โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สหรัฐฯ ถูกวิจารณ์หลังค้านมติยูเอ็น ประณามโทษประหารชีวิตคนรักเพศเดียวกัน

Posted: 05 Oct 2017 01:59 PM PDT

ในการลงมติของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อประณามโทษประหารชีวิตต่อผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน ซึ่งสหรัฐฯ คัดค้านมตินี้ร่วมกับประเทศอนุรักษ์นิยมอื่นๆ อย่างจีน อิรัก และซาอุดิอาระเบีย ทำให้สหรัฐฯ ถูกประณามจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และถูกวิจารณ์จากองค์กรผู้มีความหลากหลายทางเพศว่าสหรัฐฯ ล้มเหลวต่อการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าระดับโลก

ที่มา: Ludovic Bertron/Wikipedia

6 ต.ค. 2560 ในปัจจุบันมีอยู่ราว 10 ประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตกับกรณีการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน เช่น บรูไน, อัฟกานิสถาน, เยเมน, อิหร่าน, ซาอุดิอาระเบีย มีบางประเทศทีมีการใช้กฎหมายลงโทษเช่นนี้แค่ในบางพื้นที่ เช่นเขตปกครองตนเองตอนเหนือของไนจีเรีย และโซมาเลีย ในบางประเทศก็มีการใช้กฎหมายนี้กับเฉพาะประชากรที่นับถืออิสลามเท่านั้นอย่างมอริเตเนีย หรือในกาตาร์ที่มีโทษประหารชีวิตเฉพาะกับชาวมุสลิมที่มีเพศสัมพันธ์นอกสมรสโดยไม่สนใจว่าเป็นเพศใด

ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ ทางคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติลงมติเพื่อประณาม "การกำหนดโทษสั่งประหารชีวิตในฐานะที่ใช้ลงโทษการกระทำบางอย่าง เช่น การเลิกศรัทธา, การหมิ่นศาสนา, การคบชู้ และการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนเพศเดียวกัน"

อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ เป็น 1 ใน 13 ประเทศที่โหวตคัดค้านมติดังกล่าวของสหประชาชาติ แม้ว่ามติดังกล่าวจะผ่านร่างก็ตาม โดยมี 27 ชาติที่โหวตสนับสนุน และมี 7 ชาติที่งดออกเสียง เรื่องนี้ทำให้ ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติถูกตั้งคำถามจากนักสิทธิมนุษยชนและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ)

โดยที่องค์กรฮิวแมนไรท์แคมเปญ (HRC) แถลงประณาม นิกกี ฮาลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติและรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็นความล้มเหลวต่อการร่วมมติ ทำให้สหรัฐฯ อยู่ในสภาพ "ยิ่งกว่าน่าขายหน้า"

ที คอบบ์ ผู้อำนวยการของ HRC โกลบอล กล่าวว่าฮาลีย์ล้มเหลวจากการไม่ยอมยืนหยัดต่อต้านการใช้โทรประหารชีวิตอันป่าเถื่อนที่ถูกอ้างใช้ลงโทษผู้มีความสัมพันธ์แบบคนรักเพศเดียวกัน ในขณะที่มติขององค์กรสิทธิมนุษยชนยูเอ็นนี้เป็นความก้าวหน้าสำคัญแต่รัฐบาลทรัมป์ก็ล้มเหลวในการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำบนเวทีโลกในการสนับสนุนมาตรการนี้ได้

โฆษกการต่างประเทศของสหรัฐฯ เฮเธอร์ เนาเอิร์ต กล่าวโต้ตอบคำวิจารณ์ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ทางสหรัฐฯ เอง "ประณามอย่างจริงจัง" ต่อการใช้โทษประหารเพื่อลงทัณฑ์คนรักเพศเดียวกัน การคบชู้ และการล่วงละเมิดศาสนา แต่ก็อ้างว่าสาเหตุที่พวกเขาโหวตคัดค้านมติฉบับนี้เพราะกลัวว่าจะต้องประณามการใช้โทษประหารในทุกสถานการณ์ไปจนถึงกลัวว่าจะมีการเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารทั้งหมด

นอกจากเรื่องโทษประหารต่อความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกันแล้ว ฝ่ายสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นยังประณามการประหารชีวิตต่อบุคคลที่พิการทางใจและทางสติปัญญา บุคคลที่อายุต่อกว่า 18 ปี หญิงมีครรภ์ และยังแสดงความกังวลอย่างมากในเรื่องที่มีการอ้างใช้โทษประหารชีวิตเรื่องการคบชู้กับผู้หญิงในอัตราส่วนที่มากอย่างเกินขอบเขต

ในหมู่ประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิตคนรักเพศเดียวกันนั้นมีอยู่ 6 ประเทศที่ยังนำมาบังคับใช้คือ อิหร่าน, ซาอุดิอาระเบีย, ซูดาน, เยเมน, ไนจีเรีย และโซมาเลีย รวมถึงพื้นที่ที่ถูกยึดครอบโดยกลุ่มก่อการร้ายไอซิส มี 5 ประเทศที่ระบุเรื่องนี้ไว้ในกฎหมายแต่ไม่มีการนำมาใช้จริง

เรนาโต ซับบาดินี ผู้อำนวยการบริหารของสมาคมสากลเพื่อเลสเบียน, เกย์, ไบเซ็กชวล, ทรานส์ และอินเตอร์เซ็กส์ (ILGA) กล่าวว่า มันเป็นเรื่องคิดไม่ถึงที่ว่ามีคนอีกหลายร้อยล้านคนที่ยังอยู่ในรัฐที่ยังคงมีคนถูกประหารชีวิตเพียงเพราะว่าพวกเขารักคนๆ หนึ่ง จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ประชาคมโลกเน้นย้ำว่าควรทำให้กฎหมายแบบนี้ถูกยกเลิกไป

13 ประเทศที่โหวตคัดค้านมติในครั้งนี้ได้แก่ บอตซาวานา, บุรุนดี, อียิปต์, เอธิโอเปีย, บังกลาเทศ, จีน, อินเดีย, อิรัก, ญี่ปุ่น, กาตาร์, ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ประเทศที่นำเสนอมตินี้ได้แก่ เบลเยี่ยม, เบนิน, คอสตาริกา, ฝรั่งเศส, เม็กซิโก, มอลโดวา, มองโกเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการสนับสนันจากอีกหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร, คองโก, คีร์กีซสถาน และโบลิเวีย ฯลฯ

เรียบเรียงจาก

US votes against UN resolution condemning gay sex death penalty, joining Iraq and Saudi Arabia, The Independent, 04-10-2017

U.S. Votes Against United Nations Ban on Death Penalty for Same-Sex Relations, Snopes, 03-10-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Death_penalty_for_homosexuality

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หนังสือในมือเจ้าหน้าที่: แนะนำหนังสือ 2 เล่มจากที่เกิดเหตุ 6 ตุลา 19

Posted: 05 Oct 2017 01:10 PM PDT

ภาพถ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พร้อมชูหนังสือ 2 เล่มที่ว่านั้นคือ "ด้วยเลือดและชีวิต : รวมเรื่องสั้นเวียดนาม" ผลงานแปลของจิตร ภูมิศักดิ์ และ "คติพจน์ประธานเหมาเจ๋อตุง" โดยชะตากรรมของหนังสือทั้ง 2 เล่มหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เคยถูกประกาศให้เป็นหนังสือต้องห้าม ปัจจุบันเป็นหนังสือที่สามารถยืมได้ในห้องสมุด ม.ธรรมศาสตร์ รวมทั้งมีจำหน่ายอยู่ในเว็บขายหนังสือเก่า

000

ภาพถ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนถืออาวุธ โดย 2 ใน 3 นายชูหนังสือ 2 เล่ม โดยมีฉากหลังคือสนามฟุตบอลและผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่นอนหมอบราบ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามด้วยอาวุธและเข้าเคลียร์พื้นที่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็น 1 ใน 94 ภาพถ่ายที่ "โครงการบันทึก 6 ตุลา" (https://doct6.com/) ได้รับชุดภาพถ่ายมาจากปฐมพร ศรีมันตะ ซึ่งได้รับภาพต่อมาจากบุคคลอื่นอีกต่อหนึ่ง โดยได้รับเมื่อพฤษภาคม 2560 โดยชุดภาพดังกล่าวสามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ของโครงการบันทึก 6 ตุลา

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับหนังสือในมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเป็นหนังสือที่ยึดจากผู้ชุมนุมหรือไม่ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันหนังสือทั้ง 2 เล่มเป็นหนังสือที่สามารถยืมอ่านได้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แก่

ภาพปกหนังสือ "ด้วยเลือดและชีวิต : รวมเรื่องสั้นเวียดนาม" ที่วางจำหน่ายในเว็บไซต์ "บ้านหนังสือปฏิวัติ"

1. ด้วยเลือดและชีวิต : รวมเรื่องสั้นเวียดนาม / [แปลโดย] จิตร ภูมิศักดิ์. กรุงเทพฯ : ชมรมหนังสือแสงตะวัน, 2519. แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ชื่อ "The One-Eyed Elephant and the Elephant" เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่สะท้อนภาพการต่อสู้ของชาวเวียดนามต่อจักรวรรดินิยม ซึ่งหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม จะกลายเป็นหนังสือต้องห้าม

โดยหนังสือดังกล่าวสามารถยืมได้ที่ห้องสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เลขเรียกหนังสือ รส.ด3755 โดยหนังสือตามเลขเรียกหนังสือดังกล่าวมีผู้บริจาคเข้าห้องสมุดเมื่อเดือนมกราคมปี 2544

ภาพปกหนังสือ "คติพจน์ประธานเหมาเจ๋อตุง" ฉบับที่จัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศปักกิ่ง" (ที่มา: CRI)

ส่วน 2. คติพจน์ประธานเหมาเจ๋อตุง. เป็นหนังสือขนาดกระทัดรัดแต่หนาถึง 426 หน้า จัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศปักกิ่ง" เมื่อปี 2512 ต่อมามีการพิมพ์ซ้ำในปี 2518 โดย "ชมรมหนังสือวังแก้ว"

