้ ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ถอนร่างประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. .... ออกจากวาระการพิจารณาของที่ประชุม เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา 30 ต.ค. 2556 สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. กล่าวถึงสาเหตุที่ถอนร่างประกาศฯ ว่า เป็นการถอนเพื่อเอาไปปรับแก้ เนื่องจากเนื้อหาในร่างประกาศฯ นี้บางส่วน ยังมีข้ออ่อนหรือข้อบกพร่องอยู่ เพราะมีบางถ้อยคำที่คนอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ต้องไปตีความกันอีก โดยเฉพาะในหมวดที่ 2 ที่มีถ้อยคำต้องปรับแก้มากหน่อย ยืนยันว่าการถอนร่างประกาศฯ นี้ออกที่ประชุม กสท.วันดังกล่าว ไม่เกี่ยวกับเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ให้นักกฎหมายหลายสำนักรวมถึงฝ่ายกฎหมายของสำนักงาน กสทช.ดูร่างประกาศฯ นี้แล้ว ก็ไม่มีใครท้วงติงเรื่องปัญหาทางข้อกฎหมายแต่อย่างใด พล.ท.พีระพงษ์ ระบุด้วยว่า จะนำร่างประกาศฯ นี้กลับไปหารือในที่ประชุมคณะอนุกรรมการเนื้อหาและผังรายการ ในวันที่ 31 ตุลาคม 2556 เพื่อปรับแก้เนื้อหาที่ยังไม่ชัดเจน จากนั้นจะเสนอกลับไปให้ที่ประชุม กสท.ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 พิจารณาทันที โดยการปรับแก้เนื้อหาครั้งนี้ เป็นไปเพื่อตอบโจทย์การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ไม่ใช่เพื่อตอบโจทย์บางคนหรือบางกลุ่ม อนึ่ง ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.... มีใจความถึงเนื้อหาที่ต้องห้ามนำเสนอในสื่อวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยขยายความจากมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่ห้ามนำเสนอเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังกำหนดมาตรการการดำเนินรายการที่เน้นควบคุมรายการเชิงข่าวอย่างเข้มงวด ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 30 Oct 2013 06:13 AM PDT "เมื่อไปถึงซอยตันแล้ว พอมีเรื่อง พวกเราก็ไม่หนีเสียด้วยสิ แต่ไม่รู้พวกพาไปด้วย อ้าว หายหน้าไปไหนหมดแล้วตอนนั้น แล้วก็ไปตายเรียบกันในซอยตัน ชันสูตรว่าเป็นชายไทยชุดแดงอีกแล้วครับท่าน แล้วคนพาไป ... อ้าวหายไปไหนแล้ว ผมถึงบอกว่าผมไม่ร่วมเข้าซอยตันด้วย ผมจะมารอที่ถนนใหญ่ เพราะขบวนการประชาชนนี้จะพาประชาชนไปถูกฆ่าไม่ได้ ซอยนั้นเป็นจุดล็อกเป้า จุดลวงสังหาร ด้วยความรักผมถึงบอกว่าอย่าเข้าไปเลย" แกนนำ นปช. ระหว่างแถลงข่าวไม่ร่วมนิรโทษกรรมสุดซอย | |
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์: 40 ปี 14 ตุลา: ความรุนแรงกับการเมืองไทย (2) Posted: 30 Oct 2013 05:54 AM PDT ถ้าพิจารณาเหตุการณ์ที่สังคมไทยถือว่าเป็นความรุนแรงทางการเมืองทั้ง4 เหตุการณ์ คือ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, 17-20 พฤษภาคม 2535 และ 10เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 โดยยกเลิกการจัดประเภทแบบเหมารวมว่าเป็น "ความรุนแรงโดยรัฐ"และยอมรับความเป็นจริงว่าสังคมไทยมีประสบการณ์ของ "ความรุนแรงโดยภาคที่ไม่ใช่รัฐ"หรือ "ความรุนแรงโดยสังคม" ที่พลเรือนมีส่วนคร่าชีวิตพลเรือนด้วยกันทั้งในทางตรงและทางอ้อม