โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

บอร์ด สปสช.รับทราบความก้าวหน้าจัดหายาปี 2561 ยืนยันไม่มีปัญหายาขาดแน่นอน

Posted: 02 Oct 2017 11:41 AM PDT

2 ต.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่าวันนี้ ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยมีวาระการพิจารณาเรื่องความก้าวหน้าการจัดหายา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษปีงบประมาณ 2561

เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากความคืบหน้าของการดำเนินการจัดหายาประจำปีงบประมาณ 2561 จนถึงขณะนี้ขอยืนยันว่ายาไม่ขาดแน่นอน ผู้ป่วยและหน่วยบริการจะได้รับยาต่อเนื่อง จากการพูดคุยกับทาง อภ. ยาที่ซื้อเพิ่มไปสามารถใช้ได้ถึงเดือนพฤศจิกายนนี้ และเมื่องบประมาณของปี 2561 มา ซึ่งปกติงบประมาณจะมาสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมางบประมาณมาวันที่7 ตุลาคม 2559 ก็สามารถดำเนินการซื้อยาตามกระบวนการที่ดำเนินการไว้ในขณะนี้ทันที แต่เพื่อป้องกันไว้ เบื้องต้นได้ตกลงกับทาง อภ.แล้วว่ากรณีงบประมาณมาไม่ทัน จะยืมยากับทาง อภ.ก่อน แต่ ขอยืนยันว่า ยามีพอ ไม่เกิดสถานการณ์ยาขาดแน่นอน

ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านหน่วยงานซื้อยา อาจจะทำให้หลายฝ่ายเกิดความวิตกกังวล แต่ยืนยันว่าผู้ป่วยจะไม่ขาดยาแน่นอน เหตุการณ์ขณะนี้ ที่ผู้ป่วยกังวลว่ายาขาด คือ ยาอะบาคาเวียร์ (Abacavir tab) ยาต้านไวรัสเอดส์ สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาทีโนโฟเวียร์ไม่ได้ และเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีอายุ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งเป็นการขาดแคลนที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากผู้ผลิตผลิตยาไม่ทัน แต่ตอนนี้ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้แล้ว มียาพอสำหรับผู้ป่วย ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่เกิดจากการเปลี่ยนหน่วยงานจัดซื้อยารวม แต่เป็นปัญหาของผู้ผลิตและทุกประเทศเจอปัญหานี้เช่นกัน ดังนั้นจึงขอให้ผู้ป่วยมั่นใจว่ายามีพอไม่มีปัญหาขาดแน่ ตามกระบวนการจะคงคลังไว้ 2เดือนอยู่แล้ว ในภาพรวมคุมได้อยู่ ผู้ป่วยและหน่วยบริการอาจจะมีความกังวลบ้างในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่จะไม่ได้รับผลกระทบ ยืนยันว่ายาไม่ขาดแคลนแน่นอน

จักรกริช โง้วศิริ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561 นำเสนอความก้าวหน้าต่อที่ประชุมบอร์ด สปสช. ว่า หลังจากประธานบอร์ด สปสช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยาฯ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2560 ที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบแผนจัดหายาและเวชภัณฑ์ปี 2561 พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานต่อรองราคายา โดยผลการต่อรองราคายาและเวชภัณฑ์ 9หมวด 124 รายการ ได้แก่ น้ำยาล้างไตและยา EPO, วัคซีน, ยาต้านไวรัสเอชไอวี, ยาบัญชี จ2, ยารักษาวัณโรค, ยากำพร้าและยาต้านพิษ, ยาหัวใจและหลอดเลือด, สายสวนหัวใจ, ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น โดยมี 21 รายการที่ได้ราคาลดลง จึงสามารถประหยัดงบประมาณได้อีกกว่า 52 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับปีงบประมาณ 2560 สาเหตุที่สามารถต่อรองได้ราคาลดลง เนื่องจากยาบางรายการมีจำนวนการซื้อเพิ่มขึ้น จึงทำให้ได้ราคาถูกลง และบางรายการมีคู่แข่งในตลาดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาลดลง

ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ได้มีการตรวจสอบคลังสินค้าปีงบประมาณ 2560 ร่วมกันระหว่าง สปสช., รพ.ราชวิถี และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อส่งมอบความรับผิดชอบให้กับ รพ.ราชวิถีดำเนินการต่อในปีงบประมาณ 2561 และขออนุมัติจำหน่าย ทำลายยาหมดอายุ ในกลุ่มยากำพร้าหรือยาที่มีอัตราผู้ป่วยน้อยแต่มีความจำเป็นต้องสำรอง

"ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบการขึ้นทะเบียนเครือข่ายหน่วยบริการ รพ.ราชวิถีเป็นเครือข่ายหน่วยบริการสำหรับจัดหายา เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว ซึ่ง สปสช.ได้ออกประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างแจ้งให้หน่วยบริการทุกแห่งทราบต่อไป" จักรกริช กล่าว  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรอ้างมีกลุ่มใน-นอกประเทศจ่อป่วนช่วงพระราชพิธีฯ ผบ.ทบ.ชี้เป็นกลุ่มหนีคดี ม.112

Posted: 02 Oct 2017 09:58 AM PDT

พล.อ.ประวิตร ระบุการข่าวพบว่ามีกลุ่มคนในและนอกประเทศเตรียมก่อความวุ่นวายในช่วงพระราชพิธีฯ ผบ.ทบ. ชี้เป็นกลุ่มคนที่หลบหนีคดีมาตรา 112 ที่อยู่ในต่างประเทศ ใช้วิธีการเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดีย

แฟ้มภาพ

2 ต.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการร่วมการรักษาความปลอดภัยและการจราจรในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า มีความเป็นห่วงในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการก่อกวนและต่อต้านที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องทำให้เกิดความพร้อมและความปลอดภัยในทุกอย่าง

"ยอมรับว่าการข่าวพบว่ามีกลุ่มคนในและนอกประเทศเตรียมก่อความวุ่นวายในช่วงพระราชพิธีฯ แต่ผมคงไม่ต้องขอความร่วมมือจากคนเหล่านี้ เพราะเป็นกลุ่มผู้ไม่หวังดี ทั้งนี้ฝ่ายความมั่นคงจะต้องวางกำลังอย่างเข้มงวด ทำให้เกิดความพร้อมและความปลอดภัยในทุกอย่าง เพราะพระราชพิธีในครั้งนี้ถือเป็นพิธีสำคัญหนึ่งเดียวในโลก จะมีผู้ร่วมพระราชพิธีกว่า 250,000 คน ดังนั้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเตรียมงานให้สมพระเกียรติกับที่ทรงงานมานาน 70 ปี" พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมและขั้นตอนต่าง ๆ ในช่วงพระราชพิธีฯ นั้น ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารทางวิทยุและโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศ

แฟ้มภาพ

ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีนี้ด้วย ว่า ได้รับข้อมูลด้านการข่าวมานานแล้ว โดยกลุ่มดังกล่าวมีลักษณะปลุกระดมผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อก่อกวนช่วงงานพระราชพิธีสำคัญ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าประชาชนทุกคนที่เกิดเป็นคนไทยในยุคสมัยของรัชกาลที่ 9 ต่างตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณ และจะร่วมกันสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดเรื่องเสียหายในช่วงงานพระราชพิธีฯ ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพื่อให้พระราชพิธีสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี สมพระเกียรติ เพราะถือเป็นงานยิ่งใหญ่และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี

