โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ฟ้องศาลปกครองเพิกถอนใบอนุญาตท่าเรือกลางลำน้ำบางปะกง ชี้โครงการใหญ่แต่ไม่ทำ EIA

Posted: 29 Oct 2013 12:02 PM PDT

ชาวบ้านลุ่มน้ำบางปะกง ยื่นศาลปกครองฟ้องเพิกถอนใบอนุญาตท่าเทียบเรือและใบอนุญาตก่อสร้างฯ โครงการท่าเรือใหญ่บนพื้นที่ชุ่มน้ำชี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำ EIA-EHIA ไร้การมีส่วนร่วม
 
 
29 ต.ค.56 เวลา 10.30 น. ณ ศาลปกครองระยอง ชาวบ้านลุ่มน้ำบางปะกงนำโดยกลุ่มสมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน ยื่นฟ้องผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสนามจันทร์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ต่อศาลปกครองระยอง ต่อศาลปกครองระยอง ขอให้เพิกถอนใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร โครงการท่าเรือกลางลำน้ำบางปะกง ของบริษัท อิสเทริ์น ที พี เค แค็ปปิตอล จำกัด ในพื้นที่ ต.สนามจันทร์ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา
 
โครงการฯ ดังกล่าว ตั้งอยู่ลึกเข้ามาจากปากแม่น้ำประมาณ 37 กิโลเมตร เนื้อที่โครงการยาวตามลำน้ำ ประมาณ 1,300 เมตร ประกอบไปด้วย ท่าเรือจำนวน 6 ท่า เนื้อที่รวม 5,642 ตารางเมตรและอาคารโกดัง คลังสินค้า และโรงงาน อาคารคัดคุณภาพสินค้า โรงงานแปรรูปสินค้า โรงงานซ่อมบำรุง บ้านพักรับรอง อาคารสำนักงาน อาคารบ้านพักพนักงาน รวม 35 อาคาร พื้นที่ใช้สอยรวม 366,526 ตารางเมตร ได้ใบอนุญาตขุดดินถมดิน ใบอนุญาตก่อสร้างโกดัง/โรงงาน และใบอนุญาตก่อสร่างท่าเรือ 6 ท่าไปแล้ว โดยที่ชุมชนไม่ได้รู้เรื่องและไม่ได้มีส่วนร่วมตัดสินใจใดๆ
 
 
ทั้งนี้ รายละเอียดคำฟ้อง มีประเด็นที่สำคัญดังนี้ 1.การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ซึ่งมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัท อิสเทริ์น ที พี เค แค็ปปิตอล จำกัด ไปจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มาประกอบการพิจารณาก่อนออกใบอนุญาตแต่กลับไม่ดำเนินการดังกล่าว และมีการออกใบอนุญาตให้บริษัทฯ จึงถือว่าการออกใบอนุญาตดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
2.การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ออกใบอนุญาตให้บริษัทเอกชนดำเนินโครงการขนาดใหญ่บนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ โดยมิได้นำข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญนี้มาพิจารณาประกอบการใช้ดุลพินิจ เพื่อออกใบอนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำหรือท่าเรือ ให้แก่บริษัทฯ แต่อย่างใด การออกคำสั่งทางปกครองดังกล่าวจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
3.การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนดำเนินการสร้างโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ถูกฟ้องคดี ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่มีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ อันเป็นการละเมิดสิทธิในการมีส่วนร่วมของผู้ฟ้องคดีตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา57 มาตรา 66 มาตรา 67 และมาตรา 290 ได้รับรองและคุ้มครองไว้ จึงส่งผลให้ใบอนุญาตทั้งหมดเป็นใบอนุญาตที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาเพิกถอน 1.ใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำเพื่อสร้างท่าเทียบเรือ เลขที่ 1/2555-6/2555 รวม 6 ฉบับ 2.ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร (พิเศษ) ท่าจอดเรือ ของบริษัท อิสเทริ์น ที พี เค แค็ปปิตอล จำกัด เลขที่ 1/2556 - 6/2556 รวม 6 ฉบับ และ 3.ใบอนุญาตก่อสร้างและการต่ออายุใบอนุญาตอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร ของ บริษัท อิสเทริ์น ที พี เค แค็ปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นอาคารโกดัง คลังสินค้า โรงงาน บ้านพักรับรอง บ้านพักพนักงาน และสำนักงาน รวม 35 ฉบับ
 
อีกทั้ง ได้มีการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อขอให้ศาลได้โปรดมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามใบอนุญาตทุกฉบับ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ระงับการอนุญาต ต่อใบอนุญาต หรือยุติการดำเนินการใดๆ อันเกี่ยวกับการก่อสร้างท่าเทียบเรือทั้ง 6 ท่า และอาคารโกดัง คลังสินค้า และโรงงาน ทั้ง 35 อาคาร ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาล มีคำพิพากษา เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ฟ้องคดีทั้ง 16 ชุมชน และคุ้มครองประโยชน์สาธารณะต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.เชียงใหม่เสนอรัฐบาลให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดการลุ่มน้ำแม่แจ่มเอง

Posted: 29 Oct 2013 10:50 AM PDT

29 ต.ค. 2556 - เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา นักศึกษากลุ่ม 'กล้ากล่าว' จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ร่วมกันจัดเวทีเสวนา "เขื่อน" ที่ลานหน้าอาคาร HB7 คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่โครงการเขื่อนแม่แจ่ม และเตรียมร่วมเวทีประชาพิจารณ์โครงการจัดการน้ำในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 ต.ค. ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จ.เชียงใหม่

สำหรับในเวทีซึ่งจัดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 ต.ค. นั้น มีนักศึกษาและกลุ่มทางสังคมเข้าร่วมหลายกลุ่ม นอกจากนี้ยังมี สมิทธ์ ตุงคะสมิต วิทยาลัยนวันตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต นิคม พุทธา กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำปิง จ.เชียงใหม่ และเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตวุฒิสมาชิก จ.เชียงราย เดินทางมาร่วมด้วย

ก่อนหน้าการจัดกิจกรรม ธรรมใจ ศุภกิจเจริญ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาเพิ่งมีการลงพื้นที่ ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยชาวบ้านเกรงว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นหากมีการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำแม่แจ่ม โดยผู้ใหญ่บ้านได้ไปดูพื้นที่แห่งใหม่ที่ต้องอพยพหากมีการสร้างเขื่อน โดยพบว่าเป็นพื้นที่ดินแห้งแล้ง ทำให้เกรงว่าหากมีการสร้างเขื่อนขึ้นจริง จะไม่สามารถทำกินได้ และชาวบ้านอาจจะต้องอพยพไปในเมือง

โดยกิจกรรมเสวนาที่จัดในวันนี้นั้น ต้องการให้เพื่อนนักศึกษาเข้ามาดูว่ารัฐกำลังมีนโยบายอะไรบ้าง อย่างเช่นโครงการจัดการน้ำ และอยากให้มาร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนกัน

ส่วน ภาณุกรณ์ รากคำ นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ข้อห่วงใยอันดับแรกต่อคือห่วงประชาชนในพื้นที่ ซึ่งที่เกิดความระแวง คนเฒ่าคนแก่นอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังเกรงว่าความขัดแย้งอาจจะรุนแรงขึ้นหากมีการก่อสร้างเขื่อน ทั้งนี้ข้อเรียกร้องคือ หนึ่ง อยากให้รัฐบาลชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดให้กับประชาชนได้รู้ ไม่ใช่แค่ในพื้นที่แต่ทั้งประเทศ ให้ทราบว่าจุดไหนที่มีการสร้าง ใช้งบประมาณส่วนไหน สอง ต้องการให้รัฐบาลลงพื้นที่อย่างจริงจัง ไปสอบถามชาวบ้าน ลงพื้นที่จริงๆ ก่อนที่จะมาพิจารณาสร้างโครงการนี้ และสามอยากให้ชาวบ้านและคนที่ได้รับผลกระทบ ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการ เป็นคนคิดร่วมกับรัฐบาลด้วย เพราะเขาเป็นคนที่ได้รับผลกระทบ จะได้มีความคิดหลากหลายแบบ เช่น ถ้าชาวบ้านได้มีส่วนร่วม อาจมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่าการสร้างเขื่อน ที่สร้างไปแล้วอาจจะมีปัญหาในอนาคต

นอกจากนี้ เครือข่ายนักศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ ได้เผยแพร่แถลงการณ์หัวข้อ "การเปิดเผยข้อเท็จจริงและผลกระทบที่จะได้รับจากการปฏิบัติตาม "โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ"

ใจความระบุว่า "ตามที่รัฐบาลได้จัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งจัดทำ "โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย" ทางคณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้มีกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบรวมทั้งกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนซึ่งคณะอนุกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (อรป.) ได้จัด "เวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน" ครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556 ณ โรงเรียนจักรคำคณาทร จังหวัดลำพูน โดยการประชุมดังกล่าวทางคณะอนุกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (อรป.) ได้มีการนำเสนอข้อมูลในส่วนรายละเอียดโครงการ 9 โมดูลที่ผ่านการประมูลเรียบร้อยแล้วเข้าสู่กระบวนการเท่านั้นโดยยังมิได้บอกผลประโยชน์และผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ดำเนินโครงการ"

"ทางกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่มีความเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวที่ทางคณะอนุกรรมการฯได้นำเสนอต่อประชาชนนั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการสามารถทำความเข้าใจและยอมรับกับการจัดทำโครงการได้และด้วยความไม่เข้าใจเช่นว่านี้อาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา ทั้งทางด้านภาครัฐและภาคประชาชนด้วยเหตุนี้ ทางกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาจึงเรียกร้องให้ทางคณะอนุกรรมการฯเปิดเผยข้อมูลการจัดทำโครงการเพิ่มเติม ในส่วนต่อไปนี้"

"1. รายละเอียดในการดำเนินการและพื้นที่ในการจัดทำโครงการฯ ทางคณะกรรมการควรมีข้อมูลที่สามารถระบุพิกัดพื้นที่ในการดำเนินโครงการให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่การดำเนินโครงการสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตน ตลอดจนการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ และการระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินการโครงการฯดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนสามารถทราบถึงหน่วยงานที่ควรติดต่อ และรับคำปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาหรือผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ"

