โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

อะไรคืออุปสรรคกีดขวางการแข่งขันของพรรคการเมืองในการเลือกญี่ปุ่น 2017

Posted: 26 Oct 2017 01:14 PM PDT

ญี่ปุ่นเคยพยายามปฏิรูปเมื่อนานมาแล้วให้ระบบการเมืองมีการแข่งขันที่สูสีระหว่างสองพรรคใหญ่ แต่ทว่าผลการเลือกตั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่าพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี นำโดยชินโซ อาเบะ ยังคงครองอำนาจในญี่ปุ่นได้แม้จะมีเรื่องอื้อฉาว ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าอะไรทำให้ฝ่ายค้านในญี่ปุ่นไม่สามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่สูสีได้ และพรรคซ้ายกลางที่เพิ่งจัดตั้งใหม่และคว้าที่นั่งมาได้พอสมควรในครั้งนี้จะเป็นความหวังหรือไม่

ย่านชิบูยะในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (ที่มาของภาพประกอบ: IQremix/Wikipedia)

27 ต.ค. 2560 จากการเลือกตั้งญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ชินโซ อาเบะ จากพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพีคว้าชัยมาอีกหนึ่งสมัย โดยที่การเลือกตั้งล่าสุดนี้เป็นการยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่อย่างเร่งด่วนซึ่งอาเบะอ้างว่าเพราะต้องการ "อาณัติจากประชาชน" อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์ว่าชัยชนะอีกครั้งของอาเบะแสดงให้เห็นปัญหาของการเมืองญี่ปุ่นในแง่ทีมีพรรคการเมืองเดียวทรงอิทธิพลมากเกินไป จนกลายเป็นอุปสรรคต่อระบบแบบ "สองพรรคการเมือง"

ถึงแม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสาเหตุที่อาเบะจัดเลือกตั้งด่วนเป็นเพราะต้องการกลบเรื่องอื้อฉาวของเขาและภรรยาที่ถูกกล่าวหาเรื่องการใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง รวมถึงเรื่องอื้อฉาวกรณีโรงเรียนอนุบาลขวาจัด จนมีการวิเคราะห์ว่าพวกเขาอาจจะเสียที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดจากกรณีอื้อฉาวเหล่านี้ แต่กระนั้นพรรคแอลดีพีก็ยังคงกุมชัยชนะเอาไว้ได้โดยชนะที่นั่งในสภาถึง 284 ที่นั่ง ลดลงจากเดิม 6 ที่นั่ง ในทางตรงกันข้ามพรรคฝ่ายค้านหลักของญี่ปุ่นอย่างมินชินโตหรือพรรคดีพีกลับมีปัญหาจนเกิดการแตกแยกช่วงก่อนเลือกตั้ง

โทชิยะ ทากะฮาชิ ผู้ช่วยศาตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโชอินวิเคราะห์ว่าผลการเลือกตั้งในครั้งนี้สะท้อนว่าความพยายามทำให้เกิดระบบ "สองพรรคการเมือง" ในญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงการเมืองที่มีสองพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคขับเคี่ยวกันนั้นกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนับตั้งแต่ที่มีการปฏิรูประบบการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2536

ก่อนหน้านั้นช่วงก่อนปี 2533 การเมืองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวครอบงำมาโดยตลอดคือพรรคแอลดีพี ในยุคนั้นเคยมีพรรคสังคมนิยมญี่ปุ่นที่มักจะได้ที่นั่งในสภาครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนของพรรคแอลดีพีแต่ก็ไม่สามารถท้าทายอำนาจแอลดีพีได้เพราะไม่มีสามารถตกลงกันทางอุดมการณ์กับพรรคอื่นในเชิงปฏิบัติได้ แต่ในสมัยนั้นเองแอลดีพีก็เคยมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันจึงมีการพยายามปรับเปลี่ยนระบบเพื่อเอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลได้อย่างราบรื่น

ทากะฮาชิกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งเสริมให้เกิดพรรคใหญ่สองพรรคโดยหวังว่าจะทำให้ประชาธิปไตยในญี่ปุ่นเป็นไปในทางที่ดี จนกระทั่งในปี 2552 พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (มินชูโต) หรือดีพี ก็ชนะการเลือกตั้ง แต่พวกเขาอยู่ได้ 3 ปีก็ทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นจนกระทั่งแอลดีพีกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ตัวพรรคดีพีเองยังมีปัญหาภาพลักษณ์เพราะพวกเขาปล่อยให้ผู้นำเก่าๆ ที่เสียเครดิตตั้งแต่สมัยเป็นรัฐบาลยังคงดำรงตำแหน่งที่สำคัญในพรรคต่อไป แม้ว่าประชาชนจะไม่พอใจก็ตาม

นั้นทำให้เมื่อไม่นานมานี้มีการแยกตัวออกจากพรรคดีพีไปตั้งพรรคใหม่โดยเซย์จิ มาเอะฮาระ พาผู้สมัครลงเลือกตั้งออกไปตั้งพรรคใหม่ชื่อ 'คิโบโนะโต' หรือ 'พรรคแห่งความหวัง' ด้วยความหวังจะคว้าชัยการเลือกตั้งจากแอลดีพี แต่พรรคใหม่นี้กลับสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ยูริโกะ โคอิเกะ หัวหน้าพรรคกีดกันไม่ให้กลุ่มซ้ายกลางจากพรรคดีพีที่ไม่เชื่อในแนวทางอนุรักษ์นิยมของโคอิเกะเข้าร่วมด้วย อีกทั้งแนวทางของโคอิเกะยังคล้ายกับแอลดีพีมากทั้งเรื่องการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงในแนวทางอนุรักษ์นิยม

อย่างไรก็ตามฝ่ายซ้ายกลางจากดีพีเมื่อถูกกีดกันจากพรรคแห่งความหวังก็ไปตั้งพรรคใหม่ชื่อ 'พรรคริคเคนมินชูโต' หรือซีดีพี นำโดยยูกิโอะ เอดะโนะ ที่มีแนวทางต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องการอนุญาตปฏิบัติการนอกอาณาเขตของกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ส่งเสริมการพักใช้พลังงานนิวเคลียร์ชั่วคราว สนับสนุนการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ระงับแผนการขึ้นภาษีบริโภค และส่งเสริมการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

การเลือกตั้งญี่ปุ่นครั้งล่าสุดมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งราวร้อยละ 53.68 จากผู้มีสิทธิทั้งหมด พรรคริคเคนมินชูโตที่มีแนวทางซ้ายกลางได้รับคะแนนโหวตความนิยมร้อยละ 19.88 ในการเลือกตั้งล่าสุดเทียบกับพรรคแอลดีพีที่ได้ร้อยละ 33.28 แต่ริคเคนมินชูโตก็ได้ที่นั่งในสภาก็ 55 ที่นั่ง เทียบกับแอลดีพีที่ได้ 284 ที่นั่ง ส่วนพรรคของโคอิเกะได้ไป 50 ที่นั่ง สภาพเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวทางสองพรรคการเมืองที่ขับเคี่ยวอย่างสูสี

ทากะฮาชิประเมินถึงสาเหตุที่การเมืองในญี่ปุ่นเป็นแบบสองพรรคไม่สำเร็จเพราะว่า ประการแรก พวกเขาพยายามปฏิรูปการเลือกตั้งโดยอาศัยระบบแบบของเวสต์มินสเตอร์ แต่ระบบแบบนี้ไม่ได้สะท้อนวิถีปฏิบัติทางการเมือง หรือสะท้อนวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในสังคมหรือเศรษฐกิจญี่ปุ่นเลย เช่น พรรคดีพีมีโครงสร้างการจัดตั้งที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับแอลดีพี พวกเขาเน้นการสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพแรงงานมากแต่ฐานเสียงในภาคส่วนอื่นๆ ยังอ่อนแรง