"การข่าวพบว่ากลุ่มที่ปลุกระดม เป็นกลุ่มคนที่หลบหนีคดีมาตรา 112 ที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่กล้าเดินทางเข้ามาในไทย แต่ใช้วิธีการเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม การออกมาเปิดเผยในเรื่องดังกล่าว หน่วยงานความมั่นคงไม่ได้ท้าทาย แต่เพื่อแจ้งเตือนให้ทุกฝ่ายเฝ้าระวัง และช่วยกันดูแลความเรียบร้อยให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในช่วงงานพระราชพิธีฯ ขณะเดียวกันไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนก เพราะหากทุกฝ่ายร่วมมือและช่วยกันให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ ก็เชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุใด ๆ ขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัยบริเวณโดยรอบงานพระราชพิธีฯ" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร เป็นผู้รับผิดชอบงานด้านความปลอดภัยในช่วงพระราชพิธีฯ ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการแบ่งงานและวางแผนการทำงานอย่างชัดเจน โดยตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบหลักในเรื่องของความปลอดภัย ส่วนกองทัพเป็นผู้สนับสนุน

ที่มา : สำนักข่าวไทย ไทยรัฐออนไลน์และมติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: “ยิ้มสู้” จากตุลา

Posted: 02 Oct 2017 09:38 AM PDT


เราเป็นพวกเดนตายจากการปฏิวัติ มากกว่าหนึ่งครั้งที่พระเจ้าอาจจะเอาชีวิตของเราไป แต่ก็ปล่อยให้เรารอดมาได้ สำหรับผู้รอดชีวิตอย่างเราหลังการปฏิวัติ คำถามก็คือจะดำเนินหรือเล่าชีวิตเราต่ออย่างไรจากตอนก่อน ในสภาพที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีทางเลือกอื่น เราต้องเขียนบทเอง

…อายุปูนนี้แล้ว อยู่ในช่วงเริ่มชีวิตหลังเกษียณ พวกเราคงอยู่อีกไม่นาน นั่นหมายความว่าต่อไปคงไม่มีคนอย่างพวกเราอีกแล้ว …แล้วพวกเราล่ะจะใช้เวลาที่เหลือทำอะไร 

เกษียร เตชะพีระ เขียนถึงมิตรสหายเดือนตุลา ในวาระ 60 ปี สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งเพิ่งผ่านไปปีเศษ จู่ๆ อ.ยิ้ม ก็จากไป ในขณะที่อีกไม่กี่วันจะครบ 41 ปี 6 ตุลา ท่ามกลางความเศร้าอาลัยของมิตรสหาย ลูกศิษย์ เพื่อนนักวิชาการ และมวลชนประชาธิปไตยอันไพศาล

คำถามว่าใช้เวลาที่เหลือทำอะไร ยิ้ม ตอบได้ทั้งผลงานวิชาการ แผนชิงชาติไทย สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ที่ทำให้คนรุ่นหลังตาสว่าง

ขณะเดียวกันก็มีบทบาทคัดค้านรัฐประหารอย่างแข็งขัน ตั้งแต่ 2549 ถึงปัจจุบัน กระทั่งถูก ศอฉ.คุมตัวเมื่อปี 53 ถูก คสช.เรียกรายงานตัวเมื่อปี 57 ซึ่ง ยิ้ม ถือเป็นเกียรติประวัติ

ถ้าจำกันได้ ครั้งปี 53 ยิ้มอดอาหารประท้วง โฆษกไก่อูบอกว่าถ้าไม่กินอาหารจริง กินเจเล่ก็คงจะอิ่มอยู่แล้ว ยิ้มยังฟ้องไก่อู มาร์ค สุเทพ หมิ่นประมาทจากการเผยแพร่ ผังล้มเจ้า กระทั่งไก่อูยอมรับว่าผังไม่เป็นความจริง จึงถอนฟ้อง (ไม่รู้ไก่อูยังจำได้หรือเปล่า)

61 ปีของยิ้ม เสียดายที่สั้นไป แต่ก็ได้ยืนหยัดในอุดมคติ ได้ต่อสู้ทั้งชีวิต สู้ด้วยความหวัง ความเชื่อมั่น ยืนเด่นโดยท้าทาย จนวาระสุดท้าย

กล่าวสำหรับ พวกเดนตาย จาก 6 ตุลา จากสงครามปฏิวัติ ที่มิตรสหายจำนวนมากพลีชีพไป แต่เรารอดมาได้ การได้ร่วมผลักดันให้สังคมเปลี่ยนอีกครั้ง เป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังอยู่แล้ว เป็นกำไรชีวิตที่ไม่เคยคิดไว้

ต่อให้ตายในยุครัฐประหาร ก็ได้เห็นสายธารประชาธิปไตย เห็นพลังที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ แม้ยังอยู่ในจุดอับเฉพาะหน้า หรือต่อให้ใครบอกว่าแพ้ ก็ชินชาซะแล้ว ได้สู้อีกครั้ง ก็ยังดีกว่าตายโดยเงียบเหงา

ว่าที่จริง พวกเดนตาย ส่วนใหญ่ก็คิดคล้ายกัน เห็นเพื่อนตายแล้วเข้าป่าจับปืน แม้พ่ายแพ้อกหัก คืนรัง แต่จะให้ละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยพร้อมสละแม้ชีวิตได้อย่างไร แม้สังคมนิยมล่มสลาย เคว้งคว้างไร้จุดหมาย กลับมาใช้ชีวิตปกติ ยากดีมีจนแตกต่างกันไป ก็ยังแหงนมองท้องฟ้า แสงดาวแห่งศรัทธา หวังเปลี่ยนโลกเปลี่ยนสังคมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เพียงแต่ตลกร้ายที่พอความเปลี่ยนแปลงมาถึง ก็แยกย้ายกันไปอยู่ 2 ขั้ว

เกษียรเขียนไว้ว่าคนเดือนตุลาเป็นมนุษย์ที่มีประสบการณ์พิเศษ ถูกฝึกเป็นพิเศษ มีทักษะความชำนาญพิเศษ มีพลังสร้างสรรค์สูง มีพลังทำลายมาก อยู่ที่ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร เพื่อใคร เมื่อหมดคนรุ่นนี้ ต่อไปคงมีคนพิเศษรุ่นใหม่เกิดขึ้นอีก แต่ไม่เหมือนกัน มีจุดอ่อนจุดแข็งจุดดีจุดบอดที่ไม่เหมือนกัน

พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกตน เพราะบอกว่ามีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง แถมบาดแผล บวกสิ่งชำรุด แต่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้เกิดคนที่พิเศษกว่าคนรุ่นอื่น คนที่เติบโตมาในยุคแสวงหา ในจุดปะทะทางวัฒนธรรม อนุรักษนิยม เสรีนิยม ค่านิยมเก่าใหม่ เผด็จการ ประชาธิปไตย ทุนนิยม สังคมนิยม ไหว้พระจันทร์ เหยียบดวงจันทร์ ฯลฯ เทียบง่ายๆ ยุคก่อนนั้นเป็นมหาลัยลีลาศ เรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน ยุคหลังจากนั้นเป็นมหาลัยวัยหวาน ผลิตคนป้อนทุนนิยมบริโภค

แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะสังคมผกผัน ก็เกิดคนที่ตั้งคำถาม ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร สร้างความฝันอันยิ่งใหญ่ มอบชีวิตเพื่อเปลี่ยนโลกพลิกสังคม ซึ่งไม่ใช่เพิ่งเกิดหรอก ก่อนนั้นก็มีคนรุ่น 2475 เสรีไทย จิตร ภูมิศักดิ์ ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น แม้เจ็บปวดพ่ายแพ้ แต่คนรุ่นตุลาก็ส่งต่อมาถึงทุกวันนี้ ถึงแม้เกิดความพลิกผัน แยกขั้วแบ่งข้าง จนถูกคนรุ่นหลังประณาม