หนังสือรวบรวมคำกล่าวของเหมาเจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลานั้น ในเล่มนอกจากพิมพ์รูปภาพเหมาเจ๋อตุง ภาพเดียวกับที่พลับพลาจัตุรัสเทียนอันเหมินแล้ว ยังมีภาพลายมือของหลินเปียวเขียนว่า "เรียนนิพนธ์ของประธานเหมา เจ๋อตุง เชื่อฟังคำสอนของประธานเหมา เจ่อตุง ปฏิบัติตามคำชี้แนะของประธานเหมา เจ๋อตุง เป็นนักรบที่ดีของประธานเหมา เจ๋อตุง" เนื้อหาในเล่มนอกจากนั้นเป็นการรวมคำกล่าวของเหมาเจ๋อตุงในโอกาสต่างๆ [CRI, 8 ก.ย. 2558]

หนังสือ "คติพจน์ประธานเหมาเจ๋อตุง" ดังกล่าว สามารถยืมได้ที่ห้องสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เลขเรียกหนังสือคือ  DS778.ม7 ก17 โดยเป็นฉบับที่พิมพ์เมื่อปี 2518 โดยชมรมหนังสือวังแก้ว

อนึ่งทั้ง "ด้วยเลือดและชีวิต : รวมเรื่องสั้นเวียดนาม" และ "คติพจน์ประธานเหมาเจ๋อตุง" ต่างเคยอยู่ในบัญชีของ "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดชื่อเอกสารและสิ่งพิมพ์ที่ห้ามผู้ใดมีไว้ครอบครอง" ประกาศวันที่ 3 มีนาคม 2520 โดยสมัคร สุนทรเวช รมว.มหาดไทย ในเวลานั้น อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษ 2530 หลังยุคสงครามเย็นสิ้นสุด หนังสือเหล่านี้ก็ถูกตีพิมพ์ซ้ำและวางจำหน่ายอีกครั้ง แต่ก็ไม่คึกคักเหมือนยุคก่อน [นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, หนังสือต้องห้าม, ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า]

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิษณุ คาดจะมีรัฐบาลใหม่ ปลายปี 61 หรือต้นปี 62

Posted: 05 Oct 2017 11:28 AM PDT

วิษณุ คาดจะมีรัฐบาลใหม่ ปลายปี 61 หรือต้นปี 62 ประธาน กรธ. ย้ำ อย่ากังวลกระแสร่างกฎหมายลูกถูกคว่ำ ยันพร้อมส่งให้ สนช. พิจารณาได้ทันตามกรอบก่อน 1 ธ.ค. นี้ ขณะที่ประธาน สนช. ยืนยัน สนช.เร่งพิจารณากฎหมายลูกตามกรอบเวลา

แฟ้มภาพ

5 ต.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความชัดเจนการกำหนดวันเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะมีการเลือกตั้งในปลายปี 2561 และมีรัฐบาลใหม่ช่วงต้นปี 2562 ว่า กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญต้องดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน คือในช่วงเดือนธันวาคม 2560 และส่งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเดือนมกราคม 2561 โดยมีเวลาในการพิจารณา 60 วัน แต่หากมีการแก้ไขอีก ก็ต้องเพิ่มเวลาออกไปอีก 30 วัน เมื่อแล้วเสร็จ ก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป โดยมีระยะเวลา 90 วัน เมื่อประกาศใช้กฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ก็จัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน คาดว่าจะได้รัฐบาลใหม่ในช่วงปลายปี 2561 หรือ ต้นปี 2562

"เพราะเมื่อจัดการเลือกตั้งเสร็จแล้วประกาศผลเลือกตั้งภายใน 60 วัน ก็ดูสิว่าประกาศได้หรือไม่ ถ้าอยู่บนสมมุติฐานว่าประกาศได้ก็ต้องประกาศ ถ้าประกาศไม่ได้ ใบแดงเยอะ เปิดสภาฯ ไม่ได้ ผมไม่รู้ เพราะอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เปิดสภาฯ ไม่ได้ ก็ต้องยืดเวลาออกไป ถ้าเปิดสภาฯ เลือกนายกฯ ได้ สามวันจบ ม้วนเดียวเสร็จ มันก็เร็ว แต่ถ้าเลือกนายกฯ ยังไม่ได้ ต้องยืดยาว ก็ 20 วัน 30 วัน 40 วัน 50 วัน ผมก็ไม่รู้ว่าไงแล้ว เพราะสมุมติก็สมมุติเยอะแล้ว แต่เวลาพูดโรดแมป กรุณาพูดโรดแมปที่เป็นเหตุการณ์ว่าอะไรจะเกิด แต่ถ้าจะเอาวัน เดือน ปี เวลา วัน เวลา มันตอบไม่ได้ เพราะตัวแปรมันเยอะ" วิษณุ กล่าว

ประธาน กรธ. ย้ำ อย่ากังวลกระแสร่างกฎหมายลูกถูกคว่ำ

มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวว่า สนช. น่าจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(กฎหมายลูก) ต่าง ๆ เสร็จสิ้นในช่วงเดือน ก.ค. 2561 และไม่ทราบว่าจะมีการขยายเวลาการพิจารณาไปถึง พ.ย. 61 หรือไม่ เพราะเป็นดุลพินิจของทาง สนช.  แต่ในส่วนของ  กรธ. ยืนยันว่าจะส่งร่างกฎหมายลูกทั้งหมดให้ สนช. พิจารณาได้ ก่อนวันที่ 1 ธ.ค. นี้  ซึ่งเป็นไปตามกรอบเวลา 240 วัน  และแม้ว่าจะมีเหตุให้ร่างกฎหมายลูกไม่สามารถบังคับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าร่างกฎหมาลูกไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หรือ สนช. มีมติไม่เห็นชอบ ก็ตาม  กรธ. ก็จะต้องเป็นผู้แก้ไขหรือยกร่างขึ้นใหม่  ขออย่ากังวลกระแสข่าวคว่ำร่างกฎหมายลูก

ประธาน กรธ. ยังกล่าวถึงกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน ว่า  ซึ่งการบังคับใช้ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลที่จะกำหนดว่าจะบังคับใช้กับหน่วยงานใดก่อนหลัง เพื่อเป็นหลักประกันการทำหน้าที่ของของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ  และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  สามารถนำมาตรวจสอบได้ หากมีการกล่าวหาว่ามีการกระทำทุจริต   

ประธาน สนช. ยืนยัน สนช.เร่งพิจารณากฎหมายลูกตามกรอบเวลา

ขณะที่ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. กล่าวชี้แจงขั้นตอนการพิจารณา กฎหมายลูกของ สนช. หลังจากที่มีกระแสข่าวว่า อาจมีการคว่ำร่างกฎหมายเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปว่า หลัง กรธ. ส่งกฎหมายลูกเข้าสู่ที่ประชุม สนช.ในวาระรับหลักการแล้ว จะมีเวลาพิจารณา 60 วัน และภายหลังจากกฎหมายลูกผ่านการเห็นชอบจาก สนช.แล้ว ต้องส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ กรธ. จะต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์หรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 องค์กร ก็มีสิทธิวินิจฉัยว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายลูกที่ สนช. เห็นชอบ หากไม่เห็นชอบก็จะส่งข้อโต้แย้งกลับมายัง สนช. ภายใน 10 วัน จากนั้น สนช. จะบรรจุเข้าที่ประชุม สนช. โดยมีการตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย และพิจารณาภายใน 15 วัน เมื่อนำกลับเข้าที่ประชุม สนช. หากจะคว่ำร่างกฎหมายต้องใช้เสียงมติถึง 2 ใน 3 และหลังจากกฎหมายลูกผ่านความเห็นชอบแล้ว สนช.ก็ส่งไปยังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากต้องการตรวจสอบความถูกต้องของกฎหมายลูกว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ สมาชิก สนช. ต้องร่วมกันเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 หรือ นายกรัฐมนตรี เห็นว่าบทบัญญัติส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งฉบับขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ก็ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย แต่หากท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเห็นว่า สนช. ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ

ระธาน สนช. กล่าวยืนยันว่า สนช. ยึดหลักการพิจารณากฎหมายทุกฉบับต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและประโยชน์ต่อประชาชน กระบวนการดังกล่าวเป็นขั้นตอนปกติที่ต้องการทำให้กฎหมายออกมาดีที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องการดึงเวลาให้ล่าช้า และไม่ใช่การพิจารณากฎหมายเพื่อให้มีมติคว่ำร่างกฎหมายอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า ไทยจะจัดการเลือกตั้งในปี 2561 นั้น ประธาน สนช. กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ สนช. ต้องพิจารณากฎหมายลูกให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 ซึ่งตนคาดว่า สนช.จะพิจารณาร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. แล้วเสร็จช่วงปลายเดือน มกราคม 2561 หากไม่มีกระบวนการโต้แย้งหรือยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ และหากกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ มีผลบังคับใช้แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 150วัน โดยส่วนตัวคาดว่าการเลือกตั้งทั่วไปไม่เกินช่วงปลายปี 2561

ที่มา เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา และ สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนทนาหนัง 'สองพี่น้อง' เรื่องราว 2 คนงานการไฟฟ้า ที่ถูกแขวนคอก่อน 6 ตุลา 19

Posted: 05 Oct 2017 10:55 AM PDT

สนทนาหลังการฉายภาพยนตร์ "สองพี่น้อง" เรื่องราว 2 คนงานการไฟฟ้า ที่ถูกแขวนคอก่อน 6 ตุลา 19 กับ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และพี่ชายของ 1 ใน 2 คนงานที่ถูกแขวนคอ