"2. ผลกระทบต่อประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการ มิใช่เพียงบอกเพียงผลประโยชน์ในการจัดการน้ำที่ประชาชนนอกพื้นที่จะได้รับ แต่ควรระบุถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่ประชาชนในพื้นที่การดำเนินโครงการจะได้รับ ตลอดจนแผนรองรับและการเยียวยาความเสียหายจากการดำเนินโครงการเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการยอมรับการดำเนินโครงการและหาทางแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น"

"3. การให้ข้อมูลเอกสารรายละเอียดของโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำควรเป็นภาษาท้องถิ่น เนื่องจากให้หลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในการดำเนินการสร้างอ่างเก็บน้ำเป็นกลุ่มชาติพันธ์ รัฐบาลควรที่จะให้ข้อมูลรายละเอียดเป็นภาษาท้องถิ่นและควรมีการกล่าวรายละเอียดในประเด็นสำคัญเป็นภาษาท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในผลกระทบอย่างชัดเจนและทั่วถึงเพื่อประกอบการตัดสินใจ"

"4. การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนต่อการดำเนินโครงการต่างๆ ของภาครัฐซึ่งโครงการต่างๆ นั้นรัฐบาลควรมีการลงพื้นที่ สำรวจ ตรวจสอบบริบทอย่างต่อเนื่องและมีการทำแบบสอบถามและการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม รวมทั้งแบบประเมินทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่มีความเป็นธรรมและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชนอย่างสูงสุด

ในนามของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเคารพในระบอบประชาธิปไตย อันประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมและความเสมอภาคในการเข้าถึงข้อมูลและการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น แม้ประชาธิปไตยจะยอมรับในความคิดเห็นเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็มิควรเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของเสียงส่วนน้อยเช่นกัน" แถลงการณ์ดังกล่าวระบุ

จากข้อมูลของ สำนักข่าวประชาธรรม โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่แจ่ม ถูกบรรจุอยู่ในโมดูล เอ 1 ของโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยคาดว่าเขื่อนแม่แจ่มหรืออ่างเก็บน้ำแม่แจ่มจะมีความจุประมาณ 134.694 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ผิวน้ำท่วม 12,628 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตป่าต้นน้ำชั้น 1 เอบริเวณผาวิ่งจู้ ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยมีกิจการร่วมค้าไอทีดี-พาวเวอร์ไชน่า เจวี ซึ่งมีบริษัทอิตัลไทยร่วมทุนด้วย เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 2,352.18 ล้านบาท โดยให้เหตุผลในการก่อสร้างว่าเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมชลประทานประมาณ 71,836 ไร่ เป็นแหล่งประมงแหล่งท่องเที่ยว แหล่งผลิตไฟฟ้า แหล่งเติมน้ำบาดาลธรรมชาติ และรักษาความสมดุลระบบนิเวศ

ทั้งนี้ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า ในวันที่ 30 ต.ค. นี้ คณะอนุกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (อรป.) คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยนายอดิศร กำเนิดศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ จะจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามโครงการ "เพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ" โดยจะจัดที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.คันคลองชลประทาน จ.เชียงใหม่ โดยเตรียมเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ขาน อ.สันป่าตอง และอ่างเก็บน้ำแม่แจ่ม อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่เข้าร่วมประมาณ 2,000 คน โดยเปิดให้ลงทะเบียนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมบัติ บุญงามอนงค์

Posted: 29 Oct 2013 09:54 AM PDT

ถ้าพรรครู้ตั้งแต่ต้นว่า จะดันนิรโทษกรรมฉบับวรชัย แล้วมาแก้ในวาระ 2 แบบนี้นะ ผมถือว่า เป็นการ "หลอกใช้" เพราะคุณไม่พูดความจริงตั้งแต่ต้น แต่ถ้าคุณทำมาโดยตั้งใจจริงตั้งแต่ต้น ทำเสร็จปุ๊บระหว่างทาง มีข้อเสนอใหม่ขึ้นมา อันนี้ไม่ถือเป็นการหลอกใช้ แต่เป็นลักษณะของ "การเปลี่ยนใจ" มันแตกต่างกันตรงนี้ คือ ถ้าพรรครู้ตั้งแต่ต้นว่าจะเล่นเกมแบบนี้นะ ผมถือว่า "หลอกใช้"

ใน เปิดใจ "บก.ลายจุด"ไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่งของเพื่อไทย"คุณไม่เห็นหัวเรา"

กสทช.ถอย ถอนร่างประกาศคุมเนื้อหาสื่อทีวีไปทบทวนใหม่

Posted: 29 Oct 2013 09:53 AM PDT

29 ต.ค.2556 สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. ให้สัมภาษณ์ว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านเนื้อหาและผังรายการ ได้ขอถอนการพิจารณาร่างประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ... ออกไปเพื่อทบทวน เนื่องจากยังมีความเห็นที่ต่างกันอยู่

สุภิญญา ระบุว่า ร่างประกาศดังกล่าวครบกำหนดการรับฟังความเห็นแล้ว โดยถึงวาระต้องพิจารณาเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่าร่างประกาศนี้จะกลับเข้าสู่การพิจารณาอีกเมื่อใด โดยก่อนหน้านี้ในเวทีวิชาการ นักกฎหมายหลายคนก็ระบุว่าร่างนี้ไม่มีที่มาทางกฎหมาย ว่าจะต้องจัดทำขึ้น จึงไม่มีอะไรกำหนดว่าต้องเสร็จเมื่อใด เพราะ กสท.เป็นฝ่ายริเริ่มเอง

สุภิญญา กล่าวว่า การตัดสินใจถอยครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดีและรู้สึกขอบคุณที่ไม่เร่งพิจารณา ไม่เช่นนั้นก็ต้องอาศัยการโหวตเสียงข้างมากแบบเดิม หรือมีการคัดค้านกัน โดยที่ผ่านมา ร่างนี้มีเสียงค้านจากหลายฝ่าย ทั้งองค์กรวิชาชีพ นักวิชาการด้านสื่อและกฎหมาย ซึ่งก็ได้ส่งข้อเสนอให้คณะอนุกรรมการพิจารณาแล้ว

สุภิญญา กล่าวถึงสาเหตุของการถอยครั้งนี้ว่า ส่วนตัวมองว่า กสท.คงไม่อยากเปิดศึกหลายด้าน เพราะขณะนี้อยู่ในกระแสการประมูลทีวีดิจิตอล ซึ่งก็มีจุดละเอียดอ่อนที่ต้องให้ความสำคัญ แต่หลังประมูลทีวีดิจิตอล รวมถึงการเมืองร้อนแรงขึ้นมาอีก สังคมก็อาจจะเรียกร้องให้กำกับเนื้อหาก็เป็นได้

สุภิญญา กล่าวด้วยว่า การมีประเด็นเรื่องมาตรา 37 นั้น ข้อดีด้านหนึ่งก็คือ ทำให้สื่อช่องต่างๆ ตอบรับดีขึ้น เช่น ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็ส่งคนระดับผู้บริหารไปเข้าร่วมหลายเวที สื่อทีวีเริ่มพูดเรื่องการกำกับกันเอง เพื่อไม่ให้รัฐเข้ามายุ่ง ทั้งนี้ วันพรุ่งนี้ จะเชิญสมาคม-องค์กรวิชาชีพสื่อเข้าหารือเรื่องการร่างประกาศเจตนารมณ์เรื่องการกำกับดูแลกันเอง โดยคาดว่าจะมีการประกาศร่างนี้ในปลายเดือน พ.ย. ซึ่งหากร่างประกาศนี้ออกมา น่าจะทดแทนการกำกับโดยรัฐได้ 


อนึ่ง ร่างประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ....  มีใจความถึงเนื้อหาที่ต้องห้ามนำเสนอในสื่อวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยขยายความจากมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่ห้ามนำเสนอเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือมีการกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังกำหนดมาตรการการดำเนินรายการที่เน้นควบคุมรายการเชิงข่าวอย่างเข้มงวด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปิดยื่นซองประมูลทีวีดิจิตอล มีผู้เข้าร่วม 29 ราย

Posted: 29 Oct 2013 08:33 AM PDT

กสทช.สรุปยอดผู้ยื่นแบบคำขอฯ ประมูลทีวีดิจิตอลวันสุดท้าย รวม 4 หมวดมีผู้ยื่นแบบ 29 ราย รวมวงเงินหลักประกันกว่า 2.3 พันล้านบาท

29 ต.ค.56 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สรุปจำนวนผู้เข้ายื่นแบบคำขอใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทบริการธุรกิจระดับชาติแล้ว มีผู้เข้ายื่นแบบคำขอฯ รวม 29 บริษัท วงเงินหลักประกันเกินกว่า 2 พันล้านบาท

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. สรุปจำนวนผู้เข้ายื่นแบบคำขอใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติว่า หลังจากที่สิ้นสุดเวลาการเปิดให้ยื่นคำขอฯ ในเวลา 16.00 น.วันนี้  มีผู้สนใจเข้ายื่นแบบคำขอฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 29 บริษัท 41 แบบคำขอฯ คิดเป็นวงเงินหลักประกันทั้งสิ้น 2,271 ล้านบาท  แบ่งเป็น            

1. หมวดหมู่เด็ก เยาวชน และครอบครัว มีผู้ยื่นแบบคำขอฯ จำนวน 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท โรสมีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด, บริษัท ไทยทีวี จำกัด, บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน), บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด, บริษัท เนชั่น คิดส์ จำกัด และบริษัท ทรู ดีทีที จำกัด รวมหลักประกัน 84 ล้านบาท

2. หมวดหมู่ข่าวสารและสาระ มีผู้ยื่นแบบคำขอฯ จำนวน 10 บริษัท ได้แก่ บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด, บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด, บริษัท 3เอ.มาร์เก็ตติ้ง จำกัด, บริษัท ไอ-สปอร์ต มีเดีย จำกัด, บริษัท ไทยทีวี จำกัด, บริษัท โพสต์ ทีวี จำกัด, บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด, บริษัท โมโน เจนเนอเรชั่น จำกัด, บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์ วิชั่น จำกัด  และบริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด รวมหลักประกัน 220 ล้านบาท