ถามว่าวันนี้ สังคมก็มาถึงห้วงที่เกิดคนพิเศษรุ่นใหม่หรือยัง 11 ปีหลัง 2549 ผมมั่นใจว่าเกิดแล้ว แม้มีข้อแตกต่าง แต่หลายอย่างก้าวไกลกว่าเรา สายธารประชาธิปไตยแผ่ขยาย ยิ้มตายตาหลับ คนตุลากำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ หรือบ้างก็ตกเวทีประวัติศาสตร์ นั่นเป็นสัจธรรม

 

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/politics/news_538679

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

7 หายนะของคนเสื้อแดง

Posted: 02 Oct 2017 08:24 AM PDT

หลายปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้พบปะคนเสื้อแดงหลากหลายตามการชุมนุม, เรือนจำ, กิจกรรม และ เฟสบุ๊ค

แม้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายไม่เอาระบอบอำมาตย์ แต่คนเสื้อแดงก็มีหลายประเภท และมีความเข้าใจต่อการต่อสู้ที่แตกต่างกัน

ดังนั้นการจะคาดหวังให้คนเสื้อแดงรวมใจเป็นหนึ่งเดียวในการต่อสู้จึงเป็นเรื่องยาก ผมเห็นคนเสื้อแดง 7 ประเภทที่อาจเป็นหายนะของการต่อสู้ในอนาคต

1. แดงเฉย: คนเสื้อแดงประเภทนี้อาจรับรู้ความเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ไม่เคยสนใจที่จะเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองด้วยเหตุผลสารพัด

2. แดงหลงตน: คนเสื้อแดงประเภทนี้หลงตัวเองเป็นพลังมวลชนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเชื่อฝ่ายตรงข้ามจะครั่นคร้านพลังของพวกเขาจึงคิดได้เพียงระดมคนมาชุมนุมเยอะๆจนต้องบาดเจ็บ, ล้มตาย และถูกจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขาก็ยังคิดจะชุมนุมเหมือนเดิม

3. แดง FC: คนเสื้อแดงประเภทนี้จะเป็นแฟนคลับของเสื้อแดงคนดัง เช่น ทักษิณ, ยิ่งลักษณ์ และ แกนนำ นปช. พวกเขาไม่ต่างอะไรกับพ่อยก-แม่ยกที่มีแต่สรรเสริญเยินยอคนที่พวกเขารัก หากใครตำหนิ-วิจารณ์คนที่พวกเขารักอย่างมีเหตุผล พวกเขาจะดาหน้าออกมาปกป้องด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น แถมยังผลักไสให้คนๆนั้นเป็นแดงเทียมทันที

4. แดงโลกสวย: คนเสื้อแดงประเภทนี้ชอบสร้างภาพเสื้อแดงคนดังเป็นนางเอกที่ถูกตัวอิจฉากลั่นแกล้ง ทางเดียวของการต่อสู้คือ การบีบน้ำตาเพื่อให้คนดูอินไปกับพวกเขา หากมีใครเรียกให้คนเสื้อแดงลุกขึ้นสู้ พวกเขาจะหาข้ออ้างสารพัดมาขวาง เช่น เดี๋ยวมันก็แก่ตายเอง เดี๋ยวกรรมตามสนองมันเอง พวกเขาเชื่อว่าน้ำตาจะชนะรถถังได้

5. แดงมโน: คนเสื้อแดงประเภทนี้หลงติดกับนิยายน้ำเน่า โดยเฉพาะละครจักรๆวงศ์ๆ ก่อนหน้านี้มีนิยายพลังวิเศษจะช่วยคนเสื้อแดง แต่นานๆเข้ามุกนี้เริ่มแป๊กก็เปลี่ยนแนวมาเป็นศึกชิงบังลังก์ การมโนแต่งนิยายไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การที่คนเสื้อแดงบางคนแยกแยะไม่ออกระหว่างเรื่องจริง-เรื่องมโนเป็นสิ่งที่น่าหดหู่ที่สุด

6. แดงวงใน: คนเสื้อแดงประเภทนี้จะอ้างแต่ข่าววงในซึ่งล้วนเป็นข่าวมโนที่ไม่แตกต่างจากแดงมโน กระแสมักจะเกิดเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น การพิพากษาคดียิ่งลักษณ์ ข่าวลือวงในจะเยอะมาก แต่พวกเขาจะเชื่อทุกข่าววงในแบบไม่ใช้สติ

7. แดงฮาร์ดคอร์: คนเสื้อแดงประเภทนี้แตกต่างจากทุกประเภท พวกเขาต้องการต่อสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แม้ความคิดของพวกเขาจะน่าสนใจ แต่พวกเขามักขาดการวางกลยุทธ์ระยะยาว พวกเขาจึงคิดได้เพียงการก่อกวนเล็กๆน้อยๆที่ไม่เคยสร้างผลกระทบให้กับฝ่ายตรงข้าม แถมพวกเขายังต้องเดือดร้อนจนต้องเข้าเรือนจำ-หลบหนีออกนอกประเทศ

หากคุณไม่ใช่คน 7 ประเภทนี้ผมขอแสดงความยินดีด้วย พวกคุณมีโอกาสที่จะเป็นความหวังของการต่อสู้ ส่วนคน 7 ประเภทนี้ก็ควรรู้ตัว และเปลี่ยนแนวทางเสียบ้าง หากพวกคุณยังมีแนวคิดแบบเดิมๆ อย่าว่าแต่การโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามเลย แค่ประคองตัวเองให้รอดยังยากเลย

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ค เอกชัย หงส์กังวาน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ญาติปี 53 มอบคำสั่งศาล-ขนมไข่เหี้ย ให้ ปชป. หลังมัลลิกาโพสต์พยาบาลเกดไม่ถูกทหารยิงตาย

Posted: 02 Oct 2017 08:23 AM PDT

ญาติผู้ตายจากการสลายชุมนุม ปี 53 มอบคำสั่งศาลคดี 6 ศพ วัดปทุมฯ ที่ระบุทั้ง 6 เสียชีวิตจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหาร ให้พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมขนมไข่เหี้ย หลังมัลลิกาโพสต์ 'พยาบาลเกด' ไม่ถูกทหารยิงตาย แต่ตายเสื้อแดงด้วยกัน 

ที่มาภาพ  เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Banrasdr Photo'

2 ต.ค. 2560 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Banrasdr Photo' รายงานว่า กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ปี 2553 นำโดย พะเยาว์ อัคฮาด และพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เดินเท้าจากวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร ไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ภายในชื่อกิจกรรม "สัมมาบาทาเพื่อสัมมาวาจา" เพื่อมอบคำสั่งศาลอาญากรุงเทพใต้กรณีคำร้องชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุม ให้พรรคประชาธิปัตย์ หลัง มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากแชร์ข้อมูลจากเพจการเมืองหนึ่งมีข้อความว่า "พยาบาลกมลเกด และเพื่อน ไม่ได้ตายเพราะทหาร แต่ตายเพราะพวกเสื้อแดงด้วยกัน ฆ่าเอาศพ มีหลักฐาน โดย 6 ศพเสียชีวิต อยู่ในช่วงตะวันตกดิน ศพทั้งหมดมีการชันสูตรแล้วพบว่า ถูกยิงจากวิถีกระสุน ในระนาบเดียวกัน มิใช่มุมสูงจากสกายวอล์ค หรือบริเวณรางรถไฟฟ้า BTS"