ประการที่สองทากะฮามิมองว่าการเลือกตั้งในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังขึ้นอยู่กับความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อพรรคแอลดีพีในช่วงนั้นๆ มากกว่าจะเลือกเพราะแนวทางนโยบาย ในญี่ปุ่นมีกลุ่มคนที่ลงคะแนนแบบไม่เน้นยึดมั่นต่อพรรคใดราวร้อยละ 30-50 คนกลุ่มนี้เคยเลือกพรรคดีพีเพียงเพราะว่าไม่พอใจพรรคแอลดีพีในช่วงปี 2552 พรรคการเมืองอื่นๆ ที่กำเนิดมาจากการวิพากษ์วิจารณ์แอลดีพีก้มาได้ชั่วคราวแล้วก็หายไป พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนมากช่วงที่มีกระแสต่อต้านแอลดีพีมาก แต่ก็ไม่มีพัฒนาการที่ทำให้เกิดพรรคฝ่ายค้านที่มีกลุ่มผู้สนับสนุนเป็นแกนหลักได้

ประการที่สาม ทากะฮามิระบุว่าการอภิปรายระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านในญี่ปุ่นไม่ค่อยเป็นไปในแบบที่ทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลแอลดีพีกับโคเมย์โตะมักจะเป็นฝ่ายชี้แจงข้อวิจารณ์ไปในทางเดียว

ทากะฮามิมองว่าถึงแม้แอลดีพีจะได้เป็นรัฐบาลต่อไปแต่ก็ใช่ว่าชาวญี่ปุ่นจะพอใจในการเมืองญี่ปุ่นในปัจจุบัน เพราะจากความคิดเห็นของประชาชนแล้วพวกเขาดูระมัดระวังสงวนท่าทีมากกว่าเวลาพูดถึงพรรคแอลดีพี ทากะฮามิจึงเสนอว่าผู้กำหนดนโยบายควรรับฟังความไม่พอใจของประชาชนมากขึ้นและพยายามสร้างระบบการเมืองที่เอื้อให้มีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองอีกครั้ง

ในบทบรรณาธิการของอีสต์เอเชียฟอรัมระบุถึงสาเหตุอีกแง่หนึ่งที่อาเบะรีบสั่งจัดเลือกตั้งด่วนเพราะต้องการสกัดผู้ที่ท้าทายเขาจากภายในพรรค รวมถึงกังวลเรื่องที่โคอิเกะเริ่มแสดงสัญญาณให้เห็นว่าเธอได้รับคะแนนนิยมจากชาวโตเกียวมากขึ้นและอาจจะมีแผนการท้าทายอาเบะในระดับประเทศในอนาคต ทำให้อาเบะต้องรีบจัดการเลือกตั้งระดับประเทศเสียตั้งแต่ตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ออเรเลีย จอร์จ มุลแกน จากมหาวิทยาลัยแห่งนิวเซาธ์เวลส์ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเมืองญี่ปุ่นหลายเล่มกลับมองว่าญี่ปุ่นมีโอกาสจะกลายเป็นระบบสองพรรคการเมืองขับเคี่ยวกันได้ถ้าหากพรรคฝ่ายค้านมีจุดยืนของตัวเอง เขามองว่าพรรคริคเคนมินชูโตที่มีแนวทางซ้ายกลางมีศักยภาพในการกลายเป็นฝ่ายค้านกระแสหลักได้เพราะมีจุดยืนให้กับฝ่ายซ้ายกลางอย่างชัดเจน

 

เรียบเรียงจาก

Roadblocks to establishing a two-party political system in Japan, East Asia Forum, 24-10-2017
Japan's elusive dream of 'contestable party politics',
East Asia Forum, 23-10-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Constitutional_Democratic_Party_of_Japan

https://en.wikipedia.org/wiki/Japanese_general_election,_2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

น้ำยังท่วม 21 จังหวัด - เขื่อนเจ้าพระยาเร่งระบาย - อุตุฯ เตือนภาคใต้ระวังฝนตกหนัก

Posted: 26 Oct 2017 08:45 AM PDT

กรมชลประทาน ระบุสถานการณ์น้ำวิกฤตระดับ 3 ประเมินน้ำท่วม 7 ลุ่มน้ำได้รับผลกระทบ รวม 21 จังหวัด สจล. ชี้ลมกำลังแรงในทะเลจีนใต้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนามไม่สามารถพัฒนาขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้ ขณะที่กรมอุตุฯ เตือนภาคใต้ระวังฝนตกหนัก

26 ต.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.00 น. วันนี้ (26 ต.ค.60) เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'สจล. พยากรณ์อากาศประเทศไทย' โพสต์วิดีโอพร้อมรายงานด้วยว่า อัพเดทเกี่ยวกับโอกาสเกิดพายุหมุนเขตร้อนในทะเลจีนใต้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม ตามที่เพจนี้ได้โพสต์เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 60 ว่ามีโอกาสที่จะเกิดพายุหมุนเขตร้อนขึ้นในทะเลจีนใต้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนามโดยน่าจะเริ่มก่อตัวประมาณวันที่ 27 ต.ค. นั้น วิดีโอนี้แสดงอัพเดทผลการพยากรณ์ความเร็วและทิศทางลมระยะยาวไปจนถึงวันที่ 1 พ.ย. 60 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลการพยากรณ์ที่อัพเดทล่าสุดนี้มีความขัดแย้งกับผลที่ได้ก่อนหน้านี้ โดยจะเห็นได้ว่า แม้ว่าช่วงวันที่ 26-28 ต.ค. 60 ในทะเลจีนใต้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนามจะมีระบบที่มีลมกำลังแรงและมีลักษณะหมุนทวนเข็มนาฬิกา แต่หลังจากนั้น ระบบดังกล่าวจะไม่สามารถพัฒนาขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้ 

น้ำยังท่วม 21 จังหวัด - เขื่อนเจ้าพระยาเร่งระบายน้ำออก

ขณะที่ สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานว่า ฝ่ายประมวลวิเคราะห์และสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานสถานการณ์น้ำ ประจำวันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค. 2560 โดยระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบัน อยู่สถานการณ์วิกฤตระดับ 3  มีน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C2 จ.นครสวรรค์ ในอัตรา 3,004 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนที่สถานี C13 เขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,697 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่ สถานี C29A อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ย 2,798 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากการประเมินสถานการณ์น้ำท่วม พบ 7 ลุ่มน้ำได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย

1.ลุ่มน้ำโขง พบจ.เลย ประสบปัญหาน้ำท่วมที่อ.ด่านซ้าย ล่าสุดกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว 

2.ลุ่มน้ำยม จ.พิจิตร ยังคงประสบปัญหาน้ำท่วม 11 อำเภอ คือ อ.ตะพานหิน, โพทะเล, วังทรายพูน, โพธิ์ประทับช้าง, สามง่าม, บึงนางราง, สากเหล็ก, บางมูลนาก, เมือง, ดงเจริญ และ อ.วชิรบารมี จ.สุโขทัย 9 อําเภอ ได้แก่ อ.เมือง, บ้านด่านลานหอย, สวรรคโลก, คีรีมาศ, กงไกรลาศ, ศรีนคร ,ศรีสําโรง, ทุ่งเสลี่ยม และ ศรีสัชนาลัย 