สนทนาหลังการฉายภาพยนตร์ "สองพี่น้อง" (The Two Brothers) พูดคุยกับ ภัทรภร ภู่ทอง ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์, อริสา พลโยธา ทีมงานผลิตภาพยนตร์ และชุมพล ทุมไมย พี่ชายของชุมพร ทุมไมย เสวนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสัมมนา "เผชิญความอยุติธรรมด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์" จัดโดยสโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ โครงการบันทึก 6 ตุลา วันที่ 24 ก.ย. 60 ตึกเกษม อุทยานนิน ชั้น 7 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภาพยนตร์ "สองพี่น้อง" 

สำหรับ สองพี่น้อง นั้น คือเรื่องราวของ ชุมพร ทุมไมย และวิชัย เกศศรีพงษ์ศา อดีตนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คนงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขตนครปฐมและสมาชิกแนวร่วมประชาชน ซึ่งถูกซ้อมและฆ่าอย่างทารุณก่อนที่จะนำศพไปแขวน "ประตูแดง" เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2519  ผลการสืบสวนพบว่า ก่อนเสียชีวิตบุคคลทั้งสองกำลังติดโปสเตอร์ประท้วงต่อต้านพระถนอม (ถนอม กิตติขจร) แต่ตำรวจบิดเบือนคดีว่าเป็นเพราะสาเหตุผิดใจกับที่ทำงาน 
 
ต่อมา 4 ต.ค.2519 ชมรมนาฏศิลป์และการละครมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดการแสดงละครเรียกร้องให้นักศึกษามีจิตสำนึกในการเข้าร่วมการต่อสู้ โดยมีฉากแขวนคออันโด่งดังที่เป็นภาพสะท้อนถึงช่างไฟฟ้าที่ถูกสังหารที่นครปฐม และ 5 ต.ค.2519 หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ลงภาพการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา เพื่อประกอบข่าวที่ทางการตำรวจแถลงว่าจับกุมคนร้ายในกรณีสังหารช่างไฟฟ้านครปฐมได้แล้ว ซึ่งเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย 5 คน ปรากฏว่าใบหน้าของผู้แสดงของนักศึกษา มีความคล้ายคลึงกับพระบรมโอรสาธิราชอย่างไม่คาดหมาย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ดาวสยาม จึงได้เลือกเอารูปการแสดงละครที่มีความคล้ายคลึงกับพระบรมโอรสาธิราชมากที่สุดมาตีพิมพ์เผยแพร่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับบ่ายวันที่ 5 ต.ค.2519 โดยมีการพิมพ์ใหม่อย่างรวดเร็ว แล้วออกเผยแพร่โจมตีขบวนการนักศึกษาว่าจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นเจตจำนงในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของคอมมิวนิสต์ จนเกิดเหตุ ล้อมปราบนักศึกษา ในเช้าวันที่ 6 ต.ค.2519 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฉลุย สนช.รับหลัการ ร่าง ก.ม. 3 ฉบับ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ กีฬาและสูงอายุ

Posted: 05 Oct 2017 09:34 AM PDT

สนช.มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ร่างพ.ร.บ.กีฬาแห่งชาติ และร่าง พ.ร.บ.สูงอายุ

แฟ้มภาพ

5 ต.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช. ) วันนี้ (5 ต.ค.60) ได้พิจารณาและมีมติรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลายฉบับ เช่น ร่าง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ. นโยบายการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... และ ร่าง พ.ร.บ. สูงอายุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 

รับหลักการร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่

สนช. พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดย พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงเหตุผลการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวว่า เพื่อเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มบทนิยามคำว่า "สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม" การยกเลิกบทบัญญัติที่กำหนดให้อำนาจวุฒิสภาในการถอดถอนหรือดำเนินการต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมเป็นสมบัติของชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ รวมทั้งต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม

ขณะที่สมาชิก สนช. อภิปรายสนับสนุนหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมและได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ โดยหลังอภิปรายที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการวาระแรกด้วยคะแนนเอกฉันท์ 199 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 17 คน พิจารณาภายใน 60 วัน

รับหลักการร่างพ.ร.บ.กีฬาแห่งชาติ

สนช. พิจารณาร่าง พ.ร.บ.นโยบายการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดย กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชี้แจงว่า การกีฬาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และขีดความสามารถของประชาชนในการพัฒนาประเทศ แต่เนื่องจากประเทศไทยยังขาดกลไกการบริหารการพัฒนาระดับนโยบายพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาของประเทศไทยไปสู่ความเป็นเลิศ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และทันต่อการเปลี่ยนแปลง 

"ร่างกฎหมายนี้จึงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการกีฬาเพื่อบูรณาการ การทำงานของทุกภาคส่วนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่จัดทำนโยบายและแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมทั้งกำกับ ติดตาม และขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายและแผนพัฒนาการกีฬาอย่างเป็นระบบ และมีเครือข่ายการพัฒนาการกีฬาอย่างชัดเจน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าว

ขณะที่สมาชิก สนช. ส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุน แต่เสนอแนะให้ดึงภาคเอกชนและผู้ที่มีความสามารถด้านกีฬาและประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม รวมทั้งควรสนับสนุนให้สร้างสนามกีฬาครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยหลังการอภิปรายที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการวาระแรก ด้วยคะแนน 191 ต่อ 1 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 15 คน มีกรอบการทำงาน 60 วัน

รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.สูงอายุ

ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.สูงอายุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สนช.มีมติรับหลักการร่างดังกล่าวเช่นกัน ตามที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเสียง 206 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 211 คน พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จำนวน 19 คน กำหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงาน 45 วัน

วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวชี้แจงว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุปี 2546 ให้มีความสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลจึงมีนโยบายในการดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยโดยการให้เงินช่วยเหลือ เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยให้ได้รับสวัสดิการที่จำเป็น แต่ขณะนี้ทุนในกองทุนผู้สูงอายุเพื่อใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเพิ่มบทบัญญัติเรื่องการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยและบทบัญญัติเกี่ยวกับที่มาของเงินกองทุน เพื่อให้รวมถึงเงินบำรุงกองทุนที่ได้รับจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตในส่วนที่เกี่ยวกับสินค้าสุราและยาสูบโดยให้เรียกเก็บเงินบำรุงกองทุนในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต และให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าวเป็นผู้มีหน้าที่ส่งเงินบำรุงกองทุน และให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเป็นผู้ดำเนินการเรียกเก็บเงินบำรุงกองทุน เพื่อนำส่งเข้ากองทุน และในปีงบประมาณที่มีเงินบำรุงกองทุนส่งเข้ากองทุนเกิน 4 พันล้านบาท ให้กรมกิจการผู้สูงอายุนำเงินบำรุงกองทุนส่วนที่เกินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน นอกจากนี้ยังกำหนดให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจัดสรรเงินบำรุงกองทุน และเงินที่มีผู้บริจาคเข้ากองทุนซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายเป็นเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย สำหรับจ่ายเป็นเงินสงเคราะห์ดังกล่าว พร้อมกำหนดกรณีการได้รับการยกเว้น ลดหย่อน หรือคืนเงินบำรุงกองทุน และกรณีที่ต้องเสียเงินเพิ่ม รวมทั้งเพิ่มบทกำหนดโทษและการเปรียบเทียบคดีหากมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ส่งเงินบำรุงกองทุน และแก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้เพื่อให้กองทุนผู้สูงอายุมีรายได้ที่ยั่งยืน และบรรเทาภาระงบประมาณแผ่นดินในระยะยาว ทำให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้รับเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพอย่างทั่วถึง สามารถพึ่งพาตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สมาชิก สนช.ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตามได้ฝากข้อสังเกตไว้ในหลายประเด็น อาทิ กรณีผู้มีหน้าที่ส่งเงินบำรุงกองทุนมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ส่งเงิน ควรมีคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับเป็นผู้พิจารณาโทษด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และควรแยกเบี้ยยังชีพออกจากเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้การปฏิรูประบบเงินบำนาญเกิดปัญหาในอนาคต เนื่องจากเบี้ยยังชีพมีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของบำนาญพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิพึงได้ แต่เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นเรื่องของการใช้ความช่วยเหลือทางสังคม จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าการรับเบี้ยยังชีพต้องดูจากฐานะเศรษฐกิจแต่ละคนเป็นหลักการ

ที่มา : เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา และสำนักข่าวไทย  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สั่งทุกจังหวัดขอความร่วมมือสถานบริการงด-ลด กิจกรรมบันเทิงในเดือน ต.ค. ชะลองานรื่นเริง

Posted: 05 Oct 2017 07:05 AM PDT

5 ต.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงแนวทางปฏิบัติของสถานบริการในช่วงเดือน ต.ค.60 ซึ่งจะจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ว่า เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครองได้แจ้งให้ทุกจังหวัดขอความร่วมมือผู้ประกอบการสถานบริการ ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ.2509 และสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ งดหรือลดกิจกรรมบันเทิง เช่น การแสดงดนตรี หรือการเต้นรำตามช่วงเวลาและรูปแบบที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน

"ส่วนการจัดกิจกรรมงานรื่นเริงต่าง ๆ ขอให้ชะลอไว้ก่อน สำหรับการจัดงานหรือกิจกรรมที่ได้มีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เช่น งานมงคลสมรส ยังสามารถจัดได้ตามปกติ โดยขอให้จัดในสถานที่ปิด หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สามารถติดต่อสอบถามได้ทางสายด่วน 1441 หรือดูรายละเอียดทางเว็บไซต์ www.kingrama9.net" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว

ที่มา : สำนักข่าวไทยและกรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'6 ตุลา' มองผ่านหนัง#1: ภัทรภร ภู่ทอง 2 ช่างไฟฟ้าในหนัง "สองพี่น้อง"

Posted: 05 Oct 2017 06:55 AM PDT

ภาพของชายหนุ่มช่างไฟฟ้าสองคนถูกแขวนคอที่ประตูรั้วบานใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "ประตูแดง" เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2519 อาจไม่เป็นที่จดจำของคนส่วนใหญ่มากเท่ากับภาพของชายผู้ถูกแขวนคอใต้ต้นมะขามที่สนามหลวงในวันที่ 6 ตุลาคม ปีเดียวกัน

