โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

ปภ.เตือน 59 จังหวัดรับมือน้ำท่วม

Posted: 30 Jul 2018 04:22 AM PDT

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสาน 59 จังหวัด ทั่วประเทศเตรียมรับมือน้ำท่วม จากภาวะฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่วนเชียงรายแม่น้ำโขงทะลักท่วมหลายจุดแล้ว

30 ก.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่าจากการติดตามสภาวะอากาศ ปริมาณฝนสะสม สถานการณ์น้ำท่า และปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ พบว่า ในช่วงที่ผ่านมามีฝนตกหนักในหลายจังหวัดของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ทำให้มีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดน้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ปภ. จึงได้ประสาน 59 จังหวัดทั่วประเทศเตรียมความพร้อมรับมือ

โดยภาคเหนือ 17 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และอุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นคราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ ยโสธร และอุบลราชธานี ภาคกลาง 8 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้ 14 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ยะลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

เชียงรายแม่น้ำโขงทะลักท่วมหลายจุดแล้ว

เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าจากกรณีสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงราย กรมเจ้าท่าได้ประกาศเตือนมาอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว ด้าน จ.เชียงราย ให้เฝ้าระวังและติดตามระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มว่าระดับน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นนั้น

ล่าสุดในช่วงเช้าน้ำได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่หลายจุดริมฝั่งแล้ว ซึ่งน้ำเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่เช่น ไร่ข้าวโพดและนาข้าวในพื้นที่ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เป็นบริเวณกว้าง และยังเข้าท่วมท่าเรือหาดบ้าย หมู่ 1 ต.ริมโขง อ.เชียงจของ จุดผ่อนปรนแจมป๋อง หมู่ 5 ต.หล่ายงาว อ.เวียงแก่น ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในอาคารต้องโยกย้ายขึ้นมาด้านบน เพราะอาคารบางส่วนถูกน้ำทะลักเข้าท่วมแล้ว ส่วนชาวบ้านที่เคยมีสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวริมฝั่งต่างพากันขนย้ายข้าวของไปไว้บนพื้นที่สูงและผูกโยงเรือให้แน่นหนา เนื่องจากน้ำไหลเชี่ยวและพาเอาเรือลอยขึ้นมาสูงกว่าระดับที่เคยเทียบเรือกันตามปกติ ขณะที่พื้นที่ทั่วไปริมฝั่งและโขดหินต่างๆ ได้ถูกน้ำเข้าท่วมจนไม่เห็นหาดทรายและเกาะแก่งท่ามกลางสภาพอากาศครึ้มสลับกับมีฝนตกลงมาตลอดทั้งวัน

ด้านนายสุรนาท ศิริโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงราย กล่าวว่า จากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ทุกช่วงเวลา ซึ่งพบว่าในช่วงเช้านี้ระดับน้ำที่หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน วัดได้ลึกประมาณ 6.98 เมตร หลังจากเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ลึก 6,30 เมตร และที่ผ่านมาได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทางอำเภอ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ฯลฯ ให้ร่วมกันเฝ้าระวัง ด้านประชาชนที่ประสบอุทกภัยริมฝั่งสามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือได้ตลอดเวลา

กระนั้นจากการติดตามข้อมูลจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงหรือเอ็มอาร์ซีพบว่าล่าสุดปริมาณน้ำฝนทางตอนเหนือของแม่น้ำโขงได้ลดลงแล้ว หลังจากวานนี้มีฝนตกปริมาณ 40 มิลลิเมตร แต่วันนี้ลดลงเหลือเพียงแค่ 5 มิลลิเมตร ดังนั้นหากไม่มีน้ำฝนลงมาเพิ่มก็คาดว่าระดับน้ำจะลดลงเรื่อยๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายทัศนัย สุธาพจน์ นายอำเภอเชียงของ ได้เรียกประชุมผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้านกำนัน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนจากอุทกภัยริมฝั่งดังกล่าว โดยได้กำหนดเป็น 3 พื้นที่คือ พื้นที่หมู่บ้านริมฝั่งที่ประสบกับน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งที่ผ่านมาให้เตรียมพร้อมเคลื่อนย้ายข้าวของออกจากบ้านเรือนได้โดยทันทีแล้ว ส่วนพื้นที่ติดภูเขาให้ระวังดินโคลนไถลลงมาทับ และพื้นที่ติดลำห้วยให้เฝ้าระวังเรื่องน้ำไหลหลาก