3.ลุ่มน้ำชี จ.ยโสธร 4 อําเภอ คือ อ.ค้อวัง, คําเขื่อนแก้ว, มหาชนะชัย และ อ.เมือง พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 113,762 ไร่ จ.ร้อยเอ็ด 1 อําเภอ คือ อ.พนมไพร เนื่องจากน้ำเอ่อล้นตลิ่งท่วมพื้นที่การเกษตรประมาณ 15,362 ไร่ จ.ชัยภูมิ มีพื้นที่น้ำท่วม 5 อําเภอ คือ อ.จัตุรัส อ.บ้านเขว้า, คอนสวรรค์, เนินสง่า และ อ.เมือง ปัจจุบันมีน้ำเอ่อล้นตลิ่งท่วมพื้นที่การเกษตรและชุมชน มีพื้นที่ได้รับผลกระทบประมาณ 21,511ไร่  ล่าสุดระดับน้ำาเริ่มลดลง จ.ศรีสะเกษ ยังคงมีน้ำท่วม พื้นที่การเกษตร 1 อําเภอ คือ อ.กันทรารมย์ ประมาณ 18,969 ไร่ จ.มหาสารคาม มีน้ำท่วมขังที่ลุ่มต่ำ 4 อําเภอ คือ โกสุมพิสัย, กันทรวิชัย, เมือง และ อ.เชียงยืน ระดับน้ำทรงตัว จ.อุบลราชธานี น้ำท่วม 2 อําเภอ ได้แก่ อ.เมือง และ อ.เขื่องใน รวมพื้นที่ได้รับผลกระทบประมาณ 68,400 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำเริ่มลดลง จ.ขอนแก่น รวม 16 อําเภอ ได้แก่ อ.เมืองขอนแก่น, แวงใหญ่, แวงน้อย, โคกโพธิ์ชัย, ชนบท, น้ำพอง, บ้านแฮด, บ้านไผ่, พระยืน, มัญจาคีรี, หนองเรือ, อุบลรัตน์, ชุมแพ, ภูผาม่าน, ภูเวียง และ อ.หนองนาคํา รวม 71,409 ไร่ จ.กาฬสินธุ์ มีน้ำท่วมขังรวม 3 อําเภอ ได้แก่ อ.ร่องคํา, ฆ้องชัย และ  กมลาไสย จ.หนองบัวลําภู 2 อําเภอ คือ อ.โนนสัง และอ.ศรีบุญเรือง รวมประมาณ 2,987 ไร่ ล่าสุดระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้น 

4.ลุ่มน้ำน่าน จ.พิษณุโลก น้ำท่วม 1 อําเภอ คือ อ.บางระกํา

5.ลุ่มน้ำมูล จ.อุบลราชธานี  2 อําเภอ คือ อ.เมือง และ อ.วารินชําราบ  ปัจจุบันระดับน้ำลดลง จ.บุรีรัมย์  5 อําเภอ ได้แก่ อ.สตึก, พุทไธสง, แดนดง, บ้านใหม่, ไชยพจน์ และ อ.คูเมือง

6.ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ น้ำท่วมรวม 9 อําเภอ คือ อ.ชุมแสง, พยุหะคีรี, โกรกพระ, ลาดยาว, ตาคลี, อ.เมือง, ท่าตะโก, เก้าเลี้ยว และ อ.บรรพตพิสัย แนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้น จ.ชัยนาท 5 อําเภอ คือ  อ.มโนรมย์, อ.เมือง, สรรพยา, หันคา และ อ.วัดสิงห์ จ.สิงห์บุรี น้ำท่วมนอกคันกั้นน้ำ 4 อําเภอ ประกอบด้วย อ.เมือง, อินทร์บุรี, พรหมบุรี และ ท่าช้าง แนวโน้มทรงตัวจ.ลพบุรี 1 อําเภอ ได้แก่ อ.บ้านหมี่ ล่าสุดระดับน้ำลดลงเล็กน้อย จ.อ่างทอง 5 อําเภอ คือ อ.เมือง, ไชโย, ป่าโมก, วิเศษชัยชาญ และ อ.โพธิ์ทอง แนวโน้มทรงตัว 
จ.พระนครศรีอยุธยา ยังคงมีพื้นที่น้ำท่วมนอกคันกั้นน้ำ 9 อําเภอ คือ อ.บางบาล, บางไทร, ผักไห่, อ.เมือง, เสนา, บางปะหัน, มหาราช, บางปะอิน และ อ.บางซ้าย ระดับน้ำมีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อย จ.อุทัยธานี รวม 3 อําเภอ ได้แก่ อ.สว่างอารมณ, ทัพทัน และ อ.เมือง พื้นที่ได้รับผลกระทบภาพรวม 14,322 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำยังทรงตัว

7.ลุ่มน้ำท่าจีน จ.สุพรรณบุรี ยังคงมีพื้นที่ประสบภัย 6 อําเภอ ประกอบด้วย อ.เดิมบางนางบวช, สามชุก, อ.เมือง, บางปลาม้า, สองพี่น้อง และ อ.อู่ทอง รวมพื้นที่ประมาณ 97,956 ไร่ ขณะนี้ระดับยังคงสูงขึ้น

อุตุฯ เตือนภาคใต้ระวังฝนตกหนัก

เมื่อเวลา 18.19 น. ที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ด้วยว่า ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย สำหรับภาคใต้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ งัด ม.44 ทําผังเมืองใหม่ให้เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

Posted: 26 Oct 2017 08:15 AM PDT

คําสั่งหัวหน้า คสช. กําหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อันได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ดําเนินการจัดทําผังเมืองขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 47/2560 เรื่อง ข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อันได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 265 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.

คำสังดังกล่าวระบุว่า ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) ตามคําสั่ง คสช. ที่ 2/2560 จัดทํานโยบายและแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก แผนการใช้ประโยชน์ในที่ดินในภาพรวม แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบ สาธารณูปโภค และแผนการดําเนินงาน รวมทั้งกําหนดหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบดําเนินการ ในแต่ละกรณี เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่อให้ความเห็นชอบ

เมื่อคณะกรรมการนโยบายให้ความเห็นชอบนโยบายและแผน แล้ว ให้ สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดทํารายละเอียด ของแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ให้สอดคล้องกัน โดยต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกเดือนนับแต่วันที่คณะกรรมการนโยบาย ให้ความเห็นชอบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

โดยในระหว่างการจัดทําแผนผังดังกล่าว ไม่ให้ให้นํากฎหมายว่าด้วยการผังเมืองมาใช้บังคับแก่การจัดทําแผนผังนั้น

เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย และคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว ให้ผังเมืองรวมตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในส่วนที่ใช้บังคับในพื้นที่ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอยู่ในวันก่อนวันที่ ครม. มีมติอนุมัติแผนผังนั้นเป็นอันยกเลิกไป และให้กรมโยธาธิการและผังเมืองดําเนินการจัดทําผังเมืองขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับแผนผังดังกล่าว โดยถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี ในระหว่างที่ยังจัดทําผังเมือง ไม่แล้วเสร็จ ให้ถือว่าแผนผังที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเป็นผังเมืองรวมตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง สําหรับแต่ละจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/261/18.PDF

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จฯ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ

Posted: 26 Oct 2017 05:32 AM PDT

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนดอกไม้จันทน์ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่ง มโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ และปี่พาทย์ กองเกียรติยศทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี และยิงปืนเล็กยาว 9 นัด พร้อมกันกับทหารปืนใหญ่ยิงปืนใหญ่ถวายพระเกียรติ 21 นัด

ที่มา: โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย

เวลา 17.20 น. วันนี้ (26 ต.ค.) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ คุณพลอยไพลิน เจนเซน คุณสิริกิติยา เจนเซน ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พ.ต.จิทัศ ศรสงคราม เฝ้ารับเสด็จ

จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระที่นั่งทรงธรรม ประทับพระราชอาสน์ตรงหน้าอาสน์สงฆ์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพทรงธรรมที่พระเมรุมาศ ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 แล้ว พระสงฆ์ 50 รูป สวดศราทธพรต จบ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงทอดผ้าไตร สมเด็จพระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนาและพระสงฆ์ 50 รูป ที่สวดศราทธพรตสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ออกจากพระที่นั่งทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระราชอาสน์ที่มุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรม ขบวนผู้แทนจิตอาสาเชิญพานดอกไม้จันทน์ จำนวน 9 พาน เดินเข้ามณฑลพิธี

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินจากพระที่นั่งทรงธรรมไปขึ้นพระเมรุมาศ โดยมี 8 ตำรวจหลวง นายทหารราชองครักษ์เชิญธงชัยพระครุฑพ่าห์ ธงชัยราชกระบี่ยุทธ นำเสด็จ ทรงวางเครื่องราชสักการะพระบรมศพ ทหารกองเกียรติยศพระบรมศพเป่าแตรเดี่ยวสัญญาณนอน จบแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนดอกไม้จันทน์ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่ง มโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ และปี่พาทย์ กองเกียรติยศทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี และยิงปืนเล็กยาว 9 นัด พร้อมกันกับทหารปืนใหญ่ยิงปืนใหญ่ถวายพระเกียรติ 21 นัด

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระเมรุมาศไปประทับ ณ มุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรม ทหารกองเกียรติยศพระบรมศพ 3 เหล่าทัพ ที่ในราชวัติพระเมรุมาศเดินแถวกลับ

อนึ่งในหมายกำหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ (อ่านราชกิจจานุเบกษา) ระบุลำดับการขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพตามลำดับ ดังต่อไปนี้

1) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพระเมรุมาศ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ
2) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
3) สมเด็จพระราชาคณะ
4) พระบรมวงศ์
5) พระประมุข ประมุข พระราชวงศ์และผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ
6) ประธานองคมนตรี
7) นายกรัฐมนตรี
8) องคมนตรี
9) อดีตนายกรัฐมนตรี
10) ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
11) ประธานศาลฎีกา
12) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
13) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
14) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
15) ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
16) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
17) ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
18) ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
19) คณะรัฐมนตรี
20) คณะทูตานุทูต
21) ผู้นำศาสนา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ งัด ม.44 ตั้ง สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ

Posted: 26 Oct 2017 05:13 AM PDT

คําสั่งหัวหน้า คสช. จัดตั้งสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ําเป็นไปอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ตามแนวทางการปฏิรูปประเทศ

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 46/2560 เรื่อง การจัดตั้งสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ตามแนวทางการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านเศรษฐกิจ และด้านทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาวะ ที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งในบางครั้งและปัญหาอุทกภัยในบางฤดู แม้การบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําที่ดําเนินการอยู่ จะมีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงในด้านการปฏิบัติการ แต่ก็ยังมิอาจดําเนินการ ข้ามหน่วยงานในลักษณะบูรณาการข้อมูล แผนงานหรือโครงการ งบประมาณและการติดตาม ประเมินผลในเชิงนโยบายและการวางแนวทางกํากับ ควบคุมการปฏิบัติการ จึงจําเป็นต้องจัดโครงสร้าง องค์กรขึ้นใหม่อย่างน้อยก็ในระยะเริ่มแรกซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปดังกล่าว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 100/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ลงวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

"มาตรา 6 สํานักนายกรัฐมนตรี มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รับผิดชอบการบริหารราชการทั่วไป เสนอแนะนโยบายและวางแผนการพัฒนา ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคง และราชการเกี่ยวกับการงบประมาณ ระบบราชการ การบริหารงานบุคคล กฎหมายและการพัฒนากฎหมาย การติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการ การส่งเสริมการลงทุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การปฏิบัติภารกิจพิเศษและราชการอื่นตามที่มี กฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจหน้าที่ของสํานักนายกรัฐมนตรีหรือส่วนราชการที่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี หรือที่มิได้อยู่ภายในอํานาจหน้าที่ของกระทรวงใดโดยเฉพาะ"

ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (14) ของมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 100/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ลงวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 "(14) สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ"

ข้อ 3 ให้สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชา ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยมีส่วนราชการ หน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติในกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และเป็นฝ่ายบูรณาการข้อมูลสารสนเทศ ฝ่ายแผนงาน โครงการ ฝ่ายงบประมาณบริหารจัดการ และฝ่ายติดตามและประเมินผลการบริหาร จัดการทรัพยากรน้ํา เพื่อประโยชน์ในการกําหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําทั้งระบบ

ในกรณีมีเหตุจําเป็นฉุกเฉิน ให้สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติมีอํานาจจัดตั้ง ศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราว และมีอํานาจในการขอเจ้าหน้าที่ในส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความจําเป็นและเหมาะสม ให้มีผู้อํานวยการสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างในสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการขึ้นตรง ต่อนายกรัฐมนตรี

ข้อ 4 ให้สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการ พลเรือน สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา เพื่อโอนหน่วยงานในระดับต่ํากว่ากรมจากส่วนราชการต่าง ๆ ไปเป็นของสํานักงานบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และกําหนดหรือปรับปรุงตําแหน่งข้าราชการ ตลอดจนจัดสรรอัตรากําลัง ให้สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติให้เหมาะสมตามความจําเป็นแก่ภารกิจ

ข้อ 5 ในระยะเริ่มแรก ให้สํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติประสานงานกับ กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุน การดําเนินการของคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติตามกฎหมายและคําสั่งที่เกี่ยวข้อง และให้ ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นกรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการ ทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 185/2558 ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจนกว่านายกรัฐมนตรี จะมีคําสั่งเป็นประการอื่น

ข้อ 6 ในกรณีที่เห็นสมควรนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษา ความสงบแห่งชาติเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้

ข้อ 7 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“ครูบาน้อย” “เข้าถ้ำ-นิโรธฯ” การสร้างเอกลักษณ์และการสร้างจุดขาย

Posted: 26 Oct 2017 02:21 AM PDT

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการนำเสนอภาพและคลิปพิธีกรรมการออกถ้ำของครูบาท่านหนึ่ง คือ ครูบาน้อย ญาณวิไชย หรือ พระมหาณัฐวุฒิ ญาณวิชชโย หลังเข้าไปบำเพ็ญอยู่ในถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน เป็นเวลา 3 ปี 3 เดือน 3 วัน ฉันเพียงน้ำและผลไม้ ไม่พบปะ พูดคุยกับใคร พิธีกรรมดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาและเป็นที่สนใจของคนในสังคม และยิ่งฮือฮามากเมื่อภาพของครูบาน้อยที่เห็นนั้น มีลักษณะผมยาว รวมถึงการแสดงท่าทางต่าง ๆ อย่าง การเสยผมและลูบไล้ผมอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของคนในโลกออนไลน์จำนวนมาก เช่น พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระนักเทศน์ วัดสร้อยทอง ที่ชี้ว่าวิถีดังกล่าวไม่ใช่วิถีของนักบวชพุทธ พระพยอม กัลยาโณ พระนักเทศน์ชื่อดังอีกรูปหนึ่ง เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ระบุว่าเป็นลักษณะของการปฏิบัติที่มีความสุดโต่งเกินไป และนางณัฐนันท์ สุดประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยสงฆ์) ได้ออกมาชี้ว่าการปฏิบัติของครูบาน้อยนั้นไม่ได้ปรากฏในพระไตรปิฎก รวมถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกจ้านวนมากในสื่อสังคมออนไลน์ พากันตั้งคำถามกับวิถีดังกล่าว เช่น "ทำได้จริงไหม" "เป็นการหลอกลวงหรือเปล่า" "ผิดพระวินัยหรือไม่" เป็นต้น 