คำถามคือความรุนแรงทั้งสองแบบมีหน้าที่ในสังคมแตกต่างกันอย่างไร? ในกรณี 14 ตุลาคม2516 และ 17-20 พฤษภาคม 2535 การประทุษร้ายประชาชนเป็น "ความรุนแรงเชิงปราบปราม"ที่ดำเนินไปโดยกองกำลังของรัฐ ยิ่งกว่านั้นคือปฏิบัติการทำร้ายประชาชนเกิดขึ้นในเวลาที่ถนอม (14 ตุลาคม)และสุจินดา (17-20 พฤษภาคม) มีอำนาจในความเป็นจริง ผู้นำทั้งสองรายจึงพัวพันกับความรุนแรงจนปฏิเสธไม่ได้แม้ถนอมจะอ้างว่าความรุนแรงปี 2516เกิดจากกองกำลังที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลก็ตาม ในกรณีตุลาคม 2516 ความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่มีการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมแต่เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลยอมปล่อยผู้นำนักศึกษา ตกลงว่าจะร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน1 ปี และเกิดพระราชดำรัสกับผู้นำนักศึกษาในเย็นวันที่13 ตุลาคม ว่า "รัฐบาลได้โอนอ่อนผ่อนตามมากแล้ว...สิ่งที่ได้มาควรพอใจ" รวมทั้งมีผู้นำนักศึกษาได้ "ขอให้"ผู้แทนราชสำนักอ่านพระราชกระแสนี้ซ้ำใหม่เพื่อยุติการชุมนุมในเช้ามืดของวันที่ 14ตุลาคม ปริศนาซึ่งยังไร้คำอธิบายที่ดีคืออะไรทำให้ตำรวจปะทะประชาชนบริเวณหน้าสวนจิตรในยามซึ่งการชุมนุมแทบยุติแล้วประเด็นนี้สำคัญเพราะการปะทะคือข้ออ้างให้ทหารตำรวจใช้กำลังอย่างต่อเนื่องแม้มีพระราชดำรัสแต่งตั้งนายกคนใหม่ในเย็นวันที่14 โดยถนอมเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดต่อไป การลาออกของถนอมจากตำแหน่งนายกจึงไม่ได้ปิดฉากการใช้กำลังไปด้วยและต้องรอจนถนอมออกนอกประเทศในวันที่ 15 ตุลาคม เวลา 18.40 น. ความรุนแรงจึงยุติลงจริงๆ ถึงตรงนี้การสร้างคำอธิบายว่าการปะทะคืออุบัติเหตุจึงเป็นวาทกรรมที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการสืบสาวว่าใครอยู่เบื้องหลังคำสั่งปะทะและการปราบปรามในปี2516 ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมา ในกรณี 2535 ความรุนแรงเริ่มเมื่อตำรวจไม่ให้ผู้ชุมนุมข้ามสะพานผ่านฟ้าไปทำเนียบในคืนที่17 พฤษภาคม เพื่อขับไล่สุจินดาในฐานะนายกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จากนั้นโรงพักนางเลิ้งถูกเผาจนมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการใช้ทหารประทุษร้ายผู้ชุมนุมต่อเนื่องถึงคืนวันที่19 ต่อมามีพระราชกระแสให้สุจินดาและจำลองเข้าเฝ้าเวลา 21.30 ของวันที่ 20 พร้อมพระราชดำรัส"ขอให้หันหน้าเข้าหากัน" แต่ก็ต้องรอถึง 24พฤษภาคม กว่าสุจินดาจะลาออกไป แม้ 14 ตุลาคม และ17-20 พฤษภาคม จะเปิดโอกาสให้ชนชั้นนำทุกกลุ่มชิงความได้เปรียบจากเหตุการณ์ทั้งหมดแต่เหตุการณ์แรกเกิดเมื่อเครือข่ายถนอมคุมตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ส่วนเหตุการณ์หลังเกิดเมื่อผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพเรียนทหารรุ่นเดียวกันจนกองทัพมีเอกภาพระดับไม่เคยมีมาก่อนความรุนแรงทั้งสองกรณีจึงดำเนินไปในขณะที่อำนาจการเมืองควบแน่นกับอำนาจทางทหาร ผลก็คือการใช้ทหารจรรโลงอำนาจผู้นำการเมืองเป็นไปได้อย่างแทบสมบูรณ์ ในแง่นี้ "ความรุนแรงเชิงปราบปราม"คือความรุนแรงที่รัฐเป็นผู้สั่งการและกองกำลังของรัฐเป็นผู้ปฏิบัติการอย่างเต็มรูปแบบโดยถือว่าความมั่นคงของผู้นำคือเป้าหมายที่ชอบธรรมในตัวเองความรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาที่ผู้สั่งการเชื่อว่าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้วจึงเป็นความรุนแรงที่ไม่ต้องการความสนับสนุนจากคนกลุ่มไหนยิ่งกว่าอำนาจสั่งให้ทหารตำรวจไปฆ่าคนตามอำเภอใจ อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ความรุนแรงแบบนี้มีโอกาสถูกตราหน้าเป็น"ทรราช" ได้ตลอดเวลา เพราะน้อยเหลือเกินที่การปราบปรามจะชนะในระยะยาว บทเรียนในกรณี 14ตุลาคม 2516 และ 17-20 พฤษภาคม 2535 คือต่อให้ใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนได้สำเร็จความรุนแรงเชิงการปราบปรามก็มีศักยภาพที่จะทำให้ฝ่ายปราบปรามสูญเสียอำนาจการเมืองและการทหารระดับซึ่งเคยมีไปอย่างไม่มีวันกลับเพราะการไล่ล่าทรราชคือโอกาสในการต้านทรราชเท่ากับเป็นโอกาสในการช่วงชิงอำนาจจากฝ่ายทรราชเอง ทรราชที่พ่ายแพ้จึงต้องเผชิญกับศัตรูที่มากมายมหาศาลจนคำว่ามิตรหมดความหมายไปในพริบตา ในบางกรณี แม้ผู้ปราบปรามจะหลุดพ้นจากความผิดทางกฎหมายแต่ความพยายามถึงรุ่นหลานก็ไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้คำว่าทรราชไม่ใช่คำนำหน้าผู้พัวพันกับการฆ่าประชาชน ด้วยเหตุผลอย่างที่กล่าวไปไม่มีใครอยากได้ชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความรุนแรงแบบนี้ ผลก็คือการรำลึกเหตุการณ์ประเภทนี้ทำง่ายถึงขั้นอาจกลายเป็นรัฐพิธี หรือเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำแห่งชาติที่ถูกถ่ายทอดอย่างไม่เป็นทางการซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ได้ด้วยซ้ำผู้ถูกปราบคือวีรบุรุษผู้ต่อต้านทรราชของชาติ ส่วนระยะห่างกับการปราบปรามของทรราชเป็นเรื่องยอมรับได้สำหรับทุกฝ่ายตั้งแต่อดีตพันธมิตรของฝ่ายทรราชเองไปจนถึงฝ่ายที่ถูกทรราชปราบปรามจริงๆ ในกรณี 6 ตุลาคม 2519การประทุษร้ายเกิดในเวลาที่นักศึกษารวมตัวอย่างสงบในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตัวการชุมนุมเองจึงไม่ได้เป็นอันตรายกับคนกลุ่มไหนในสังคมทั้งนั้น จะปล่อยให้นักศึกษาชุมนุมไปก็ได้ แต่ฝ่ายผู้ฆ่าและผู้สนับสนุนการฆ่ากลับลากการชุมนุมไปเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นผู้ชุมนุมกลายเป็นคนต่างด้าวและผู้ก่อการร้ายจนไม่เหลือเหตุผลให้ไม่ฆ่าและปล่อยให้ผู้ชุมนุมมีชีวิตต่อไปอีก - อย่างน้อยก็ในทรรศนะของผู้ฆ่าในวันที่ 6 ตุลาคม ในเช้าวันนั้น คนพวกแรกที่บุกเข้าธรรมศาสตร์คือประชาชนและกองกำลังกึ่งรัฐอย่างลูกเสือชาวบ้านกระทิงแดง และตำรวจตระเวนชายแดนภายใต้การนำของเสน่ห์ สิทธิพันธ์ ยิ่งกว่านั้นคือประชาชนฝ่ายขวาทั้งกลุ่มที่ลงมือฆ่าและกลุ่มอื่นล้วนอ้างเหมือนกันว่าการฆ่านักศึกษาคือสัญลักษณ์ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์คุมสถานการณ์ไม่ได้ การฆ่าจึงทำให้ผู้ฆ่าได้โอกาสขจัดประชาชนและนักศึกษาขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ฝ่ายรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งลงไป