รายงานข่าวแจ้งว่าก่อนหน้านี้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงราย ได้ออกประกาศเตือนประชาชนริมแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา ให้เฝ้าระวังและคอยฟังข้อมูลอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการรายงานค่าระดับน้ำให้ทราบทั้งในช่วงเช้า กลางวัน เย็น และที่ผ่านมาแจ้งว่าระดับน้ำ ณ หน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ลึก 3.99 เมตร จากนั้นเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่องโดยวันที่ 25 ก.ค.ลึก 4.20 เมตร วันที่ 26 ก.ค.ลึก 4.41 เมตร วันที่ 27 ก.ค.ลึก 4.82 เมตร วันที่ 28 ก.ค.ลึก 5.44 เมตร วันที่ 29 ก.ค.ลึก 6.30 เมตร และวันที่ 30 ก.ค.ลึก 6.98 เมตร

ส่วนสาเหตุที่คาดว่าเกิดจากช่วงระหว่างวันที่ 28-31 ก.ค.นี้ มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมพื้นที่ทางตอน จึงกำหนดพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังคือริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำรวก แม่น้ำกก แม่น้ำคำ แม่น้ำอิง ฯลฯ โดยเฉพาะตรงปากแม่น้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขงโดยให้เฝ้าระวัง สวนผู้ควบคุมเรือและคนประจำเรือทุกลำ ให้เดินเรือด้วยความระมัดระวังและงดออกเรือเมื่อมีฝนตกหนักหรือมีลมกรรโชกแรง ขณะเดียวกันขอให้จัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัยบนเรือและท่าเรือให้พร้อม เช่น ห่วงยาง เสื้อชูชีพ ฯลฯ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จนท.บรรเทาทุกข์ยูเอ็นในฉนวนกาซาประท้วง UNRWA ปลดคนทำงานจำนวนมาก

Posted: 30 Jul 2018 03:58 AM PDT

เมื่อคนทำงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานในฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ต้องกลายมาเป็นผู้ตกระกำลำบากเสียเอง จากการที่หน่วยงาน UNRWA เลิกจ้าง-ระงับสัญญาจ้างคนทำงานองค์กรในฉนวนกาซานับพันคน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนที่เผชิญปัญหาความยากจนอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังตั้งข้อสงสัยว่าแนวทางนี้สอดคล้องกับแผนการรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์และอิสราเอล

ที่มา: facebook.com/unrwa

30 ก.ค. 2561 อัลจาซีรารายงานเรื่องการเลิกจ้างคนทำงานของ 'สำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้' (UNRWA) ที่ส่งผลให้ผู้คนในอาศัยอยู่ในฉนวนกาซาจำนวนมากต้องเผชิญกับการว่างงาน และรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่คนที่ทำงานมาเป็นเวลานานก็ถูกเลิกจ้าง

มีการระบุถึงกรณีของราฟฟัต อาบู ฮาชิม ผู้ที่ทำงานที่สำนักงาน UNRWA ในฉนวนกาซามาเป็นเวลานานถึง 32 ปีแล้ว แต่ในเดือน ธ.ค. ที่จะถึงนี้เขาจะไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้าง มันทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมาก เขาต้องทำงานหาเลี้ยงลูก 6 คน ยังมีบางคนที่อยู่ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย รวมถึงยังมีภาระหนี้สินต่างๆ ที่เขาต้องชำระ

สาเหตุที่มีการเลิกจ้างพนักงานในสำนักงาน UNRWA เสียเองเช่นนี้เป็นเพราะรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ตัดการช่วยเหลือด้านเงินทุนถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอ้างว่าชาวปาเลสไตน์ไม่สำนึกในบุญคุณจากเงินช่วยเหลือและอ้างว่า "ไม่ยอมเจรจาสันติภาพ" ขณะที่ทรัมป์เองก็ดำเนินนโยบายแบบที่ยุยงให้เกิดการต่อต้านจากชาวปาเลสไตน์อย่างชัดเจน อย่างเช่น การรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นขัดแย้งหลักๆ ระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์