อย่างไรก็ตามบทความนี้ จะไม่มาพิจารณาว่าสิ่งที่ครูบาน้อยกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง สมควร หรือไม่สมควรทำอย่างไร เพราะส่วนตัวผู้เขียนก็ไม่ค่อยเชื่ออย่างสนิทใจว่า หลักพระวินัยตามความเข้าใจของชาวพุทธไทยในปัจจุบัน ที่นำไปใช้เป็นกรอบความถูกผิดนั้น มีความถูกต้อง หรือจริงแท้ มากน้อยเพียงใด แต่ในที่นี้ เราจะมองวิถีและพิธีกรรมดังกล่าว ในลักษณะของการสร้างเอกลักษณ์และการสร้างจุดขายของพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง เพื่อสร้างความสนใจหรือความศรัทธาจากผู้คนในสังคมเป็นหลัก

ในหมู่พระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าลักษณะข้อวัตรหรือวิถีปฏิบัติหลายต่อหลายอย่างนั้น มีลักษณะไปในแง่ของการสร้างเอกลักษณ์และการสร้างจุดขาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตีความคำสอนพุทธศาสนา อย่างกรณีธรรมกาย สันติอโศก หรือแม้แต่สวนโมกข์เอง เรื่องการจัดพิธีกรรมที่สวยงามอลังการต่าง ๆ ของธรรมกาย หรือแม้แต่ในแง่ของสายปฏิบัติ เช่น สายพระป่า ที่เน้นเรื่องของ "ฌานสมาบัติ" หรือแม้แต่การบรรลุ "อรหันต์" รวมถึงการอ้างอิงสายลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ ผู้เป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในอดีตอย่าง หลวงปู่มั่น เป็นต้น หรือ สายธรรมยุต ก็เช่นกัน ก็พยายามสร้างเอกลักษณ์และสร้างจุดขายผ่านความเคร่งครัดในแง่ของพระวินัยอย่างสุดโต่ง เช่น การไม่รับเงินหรือปัจจัยอันก่อให้เกิดกิเลส แต่บางวัดก็ยังคงรับเงินในรูปของใบปวารณาซึ่งก็มีค่าไม่ต่างกันมาก หรือแม้แต่การสร้างเอกลักษณ์และจุดขายผ่านการเป็น พระนักเทศน์ อย่าง พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ดังนั นสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเอกลักษณ์และการสร้างจุดขายให้แต่สสำนัก สายปฏิบัติ หรือตนเองแทบทั้งสิ้น

ในกรณีของครูบาน้อยก็เช่นกัน พิธีกรรม หรือวิถีปฏิบัติอย่างการเข้าไปบำเพ็ญเพียรในถ้ำเป็นเวลา 3 ปี 3 เดือน 3 วัน ดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นหนึ่งในการสร้างเอกลักษณ์และจุดขายให้แก่ตนเอง ไม่ต่างไปจากกลุ่มพระสงฆ์ดังที่กล่าวไปข้างต้นไม่ ซึ่งแท้ที่จริง ก่อนหน้าครูบาน้อยจะเข้าถ้ำ ครูบาบุญชุ่ม ครูบาชื่อดังรูปหนึ่งของภาคเหนือได้เข้าถ้ำ 3 ปี 3 เดือน 3 วันเช่นกัน โดยเข้าถ้ำเมื่อปี 2553 ออกถ้ำในปี 2556 แต่ก็ไม่ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ

ไม่เพียงเท่านั้นในกลุ่มพระสงฆ์ในภาคเหนือ โดยเฉพาะกลุ่มครูบาคติใหม่จำนวนมากในปัจจุบันก็มีลักษณะการสร้างเอกลักษณ์และจุดขายที่เหมือนและแตกต่างกันออกไปด้วย การกล่าวอ้างว่าเป็นครูบาศรีวิชัยกลับชาติมาเกิด การอ้างว่าได้สืบพิธีกรรมการเข้านิโรธสมาบัติจากพับสาของครูบาศรีวิชัย โดยต้อง อดข้าว ฉันเฉพาะน้ำหนึ่งบาตร นั่งทำสมาธิอยู่ในกระท่อม หรือหลุมดินเป็นเวลา 3 วัน7 วัน 9 วัน มีการจัดพิธีกรรมการเข้าและออกนิโรธฯ อย่างใหญ่โต หรือแม้แต่การแต่งกายให้คล้ายคลึงกับภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัยที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน อย่างนุ่งผ้าสีกรักแดง กรักน้าตาล ห้อยลูกประคำ ถือไม้เท้า หรือตาลปัตรที่ท้าจากใบลานหรือขนนกยูงด้วย หรือแม้แต่การสร้างวัดวาอารามหรือพุทธสถานของตนเองให้มีความยิ่งใหญ่อลังการในรูปแบบที่เรียกกันเองว่า "ศิลปะล้านนาร่วมสมัย" ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างเอกลักษณ์และสร้างจุดขายให้แก่กลุ่มครูบาเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี สร้างแรงดึงดูด สร้างความสนใจจากผู้คน ให้หลั่งไหลมาร่วมทำบุญอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งวัตรปฏิบัติ และ พิธีกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ ก็มีลักษณะของการสร้างขึ้นมาเพื่อสนองต่อความต้องการของชาวพุทธไทย ในแต่ละกลุ่ม แต่ละรสนิยม แต่ละความชอบในปัจจุบัน ไม่ต่างจากกลุ่มพระสงฆ์กลุ่มอื่น ๆ ในพื้นที่อื่น ๆ ในลักษณะอื่น ๆ เช่นกัน

ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้วิถีปฏิบัติและพิธีกรรมของครูบาน้อยมีลักษณะที่ดูเป็นปัญหาเกิดจาก 1. เป็นวิถีปฏิบัติที่มีลักษณะที่แปลกหูแปลกตาที่ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับลักษณะของพระสงฆ์ในอุดมคติของชาวพุทธไทยในปัจจุบันเท่านั้น 2. พิธีกรรมและการออกถ้ำอย่างยิ่งใหญ่ของครูบาน้อยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สงฆ์ฝ่ายปกครองได้ออกหนังสือ ให้พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรตรวจสอบพระทำตัวเป็นเกจิอาจารย์หรือครูบา พร้อมทั้งจัดการกับการขึ้นป้ายโฆษณา วัตถุมงคล การประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อทุกรูปแบบ ให้สอดส่องพฤติกรรมพระสงฆ์ที่เป็นตุ๊ด พระสงฆ์ที่มีลักษณะไม่เหมาะสมที่จะเป็นที่ติเตียนของประชาชนในลักษณะโลกวัชชะ รวมถึงการตรวจสอบการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เครื่องมือสื่อสารที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์

และ 3. อาจจะถือเป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่น้อยคือ ครูบาน้อยถูกดึงไปสัมพันธ์กับปัญหาการเมืองในปัจจุบัน โดยกล่าวอ้างอิงถึงกลุ่มผู้ศรัทธาใหญ่ของครูบาน้อย เช่น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นต้น

ส่วนตัวผู้เขียนจึงคิดว่าปัจจัยทั้ง 3 สิ่งนี้ ต่างหากที่ถือเป็นแรงผลักดันให้พิธีกรรมและวิถีการเข้าถ้ำของครูบาน้อยกลายเป็นปัญหาและกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างยิ่งในสังคม และในสื่อสังคมออนไลน์ในเวลานี้

 

อ้างอิง

ณัฐพงศ์ ดวงแก้ว , "การศึกษากระแส "ครูบาคติใหม่" ในภาคเหนือของไทย พุทธทศวรรษ 2530-2560,"
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต , สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559.

ค้านนั่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกที่ 1/2560 ลงวันที่ 28 กันยายน 2560 , เรื่องให้พระสังฆาธิการตรวจสอบพฤติกรรมและลงโทษพระภิกษุสามเณรในปกครอง.

คำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนเหนือที่ 1/2560 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2560 , เรื่องอาจาระพระภิกษุสามเณรและการบริหารวัดในเขตปกครอง .

สาธุชนชื่นชมบารมี'ครูบาบุญชุ่ม'ออกจากถ้า, Komchadluck .

ดึงสติด่วนๆ..โยม!!! "พระมหาไพรวัลย์" เปิดพฤติการณ์ "ครูบาน้อย" หลังจำพรรษาในถ้านานกว่า 3 ปี ไม่ใช่หลักพุทธ!!! , Tnews.

จากพระถึงพระ!!! พระพยอม ชี้ชัด "ครูบาน้อย" สุดโต่ง ไม่ปลงผม-ทรมานตัวเอง ไม่ใช่หนทางบรรลุ วิธีนี้ไม่ใช่ละกิเลส เข้าข่ายผิดวินัย , Tnews.

โอละพ่อ!!! "อาจารย์ คณะพุทธศาสตร์" มจร. ชี้ชัดทำแบบ "ครูบาน้อย" ไม่มีในพระไตรปิฎก เข้านิโรธต้องไม่กิน ถ้ายังกินอย่าอ้าง!!! , Tnews.

เปิดเบื้องลึก!!! "ยิ่งลักษณ์" เขียนจดหมายหา "ครูบาน้อย" อึ ง! มีพระประธานประจำตระกูล "ชินวัตร" อยู่ในโบสถ์!!! , Tnews.

ยิ่งลักษณ์เขียน จม.หาครูบาน้อย สร้างพระ "ตระกูลชิน" ถวาย เจ้าตัวไม่ยุ่งการเมือง เมตตาทุกกลุ่ม , อมรินทร์ทีวี.


ที่มาภาพ: https://newworldss.net

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทนายอานนท์' เผย 'เอกชัย' อยู่รีสอร์ตกาญจนบุรี ทหารจะส่งกลับ 28 ต.ค.นี้

Posted: 26 Oct 2017 01:26 AM PDT

อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายสิทธิฯ โพสต์ข้อความระบุ 'เอกชัย หงส์กังวาน' อยู่ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งที่ จ.กาญจนบุรี โดยทหารจะส่งกลับวันที่ 28 ต.ค.นี้

26 ต.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ วันนี้ (26 ต.ค.60) ว่า "11.50 น. ได้รับการติดต่อจากเอกชัย บอกว่าตอนนี้อยู่ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งที่กาญจนบุรี ทหารจะส่งกลับวันที่ 28 ตุลาคม"

สำหรับ เอกชัย หรือ เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมและอดีตนักโทษการเมือง นั้น เขาถูกทหารแต่งกายในเครื่องแบบ 3 คน แต่งกายนอกเครื่องแบบรวมทั้งสิ้นจำนวน 11 คน ได้เดินทางไปที่บ้านของเขา ช่วงเช้าวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อนำตัวไปคุมตัวที่รีสอร์ท จ.กาญจนบุรี เพื่อความสบายใจในช่วงงานพระราชพิธี

ภาพ เอกชัย หงส์กังวาน

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ เอกชัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า วันที่ 26 ต.ค.นี้ ตนจะสวมเสื้อแดง และจะทำในสิ่งที่ใครคาดไม่ถึง จากนั้นมีสื่อบางสำนักนำไปรายงานต่อ จะมีผู้แสดงออกในลักษณะข่มขู่ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก แม้กระทั่งเพจ 'ไข่แมว' ยังทำการ์ตูนล้อเลียนการข่มขู่ดังกล่าว จากนั้น เอกชัย เล่าด้วยว่า วันเสาร์ที่ผ่านมาตนเดินทางไปที่ร้านนวนแผนไทยที่ตนทำงานอยู่ พบนายตำรวจ เข้ามาเตือนตนด้วย ในขณะที่ตนยืนยันว่าสิ่งที่จะทำในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด

การคุมตัว เอกชัย โดยพลการของเจ้าหน้าที่ทหารครั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทหารปล่อยตัว เอกชัย จากการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมทั้งแจ้งเหตุในการควบคุมตัว สถานที่ควบคุมตัวในทันที โดยระบุด้วยว่าการกระทำดังกล่าวขัดกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: น้ำท่วมแผ่นดิน

Posted: 26 Oct 2017 12:49 AM PDT

เพื่อนเอ๋ย
ช่วงนี้กระแสน้ำเชี่ยวกราก
อย่าเสี่ยงเอาเรือไปขวาง
อย่าพยายามว่ายทวนน้ำ
น้ำจะพาเราจะจมได้ง่ายๆ

เพื่อนเอ๋ย
ช่วงนี้น้ำท่วมเอ่อล้นเป็นวงกว้าง
กินพื้นที่แทบทั้งแผ่นดิน
เก็บเนื้อเก็บตัวเถิด
อย่าไปโดนน้ำจนเปียกปอนป่วยไข้เข้าล่ะ

เพื่อนเอ๋ย
น้ำที่ไหลบ่ามา
ดูให้ดีนะ
บางครั้งมันไม่ได้สะอาดอย่างที่ใครต่อใครพูดกัน
ใสแต่เบื้องหน้า แต่ข้างในอาจขุ่นข้นสกปรก
"ฆ่าคนมานักต่อนักแล้ว"

เพื่อนเอ๋ย
อดทนรอน้ำลดน้ำแห้ง
แล้วค่อยคิดหาทางกันใหม่
สักวัน น้ำคงจะไม่ท่วมอีกแล้ว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ตั้ง 34 ผู้ปฏิบัติงานใน คสช.

Posted: 26 Oct 2017 12:19 AM PDT

คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่งตั้ง 34 ผู้ปฏิบัติงานใน คสช.

26 ต.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 6/2560 เรื่อง แต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานใน คสช. ตามที่มีประกาศ คสช. ฉบับที่ 93/2557  ลงวันที่ 17 ก.ค. 2557 เรื่อง การกําหนดอัตราตําแหน่ง และค่าตอบแทนของผู้ปฏิบัติงานใน คสช. แล้วนั้น เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของ คสช. ในการรักษาความสงบเรียบร้อย และการสนับสนุนภารกิจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้เปลี่ยนแปลง การแต่งตั้งบุคคลปฏิบัติงานใน คสช. ตามคําสั่ง คสช. ที่ 5/2559 เรื่อง แต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานใน คสช. ลงวันที่ 20 ต.ค. 2559 ประกอบด้วย รองเลขาธิการประจําผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. จํานวน 14 ราย  ที่ปรึกษาประจําผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. 14 ราย 

รวมทั้ง พ.อ.วินธัย สุวารี เป็น โฆษกประจํา คสช พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง เป็น รองโฆษกประจํา คสช พล.ต.วิระ โรจนวาศ เป็น ประจํา คสช. พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ เป็น ประจํา คสช. คนันท์ ชัยชนะ เป็น ประจํา คสช. และ ณัชฐานันท์ รูปขจร เป็น ประจํา คสช.