3. หมวดหมู่ทั่วไปแบบความคมชัดปกติ (ทั่วไป SD) มีผู้ยื่นแบบคำขอฯ จำนวน 16 บริษัท ได้แก่ บริษัท บีบีทีวี แซทเทลวิชั่น จำกัด, บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด, บริษัท อาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด, บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด,  บริษัท โฟร์ วัน วัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด, บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด, บริษัท ไทยทีวี จำกัด, บริษัท ทัช ทีวี จำกัด, บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด, บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด, บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอสดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด, บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด, บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด, บริษัท แบงคอก บิสสิเนส บรอดแคสติ้ง จำกัด และบริษัท ทรู ดีทีที จำกัด รวมหลักประกัน 608 ล้านบาท

4. หมวดหมู่ทั่วไปแบบความคมชัดสูง (ทั่วไป HD) มีผู้ยื่นแบบคำขอฯ จำนวน 9 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด, บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด, บริษัท พี เอ็ม กรุ๊ป จำกัด, บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด, บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด, บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน), บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด,  บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด และบริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด รวมหลักประกัน 1,359 ล้านบาท

นายฐากร กล่าวว่า เนื่องจากเอกสารที่นำมายื่นคำขอฯ มีเป็นจำนวนมาก สำนักงาน กสทช.จะตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารอย่างละเอียดรอบคอบต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จในวันนี้ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมการประมูลต่อไป โดยสำนักงาน กสทช.จะประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมการประมูลภายใน 45 วัน

ทั้งนี้ เลขาธิการ กสทช. ได้กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ผู้ที่มายื่นคำขอฯ ทุกรายถือว่าเข้าสู่ (Silent Period) คือห้ามติดต่อสื่อสารกับผู้ยื่นคำขอรายอื่นๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการประมูลใบอนุญาตให้ใช้ คลื่นความถี่ฯ จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการประมูลโดยการประกาศและรับรองรายชื่อผู้ชนะการประมูล โดยระหว่างนี้ผู้เข้าร่วมประมูลจะต้องห้ามการให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่จะแข่งขันราคา หรือเรื่องที่ทำให้ส่งสัญญาณไม่ให้เกิดการแข่งขันราคาเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ยื่นซองจะต้องระมัดระวังการให้ข้อมูล
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชำนาญ จันทร์เรือง: นิรโทษผิดซอย อีกหนึ่งก้าวพลาดของทักษิณ

Posted: 29 Oct 2013 08:32 AM PDT

ผมไม่เชื่อว่าคุณประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ นักการเมืองตกยุค จะกินดีหมีดีมังกรมาจากไหนจึงกล้าที่จะเสนอแก้ไขเนื้อหาของร่าง พรบ.นิรโทษกรรมฉบับของคุณวรชัยจนบิดเบี้ยว เละเทะ ผิดหลักการและทรยศต่อมวลชนของตนเองที่ยอมทุ่มกายถวายชีวิตให้ได้เสวยสุขอยู่ในปัจจุบันโดยไม่ได้รับใบสั่งจากคุณทักษิณ

ผมจะไม่พูดถึงประเด็นของเนื้อหาสาระในร่าง พรบ.เดิมและที่แก้ไขใหม่โดยการเสนอของคุณประยุทธ์เพราะได้มีการให้ความเห็นไว้แล้ว แต่ผมจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงความผิดพลาดของคุณทักษิณในกรณีนี้และในอดีตที่ผ่านมา เพื่อให้คนที่รักและเกลียดคุณทักษิณได้นำไปพิจารณาว่าจะรักเพิ่มหรือเกลียดเพิ่มดี

เริ่มตั้งแต่สมัยที่เข้าสู่ตำแหน่ง หลายคนมีความหวังว่าคุณทักษิณเป็นคนที่สะตังค์มากแล้วคงจะเลือกที่จะเดินเส้นทางของการเป็น "รัฐบุรุษ (state man)"แทนที่จะเป็นนักการเมืองธรรมดาทั่วไปที่มีเยอะแล้วในประเทศไทย แต่คุณทักษิณก็เลือกที่จะเป็นนักการเมืองธรรมดาๆที่มุ่งเน้นเรื่องประชานิยม หวังผลของคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยหน้า

แน่นอนว่านโยบายประชานิยมหลายๆอย่างเข้าถึงรากหญ้าและเป็นแบบอย่างให้แก่ต่างประเทศนำไปปฏิบัติ คือ นโยบายกองทุนหมู่บ้าน หรือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่ต้องยอมรับว่าเป็นนโยบายชิ้นโบว์แดง แต่หลายๆนโยบายก็มีปัญหา เช่น นโยบายการปราบปรามยาเสพติดด้วยการฆ่าตัดตอนและนโยบายภาคใต้ที่มีปัญหาในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนประเทศไทยถูกขึ้นบัญชีในเรื่องนี้ แต่เพื่อความเป็นธรรมนโยบายภาคใต้นั้นทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นโดยการนำของคุณทักษิณหรือพรรคประชาธิปัตย์ก็ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาเช่นกัน

นอกเหนือจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วยังมีปัญหาในการทุจริตคอร์รัปชัน เล่นพรรคเล่นพวก เหมือนกับทุกรัฐบาล แทนที่จะมุ่งในแนวทางของการเป็นรัฐบุรุษที่คิดถึงคนในรุ่นต่อไปแต่กลับทำไม่ต่างจากนักการเมืองทั่วๆไป

ความผิดพลาดต่อมาก็คือการเข้าใจว่าตนเองเก่งและหลายคนก็เชื่อเช่นนั้นว่าคุณทักษิณเป็นนักการเมืองที่เก่งเพราะมีประสบการณ์สุดยอดของการเป็นข้าราชการมาก่อนก็คือการเป็นตำรวจซึ่งเป็นวงการที่สุดยอดแห่งความเขี้ยวของวงการข้าราชการไทยที่ต้องครบเครื่องในเรื่องของวิชามารประเภทไม่สามารถกระพริบตาได้เพราะจะหลุดจากจากตำแหน่งได้ตลอดเวลา นอกจากจะเป็นตำรวจแล้วยังเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจอีกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อคุณทักษิณเคยเป็นทั้งตำรวจและพ่อค้าในคนๆเดียวกันแล้วมาเล่นการเมืองจึงน่าจะเป็นนักการเมืองที่เก่งและครบเครื่อง

แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคุณทักษิณตั้งอยู่ในความประมาทและหลงตัวเอง คิดว่าด้วยกำลังเงิน กำลังมือในสภา กำลังของเสียงประชาชนที่ชื่นชมประชานิยม คุณทักษิณจึงเกิดอาการ "อหังการ์ (arrogance)" ท้ารบกับเขาไปทั่วไม่ว่าจะเป็นผู้มีบารมีทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญ และที่สุดแห่งความประมาทก็คือไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำรัฐประหารต่อตัวเองเพราะเชื่อว่าตนเองตั้งมากับมือ ในที่สุดก็ประสบชะตากรรมอย่างที่เห็น ความผิดพลาดครั้งนี้เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากเพราะไปตั้ง ผบ.ทบ.ที่เป็นคนบ้ากล้าทำรัฐประหารทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประเทศถอยหลังและประสบปัญหาความวุ่นวายอย่างหนักตามมา

ความผิดพลาดตามมาก็คือการส่งคุณยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วแต่กลับทำลายภาพลักษณ์ของคุณยิ่งลักษณ์อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพราะยิ่งนานวันความชื่นชอบคุณยิ่งลักษณ์ยิ่งมีมากขึ้นทุกวันๆ คุณทักษิณก็แทบจะเรียกว่าเรียกแขกให้คุณยิ่งลักษณ์ทุกวันๆเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโฟนอิน การออกข่าวว่าได้ไปริเริ่มกรุยทางให้คุณยิ่งลักษณ์ในนโยบายต่างๆในต่างประเทศ ฯลฯ

ความผิดพลาดครั้งล่าสุดนี้ก็คือการมอบใบสั่งให้คุณประยุทธ์รื้อร่าง พรบ.นิรโทษกรรมของคุณวรชัยแล้วพยายามดันจนสุดซอย แต่แทนที่จะไปสุดซอยแต่กลับไป "ผิดซอย" เพราะไม่ว่าจะดูในประเด็นไหนก็ยากจะยอมรับได้ ทั้งในประเด็นของเนื้อหาสาระและความชอบด้วยกฎหมายที่อย่างไรก็เสียก็ไปตกม้าตายอย่างแน่นอน

ผลแห่งความผิดพลาดของคุณทักษิณในครั้งนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือ เสื้อแดงแตก รัฐบาลถูกเขย่า ฟื้นชีพม็อบพันธมิตรในชื่อใหม่ ได้กลิ่นรัฐประหาร ฯลฯ

ด้วยมือในสภาหากจะดันกันจริงๆก็คงสามารถดันให้ผ่านไปได้ แต่ด่านสำคัญที่รออยู่คือศาลรัฐธรรมนูญที่สามารถยกเหตุผลมาอธิบายคัดง้างได้อย่างแน่นอน แต่เอาหละหากเกิดปาฏิหาริย์ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญไปได้ ด่านที่สำคัญที่รออยู่ก็คือด่านที่ว่าด้วย "ความชอบธรรม(legitimacy)" การณ์ก็จะกลับมาเป็นว่าคุณทักษิณหรือพรรคพวกที่มีส่วนผลักดันในเรื่องนี้ ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปไหนมาไหนทั้งในและต่างประเทศก็จะถูกต่อต้าน ถูกตระโกนด่า เช่น ไอ้คนช่วยเหลือฆาตกร , the murderer supporter ฯลฯ

ผมเชื่อว่าด้วยการที่คุณทักษิณเป็นนักธุรกิจ ประเด็นการเดินผิดซอยในครั้งนี้ คุณทักษิณย่อมประเมินได้ว่าผลได้ไม่คุ้มกับผลเสียอย่างแน่นอน และหากจำเป็นก็ต้องยอม "เสียน้อย ดีกว่าเสียมาก" หรือ cut loss นั่นเอง

กลับบ้านด้วยวิธีอื่นเถอะครับ เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 309 หรือลงมติรับวาระสาม ม.291 ที่ค้างคาในสภา ฯลฯ ดีกว่าครับ เท่กว่าเยอะเลย