รายงานข่าวระบุว่านอกจากนำคำสั่งศาลกรณีชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุม ที่นำมาให้แล้ว ยังนำขนมไข่เหี้ยจำนวนหนึ่งมามอบให้อีกด้วย โดยมี ศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้รับฝากเพื่อส่งต่อให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามกับ พะเยาว์ ซึ่งเป็นมารดาของ กมนเกด ที่เสียชีวิตเป็น 1 ใน 6 ศพวัดปทุมฯ เพิ่มเติม โดย พะเยาว์ กล่าวว่า หวังว่าทางพรรคจะจัดการกับ มัลลิกา ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นก็ไม่ได้หวัง ที่ไปในวันนี้เพื่อย้ำให้ทราบว่าอย่าปากพล่อยเท่านั้นเอง กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ใครจะมาพูดอะไรก็ได้ 

เกี่ยวกับความคืบหน้าของคดีและกระบวนการยุติธรรมนั้นนั้น พะเยาว์ กล่าวว่า ตอนนี้คงไม่ได้ดำเนินการอะไร เนื่องจากกระบวนการตอนนี้ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถทำอะไรกับผู้กระทำได้ เนื่องจากเขามีอำนาจมา ยื่นตรงไหนก็ตกตรงนั้น จึงต้องรอเวลา เนื่องจากยังมีเวลาอีก 13 ปี ที่ไม่ใช่รัฐบาลนี้ เพราะอายุคดี 20 ปี 

สำหรับ กมนเกด อัคฮาด เธอเป็นพยาบาลอาสา ที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนารามวันที่ 19 พ.ค.2553 ช่วงสลายการชุมนุม โดย ศอฉ. และต่อมาในการไต่สวนการเสียชีวิต กมนเกด ซึ่งรวมอยู่ในคดี 6 ศพวัดปทุมฯ ศาลมีคำสั่งว่าทั้งหมดเสียชีวิตจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังในครั้งนั้นด้วยว่า 1. เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร 2. ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน 3. การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ 4. กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยศาลมีคำสั่งให้นำคำสั่งนี้ส่งต่อให้พนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 (อ่านรายละเอียดของคำสั่งศาลเพิ่มเติม)

แถลงการณ์ กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ปี 2553

จากกรณีที่เพจสาธารณะของ "มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข" ได้แชร์สเตตัสในเฟซบุ๊คของ "Siriwanna Jill - New" ใจความตอนหนึ่งระบุว่า "...พยาบาลกมลเกด และเพื่อน ไม่ได้ตายเพราะทหาร แต่ตายเพราะพวกเสื้อแดงด้วยกัน ฆ่าเอาศพ มีหลักฐาน โดย 6 ศพเสียชีวิต อยู่ในช่วงตะวันตกดิน ศพทั้งหมดมีการชันสูตรแล้วพบว่า ถูกยิงจากวิถีกระสุน ในระนาบเดียวกัน มิใช่มุมสูงจากสกายวอล์ค หรือบริเวณรางรถไฟฟ้า BTS…" ความรายละเอียดตามที่ราบกันโดยทั่วไปแล้วนั้น

กลุ่มญาติฯ แม้จะทราบว่าคุณมัลลิกาฯ มิได้เป็นผู้กล่าวถ้อยคำด้วยตนเอง แต่เป็นการคัดลอกข้อความทั้งหมดมาลงในเพจสาธารณะของตนที่มีผู้ติดตามเกือบสี่แสนราย อันเป็นลักษณะพิเศษของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่มักจะนิยมเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายอย่างตรงไปตรงมานั้น ย่อมชี้ให้เห็นเจตนาของคุณมัลลิกาฯเป็นอย่างดี

เมื่อกลุ่มญาติฯพิจารณารายละเอียดของเนื้อหาดังกล่าว แม้จะพบว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูลหลักฐานซึ่งได้ผ่านการพิสูจน์และตัดสินคดีความ โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำสั่งคำร้องชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2556 หลังจากได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและญาติผู้ตายทั้งหกคน อันประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า"ผู้เสียชีวิตทั้งหกถูกกระสุนความเร็วสูงของทหารเสียชีวิต และในที่เกิดเหตุไม่ปรากฏชายชุดดำและอาวุธในที่เกิดเหตุ ประกอบกับไม่พบคราบเขม่าดินปืนที่มือผู้ตายทั้งหมด..."

แต่เป็นที่น่าตกใจและประหลาดใจว่าคุณมัลลิกาฯ ซึ่งเคยมีตำแหน่งถึงรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เคยเป็นเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง แม้จะไม่เคยได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนชาวพะเยาให้เป็นตัวแทนของพวกเขาเลยแม้สักครั้งเดียวจากการเสนอตัวทั้งสามครั้ง กลับไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสารซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าทหารเป็นผู้ยิงประชาชนที่วัดปทุมวนารามฯเสียชีวิตถึง 6 ศพ ยังไม่นับกรณีอื่นๆ ที่ศาลอาญาได้ทยอยมีคำสั่งคำร้องชันสูตรศพผู้เสียชีวิตทั้งก่อนหน้าและหลังจากนั้นว่าทหารเป็นคนฆ่าประชาชน

ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การที่คนระดับคุณมัลลิกาฯขาดข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในกรณีการสลายการชุมนุมของประชาชนเมื่อปี 2553 หรืออาจจะเป็นเพราะมิจฉาวาจาหรืออะไรก็ตามแต่ ไม่ได้ทำให้กลุ่มญาติฯรู้สึกแค้นเคืองแต่อย่างใด เพียงแต่สงสัยถึงความรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงของคุณมัลลิกาฯ รวมไปถึงสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์คนอื่นๆด้วยเช่นกัน และทำให้เคลือบแคลงใจว่าการที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ระดับนำอย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศตัวอยู่เสมอว่าพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น เป็นเพราะขาดข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงที่ถูกต้องครบถ้วนรอบด้านด้วยหรือไม่

กลุ่มญาติฯจึงได้นำคำสั่งศาลอาญากรุงเทพใต้กรณีคำร้องชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมฯมามอบให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ผ่านการพิเคราะห์ พิสูจน์ทราบในชั้นศาลมาเรียบร้อยและไม่สามารถปฏิเสธหรือบิดเบือนได้ พร้อมทั้งขนมไข่เหี้ยจำนวนหนึ่งเพื่อให้การอ่านคำสั่งศาลมีอรรถรสมากขึ้น

อนึ่ง การกล่าวคำพูดในที่สาธารณะของบุคคลสาธารณะควรเป็นไปได้ด้วยสัมมาวาจา อันประกอบด้วย

1. ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก

2. ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่ปรองดองกันแล้วบ้าง ยินดีในคนผู้ปรองดองพร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนปรองดองสมานฉันท์กัน

3. ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ คนส่วนมากรักใคร่พอใจ

4. ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควรรู้จักมิจฉาวาจาว่ามิจฉาวาจา รู้จักสัมมาวาจาว่าสัมมาวาจา ความรู้นั้นจึงเป็น สัมมาทิฐิ

จึงเรียนมาด้วยความปรารถนาดี
กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ปี 2553
2 ตุลาคม 2560

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กราดยิงเทศกาลดนตรีลาสเวกัส ตายเกิน 58 เจ็บกว่า 200-มือปืนปลิดชีพตัวเอง