มีผู้ศึกษาไว้มากแล้วว่าสังคมไทยช่วงก่อน 6 ตุลาคม เต็มไปด้วยใบอนุญาตให้ฆ่าประชาชนในรูปหนังสือ คำปราศรัย เพลงปลุกใจ ฯลฯภาพฆ่าและทำร้ายศพแสดงให้เห็นว่าพลเรือนทั้งชาย หญิง และเด็กคือผู้ฆ่าและผู้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ การฆ่าได้รับการสนับสนุนจากคนแทบทุกกลุ่มตั้งแต่พระ นักเขียนเจ้าของโรงแรมห้าดาว อาจารย์มหาวิทยาลัย ดาราหนัง สื่อมวลชน นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง หรือแม้แต่ฝ่ายนักศึกษาเอง แม้บรรยากาศหลังวันที่6 ตุลาคม จะเต็มไปด้วยความปรีดา ซ้ำผู้ที่เกี่ยวพันกับการฆ่าล้วนยืนยันความมีเหตุมีผลในการฆ่าอย่างไม่ขาดสายตัวอย่างเช่นเสน่ห์อ้างว่ามีอุโมงค์ที่ธรรมศาสตร์แต่เปิดเผยหลักฐานไม่ได้และเถียงข้างๆ คูๆ ว่าถ้าตำรวจใช้กระสุนจริง อาคารของมหาวิทยาลัยคงพังไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็แทบไม่มีใครแสดงตัวอย่างภาคภูมิใจว่าพัวพันกับการฆ่าในวันนั้นอีกไม่ต้องพูดถึงการยืนยันว่าถูกแล้วที่ฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอย่างที่เคยพูดกัน ผ่านไปสี่สิบปีตอนนี้ไม่มีใครอยากรื้อฟื้นเหตุการณ์หกตุลาแล้วฝ่ายผู้สูญเสียคือฝ่ายที่จริงจังกับการรำลึกเหตุการณ์นี้อย่างต่อเนื่องมากที่สุดถัดจากนั้นก็คือฝ่ายซึ่งต้องการใช้หกตุลาอภิปรายปัญหาการเมืองบางอย่างในปัจจุบันส่วนฝ่ายผู้ฆ่าหรือผู้สนับสนุนการฆ่าหายไปจากเรื่องนี้เฉยๆ ราวกับการฆ่าไม่เคยเกิดขึ้นและพวกเขาไม่เคยมีตัวตน การประทุษร้ายและความรุนแรงในกรณี10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 กำลังเดินไปสู่วัฎจักรคล้ายกับหกตุลานั่นคือแม้รัฐจะเป็นผู้สั่งการและปฏิบัติการฆ่า แต่การฆ่าก็ดำเนินไปด้วยความสนับสนุนของหมอพ่อค้า นักสิทธิมนุษยชน พรรคการเมือง นักธุรกิจ ทหาร อาจารย์มหาวิทยาลัย นักแสดง พระ นักเขียน นักศึกษา ฯลฯ ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไปทุกฝ่ายก็ยิ่งวางระยะห่างกับเหตุการณ์นี้ จนในที่สุดจะมีแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เป็นฝ่ายต้องรับผิดทางศีลธรรมและการเมือง ถึงตอนนี้ ความรุนแรงในกรณี 6 ตุลาคม 2519 และ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 มีลักษณะพื้นฐานที่แตกต่างจากความรุนแรงเชิงปราบปรามในกรณี14 ตุลาคม 2516 และ 17-19 พฤษภาคม 2535 อย่างน้อย 3 มิติ มิติแรกความรุนแรงเกิดขึ้นโดยรัฐอาจเป็นผู้สั่งการ หรืออาจไม่มีผู้สั่งการที่ชัดเจนเลยก็ได้แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือพลังส่วนที่ไม่ใช่รัฐมีบทบาทสำคัญในการเอื้ออำนวยให้เกิดความรุนแรงทั้งหมดรวมทั้งการลงมือทำลายชีวิตโดยตรง มิติที่สองความรุนแรงแบบนี้ต้องการฐานสนับสนุนทางสังคมที่กว้างขวางจนกระบวนการสร้างความชอบธรรมอย่างเป็นระบบคือเงื่อนไขเบื้องต้นซึ่งจำเป็นก่อนที่จะเกิดปฏิบัติการรุนแรงและการฆ่าที่เป็นรูปธรรมจริงๆ มิติที่สามแม้ผู้ใช้ความรุนแรงและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าไม่ถูกตราหน้าเป็น "ทรราช"ซ้ำยังเป็นไปได้ที่จะเป็นวีรบุรุษในเวลาที่ปฏิบัติการรุนแรงล่วงไปไม่นานแต่ในที่สุดผู้บัญชาการฆ่าจะมีฐานะเป็นแพะรับบาปทางศีลธรรมของสังคม