อย่าดันทุรังเลยครับยอมเสียหน้าดีกว่าเสียอนาคตนะครับ หากยังขืนดันทุรัง อย่าว่าแต่ตัวจะไม่ได้กลับมา กระดูกก็ยังอาจไม่ได้เอากลับมาเสียด้วยซ้ำ เพราะถูกรังเกียจที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นขึ้นหลังจากที่บ้านเมืองกำลังจะเข้าที่เข้าทาง

-----------

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 30 ตุลาคม 2556

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อบต.บางแก้วร่วมมือ รพ.เอกชน ตั้งศูนย์แพทย์ชุมชนต้นแบบแห่งแรก

Posted: 29 Oct 2013 07:30 AM PDT

อบต.บางแก้ว ร่วมมือกับ รพ.เอกชนในสมุทรปราการ ตั้งศูนย์ต้นแบบเวชปฏิบัติครอบครัวแห่งแรก เน้นดูแลสุขภาพครบวงจร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ

29 ต.ค.56 องค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ลงนามร่วมกับโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 ในการพัฒนาบริการศูนย์แพทย์ครอบครัวและชุมชน โดยมีนายประชา ประสบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดบริการสุขภาพให้กับประชาชนในพื้นที่ และความร่วมมือระหว่าง อบต.บางแก้ว กับ รพ.จุฬารัตน์ 3 ซึ่งเป็นรพ.เอกชนนั้น นับเป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินการลักษณะนี้ในประเทศไทย โดย สปสช.ผลักดันให้เป็นต้นแบบของศูนย์เวชปฏิบัติครอบครัวของประเทศ ที่มีหมอประจำครอบครัวดูแล และดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ในรูปแบบที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร จากบ้าน ชุมชน สถานพยาบาลปฐมภูมิ และโรงพยาบาล โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่รวดเร็วขึ้น เพิ่มคุณภาพบริการรักษาพยาบาล โดยมีคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดีให้การสนับสนุนทางวิชาการ

นายภัทรพล จำปารัตน์ นายก อบต.บางแก้ว กล่าวว่า ศูนย์แพทย์ครอบครัวและชุมชนนี้ อบต.บางแก้วสนับสนุนให้มีการจัดสร้างและดำเนินการภายใต้การสนับสนุนจาก สปสช. โดยใช้งบประมาณของ อบต.ดำเนินการ 13 ล้านบาท เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ในลักษณะของหมอประจำครอบครัว ศูนย์แพทย์และชุมชนจะรณรงค์ให้มีการสมัครสมาชิกจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ทราบประวัติของสมาชิกสำหรับการรักษา และเข้าร่วมกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค สำหรับประชาชนที่ไม่ได้สมัครสมาชิกแต่อยู่ในเขตรับผิดชอบก็มารับบริการได้ โดยมีทีมสหวิชาชีพของศูนย์แพทย์ ซึ่ง ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล ทันตาภิบาล แพทย์แผนไทย และนักกายภาพบำบัด ออกเยี่ยมบ้านประชาชนที่อยู่ในเขตรับผิดชอบ เพื่อทำความรู้จัก เก็บข้อมูลพื้นฐาน เช่น การใช้สิทธิประกันสุขภาพแบบใด และแนะนำกิจกรรมการให้บริการ เพื่อให้เป็นบริการสุขภาพแบบใกล้บ้านใกล้ใจ โดยมีหมอประจำครอบครัวในการดูแลสุขภาพของประชาชนและคนในครอบครัวอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งจะเป็นแห่งแรกของไทยที่เกิดขึ้นโดย อบต.เป็นผู้ดำเนินการ ประชาชนในพื้นที่อบต.บางแก้วใช้สิทธิโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย กรณีส่งต่อก็รักษาตาม รพ.ที่ขึ้นทะเบียนไว้ และเบิกจ่ายตามสิทธิของตน

นพ.กำพล พลัสสินทร์ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬารัตน์ 3 กล่าวว่า รพ.ได้ดำเนินการในส่วนของการจัดส่งทีมแพทย์และทีมสหวิชาชีพไปปฏิบัติงานที่ศูนย์แพทย์ฯ การพัฒนาระบบบริการของศูนย์แพทย์ฯ ให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ประชาชนพึงพอใจ ตลอดจนการสนับสนุนด้านวิชาการ การบริหารจัดการ และวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการให้บริการที่ดีขึ้น โดยศูนย์แพทย์ฯ จะเปิดให้บริการทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-20.30 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ ครึ่งวันเช้า 08.30-12.00 น. ในช่วงเช้าจะให้บริการรักษาพยาบาลในศูนย์แพทย์ และช่วงบ่าย เป็นการให้บริการนอกศูนย์แพทย์ มีการเยี่ยมบ้าน การให้บริการที่บ้านและชุมชน และติดตามสมาชิกที่นอนรักษาอยู่ที่รพ. ในลักษณะหมอประจำครอบครัว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดใจ “บก.ลายจุด”ไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่งของเพื่อไทย“คุณไม่เห็นหัวเรา”

Posted: 29 Oct 2013 07:05 AM PDT

ปัจจัยหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของการเติบโตในขบวนการคนเสื้อแดง คือ ความไม่เป็นเอกภาพ เพราะทุกกลุ่มสามารถมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเองในแต่ละเฉดสี โดยที่ไม่มีใครสามารถสั่งให้มวลชนเดินซ้ายหันขวาหันได้ทั้งขบวน

ด้วยความที่มีทั้งจุดร่วมและจุดต่างกันชนิดที่ไม่ต้องเกรงใจกันและไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะเข้าทางฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ ทำให้การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาลในปีกเดียวกับตนเองไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย

"สมบัติ บุญงามอนงค์" หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ผู้นัดหมายมวลชนกลับมาทำกิจกรรมที่สี่แยกราชประสงค์อีกครั้ง เพื่อคัดค้านการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง หรือนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ของพรรคเพื่อไทย เปิดใจถึงกิจกรรมในพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการตั้งคำถามถึงพรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาล

-ในฐานะ "แกนนอน" มีจุดยืนไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง แล้วจะเอาอะไร

ก็เอาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ฉบับ "วรชัย เหมะ" เอาแบบที่เราคุยกันครั้งแรก

-มีคนอธิบายว่ามันเป็นไปไม่ได้ในทางกฎหมาย

ไม่จริง

-พรรคเพื่อไทยบอกว่า อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30  เรื่องความเสมอภาค

ไม่จริง,ไม่เชื่อ เพราะคุณคณินบุญสุวรรณก็บอกว่าไม่ขัด ... ตอนเข้ามาใหม่ๆ ก็บอกไม่ขัด แต่พอมีคำสั่งอะไรพิเศษเข้ามา ก็บอกว่าขัดทันทีเลย ตลกไหมถ้าคิดว่าขัด ก็เปิดให้สถาบันทางวิชาการอธิบายเรื่องนี้ 

-นักวิชาการบางท่าน เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็บอกว่า ไม่จำเป็นต้องนิรโทษกรรมแต่อยากให้คนที่อยู่ในคุกได้สิทธิการประกันตัว มาต่อสู้ตามกระบวนการ ทำไมคุณสมบัติ ไม่เอาแนวทางนั้น

จริงๆ ผมเห็นด้วยตั้งแต่ต้น กับแนวคิดนี้ แต่เราต้องเข้าใจว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เกิดจาก การมีกิจกรรมที่เรียกว่า "หมื่นปลดปล่อย" ของอาจารย์หวาน(สุดา รังกุพันธุ์)และพรรคพวก วันนั้น ผมก็ไปร่วมที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 มกราคม2556เพราะเราพบว่า เราไม่สามารถรอได้แล้ว เพราะมีมวลชนอยู่ในคุกและไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว

เมื่อขอประกันหลายรอบไม่ผ่าน จึงมีการผลักดันเป็นsolutionเรื่องนิรโทษกรรม วันที่ 29 มกราคม จริงๆ เราต้องการสิทธิการประกันตัว แต่เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้ว เราจึงผลักดันเรื่องนิรโทษกรรม นี่คือที่มาที่ไป

ถามว่า ถ้าทุกคนได้สิทธิการประกันตัว อันนี้ ผมโอเค แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะ สิทธิการประกันตัว เป็นอำนาจของศาล เมื่อศาล ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ไม่เยียวยาเรื่องนี้ ทำให้ความหวังเรื่องการประกันตัวลดลง

-ถ้าคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ได้สิทธิการประกันตัวแล้วการนิรโทษกรรมหรือไม่อาจจะไม่มีความสำคัญ ใช่หรือไม่

ส่วนตัวผม ยังคิดว่า(นิรโทษกรรม) เป็นเรื่องที่รอได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมรู้สึกอึดอัด คือสิทธิประกันตัวก็ไม่ได้แล้วถูกจำคุกฝ่ายเดียว

-เมื่อไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง แล้วจุดยืนตรงนี้ แตกต่างจาก อาจารย์สุดา หรือไม่อย่างไร

ตอนนี้อาจารย์หวาน(สุดา) เชื่อว่า ไม่สามารถยืนยันร่างของคุณวรชัย ได้แล้ว ซึ่งเป็นความเชื่อเหมือนบรรดา ส.ส. พรรคเพื่อไทยทั้งหลาย แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น ผมมั่นใจว่าเรื่องนี้มีความสลับซับซ้อนทางการเมือง มีเหตุผลอื่น ซึ่งไม่ใช่เกิดจากเหตุผลทางข้อกฎหมาย

-ถ้าไม่เอานิรโทษกรรมเหมาเข่ง ตาม ส.ส. พรรคเพื่อไทย แล้วจะตอบคนที่อยู่ในเรือนจำอย่างไร

ถ้าได้ นิรโทษกรรม ฉบับคุณวรชัย คนที่อยู่ในเรือนจำก็จะได้หลุด ไม่มีอะไรช้าหรือเร็วกว่า

-คิดอย่างไร กับแนวคิด set zero ของคุณทักษิณ

แนวคิด set zero เป็นแนวคิดที่ดี การเริ่มต้นใหม่เป็นแนวคิดที่ดี แต่มีเงื่อนไข 2 ประการ คือเรื่อง เวลา กับสภาพแวดล้อมทางสังคม

เวลามันใช่หรือเปล่า มาset zero กันตอนนี้ คนยังอารมณ์ค้างกันอยู่ set zero ได้ไหม อันนี้ไม่ได้