เรื่องการตัดงบประมาณยังส่งผลกระทบต่องานบรรเทาทุกข์ด้านอื่นๆ ในฉนวนกาซา ซึ่งประชากรในกาซามากกว่าครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจาก UNRWA ซึ่งพวกเขาได้รับความช่วยเหลือด้านเสบียงอาหาร, การรักษาพยาบาล, สวัสดิการสังคม, การจ้างงาน และการเข้าถึงการศึกษา จากองค์กรนี้มาเป็นเวลาราว 70 ปีแล้ว

ในปัจจุบันการปิดกั้นฉนวนกาซาทำให้มีอัตราการว่างงานร้อยละ 44 และการที่ทรัมป์ตัดความช่วยเหลือด้านงบประมาณถึงร้อยละ 80 ทำให้มีคนในองค์กร UNRWA ถูกเลิกจ้างอีก 113 ราย และมีการยกเลิกต่อสัญญาจ้างพนักงานในฉนวนกาซาอีก ราว 1,000 ราย ซึ่งอาบู ฮาชิม ก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนหนึ่งที่ถูกเลิกยกสัญญาจ้างเป็นคนทำงานในโครงการด้านสุขภาวะทางจิตที่มีพนักงานอยู่ร้อยละ 430 ราย

การเลิกจ้างดังกล่าวทำให้มีการประท้วงหน้าสำนักงาน UNRWA ในกาซา โดยที่อามาล อัล บาตช์ รองประธานสหภาพแรงงานของ UNRWA กล่าวว่าการเลิกจ้างหมู่ครั้งนี้ถือเป็น "การสังหารหมู่ลูกจ้าง" เขาบอกอีกว่าการแก้ไขปัญหาวิกฤตงบประมาณนี้ไม่ควรใช้วิธีการผลักภาระให้ลูกจ้างตัวเองที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนในฉนวนกาซา การตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ยังจะส่งผลเสียต่อทั้งลูกจ้าง ครอบครัวลูกจ้าง และผู้ลี้ภัยในกาซา รวมถึงเมื่อประเมินจากสภาพชีวิตที่ย่ำแย่ในกาซาแล้วจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของคนเหล่านี้ด้วย

บาตช์บอกอีกว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่าการเงิน พวกเขาเคยเสนอวิธีแก้ไขปัญหาหลายวิธีแล้วแต่ผู้บริหารของ UNRWA ก็ปฏิเสธ พวกเขาจะยกระดับการประท้วงต่อไปจนกว่า UNRWA จะยกเลิกการตัดสินใจนี้

นอกจากอาบู ฮาชิม แล้ว ยังมีลูกจ้าง UNRWA รายอื่นๆ ที่ประสบความเดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้าง มีพนักงานหญิงรายหนึ่งชื่อ โมนา อัล คิชาวี ถูกปลดจากการจ้างประจำกลายเป็นลูกจ้างล่วงเวลาที่ได้รับเงินเดือนครึ่งเดียว คิชาวีเป็นหญิงม่ายที่ต้องทำงานเลี้ยงดูลูก 6 คน มีบางคนที่ยังเรียนอยู่

พนักงานหญิงอีกคนหนึ่ง ฮูไวดา อัล กูล ที่ทำงานให้องค์กรมาเป็นเวลา 16 ปีแล้ว และต้องหาเลี้ยงลูกอีก 5 คน เพราะสามีเธอที่เคยทำงานในอิสราเอลถูกทำให้ว่างงาน ลูกของเธอคนหนึ่งเป็นโรคหอบหืดและเป็นโรคปอดทำให้เธอต้องใช้เงินค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากและยังมีหนี้สินที่ค้างไว้กับธนาคาร เธอกล่าวให้สัมภาษณ์ต่ออัลจาซีราทั้งน้ำตาว่าเธอกลัวจะต้องถูกจับเข้าคุกเพราะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ การได้รู้ข่าวเรื่องปลดพนักงานทำให้เธอล้มป่วยทางใจจนต้องถูกส่งเข้าโรงพยาบาล

"การที่องค์กรด้านความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมปฏิบัติต่อพวกเราแบบนี้มันมีเหตุผลแล้วหรือ" อาบู ฮาชิม กล่าว