Posted: 02 Oct 2017 06:20 AM PDT

มือปืนเป็นชายผิวขาววัย 64 ยิงจากชั้น 32 ของโรงแรมลงมากลางคอนเสิร์ตนักร้องคันทรีชื่อดัง เจสัน อัลดีน ผู้เชี่ยวชาญ-คนอยู่ในเหตุการณ์คาดอาวุธก่อเหตุเป็นปืนอัตโนมัติ หลังก่อเหตุมือปืนฆ่าตัวตายก่อนที่หน่วยสวาทจะไปถึง โดยตำรวจต้องการสอบปากคำผู้หญิงที่เดินทางกับมือปืน โดยขณะนี้ยังไม่ตีความเป็นคดีก่อการร้าย แต่พฤติการณ์เข้าตำรากฎหมายเนวาดา

ภาพเหตุการณ์การกราดยิงในลาสเวกัส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 50 คน บาดเจ็บกว่า 200 คน (ที่มา: Twitter/Breaking 911)

ณ เทศกาลดนตรีในลาสเวกัส แฟนเพลงคันทรี่นับพันตกอยู่ในเหตุการณ์การยิงสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐฯ มือปืนได้สาดกระสุนนับร้อยนัดทางตอนใต้ของครลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา เมื่อกลางดึกวันที่ 1 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 58 คน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 200 คน

คนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงมาจากหน้าต่างชั้น 32 ของโรงแรมมัณฑะเลย์เบย์ข้ามฝังถนนมายังลานจัดเทศกาลดนตรี "รูท 91 ฮาร์เวสต์" ในช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มของวันอาทิตย์ (2 ต.ค.) ตามเวลาของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เข้าชมคอนเสิร์ตหลายหมื่นคนวิ่งหนีตาย ก่อนที่ต่อมาหน่วยปฏิบัติการพิเศษหรือสวาท (SWAT) จะบุกเข้าไปถึงห้องของคนร้ายและพบว่าคนร้ายเสียชีวิตแล้ว 
 
โจเซฟ ลอมบาร์โด นายอำเภอของลาสเวกัสเปิดเผยว่าผู้ก่อเหตุในครั้งนี้คือสตีเฟน แพดด็อค อายุ 64 ปี  เขามีอาวุธปืนไรเฟิลในครอบครองถึง 10 กระบอกและเชื่อว่าคนร้ายน่าจะฆ่าตัวตายก่อนที่หน่วยสวาทจะเข้าไปถึง ไม่พบว่าแพดด็อกมีประวัติอาชญากรรมใดๆ มาก่อน โดยที่ยังไม่มีข้อมูลว่าผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจทางการเมือง หรือมีความเจ็บแค้นในเรื่องอื่น หรือมีแรงจูงใจอะไร แต่ลอมบาร์โดตั้งเป้าว่าน่าจะเป็นการก่อเหตุลำพังแบบไม่มีขบวนการ (lone-wolf-type)
 
ทั้งนี้ตำรวจยังได้ค้นตัวหญิงที่ชื่อ แมริลู แดนลีย์ ผู้ที่ลอมบาร์โดบอกว่าเดินทางร่วมกันกับผู้ต้องสงสัยก่อเหตุและต้องการสอบปากคำเธอ

 

วิดีโอนาทีที่มีการกราดยิง (ที่มา: Twitter/TreTheGentleman)

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาทวิตในทวีตเตอร์ส่วนตัว ใจความว่า "ขอแสดงความอาลัยและเห็นอกเห็นใจแก่เหยื่อและครอบครัวในเหตุการณ์การกราดยิงที่ลาสเวกัส ขอให้พระเจ้าอวยพร!"

 

ทวิตของโดนัลด์ ทรัมป์ (ที่มา:Twitter/Donald J. Trump)

มติชน รายงานว่า บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กำลังเร่งตรวจสอบว่ามีคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหรือไม่

เจมส์ กาญาโน นักวิเคราะห์ด้านการบังคับใช้กฎหมายจากสำนักข่าว CNN ของสหรัฐฯ กล่าวว่า จากเสียงปืนของผู้ก่อการนั้น คาดว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้หน่วยงานทหาร "ปืนอัตโนมัติแบนั้นจะต้องมีขนาดแม็กกาซีนที่บรรจุกระสุนได้มาก ฟังเหมือนปืนที่ใช้สายพานลำเลียงกระสุนที่ทหารใช้กัน และการยิงลงมาอย่างนั้นถ้าจะให้เทียบมันเหมือนยิงปลาที่อยู่ในถังน้ำ" กาญาโนกล่าว

สำนักข่าว อินดิเพนเดนท์ของสหราชอาณาจักร รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการสืบสวนการกราดยิงครั้งนี้ออกมาระบุว่าพวกเขาไม่ได้สืบสวนคดีนี้ในฐานะของการก่อการร้าย แต่ถ้าดูจากกฎหมายของมลรัฐเนวาดาที่ระบุว่า "การก่อการร้ายหมายถึงการกระทำใดๆ ที่หมายรวมถึงการใช้หรือพยายามใช้การก่อวินาศกรรม การบีบบังคับหรือความรุนแรงเพื่อหมายมุ่งให้เกิดภัยต่อร่างกายหรือชีวิตของคนจำนวนมาก" แต่อย่างไรเสีย นายอำเภอโจเซฟกล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะตีความว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการก่อการร้าย "ตอนนี้ยังไม่ใช่ เราเชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนตัวในท้องถิ่น เขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่" "ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเขามีความเชื่ออะไร"

ทั้งนี้ เฟซบุ๊กได้ตั้งเพจ The Violent Incident in Las Vegas, Nevada Crisis Response เพื่่อช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการทราบชะตากรรมของคนรู้จักที่ตกอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว

ในส่วนเพิ่มเติมข้อที่ 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ (Second Amendment) ให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการมีและพกพาอาวุธปืน ได้รับการรับรองในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2334 (ที่มา: wikipedia)

 

แปลและเรียบเรียงจาก

50 dead after shooting on Las Vegas Strip; suspect ID'd, CNN, October 2, 2017

Nevada state law defines Las Vegas mass shooting as an act of terrorism, Independent, October 2, 2017

Las Vegas Shooting Near Mandalay Bay Casino Kills 58, By KEN BELSON, GERRY MULLANY and RUSSELL GOLDMAN, The New York Times, OCT. 2, 2017

กราดยิงลาสเวกัส ยอดตายพุ่ง 50 ศพ เจ็บกว่า 200 ร้ายแรงสุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน, มติชน, October 2, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'คนรักหลักประกัน' จับตา สธ.เร่งแก้ไขกฎหมายบัตรทอง ย้ำจ่อเคลื่อนไหวค้าน

Posted: 02 Oct 2017 05:58 AM PDT

จับตา สธ.เร่งแก้ไขกฎหมายบัตรทอง อ้างรองนายกฯอนุมัติให้เข้าครม.แล้ว กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เตรียมเคลื่อน ค้านแยกเงินเดือน เพิ่มคกก.วิชาชีพ และฮุบซื้อยา

 
เครือข่าย กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพและเครือข่ายภาคประชาชน แอคชั่นค้านการแก้ไขปรับปรุง (ร่าง) พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  เมื่อ มิ.ย.ที่ผ่านมา (แฟ้มภาพ)
 
2 ต.ค. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่ตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงความคืบหน้าในการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าได้รับอนุมัติจาก พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว กลุ่มคนรักหลักฯ ชี้ประเด็นขัดแย้งยังอยู่ ครม.อย่าเพิ่งเร่งพิจารณา ขอเข้าพบรองนายกฯ  เพื่อให้ข้อมูลร่วมกันพิจารณาอย่างรอบด้านและแสดงจุดยืน ค้านแยกเงินเดือน และกลไกใหม่ในการจัดซื้อยารวม
 
นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีประเด็นที่ขัดแย้งหลายเรื่อง และถูกทักท้วงทั้งจากภาคประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้ รวมทั้งกรรมการร่างกฎหมายเสียงส่วนน้อย ทั้งที่ขอสงวนความเห็นและไม่เห็นด้วยหลายประการ จึงต้องรับฟังและตัดสินใจบนฐานของข้อมูล 
 
"ตามที่รองนายกฯณรงค์ได้ขอคำชี้แจงเพิ่มเติมจาก สธ. หากรัฐบาลมีเจตนาต้องการเห็นระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นระบบสวัสดิการเพื่อคนไทยอย่างถ้วนหน้าและเท่าเทียม ต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดรอบคอบ เพราะการแก้ครั้งนี้จะส่งผลต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ" นิมิตร์ กล่าว
 
นิมิตร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักการของร่างกฎหมายฉบับแก้ไข เห็นชัดว่าไม่ได้แก้เพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมทุกคน ลดความเหลื่อมล้ำ เกิดการหลอมรวมให้เป็นระบบเดียวตามมาตรา 9 และมาตรา 10 ของกฎหมายฉบับเดิม  
 
"อย่างกรณีการจัดซื้อยารวมในจำนวน 4.9% ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ดำเนินการมากว่า 10 ปี สร้างระบบไว้ได้ดี ที่สำคัญเป็นการจัดซื้อเพียงยาจำเป็นที่ต้องต่อรองราคาเพื่อทำให้ยาถูกลง  ครอบคลุมคนมากขึ้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ต้องการความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีระบบข้อมูลจำนวนความต้องการใช้ที่ชัดเจน รวมทั้งระบบการกระจายยา ที่คำนึงถึงทั้งผู้ให้บริการและผู้ป่วย แต่พอมีการทักท้วงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เรื่องอำนาจการจัดซื้อของ สปสช. แทนที่จะแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับการปฏิบัติที่ทำมาดีอยู่แล้ว กลับไปสร้างเงื่อนไขหาวิธีอื่นมาทำแทน ซึ่งยังไม่รู้ว่าถูกกฎหมายตามที่อ้างกันหรือไม่ พอยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เหมือนลิงแก้แห จึงควรกลับมาพิจารณาให้ สปสช. จัดซื้อยารวมโดยมีกฎหมายรองรับที่ชัดเจน หากจะทำให้ไม่ยุ่งยาก ควรเพิ่มอำนาจในกฎหมายให้ สปสช.จ่ายค่าตอบแทนให้หน่วยบริการเป็นเงิน หรือจ่ายเป็นยาหรือเวชภัณฑ์ได้ ฉะนั้นรองนายกฯควรเปิดรับฟังความเห็นต่างจากภาคประชาชนด้วย"  นิมิตร์ กล่าว
 
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักฯ และตัวแทนกรรมการร่างกฎหมาย กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับสุดท้ายนี้ ยังมีหลายเรื่องที่ภาคประชาชน ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในกรรมการไม่เห็นด้วย เช่น เรื่องการแยกเงินเดือนของบุคลากรของโรงพยาบาลรัฐออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งกรณีนี้มีข้อทักท้วงมากมายจากโรงพยาบาลชุมชนหลายแห่ง โดยเฉพาะในแถบพื้นที่ห่างไกล อย่างภาคอีสาน ที่จะส่งผลต่องบประมาณและจำนวนบุคลากรในการให้บริการแก่ประชาชน ทั้งนี้ การแยกเงินเดือนจะดีต่อโรงพยาบาลขนาดใหญ่ใกล้เมือง และโรงพยาบาลขนาดเล็กใกล้ กทม. ซึ่งจะทำให้เงิน และคนทำงานกระจุกตัว ในขณะที่พื้นที่ที่ต้องการคนทำงานเพิ่มกลับขาดแคลน ซึ่งที่ผ่านมา ตัวแทน สธ.ไม่เคยใช้ข้อมูลกำลังคนในการพิจารณาเลย
 
อภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ยืนยันว่า ขณะนี้เกิดความปั่นป่วนในระดับพื้นที่ เภสัชกรหลายโรงพยาบาลยังไม่รู้ความชัดเจนของระบบใหม่ ที่ให้โรงพยาบาลราชวิถีดำเนินการจัดซื้อยาแทน และยังมีคำสั่งจาก สธ.ไปยังโรงพยาบาลให้ทำข้อมูลจำนวนผู้ป่วย จำนวนคนใช้ยา ซึ่งข้อมูลพวกนี้มีอยู่แล้วในระบบที่ สปสช.จัดทำขึ้น ทำให้คนทำงานไม่มั่นใจว่าระบบจะมียาให้ผู้ป่วยเพียงพอหรือไม่ ซึ่งคนทำงานที่อยู่หน้างานจำเป็นต้องวางแผน จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เฉลี่ยยาให้ผู้ป่วย เพื่อจ่ายยาให้ได้ครอบคลุมทุกคนให้ได้นานที่สุด โรงพยาบาลจึงจ่ายยาจากครั้งละ 3 เดือนเป็น 1 เดือน หรือ 2 อาทิตย์บ้าง
 
"ที่เราออกมาพูดแบบนี้ไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้ ไม่ได้ดราม่า ไม่ได้โจมตีใคร แต่กำลังจะบอกว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องยอมรับความจริงว่าระบบใหม่มันยังมีปัญหา โดยเฉพาะช่วงของรอยต่อของการสั่งซื้อยาระหว่างปี 2560 และปี 2561 ซึ่งประชาชนจะรู้ไหมว่าแก้ไขกันได้ไม่ได้ หากท่านยืนยันว่าไม่มีปัญหาก็ออกมาอธิบายให้ผู้ป่วยรู้ว่าตอนนี้ระบบเป็นอย่างไร" อภิวัฒน์ กล่าวและว่า ตนอยากสื่อสารถึงผู้ติดเชื้อฯ ทุกคนที่กำลังกินยาต้านฯ อยู่ว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีระบบสำรองยาต้านฯ จนถึงปลายปีนี้ ถ้าผู้ติดเชื้อฯ คนใดมีปัญหา ไม่ได้รับยา ให้ประสานงานมาที่เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯที่เบอร์โทร 0-2377-5065 ได้
 
รายงานข่าวระบุด้วยว่า กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพขอเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีชะลอการพิจารณาร่างแก้ไขกฎหมายบัตรทองไว้ จนกว่าจะได้ข้อยุติในเชิงวิชาการโดยเฉพาะเรื่องการแยกเงินเดือนจากค่าเหมาจ่ายรายหัว และการเสียสมดุลของคณะกรรมการ และให้ รองนายกฯ เปิดโอกาสให้ผู้แทนประชาชน ผู้แทนโรงพยาบาลชุมชนที่จะได้รับผลกระทบ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการชี้แจง และอธิบายต่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ร่วมกับ สธ.ด้วย มิเช่นนั้นทางกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพทั่วประเทศจะต้องพิจารณาเลือกการเคลื่อนไหวพร้อมกันเพื่อคัดค้านการลักไก่พิจารณาแก้กฎหมายเช่นนี้
AttachmentSize
ร่าง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .....pdf152.5 KB
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