ประการที่ 2 ดูบริบททางสังคมว่า กลุ่มพลังทางสังคม เขารับลูกกับเรื่อง set zero นี้ไหม มีใครขานรับบ้าง มีใครเชื่อไหม ในประเทศไทยสักคนหนึ่ง ที่เชื่อว่า หลังจากผ่านอันนี้แล้ว สังคมแม่งสงบเลย มีใครไหมที่แม่งเชื่อเรื่องนี้ หมายถึงคนที่อยู่ในประเทศไทยนะ ยกเว้นคุณทักษิณ ซึ่งอยู่ต่างประเทศมีสักคนไหมที่เชื่อเรื่องนี้ ... ไม่มีเลย แล้วผมบอกไว้ก่อน ถ้าเวลาไม่ได้ บริบททางสังคมก็ไม่ได้ ถ้าไปกดปุ่มset zero นะ ระวังเครื่องแฮงค์นะ คุณจะไป reset เครื่องคอมพิวเตอร์ ระวังแฮงค์เลยนะ คือ คุณต้องพิจาณา

แม้ว่าแนวคิด set zero จะดีนะ ผมไม่ปฎิเสธว่าเป็น 1 ในวิธีคิดเรื่องการปรองดอง ในการกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ เป็นแนวคิดที่มีหลักการพอสมควร แต่เงื่อนเวลา วิธีการที่ใช้ในรอบนี้ ไม่เอื้อเลย

-ที่ว่าไม่มีใครเชื่อเรื่อง set zero แม้แต่คนเดียวหมายถึง ทั้งฝ่ายเหลือง ฝ่ายแดง ไม่ว่าจะเฉดไหนหรือเปล่า

ใช่ ไม่มีใครเชื่อ เพราะต้องถามว่าอะไรเป็นสัญญาณ ที่บอกว่ามันจะเริ่มต้นกันใหม่ มีอะไรเป็นสัญญาณครับ ตั้งแต่เริ่มพูด set zero เราได้ยินสัญญาณอะไรที่บอกว่าเราจะเริ่มต้นกันใหม่ ชีวิตจะดี ประเทศชาติจะราบรื่นสัญญาณอะไร
มันกลับมีแต่สัญญาณ ตรงกันข้ามกับการ set zero ด้วยซ้ำ

-อาจจะหมายถึงแค่ คุณทักษิณ อยากกลับบ้าน ได้กลับบ้านหรือเปล่า

ไม่ใช่เพราะset zeroมันต้องหมายถึงประเทศไทย มันไม่ใช่เรื่องบุคคล มันเป็นภาพรวมของประเทศ

-คุณทักษิณ พูดราวกับตัวเองเป็นคู่กรณีกับใคร แล้วพร้อมให้อภัย เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเปล่า

คุณทักษิณ คงพูดได้ในมุมของตัวเอง แต่ว่าในสังคมยังมีอีกหลายคน ประเทศนี้ยังมีอีกหลายคน ขึ้นอยู่กับสังคมนี้จะเล่นด้วยหรือไม่

-ก่อนหน้านี้ได้ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ วันที่เท่าไหร่ ก่อนจะเอามาลงยูทูบและทำไมจึงตัดสินใจไปสัมภาษณ์

สัมภาษณ์วันที่ 18 ต.ค.ที่กรุงโซลตัดสินใจเอง สัมภาษณ์สำหรับรายการ "กาแฟปฏิรูป" เพราะเราก็เดินทางคุยกับผู้คนว่าคิดเรื่องปฏิรูปอย่างไร คุยตั้งแต่คุณอลงกรณ์ พลบุตร คุณภูมิธรรม เวชยชัย เราก็เดินทางคุย

-ตอน ไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ ได้คุยเรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่

ไม่เลย ตอนนั้น ยังไม่มีแววเรื่องนี้เลยยังไม่เกิดเหตุยังไม่เกิดเรื่อง แล้วก็สิ่งที่คุยกันนอกรอบ 2 ชั่วโมงคุยกันยาว ก็คุยกันเรื่องอื่นนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิรูป หรือนิรโทษกรรม ก็ไม่มีสัญญาณ แต่ตอนนั้นกลับมีสัญญาณตรงกันข้ามด้วยซ้ำ

คือแกบอกว่า ตอนนี้แกปรับตัวได้ในต่างประเทศ มีความสุขเลยถ้าเทียบกับตอนมาใหม่ๆ อาจจะรู้สึกหงุดหงิด ไม่สบาย แต่ว่าตอนนี้แกโอเคมาก และยังพูดประโยคต่อไปด้วยนะว่า การกลับมาในประเทศไทยตอนนี้ อาจจะนำมาสู่ความไม่ปลอดภัย ถ้าดูจากประโยคที่พูด ก็แปลว่า แกไม่มีการส่งสัญญาณเรื่องนิรโทษกรรม แต่หลังจากที่แกเดินทางจากกรุงโซล ไปที่สิงคโปร์ เรื่องนี้จึงเกิดขึ้น

-พอเรื่องนี้ เกิดขึ้น ทำให้คนย้อนกลับไปคิดว่า การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ไม่ใช่แนวคิดของ คุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสียทีเดียว แต่ว่าคุณทักษิณเอง ก็อยากมานาน

เห็นด้วย คำถามก็คือว่า นี่มันเกิดความแบบ ... เกิดนิมิต ขึ้นมาก็เลยคิดว่าต้องทำแบบนี้ หรือว่าจริงๆ เกิดจากการไปสนทนากับใคร ไปดีลกับใคร หรือใครมาคุยแล้วทำข้อเสนอให้อะไรแบบนี้  นี่คือสิ่งที่เราไม่รู้แล้วเราก็ดันเอามาอธิบายสังคมว่า เป็นเรื่องมาตรา 30 (หลักเรื่องความเสมอภาค) ซึ่งการอธิบายทีหลังฟังดูไร้สาระ

-ความเป็นจริงในทางการเมืองไม่สามารถสรุปได้ง่ายๆ ว่าใครถูกใคร "หลอกใช้" แต่ในสภาวะตอนนี้ ก็มีคนมองว่า คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้หรือเปล่า ตรงนี้คุณสมบัติ มองอย่างไร

คือ ถ้าพรรครู้ตั้งแต่ต้นว่า จะดันนิรโทษกรรมฉบับวรชัย แล้วมาแก้ในวาระ 2 แบบนี้นะ ผมถือว่า เป็นการ "หลอกใช้" เพราะคุณไม่พูดความจริงตั้งแต่ต้น แต่ถ้าคุณทำมาโดยตั้งใจจริงตั้งแต่ต้น ทำเสร็จปุ๊บระหว่างทาง มีข้อเสนอใหม่ขึ้นมา อันนี้ไม่ถือเป็นการหลอกใช้ แต่เป็นลักษณะของ "การเปลี่ยนใจ" มันแตกต่างกันตรงนี้ คือ ถ้าพรรครู้ตั้งแต่ต้นว่าจะเล่นเกมแบบนี้นะ ผมถือว่า "หลอกใช้"

คำถามคือ พรรคต้องอธิบาย ว่าคุณคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้นหรือเปล่า

ทำไมหมอตุลย์ (สิทธิสมวงศ์) ทายถูกเป๊ะเลย transformer  ทำไมหมอตุลย์รู้แล้วผมไม่รู้ล่ะ

หมอตุลย์รู้ตั้งแต่ต้นว่าจะ transformer แต่ผมไม่รู้อ่ะ

ผมในฐานะคนเสื้อแดง ใกล้ชิดพรรค แต่ไม่รู้ แต่หมอตุลย์รู้ เพราะอะไร ต้องอธิบายให้ผมฟังว่า ทำไมผมไม่รู้ แต่หมอตุลย์รู้

-พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ค่อยเป็นเอกภาพ คุณสมบัติ คาดหวังคำตอบจากใครในพรรค

ใครก็ได้ในนั้นคนที่พอมีอำนาจอยู่บ้าง ช่วยตอบมาหน่อย

-ถ้าเป็นเงื่อนไขที่เรียกว่า "ถูกหลอกใช้" คุณสมบัติหมายถึง เฉพาะความรู้สึกของตัวเองหรือคนเสื้อแดงทั้งหมด

ผมขอใช้คำนี้ดีกว่ามันอาจจะไม่ใช่คำว่า "หลอกใช้" แต่มันคือคำว่า  "คุณไม่เห็นหัวเรา" ทันทีที่คุณคิดว่าจะเปลี่ยนใจ หรือจะเปลี่ยนแปลง จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณเปลี่ยน คุณไม่ฟังความเห็น หรือคุณไม่แคร์ความรู้สึกของมวลชน แสดงว่า "คุณไม่เห็นหัว"

ในระบบการเมือง ในระบบประชาธิปไตย มันต้องเห็นหัวกัน เพราะว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นคนเลือก
ตอนคุณเข้าไปในพรรค พรรคอาจจะเลือกคุณเป็นผู้สมัคร แต่การที่คุณไปเป็น ส.ส.เนี่ย ประชาชนเป็นคนเลือก

-คุณสมบัติ มีอะไรติดใจกับทาง แกนนำ นปช. หรือไม่ ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีและ ส.ส. เป็นคนเสื้อแดง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

เขาแถลงจุดยืนไปแล้ว แต่ผมกำลังรอดูว่า นปช. จะมีท่าทีอะไรมากกว่านี้ไหม ผมคิดว่าทั้ง นปช. และผม กำลังรอดูท่าทีจากพรรค ว่าจะยอมมีการปรับไหม ถ้าไม่ยอมเนี่ย  รอบหน้าผมต้องเรียกร้อง นปช. ออกมา เพราะ นปช. เป็นองค์กรนำนะ

เหตุการณ์ที่สลายการชุมนุมและมีผู้เสียชีวิต ตอนนั้นองค์กรนำ คือ นปช. ไม่ใช่ วันอาทิตย์สีแดง ไม่ใช่ผม นี่เป็นสิ่งที่ นปช. ต้องรับผิดชอบแน่นอน.