โมห์เซน อาบู รอมฎอน นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ในกาซากล่าวว่า UNRWA กำลังดำเนินนโยบายใหม่ในแบบที่จะทำให้สถานการณ์ในฉนวนกาซาเลวร้ายลงกว่าเดิม จากที่กาซาต้องเผชิญปัญหาความยากจนอย่างหนักและปัญหาการว่างงานภายใต้การถูกปิดล้อมมาเป็นเวลา 11 ปี องค์กรเหล่านี้กำลังเบี่ยงแนวทางสนับสนุนวาระของชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการหยุดการยึดครองพื้นที่และการปิดล้อมของอิสราเอลรวมถึงให้สิทธิในการคืนถิ่นฐานแก่ชาวปาเลสไตน์ให้กลายเป็นแค่เรื่องความช่วยเหลือแบบการกุศลแทน

รอมฎอนเปิดเผยอีกว่าผู้ที่เคยคิดนโยบายแบบนี้คือนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ที่คิดมาตั้งแต่ช่วงปี 2533-2543 โดยเรียกชื่อว่า "สันติเชิงเศรษฐกิจ" ซึ่งเอามากลบแนวทางแก้ปัญหาแบบยอมรับชาติปาเลสไตน์ และผู้ที่นำแนวทางของเนทันยาฮูมาใช้คือรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จากการเสนอแนะของที่ปรึกษาพิเศษที่เป็นลูกเขยขอทรัมป์เองที่ชื่อ จาเรด คุชเนอร์ ที่น่าเป็นห่วงคือ UNRWA แทนที่จะต่อต้านนโยบายเช่นนี้กลับยอมรับนโยบายเช่นนี้มาใช้เสียเอง แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการจัดประชุมระดมทุนแต่กลับใช้วิธีการบูชายันต์ลูกจ้างตัวเองและทำลายบริการที่ให้กับคนในกาซา

เรียบเรียงจาก

UNRWA job cuts in Gaza 'a massacre for employees', Aljazeera, 30-07-2018
https://www.aljazeera.com/news/2018/07/180729105810213.html

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปิดตัว 'พรรคคลองไทย' ผลักดัน 'ขุดคอคอดกระ'

Posted: 30 Jul 2018 03:45 AM PDT

เปิดตัวพรรคคลองไทยอดีตรองผู้ว่าฯ ตรัง นั่งหัวหน้าพรรค หวังขับเคลื่อนในรัฐสภาด้วยการเสนอร่างพระราชบัญญัติคลองไทยเพื่อขุดคอคอดกระ ยืนยันไม่เป็นนอมินีใคร และไม่หวั่น จ.ตรัง ซึ่งเป็นฐานเสียงประชาธิปัตย์ ชี้คนตัดสินใจคือ ประชาชน

คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ (คลองไทย) วุฒิสภา สำรวจเส้นทาง 9A เมื่อปี 2545

MGR Online รายงานเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2561 ว่าที่โรงแรมวัฒนาพาร์ค อ.เมืองตรัง มีการจัดประชุมใหญ่สมาชิกผู้ก่อตั้งพรรคคลองไทย โดยมีสมาชิกเข้าประชุมจากเดิมกำหนดไว้ 250 คน แต่มีสมาชิกพรรค และผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน โดยมีเจ้าหน้าที่จาก กอ.รมน.ตรัง และตำรวจสันติบาล ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

โดยในที่ประชุมได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบระเบียบของพรรค เจตนารมณ์ของพรรค และได้มีการเลือกกรรมการบริหารพรรค โดยมี นายสายัณห์ อินทรภักดิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค นายสุทิน ช่วยธานี นายกสมาคมผู้ประกอบการร้านอาหารไทย สปป.ลาว เลขาธิการพรรค น.ส.พรประภา เลอพิพัฒวรพงศ์ ประธานบริหารเครือเลอพิพัฒเด็นตัล กรุ๊ป เหรัญญิกพรรค นายวีระ ไชยสินโน อดีตผู้พิพากษาศาลสมทบ เป็นนายทะเบียนพรรค และกรรมการบริหารพรรครวม 25 คน