ข้าพเจ้าอยากเรียกความรุนแรงแบบที่เกิดในวันที่6 ตุลาคม 2519 และ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 ว่าเป็นความรุนแรงเชิงบูชายัญ ความรุนแรงประเภทนี้มุ่งกำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างกว้างขวางในนามของการพิทักษ์สังคมจากสภาวะผันผวนที่สังคมเชื่อหรือถูกทำให้เชื่อว่ามีศักยภาพจะทำลายระเบียบสังคมทั้งหมดความรุนแรงจึงมีความชอบธรรมในตัวเองถึงขั้นที่พลเมืองพึงมีส่วนร่วมในทางใดทางหนึ่งในการประทุษร้ายชีวิตอย่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิ จริงอยู่ว่าเป็นไปได้ที่ความรุนแรงเชิงปราบปรามในกรณีตุลาคม2516 หรือพฤษภาคม 2535 จะเกิดจากอุบัติเหตุ การวางแผนซ้อนแผนเพื่อแย่งอำนาจโดยพวกเดียวกันหรือเป็นปฏิกิริยาอย่างเฉียบพลันเฉพาะหน้าของฝ่ายทรราชเพื่อตอบโต้การลุกฮือของมวลชนที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ความรุนแรงเชิงบูชายัญในกรณี 2519 และ 2553 คือผลของการเลือกคร่าชีวิตมนุษย์บางกลุ่มโดยสังคมผ่านการคิดคำนวณแล้วว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่สังคมได้จากการพรากชีวิตพวกเขาไป ในกรณีแบบนี้ การคร่าชีวิตเป็นสัญลักษณ์ว่าอะไรคือสิ่งที่สังคมเห็นว่ามีค่าและชีวิตที่ถูกฆ่าคือชีวิตที่สังคมเห็นว่าไร้ค่าจนชอบธรรมที่จะประกอบกิจกรรมบูชายัญรวมหมู่เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิ่งที่สังคมถือว่าสำคัญ น่าสังเกตว่าในการอภิปรายเรื่องความรุนแรงในกรณี 6 ตุลาคม 2519 และ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 ประเด็นที่ฝ่ายผู้สูญเสียพูดถึงมากที่สุดคือการยืนยันความบริสุทธิ์โดยวิธียืนกรานว่าผู้ที่ตายหรือบาดเจ็บนั้นไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือคอมมูนิสม์แม้ข้อโต้แย้งนี้จะตรงประเด็นแต่ผลในด้านกลับคือการรับรองตรรกะว่าสังคมสามารถใช้วิธีรุนแรงและการฆ่าเพื่อขจัดบุคคลหรือกลุ่มที่ถูกถือว่าเป็นผู้ก่อการร้ายทั้งที่การฆ่าเกิดขึ้นไม่ได้ ต่อให้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นจริง ขณะที่เป็นเรื่องง่ายที่จะรำลึกความรุนแรงเชิงปราบปรามเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยย้อนหลังต่อทรราชสภาพที่มนุษย์ฆ่าหรือสนับสนุนให้ฆ่ามนุษย์ด้วยกันอย่างวิปริตทำให้ความรุนแรงเพื่อบูชายัญกลับจำยากและน่าสะอิดสะเอียนความรุนแรงแบบนี้จึงเริ่มต้นในฐานะกิจกรรมสาธารณะก่อนที่จะกลายเป็นความเงียบ เพื่อให้สังคมลืมด้านอันโหดร้ายหรือชำระความบริสุทธิ์ให้กับสิ่งที่มีค่าซึ่งดำรงอยู่ผ่านอาชญากรรมรวมหมู่ในทางใดทางหนึ่งของสังคม ในวาระ 40 ปี 14ตุลาคม แม้สังคมไทยจะเต็มไปด้วยประสบการณ์ว่ารัฐประหารเกิดได้ทุกเมื่อแต่ผู้นำทหารแบบเผด็จการทรราชนั้นไม่มีทางเกิดได้ง่ายอย่างที่ผ่านมา ความรุนแรงเชิงปราบปรามเพื่ออำนาจของผู้นำแบบ2516 และ 2535 จึงไม่น่าจะมีให้เห็นอีก ประเด็นสำคัญคือสังคมไทยมีเชื้อมูลสำหรับความรุนแรงเพื่อบูชายัญจนเกินพอ ความรุนแรงในนามของส่วนรวมแบบ 2519 และ 2553 จึงเป็นไปได้เสมอแม้สังคมไทยจะเผชิญความโหดเหี้ยมแบบนี้มากเกินไปแล้วก็ตาม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 