แต่อันที่จริงมันคือส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลา

พวกเขาคือ ชุมพร ทุมไมย และวิชัย เกศศรีพงษ์ศา อดีตนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขตนครปฐมและสมาชิกแนวร่วมประชาชน ปรากฏจากการชันสูตรว่าทั้งสองคนถูกซ้อมและฆ่าอย่างทารุณก่อนที่จะนำศพไปแขวน ผลการสืบสวนพบว่า ก่อนเสียชีวิตบุคคลทั้งสองกำลังติดโปสเตอร์ประท้วงต่อต้านพระถนอม (ถนอม กิตติขจร) แต่ตำรวจบิดเบือนคดีว่าเป็นเพราะสาเหตุผิดใจกับที่ทำงาน

4 ตุลาคม ชมรมนาฏศิลป์และการละครมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดการแสดงละครเรียกร้องให้นักศึกษามีจิตสำนึกในการเข้าร่วมการต่อสู้ โดยมีฉากแขวนคออันโด่งดังที่เป็นภาพสะท้อนถึงช่างไฟฟ้าที่ถูกสังหารที่นครปฐม

5 ตุลาคม หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ลงภาพการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา เพื่อประกอบข่าวที่ทางการตำรวจแถลงว่าจับกุมคนร้ายในกรณีสังหารช่างไฟฟ้านครปฐมได้แล้ว ซึ่งเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย 5 คน ปรากฏว่าใบหน้าของผู้แสดงของนักศึกษา มีความคล้ายคลึงกับพระบรมโอรสาธิราชอย่างไม่คาดหมาย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ดาวสยาม จึงได้เลือกเอารูปการแสดงละครที่มีความคล้ายคลึงกับพระบรมโอรสาธิราชมากที่สุดมาตีพิมพ์เผยแพร่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับบ่ายวันที่ 5 ตุลาคม โดยมีการพิมพ์ใหม่อย่างรวดเร็ว แล้วออกเผยแพร่โจมตีขบวนการนักศึกษาว่าจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นเจตจำนงในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของคอมมิวนิสต์

6 ตุลาคม เกิดเหตุล้อมปราบนักศึกษา การสังหารหมู่กลางเมืองที่ธงชัย วินิจจะกูล ใช้คำว่า "มันเป็นเช้าวันพุธที่การตายด้วยกระสุนปืนดูเหมือนเป็นการฆาตกรรมที่เจ็บปวดน้อยที่สุดและศิวิไลซ์มากที่สุด"

เหตุการณ์ถูกจับแขวนคอของสองช่างไฟฟ้าถูกลืมเลือนท่ามกลางข่าวหลังจากนั้น พร้อมกับที่นายตำรวจทั้ง 5 คนนั้นถูกปล่อยตัวไปอย่างเงียบๆ

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา โครงการ 'บันทึก 6 ตุลา' ได้เปิดตัวเว็บไซต์ และภาพยนตร์สารคดีความยาวประมาณ 20 นาที เรื่อง "สองพี่น้อง (The Two Brothers)" สัมภาษณ์ครอบครัวของ ชุมพร ทุมไมย และวิชัย เกศศรีพงษ์ศา ซึ่งกำกับโดย ธีรวัฒน์ รุจินธรรม และ ภัทรภร ภู่ทอง

ประชาไทสัมภาษณ์ ภัทรภร ภู่ทอง นักวิจัยในโครงการบันทึก 6 ตุลา และผู้ทำหนังสารคดีเกี่ยวกับ 6 ตุลา สัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนของผู้เสียชีวิตมาตั้งแต่เรื่อง "ความทรงจำ-ไร้เสียง (Silence-Memories)" ตามด้วย "ด้วยความนับถือ (Respectfully yours)" และปีนี้กับเรื่อง "สองพี่น้อง"

เมื่อแรกคุย เราหวังคำบอกเล่าของเธอถึงจุดเริ่มต้นและกระบวนการทำหนัง ซึ่งเธอเล่าตั้งแต่ความพยายามในการสืบหาครอบครัวของผู้เสียชีวิต การติดต่อกับครอบครัว พูดคุยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เขาเปิดเผยเรื่องราว นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของครอบครัวจากที่เคยคิดว่าการสูญเสียครั้งนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องสาธารณะที่ควรเปิดเผย แต่หลังจากนั้นเราพบว่า วิธีการตามหา "ประตูแดง" นั้นจนพบ รวมถึงความพยายามในการตามหาข้อมูลสำคัญอีกด้านเกี่ยวกับนายตำรวจผู้ต้องสงสัย 5 คนที่สูญหายและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบนั้นน่าสนใจไม่แพ้กัน

ภัทรภร ภู่ทอง

จุดเริ่มต้นของหนัง?

พอเราเริ่มทำ เราค้นพบจากการดูเอกสารชันสูตรพลิกศพ จากการดูภาพเก่าๆ ฟุตเทจเก่าๆ เราพบว่ามีคนที่ถูกแขวนคอ 5 คนในวันที่ 6 ตุลา แต่ย้อนไปก่อนหน้านั้นคือ 24 กันยา ก็มีสองคนนี้ด้วย เท่ากับว่ามีคนถูกแขวนคอทั้งหมด 7 คน และเรื่องของสองคนนี้นำไปสู่การเล่นละครในวันที่ 4 มันมีความเชื่อมโยงกันก่อนจะถึงวันที่ 6 ตุลา

โครงการฯ เริ่มสนใจสองคนนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว เราคิดว่าโครงการและตัวเรามีข้อสงสัยว่าสองคนนี้เป็นใคร เกิดอะไรขึ้น เขามีแนวคิด ประสบการณ์ ความหวัง ความฝันอย่างไร ทำไมเขาที่เป็นพนักงานไฟฟ้าถึงสนใจการเมือง มีส่วนในการต่อต้านถนอม ทำไมเขาถูกทำร้าย หลังจากเขาเสียชีวิตครอบครัวเขาเป็นอย่างไร นี่คือคำถาม

คิดว่าต้องทำเพื่อให้คนรู้จักเขามากขึ้น ตั้งคำถามว่าทำไมคนไม่รู้จักเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ทำไมเราถึงรู้ข้อมูลผู้เสียหายน้อยมาก เริ่มจากหาข้อมูลครอบครัว หายากมากเพราะไทยไม่มีหน่วยงานที่ทำเรื่องการบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง หรือการทำงานด้านความทรงจำ ทำข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียหาย แม้เราจะรู้ชื่อนามสกุล รู้ภูมิลำเนาเขา แต่เราไม่รู้จะตามหาเขาที่ไหน

การถ่ายทำและการเตรียมงานก่อนหน้านั้น?

เราใช้เวลาถ่ายทำ 7 วัน 3 จังหวัด คือที่อุบลฯ บุรีรัมย์ และนครปฐม ซึ่งไปประตูแดง ไปคุยกับเจ้าของที่ และไปดูบ้านที่ทั้งสองคนเคยเช่า รวมทั้งสุสานด้วย แต่ไม่ได้เอามาใส่ในฟุตเทจทั้งหมด

แต่ช่วงเวลาที่นานคือช่วงเตรียมงาน ซึ่งกินเวลาประมาณ 3 เดือน ใช้เวลาในการตามหาญาติ การทำความเข้าใจกับญาติว่าโครงการนี้กำลังทำอะไร ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับญาติ ให้เขาใช้เวลาในการระลึกถึงเรื่องที่ไม่เคยพูดในที่สาธารณะมาก่อน

นี่เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลา เวลาทำงานกับผู้เสียหายในประเด็นทางการเมืองที่ยังเชื่อว่ามีความอ่อนไหวอยู่ มันไม่ใช่ว่าอยู่ๆ โผล่ไปขอสัมภาษณ์พรุ่งนี้ แต่มันมีกระบวนการที่เป็นการบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าโครงการนี้ต้องการอะไร บอกให้เขาใช้เวลาในการคิดว่าเขาโอเคไหม ใช้เวลาในการทำความรู้จักกับเราก่อนตอบตกลง ไม่ต้องตอบตกลงด้วยความเกรงใจ เขามีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจ บอกเขาว่าถ้าเรื่องของเขาถูกนำมาเล่าแล้วมันจะนำไปสู่ผู้ฟัง ใครบ้าง ฟีดแบคจะเป็นยังไง คนจะรู้จักครอบครัวมากขึ้นนะ ด้วยเหตุการณ์นี้ด้วยกรณีนี้ คนจำนวนมากที่ได้ดูสารคดีเกี่ยวกับน้องชายของคุณก็จะมีการถกเถียง ถามคำถาม

คือเรื่องการสูญเสียของครอบครัว แม้ว่าเป็นเรื่องส่วนรวม แต่ครอบครัวเข้าใจมาตลอด "ถูก" ทำให้เข้าใจมาตลอดว่าความสูญเสียแบบนี้เป็นความสูญเสียส่วนตัว เพราะฉะนั้นเขาจะต้องรู้ว่าถ้าเรื่องของเขาออกมาสู่สาธารณะ เขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่เวลาโครงการทำงานสัมภาษณ์ครอบครัวทุกครอบครัว การแจ้งให้รู้เรื่องลักษณะนี้อยู่ในขั้นตอนทุกครั้ง

เริ่มจากการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์สมุดหน้าเหลือง คนแรก ชุมพร ทุมไมย เรารู้ว่าเขามาจากอุบลฯ เลยลองสุ่มโทรไปที่จังหวัดอุบล ซึ่งมีคนนามสกุลนี้ขึ้นมาประมาณ 2-3 คน และโชคดีที่ครั้งแรกโทรไปเจอพี่สะใภ้ (ของชุมพร) เป็นคนรับสาย แล้วก็ได้คุยกับชุมพล ซึ่งเป็นพี่ชายของชุมพร คุยกันหลายครั้ง เราก็เล่าให้เขาฟังว่าโครงการเรากำลังทำอะไร โครงการเราสนใจอยากรู้จักชุมพร ทุมไมยมากขึ้น บางครั้งก็เป็นการโทรไปถามสารทุกข์สุกดิบ