จากนั้น นายสายัณห์ ในฐานะหัวหน้าพรรคคลองไทย ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีว่า สำหรับการตั้งพรรคคลองไทยนั้น เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และพระมหากษัตริย์อีกหลายพระองค์ ในการขุดคลองเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรในภาคใต้ของประเทศไทย แต่ยังไม่มีรัฐบาลยุคใดดำเนินการอย่างจริงจัง ศึกษากันมาตั้งแต่คอคอดกระ จนมาถึงปัจจุบัน คลองไทยแนว 9A (กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา) การขับเคลื่อนโครงการคลองไทยให้เกิดขึ้นได้ จึงต้องขับเคลื่อนในรัฐสภาด้วยการเสนอร่างพระราชบัญญัติคลองไทย ให้เป็นกฎหมายรองรับโครงการคลองไทย ให้มีผลผูกพันรัฐบาล และหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้โครงการคลองไทยดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง

นายสายัณห์ กล่าวอีกว่า โครงการคลองไทยเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพิเศษของประเทศ โดยอาศัยศักยภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย สร้างประเทศไทยให้มีสมุททานุภาพที่ยิ่งใหญ่ในโลก ให้คลองไทยเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ทางทะเล ทั้งนี้ เพราะในปัจจุบันและในอนาคตการขนส่งสินค้าทางทะเล รวมทั้งการดำเนินธุรกิจบริการด้านต่างๆ ทางทะเล นับวันจะทวีความสำคัญและทวีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล 

ดังนั้น การเกิดขึ้นของคลองไทยจะทำให้ประเทศไทยมีสถานะเศรษฐกิจที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ผลผลิตทางการเกษตรของไทยทุกชนิด ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย พืชผักผลไม้ทุกชนิดจะมีราคาสูงขึ้น เพราะเราจะสามารถทำหน้าที่เป็นตลาดกลางกำหนดราคาสินค้าเกษตรได้เอง เหมือนที่ประเทศสิงคโปร์นำผลผลิตทางการเกษตรของประเทศต่างๆ ไปลงเรือขายที่ช่องแคบมะละกา 

หลังจากนั้น ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจการค้าของโลก ธุรกิจบริการของไทย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า บริการ ตลอดจนสถานประกอบการต่างๆ จะเฟื่องฟู GDP ของประเทศไทยจะสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ภาวะการว่างงาน ปัญหาความยากจนจะหมดไป คนไทยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทุกด้าน ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และด้านอื่นๆ รวมทั้งคลองไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ได้อย่างถาวร เป็นต้น 

ส่วนความวิตกกังวลด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่จะต้องทำการศึกษาและหาทางแก้ไขให้เกิดความสมดุล สำหรับการเวนคืนที่ดิน บ้านเรือน ผลอาสิน ของประชาชนจะต้องให้ประชาชนได้รับค่าเวนคืนอย่างคุ้มค่า และให้โอกาสผู้ได้รับผลกระทบเป็นผู้ถือหุ้นในโครงการคลองไทยเป็นลำดับแรก ส่วนความคิดว่าจะมีการแบ่งแยกดินแดนหากมีการขุดคลองไทยเป็นความคิดโบราณ เพราะการมีคลองกว้างเพียง 400 เมตร ไม่เป็นอุปสรรคต่อเดินทาง และการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน และเมื่อมีคลองไทย คนไทยทุกจังหวัด รวมทั้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะรัก และหวงแหนแผ่นดินไทย 

หัวหน้าพรรคคลองไทย กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และเพื่อการสร้างโอกาสของประเทศไทยให้ก้าวสู่ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก พรรคคลองไทย จึงจะดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เพื่อให้มี ส.ส.ในสภาเข้าไปทำหน้าที่เสนอ พ.ร.บ.คลองไทย เพื่อผลักดันโครงการคลองไทยให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยจะร่วมมือกับนักการเมือง พรรคการเมือง สถาบัน องค์กรต่างๆ และพลังประชาชาชน ร่วมกันผลักดันโครงการคลองไทยให้สำเร็จ 

ทั้งนี้ นอกจากนโยบายสร้างโครงการคลองไทยแล้ว พรรคคลองไทย ยังมีนโยบายในการบริหารประเทศ โดยการสืบสานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งนโยบายแก้ปัญหาด้านพลังงานให้คนไทยได้ใช้พลังงานในราคาที่เป็นธรรม มีนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎร นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ชุมชน นโยบายพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งจะควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของทุกกระทรวง ให้ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ

ส่วนสนามเลือกตั้งในพื้นที่ จ.ตรัง นั้น อาจจะเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แน่นหนาแล้วนั้น ตนคิดว่าประชาชนมีทุกที่ และไม่ได้คิดว่าจะเป็นฐานเสียงใครหรือไม่ เพราะการเลือกตั้งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นผู้ตัดสินใจ โดยพรรคจะส่งผู้สมัครลงทุกเขตทั่วประเทศ เพราะประชาชนทั่วประเทศต้องการคลองไทย ตนในฐานะหัวหน้าพรรคคลองไทย พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าพรรคได้รับเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่หากไม่มีคะแนนเสียงมากพอตั้งรัฐบาล ก็พร้อมจะร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่สนับสนุนโครงการคลองไทย

ทางพรรคไม่มีความคิดจะไปดูดใคร จะทำการเมืองสีขาวบนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะเดินหน้าสรรหาผู้ร่วมอุดมการณ์คลองไทย และคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมือง มาทำงานทางการเมืองกับพรรค เพื่อให้พรรคคลองไทยเป็นพรรคที่จะนำพาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อย่างแท้จริง และขอยืนยันว่า พรรคไม่เป็นนอมินีของฝ่ายใด พรรคตั้งขึ้นด้วยอุดมการณ์ของคนรักชาติ คนต้องการคลองไทย คนต้องการเห็นอนาคตที่ดีของลูกหลานไทย และคนที่รักความเป็นธรรม แต่พรรคจะเป็นทาสของแผ่นดิน และเป็นตัวแทนที่ดีของประชาชนตลอดไป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เผยนักท่องเที่ยวไทย 180 คนในลอมบอก ปลอดภัยดี

Posted: 29 Jul 2018 11:54 PM PDT

โฆษกรัฐบาลแจงความคืบหน้าคนไทย 180 ที่ติดในเกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย ยังปลอดภัยดีและอยู่ในความดูแลของทหารไทยและมัคคุเทศก์ในพื้นที่ ทูตและผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ เดินทางเข้าพื้นที่แล้ว

ภาพนักท่องเที่ยวไทยบางส่วนที่ติดอยู่ที่เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา ที่มาภาพ: เฟสบุ๊คหนูภา แว่น

30 ก.ค. 2561 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบข่าวเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซียแล้ว โดยห่วงใยคนไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวและติดอยู่ในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่า เอกอัครราชทูตไทย และผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 3 เหล่าทัพได้เดินทางเข้าพื้นที่เกาะลอมบอก เพื่อร่วมประชุมกับทางการอินโดนีเซียแล้ว ขณะนี้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือภาคเอกชนไทยที่ไปลงทุนในอินโดนีเซียได้พยายามให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวไทยอย่างเต็มที่ โดยได้จัดหาอาหารและที่พักไว้จำนวนหนึ่งระหว่างรอการนำตัวออกนอกพื้นที่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ย้ำว่า นักท่องเที่ยวไทยรวม 180 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว ยังปลอดภัยดี และอยู่ในความดูแลของทหารไทยและมัคคุเทศก์ในพื้นที่ โดยสถานทูตไทยและสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองเดนปาซาร์ (บาหลี) ได้ติดต่อกับกลุ่มคนไทยอยู่ตลอด พร้อมกับประสานงานกับทางการอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป

"นายกรัฐมนตรี กำชับให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่ประสบภัยหรือใกล้เคียงติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2561 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา เผยรวบรวมรายชื่อคนไทยที่ติดอยู่บริเวณภูเขาไฟรินจานีได้จำนวน 180 คน ล่าสุดเจ้าหน้าที่กู้ภัยในพี้นที่ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ติดอยู่ในพื้นที่ 4 จุดแล้ว

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า ตามที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวบริเวณภูเขาไฟรินจานี (Mount Rinjani) ที่เกาะลอมบอก และติดอยู่บริเวณภูเขาไฟฯ เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อคนไทยที่ติดอยู่บริเวณภูเขาไฟดังกล่าวได้จำนวน 180 คน  (ณ เวลา 17.30 น.) ซึ่งส่วนใหญ่ได้เดินทางไปเป็นกลุ่มและมีไกด์ชาวอินโดนีเซียนำไป

สถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองเดนปาซาร์ (บาหลี) ติดต่อกับกลุ่มคนไทยอยู่โดยตลอด และได้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ของอินโดนีเซีย กระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย และหน่วยงานกู้ภัยของทหารอินโดนีเซีย เพื่อหาทางให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ติดอยู่ 

ล่าสุด เจ้าหน้าที่กู้ภัยในพี้นที่ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ติดอยู่ในพื้นที่ 4 จุด ได้แก่ Bayan (North Lombok) / Sembalun / Sambelia / Brang Rea (East lombok) และกำลังให้ความช่วยเหลือในจุดอื่นต่อไป อย่างไรก็ดี ยังมีบางจุดที่ยังไม่สามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้ 

กระทรวงท่องเที่ยวอินโดนีเซียได้ออกประกาศเตือนให้นักท่องเที่ยวติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาลอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ท่าอากาศยานลอมบอกยังเปิดให้บริการตามปกติ 

ทั้งนี้ สามารถติดต่อหมายเลขฉุกเฉินของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองเดนปาซาร์ +62 813 37316669 และหมายเลขฉุกเฉินของสถานทูตฯ +62 811 186253 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และลงทะเบียนรายชื่อออนไลน์ ได้ที่ https://goo.gl/forms/fWfrWhWb9ZlU1AjG3

ที่มาข่าวเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2]
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จ่อร้องนายกฯ ตรวจสอบค่ายทหารกระบี่เลี้ยงทหารเกณฑ์ด้วยน้ำแกงกับลูกชิ้น 2 ลูกว่าจริงหรือไม่

Posted: 29 Jul 2018 11:07 PM PDT

30 ก.ค. 2561 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แจ้งต่อสื่อมวลชนว่าด้วยสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้รับการร้องเรียนจากพลทหารเกณฑ์ในค่ายทหารชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ว่า ตนเองได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากอาหารแต่ละมื้อไม่พอกินและไม่อร่อย บางมื้อมีแค่น้ำแกงและลูกชิ้น 2 ลูกเท่านั้น จนต้องออกไปหาซื้อกินกันเอง และร้านค้าสวัสดิการในค่ายก็แพงเกินกว่าร้านค้าทั่วไปด้วย

กรณีดังกล่าวสมาคมฯ ไม่เชื่อว่าจะมีจริง เพราะตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร  (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2558 กำหนดไว้ว่าทหารกองประจำการที่รับเงินเดือน ระดับ พ.1 ถ้ารับเงินเดือนรวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมแล้วไม่ถึงเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว (พชค.) เพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงกลาโหมจะกำหนด แต่รวมแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท (รับจริงอาจได้เพียง 6,000-7,000 บาทเท่านั้น) นอกจากนั้นยังได้รับเบี้ยเลี้ยงแยกต่างหากอีกวันละ 96 บาท โดยพลทหารที่อยู่ประจำหน่วย ทางหน่วยจะหักค่าประกอบเลี้ยง (ค่าข้าว+ค่าอาหาร ฯลฯ) วันละ 65 บาท/คน/วัน ดังนั้น อาหารที่ประกอบเลี้ยงพลทหารจึงไม่ควรที่จะมีปัญหาจนเป็นเหตุให้มีการร้องเรียนได้

แต่เพื่อความกระจ่าง สมาคมฯจะนำความดังกล่าวไปร้องเรียนต่อ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้สั่งการไปยังกระทรวงกลาโหมและกองทัพบกเพื่อตรวจสอบ และสอบสวนในทางลับว่า มีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในค่ายดังกล่าวจริงหรือไม่ หากพบว่ามีจริงก็เชื่อได้ว่าค่ายทหารอื่นๆทั่วประเทศก็อาจจะมีลักษณะเดียวกัน จำต้องมีการรื้อตรวจสอบ แก้ไขกันทั้งระบบอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะต้องตรวจสอบด้วยว่าแต่ละค่ายผู้ที่ประมูลงานมารับจัดทำอาหารนั้น มีการประมูลงานถูกต้องตามระเบียบของกองทัพหรือตามกฎหมายหรือไม่ด้วย โดยสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันอังคารที่ 31 ก.ค. 2561 เวลา 10.30 น. ณ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ตึก กพร.เดิม ทำเนียบรัฐบาล เพื่อทำความจริงให้ปรากฏต่อไป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น