ผลโหวตร้อยละ 90 หนุนกาตาลุญญาแยกตัว หลายฝ่ายกังวลปะทะเดือดวันลงคะแนน

Posted: 02 Oct 2017 12:59 AM PDT

รัฐบาลท้องถิ่นแคว้นกาตาลุญญาจัดลงประชามติขอแยกตัวจากสเปน คนออกมาโหวตร้อยละ 42 โดยร้อยละ 90 ของคะแนนเสียงเห็นด้วยแยกตัว แม้จะถูกรัฐบาลกลางห้ามและมีการใช้กำลังตำรวจของรัฐบาลกลางบุกยับยั้ง ทำลายการลงประชามติ สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนผู้รอลงคะแนนจนมีการปะทะกัน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 450 ราย

ธง ลา เอสเตลาดา ของแคว้นกาตาลุญญา ที่มาภาพจาก commons.wikimedia.org

2 ต.ค. 2560 ที่แคว้นกาตาลุญญา (Catalonia) ในสเปนมีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปในคูหาลงคะแนนเพื่อยับยั้งไม่ให้ผู้อยู่ในกาตาลุญญาลงประชามติแยกตัวเป็นอิสระ ในบาร์เซโลนามีการยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมประท้วงหน้าหน่วยลงคะแนน

รัฐบาลท้องถิ่นกาตาลันระบุว่า มีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวน 2.26 ล้านคน ถือเป็นร้อยละ 42 ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และผลประชามติครั้งนี้มีผู้ออกเสียงสนับสนุนการแยกตัวจากสเปนถึงร้อยละ 90 ถึงแม้จะถูกปิดกั้นการออกมาลงคะแนนเสียงด้วยไม้กระบองและกระสุนยาง รวมถึงการประกาศจากรัฐบาลกลางที่กรุงมาดริดว่าการประชามติไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็ตาม 

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขสเปนระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 450 รายแล้ว จากการปะทะในหลายพื้นที่ทั่วแคว้นกาตาลุญญา กระทรวงกิจการภายในของสเปนระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 11 ราย ในขณะที่ทางการท้องถิ่นของกาตาลันระบุว่ามีผู้บาดเจ็บมากกว่า 800 คน

การ์เลส ปุกเดมอนต์ ผู้นำกาตาลุญญากล่าวหาว่ารัฐบาลสเปน "ใช้กำลังเกินขอบเขตและไร้ความรับผิดชอบอย่างที่ไม่มีความชอบธรรม"

ส.ส. ฝ่ายสนับสนุนการแยกตัวเป็นอิสระของกาตาลุญญาพยายามจัดทำประชามติในประเด็นนี้ถึงแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลกลางของสเปนจะพยายามสั่งห้ามและปราบปรามพวกเขา โดยในวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมาก็มีการจัดลงคะแนนตามกำหนดการ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจของทางการกลางก็ใช้ความรุนแรงทั้งจากไม้กระบองและกระสุนยางเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ชาวกาตาลันเข้าไปลงคะแนนได้โดยอ้างว่าเป็นประชามติที่ผิดกฎหมาย แต่ปุกเดมอนด์ก็กล่าวว่าความรุนแรงเหล่านี้ "ไม่อาจหยุดยั้งชาวกาตาลันที่มีความปรารถนาจะลงคะแนนได้"

มีหลายฝ่ายประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ออกมาใช้สิทธิในครั้งนี้ โฆษกรัฐบาลท้องถิ่นกาตาลุญญา จอร์ดี ทูรูลล์ กล่าวในที่ประชุมแถลงข่าวว่ารัฐบาลกลางสเปนจะต้องให้การกับศาลโลกในเรื่องการใช้ความรุนแรง สำหรับเรื่องการลงประชามติ ทูรูลล์กล่าวว่าจะยังคงมีการปิดหีบในเวลาเดิม ไม่มีการเลื่อนแม้จะมีอุปสรรคเกิดขึ้น และจะมีการนับผลคะแนนหลายล้านเสียงต่อไป

เหตุการณ์ในคูหาลงประชามติแห่งหนึ่งในบาร์เซโลนามีผู้มาใช้สิทธิหลายร้อยคนผลักดันกับตำรวจที่มีโล่ปราบจลาจล มีรถหุ้มเกราะและรถพยาบาลจอดอยู่ใกล้ๆ ผู้จัดการลงปะชามติลอบนำหีบเลือกตั้งเข้าไปถึงที่หมายได้ก่อนรุ่งเช้าและเรียกร้องให้ผู้มาใช้สิทธิต่อสู้ขัดขืนตำรวจอย่างอหิงสา

ส่วนในมาดริดมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกพังอาคารสถานที่เข้าไปในหน่วยลงคะแนนเพื่อยับยั้งไม่ให้มีการลงประชามติจนเป็นเหตุให้มีการปะทะกับผู้ที่รอโหวตอยู่นอกอาคาร ขณะเดียวกันมีประชาชนในมาดริดบางส่วนราว 300 คนชุมนุมกันที่จัตุรัสพลาซ่ามายอร์เพื่อแสดงการสนับสนุนให้กาตาลุญญายังคงอยู่ในสเปนต่อไปและแสดงการชื่นชมเจ้าหน้าที่ทางการกลาง ในบาร์เซโลนาก็มีการชุมนุมของคนหลายร้อยคนที่สนับสนุนการอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสเปนต่อไปเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองกาตาลุญญาและฝ่ายค้านสเปนที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอย ลาออกจากตำแหน่งจากกรณีการใช้กำลังตำรวจ พรรคแรงงานของสเปนก็ประณามความรุนแรงของตำรวจในครั้งนี้โดยบอกว่าการใช้ความรุนแรงในการปิดคูหาเป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้

องค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางการสเปนเคารพในสิทธิของพลเมืองและสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ รวมถึงระงับการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ

นายกรัฐมนตรีของเบลเยียม ชาร์ลส์ มิเชล กล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงและควรจะหาทางออกด้วยการหารือทางการเมือง หัวหน้าพรรคสังคมนิยมสเปน เปโดร ซานเชซ ก็เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสเปนใช้วิธีการเจรจาหารือกับกาตาลุญญาเพื่อสร้างความมั่นคงโดยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติแทนการปะทะ

นิโคลา สเตอร์เจียน นายกรัฐมนตรีสกอตแลนด์ กล่าวว่าไม่ว่าใครจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการแยกตัวเป็นอิสระของกาตาลุญญาอย่างไรก็ตาม พวกเราก็ควรจะประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสเปนจนกว่าจะมีคนบาดเจ็บหนัก สเตอร์เจียนเป็นผู้ที่ต้องการทำประชามติให้สกอตแลนด์แยกตัวจากสหราชอาณาจักรเช่นกัน

ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักรกล่าวว่าประชามติเป็นเรื่องของทั้งประชาชนชาวสเปนและของรัฐบาลสเปน พวกเขาต้องการให้มีการเคารพกฎหมายและรัฐธรรมนูญของสเปน

ก่อนหน้านี้เคยมีคำสั่งศาลให้การลงประชามติในครั้งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นของกาตาลุญญาก็ไม่ยอมปิดการจัดลงประชามติตามคำสั่งศาล ทำให้ตำรวจของรัฐบาลกลางสเปนพยายามใช้กำลังยับยั้งการลงประชามติแทน

เอ็นริค มิโญ ตัวแทนรัฐบาลกลางของสเปนในพื้นที่กาตาลุญญาบอกว่าตำรวจแห่งชาติปฏิบัติการบังคับใช้คำสั่งศาล "อย่างเป็นมืออาชีพ" และอ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกาตาลุญญาวันนี้ไม่นับว่าเป็นประชามติ

นายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอย ถึงขั้นกล่าวหลังจากมีการปิดคูหาลงประชามติว่า "ในวันนี้ไม่มีการลงประชามติแยกตัวเป็นอิสระ มีแต่ข้ออ้างในเรื่องนี้เท่านั้น" ราฮอยบอกอีกว่าการจัดประชามติในกาตาลุญญาเป็นเรื่องผิดกฎหมายแต่พวกเขาก็ยังจะจัดต่อไปทำให้ทางการกลางของสเปนโต้ตอบ "ด้วยความสงบเยือกเย็น"

ในช่วงกลางคืนราวสามทุ่มตามเวลาในสเปน ปุกเดมอนต์ประกาศว่ากาตาลุญญาได้รับสิทธิในการที่จะแยกตัวเป็นอิสระแล้ว แต่ยังต้องรอประกาศผลการลงประชามติอย่างเป็นทางการไปอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ จากนั้นก็จะนำผลโหวตอย่างเป็นทางการส่งให้กับทางรัฐสภาสเปนพิจารณา

เรียบเรียงจาก

 The Indepedent, Catalan independence referendum: Hundreds injured by Spanish riot police as voters go to polls, October 1, 2017

ABC News, Catalonia independence referendum: Spanish police seize ballot boxes, hundreds injured as voters cast votes, October 2, 2017

The Guardian, Catalan president: 'We have earned the right to an independent state' – live,  October 2, 2017

Aljazeera, 'Yes' wins Catalonia independence vote marred by chaos, October 2, 2017

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

คนในแคว้นกาตาลุญญานับหมื่นชุมนุมในวันชาติ กับการเรียกร้องทำประชามติแยกตัวจากสเปน

https://prachatai.com/journal/2017/09/73187

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศิลปินถือกระจกสะท้อน 32 ปีการจองจำนักโทษการเมืองสิงคโปร์-ก่อนถูกรวบตัว

Posted: 01 Oct 2017 07:23 PM PDT

ศิลปินและนักเคลื่อนไหวสิงคโปร์ถือโอกาสที่เขามีอายุ 32 ปี จัดการแสดงศิลปะด้วยการถือบานกระจกหน้ารัฐสภา เพื่อสะท้อนถึงกรณีของ "เชียะไทปอ" อดีตนักโทษการเมืองสิงคโปร์ผู้ถูกควบคุมตัวเป็นเวลาเท่ากับอายุของเขาและไม่ได้รับการประกันตัว อย่างไรก็ตามไม่ทันที่จะแสดงจบตำรวจก็จับกุมเขาไปอีกคน

ซีแลน ปาเลย์ ศิลปินและนักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์ ได้ทำการแสดงเดี่ยวที่สวนสาธารณะหงลิ้มปาร์ก เมื่อบ่ายวันอาทิตย์วานนี้ (1 ต.ค.) ภายใต้ชุดการแสดง "32 ปี: การสอบสวนของกระจกบานหนึ่ง" เพื่อรำลึกถึงการถูกควบคุมตัว 32 ปีโดยไม่ถูกตั้งข้อหาของอดีต ส.ส.สิงคโปร์ เชียะไทปอ

ในการแสดงของซีแลน ซึ่งมีอายุ 32 ปีในปีนี้กล่าวว่าเขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่า คนๆ หนึ่งจะถูกขังโดยไม่มีการไต่สวนเป็นระยะเวลาเท่ากับที่เขาเกิดมาและมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร

จากนั้นเขาได้เดินออกจากสวนหงลิ้มปาร์ก สถานที่ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้ทำการแสดง เพื่อที่จะทำการแสดงต่อในส่วนที่เขาไม่ได้ประกาศเอาไว้ โดยเขากล่าวต่อหน้าผลงานศิลปะของเขาเสมือนได้พูดกับเชียะไทปอด้วยตัวเองว่า "ผมหวังว่าจะได้ถามคุณ 2 คำถาม ข้อหนึ่ง มนุษย์ที่มีจิตใจเสรีจะถูกจำกัดด้วยพื้นที่บังคับของรัฐหรือไม่ และข้อสอง เมื่อพิจารณาจากข้อแรก ผลงานศิลปะที่มีเสรีจะถูกจำกัดด้วยพื้นที่บังคับของรัฐหรือไม่" "พวกคุณรู้คำตอบของทั้ง 2 สิ่งนี้ไหม? เดี๋ยวผมจะโชว์ให้ดู"

การแสดงผลงานศิลปะของซีแลน ปาเลย์ ก่อนถูกตำรวจจับกุม (ที่มา: The Online Citizen)

จากนั้นเขาได้เดินถือกระจกออกไปจากสวนมุ่งหน้าไปยังแกลลอรีแสดงศิลปะ และไปยังอาคารรัฐสภาเพื่อที่จะได้จบการแสดงศิลปะ โดยเขายืนถือกระจกอยู่หน้ารัฐสภา ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโน้มน้าวหลายครั้ง เพื่อให้เขาออกไปจากพื้นที่แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดตำรวจได้จับกุมเขา โดยไม่มีการอนุญาตให้ประกันตัวในคืนนั้น และตำรวจไม่มีการแจ้งว่าจับข้อหาอะไร แต่ในสิงคโปร์มีกฎหมายที่สามารถเอาผิดบุคคลในข้อหารวมตัวสมาคมโดยผิดกฎหมาย แม้จะมีผู้กระทำเพียงคนเดียวก็ตาม

สำหรับเชียะไทปอ (Chia Thye Poh) ปัจจุบันอายุ 76 ปี อดีตครูสอนวิชาฟิสิกส์ สมาชิกรัฐสภาและผู้นำพรรคแนวร่วมสังคมนิยม (Barisan Sosialis) เป็นอดีตนักโทษการเมืองสิงคโปร์ที่ถูกควบคุมตัว 32 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2509 ถึง 2533 โดยใช้กฎหมายความมั่นคงภายในควบคุมตัวโดยไม่มีการตั้งข้อหา โดย 23 ปีแรกถูกควบคุมตัวในเรือนจำ พร้อมด้วยผู้นำพรรคแนวร่วมสังคมนิยมคนอื่นๆ และอีก 9 ปีที่เหลือ รัฐบาลสิงคโปร์ย้ายเขาไปขังในบ้านพักที่เกาะเซนโตซาโดยกำหนดให้เขาต้องจ่ายค่าเช่าเอง

ในปี พ.ศ. 2532 เขากล่าวว่าภายใต้การปกครองของพรรคกิจประชาชน (PAP) ไม่มีระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่แท้จริง มีแต่อันตรายของระบอบพรรคเดียวที่มุ่งไปสู่การปกครองโดยคนๆ เดียว และจะยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นคือไปสู่การปกครองแบบราชวงศ์ รัฐบาลพรรคกิจประชาชนไม่ชอบหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ และไม่ยอมรับการถูกวิพากษ์วิจารณ์แหลมคม พวกเขาเหมือนเป็นพวกชนชั้นนำหรือพวกจองหอง เห็นว่าตัวเองดีที่สุด เหมาะสมที่สุดที่จะปกครองสิงคโปร์ และพวกเขาปกครองด้วยนโยบายกำปั้นเหล็ก" เชียะไทปอกล่าวด้วยว่า "ความคิดของผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลยหลังจาก (มากกว่า 30 ปี) ที่ถูกควบคุมตัว ที่จริงแล้ว ชีวิตของการเป็นนักโทษทำให้บุคคลยิ่งมีความแน่วแน่ที่จะต่อสู้กับการกดขี่ เพื่อที่จะได้มีสังคมที่มีความเท่าเทียม เที่ยงธรรม และมีประชาธิปไตย"

 

แปลและเรียบเรียงจาก

Activist arrested by Police outside of Parliament House after standing alone with artpiece, The Online Citizen, 2017-10-01

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น