อีกครอบครัวค่อนข้างหายากเพราะไม่มีข้อมูลในสมุดหน้าเหลือง เราเริ่มต้นจากเสิร์ชหาคนนามสกุลนี้ว่ามีที่ไหนบ้าง ก็เจอหลายคน ลองสุ่มโทรไปแล้วถามเขาว่ารู้จักวิชัยมั้ย บางคนก็บอกไม่รู้จัก ต้องลองกลับไปถามพ่อถามแม่ให้ก่อนเพราะตอนที่เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาเขายังไม่เกิด พอกลับไปถามพ่อแม่ก็ไม่มีใครรู้จัก

บังเอิญโชคดีโทรไปที่โรงเรียนหนึ่งซึ่งมีครูผู้หญิงนามสกุลนี้ ผอ.เป็นคนรับสาย และบอกว่าจริงๆ ครูผู้หญิงไม่ได้นามสกุลนี้แต่แต่งงานกับคนที่นามสกุลนี้ ซึ่งบังเอิญผอ.ก็รู้จักผู้ชายคนนี้ ก็เลยติดต่อให้ เลยได้คุยกับเขา เขาบอกเขาไม่แน่ใจ แต่จะไปถามญาติให้และเขาก็ช่วยตาม ในที่สุดเราก็ได้เบอร์โทรศัพท์ของพี่ชายของวิชัย เกษศรีพงษา ซึ่งอยู่ที่บุรีรัมย์ ก็โทรไปแล้วเริ่มคุยเหมือนเดิม

คุยกันจนในที่สุดครอบครัวแรกยินดีให้เราไปสัมภาษณ์ แต่ครอบครัวที่สองเขามีสถานภาพทางสังคม มีตำแหน่งทางราชการ เขาค่อนข้างมีความกังวล แต่ในที่สุดเขาก็ยินดีให้เราไปสัมภาษณ์

ตอนที่เราสัมภาษณ์ครอบครัวที่อุบลฯ เราก็เล่าให้เขาฟังว่าพรุ่งนี้เราจะไปสัมภาษณ์อีกบ้านที่บุรีรัมย์ เขาก็ถามเราว่าเขาไปด้วยได้ไหม เขาอยากไปเยี่ยมเยียน อยากไปทำความรู้จักกับอีกครอบครัวหนึ่ง ไม่เคยเจอกันแต่เขารู้ว่าน้องชายเขามีเพื่อนสนิทชื่อนี้ แล้วก็ตายพร้อมกัน เคยใช้ชีวิตเรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน แล้วก็ไปมาหาสู่กันตลอด

เราก็โทรศัพท์ไปหาครอบครัวที่บุรีรัมย์ว่าโอเคมั้ย เขาก็โอเค ก็ได้เจอกัน ซึ่งก็เอาไปใส่ในหนังด้วย

การเปลี่ยนแปลงของครอบครัวหลังจากเข้าไปสัมภาษณ์?

ครอบครัววิชัยเราไม่แน่ใจ แต่ครอบครัวของชุมพล เราคิดว่าเราเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขา

เขาเห็นความหมายของการบันทึกมากขึ้น เขาเห็นความหมายของการเผยแพร่ข้อมูล การบอกเล่าข้อมูลมากขึ้น เพราะเขานำหนังสือพิมพ์ที่เขาเก็บมามอบให้กับโครงการ เขาเก็บหนังสือพิมพ์ช่วงเวลานั้นเอาไว้ทุกฉบับ เขาเก็บไว้อย่างนั้นไม่ว่าเขาจะย้ายบ้านไปที่ไหนเขาก็เอาไป มันคือของที่มีค่า มัน represent น้องชายเขา เป็นความเชื่อมโยงระหว่างเขากับน้องชาย แต่เขามอบให้กับโครงการฯ ให้คนได้อ่าน ได้ศึกษาเรื่องของน้องชาย ศึกษาเหตุการณ์ สถานการณ์จากหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัวแล้ว มันกลายเป็นของสาธารณะ และเราคิดว่าเขาตระหนักว่าความเป็นสาธารณะของเรื่องน้องชายเขามันเป็นยังไง

แล้วการเปลี่ยนแปลงของคุณล่ะ?

เราคิดว่าเราไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่เรามีความมั่นใจมากขึ้นกับสิ่งที่เราลงมือทำตั้งแต่ปีที่แล้ว เรามั่นใจมากขึ้นว่าเรามาถูกทาง อยู่ในแนวทางที่ใช่ มั่นใจในการทำงานของตัวเองมากขึ้น

ประตูแดง หาเจอได้ยังไง?

เราโชคดีที่ตอนทำงานเรามีน้องฝึกงานชื่อฝ้าย เขาเป็นคนหาข้อมูลซึ่งละเอียดมาก แล้วเขาก็อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับในช่วงนั้นแล้วเขาก็เปรียบเทียบ สโคปมากขึ้นว่ามันน่าจะอยู่บริเวณไหน บางฉบับเขียนว่าทางเข้าหมู่บ้านจัดสรร บางฉบับเขียนว่าทางเข้าที่ดินจัดสรร อยู่หมู่ 2 ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ปากทางเข้ามีอู่ 'ซุ่นชัย'

ซึ่งตอนที่ไปเซอร์เวย์ครั้งแรกมีพี่เหน่ง (พันศักดิ์ ศรีเทพ) ช่วยขับรถให้ มีเรา มีพี่เปีย ธีรวัฒน์ (ผู้กำกับ) มีพี่เอก (ช่างภาพ) แล้วก็ ฝ้าย น้องฝึกงาน ก็เริ่มต้นจากขับรถไปที่อู่ซุ่นชัย ไปถามที่อู่สองสาขา เขาก็บอกไม่รู้ไม่เคยได้ยิน ตอนแรกคิดว่าประตูนั้นอาจจะไม่มีแล้ว เพราะถนนขยาย พื้นที่แถวนั้นก็เปลี่ยนไป และเราคิดไปด้วยว่าสถานที่เกิดเหตุน่าจะเป็นหน้าถนน ที่คนพลุกพล่าน เพราะคิดว่าการแขวนคอคือการขู่ การประจาน การทำให้หวาดกลัว มันน่าจะอยู่ในที่ที่คนเห็นได้ง่าย แต่หลังจากขับรถไปทั่วก็ไม่มีร่องรอยของประตูนั้นริมถนนเพชรเกษม

เราลองขับรถเข้าไปข้างใน พอเห็นประตูที่คล้ายกันก็ตื่นเต้นว่าอันนี้ใช่รึเปล่า อันนั้นใช่รึเปล่า ขับวนไปละแวกนั้นแล้วขับผ่านบ้านผู้ใหญ่บ้าน เราเลยลองเข้าไปถาม ผู้ใหญ่บ้านแนะให้ไปถามผู้ใหญ่บ้านคนเก่า พอเข้าไปคุยเขาก็บอกทันทีว่า "อ๋อ ประตูแดง" แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเขายังอายุ 17-18 ตอนเช้าของวันที่ 24 กันยา คนในหมู่บ้านพูดกันว่ามีคนถูกแขวนคออยู่ที่ประตู เขาก็วิ่งไปดู และตอนนี้ประตูก็ยังอยู่นะ เราเลยถามเขาว่ารบกวนช่วยขับพาไปได้ไหม เขาก็ขับมอเตอร์ไซค์พาเราไป

เขาพาเราไปที่ที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ดินกว้างๆ แล้วจากไกลๆ ก็จะเห็นมีประตูรั้วของที่ดิน พอรถเลี้ยวเข้าไปที่ตรงนั้นเห็นจากไกลๆ ประมาณสองสามร้อยเมตร เห็นประตูแล้วพวกเราก็แบบ นี่แหละ! อันนี้! ทุกคนอุทาน คือผ่านไป 41 ปีมันยังอยู่ตรงนั้น มันไม่น่าเชื่อ ทุกคนที่อยู่ในรถห้าคน รู้สึกเหมือนกันว่าเราค้นพบหลักฐาน ประจักษ์พยาน นี่แหละคือจุดเกิดเหตุจริงๆ ที่สำคัญสภาพมันเหมือนเดิมแบบ 80 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม

ประตูเดิมมันเป็นสีฟ้าๆเขียวๆ แต่พอเวลาผ่านไปมันเป็นสนิม มันคือสีสนิม ชาวบ้านก็เลยเรียกกันว่าประตูแดง สิ่งที่เปลี่ยนไปมีแค่บานประตูเล็กๆ ถูกขโมยเอาไปขาย เจ้าของที่เลยเปลี่ยนเป็นบานไม้ และที่มีการถมให้สูงขึ้น ประตูและรั้วก็เลยจะดูต่ำกว่าในอดีต

และพอเราถามก็ได้รู้ว่าที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินจัดสรร ครอบครัวของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งซื้อที่ดินตรงนั้นไว้ และเขาเป็นเจ้าของที่ดินคนเดียวที่ทำประตูรั้วนี้ ปัจจุบันที่ดินตรงนี้ก็ยังไม่ได้พัฒนาทำอะไรในช่วง 41 ปีที่ผ่านมา

ทำไมสถานที่เกิดเหตุจึงอยู่ในที่ของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และไม่ใช่สถานที่ที่คนทั่วไปจะเห็นได้ง่าย?