ถ้าพรรคยังยืนยันเรื่องนี้ แล้ว นปช. ทำได้แค่การแถลงข่าว... ถ้าไม่พร้อมนำ ก็ตามผมก็ได้นะ

แต่ผมมั่นใจว่า นปช. ต้อง ออกมา ไม่ออกมาไม่ได้ ถ้า นปช. ไม่ออกมานปช. จะไม่มีสถานะเป็นองค์กรนำ อีกต่อไป

-ที่ยอมรับไม่ได้กับการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง เพราะอะไร

มีเหตุผล 3 เรื่องด้วยกัน 1) ผมทนให้พรรคเพื่อไทยปลิ้นปล้อนแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้น ผมจะดีลกับคนแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าคุณเป็นแบบนี้ วันหน้าผมดีลไม่ได้นะ ผมไม่สามารถดีลกับคนแบบนี้ได้ คุณอย่าปลิ้นปล้อน ต้องกลับมายืนที่หลักการ พูดยังไงก็ทำอย่างนั้น 

2)  เราจะปล่อยให้คนมีส่วนเกี่ยวข้องขนาดนี้ ระดับผู้สั่งการ ไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ผมยอมไม่ได้ แม้อภิสิทธิ์(เวชชาชีวะ) สุเทพ(เทือกสุบรรณ)อาจจะไม่ติดคุก แต่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ผมอยากเห็นเขาพิสูจน์ตัวเอง และเขาก็พูดอยู่แล้วว่าเขาไม่ผิด เขาบอกว่ามีความชอบธรรม มีเหตุผลที่มา ทำไมต้องทำอย่างนี้ ผมอยากให้สิ่งนี้ประจักษ์ในการสอบสวน

ประการที่ 3)เป็นหลักประกันว่าในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมเกิดขึ้น ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เหมือนที่ผ่านๆ มาอีก แล้วก็เกิดขึ้นอีก

-ทำไมคุณสมบัติ ไม่คิดแบบ "โลกสวย" ว่า เดี๋ยวก็จับมือกันลืมๆ ไปแล้วก็อยู่กันได้เหมือนเดิม

จริงๆ ผมเป็นคนโลกสวยนะ จริงๆ ผมจัดว่าอยู่ในพวก "คนโลกสวย" แต่ว่าตอนนี้ ไม่มีสัญญาณอะไรเลยว่า โลกสวย ไม่มีสัญญาณเลย โลกสวยมันต้องมีสัญญาณบ้างนะ ไม่ใช่ "มโน" เอาเอง นี่มันไม่มีสัญญาณเลย

ตอนนี้เห็นแต่หายนะ เหมือนผมมายืนอยู่ปากซอย คอยดักพรรคเพื่อไทยไว้ อย่าเพิ่งเข้าไปในซอย เพราะเป็นซอยตัน ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณเข้าไปถึงกลางซอย คุณจะไปเจอพรรคประชาธิปัตย์ ในสภา ผมรับประกันว่าคุณน่วมในรัฐสภา และถึงแม้ว่าคุณจะใช้เสียงส่วนใหญ่โหวตผ่าน แต่พอคุณไปเจอทางตันท้ายซอย คุณเจอศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รอดหรอก

แล้วถึงตอนนั้น ถ้าคุณกวักมือเรียกเสื้อแดงที่อยู่ปากซอย ใครจะเข้าไปช่วยคุณข้างใน ก็กูบอกตั้งแต่ต้นแล้ว อย่าเข้าไปซอยตัน จะเข้าไปยังไง ผมถามหน่อย เห็นใจกันบ้าง

-จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป

เห็นข่าวว่าทางพรรค หรือทางคุณทักษิณ ประเมินว่า มีผู้ไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมสุดซอย แค่ประมาณหมื่นคน หมายความว่าเขาพร้อมดันร่างกฎหมายนี้ เพราะมีคนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แค่หมื่นคนเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าพรรคยังไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางและคิดว่ามีคนค้านแค่นี้ ผมจะทำกิจกรรมที่เรียกว่า "หมื่นอัพ" เพื่อที่จะบอกว่าสิ่งที่คุณคิดว่ามีไม่ถึงหมื่นคน หรือมีแค่หมื่นคน จริงๆ แล้วมีมากกว่านั้น

แล้วเราจะชวนกันมาให้ดู ว่ามีมากกว่าหมื่น เพื่อที่จะให้เป็นข้อเสนอกลับมาให้พรรคทบทวนอีกครั้ง แต่ว่ากิจกรรม "หมื่นอัพ"ยังไม่กำหนดวัน เราจะรอให้พรรคตอบ เมื่อพรรคตอบแล้ว ผมจะรอให้ประชาชนมีการอภิปรายระดับหนึ่ง แล้วผมจะถามประชาชนว่ามีถึงหมื่นคนไหม "หมื่นอัพ" ไหม ถ้ามี หมื่นอัพ ผมจะจัด "หมื่นอัพ" ถ้ามีไม่ถึงก็จบ หรือถ้านัดกันว่ามีหมื่นอัพ แต่มากันไม่ถึงหมื่น ผมยอม เพราะเขาบอกว่ามีแค่หนึ่งหมื่นใช่ไหม เราก็ต้องมีมากกว่าหมื่น ถ้ามีมวลชนมาไม่ถึงหมื่น ผมยอม

 

หมายเหตุ : ล่าสุด "บก.ลายจุด" ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุค ช่วงค่ำวันที่ 29 ต.ค.เพื่อนัดหมายจัดกิจกรรม "10,000 UP เราไม่ลืม" ที่ราชประสงค์ ในวันที่ 10 พ.ย.นี้
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กฟน.งดจ่ายไฟ กทม.-ปริมณฑล หลายพื้นที่ 30 ต.ค.-3 พ.ย.นี้

Posted: 29 Oct 2013 05:15 AM PDT

การไฟฟ้านครหลวงประกาศงดจ่ายไฟฟ้าชั่วคราวในหลายพื้นที่ระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-3 พ.ย.2556 เพื่อพัฒนาและบำรุงรักษาระบบการจ่ายไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

29 ต.ค.56 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประกาศผ่านเว็บไซต์ว่า มีความจำเป็นต้องงดจ่ายไฟฟ้าชั่วคราวในหลายพื้นที่ระหว่างวันที่ 30 ต.ค.-3 พ.ย.2556 เพื่อพัฒนาและบำรุงรักษาระบบการจ่ายไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

พื้นที่ที่ กฟน.งดจ่ายไฟฟ้าวันที่ 30 ตุลาคม 2556 ในเขตกรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. คือ ซอยลาดพร้าว-วังหิน 26 และปากซอย ถนนลาดพร้าว ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เวลา 08.00 - 15.30 น. ซอยลาดพร้าว 80 แยก 14 บริเวณหน้าวัดสามัคคีธรรม ถนนลาดพร้าว

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2556 พื้นที่กรุงเทพมหานคร เวลา 08.30 - 10.30 น. ถนนท่าข้าม ฝั่งเลขคู่ ตั้งแต่บริเวณปากทางถนนท่าข้าม ถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านเดอะเทอร์เรส บริเวณซอยพึ่งมี 50 แยก 23 ถึงแยก 37 และแยก 22 ถึงแยก 40 ถนนสุขุมวิท เวลา 08.30 - 16.30 น. บริเวณซอยพึ่งมี 50 แยก 30 (ดับเฉพาะนิรันดร์คอนโดฯ ตึก A และตึก B) ถนนสุขุมวิท เวลา 14.00 - 16.00 น. ถนนท่าข้าม ฝั่งเลขคู่ ตั้งแต่บริเวณปากทางถนนท่าข้าม ถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านเดอะเทอร์เรส นนทบุรี เวลา 08.30 - 15.30 น. ถนนบรมราชชนนีฝั่งขาเข้า ตั้งแต่บ้านทอศิลป์, หมู่บ้านชัยพฤกษ์ ซอยวัดปุรณาวาส, หมู่บ้านศิรยา, ถนนศาลาธรรมสพน์ และถนนเลียบคลองทวีวัฒนา ตั้งแต่ปั๊มเอ็นจีวี ปตท. ถึงสะพานลอยหน้าบิ๊กคิงส์ บางใหญ่ ถนนกาญจนาภิเษก

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2556 พื้นที่กรุงเทพมหานคร เวลา 07.30 - 16.30 น. ถนนบางขุนเทียน ฝั่งตะวันตก จากปั๊มเอสโซ่ ใกล้ปากซอยม่วงสกุล ถึงปั๊มเชลล์ ใกล้คลองบางบอน ยกเว้นซอยพระยามณธาตุ เวลา 08.00 - 16.00 น. บริเวณซอยปัญจมิตร (ระหว่างซอยรามอินทรา 58 ถึงซอยนวมินทร์ 94) ถนนลาดพร้าว เวลา 08.00 - 16.30 น.ถนนหลวงแพ่ง ฝั่งทิศเหนือ ตั้งแต่บริเวณซอยจิตสนธิ์ 2, ปั๊มแอลพีจี, ซอยขวัญเรือน, ซอยบุญมา, ปั๊มซัสโก้, บริษัท รอยัลพาร์คนูทรีเม้น จำกัด ถึงร้านอาหารเจ๊แดง ถนนเทพารักษ์ กม.24 ฝั่งทิศตะวันออก ตั้งแต่คลองหัวเกลือ, ป. เป็ดตุ๋น, เฮง เฮง โภชนา, สถานีก๊าซธรรมชาติหลักเทพารักษ์, บริษัท บดินทร์ฟู๊ดแวร์ คอปอเรชั่น, ซอยโกดังโกลเด้นแลนด์ แวร์เฮ้าส์, ปั้นหยาอพาร์ทเม้น เชิงสะพาน คลองหัวเกลือ เวลา 08.00 - 17.00 น. ซอยประชาอุทิศ 90 ฝั่งชุมชนเก้าห้อง ตั้งแต่บริเวณปากซอยประชาอุทิศ 90 ถึงซอยจัดสรรตาเบิ้ม ถนนประชาอุทิศ ตั้งแต่บริเวณบริษัทแสงฟ้าอุตสาหกรรม ถึงบริเวณสามแยกจันทร์แก้วเพชร ถนนอนามัยงามเจริญ ถนนบางนา-ตราด กม.32 ฝั่งขาออกไปชลบุรี ตั้งแต่ บริษัท ไทย-เยอรมัน, ด่านเก็บเงิน ทางด่วนบูรพาวิถีทางลงบางพลีน้อย เวลา 08.30 - 14.30 น. ถนนพหลโยธิน ฝั่งตะวันตก ตั้งแต่บริษัท ยาคูลท์ ถึงปากซอยพหลโยธิน 5 (บริษัทยาคูลท์, ซอยพหลโยธิน 3, 5 ไม่ดับตึกแถวริมถนนดับทั้งหมด) เวลา 08.30 - 15.30 น.ตั้งแต่สวนผักซอย 10 ถึงซอย 22 และฝั่งตรงข้าม ถนนสวนผัก นนทบุรี เวลา 08.30 - 15.30 น. ตั้งแต่ปากทางวัดลาดปลาดุกริมถนนกาญจนาภิเษก ถึงสะพานลอยปากทางบ้านกล้วย- ไทรน้อย ถนนกาญจนาภิเษก - บริเวณแยกซอยจามจุรี หมู่บ้านลภาวัน 14, บริษัท ชาญนคร จำกัด ถนนรัตนาธิเบศร์

โดยทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ การไฟฟ้านครหลวงทุกเขต และ MEA Call Center โทร.1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

คลิ๊กดูภาพขนาดใหญ่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มติเพื่อไทยดันนิรโทษกรรมเหมาเข่ง - 'ณัฐวุฒิ' ไม่เห็นด้วยนิรโทษแกนนำ-ผู้สั่งการ

Posted: 29 Oct 2013 04:23 AM PDT

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยันไม่เห็นด้วยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ยอมรับต้องการให้ "ทักษิณ ชินวัตร" กลับบ้าน ด้าน สุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริง-ไม่หนีไปไหน ยันสั่งการแต่เพียงผู้เดียว 'อภิสิทธิ์' ไม่เกี่ยว ส่วน ผบ.ทบ. ก็ไม่ต้องการนิรโทษกรรม เพราะทหารไม่ใช่นักโทษ และจะสู้ทั้ง 3 ศาล

มติเพื่อไทยดันนิรโทษกรรมเหมาเข่ง 'ภูมิธรรม' ย้ำ ส.ส. ไม่ใช่ผู้นำมวลชนต้องทำตามมติพรรค

29 ต.ค. 2556 - ภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อเวลา 16.20 น. วันนี้ (29 ต.ค.) มติชนออนไลน์ ได้รายงานคำแถลงของนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค ที่แถลงว่าจากการพูดคุยหลายฝ่ายนั้น พรรคเพื่อไทยมีข้อยุติเป็นมติพรรค 3 ข้อ ได้แก่

1.ขอให้ส.ส.ของพรรคงดเว้นภารกิจต่างๆ เพื่อเข้าร่วมประชุมสภาฯ พิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะถือว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวพันกับทิศทางเดินไปข้างหน้าของประเทศ

2. เพื่อความเป็นเอกภาพพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมลงมติไปในทิศเดียวกันเพื่อลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยมีมติเป็นเอกฉันท์

3.สำหรับท่าทีของพรรคต่อคนเสื้อแดง และแนวร่วมผู้รักประชาธิปไตยทุกคน เราเห็นว่าความเห็นทางการเมืองในการหาทางออกของประเทศย่อมแตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างมิตรผู้รักประชาธิปไตยด้วยกัน พรรคขอยืนอยู่บนพื้นฐานที่เข้าใจและเห็นใจ โดยเรียกร้องให้ ส.ส.ของพรรคทำความเข้าใจ พูดคุย และประสานงานในทุกภาคส่วน เราเชื่อว่าการดำเนินการของเราจะทำให้ประเทศหลุดจากความขัดแย้ง ขณะที่ผู้ถูกคุมขังจะได้ออกจากความขัดแย้งด้วย

ต่อคำถามที่ว่า ส.ส.เสื้อแดง จะโหวตตามมติพรรคหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่า ส.ส.พรรคโดยรวมจะเดินหน้าตามมติพรรค เพราะวันนี้เป็น ส.ส.ซึ่งแตกต่างจากการอยู่ในฐานะผู้นำมวลชน จึงต้องเห็นความสำคัญของมติพรรค อย่างไรก็ตามเท่าที่พูดคุยพรรคเข้าใจถึงความยากลำบาก ความอึดอัดใจของทุกส่วน

ทั้งนี้เลขาธิการพรรคเพื่อไทยไม่ตอบคำถามที่ว่า จะมีบทลงโทษ ส.ส.ที่โหวตสวนมติพรรคหรือไม่ โดยตอบเพียงว่า ยังเชื่อว่าจะโหวตไปในทิศทางเดียวกัน และกล่าวด้วยว่า รู้สึกขมขื่นที่มีการเข่นฆ่าประชาชนจนเกิดความสูญเสีย แต่คิดว่าในอนาคตจะมีวิธีการที่เป็นทางออกต่อไป โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังต้องพูดคุยและทำความเข้าใจกัน และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จะตัดสินว่าใครถูกใครผิด

มีรายงานด้วยว่า แกนนำพรรคคนสำคัญที่ร่วมการประชุม อาทิ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรค ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค พล.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ และน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ

นอกจากนี้มี ส.ส. ที่เป็นแกนนำ นปช. เข้าร่วมด้วย เช่น นพ.เหวง โตจิราการ, ก่อแก้ว พิกุลทอง และ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นต้น

ส่วนผู้ร่วมแถลงข่าวกับภูมิธรรม ได้แก่ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรค อำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค

สุเทพ เทือกสุบรรณ (ซ้าย) และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (ขวา) (ที่มาของภาพ: แฟ้มภาพ/ประชาไท/flickr.com/photos/thaigov)

 

ณัฐวุฒิยันต้องการให้ทักษิณกลับบ้าน แต่ไม่เอาเหมาเข่ง

ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าวันนี้ (29 ต.ค.) สำนักข่าวไทย รายงานว่า ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และแกนนำ นปช. กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แบับแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากหรือ "ฉบับเหมาเข่ง" ว่าไม่เห็นด้วยหากจะมีการนิรโทษกรรมให้แกนนำและผู้สั่งการทำร้ายประชาชน แต่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมให้ประชาชนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง และล้มล้างผลพวงการรัฐประหาร ขณะนี้คนเสื้อแดง และสมาชิกพรรคเพื่อไทยมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขของกรรมาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันในฐานะมิตร ป้องกันไม่ให้ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามนำความขัดแย้งไปขยายผล

ณัฐวุฒิยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอร้องให้แกนนำคนเสื้อแดงยอมรับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับที่มีการแก้ไขว่า เป็นเพียงข่าวเท่านั้น ที่ผ่านมาตนและคนเสื้อแดงได้พูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงจุดยืน โดยเขานั้นต้องการช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทยได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวมถึงแกนนำ และผู้สั่งการ อย่างไรก็ตาม หากมีการลงมติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ส.ส.เสื้อแดง และตนไม่รู้สึกกดดัน เพราะมีจุดยืนตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และแม้ว่าพรรคจะมีมติห้าม ส.ส.ฟรีโหวต แต่ตัวเขาจะโหวตตามความรู้สึกตามจิตวิญญาณของการต่อสู้ที่ผ่านมา

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ณัฐวุฒิลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี และไปเคลื่อนไหวการเมือง หากพรรคเพื่อไทยผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสำเร็จว่า อยากเรียกร้องไปยังพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ให้ลาออกจาก ส.ส. หลังจากที่อัยการมีคำสั่งส่งฟ้องในคดีที่มีประชาชนเสียชีวิตระหว่างการชุมนุม เพราะบุคคลทั้งสองเคยเป็นถึงผู้นำฝ่ายบริหาร ดังนั้น ควรจะรับผิดชอบทางการเมือง

 

ลูก เสธ.แดง ยังมีคำถามในใจว่าใครฆ่าบิดา และขอคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคก่อนว่าจะทำอย่างไร

ทั้งนี้ ข่าวสด ได้รายงานความเห็นของ ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ซึ่งกล่าวว่า ยังรู้สึกขมขื่นอยู่ เรารู้ว่าประเทศต้องเดินหน้า แต่ในฐานะคนที่สูญเสียมันก็ยังทำใจไม่ได้ และยังมีคำถามอยู่ในใจว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อเรา ตนลำบากใจในฐานะสมาชิกพรรค และนี่ก็เป็นเสียงของกมธ.ส่วนใหญ่ ดังนั้น จะขอคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคก่อนว่าจะทำอย่างไร การค้นหาความจริงต้องยุติลงแค่นี้ใช่หรือไม่ นี่เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้ใช่หรือไม่ วันนี้มีการสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ในฐานะอดีตนายกฯ แล้ว ซึ่งทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมยังเดินหน้าได้อยู่

 

ธิดา ถาวรเศรษฐตีเส้นนิรโทษกรรมไว้ที่ประชาชน และหนุนร่าง 'วรชัย เหมะ'

อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. และภรรยาของ นพ.เหวง ให้ความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขโดยโพสต์ไว้ในเพจ "ครูธิดา" ว่า "จุดยืนของ นปช.ยังอยู่ที่การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนายวรชัย เหมะ แต่ไม่ใช่ความขัดแย้ง หรือตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ เพราะยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยเน้นนิรโทษกรรมเป็นหลัก ต่างจาก นปช.เน้นแก้ไขรัฐธรรมนูญและขจัดผลพวงจากรัฐประหารเป็นหลัก จึงต้องการนิรโทษกรรมโดยสนับสนุนฉบับนายวรชัย นิรโทษกรรมให้ประชาชน โดยไม่รวมคู่ขัดแย้งที่เป็นแกนนำหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ จุดยืนเราไม่มีสิทธิเปลี่ยน แม้ พท.จะเปลี่ยนกลับไปกลับมากี่ครั้ง แต่เรายืนยันเหมือนเดิมคือนิรโทษประชาชน"

"แม้คนเสื้อแดงรัก พ.ต.ท.ทักษิณอยากให้กลับมาแต่นิรโทษกรรมก็ต้องมีหลักการ ไม่งั้นจะกลายเป็นโทษของการต่อสู้ของประชาชน อย่าไปคิดว่านี่คือการทำเพื่อญาติคนตาย เป็นความถูกต้องที่ประเทศควรจะมีและนำไปสู่การปรองดองแท้จริง อย่างไรก็ตาม จะไม่ใช้วิธีประท้วง แต่ใช้วิธีพูดคุย อย่างกรณี นปช. ไปพบนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ (ผู้เสนอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) ที่บ้านก็เพื่อขอคำอธิบาย ไม่ใช่การก่อม็อบประท้วง เราได้ปรามประชาชนตลอดเวลาให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เพราะยังต่อสู้ในปริมณฑลของคนฝ่ายเดียวกัน"