30 Oct 2013 05:52 AM PDT ได้อ่านบทความ "กรณีสังฆราชสิ้นพระชนม์ และรัฐศาสนาอำพราง?" ของคุณภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ของกลุ่ม พุทธศาสน์ของราษฎรแล้วรู้สึกซาบซึ้งเป็นพระคุณยิ่งเพราะได้รับทราบข้อมูลใหม่มากมายเกี่ยวกับการเมืองภายในคณะสงฆ์และมีความเห็นด้วยในหลายประเด็น ของบทความแต่อย่างไรก็ตามในประเด็นตอนท้าย ผู้เขียนกลับมีความคิดเห็นไม่เหมือนกับคุณภิญญพันธุ์ อยู่ 2 ประการ ดังต่อไปนี้
เชิงอรรถ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
นักกฎหมายสิทธิฯ แถลงนิรโทษฯ ไม่มีเงื่อนไขสร้างวัฒนธรรมละเมิดสิทธิต่อเนื่อง Posted: 30 Oct 2013 03:21 AM PDT 30 ต.ค.2556 สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.), มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา และศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม ออกแถลงการณ์ความเห็นทางกฎหมายต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ โดยระบุว่าคณะกรรมาธิการจะแก้ไขร่างกฎหมายเกินกว่ามติรับหลักการในวาระแรกไม่ได้ รวมทั้งการนิรโทษกรรมต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน แม้การนิรโทษกรรมเป็นกลไกหนึ่งของหลักความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน แต่การนิรโทษกรรมทุกกรณีย่อมไม่อาจยอมรับได้ เนื่องจากจะก่อให้เกิดวัฒนธรรมการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง รายละเอียดระบุว่า
ทั้งนี้ มูลนิธิศักยภาพชุมชน ได้ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกันเรียกร้องให้เร่งรัดให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวสำหรับผู้ต้องหาและผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองได้รับการประกันตัวทุกกรณี และรวมมาตรา 112 ด้วย สนับสนุนข้อเรียกร้องของเครือข่ายญาติฯ ในข้อที่ว่า "รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องชะลอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมใดใดไว้ก่อนและจัดให้มีเวทีพูดคุยในระดับชาติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาสังคม เพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน" และการนิรโทษกรรมนั้นนิรโทษฯประชาชนตั้งแต่ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รวมความผิดตามมาตรา 112 มีมาตราการชดเชยผู้ได้รับนิรโทษอย่างเหมาะสม ไม่รวมผู้มีอำนาจในการตัดสินใจหรืออำนาจในการสั่งการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการณ์ที่กระทำเกินกว่าเหตุอันสมควร และไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดกลุ่มบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