เราสนใจเรื่องการแขวนคอ เราคิดว่าการแขวนคอมันไม่ใช่วัฒนธรรมไทย เราไม่ค่อยเห็นการถูกฆ่าแขวนคอเท่าไหร่นัก มันคืออะไร คือการข่มขู่ การประจาน และการส่งสารบางอย่างถึงอีกฝ่ายหนึ่งว่า ระวังนะ เอาจริงนะ อย่าเหิมเกริม มันมีข้อความ ไม่ยังงั้นเขาคงไม่เอามาแขวน เขาคงเอาไปฝัง เอาไปทำลาย อันนี้เป็นข้อสันนิษฐาน อาจจะผิดก็ได้

เราได้คุยกับลูกเจ้าของที่ดิน ตอนเกิดเหตุเขาอ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็จำได้ว่านี่คือประตูรั้วของที่ดินเขา ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมต้องเอามาแขวนในที่ดินของเขา เลยคิดว่ายังอยากทำต่อ เรายังไม่ได้ฟังเรื่องจากฝ่ายตำรวจ ฝายผู้กระทำ ตอนนั้นเกิดขึ้นยังไง เกิดอะไรขึ้น พยายามหาข้อมูลจากฝ่ายตำรวจแต่หาได้น้อย เคยได้คุยกับญาติของตำรวจคนหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่าเรากำลังทำเรื่องนี้ เขาก็ปฏิเสธทันทีว่าไม่ได้ติดต่อกันแล้ว

นอกจากเสียงเหยื่อแล้ว เราอยากฟังเรื่องของคนที่อยู่ฝ่ายขวา อยากฟังเสียงอีกฝ่าย และอยากฟังคนที่มีประสบการณ์ร่วมในวันนั้น คนที่มุงดู หรือพยาบาล หมอ ตำรวจ นักข่าว เห็นอะไรบ้าง จำอะไรได้บ้าง เป็นยังไง

ที่ผ่านมาโครงการได้มีโอกาสคุยกับคนจากมูลนิธิร่วมกตัญญูซึ่งลำเลียงคนตาย คนเจ็บไปโรงพยาบาลในวันนั้น สำหรับเรามันทำให้เราเห็นเหตุการณ์จากหลายมุมมากขึ้น ประมาณสัปดาห์หน้าน่าจะอัพโหลดคลิปของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูที่เราไปสัมภาษณ์

ข้อมูลสูญหายหรือจงใจทำให้สูญหาย?

เราไม่แน่ใจว่าเป็นความจงใจหรือปัญหาที่ระบบ เช่น ตำรวจ 5 นายที่นครปฐม ที่เป็นผู้ต้องหา เรามีรายชื่อทั้งหมด พบว่ามีการดำเนินการแง่ของการสืบสวนสอบสวน แต่การดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างการขึ้นศาลไม่เคยไปถึงขั้นนั้น หลัง 6 ตุลา คดีนี้ก็เงียบ ตำรวจทั้งห้าก็ถูกย้ายออกจากพื้นที่ และมีบางคนถูกย้ายกลับมาหลังจากนั้นอีก 10-20 ปี

เราไปที่โรงพัก ถามหาคนเหล่านี้ ปรากฏว่าสำนักงานตำรวจภูธรที่เราไป 2-3 แห่งไม่มีข้อมูลของ 5 คนนี้ ที่โรงพักมีสมุดเล่มเล็กๆ ซึ่งเป็นบัญชีของนายตำรวจ แต่ก็ไม่เจอชื่อของ 5 คนนี้ ตำรวจให้เหตุผลว่า ตำรวจที่เป็นชั้นประทวน ยศจ่า นายสิบ พลตำรวจ เขาจะไม่มีการเรคคอร์ดข้อมูล ตอนดูบันทึกที่เราเห็นก็จะมีแต่รายชื่อของ คนที่เป็นผู้กำกับ หรืออะไรแบบนี้ แต่เราก็ยังต้องทำการบ้านต่อว่ามันมีระบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการโยกย้ายตำรวจยังไงบ้าง ซึ่งอันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจหรือมีข้อบกพร่องของการทำข้อมูลกันแน่

แล้วถ้าตามหาจากสมุดหน้าเหลืองล่ะ?

ในตำรวจ 5 คนนี้ ค้นเจอคนที่นามสกุลเหมือนอยู่แค่ 3 นามสกุล ซึ่งมีนามสกุลหนึ่งมีคนใช้ประมาณ 300-400 คน เราพยายามจะสุ่มโดยเริ่มต้นจากคนนามสกุลนี้ที่นครปฐม แต่ตอนนี้ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าหลายบ้านก็ยกเลิกโทรศัพท์บ้านแล้ว เขาใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้นเบอร์บ้านหลายเบอร์ใช้ไม่ได้ หรือไม่มีคนรับสาย เราก็ลองดูแอเรียใกล้เคียงเช่น ราชบุรี สุพรรณบุรี บางบัวทอง แอเรียใกล้ๆ นี้ก็ยังไม่เจอ ก็ต้องไล่โทรต่อไป แล้วก็ต้องคิดว่าจะหาจากทางอื่นได้อีกไหม เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญของตำรวจ

แล้วถ้าเป็นรายชื่อที่รัฐบาลสมัยนั้นประกาศนิรโทษกรรมจากเหตุการณ์ 6 ตุลา*ล่ะ?

คดีของ 2 คนที่ตาย ไม่ได้นับรวมกับคดีของ 6 ตุลา ไม่ได้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์หรือการหมิ่นฯ รายชื่อของตำรวจ 5 คนจริงไม่ได้อยู่ในนั้น

สำนวนคดี?

สำนวนคดีเราก็ถามที่โรงพักนครปฐมว่าขอดูสำนวนได้ไหม เขาก็บอกว่าเอกสารที่อายุมากกว่า 25 ปีเขาทำลายไปหมดแล้ว

หลักฐานจากหนังสือพิมพ์?

ข่าวช่วงนั้นเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แล้วอีกอย่างข้อจำกัดของหนังสือพิมพ์บ้านเราคือข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนน้อยมาก เพราะนักข่าวต้องเกาะติดอยู่กับเรื่องนั้น ซึ่งงบประมาณและทรัพยากรมันมีจำกัด และเราก็ไม่รู้ว่าธรรมชาติของคนไทยอยากอ่านไหมแบบนี้ ข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน

เราพบว่าหลังจากที่ตามอ่านข่าวช่วงนั้น ข่าวมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นสถานการณ์มันร้อนมาก ถนอมกลับมาวันที่ 19 (ก.ย.) มีการประท้วง 24 (ก.ย.) ช่างไฟฟ้าสองคนถูกแขวนคอ วันที่ 4 (ต.ค.) นักศึกษาเล่นละคร ข่าวไม่ได้เป็นเกี่ยวกับสองคนนี้แล้ว แต่กลายเป็นข่าวนักศึกษา วันที่ 5 หมิ่นพระบรมฯ วันที่ 6 เกิดเหตุ วันที่ 7-8 หนังสือพิมพ์ไม่มี พอถึงวันที่ 9 วันที่ 10 มันเอาท์แล้ว เรื่องของหนุ่มสองคนนั้น

หมดหวังไหม?

มันก็มีบางช่วงที่มันตามยังไงก็ตามไม่เจอ ไม่รู้จะตามจากใคร ไม่มีใครรู้จักคนๆนี้ สมัยก่อนเพื่อนๆกันก็จะรู้จักกันแต่ชื่อเล่น หรือบางทีเขาอาจจะไม่บอกชื่อจริงด้วยความหวาดกลัวไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร อยู่ฝั่งไหนแน่ อันนี้จากที่ฟังจากคนสมัยนั้น อย่างเช่นคนที่ถูกแขวนคอ เรารู้ชื่ออยู่ 3 คน คนหนึ่งครอบครัวไม่ขอพูด อีกสองคนเราตามหาครอบครัวเขาไม่ได้ หานามสกุลนี้ก็ไม่มี มีคนรู้จักเขาว่าเขาชื่ออะไร ทำอะไร แต่ก็ไม่รู้แม้แต่เพื่อนสนิทว่าเขาเรียนที่ไหน มันไม่ได้ทำให้เราท้อ แต่บางทีเราต้องหยุดแล้วคิดว่าจะมีวิธีการยังไงในการหาคนให้ได้มากขึ้น

 

*ขอบคุณข้อมูลส่วนหนึ่งจากเว็บไซต์ โครงการบันทึก 6 ตุลา 

 

สำหรับผู้ที่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา หรือรู้จักกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต สามารถติดต่อได้ที่เพจเฟสบุ๊ก บันทึก 6 ตุลา - Documentation of Oct 6

 

 

*นิรโทษกรรม 6 ตุลา

24 ธ.ค. 2519 รัฐบาลธานินทร์ออก พรบ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 โดยสาระสำคัญของ พรบ. ฉบับนี้อยู่ในมาตรา 3 ซึ่งระบุว่า

"บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใด ๆ ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 และการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว ซึ่งได้กระทำไปด้วยความมุ่งหมายที่จะให้บังเกิดความมั่นคงของราชอาณาจักร ของราชบัลลังก์และเพื่อความสงบสุขของประชาชนก็ดี และการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน หรือของผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอันได้กระทำไปเพื่อการที่กล่าวนั้นรวมถึงการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่นก็ดี การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่ากระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหารหรือในทางตุลาการไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง"

ปี 2521 รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ออก พรบ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยสาระสำคัญของ พรบ. ฉบับนี้มี 3 มาตราคือ

"มาตรา 3 บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใด ๆ ที่เกิดขึ้นในหรือเกี่ยวกับการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และได้กระทำในระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ไม่ว่าจะได้กระทำในหรือนอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และไม่ว่ากระทำในฐานะเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง  
มาตรา 4 ให้ศาลทหารกรุงเทพดำเนินการปล่อยตัวจำเลยทั้งหมดซึ่งถูกฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 253ก/2520 ของศาลทหารกรุงเทพ (ใช้กฎ 6 ต.ค. 19) และให้ศาลอาญาดำเนินการปล่อยตัวจำเลยทั้งหมดซึ่งถูกฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ 4418/2520 ของศาลอาญา

บรรดาการกระทำที่เป็นเหตุให้จำเลยถูกฟ้องในคดีตามวรรคหนึ่งถ้ามิได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 3 และการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ให้จำเลยพ้นจากความผิดและความรับผิดด้วย

มาตรา 5 การนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะฟ้องร้องเรียกสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ยันกับคนไทยในสหรัฐฯ จะประกาศวันเลือกตั้งใน ปี 61 สดศรีชี้เป็นสัญญาประชาคม