ทั้งนี้ ตามประกาศคสช. ฉบับที่ 93/2557  เรื่อง การกําหนดอัตราตําแหน่งและค่าตอบแทนของผู้ปฏิบัติงานใน คสช.โดยที่เป็นการสมควรให้มีการกําหนดอัตราตําแหน่งของผู้ปฏิบัติงานใน คสช. และกําหนดค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานของผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว คสช. จึงมีประกาศ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ให้มีอัตราตําแหน่งสําหรับผู้ปฏิบัติงานใน คสช. ดังต่อไปนี้ (1) เลขาธิการหัวหน้า คสช. จํานวน 1 อัตรา (2) ที่ปรึกษาประจําหัวหน้า คสช. จํานวน 2 อัตรา (3) รองเลขาธิการประจําผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. จํานวน 14 อัตรา (4) ที่ปรึกษาประจําผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. จํานวน 14 อัตรา (5) โฆษกประจํา คสช. จํานวน 1 อัตรา (6) รองโฆษกประจํา คสช. จํานวน 1 อัตรา (7) ประจํา คสช. จํานวน 10 อัตรา
 
ข้อ 2 ให้ผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งตามข้อ 1 ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนเท่ากับอัตราเงินเดือนตามที่กําหนดไว้ในบัญชีอัตราตําแหน่งและเงินเดือนข้าราชการการเมืองท้ายกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่ง โดยเทียบตําแหน่งดังนี้ (1) เลขาธิการหัวหน้า คสช. เทียบเท่า เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (2) ที่ปรึกษาประจําหัวหน้า คสช. เทียบเท่า ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (3) รองเลขาธิการประจําผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. เทียบเท่า รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (4) ที่ปรึกษาประจําผู้ดํารงตําแหน่งใน คสช. เทียบเท่า ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (5) โฆษกประจํา คสช. เทียบเท่า โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (6) รองโฆษกประจํา คสช. เทียบเท่า รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (7) ประจํา คสช. เทียบเท่า ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีหน้า
 
ข้อ 3 เงินค่าตอบแทนของผู้ดํารงตําแหน่งตามข้อ 1 ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ริต มาร์ลิงตีแผ่วัฒนธรรม "ชายครอบงำ" ในวงการบันเทิงฮอลลีวูด

Posted: 25 Oct 2017 09:48 PM PDT

หลังฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์ ผู้กำกับฮอลลีวูดถูกเปิดโปงกรณีล่วงละเมิดทางเพศหญิงหลายคน โดยหนึ่งในผู้ที่ออกมาพูดก็คือบริต มาร์ลิง นักแสดงและคนเขียนบทของฮอลลีวูดผู้มีความฝันอยากให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงในการ "เล่า" เรื่องจากมุมตัวเองบ้าง เธอเขียนบทความตีแผ่วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ที่ยังครอบงำวงการฮอลลีวูด และชี้ว่าเพราะเหตุใดเศรษฐกิจและวัฒนธรรมส่งผลต่อปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ

บริต มาร์ลิง (ที่มา: Gage Skidmore/Wikipedia)

24 ต.ค. 2560 บริต มาร์ลิง นักแสดง นักทำภาพยนตร์และคนเขียนบทผู้เคยมีผลงานประกวดในเทศกาลซันแดนซ์ เขียนถึงเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญจากการทำงานในวงการฮอลลิวูด รวมไปถึงทัศนคติต่อผู้หญิงจากวงการที่ครอบงำด้วยชายที่เป็นคนขาว ทั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจระหว่างเพศที่กลายเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์เชิงอำนาจจนทำให้ผู้หญิงถูกบีบให้ต้อง "จำยอม" กับสภาพที่กลายเป็นเครื่องมือทางเพศ

มาร์ลิงเล่าว่าแม่ของเธอบอกกับเธอตั้งแต่เธอยังเด็กว่าถ้าหากเธออยากเป็นผู้หญิงที่เป็นอิสระ เธอต้องมีฐานะทางการเงินที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องพึ่งพาใคร เธอจึงเรียนสายเศรษฐศาสตร์เพื่อจะเป็นนักลงทุนธนาคารเพราะเธอต้องการเสรีภาพที่เธอเชื่อว่าเงินซื้อได้ แต่หลังจากที่เธอทำงานเป็นนักวิเคราะห์ที่วาณิชธนกิจโกลด์แมน แซคส์ เธอก็เปลี่ยนความคิด เพราะเธอคิดได้ว่าถ้าหากเธอต้องการจะทำอะไรเพื่อให้มีอาหาร น้ำ ที่อยู่ ซึ่งนานมาแล้วเคยเป็นของฟรี เธอก็ควรจะทำในสิ่งที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณเธอได้

นั่นทำให้มาร์ลิงได้ไปอยู่ในที่ที่เธอมองว่ามีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นคือการได้ศึกษาต่อเพื่อจะเข้าไปทำงานในสายภาพยนตร์ เธอเชื่อว่าตัวเธอเองเป็นคนที่ชอบฟังเสียงคนอื่น เป็นคนที่เน้นการเข้าถึงหัวจิตหัวใจคนอื่นและมีจินตนาการ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เธอมองว่าวัฒนธรรมยุคหลังๆ มีน้อยลง มาร์ลิงมองว่าวัฒนธรรมอเมริกันเน้นแต่สร้างให้คนที่เป็นนักพูดแบบมองไปข้างหน้าผู้เน้นสร้างผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกหรือผลกระทบต่อชีวิตคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น คนจน คนที่ไม่ใช่คนขาว และผู้หญิง

แต่สิ่งที่เธอได้รับรู้เมื่อเข้าไปในวงการฮอลลีวูดแล้วก็พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของวงการนี้แทบจะมีการ "ค้ามนุษย์" ผู้หญิง โดยที่มาร์ลิงอธิบายเพิ่มเติมว่าฮอลลีวูดมองผู้หญิงเป็นสินค้าที่จะใช้งานได้ไม่มีวันหมด ขณะที่ผู้กุมอำนาจในการเล่าเรื่อง ทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจในเชิงศิลปกรรม ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายคนขาวที่มีรสนิยมทางเพศแบบชายรักหญิง จากการสำรวจในปี 2560 พบว่ามีผู้หญิงอยู่เพียงร้อยละ 23 เท่านั้นที่อยู่ในสมาคมผู้กำกับภาพนตร์ของอเมริกา และมีเพียงร้อยละ 11 เท่านั้นที่เป็นคนที่ไม่ใช่คนขาว

นั่นทำให้อำนาจการเล่าเรื่องตกไปอยู่ในมือของชายคนขาวที่ไม่ได้เป็นเกย์ อำนาจแบบนี้เองนำไปสู่การเขียนให้ตัวละครผู้หญิงดูไม่มีความสลักสำคัญ ถึงขั้นไม่มีชื่อ เช่น เป็น "คนสวมบิกินีหมายเลข 2" หรือเป็น "หญิงผมบลอนด์หมายเลข 4" ตัวมาร์ลิงก็เคยถูกแคสไปรับบทแบบนี้ ซึ่งมักจะถูกออกแบบมาให้เป็นคนถามตัวละครชายเพื่อให้ตัวละครชายพูดอยู่คนเดียว หรือไม่งั้นก็เป็นตัวละครหญิงที่จะถูกฆ่าทิ้งอย่างรวดเร็วเพื่อให้พล็อตเรื่องดำเนินต่อไป

มาร์ลิงยังเขียนถึงเรื่องที่เธอถูกให้สวมชุดในลักษณะที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนราวกับเป็น "วัตถุทางเพศ" แนวคิดแบบฮอลลีวูดยังทำให้ผู้หญิงมีแนวคิดฝังจำในระดับหนึ่งว่าพวกเธอต้องขายร่างกายที่น่าปรารถนาเท่านั้น ไม่ใช่ขายความสามารถทางศิลปะหรือขายจินตนาการ อำนาจกดทับแบบนี้เองที่ทำให้ผู้หญิงที่ยังสาวในวัฒนธรรมของเธอพูดปฏิเสธได้ยากเวลาที่จะถูกล่วงละเมิดทางเพศจากการที่ฝ่ายชายมีอำนาจและอภิสิทธิ์เหนือกว่า นอกจากนี้ยังทำให้ผู้หญิงเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดกับการยอมรับของผู้ชาย