รองหัวหน้าปชป.ลาออก กก.บห.นำม็อบต้านนิรโทษฯ กันยื่นยุบพรรค Posted: 30 Oct 2013 02:50 AM PDT 'กรณ์' แถลงความในใจ ลาออก กก.บห.พรรค ต้องการสู้ทุกเวที ยันเคารพระบบรัฐสภา 'อิสสระ สมชัย' ระบุออกเพราะต้องการเคลื่อนอิสระ กันไม่ให้มีใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งยื่นเรื่องไปยัง กกต. เพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ 30 ต.ค. 2556 เนชั่นแชลแนล รายงานว่าเมื่อเวลา 10.15 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ที่รัฐสภา โดยได้อ่านแถลงการณ์ต่อต้านการที่รัฐบาล ผลักดัน ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า ขณะนี้มีกรรมการบริหารพรรคและรองหัวหน้าสาขาต่างๆได้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้แล้ว อาทิ นายอิสสระ สมชัย นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นต้น ส่วนหลังจากที่ชุมนุมที่สถานีรถไฟแล้วทางพรรคจะเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถระบุจุดที่จะร่วมชุมนุมได้ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ส่วนที่เลือกใช้สถานีรถไฟเพราะเป็นพื้นที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมีเส้นทางรถไฟเป็นเส้นเขตแดนตัดขาดจากเขตควบคุม และจากนี้พรรคจะประเมินสถานการณ์ทุกระยะ ด้านนายอิสสระกล่าวว่า ผู้ที่ลาออกไปร่วมชุมนุมเพื่อต้องการเคลื่อนไหวอย่างอิสระและเป็นการป้องกันไม่ให้มีใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งยื่นเรื่องไปยัง กกต. เพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อตัดปัญหาจุดนี้ทุกคนจึงขอลาออกจากตำแหน่ง ส่วน ส.ส. จะลาออกหรือไม่ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ต้องรอดูสถานการณ์ เพราะต้องทำหน้าที่อภิปรายคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในที่ประชุมสภา โดยเดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า นอกจากนายอิสสระ และนายกรณ์ แล้ว ยังมีนายถาวร เสนเนียมและนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ได้ยื่นใบลาออกจากกรรมการบริหารพรรคด้วย ทั้งนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช โพสต์ในเฟซบุ๊ก 'Korn Chatikavanij' ยกโควทคำพูดของเพลโต นักปรัชญากรีก ว่า "หนึ่งในการถูกลงโทษเพราะเราปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมือง คือการถูกปกครองโดยคนชั้นเลว" พร้อมแถลงความในใจของตัวเอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สาระ+ภาพ: 29 บริษัท ร่วมประมูล 24 ช่องทีวีดิจิตอล Posted: 30 Oct 2013 02:36 AM PDT
กสทช. สรุปจำนวนผู้เข้ายื่นแบบคำขอใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ มีผู้สนใจเข้ายื่นแบบคำขอฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 29 บริษัท 41 แบบคำขอฯ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า เนื่องจากเอกสารที่นำมายื่นคำขอฯ มีเป็นจำนวนมาก สำนักงาน กสทช.จะตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารอย่างละเอียดรอบคอบต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมการประมูลต่อไป โดยสำนักงาน กสทช.จะประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมการประมูลภายใน 45 วัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เตรียมจัดสมัชชานานาชาติเรื่องเอดส์ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่กรุงเทพฯ 18-22 พ.ย. Posted: 30 Oct 2013 02:23 AM PDT