Posted: 05 Oct 2017 06:54 AM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ ยัน จะประกาศวันเลือกตั้ง ในปี61 ตามโรดแมป หลังกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ประมาณ พ.ย.61 สดศรีชี้ประกาศเลือกตั้งปีหน้า ถือเป็นสัญญาประชาคมจะบิดพลิ้วไม่ได้ 

แฟ้มภาพ (เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

5 ต.ค. 2560 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งกับชุมชนไทยในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 11 ชั่วโมง ในระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 30 ก.ย. - 5 ต.ค.นีี้ ว่า ขอบคุณคนไทยทุกคนที่ร่วมกันสมัครเป็นจิตอาสา เพื่อทำประโยชน์ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  

โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า จะประกาศวันเลือกตั้ง ในปี 2561 ตามโรดแมป หลังกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ประมาณเดือน พ.ย.61 จากนั้น จะมีเวลานำขึ้นทูลเกล้าฯ อีก 90 วัน และต้องดูด้วยว่ากฎหมายดังกล่าว ให้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อใด และ ยังต้องใช้เวลาอีก 150 วัน ให้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อม เปิดรับสมัคร ก่อนจะมีการเลือกตั้งจริง ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการจัดการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ขอให้ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน เลือกผู้แทนโดยพิจารณาจากสมอง อย่างดูแต่เรื่องความสวย หรือ ความหล่อเพียงอย่างเดียว

สำนักข่าวไทยรายงานด้วยว่า คนไทยในสหรัฐฯ ที่ร่วมรับฟังอยู่ เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์  ได้ทำหน้าที่ต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ตำแหน่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิศมัย ถ้าต้องอยู่ต่อไป ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันต้องเป็นการเมืองแล้ว เราก็ต้องอยู่ ต้องทำให้ได้ ถ้าประชาชนต้องการให้เข้าไป ก็มีอยู่ทางเดียว กฎหมายมีอยู่  แต่ถ้าถามผม  ไม่เคยคิดสืบทอดอำนาจ  สาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เหลือเวลาอีก 4 เดือนจะเกษียณอายุราชการ ต้องมาทำรัฐประหาร เพราะถูกด่าทอ ว่าไม่ดูแลประเทศชาติ และ ส่วนตัวก็ทนไม่ได้กับพฤติกรรมร้ายๆ หลายอย่าง"  

 

สดศรีชี้ประกาศเลือกตั้งปีหน้า ถือเป็นสัญญาประชาคม

ขณะที่ สดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ว่าจะประกาศวันเลือกตั้งในปี 2561 ว่า เป็นเรื่องดี เพราะไม่ได้เป็นการประกาศในประเทศของเรา แต่ประกาศในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถือระบบประชาธิปไตยเป็นหลักใหญ่ของการปกครองประเทศ จึงเหมือนเป็นสัญญาประชาคมที่นายกรัฐมนตรีจะบิดพลิ้วไม่ได้ 

"ท่านจะต้องทำตามที่ได้ประกาศไว้ เพราะคำพูดของท่านผู้นำเป็นคำพูดที่ให้สัญญากับนานาชาติและประชาชนว่าจะต้องมีเลือกตั้ง หากทำไม่ได้ตามที่ท่านพูดไว้  ชื่อเสียงท่านก็จะลดลงได้" สดศรี กล่าว

สดศรี กล่าวว่า รัฐธรรมนูญระบุว่าเมื่อพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับเสร็จเรียบร้อย จะต้องเลือกตั้งภายใน 150 วัน สิ่งนี้จึงเป็นตัวเร่งให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่ร่างกฎหมายลูก จะต้องจัดทำกฎหมายที่เหลืออยู่ให้เสร็จทันตามกรอบเวลากฎหมายกำหนดไว้

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หลายพรรครัฐสภายุโรปกังวลกาตาลุญญาแยกตัว ชี้ถ้าออกจากสเปนคือออกจากอียูด้วย

Posted: 05 Oct 2017 05:53 AM PDT

อัด ชาวกาตาลันควรรู้ความจริงได้แล้ว ที่ปรึกษาสภายุโรปชี้ ประชามติไม่ยุติธรรมเพราะรัฐบาลมาดริดไม่ยอมรับ ยกตัวอย่างประชามติสกอตแลนด์ที่สหราชอาณาจักรยอมรับ รองประธานฝ่ายบริหารอียูวอนกาตาลัน-มาดริดคุยกัน แต่ต้องเคารพประเทศสมาชิกอียูอื่นๆ ด้วย ทางการกาตาลัน ลั่น ประกาศเอกราชเร็วๆ นี้

ธง ลา เอสเตลาดา ของแคว้นกาตาลุญญา ที่มาภาพจาก commons.wikimedia.org

สืบเนื่องจากการลงคะแนนเสียงประชามติในแคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน ว่าจะแยกตัวเป็นเอกราชหรือรวมอยู่กับสเปนที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่เกิดขึ้นท่ามกลางการไม่ยอมรับจากรัฐบาลกลางที่กรุงมาดริด และการใช้มาตรการรุนแรงปิดกั้นไม่ให้คนมาลงคะแนนเสียงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ทั้งกระสุนยางและไม้กระบอง ส่งผลให้มีคนบาดเจ็บมากกว่า 800 คนตามรายงานของทางการท้องถิ่นกาตาลัน ส่วนผลประชามตินั้น ร้อยละ 90 ของผู้มาออกเสียงสนับสนุนการแยกตัวจากสเปน ในขณะที่จำนวนผู้มาออกเสียงจากผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 2.26 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

วันนี้ (5 ต.ค. 2560) สำนักข่าว เอ็กซ์เพรส ของสหราชาอาณาจักร รายงานว่า มีเสียงค้านจากสหภาพยุโรปในประเด็นที่แคว้นกาตาลุญญาจะขอแยกตัวจากเจ้าหน้าที่และพรรคการเมืองใหญ่ๆ ในรัฐสภายุโรป (European Parliament) หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าพรรคเพื่อประชาชนยุโรป (European People's Party) ที่มีที่นั่งในรัฐสภายุโรปมากที่สุดออกมากล่าวว่าแคว้นกาตาลุญญาต้องรู้ว่าความเป็นจริงคืออะไร

"สักคนต้องบอกความจริงแก่ชาวกาตาลันให้พวกเขารู้ว่า ถ้าพวกคุณท้าทายกฎหมายและแยกตัวจากสเปนก็หมายความว่าพวกคุณแยกตัวจากสหภาพยุโรป" หัวหน้าพรรคเพื่อประชาชนยุโรป กล่าว

หัวหน้าพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Socialists and Democrats Party) กล่าวว่ารัฐธรรมนูญสเปนควรได้รับความเคารพและทุกฝ่ายต้องมาหาทางออกร่วมกัน

"รัฐสภายุโรป ในฐานะตัวแทนของชาวยุโรปทั้งหมดขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมานั่งคุยกันเพื่อหาทางออกอย่างสันติร่วมกันภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญของสเปน"

คณะกรรมการเวนิซที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของสภายุโรป (Council of Europe) ส่วนแยกจากสหภาพยุโรปที่เป็นองค์กรรณรงค์สิทธิมนุษยชน กฎหมาย วัฒนธรรมยุโรปและประชาธิปไตยก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประชามติครั้งนี้ โทมัส มาร์เคิร์ด เลขาธิการคณะกรรมการเวนิซกล่าวว่า การประชามติของแคว้นกาตาลุญญาไม่ตรงตามเกณฑ์การประชามติที่ยุติธรรมเพราะไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลสเปนหรือรัฐธรรมนูญแห่งสเปน โดยยกตัวอย่างกรณีประชามติของสกอตแลนด์ว่าควรแยกตัวเป็นเอกราชหรือไม่ในปี 2557 ในฐานะตัวอย่างประชามติที่ยุติธรรมและได้รับการรับรองทางกฎหมายจากสหราชอาณาจักร

ฟรานซ์ ทิมเมอร์แมนรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่วนบริหารของสหภาพยุโรปเองก็ขอให้รัฐบาลสเปนและรัฐบาลท้องถิ่นกาตาลันพูดคุยกันเพื่อปลดชนวนการเผชิญหน้าที่รุนแรง แต่การพูดคุยต้องเคารพรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกอื่นๆ ด้วย

ประเด็นการแยกตัวของแคว้นกาตาลันหลังประชามติตามมาด้วยแรงต้านทางการเมืองจากหลายตัวละครในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอยของสเปนที่ประกาศไม่ยอมรับการลงประชามติครั้งนี้ และมีทีท่าว่าจะยุบสภาท้องถิ่นกาตาลันและให้จัดเลือกตั้งใหม่ด้วย กษัตริย์เฟลิเป้แห่งสเปนเองก็ออกมาโจมตีทางการกาตาลันผ่านโทรทัศน์ในคืนวันอังคารที่ผ่านมาว่าการลงประชามติแยกตัวเป็นความพยายามทำลาย "เอกภาพของสเปน" และถ้าหากความพยายามแยกตัวยังคงดำเนินต่อไปก็จะส่งผลกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมสเปน แต่ไม่ได้ระบุถึงความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชนเลย

"ขอขอบคุณพฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบของพวกเขา พวกทางการ(กาตาลัน) ได้ทำให้อัตลักษณ์แห่งสังคมของกาตาลุญญาและสเปนตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง" 

"พวกเขาได้แสดงท่าทีเหยียดหยามความรักและความรู้สึกเป็นปึกแผ่นที่ได้หลอมรวม และจะหลอมรวมชาวสเปนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" กษัตริย์เฟลิเปตรัสผ่านโทรทัศน์

การ์เลส ปุกเดมอนต์ ผู้นำกาตาลุญญาระบุว่า แคว้นกาตาลันจะประกาศแยกตัวกับสเปนในไม่กี่วัน สำนักข่าวอินดิเพนเดนท์ของสหราชอาณาจักรรายงานว่าวันประกาศแยกตัวอาจจะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ หรือวันแรกของสัปดาห์หน้า ในขณะที่เอ็กซ์เพรสรายงานว่าแคว้นกาตาลุญญาจะประกาศตัวเป็นเอกราชในวันจันทร์ที่จะถึงนี้