"ความคิดบางคนอยากจะช่วย พ.ต.ท.ทักษิณอาจเป็นหมัน ต้องอย่าลืมว่ามีคดีมากมาย 10 กว่าคดี และหมายจับอีกมาก คำถามคือพวกเขาได้คิดปัญหานี้หรือเปล่า คิดจะพากลับมาแล้วพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็นแบบไหน เรามองปัจจุบันเป็นสนามรบมากกว่า เพราะมีหลุมพรางและกับระเบิดเต็มไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการปรองดอง แต่ต้องการสิ่งที่ถูกต้องและเป็นการปรองดองที่แท้จริง ถ้าไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้ความจริงปรากฏแล้ว จะให้เกิดการฆ่าประชาชนซ้ำซากกลางถนนอีกกี่ครั้ง ถามว่าถ้าจะกดปุ่มเซตซีโร่ทำได้จริงไหม"

"คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่เอาสุดซอยแน่ เพราะไม่ไว้ใจเครือข่ายระบอบอำมาตย์ ไม่ต้องการให้มีการฆ่ากันอีก และไม่เชื่อเซตซีโร่ในระบอบอำมาตย์ ปฏิกิริยาของคนเสื้อแดง ประชาชน รวมทั้งนักวิชาการเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ต่างคัดค้านทั้งสิ้น ทำให้เพื่อไทยต้องไปทบทวนว่าคุณยังไม่สามารถเอาชนะศัตรูทางการเมืองได้ คุณหวังจะชนะใจ เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าสูญเสียมิตรที่เป็นเพื่อนร่วมรบกันมา คุ้มค่าหรือเปล่า"

 

สุเทพ เทือกสุบรรณพร้อมสู้คดีไม่หนีไปไหน 'อภิสิทธิ์' ไม่เกี่ยว

ขณะเดียวกัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ในวันนี้ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวทีนิวส์ โดยยืนยันว่า "ยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมยืนยันตรงนี้เลยว่า ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะสั่งฟ้องผมแล้ว ผมก็พร้อมที่จะปฏิบัติ ไม่หนีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่หลบหนีคดี พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทุกอย่าง"

"ที่ผมอยากจะเรียนอย่างเดียวคือ น่าเสียดาย ผมได้ประกาศตั้งแต่แรกแล้วว่า กรณีที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติปี 2552-2553 ผมเป็นคนสั่งแต่เพียงผู้เดียว ในฐานะที่เป็นอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทำไมต้องไปลากเอาคุณอภิสิทธิ์ มาเป็นจำเลยร่วมกับผมด้วย ตรงนี้มันเลยทำให้คนหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ โทรศัพท์มาหาผมบอกว่า นี่เป็นการบีบบังคับให้คุณอภิสิทธิ์กับผมยอมจำนนให้กับกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อตัวเองจะได้ประโยชน์ด้วย ผมยืนยันเลยว่า  ผมไม่ยอมเด็ดขาด  ผมจะคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรม  ผมไม่สนใจว่าผมจะได้ประโยชน์หรือไม่  คุณอภิสิทธิ์ก็คิดเช่นเดียวกัน"

สุเทพ ให้สัมภาษณ์ต่อด้วยว่า "เรื่องที่ผมไม่สบายใจต่อไปก็คือว่า ผมเป็นผู้ออกคำสั่งจะดำเนินคดีกับผมอย่างไร  ผมก็ยินดีที่จะพิสูจน์ ทั้งๆ ที่ผมมั่นใจว่า การออกคำสั่งของผมในวันนั้น ผมทำในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่  ผู้ที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เมื่อมีคนมาก่อการร้าย มีคนมาฆ่าตำรวจ  มีคนมาฆ่าทหาร มาฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวงกลางกรุงเทพฯ ผมเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มีหน้าที่ดูแลบ้านเมืองให้เรียบร้อยก็ต้องทำหน้าที่นั้น ทีนี้การสั่งการของผม ผมถือว่าผมทำถูกกฎหมายทุกอย่าง และผมก็สมควรที่จะได้รับความคุ้มครองเรื่องกฎหมาย แต่ไม่เป็นไร ถ้าเกิดว่าจะเอาผิด ให้มาเอาผิดที่ผมคนเดียว ผมยินดี แต่นี่จะไปหาเรื่องตำรวจเจ้าหน้าที่ทหาร ที่เขามาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผมด้วย ผมคิดว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ที่จะออกมาพูดจาให้ร้ายต่างๆ ซึ่งผมคิดว่า คำพูดเหล่านี้มันเป็นการบั่นทอนขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ วันข้างหน้าเจ้าหน้าที่จะไม่มีขวัญและกำลังใจ ที่จะมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

"ดังนั้น ผมจึงอยากจะขอวิงวอนต่อสังคมว่า เอาเถอะ จะเล่นงานผมอย่างไร ก็ขอให้มาที่ผมก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าผมอวดดี แต่ว่าผมทำแล้ว ผมต้องการที่จะพิสูจน์ความเป็นจริง แล้วก็ได้ให้ขบวนการยุติธรรมได้ตัดสิน ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดว่าผมมีความผิด วันข้างหน้าถ้าคนอื่นที่เขามีหน้าที่ เขาจะได้พึงสังวรณ์เอาไว้ว่าเขาทำอะไรได้แค่ไหน" อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงกล่าว

 

 

ผบ.ทบ.ยันทหารไม่ต้องการนิรโทษกรรมและไม่ใช่นักโทษ แนะคนไทยนำคำสอนพระสังฆราชไปใช้

อนึ่งเมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) มติชนออนไลน์ รายงานความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ต่อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการทำความเข้าใจกับญาติของกำลังพลที่สูญเสียและบาดเจ็บโดยตลอด โดยเฉพาะการดูแลครอบครัว ส่วนจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ยังมาไม่ถึง ที่ผ่านมาตนเรียกญาติกำลังพลมาพบเดือนละครั้ง เพื่อชี้แจงเรื่องคดี และสอบถามการดำรงชีวิต อยากให้ไปเอาคำสั่งการปฏิบัติงานในปี 2553 มาดูว่า เราดำเนินการอย่างไร วันนี้พูดเรื่องทหารทำร้ายประชาชนอย่างเดียว แต่ไม่เห็นมีใครกล้าพูดว่าวันนั้นมีอะไรเกิดขึ้น ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่พูดว่ามีใครยิงใส่ทหารจากใครก็ไม่รู้ ส่วนที่มีการมองว่าเป็นความพยายามจะนำเรื่องของคดีมาบีบทหาร เพื่อให้ยอมรับเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น ตนไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่อยู่ในกระบวนการ และไม่ใช่ผู้ร้ายไม่ต้องมานิรโทษให้ ซึ่งตนจะสู้คดี

เมื่อถามว่า ทหารอาจต้องการให้นิรโทษกรรม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ใช่นักโทษ และคดีจะต่อสู้ถึง 3 ศาล ส่วนกำลังพลต้องการนิรโทษกรรมหรือไม่ ต้องไปถามเขาดู แต่เท่าที่เรียกมาคุยไม่เห็นว่าอยากจะให้นิรโทษ ซึ่งพยายามบอกกับเขาว่ากองทัพไม่ใช่คู่ขัดแย้ง เป็นเจ้าหน้าที่เหมือนวันนี้ตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่ และในวันนั้นตำรวจเป็นเจ้าพนักงานร่วมกับทหาร และตำรวจก็ไปก่อนทหารด้วย

นอจากนี้ ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ต้องรอให้กระบวนการดำเนินการนิรโทษกรรมออกมาก่อน และดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าคาดการณ์ล่วงหน้า หากเลวร้ายจริงๆ เขาคงหาทางแก้ไข พร้อมแนะนำว่าจังหวะนี้ทุกคนต้องมีขันติ สติ รู้คิด รู้ทำ อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส และเพื่อแสดงความอาลัยสมเด็จพระสังฆราชซึ่งเราต้องไว้ทุกข์กัน 1 เดือน ภายใน 30 วันนี้ ต้องนำคำสอนของท่านไปอ่านดูว่าท่านได้รับสั่งอะไรไว้บ้าง อย่างน้อยต้องรู้เรื่อง เบญจศีล เบญจธรรม ซึ่งประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้า ด้วยกฎหมาย ความเข้าใจและวิธีการแก้ไขปัญหาที่สันติ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประธานสภาฯ นัดประชุมด่วนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ 31 ต.ค.นี้

Posted: 29 Oct 2013 02:01 AM PDT

ประธานสภาฯ นัดประชุมด่วน ส.ส.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 31 ต.ค.นี้ ระบุเป็นเรื่องสำคัญต้องเร่งพิจารณา เนื้อหาอาจไม่ถูกใจทุกฝ่าย แต่ไม่กังวล ยืนยันไม่รวบรัดเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใคร

29 ต.ค.56 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งหนังสือด่วนที่สุดนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 21 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2556 เวลา 09.30 น.

นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฏร เปิดเผยว่าสาเหตุที่นัดประชุมด่วน เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากและเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อย รวมทั้งเป็นที่สนใจของประชาชน จึงต้องเร่งพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และยอมรับรับว่าเนื้อหาของร่างกฎหมายอาจไม่เป็นที่ถูกใจของทุกฝ่ายและมีการคัดค้าน แต่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่จะต้องชี้แจงเอง นายเจริญกล่าวด้วยว่า ไม่กังวลว่าจะเป็นชนวนความขัดแย้ง เพราะยังต้องผ่านกระบวนการอีกหลายขั้นตอน และยังสามารถพิจารณาแก้ไขได้ในชั้นของสภา พร้อมยืนยันไม่ได้รวบรัดการพิจารณาเพื่อเอื้อประโยชน์ฝ่ายใด

ส่วนที่จะมีการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภา นายเจริญยืนยันว่า หากเกิดเหตุวุ่นวายในสภา ต้องดำเนินการตามข้อบังคับการประชุม ส่วนภายนอกสภามอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ เชื่อว่าทุกฝ่ายมีเหตุผลและสามารถหาทางออกร่วมกันได้

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น