จันทวิภา อภิสุข ประธานร่วมคณะกรรมการจัดการประชุมประเทศเจ้าภาพ กล่าวว่า ธีมของงานปีนี้คือ "เอเชียและแปซิฟิก: เอดส์ลดให้เหลือศูนย์ได้ด้วยการลงทุนในนวัตกรรม" ซึ่งจะมุ่งให้เกิด 3 ศูนย์ (triple zero) คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ และไม่มีการตีตรา เลือกปฏิบัติ สำหรับสถานการณ์เรื่องเอดส์ในประเทศไทย จันทวิภา มองว่า ในภาพรวมพัฒนาขึ้นมาก โดยด้านหนึ่งมีองค์กรเอ็นจีโอ ชุมชน รวมตัวกันเป็นเครือข่ายใหญ่ มีความเข้มแข็งขึ้น ทั้งยังมีเครือข่ายเฉพาะของตัวเอง เช่น เครือข่ายผู้ติดเชื้อ เครือข่ายผู้ใช้ยา นอกจากนี้ เรื่องเอดส์ยังเข้าไปอยู่ในนโยบายหลักประกันสุขภาพ ทำให้การพัฒนาด้านสิทธิดีขึ้น มีการให้ตรวจเลือดได้ปีละ 2 ครั้ง ตรวจ CD4 ปีละ 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีสายด่วนปรึกษาเอดส์ 1663 ที่เปิดให้โทรได้ โดยไม่ต้องบอกชื่อ อย่างไรก็ตาม เธอมองว่า ยังมีอุปสรรคคือรัฐบาลยังไม่ได้เป็นผู้นำการปฏิบัติ บุคลากรการแพทย์ยังเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อ ไม่เหมือนกับผู้ป่วยโรคอื่น แม้จะวางยุทธศาสตร์ 3 ศูนย์ แต่นโยบายเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขบุคลากร คนจึงไม่ไปโรงพยาบาล นอกจากนี้รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน และกำลังสนใจเรื่องการเมือง การแก้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มากกว่าเรื่องสุขภาพอนามัย จันทวิภา กล่าวว่า สำหรับการประชุมในเดือนหน้านี้ จะมีผู้เข้าร่วมราว 3,500-4,000 คนจากกว่า 35 ประเทศโดยหนึ่งในประเด็นร่วมในภูมิภาคขณะนี้คือเรื่องของการเข้าถึงยา ซึ่งปัจจุบัน แม้จะเป็นโรคเดียวกัน แต่ผู้ป่วยต่างฐานะกัน ก็เข้าถึงยาคนละตัว หรือไม่คนจนก็ตายก่อนคนรวย ด้านกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงการค้าเสรีภาพประชาชน (เอฟทีเอ วอทช์) กล่าวว่า ขณะที่การแก้ปัญหาเรื่องเอดส์นั้นเป็นความท้าทาย แต่พอมีเรื่องของข้อตกลงการค้าเสรีเข้ามา ซึ่งจะทำให้ยามีราคาแพงและผูกขาด จะส่งผลให้ความท้าทายนั้นกลายเป็นหายนะทันที กรรณิการ์ กล่าวว่า ย้อนไปเมื่อปี 2543 ยาต้นแบบที่จะรักษาเอชไอวีนั้น มีราคาสูงถึง 10,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคนต่อปี หรือหลายหมื่นบาทต่อเดือน ขณะที่เมื่อมียาชื่อสามัญ ที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมนั้น มีค่ายาเพียง 600-700 บาทต่อเดือนเท่านั้น กรรณิการ์ กล่าวว่า ที่บริษัทยามักอ้างตารางแสดงอัตราการตายของผู้ป่วยเอดส์ที่ลดลง ว่าเป็นเพราะนวัตกรรมของบริษัทนั้นไม่จริง เพราะยาที่ผู้ป่วยใช้คือยาชื่อสามัญ ไม่ใช่ยาต้นแบบที่มีราคาสูง และเมื่อยาชื่อสามัญทำให้บริษัทยาส่วนใหญ่มีกำไรลดลง บริษัทยาจึงพยายามผลักดันมาตรการหลายอย่าง ทั้งการขยายอายุสิทธิบัตรยา ผูกขาดข้อมูลทางยา รวมถึงในข้อผูกพันด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่มากไปกว่าที่ผูกพันในองค์การการค้าโลก (ทริปส์พลัส) ยังขยายนิยาม "ยาปลอม" ให้รวมถึงยาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วย ซึ่งหากยอมรับสิ่งเหล่านี้ จะทำให้การเข้าถึงยาเป็นไปได้ยากขึ้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น