อนุสัญญามอนเตวิเดโอ ปี ค.ศ.1933 ระบุถึงเงื่อนไขการเป็นรัฐว่า การเกิดขึ้นและมีอยู่ของรัฐอยู่ที่ว่ารัฐอื่นๆ จะให้การยอมรับหรือไม่ และรัฐจะต้องมีพร้อมซึ่งองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่เขตแดนที่ชัดเจน รัฐบาล พลเมืองและความสามารถในการสร้างสัมพันธ์กับรัฐอื่น

แปลและเรียบเรียงจาก

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ศรีสุวรรณ' ร้อง 'ประยุทธ์-SCG' ทบทวนการซื้อถ่านหิน 1.55 แสนตันจากสหรัฐฯ

Posted: 05 Oct 2017 04:40 AM PDT

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์ร้อง พล.อ.ประยุทธ์ และ SCG ทบทวนแนวคิดในการเตรียมลงนามจัดซื้อถ่านหินจากสหรัฐ 155,000 ตัน ระบุด้วยว่า อย่าถ่านหิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ สร้างปัญหาโลกร้อน 

ศรีสุวรรณ จรรยา (แฟ้มภาพ)

5 ต.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ โรงแรม Four Seasons กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พบปะกับภาคเอกชนไทย เพื่อรับฟังผลการหารือระหว่างภาคเอกชนไทยกับสภาหอการค้าสหรัฐฯ และแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับการค้า โดย กลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าไทย และผู้บริหารปูนใหญ่ หรือ SCG ได้รายงานภาพรวมการหารือระหว่างภาคเอกชนไทยและสหรัฐฯ และชี้แจงกรณีการซื้อถ่านหินจากสหรัฐฯว่า SCG เตรียมลงนามซื้อถ่านหินจากภาคเอกชนสหรัฐฯ 2 ฉบับ รวม 155,000 ตัน เพื่อใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ และทดแทนการซื้อถ่านหินจากอินโดนีเซีย ที่ปัจจุบันอินโดนีเซียมีความต้องการใช้ถ่านหินสูงขึ้น  SCG จึงต้องมองหาแหล่งถ่านหินใหม่ ซึ่งถ่านหินจากสหรัฐฯมีคุณภาพดีและคุ้มค่าต่อการลงทุน

ล่าสุดวันนี้ ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์เรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์ และ SCG ทบทวนแนวคิดในการเตรียมลงนามจัดซื้อถ่านหินจากสหรัฐปริมาณ 155,000 ตันดังกล่าว พร้อมระบุด้วยว่า อย่าได้ประพฤติตนในลักษณะหน้าไหว้หลังหลอก โดยหันไปใช้ถ่านหิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ สร้างปัญหาโลกร้อน และฆ่าผู้คนมาทั่วโลกแล้วนับไม่ถ้วน รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของฯพณฯนายกรัฐมนตรี และ SCG  สืบไป

รายละเอียดแถลงการณ์ :

แถลงการณ์ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
เรื่อง ขอเรียกร้องให้นายกฯและ SCG ทบทวนการซื้อถ่านหินจากสหรัฐ

ตามที่ฯพณฯนายกรัฐมนตรีได้ร่วมพบปะกับภาคเอกชนไทยและสภาหอการค้าสหรัฐ พร้อมออกมาแถลงว่า บริษัท SCG เตรียมลงนามจัดซื้อถ่านหินจากสหรัฐ 2 ฉบับปริมาณ 155,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์โดยอ้างว่าถ่านหินสหรัฐมีคุณภาพดีและคุ้มค่าต่อการลงทุนนั้น

การกระทำดังกล่าว ทำให้สังคมไทยผิดหวังต่อการดำเนินธุรกิจของ SCG เป็นอย่างมาก ซึ่ง SCG ได้เปิดเผยตัวตนของหน่วยงานต่อสาธารณะโดยชัดแจ้งว่าเป็นบริษัทที่นิยมถ่านหิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบพลังงานที่ก่อให้เกิดปัญหาสภาวะโลกร้อนเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก และเป็นที่น่าสงสัยว่า การดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมของ SCG ในอดีตที่ผ่านมาโดยอ้างว่าเป็นองค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีธรรมาภิบาลสูง ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ข้อพิสูจน์ที่เปิดเผยออกมาในการเตรียมลงนามจัดซื้อถ่านหินจากสหรัฐนี้ จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนยิ่งว่าแท้ที่จริงแล้ว SCG เป็นบรรษัทธรรมาภิบาลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดจริงหรือไม่ ?

นอกจากนั้น การสนับสนุนการดำเนินการครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินนโยบายที่ขัดหรือแย้งต่อปฏิญญาปารีสว่าด้วยการป้องกันปัญหาโลกร้อน ซึ่งทั่วโลก 196 ประเทศให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2558
และประเทศไทยก็ได้ให้สัตยาบันร่วมลงนามแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 แล้วด้วย โดยเป็นการแสดงเจตจำนงทางการเมืองในทางนโยบายของไทยในการร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยมีเป้าหมายคือจำกัดการใช้ถ่านหิน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จึงขอเรียกร้องไปยังฯพณฯนายกรัฐมนตรี และ SCG ได้โปรดทบทวนแนวคิดในการเตรียมลงนามจัดซื้อถ่านหินจากสหรัฐปริมาณ 155,000 ตัน ดังกล่าวเสีย อย่าได้ประพฤติตนในลักษณะหน้าไหว้หลังหลอก โดยหันไปใช้ถ่านหิน ซึ่งเป็นวัตถุดิบพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ สร้างปัญหาโลกร้อน และฆ่าผู้คนมาทั่วโลกแล้วนับไม่ถ้วน รวมทั้งประเทศไทยด้วย เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของฯพณฯนายกรัฐมนตรี และ SCG  สืบไป

ประกาศมา ณ วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2560
นายศรีสุวรรณ  จรรยา
นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธนาคารโลกคาดปีนี้เศรษฐกิจไทยโต 3.5% ต่ำสุดในอาเซียน เขมร-ลาว-พม่า พุ่่งกว่า 6%

Posted: 04 Oct 2017 09:11 PM PDT

ธนาคารโลกคาดเศรษฐกิจโลกปีนี้โต 2.9% คาดไทยในปี 60 เติบโต 3.5% ปี 61 เติบโต 3.6% ต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียนขณะที่ อินโด 5.1% มาเลเซีย 5.2% ฟิลิปปินส์ 6.6% เวียดนาม 6.3% กัมพูชา 6.8% ลาว 6.7% และพม่า 6.4%

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ข่าวสดออนไลน์และ Voice TV รายงานว่า ชูเดียร์ แชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารโลกประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดปีนี้โตได้ 2.9% ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง เห็นได้จากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการค้าโลกเป็นปัจจัยที่ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคจะเติบโตอยู่ที่ 6.4%ในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดโต 6.2%

ทั้งนี้ เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนเติบโตมากกว่าเดิมที่คาดโต 6.7% รวมถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตสูงขึ้นเล็กน้อยในปี 2560 อยู่ที่ 5.1% และปี 2561 อยู่ที่ 5.2% ซึ่งส่งผลดีต่ออุปสงค์ภายในประเทศไทยด้วย ทำให้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2560 เติบโต 3.5% และปี 2561 เติบโต 3.6% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียนเทียบกับเศรษฐกิจอินโดนีเซียที่ปีนี้คาดเติบโต 5.1% มาเลเซียคาดโต 5.2% ฟิลิปปินส์คาดโต 6.6% เวียดนามคาดโต 6.3% กัมพูชาคาดโต 6.8% ลาวคาดโต 6.7% และพม่า 6.4%

"เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เข้มแข็ง นโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลายแต่ยังคงต้องมีหลักเกณฑ์กำกับดูแลที่เข้มงวด ที่สำคัญประเทศไทยังคงต้องพึ่งพาการลงทุนจากภาครัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก" ซูเดียร์ กล่าว

รายงานข่าวระบุด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงเรื่องการขาดดุลการคลัง เห็นได้จากนโยบายการคลังของหลายประเทศในภูมิภาคนี้ คาดว่าจะมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2560-62 เทียบกับปี 2557-59 อีกทั้งหนี้ภาคเอกชนอยู่ในระดับสูง แม้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจะมีมากเพียงพอแต่ก็ต้องเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินในระยะข้างหน้า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้าบางประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเพิ่มขึ้น สหรัฐและยุโรปอาจเพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการเงินเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

วิคตอเรีย กวากวา รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายตัวของการค้าโลกล้วนเป็นข่าวดีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ต่างประสบความสำเร็จในการปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ความท้าท้ายของประเทศต่างๆ อยู่ที่การสร้างสมดุลย์ระหว่างการจัดลำดับความสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นกับการลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระยะปานกลาง ซึ่งจะทำให้ภูมิภาคนี้มีรากฐานการเติบโตที่เข้มแข็งเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง โดยในประเทศจีน การสร้างความสมดุลย์ระหว่างการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศนั้นคาดว่าจะดำเนินต่อไป เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะชะลอการเติบโตลงอยู่ที่ร้อยละ 6.4 ในปีพ.ศ. 2561

สำหรับประเทศไทยและมาเลเซียคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ ในระยะแรกเนื่องมาจากการส่งออกที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงภาคการท่องเที่ยวและในระยะต่อมาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของค่าแรงแท้จริงส่งผลให้การบริโภคในอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้น ภาคการเกษตรและการผลิตของเวียดนามฟื้นตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้กระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตไปด้วย ส่วนฟิลิปปินส์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงกว่าปีพ.ศ. 2559 เล็กน้อยส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินโครงการลงทุนของภาครัฐล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

สุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากการส่งออก การท่องเที่ยวและการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำทั้งเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.86% เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.53% อัตราการว่างงานต่ำ อัตราเงินคงคลังยังสูงกว่าหนี้สาธารณะ 2-3 เท่า ขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 41-42%

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น