มาร์ลิงมองว่าสุดท้ายแล้วการคัดเลือกออดิชั่นเข้าแสดงในภาพยนตร์ก็มักจะเป็นการแสวงหาการยอมรับจากผู้ชาย และบางที่พวกเธอก็ต้องไปแสดงในเนื้อเรื่องที่เธอไม่ได้เห็นด้วยในเชิงจริยธรรมหรือในเชิงการเมือง เธอจึงตัดสินใจพยายามไปทำงานที่ตัวเองจะได้เป็นคนเล่าเรื่องแทน เธอทำงานตอนกลางวัน แล้วใช้เวลาตอนกลางคืนไปในการอ่านหนังสือวิธีการเขียนบท เธอทำเช่นนี้เป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งเธอได้ร่วมเขียนบทและแสดงในภาพยนตร์ชื่อ "Sound of My Voice" ที่ได้ฉายในเทศกาลซันแดนซ์ปี 2554

ในกรณีของฮาร์วีย์ ไวน์สไตน์ ผู้กำกับที่ถูกกล่าวหาเรื่องล่วงละเมิดทางเพศนั้น มาร์ลิงเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไวน์สไตน์เคยเรียกร้องจะพบตัวเธอคือในปี 2557 เมื่อฮอลลีวูดมองว่าเธอเป็น "เนื้อชิ้นใหม่" เธอไปพบตัวไวน์สไตน์เนื่องจากเชื่อว่ามันจะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น แต่เธอก็รู้สึกถูกบีบให้มีความสัมพันธ์กับไวน์สไตน์เนื่องจากเขามีอำนาจที่จะชี้เป็นชี้ตายเธอได้ถ้าเธอขัดเขา แต่ในที่สุดเธอก็รวบรวมความหนักแน่นในจิตใจได้จนเดินออกจากห้องไปทั้งที่มือยังสั่นและพูดอะไรไม่ออก

"ต่อมาฉันกลับมานั่งร้องไห้คนเดียวที่ห้องโรงแรมของตัวเอง ฉันร้องไห้เพราะว่าฉันยังขึ้นลิฟท์ไปทั้งที่ฉันก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ฉันร้องไห้เพราะว่าฉันอนุญาตให้เขาแตะต้องไหล่ฉัน ฉันร้องไห้เพราะในช่วงเวลาอื่นๆ ในชีวิตฉัน ในสถานการณ์แบบอื่น ฉันไม่สามารถหนีออกมาได้" มาร์ลิงกล่าว

เธอมองว่าที่ออกมาเปิดโปงว่าไวน์สไตน์ใช้อำนาจล่วงละเมิดทางเพศพวกเธอล้วนเป็นคนที่กล้าหาญ ขณะเดียวกันการที่เธอตัดสินใจเล่าเรื่องนี้เพราะชวนให้คิดถึงความสำคัญเกี่ยวกับ "เศรษฐศาสตร์ของการยินยอมพร้อมใจ" ด้วย

จากตัวอย่างนี้ไวน์สไตน์มีอำนาจที่จะทำให้คนมีชื่อเสียงจนเป็นการทำให้ผู้หญิงบางคนขึ้นไปมีอำนาจและมีเสียงดังกว่าคนอื่นในโลกแบบชายครอบงำได้ พวกเขารู้ดี ไวน์สไตน์รู้ดีในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันไวน์สไตน์ก็มีอำนาจที่ไม่ได้เพียงเนรเทศคนในทางศิลปะหรือทางความรู้สึกเท่านั้น ยังเป็นการขับไล่ในทางเศรษฐกิจด้วย

มาร์ลิงจึงชวนให้มองเรื่องความไม่เท่าเทียมและการถูกกีดกันทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ผู้หญิงเพิ่งอนุญาตให้มีบัตรเครดิตเป็นชื่อตัวเองเมื่อ 43 ปีที่แล้วนี้เอง ผู้หญิงในสหรัฐฯ ยังไม่มีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายตัวเองตัวเองจนกระทั่งถึงช่วงยุคคริสตทศวรรษ 1970s ก่อนหน้านี้สามีของเธอทุบตีหรือบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่มีข้อห้ามทางกฎหมาย นอกจากนี้ผู้ชายในสหรัฐฯ ยังมีอำนาจจากการเป็นผู้ตัดสินใจได้ว่าจะจ้างงานหรือจะต่อสัญญางานให้ผู้หญิงหรือไม่ในขณะที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายหางาน

ความไม่เท่าเทียมกันทางอำนาจนี้เองทำให้ประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศมีพื้นทีสีเทาๆ อยู่ในระดับที่แค่จะตัดสินด้วยคำว่า "การยินยอมพร้อมใจ" อย่างเดียวไม่ได้ ความกล้าที่ฝ่าบึงอันชื้นแฉะทางความรู้สึกออกมาประกาศให้โลกรู้ในประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศจึงทรงพลังและเป้นแรงบันดาลใจให้เธอชวนพูดคุยต่อถึงบทบาทเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่ปลูกสร้าง "วัฒนธรรมการข่มขืน" (rape culture) ขึ้น

ในแง่วัฒธรรมแล้วมาร์ลิงยังเปิดเผยอีกว่าในสังคมอเมริกันเพศสภาพที่ถูกมองเป็นหญิง (feminine) ยังถูกกดขี่อยู่ในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ที่แสดงออกเป็นหญิง มีความคิดเป็นหญิง หรือถูกมองว่าเป็นหญิง ต้องเผชิญกับ "สงครามที่มองไม่เห็น" นี้อยู่ทุกวัน

มาร์ลิงเรียกร้องว่าการจะแก้ปัญหานี้ได้คือควรมีการจ้างงานผู้หญิงมากขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ใช่คนขาวและผู้หญิงที่ไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับอภิสิทธิทางเศรษฐกิจ นอกจากในทางเศรษฐกิจแล้ว ในทางวัฒนธรรมควจะมีการบริโภคเรื่องราวในแนวอื่นนอกเหนือจากภาพยนตร์สูตรสำเร็จเดิมๆ ที่เอื้อต่อวัฒนธรรมการล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังควรมีสมดุลย์ระหว่างเพศสภาพและเชื้อชาติและสะท้อนโลกที่พวกเราอาศัยอยู่จริงๆ โดยที่แม้แต่เรื่องนี้เองก็เป็นความท้าทายสำหรับคนเขียนบทอย่างเธอและเป็นสิ่งที่เธอพยายามจะทำให้สำเร็จให้ได้

บทความของมาร์ลิงยังตั้งข้อสังเกตอีกว่างานบันเทิงหรืองานเชิงศิลปะวัฒนธรรมรายรอบตัวของผู้หญิงเองก็มีส่วนในการทำให้ผู้หญิงถูกกล่อมเกลาทางสังคม ทำให้มองไม่เห็นทางออกว่าพวกเธอจะออกจากอำนาจการถูกครอบงำของผู้ชายได้อย่างไร ผู้หญิงกลายคนจึงปล่อยให้มีการล่วงละเมิดดำเนินต่อไป และมาร์ลิงเองก็ยอมรับว่าเธอก็เป็นส่วนหนึ่งภายในระบบเศรษฐกิจที่ไร้มนุษยธรรมและอุตสาหกรรมบันเทิงเส็งเคร็งนี้ ถึงมันจะทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่การยอมรับปัญหาภายในที่มีก็เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างแนวทางสู่โลกที่มีมนุษยธรรมมากขึ้น และโลกที่คนมีเสรีภาพจะมอบ "ความยินยอมพร้อมใจ" ได้โดยไม่ถูกกดดันบีบเค้น

เรียบเรียงจาก

Harvey Weinstein and the Economics of Consent, The Atlantics, 23-10-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Sound_of_My_Voice

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น